xs
xsm
sm
md
lg

สามี ตอนที่ 5

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สามี ตอนที่ 5

เจ้าสัวเรียวนั่งลงที่โต๊ะอาหาร รสิกากับรัตนาวลีตามมา รุ้งรายเดินมาจากอีกด้าน เจ้าสัวเรียวหันไปบอก

“อารุ้ง เรียกอารามมาเจี๊ยะปึ่ง”
“คุณลินดาลากกลับบ้านไปแล้วค่ะ ดูเหวี่ยงๆ ไม่รู้ใครไปทำอะไรโดนต่อมขัดใจเข้า หม่อมทราบหรือเปล่าคะ”
รัตนาวลีกับรสิกามองสบตารุ้งรายที่ยิ้มแบบรู้ทัน เจ้าสัวเรียวมองสังเกตทุกคนเดาออก
“ลินดากวนใจคุณอีกแล้วใช่ไหม”
“นิดหน่อยค่ะ ฉันรับมือได้” รัตนาวลียิ้มๆ
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะป๊า รุ้งเห็นกับตาเลย พวกแมงหวี่มาวุ่นวายนัก หม่อมตบแบนติดผนัง จริงไหมคะ”
รัตนาวลีเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วคุณราพณ์ไม่ทานข้าวเหรอคะ”
“เห็นบ่นว่าปวดหัวน่ะค่ะ วันนี้รับศึกหนักไปหน่อย”
“อ้ายไม่ค่อยหิวขอตัวนะคะ”
ขาดคำรสิกาลุกออกไป รุ้งราย เจ้าสัวเรียว รัตนาวลีมองตามไป
“รุ้งว่าอาการแบบนี้คล้าย ๆจะเป็นห่วงมากกว่านะคะ”
รุ้งรายหันมายิ้ม เจ้าสัวเรียวกับรัตนาวลีมองกันยิ้มๆ คิดตรงกับรุ้งรายเหมือนกัน

ราพณ์นั่งที่เก้าอี้เดี่ยวหันหน้าออกไปทางระเบียงที่เปิดประตูระเบียงไว้ มีลดพัดมาเบาๆ รสิกาเข้ามาในห้องยืนมองๆ เห็นเขานั่งนิ่งมาก เธอเดินเข้าไปยืนมองใกล้ๆ แต่เขาก็ยังไม่หันมา รสิกากระแอมเบาๆ เขายังนิ่ง เธอทนไม่ไหวตัดสินใจ
“ไม่หิวเหรอคุณ”
ราพณ์ถอนใจ
“ผมทานไม่ลง ปวดหัว”
รสิกามองเห็นใจคิด ๆ แล้วเดินออกไปจากห้อง สักครู่ก็กลับมาพร้อมกับยื่นผ้าผืนเล็ก ๆ บิดหมาดมาส่งให้ตรงหน้าเขา ราพณ์เหลือบมองผ้าแล้วมองรสิกา
“เช็ดหน้าสักหน่อยสิคุณจะได้สดชื่น”
ราพณ์มองแล้วยิ้มนิด ๆ
“ขอบคุณครับ” เขารับมาเช็ดหน้ารู้สึกได้กลิ่นหอม “กลิ่นอะไรน่ะครับ”
“โคโลญจน์ค่ะ เวลาเพลีย ๆ ฉันใช้วิธีนี้เสมอเวลาเพลีย ๆ เครียด ๆ”
ราพณ์รับไปเช็ดหน้าเช็ดตา รสิกายืนมองรู้สึกคลายห่วงนิด ๆ ราพณ์เช็ดเสร็จแล้วมองหน้ารสิกาอย่างประทับใจ
“ขอบคุณนะครับคุณหญิง”
รสิกาสบตากับเขาแล้วรู้สึกเก้อ ๆ เขิน ๆ ว่าตัวเองทำอะไรลงไป เธอพูดแก้เขิน
“ไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ ฉันแค่ทำตามหน้าที่”
รสิกาเดินออกไปจากห้อง ราพณ์มองตามว่าพูดอะไรผิดวะเนี่ย

รสิกาเดินออกมาในสวน หงุดหงิดตัวเอง
“ไปทำดีกับตานั่นทำไม...เขาเป็นศัตรูของเรา เป็นลูกของคนที่ทำร้ายท่านพ่อ”
ระรินกลับจากมหาวิทยาลัยเห็นรสิกายืนบ่น ๆ
“พี่สะใภ้หงุดหงิดอะไรอยู่คะ”
รสิกาได้สติที่เห็นระริน
“ก็เรื่องงานน่ะจ๊ะ มันไม่ได้ดังใจ”
“นี่รินก็เครียดเหมือนกันค่ะ สอบเสร็จแล้วยังหางานทำไม่ได้เลย”
“น้องรินไม่ช่วยงานที่บริษัทเหรอจ๊ะ”
“ถ้าช่วยงานที่บ้านก็มีแต่เป็นผู้บริหาร ไม่บริหารคนก็บริหารงาน ใจมันไม่รักค่ะ รินอยากเป็นอินทีเรียดีไซน์ สร้างความสวยงามจากภาพในหัว อีกอย่างรินไม่อยากเริ่มต้นที่บริษัทครอบครัวตัวเอง ป๊ารินสร้างบริษัทจากสองมือจนมันใหญ่โตแบบนี้ รินว่ามันเท่มาก เฮียราพณ์ก็อีกคน”
“บริษัทนี้เจ้าสัวสร้างฐานมาดี คุณราพณ์ก็แค่รับช่วงต่อนี่จ๊ะ”
“สมัยที่ป๊าสร้างมาก็ทำได้ถึงจุดที่คนรู้จักว่าLK เป็นบริษัทอสังหาฯเท่านั้นค่ะ แต่พอเฮียราพณ์กลับมาจากเมืองนอกแล้วเข้ามาบริหารก็พาบริษัทเข้าตลาดหุ้น เป็นมหาชนจนถึงทุกวันนี้ค่ะ”
รสิการับฟังข้อมูลอย่างสนใจ
“ถ้างั้นน้องรินก็หาบริษัทที่อยากทำแล้วยื่นใบสมัครงานสิจ๊ะ”
ระรินยิ้มเข้าทาง
“ก็มีอยู่ที่หนึ่งค่ะที่อยากทำ ถ้าคุณหญิงยอมช่วย”
รสิกาเหวอนิดหน่อยเห็นสายตาระรินอ้อนวอน ก็เข้าใจว่าอยากทำงานที่เดียวกับเธอ
“ได้สิ พี่จะคุยให้นะ”
ระรินดีใจกอดรสิกา
“ขอบคุณค่ะ พี่สะใภ้”
รสิกาเขิน ๆ นิดหน่อยไม่เคยมีพี่น้องกับเขาโดนกอดก็ได้แต่ทำหน้าเขินๆ

ค่ำนั้น ราพณ์คุยโทรศัพท์เครียด ๆอยู่ในห้องนอน
“ไอ้นพ ฉันเดาอารมณ์คุณหญิงไม่ทันเลยว่ะ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายกับฉันคนเดียวนี่ล่ะ”
มานพอยู่ในร้านกาแฟเก็บโต๊ะไปคุยโทรศัพท์ไป
“แต่มันก็เป็นลางดีนะ ฟังดูเขาก็ห่วงแก แต่ส่วนที่ร้ายแกต้องหาสาเหตุแล้วล่ะว่าทำไมเขาถึงมีกำแพงกับแก เป็นเพราะแกบีบบังคับเขาแต่งงานหรือว่าเรื่องอื่น ถ้าเคลียร์ได้ฉันว่าไม่น่ามีปัญหานะ แต่แกจะไหวหรือเปล่าอยู่กับเขาสองต่อสองแล้วไม่จู่โจมทำได้เหรอวะ”
“ฉันไม่ได้หื่นขนาดนั้นเว้ย”
“ก็อย่าทำให้เขาไม่ไว้ใจก็แล้วกัน”
“เขาระวังจนแทบจะระแวงจะทำให้เขาไว้ใจได้ยังไง”
“แกมีตัวช่วยชั้นดีลืมไปได้ยังไง”
“แกหมายถึง...”
ราพณ์ยิ้มอย่างเข้าใจสบายใจหาทางออกได้

ระรินเดินมากับรสิกาจนมาถึงหน้าห้อง
“รินเลยกวนคุณหญิงตั้งนาน ไว้วันที่คุณหญิงไปทำงาน รินติดรถไปสมัครงานด้วยนะคะ”
“ได้สิจ๊ะ”
“งั้นคุณหญิงพักผ่อนนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
ระรินยืนนิ่ง รสิกาที่ยังลังเลไม่อยากเข้าไป ระรินมองแบบยืนอยู่ทำไม รสิกาไม่อยากเข้า
“คือ...”
ระรินยิ้ม
“ราตรีสวัสดิ์นะคะ”
“จ๊ะ”
รสิกาจะเดินหนีก็ไม่ได้ ระรินยืนตั้งใจส่งเข้าห้อง เธอจำต้องเดินเข้าห้องนอน

รสิกาเปิดประตูเข้ามาในห้อง เสียงราพณ์ดังมา
“แล้วเจ้าหญิงก็เดินเข้ามา...”
รสิกาชะงักที่เห็นราพณ์นอนอ่านนิทานอยู่บนเตียงมีพระลบนอนพิงตัวเขาอยู่ข้างซ้ายมือ พระลบเห็นรสิกาเข้ามาก็ดีใจมาก
“พี่คุณหญิงมาแล้ว”
พระลบลงจากเตียงวิ่งเข้ามากอดรสิกาอ้อนสุดชีวิต
“คืนนี้พระลบขอนอนด้วยนะครับ”
รสิกามองพระลบ แอบดีใจที่จะไม่ต้องอยู่กับราพณ์สองต่อสอง ราพณ์มองยิ้ม ๆ

“คุณหญิงคงไม่ว่านะครับ...”

 
รสิกาสีหน้าปิดอาการดีใจไม่มิด
 
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ราพณ์มองรสิการู้ทันว่าเธอดูโล่งอกมาก ๆ
“พี่คุณหญิงครับ ป๊าอ่านนิทานไม่สนุกเลย พี่คุณหญิงอ่านนิทานให้พระลบฟังได้ไหมครับ”
“พอพี่คุณหญิงมาพระลบก็ไม่รักป๊าแล้ว”
ราพณ์ทำเป็นแตะหัวตาเสียใจ พระลบรีบปลอบ
“โอ๋ ๆ ไม่ร้องนะครับป๊า พระลบรักป๊าที่สุดในโลก”
พระลบเข้ากอดราพณ์อ้อนเอาใจสุดชีวิต รสิกามองเอ็นดู
“เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำแล้วจะมาอ่านให้ฟังนะคะ”
พระลบยิ้มอ้อน
“ครับผม”
รสิกาเข้าห้องน้ำไป พอประตูปิด พระลบกับราพณ์เหลือบมองตากัน แล้วราพณ์ก็ยกมือขวาขึ้นรอ พระลบหันมาตีมือกับราพณ์
“โอเคไหมครับป๊า”
ราพณ์ใช้สองมือดึงแก้มเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยว
“พระลบอยากได้อะไรครับ”
“พระลบอยากไปทะเลครับ ไปหาอาม่า”
ราพณ์ยิ้ม ๆ
“เดี๋ยวป๊าจัดให้”
พระลบดีใจตะโกนลั่น
“เย้”
ราพณ์ตกใจที่พระลบเสียงดังต้องรีบจุ๊ปากให้เบาๆ พระลบรู้สึกตัวรีบเอามือปิดปาก ทำนิ้วว่าโอเค พระลบยิ้มโผเข้ากอดราพณ์
“พระลบรักป๊าที่สุดเลย”
ราพณ์กอดพระลบยิ้มมีความสุข

สิริโสภามองหน้าจอคอมพิวเตอร์ ที่มีภาพของราพณ์เดี่ยวยิ้มมีความสุขในชุดแต่งงาน เธอคลิกดูภาพไปเรื่อยๆ...ภาพคู่ ภาพครอบครัว ภาพรสิกายิ้มสวย สิริโสภาเปิกวิกิพิเดียประวัติของรสิกา ชื่อ นามสกุล วันเกิด การศึกษา แล้วคลิกดูภาพข่าวของรสิกากับราพณ์ รูปที่ถูกปล่อยทั้งรูปยกน้ำชา รูปการถือทะเบียนสมรส สิริโสภาดูอย่างจุกอก ริษยาสุดๆ

รามเดินกลับไปกลับมา รู้สึกเหมือนสมองตัวเองพลุ่งพล่านเหมือนจิตไม่ปกติ เขาทิ้งตัวลงบนเตียงเกลือกกลิ้งไปมา จนทนไม่ไหวผุดลุกขึ้นมาจะออกไปข้างนอก คว้ากระเป๋ากุญแจเปิดประตูจะออกไปแต่ชะงักที่เห็นโบตั๋นยืนอยู่หน้าห้อง
“ม๊า...มายืนทำอะไรตรงนี้” รามตกใจ
“แกจะไปไหน”
รามพลุ่งพล่าน
“ผมจะออกไปข้างนอก”
“กินยาซะจะได้สงบ ยาอยู่ไหน”
“ไม่มี...”
รามจะออกไปแต่โบตั๋นดึงไว้
“อย่าไปนะ”
“เดี๋ยวผมกลับมา”
รามแกะมือโบตั๋นออกแล้วรีบเดินออกไป
“ราม...เจ้าราม...กลับมาก่อนเช้านะ ได้ยินไหม”
รามออกไปแล้ว โบตั๋นมองตามไม่ได้ห่วง แต่ขัดใจที่อาการกำเริบแล้วคุมไม่ได้

สิริโสภาเดินออกมาจากร้านกาแฟที่ไปนั่งเล่นอินเตอร์เน็ตแล้วชะงัก เมื่อได้ยินเสียงหญิงเปรี้ยวดังอยู่ใกล้ๆ
“เมื่อคืนไม่น่าเลย เห็นหล่อ ๆ โดนมันหลอกไปรุมสามเลย”
“อาทิตย์ที่แล้วแกโดนรุมห้า คราวนี้อีกสาม ใส่ถุงไหมเนี่ย”
“ช่วงไหนล่ะ รุมขนาดนั้น”
สิริโสภามองสาวหญิงเปรี้ยวทั้งสองคนอย่างอนาถใจ เธอเดินเลี่ยงไปจะกลับบ้าน รามที่เดินออกมาอย่างงุ่นง่าน เดินสวนกับสิริโสภา เธอชะงักที่เห็นราม รู้สึกว่าคุ้นๆ แต่ไม่ได้สนใจมากนัก เธอเดินออกไป รามเห็นหญิงเปรี้ยวก็เดินเข้าไปหาแล้วยิ้ม หญิงเปรี้ยวสองคนมองรามเห็นว่าหล่อยิ้มสวยใส่
“มองอะไรคะ”
“ผมคุ้น ๆ แต่จำไม่ได้ว่าเคยเจอคุณที่ไหน”
หญิงเปรี้ยวรู้ อ่อยเต็มที่
“งั้นอยากนึกออกไหมล่ะคะ”
รามยิ้มเข้าทาง

รสิกาแต่งตัวเรียบร้อยออกมาจากห้องน้ำ พระลบตบที่นั่งข้างตัวด้านซ้ายบนเตียงราพณ์นั่งอยู่ข้างขวา
“พี่คุณหญิงครับ นั่งข้างพระลบนะครับ”
รสิกาจำต้องเดินขึ้นมานั่งบนเตียงข้างพระลบ
“พี่คุณหญิงกับปะป๊าอ่านนิทานให้พระลบฟังนะครับ”
รสิกาสบตากับราพณ์ เขายิ้มๆ
“อ่านนิทานครับ พี่คุณหญิง”
รสิกาอยากจะค้อนแต่เห็นพระลบมองตาแป๋ว เธอจำต้องยิ้ม
“จะให้พี่อ่านเรื่องอะไรคะ”
พระลบยื่นหนังสือให้ รสิกามองๆ แล้วเริ่มอ่าน พระลบพิงอยู่กับราพณ์...เวลาผ่านไปพระลบฟังรสิกาชี้ ๆที่หนังสือแล้วก็ค่อยๆ ขยับจากราพณ์มาพิงกับตัวรสิกา เธอมองเอ็นดูยอมให้พิงกับตัวเอง ราพณ์มองรสิกากับพระลบรู้สึกเป็นภาพอบอุ่น
รสิกาเล่าตามหนังสือนิทาน พอหันมาอีกทีเห็นพระลบหลับพิงกับตัวเองไปแล้ว เธอหันมองฝั่งราพณ์ก็เห็นว่าหลับเหมือนกัน...รสิกาจับตัวพระลบให้นอนบนหมอนดีๆ แล้วขยับผ้าห่มขึ้นมาห่มให้พระลบอย่างอ่อนโยน เธอขยับตัวลงนอนมองพระลบกับราพณ์รู้สึกวางใจหลับตาลงช้าๆ ราพณ์ลืมตาเห็นพระลบกับรสิกาหลับ ดูเธอผ่อนคลายเขายิ้มพอใจ

เช้าวันใหม่...โบตั๋นขยับเข้ามาเคาะประตูห้องราม
“ราม...ราม”
ไม่มีเสียงตอบ โบตั๋นตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปแล้วอึ้งที่เห็นว่าบนเตียงรามมีหญิงสองคนนอนก่ายทับอยู่บนเตียง รามในสภาพน้อยชิ้น โบตั๋นโกรธจัด พุ่งเข้าไปกระชากหญิงทั้งสองคนอย่างรุนแรง
“ตื่นเดี๋ยวนี้อีพวกบ้า ตื่น ตื่น”
รามกับหญิงสาวทั้งสองคนตกใจตื่นขึ้นมา สองสาวตกใจที่เห็นโบตั๋นคลั่ง ๆ กรีดเสียงใส่
“ออกไป๊”
โบตั๋นไม่พูดเปล่า หยิบข้าวของในห้องเขวี้ยงใส่หญิงสาวสองคนจนคว้าเสื้อผ้าวิ่งเผ่นออกไปแทบไม่ทันแต่โบตั๋นก็ยังไม่หยุดอาละวาด รามต้องรีบใส่เสื้อผ้าเข้ามาจับโบตั๋นไว้
“พอแล้วม๊า ม๊า พวกนั้นไปแล้ว”
“เมื่อไหร่แกจะเลิกเห็นบ้านเป็นโรงแรมสักที วันไหนเจอพวกโจร ปล้นจี้เราจะทำยังไง หะ”
“รู้แล้วน่าม๊า คราวหน้าไม่มีแล้ว เลิกบ่นเถอะม๊า” รามจะล้มตัวลงนอน
โบตั๋นดึงไว้ไม่ให้ลงไปนอน
“ลุกได้แล้ว ไปอาบน้ำ ไอ้นทีมันโทรมาตามแล้วไป”

“ผมไม่อยากไปหาหมอ ทำไมต้องทำเหมือนผมป่วยด้วย ผมไม่ได้ป่วย” รามอารมณ์ขึ้น

 
ลินดากลัวเสียเรื่อง พูดเบาลงอ่อนโยนขึ้น
 
“รามทำเพื่อม๊าได้ไหมลูก ไปหาหมอเถอะนะลูกนะ”
รามมองลินดาที่สายตาอ้อนวอน เขาจำต้องลุกขึ้นมาคว้าผ้าขนหนู
“ระวังอย่าให้ป๊ารู้นะว่าแกไม่ได้กินยา”
“ครับ ๆ ”
รามเข้าห้องน้ำไป โบตั๋นมองอย่างหมายมาด

ในสวน บรรยากาศยามเช้า...เจ้าสัวเรียวเดินออกกำลัง เหวี่ยงแขนเบาๆ มีรัตนาวลีเดินมาเป็นเพื่อน
“อากาศดีนะคะ”
เจ้าสัวเรียวเดินเงียบๆ ไม่ตอบอยู่ในภวังค์ รัตนาวลีหันมาเห็นเจ้าสัวเรียวสีหน้าเครียด ๆ
“เจ้าสัวคะ” รัตนาวลีแตะที่แขนเบาๆ
เจ้าสัวเรียวรู้สึกตัว
“คุณว่ายังไงนะ”
“คิดเรื่องคุณโบตั๋นกับรามใช่ไหมคะ”
เจ้าสัวเรียวนิ่งไปเป็นการยอมรับ รัตนาวลีไม่เซ้าซี้แต่จับมือให้กำลังใจ
“ฉันเชื่อว่าคุณจะแก้ปัญหานี้ได้แน่นอน” รัตนาวลียิ้มให้กำลังใจ
เจ้าสัวเรียวจับมือรัตนาวลี
“แค่คุณอยู่ข้างผม ปัญหาอะไรผมก็ไม่กลัว”
รัตนาวลียิ้มบีบมือเขาแทนคำสัญญา เสียงมือถือเจ้าสัวเรียวดังขึ้น เขากดรับ
“ว่าไง...อืม เดี๋ยวฉันเข้าไป”
รัตนาวลีมองว่าเจ้าสัวเรียวคุยกับใคร เขาหันมาเห็นเธอกำลังมองอยู่
“ผมมีงานต้องคุยนิดหน่อย หม่อมจะทานอาหารเช้าก่อนก็ได้นะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันรอทานพร้อมคุณดีกว่าค่ะ”
เจ้าสัวเรียวยิ้ม
“เดี๋ยวผมคุยงานเสร็จเจอกันที่โต๊ะอาหารนะครับ”
รัตนาวลียิ้ม เจ้าสัวเรียวเดินเข้าบ้านไป รัตนาวลีคิดจะเดินออกกำลังอีกหน่อยแต่ชะงักที่เห็นนทีกำลังเดินนำรามกับผู้ชายคนหนึ่ง เข้าไปด้านใน รัตนาวลีมองผู้ชายแปลกหน้าอย่างสงสัยว่าเป็นใคร

เจ้าสัวเรียวรออยู่ในห้อง นทีพารามกับจิตแพทย์เข้ามา
“สวัสดีครับคุณหมอ ขอโทษนะครับที่ต้องรบกวนให้คุณหมอมาตรวจถึงที่นี่”
“ยินดีครับ”
“ทานของว่างก่อนนะครับ ผมเตรียมไว้ให้แล้ว”
นทีเอาปาท่องโก๋กับกาใส่กาแฟพร้อมกับถ้วยกาแฟเข้ามายังไม่ทันวาง รามก็เดินมาหยิบแบบกอบใส่มือสี่ห้าชิ้นแล้วก็กิน ๆ เจ้าสัวเรียวส่งสายตาปราม รามเถียง
“ผมหิวนี่ป๊า ตื่นเช้าขนาดนี้ ที่จริงไม่เห็นต้องเชิญคุณหมอมา ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ปกติทุกอย่าง” รามกินไปไม่สนใจ
จิตแพทย์ยิ้มนั่งลงที่เก้าอี้
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี คุณรามเป็นยังไงบ้างครับ”
“ผมสบายดี สบายมากด้วยซ้ำ” รามลุกเดินมานั่งบนโต๊ะ
เจ้าสัวเรียวปราม
“ราม”
“ผมไม่ชอบนั่งเก้าอี้ ให้หมอจ้องหน้าผมมันอึดอัด” รามตั้งหน้าตั้งตากินต่อไป
จิตแพทย์มองท่าทีของรามที่นั่งกินไม่สนใจแล้วก็ฮัมเพลงอย่างไม่สนใจหมอเลย จิตแพทย์ถามจากเจ้าสัวเรียวแทน
“ตั้งแต่กลับจากอเมริกาเป็นยังไงบ้างครับ”
“เมื่อก่อนเขาไม่เคยเถียงพี่ชายเขา แต่วันก่อนเขาปะทะกันค่อนข้างรุนแรง”
“ไม่เห็นจะแปลกเลยป๊า เฮียมาด่าม๊าผม ผมต้องปกป้อง จริงไหมหมอ”
จิตแพทย์ยิ้มรับ
“ครับ”
“เห็นไหมครับป๊า หมอยังเข้าข้างผมเลย”
รามหยิบมากินอีกเริ่มเดินไปฮัมเพลงไป เรียกความมั่นใจให้ตัวเอง
“รู้สึกเหมือนมีคนไม่หวังดีกับเราบ้างหรือเปล่า” จิตแพทย์ถามถึงความระแวง
“มีครับ พวกที่กีดกันผมจากป๊า รังแกม๊า พวกนี้ผมจะไม่ยอมเด็ดขาด ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”
“คุณรามได้ทานยาบ้างไหมครับ”
รามโกหกกลบเกลื่อน
“ทานสิครับหมอ ก็หมอบอกผมเองว่าผมต้องทานยาตลอดชีวิต ถึงผมจะหายก็มีโอกาสกลับมาเป็นอีกไม่ใช่เหรอครับ”
“ครับ”
รามมองหน้าจิตแพทย์แบบไม่หลบสายตา
“หมออยากรู้อะไรอีกไหม ผมจะตอบให้เคลียร์ โอเค”
“หมอวินิจฉัยเรียบร้อยแล้วครับ”
จิตแพทย์มองเจ้าสัวเรียว เป็นเชิงบอกว่าจะคุยเกี่ยวกับอาการของราม
“ถ้าคุณรามหิวเชิญทานอาหารก่อนได้นะครับ”
เจ้าสัวเรียวหันไปสั่ง
“นที...พาคุณรามไปทานอาหารเช้าไป”
รามยิ้มพอใจ
“หมดธุระกับผมแล้วใช่ไหม”
“ครับ” จิตแพทย์ยิ้มตอบ
รามออกไป เจ้าสัวเรียวรู้ว่าไม่ธรรมดาแน่
“อาการเป็นยังไงครับหมอ”
“อย่างที่เจ้าสัวทราบแล้วว่าโรคไบโพล่าร์ เป็นโรคอารมณ์สองขั้ว ตอนนี้คุณรามอยู่ในอาการแมเนีย”
“อารมณ์ดีเกินกว่าปกติ”
จิตแพทย์มองเชิงตอบรับ
“ผมคิดว่าคุณรามไม่ได้ทานยาต่อเนื่อง อาการถึงได้กำเริบ”
“แล้วผมควรจะต้องรับมือกับอาการของรามในตอนนี้ยังไงดี”

จิตแพทย์มองอย่างเตรียมอธิบาย

 
รามนั่งรออยู่หน้าห้องหนังสืออย่างหงุดหงิดที่ต้องรอ
 
“ทำไมป๊าคุยนานนัก ต้องรออีกนานแค่ไหน”
“คงไม่นานหรอกครับ” นทีบอก
รามผุดลุกอย่างหงุดหงิดยังไม่ทันบ่นต่อ รุ้งรายเดินผ่านมาเห็น
“แกมาทำอะไรแต่เช้า”
“บ้านป๊าก็เหมือนบ้านผม ผมจะเข้าออกเมื่อไหร่ก็ได้ หรือเจ้คิดจะห้าม”
“ฉันแค่ถามเพราะนี่มันเช้ามาก ผิดนิสัยแกต่างหาก แล้วแกมาทำไม”
รามมองหน้านทีที่ส่งสายตาว่าอย่าพูดนะครับ
“ก็มาทานข้าวกับป๊า ผมอยากเอาใจป๊าบ้างได้ไหมล่ะครับ”
“ก็เป็นเรื่องของแก อานทีคะ บอกป๊าด้วยนะคะว่ารุ้งมีเรื่องสำคัญ”
ทันใดนั้นเสียงเจ้าสัวเรียวดังขึ้น
“เรื่องสำคัญอะไร”
รุ้งราย ราม นทีหันไปเห็นเจ้าสัวเรียวออกมา
“เรื่องใหญ่ด้วยค่ะป๊า”
“ถ้างั้นก็ไปคุยที่ห้องโน้น...นที...”
นทีรู้งาน
“ได้ครับ”
รามร้อนใจอยากรู้ผลตรวจ
“ป๊าครับ”
“ราม...รุ้ง...ไปกินข้าว...แล้วค่อยคุยกัน”
รามจำต้องเงียบ เจ้าสัวเรียวเดินนำไป รามกับรุ้งรายตามไป นทีมองตาม

เจ้าสัวเรียวเข้ามาที่โต๊ะอาหาร รามกับรุ้งรายตามเข้ามา
“อรุณสวัสดิ์ครับป๊า” ราพณ์เดินมาสมทบ
รุ้งรายหันไปถาม
“พี่สะใภ้ล่ะเฮีย”
“จับพระลบอาบน้ำอยู่ ทำไมเหรอ”
“รุ้งอยากให้เฮีย ป๊า หม่อมวลีเห็นก่อนคุณหญิงน่ะค่ะ”
รามแทรกทันที
“ผมขอเห็นด้วยอีกคนนะเจ้”
รุ้งรายมองรามแล้วมองพ่อ เจ้าสัวเรียวพยักหน้าว่าได้
“แล้วที่อยากให้ดูน่ะ...อะไร”
รุ้งรายหยิบไอแพดส่งให้ ทุกคนมองว่ามีอะไร

ประสิทธิ์นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ข่าวธุรกิจ สุรีย์ส่องเข้ามากดเปิดทีวี ประสิทธิ์มอง
“มีอะไรจะโชว์ใช่ไหม”
สุรีย์ส่องยิ้มเร่งเสียงทีวีให้ดังขึ้น ภาพในทีวีเป็นภาพของสุรีย์ส่องให้สัมภาษณ์ในงาน นักข่าวมารุมสัมภาษณ์
“ในฐานะญาติคุณสุรีย์ส่องทราบเรื่องข่าวการแต่งงานของคุณหญิงรสิกามาก่อน หรือเปล่าคะ”
สุรีย์ส่องแอ็บมาก
“สุไม่ทราบมาก่อนเลยค่ะ เพราะหญิงอ้ายไม่ได้บอกเรื่องนี้กับที่บ้านสุเลย”
“แล้วพอจะทราบสาเหตุการแต่งงานสายฟ้าแลบครั้งนี้ไหมครับ”
“สุไม่ทราบจริง ๆค่ะ แต่ถ้าไม่มีอะไรก็คงไม่ปิดบังหลบ ๆ ซ่อน ๆ หรอกมั้งคะ หญิงอ้ายก็เพิ่งรู้จักกับคุณราพณ์ไม่นาน แต่งกันสายฟ้าแลบแบบนี้สุกับคุณพ่อก็งงค่ะ”
“คงไม่ได้มีน้องใช่ไหมคะ”
สุรีย์ส่องทวนทำงง
“หมายถึงท้องก่อนแต่งใช่ไหมคะ สุไม่แน่ใจนะคะ”
“มันมีข่าวลือว่า การแต่งงานครั้งนี้เป็นการแต่งงานล้างหนี้ จริงหรือเปล่าคะ”
“แต่งเพราะเหตุผลนี้หรือเปล่าสุไม่ทราบค่ะ แต่ถ้าแต่งงานเพื่อล้างหนี้จริงๆ มันก็น่าอายนะคะ คนมีเชื้อมีสายระดับนี้คงไม่ลดตัวลงมาทำอะไรต่ำๆ แบบนั้น วิธีแบบนั้นมันทำลายเกียรติยศของสกุลประกาศเกียรติ สุไม่เห็นด้วยเลย”
“คุณสุพูดเหมือน...”
สุรีย์ส่องถอนใจ
“สุขอไม่ตอบเรื่องนี้นะคะ ขอตัวนะคะ”
สุรีย์ส่องทำเลี่ยงเดินหนีไป

ประสิทธิ์หันมองสุรีย์ส่อง
“แบบนี้มันดียิ่งกว่าสาดโคลนกันตรง ๆ อีกนะ”
“แบบนั้นมันไม่เนียนค่ะพ่อ สู้กำกวมให้คนสงสัย ไปขุดคุ้ย ทีนี้นังอ้ายคงไม่มีหน้าไปออกงานที่ไหนทั้งนั้น”
สุรียฺส่องสะใจ

ในไอแพดเป็นภาพคลิปเดียวกับที่เห็นในข่าวภาพ หยุดเพราะหมดเนื้อคลิป ราพณ์หนักใจ
“ทางโน้นไม่ยอมหยุดเลยนะครับพ่อ”
รัตนาวลีหน้าเครียด
“หวังว่าจะไม่มีคนเชื่อ...ถ้าหญิงอ้ายรู้เป็นเรื่องแน่ค่ะ อ้ายให้ความสำคัญเรื่องชื่อเสียงมาก”
เจ้าสัวเรียวครุ่นคิด
“ผมจะกู้ชื่อเสียงของคุณหญิงคืนมาเอง นที...เรื่องงานเดินแบบผ้าไหมการกุศล ตอบรับคำเชิญเขาไป”
“แต่ท่านบอกว่าจะไม่...”
เจ้าสัวเรียวยิ้ม
“ฉันอยากสั่งสอนเด็กเมื่อวานซืน...”
“ครับ...” นทีเห็นทุกคนมอง “งานคืนนี้คุณสุรีย์ส่องได้เดินแบบชุดฟินาเล่ครับ”
ราพณ์มองเจ้าสัวเรียวอย่างเข้าใจทันที
“เป็นวิธีที่ดีครับ ผมชอบ...”
รัตนาวลี รุ้งราย รามมองว่าเจ้าสัวเรียวกับราพณ์จะทำอะไร

เจ้าสัวเรียวเข้ามาในห้องหนังสือ รามตามเข้ามา
“ตกลงหมอว่ายังไงบ้างครับป๊า”
เจ้าสัวเรียวมองราม นึกถึงคำพูดของจิตแพทย์
‘ตอนนี้คนไข้มั่นใจในตัวเองมาก รู้สึกว่าตัวเองเก่ง สนใจสิ่งต่างๆ มากมายแต่ไม่สามารถอดทนทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้นาน ๆ ความยับยั้งชั่งใจตนเองมีน้อยมากเรียกว่าพอนึกอยากจะทำอะไรต้องทำทันที หากมีใครมาห้ามจะโกรธรุนแรง อาการในระยะนี้หากเป็นมากๆ จะพูดไม่หยุด เสียงดัง เอาแต่ใจตัวเอง โกรธรุนแรงถึงขั้นอาละวาดถ้ามีคนขัดขวาง ญาติควรให้ความใส่ใจในเรื่องความรู้สึกของคนไข้มากขึ้นนะครับ’
เจ้าสัวเรียวยิ้มให้ราม
“ลื้อปกติดี”
รามดีใจว่ารอด
“ถ้างั้นผมก็อยากเริ่มงานไว ๆ จะได้ช่วยแบ่งเบาป๊าได้ ป๊าครับ งานเย็นนี้ผมอยากไปด้วยได้ไหมครับ”
“ได้สิ”
รามยังมีลีลาอยากให้บอกว่าอยากให้ไป
“แต่ถ้าป๊าไม่อยากให้ผมไป”
เจ้าสัวเรียวยิ้ม
“ป๊าอยากให้ลื้อไป...”

รามสนใจกระตือรือร้นมาก

สามี ตอนที่ 5 (ต่อ)

บรรยากาศตรงส่วนที่เตรียมจัดงานเดินแบบ...คนประสานงานเดินนำสุรีย์ส่องเข้ามาบริเวณที่ช่างแต่งหน้ากำลังแต่งหน้านางแบบ
 
“คุณสุรีย์ส่อง เชิญแต่งหน้าก่อนนะคะ”
“จ๊ะ เออ...น้องวันนี้มีนักข่าวมาเยอะแค่ไหน”
“ทุกหัวทุกสำนักพิมพ์เลยค่ะ เราต้องการประชาสัมพันธ์งานนี้ให้ประชาชนได้เห็นความสวยงามของผ้าไหม”
สุรีย์ส่องพยักหน้าอย่างรำคาญเพราะไม่ได้อยากรู้เรื่องนี้ ประสานงานมองออกว่าสุรีย์ส่องรำคาญก็เดินเลี่ยงออกไป สุรีย์ส่องหันมาหาช่างแต่งหน้า
“ช่างจ๊ะ วันนี้แต่งแน่น ๆ นะ หลังเดินชุดฟินาเล่วันนี้ฉันต้องคุยกับนักข่าวเยอะ”
“ได้ค่ะ...” ช่างแต่งหน้าคันปากอยากรู้มาก “คุณสุรีย์ส่องคะข่าวลือเรื่องคุณหญิงรสิกาจริงเหรอเปล่าคะ พอดีเพื่อนๆ ซินดี้รู้ว่าจะได้มาแต่งหน้าคุณสุรีย์ส่อง ก็ฝากมาถามกันใหญ่เลยค่ะ”
สุรีย์ส่องทำแบบลำบากใจ
“พูดไปก็เหมือนสาวไส้ญาติตัวเอง แต่ฉันก็อึดอัดที่ต้องร่วมสกุลกับคนคิดน้อยแบบนี้”
“ทำไมเหรอคะ” ช่างแต่งหน้าอยากรู้อยากเห็นมาก
สุรีย์ส่องยิ้มมันส์ปากคิดจะเหยียบรสิกาไม่ให้ได้ผุดได้เกิดเลยทีเดียว

ค่ำนั้น หน้าตึก คฤหาสน์เจ้าสัวเรียว...ราพณ์ เจ้าสัวเรียว รัตนาวลีแต่งตัวสำหรับไปงานเรียบร้อยเดินออกมาที่รถ พบรามที่เปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับไปงานแล้วยืนรออยู่ที่รถ รามเห็นราพณ์ก็หน้าตึงกวนประสาทใส่ ราพณ์นิ่งๆ ไม่แสดงอาการ
“คุณหญิงล่ะ” เจ้าสัวเรียวถามราพณ์
“กำลังลงมาครับ”
รัตนาวลีหันมาถามเจ้าสัวเรียว
“เจ้าสัวคะเราไปช้าตั้งสองชั่วโมง เข้าไปตอนนี้ไม่น่าเกลียดเหรอคะ”
เจ้าสัวเรียวกับราพณ์มองหน้ากันยิ้ม ๆ
“เราต้องไปตอนนี้ล่ะครับถูกต้องที่สุด”
รัตนาวลียังไม่ทันจะถามต่อเสียงรุ้งรายดังขึ้น
“พร้อมแล้วค่ะ”
รุ้งรายออกมาว่าพร้อมแล้วค่ะ ทุกคนหันไปตามเสียงเห็นรุ้งรายก้าวออกมา ทุกคนยิ้มที่เห็นรสิกา รามมองอย่างตะลึงในความสวยของรสิกา

หน้าเวทีที่จัดงาน ประสิทธิ์กับปฐวีนั่งดูอยู่ในงาน แสงแฟลชถ่ายรูปสุรีย์ส่องพรึ่บพรั่บ สุรีย์ส่องยิ้มเชิดสวยใส่ ปฐวีตบมืออย่างเบื่อ ๆ มองไปรอบๆ แล้วอยากจะลุก
“แกจะไปไหน”
“ผมปรบมือจนเมื่อยแล้ว อยากชิ่ง”
“แกต้องอยู่ก่อน ฉันบริจาคเพื่อให้ยัยสุได้เดินฟินาเล่ ให้นักข่าวทำข่าวก่อน แกต้องอยู่ให้ข่าวเรื่องทาวน์โฮมที่เราจะสร้าง จ่ายแล้วต้องให้คุ้ม นั่งลง”
ปฐวีจำต้องทนนั่งต่ออย่างเบื่อ ๆ

สุรีย์ส่องเปลี่ยนเสื้อเสร็จแล้วในชุดฟินาเล่ สวยมาก คนคุมคิวเอ่ยชม
“คุณสุสวมชุดนี้สวยมากค่ะ ปิดท้ายคืนนี้ได้งามที่สุด”
“ขอบใจจ๊ะ”
“เชิญค่ะ”
สุรีย์ส่องหน้าเชิดเดินออกไปอย่างนางพญา

บนเวที...สุรีย์ส่องเดินออกมาในชุดสวยโพสท์หน้าเวที ดีไซเนอร์เดินออกมา ท่ามกลางเสียงปรบมือ
“ขอบคุณแขกทุกท่านที่มาร่วมงานไหมไทยแชร์ลิตี้ในคืนนี้นะคะ และในค่ำคืนนี้ดิฉันมีชุดพิเศษสำหรับบุคคลพิเศษที่บริจาคเงินจำนวนสูงสุดในคืนนี้ถึงห้าแสนบาท”
ทุกคนฮือฮาพากันอยากรู้ว่าหมายถึงใคร ไฟในห้องถูกดีมลง เสียงเพลงดังขึ้นพร้อมกับสปอตไลท์ถูกฉายไปที่ประตูทางเข้างาน
ประตูถูกเปิดออกพร้อมกับราพณ์ควงรสิกาในชุดสุดเก๋ และสวมเครื่องเพชรที่ถูกจัดใส่มาได้เหมาะกับชุดขับให้รสิกาโดดเด่นที่สุดในงาน เจ้าสัวเรียวกับรัตนาวลี รามตามเข้ามา ดีไซเนอร์ประกาศต่อ
“และชุดสุดยอดผ้าไหมไทยในค่ำคืนนี้เป็นของลูกสะใภ้คนสวยของเจ้าสัวเรียว ลิ้มวัฒนาถาวรกุล คุณหญิงรสิกา ลิ้มวัฒนาถาวรกุลค่ะ”

นักข่าวพากันเข้าไปรุมถ่ายภาพรสิกาด้วยความสนใจ สุรีย์ส่อง ประสิทธิ์ ปฐวีต่างอึ้งที่เห็นรสิกาที่สวยสง่าเข้ามาอย่างเป็นที่สนใจ

นักข่าวต่างเข้าไปรุมถ่ายรูปราพณ์กับรสิกา ที่กลายเป็นจุดเด่นของงานขึ้นมา
“ขอเชิญคุณหญิงรสิกา คุณราพณ์บนเวทีค่ะ” ดีไซเนอร์ประกาศ
รสิกาชะงัก ไม่แน่ใจว่าจะขึ้นไปเพื่ออะไร
“คุณคิดจะทำอะไร”
“กู้ชื่อให้วังประกาศเกียรติไงครับ”
รสิกามองอย่างไม่เข้าใจ ราพณ์ยิ้มแล้ววางมือบนมือของรสิกาที่ควงแขนอยู่เบาๆ
“คุณแค่ตามผมก็พอ...”
รสิกาไม่มั่นใจนัก แต่เห็นสายตาของสุรีย์ส่องบนเวทีที่มองมาอย่างเกลียดชัง เห็นทุกคนที่กำลังมองมา รสิกากระชับมือที่จับแขนราพณ์ยิ้มเป็นการบอกว่าพร้อม ราพณ์พารสิกาขึ้นเวที ดีไซเนอร์ขยับเดินจากสุรีย์ส่องขึ้นไปต้อนรับราพณ์และรสิกา สุรีย์ส่องถูกทิ้งให้ยืนอยู่ข้างหลัง
“ชุดพิเศษนี้ดิฉันตั้งใจจะเปิดประมูลโดยตั้งมูลค่าไว้ห้าหมื่นบาท แต่คุณราพณ์ยืนยันว่าจะขอซื้อในราคาห้าแสนบาททราบว่าต้องการซื้อเป็นของขวัญแต่งงานให้กับคุณหญิง”
“คุณหญิงชื่นชอบในความสวยงามของผ้าไหมไทยมาก และยิ่งรู้ว่ารายได้ทั้งหมดจากงานในครั้งนี้มอบให้กับองค์กรการกุศล ผมในฐานะสามีก็โล่งใจเพราะถ้าจ่ายเงินห้าแสนเพื่อซื้อเสื้อผ้าอย่างเดียว ภรรยาผมคงจะบิดผมจนเนื้อเขียวแน่”
รสิกาหันมาตาเขียวใส่ราพณ์ คนในงานพากันขำเบาๆ ดีไซเนอร์หันมาหารสิกา
“คุณหญิงพูดความรู้สึกสักนิดนะคะ”
“ชุดนี้สวยมากค่ะ ทำให้ดิฉันรู้สึกว่าผ้าไหมไทยของเรามีความงามไม่แพ้ผ้าประเทศใดในโลก และดิฉันหวังที่จะได้เห็นแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับผ้าไหมไทยมานาน ขอบคุณคุณวรัญญานะคะที่ช่วยเผยแพร่ความงดงามของผ้าไหมไทย”

ทุกคนปรบมือชื่นชมรสิกา ประสิทธิ์โกรธหันมองเจ้าสัวเรียวที่ยกแก้วยิ้มอย่างผู้ชนะ สุรีย์ส่องเหมือนยืนเป็นตัวประกอบมองแค้นมาก
 

 
รามยืนมองนักข่าวที่รุมถ่ายรูปให้ความสนใจกับราพณ์อย่างอิจฉา นักข่าวขยับเข้ามาหาราม
 
“ขอโทษนะคะ”
รามหันมาคิดว่าจะสัมภาษณ์ตัวเอง
“สัมภาษณ์เหรอครับ”
“ค่ะ”
รามยิ้มเตรียมตัว
“รบกวนขยับออกมาได้ไหมคะ พี่จะเก็บภาพคุณราพณ์น่ะค่ะ”
นักข่าวเห็นรามนิ่งก็ขยับเข้าไปเลย ไม่เชิงเบียดแต่ก็กลายเป็นดันรามให้พ้นทางออกไป นักข่าวเข้าไปถ่ายรูปราพณ์ รามมองไม่พอใจที่ตัวเองไม่ได้รับความสนใจเลย รามมองรุ้งรายที่ยืนอยู่อีกทาง เข้าไปหาอย่างหงุดหงิด
“เจ้...เฮียราพณ์นี่ไปงานไหนต้องทำตัวเองให้เด่นเสมอใช่ไหม”
รุ้งรายไม่เข้าใจ
“พูดอะไรของแก”
“เจ้นี่มันงานของคนอื่นเขา มีอย่างที่ไหนต้องฟอโล่ไฟเปิดตัวใหญ่โต สร้างซีนให้ตัวเองเด่น มันตลกนะเจ้ คนอื่นมองคงคิดว่าเราไม่มีมารยาท”
รุ้งรายหัวเสียเลย
“เฮียกำลังทำงาน แกไม่รู้เรื่องก็เงียบไปดีกว่า”
“โชว์เมียเนี่ยเหรองาน ระดับรองประธานคิดวิธีแบบนี้ อย่าบอกใครนะว่าเป็นเฮียของผม ผมอาย ไร้สาระ”
รุ้งรายสวน
“แล้วแกมีสาระนักหรือไง”
อาการป่วยของรามนั้น ทำให้เขาพูดมาก มั่นใจจนสุดขั้ว คิดเร็ว ทำเร็วจนทำไม่สำเร็จสักอย่าง
“มีสิ ผมกำลังจะช่วยงานป๊า เจ้คอยดูถ้าผมได้เข้าทำงาน ผมจะบริหารให้บริษัทป๊ากำไรมหาศาล ผมมีโปรเจ็คท์หลายอันเตรียมไว้จะเสนอป๊าด้วยนะ รับรองว่าหุ้นบริษัทจะต้องขึ้นพรวดๆ”
“เพ้อน่าราม” รุ้งรายมองเยาะๆ
“อย่ามองผมด้วยสายตาดูถูกแบบนี้นะ”
รุ้งรายหงุดหงิด
“แกจะเข้ามายุ่งในบริษัท ต้องการอะไร”
“ก็อยากช่วยงานครอบครัว ก็แค่นั้น”
“คุณลินดาสั่งแกมาใช่ไหม”
“ม๊าผมไม่เกี่ยว”
รุ้งรายบอกอย่างจริงจัง
“แกอยากทำงานจริงก็ดี แต่อย่าหวังว่าคุณลินดาจะใช้วิธีสกปรกทำร้ายคนอื่นๆ เหมือนที่เคยทำกับม๊าของเจ้ได้อีก”
ในอดีต โบตั๋นเป็นเด็กในบ้านของเจ้าสัวเรียว และใช้วิธีเรียกร้องความสงสารต่างๆ นา ๆ จนจับเจ้าสัวเรียวได้ ลินดาเป็นเมียอีกคนลินทดา ทำร้ายจิตใจ สร้างเรื่องสร้างความปั่นป่วนสารพัด จนแม่ของเธอตรอมใจตายหลังจากที่คลอดระริน
รามโกรธ ที่รุ้งรายพูดถึงลินดาในทางที่ไม่ดี
“ที่เจ้กำลังด่าน่ะม๊าผมนะ”
“เจ้เตือนแกแล้วนะราม”
รุ้งรายเดินไปแบบไม่แคร์ รามกำหมัดแน่นมองแบบเจ็บแค้นแทนโบตั๋น

รสิกากับราพณ์ลงมาจากเวที เจ้าสัวเรียวกับรัตนาวลีเดินเข้าไปเคียงข้าง นักข่าวขยับเข้ามาถ่ายรูป
“ขอถ่ายรูปครอบครัวพร้อมหน้านะครับ”
รามที่ยืนอยู่วงนอกได้ยินก็เดินเข้าไปที่กลุ่มเลย
“ป๊าครับ...”
เจ้าสัวเรียวรู้ว่ารามต้องการมีส่วนร่วม
“ผมขอแนะนำ ลูกชายคนที่สี่ของผม ราม ลิ้มวัฒนาถาวรกุล เพิ่งเรียนจบกลับมาจากอเมริกาครับ”
รามยิ้มๆ นักข่าวถ่ายรูป รามยืดขึ้นมานิด ๆ อย่างพอใจ นักข่าวคนหนึ่งถามขึ้น
“แล้วเรื่องที่เครือ LKจะจับธุรกิจด้านโรงแรมจริงหรือเปล่าคะ”
เจ้าสัวเรียวส่งให้ราพณ์
“เรื่องนี้คงต้องคุยกับรองประธานของ LK นะครับ ผมเป็นแค่ที่ปรึกษา”
นักข่าวพากันเบียดจะบันทึกเสียง ถ่ายรูปราพณ์จนเบียดให้รามหลุดวงโคจรออกมาอีก เจ้าสัวเรียวก็มัวแต่ช่วยราพณ์ในการสัมภาษณ์ รามไม่พอใจ
“ป๊า...”
“เดี๋ยวคุยกันนะราม”
นักข่าวส่งเสียงถามเซ็งแซ่ ทิ้งรามดูไม่มีความหมาย เขารู้สึกอิจฉามองว่าเจ้าสัวเรียวลำเอียงจึงแยกออกไปทางหนึ่ง นทีเห็นรามเดินออกไปก็รีบตามไป ด้านรสิกาที่ยืนอยู่กับรัตนาวลี ปฐวีอาศัยช่วงชุลมุนจับมือรสิกา
“ผมขอคุยกับอ้ายสักครู่นะครับ หม่อมอา”
รัตนาวลียังไม่ทันตอบ ปฐวีก็ดึงรสิกาออกไปรุ้งรายตามไป ประสิทธิ์มองตาม

รามเดินออกมาอย่างหัวเสีย เจอที่กั้นรถแบบราวกั้นเลื่อนได้สำหรับพวกวีไอพี รามถีบปัง จนราวกั้นล้มตึง รามยังกระทืบราวกั้น ตึง ๆ รปภ. 2 คนวิ่งเข้ามา
“คุณครับ นี่เป็นทรัพย์สินของทางโรงแรม”
“กูไม่สน” รามกระทืบไม่ยั้งตึง ๆ
รปภ.เห็นท่าไม่ดี
“หยุดเถอะครับ”
รปภ.ทั้งสองมองหน้ากันแล้วตัดสินใจเข้ารวบตัว รามอาละวาดเต็มที่
“ปล่อยกู ปล่อยสิวะ”
รปภ.ทั้งสองคนแทบจะหยุดรามไว้ไม่ไหว นทีที่ตามออกมาตกใจรีบเข้ามา
“คุณราม หยุดเถอะครับ”
“กูไม่หยุด” รามอาละวาด
นทีตะโกน
“เจ้าสัวรู้จะเป็นเรื่องใหญ่นะครับ”
รามชะงัก ยืนหอบหายใจ
“พอเถอะครับ...ถ้าคุณรามอยากกลับ ผมจะไปส่งนะครับ”
รามตวาดยาม
“ปล่อยกู”
รปภ.มองนที
“ปล่อยเถอะ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
รปภ.ยอมปล่อย รามพยายามหายใจแต่ตายังขวางไม่พอใจ
“ไปเถอะ ไม่มีอะไรแล้ว”
รปภ.ยังลังเลแต่เห็นว่านทีเอาอยู่ก็จัดการช่วยกันยกราวกันขึ้นแล้วก็ออกไป
“ผมจะไปส่งนะครับ”
“แล้วป๊าล่ะ”
“เจ้าสัวต้องอยู่ร่วมงานอีกสักพักน่ะครับ”
รามโมโหจะเดินไป
“คุณรามจะให้ผมไปส่งไหมครับ”
“ไม่ต้อง”

รามเดินออกไป นทีมองตามอย่างเห็นใจในอาการของเขา

 
ปฐวีจะซักไซ้ แต่รสิกาพูดขึ้นก่อน
 
“พี่วีอย่าพูดเรื่องเดิมนะคะ ว่าทำไมอ้ายถึงแต่งงาน...ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว”
“อ้ายมีความสุขไหมที่อยู่บ้านเจ้าสัว”
รสิกาอ้ำอึ้ง
“อ้ายมีความสุขดีค่ะ...”
“รู้ไหมว่าตอนนี้สีหน้าอ้ายตรงข้ามกับคำพูดของอ้ายทุกอย่าง”
รสิกาถอนใจหมดทาง
“ค่ะ...ก็ตามนั้น”
ปฐวีพอใจที่ยอมรับ
“งั้นข้อสอง อ้ายต้องใช้เงินเท่าไหร่ถึงจะมีอิสระ”
รสิกาอึ้ง
“พี่วี...”
ปฐวีเสียงเข้มขึ้นมา
“ตอบพี่ตามตรงนะ อ้ายต้องการเท่าไหร่”
รสิกาอึ้ง ทันใดนั้นเสียงรุ้งรายดังขึ้น
“มากจนคุณไม่มีปัญญาเลยล่ะ”
รุ้งรายก้าวเข้ามาประจันหน้ากับปฐวี
“ตัวคุณเองก็ยังเอาตัวไม่รอด ทุกวันนี้ก็ยังต้องอยู่พึ่งพาพ่อคุณอยู่ไม่ใช่เหรอคะ ไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง อย่าคิดช่วยใครเลยค่ะ มันจะกลายเป็นเตี้ยอุ้มค่อมซะเปล่าๆ”
ปฐวีอึ้งไปนิดแล้วยิ้ม
“มีมารยาทด้วยนะครับ ผมกับอ้ายเรากำลังคุยเรื่องส่วนตัว”
รุ้งรายอึ้ง โกรธ หันไปหารสิกา
“คุณหญิงอยากคุยกับคุณปฐวีต่อไหมคะ รุ้งจะได้ไป”
รสิกาอึดอัดอยากแยกไป
“อ้ายขอตัวก่อนนะคะ”
รสิกาจะไป ปฐวีจับมือรสิกาจะไม่ให้ไป
“อ้าย”
“พี่วี อ้ายขอโทษนะคะ ไม่อยากคุยค่ะ”
ปฐวีอึ้งรสิกาดึงมือหลุดจากปฐวีได้ก็รีบไปทันที รุ้งรายยิ้มเยาะ
“คุณหญิงเขาไม่อยากคุยด้วย ตื้อไปก็เท่านั้น”
“อืม...ผมไม่ได้ขอคำแนะนำคุณนะครับ เพราะคุณไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้”
รุ้งรายไม่ยอมแพ้
“คุณหญิงเป็นพี่สะใภ้ของฉัน ถ้าคุณคิดจะแย่งคุณหญิงไปล่ะก็ บอกได้เลยว่าไม่ง่ายแน่”
ปฐวีส่ายหน้าใส่เดินไปอย่างไม่ใส่ใจ รุ้งรายมองตามโกรธๆ ประสิทธิ์มองเหตุการณ์อย่างเก็บข้อมูลพลางมองตามรสิกาไป ประสิทธิ์คิด ๆ คำนวณวางแผนการ

ประสิทธิ์กลับเข้ามาในงาน สุรีย์ส่องรีบพุ่งมาหา
“พ่อคะทำไมนังอ้ายมันถึงแย่งซีนสุไปได้ ไหนพ่อบอกว่าสุจะเด่นที่สุดคืนนี้พ่อบริจาคน้อยใช่ไหม ถึงสู้พวกมันไม่ได้”
ประสิทธิ์หงุดหงิดรำคาญ
“หุบปาก”
สุรีย์ส่องสะดุ้ง
“พ่อจ่ายเงินกับงานนี้ไปเยอะหวังจะพีอาร์โครงการใหม่ พวกมันทำลายแผนของเราหมด”
“พ่อดูสิ นักข่าวไปรุมแต่พวกมัน ไม่มีใครเห็นหัวสุเลย”
รสิกาเข้ามาเห็นว่ารัตนาวลีที่ยืนปลีกออกมาจากกลุ่มที่สัมภาษณ์เรื่องธุรกิจ เธอเข้าไปหาแม่ ประสิทธิ์มองไปทางเจ้าสัวเรียวกับราพณ์ที่กำลังให้สัมภาษณ์ ประสิทธิ์มองเลยไปเห็นรัตนาวลีกับรสิกาเขาเดินเข้าไปหาทันที สุรีย์ส่องตาม
“หม่อมวลี...ยินดีด้วยนะ”
รัตนาวลีมองแบบรู้แล้วว่าต้องมีอะไรแน่ รุ้งรายสะกิดเจ้าสัวเรียวให้ดูทางประสิทธิ์ที่เข้าไปหารสิกากับรัตนาวลี...สุรีย์ส่องตั้งท่ากัดเต็มที่
“สุยินดีด้วยนะคะที่หม่อมอาประสบความสำเร็จ วัยขนาดนี้ยังขายได้ราคาจนพวกไซน์ไลน์ยังอาย”
“หยุดระรานหม่อมแม่นะสุรีย์ส่อง” รสิกาโกรธ
“อ้าย...ถ้ารู้ว่าเขาขึ้นจากปลัก เราไม่ควรแลกนะลูก เราจะแปดเปื้อนเปล่าๆ” รัตนาวลีแดกดัน
“หม่อมอา” สุรีย์ส่องฉุนกึก
“เก่งกล้าขึ้นมานะหม่อมวลี” ประสิทธิ์จ้องหน้า
รัตนาวลีจ้องตาไม่เกรงกลัว
“ฉันไม่จำเป็นต้องกลัวนี่คะ เพราะฉันไม่ได้ทำผิดคิดร้ายกับใคร พวกคนชั่วต่างหากที่ต้องกลัวเกรงต่อบาปบ้าง”
ประสิทธิ์มองรัตนาวลีที่พูดเหมือนรู้อะไร
“หม่อมหมายความว่ายังไง ใครที่ต้องกลัวเกรง”
รัตนาวลียังไม่ทันตอบ เจ้าสัวเรียวกับราพณ์ รุ้งรายเข้ามา
“สวัสดีคุณประสิทธิ์” เจ้าสัวเรียวเอ่ยขึ้น
“ผมไม่ทราบว่าเจ้าสัวจะมางานนี้ด้วย”
พวกนักข่าวต่างเข้ามาล้อมถ่ายรูป จะสัมภาษณ์
“ผมอยากจะพาลูกสะใภ้มาเปิดตัวน่ะครับ ข่าวลือมันเยอะน่ะครับ”
ราพณ์เสริม
“ผมอยากให้ถามและฟังจากปากผมมากว่าคนนอกที่ไม่ได้เกี่ยวข้องแต่ชอบสร้างข่าว ที่ไม่จริง ข่าวลือมักถูกสร้างโดยคนที่เกลียด ส่งต่อโดยคนไม่คิด ถูกเชื่อโดยคนหูเบา”
รุ้งรายช่วยต่อ
“ตรงจุดนี้ รุ้งว่าไม่ใช่เกลียดธรรมดาแต่อิจฉาที่ได้ดีไม่เท่าคนอื่นเขามากกว่า จริงไหมคะคุณสุรีย์ส่อง”
สุรีย์ส่องโกรธ รู้ว่ากำลังโดนฉีกหน้า
“ก็ถ้ามันไม่ใช่เรื่องจริง ทั้งหัวทั้งหางคงไม่ร้อนรนแห่กันมาออกงานแก้ข่าวหรอกใช่ไหมคะคุณพ่อ”
ประสิทธิ์เสริม
“คิดง่าย ๆ ถ้าบริสุทธิ์ใจ ก็คงจะทำทุกอย่างให้มันเปิดเผย แต่ถ้าตั้งใจปิดบัง จะให้คนคิดว่าไม่ได้มีเรื่องผิดที่ต้องปิดบังก็คงไม่ใช่ จริงไหมครับ”
สุรีย์ส่องเบ้หน้า
“ถ้าเนื้อในมันเน่าจะปิดยังไงกลิ่นก็ต้องโชยออกมาอยู่ดี”
ราพณ์สวน
“คิดว่ามันเน่าแล้วขุดคุ้ยทำไมครับ หรือว่าชอบเสพของเน่า”
สุรีย์ส่องโกรธ
“งั้นคุณก็ยอมรับสินะว่าข้างในมันเน่าจริงๆ”
เรื่องทำท่าจะไปกันใหญ่ นักข่าวถ่ายรูปรัวกันอย่างเมามัน เจ้าสัวเรียวแทรกขึ้น
“อย่าเสียเวลาเลยราพณ์ คนไทยเขาว่าสำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล คนพวกนี้คงไม่รู้ตัวว่ากำลังตีแผ่ตัวเองด้วยคำพูดให้คนอื่นรู้ว่าพื้นฐานครอบครัวเป็นแบบไหน พ่อแม่เลี้ยงดูมายังไง จริงไหมครับคุณประสิทธิ์”
ทุกคนมองไปทางสองพ่อลูก สุรีย์ส่องหน้าเสียประสิทธิ์โกรธมาก สุรีย์ส่องมองไปทางนักข่าวตัวเองส่งซิกสุดฤทธิ์ให้ถามคำถามที่เตรียมไว้ก่อนแล้ว นักข่าวคนนั้นถามทันที
“มีข่าวว่าคุณประสิทธิ์กำลังจะขึ้นโปรเจ็คท์คอมมูนิตี้มอลล์ใช่ไหมครับ”
นักข่าวยื่นเครื่องบันทึกเสียง ประสิทธิ์ได้จังหวะทันที
“ครับ เป็นคอมมูนิตี้มอลล์กลางใจเมืองที่เน้นเรื่องเอกลักษณ์ของความเป็นไทย โดยเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ผมเชื่อว่าจะสร้างเม็ดเงินมหาศาลในเรื่องของการท่องเที่ยวได้อย่างแน่นอน”
“ข่าวว่าเป็นการร่วมทุนกับต่างชาติจริงไหมครับ”
ประสิทธิ์ยิ้มอย่างมั่นใจ
“จัดการเรื่องที่ดินเรียบร้อยเมื่อไหร่ ผมจะเปิดแถลงข่าวทันทีครับ”
เจ้าสัวเรียวแทรกขึ้น
“ที่ดินในกรุงเทพฯก็น้อยลงทุกที โดยเฉพาะวังเก่าใจกลางเมือง คงยากที่ยอมให้ตกในมือชาวต่างชาติ” เจ้าสัวเรียวมองประสิทธิ์แบบมึงไม่มีวันได้วังไปแน่ ยิ้มเยาะ “ผมหวังนะครับว่าจะได้เห็นการขึ้นโครงการนี้”
ประสิทธิ์มองเจ้าสัวเรียวด้วยความแค้น
“ถึงวันนั้นผมจะเชิญเจ้าสัวมาร่วมงานแน่นอน”
“ยินดีครับ ถ้าโครงการนั้นได้ขึ้นนะครับ” เจ้าสัวเรียวหัวเราะ

ประสิทธิ์แค้นมาก

 
รสิกาเดินมาหยิบเครื่องดื่มอย่างเซ็งๆ ราพณ์เห็นยืนอยู่คนเดียวก็เข้าไปหา
 
“วิธีของผมโอเคไหมครับ คุณหญิง”
รสิกาสวนเลย
“แย่ที่สุด”
“ผมต้องการให้ทุกคนรู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้มันเกิดจากความเต็มใจ”
“แต่ฉันไม่เต็มใจ แล้วคุณก็ไม่มีสิทธิ์ใช้คำว่าสามี เพราะสำหรับฉัน คุณเป็นแค่ เจ้าหนี้คนนึงเท่านั้น”
ราพณ์หน้าตึง พอดี ดีไซเนอร์เข้ามาขัดจังหวะ
“คุณราพณ์คะ เดี๋ยวเราจะมีปาร์ตี้ขอบคุณหลังงานเลิก ดิฉันอยากรบกวนทั้งสองท่านอยู่ร่วมงานได้ไหมคะ”
“ยินดีครับ”
ดีไซเนอร์ยิ้มขอบคุณแล้วเดินไปหาคนอื่นๆ รสิกาไม่พอใจ
“คุณควรจะให้ฉันตัดสินใจหรือเปล่าว่าจะอยู่ต่อหรือจะกลับ”
“แต่ผมคิดว่าเราไม่ควรปฏิเสธ”
รสิกาโกรธ
“สั่งใช่ไหม ได้ ฉันจะฟังในฐานะที่คุณเป็นเจ้าหนี้”
ราพณ์สะเทือนใจที่รสิกาไม่ยอมรับตัวเองเลย รสิกามึนตึงออกไป รุ้งรายเดินเข้ามา
“คุณหญิงเป็นอะไรน่ะเฮีย หน้าตึงเชียว”
“ผู้หญิงนี่เข้าใจยากจริง ๆ”
ราพณ์ดูปวดหัว รุ้งรายมองราพณ์ที่งงๆ
“เพิ่งเคยเห็นท่านรองประธานไปไม่เป็นก็คราวเนี้ย”
ราพณ์มองรุ้งรายที่ขำใส่อย่างมึนตึ้บก็ไปไม่ถูกจริง ๆ

สิริโสภานั่งทำงานพลางมองไปทางหน้าห้องทำงานของรสิกา พนักงานที่อยู่โต๊ะใกล้ๆ กันปิดแฟ้มเก็บข้าวของเตรียมกลับบ้าน ศิริพรเข้ามาหาสิริโสภา
“เลิกงานได้แล้วน้องสิ เริ่มงานวันแรกก็ต้องทำโอทีเลย ขอบคุณมากนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” สิริโสภาตัดสินใจถาม “พี่พรคะห้องทำงานห้องนั้นของใครเหรอคะไม่เห็น มาทำงานเลย”
“ของคุณหญิงรสิกาจ๊ะ อินทีเรียมือหนึ่งของที่นี่ ตอนนี้เขาลาฮันนีมูน น่าอิจฉานะ สามีเขาเป็นนักธุรกิจหล่อมาก เคยมาส่งคุณหญิงครั้งหนึ่ง สาวกรี๊ดกันทั้งออฟฟิศ ถ้าพี่มีสามีแบบนี้จะล็อคคอไม่ให้หลุดมือไปเลย พี่ไปห้องน้ำนะ เดี๋ยวออกไปพร้อมกัน”
ศิริพรเดินออก สิริโสภาฟังอย่างแค้นๆ

คนในงานเริ่มบางตาเหลือแค่เพียงนางแบบ ดีไซเนอร์ รุ้งรายยืนอยู่กับรสิกา ราพณ์เดินมาหา
“เดี๋ยวเฮียไปส่งป๊ากับหม่อมที่รถก่อนนะ รุ้งอยู่เป็นเพื่อนคุณหญิง” ราพณ์บอกรสิกา “เดี๋ยวผมกลับมานะครับ”
รสิกาทำเฉยๆ แบบมาบอกทำไมไม่ได้อยากรู้ ยังทำเฉยชาใส่ ราพณ์มองยิ้มขำ ๆ แล้วเดินไป พนักงานมาเสิร์ฟเครื่องดื่ม ทุกคนหยิบกันคนละแก้ว
“ดิฉันต้องขอบคุณในความร่วมมือของทุกท่าน ที่ทำให้งานวันนี้สำเร็จด้วยดี”
ดีไซเนอร์ยกแก้วเหมือนขอชน คนอื่นๆ พากันยกชนกันอย่างสนุกสนาน รสิกากับรุ้งรายยกพอเป็นพิธี สุรีย์ส่องเห็นเป็นจังหวะก็เดินเข้ามาเนียน ๆ ปฐวีที่ยืนอยู่ห่างๆ มองตามอย่างกังวลว่าสุรีย์ส่องจะหาเรื่องรสิกา
“หญิงอ้าย...ปกติงานไหนๆ ก็ไม่เคยอยู่จนงานเลิกนี่ อ๋อ...ต้องคอยดูแลคุณราพณ์ใช่ไหม แหมบริการเต็มที่ดีนะ”
“ดูเธอจะเข้าใจดีนะ คงช่ำชองกับงานด้านนี้ แต่ที่ฉันรู้อย่างเธอน่ะไม่ขาย เน้นแจกกับแถมไม่ใช่เหรอ”
“ก็ฉันไม่เคยคิดเอาพื้นที่ส่วนตัวมาเร่ขายเหมือนเธอกับแม่ เห็นเชิดนักคิดว่าจะแน่ที่แท้ก็นิยมทางลัด”
รสิกาหน้าตึงมองสุรีย์ส่องอย่างหงุดหงิดแล้วตัดสินใจเดินหนีการปะทะ สุรีย์ส่องไม่ยอมหยุดยังเดินตาม
“ขายทั้งแม่ทั้งลูกนี่ได้เท่าไหร่ล่ะ ฉันอยากรู้ราคาจริงๆ ว่าผู้หญิงมีสกุลต่อท้ายเนี่ยราคามันสูงกว่าพวกไซน์ไลน์แค่ไหน”
รสิกาหันมามองอย่างโกรธมาก กำก้านแก้วไว้แน่น สุรีย์ส่องเห็นรสิกาโกรธก็ยิ่งสนุกปาก
“คงเหนื่อยสินะกว่าจะใช้หนี้หมด แต่ก็อย่างว่านะท่านอาทำอะไรก็เจ๊งก่อหนี้สินไว้ให้เมียกับลูกมาตามชดใช้
มียศมีศักดิ์แต่ก็ทำได้แค่เกาะกระโปรงผู้หญิงกิน เสียชาติเกิด”
รุ้งรายหันกลับมาแต่ยังไม่ทันจะฉะเพราะทันทีที่สุรีย์ส่องพูดจบ รสิกาก็สาดเครื่องดื่มในมือใส่หน้าสุรีย์ส่องทันที
“อ๊าย”
ทุกคนที่เหลืออยู่หันมองตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น สุรีย์ส่องโกรธขึ้นปรี๊ดเลย
“แกสาดฉันทำไม”
“เธอคงไม่รู้ตัวว่าปากเธอเน่าเฟะแค่ไหน ฉันก็เลยสงเคราะห์ล้างให้”
สุรีย์ส่องสติหลุดจะตบ รสิกาจับข้อมือสุรีย์ส่องไว้แน่น สุรีย์ส่องใช้อีกมือที่ว่างจะตบ แต่รุ้งรายเข้ามาคว้ามือสุรีย์ส่องไว้
“อย่ามาแตะพี่สะใภ้ฉัน”
สุรีย์ส่องพยายามดึงให้หลุดด้วยการเหวี่ยงเต็มที่แต่เหวี่ยงไม่หลุด เธอกรีดเสียงด้วยความแค้น
“ปล่อยฉันนะนังรุ้งราย”
ปฐวีรีบเข้ามาล็อคตัวน้องสาวไว้ สุรีย์ส่องทั้งเหวี่ยงทั้งสะบัดจนปฐวีเซไปชนรสิกาที่ใส่ส้นสูงเสียหลักล้มลงขาพลิก
“คุณหญิง” รุ้งรายตกใจ
ราพณ์เข้ามาประคองรสิกา เห็นปฐวีกำลังจับสุรีย์ส่องที่อาละวาด สภาพสุรีย์ส่องย่ำแย่ผมเผ้าหลุดกระจาย ราพณ์ประคองให้รสิกาลุกขึ้น แต่เธอเจ็บขาลุกไม่ไหว
“ไม่ไหวใช่ไหมครับ”
รสิกาพยายามฝืน ราพณ์เห็นท่าไม่ดีจัดการอุ้มรสิกาแล้วพาออกไป รุ้งรายตามไป นักข่าวตามไปถ่ายรูป
“ปล่อยสุ” สุรีย์ส่องสะบัดอย่างแรง “พวกมันรุมสุ ทำไมพี่ไม่ช่วยสุจัดการพวกมัน”
“เลิกบ้าได้แล้ว” ปฐวีตวาด
“สุไม่เลิก”
นักข่าวที่เหลืออยู่คนสองคนเข้ามาถ่ายรูป สุรีย์ส่องตะคอก
“อย่าถ่าย ฉันบอกว่าอย่าถ่าย”
สุรีย์ส่องปัดกล้องสุดฤทธิ์
“เลิกบ้าได้แล้ว กลับ”
ปฐวีลากออกไป สุรีย์ส่องเหวี่ยงแค้นรุ้งรายกับรสิกามาก

รามกลับเข้ามาในบ้านปิดประตูปังอย่างหัวเสีย โบตั๋นลุกพรวดขึ้นมาทันที
“ไปออกงานกับป๊าแกเป็นยังไงบ้าง”
รามเซ็ง ๆ
“ก็แนะนำว่าเป็นลูก ตามหน้าที่น่ะม๊า สุดท้ายป๊าก็ให้ความสำคัญกับเฮียราพณ์มากกว่าอยู่ดี”
“ม๊าบอกรามแล้วว่าป๊าแกน่ะลำเอียง แล้วนังหม่อมมันไปออกงานด้วยหรือเปล่า”
“ไปสิม๊า เขาไปงานนี้เพื่อช่วยกู้ชื่อเสียงคุณหญิงหรือไงนี่ล่ะ ดูป๊าจะรักหม่อมมากถึงทำเพื่อลูกสาวหม่อมขนาดนี้”
โบตั๋นแค้นใจ
“ถ้าแกได้แต่งงานกับคุณหญิงนั่น แกคงชนะไอ้ราพณ์ได้ง่ายๆ ตอนนี้ไอ้ราพณ์มันได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง”
รามกำหมัดแน่นรู้สึกผิดที่ตัดสินใจผิด

แหววเปิดประตูห้องนอนราพณ์เข้ามา ราพณ์อุ้มพารสิกาเข้ามาในห้องนอนแล้วพาไปวางที่เตียง
“โอ้ย...”
“เจ็บมากใช่ไหมครับ” ราพณ์หันไปหาแหวว “เอายานวดให้ผมที”
“ค่ะ”
แหววรีบออกไป ราพณ์นั่งลงที่พื้นจับข้อเท้ารสิกา
“คุณจะทำอะไร”
“อยู่นิ่งๆ สิครับ ผมจะนวดให้”
“ไม่ต้องค่ะ”
แหววเข้ามาตามมาด้วยรัตนาวลี
“อ้ายเป็นยังไงบ้างลูก”
“เท้าพลิกน่ะครับ”
“ยามาแล้วค่ะคุณราพณ์”
รสิกาหันไปบอกแหวว
“พี่แหวว นวดให้อ้ายได้ไหมคะ”
แหววมองหน้าราพณ์แบบเอายังไงดี รสิกาย้ำ
“พี่แหววคะ”
รัตนาวลีพูดขึ้น
“อาบน้ำก่อนไหมลูกจะได้ทายาทีเดียว”
“หม่อมแม่กับพี่แหววช่วยอ้ายได้ไหมคะ”
รัตนาวลีกับแหววมองราพณ์ว่าเอายังไง
“เดี๋ยวผมไปรอหน้าห้องนะครับ”
ราพณ์เดินออกไป
“ช่วยฉันหน่อยแหวว”

รัตนาวลีกับแหววประคองรสิกาให้ลุกขึ้น
 

สามี ตอนที่ 5 (ต่อ)

รสิกาเปลี่ยนเป็นชุดนอนเรียบร้อยแล้วนั่งลงบนเตียง รัตนาวลีนั่งลงหยิบยามาจะนวดให้ แหววรีบบอก

“หม่อมขา แหววนวดให้เองค่ะ”
“ฉันอยากทำให้ลูกฉัน...ได้ไหม”
แหววเก้อ ๆ
“ได้ค่ะ”
รัตนาวลีค่อย ๆ ทายานวดเท้าให้ลูกสาว รสิกามองแม่อย่างมีความสุขที่เห็นแม่ดูแลตัวเอง

เวลาผ่านไป รัตนาวลีห่มผ้าให้รสิกา
“ฝันดีนะลูก มีอะไรก็ให้คุณราพณ์เรียกแม่นะ”
“ขอบคุณค่ะแม่”
รัตนาวลีหอมแก้ม รสิกายิ้มรู้สึกดี ราพณ์เข้ามาสวนกับรัตนาวลีที่กำลังจะออกไป รัตนาวลีราตรีสวัสดิ์แล้วออกไป เหลือราพณ์กับรสิกาสองคนในห้อง
“ผมอาบน้ำก่อนนะครับ”
ราพณ์คว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไป รสิกากระอักกระอ่วนจะทำยังไงดี

ราพณ์ออกมาจากห้องน้ำแล้วจะขึ้นเตียงนอน รสิกาสะดุ้ง
“พระลบล่ะคะ”
“หลับแล้วครับ” ราพณ์เห็นรสิกาดูอึกอัก “ผมไปอุ้มมานอนกับเราดีไหมคุณหญิงจะได้สบายใจ” ราพณ์จะลุกไป
รสิกาเกรงใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าหลับแล้วก็อย่าไปกวนเลย”
ราพณ์ยิ้มพอใจ
“คุณหญิงนอนเถอะครับ วันนี้เจอเรื่องมาเยอะแล้ว ผมจะไม่กวนคุณหญิงเลย”
รสิกาทำอะไรไม่ได้จำต้องนอน แต่ราพณ์ก็นอนห่างเก็บเนื้อเก็บตัวสุดชีวิต รสิกานอนมองตาค้างอย่างระวังตัว

เวลาผ่านไป รสิกายังไม่หลับ ในขณะที่ราพณ์ที่นอนชิดริมขอบเตียงขยับจะพลิกตัว รสิกาจ้องเขม็งจนเห็นว่าเขาพลิกตัวแล้วพลาดตกเตียง ตุ้บ ราพณ์งง ๆ รสิกายิ้มขำ แต่พอเขามองมาเธอรีบทำเป็นหลับตา ราพณ์มองๆ คิดว่าหลับก็ลุกขึ้นมาบิด ๆ ตัวแบบเจ็บนิด ๆ ก่อนจะขึ้นมานอนหงายบนเตียงแล้วหลับตา รสิกาแอบลืมตาข้างเดียวมองแล้วหลับตายิ้มขำ

เช้าวันใหม่...ราพณ์กับรสิกายังหลับอยู่บนเตียง พระลบเปิดประตูเข้ามา
“ป่าป๊า”
พระลบโผขึ้นมาบนเตียงเข้าไปนอนทับตัวราพณ์
“โอ้ย...ตัวหนักมาก อะไรครับลูก”
พระลบออดอ้อนสุดชีวิต
“เมื่อไหร่ป๊าจะไปทะเลตามสัญญาครับ พระลบรอนานแล้วนะครับ”
“ป๊างานยุ่งนี่ครับ”
“ถ้าป๊าไม่ยอมไป พระลบจะไม่ทนเลยขอบอก พระลบจะฟ้องอากง จะฟ้องอาม่า จะฟ้องอารุ้ง จะไม่ให้พี่คุณหญิงดีกับป่าป๊าด้วย”
“อ้าว...พระลบ ทำไมใจร้ายกับป๊าแบบนั้นล่ะลูก”
รสิกาแอบลืมตามองขำ ๆ กับพ่อลูกที่ถกเถียงกันใหญ่ จนราพณ์แอบเห็นว่ารสิกามองอยู่ เขายิ้ม
“งั้นเอางี้ ให้พี่คุณหญิงคนสวยตัดสินใจ ถ้าพี่คุณหญิงไปป๊าก็ไป ตกลงไหม”
รสิกาลืมตัวลืมตาโวย
“มาโยนให้กันได้ยังไงล่ะคุณ”
สิ้นคำรสิกาพระลบก็โผเข้าหาทันที
“พี่คุณหญิงครับ เด็กตัวน้อยๆ อยากไปทะเล พี่คุณหญิงใจดีพาไปนะครับ”
รสิกายังไม่ทันจะอ้าปาก
“นะครับ...พี่คุณหญิงคนสวย นะครับ...”
“จ๊ะ ๆ ไปก็ได้”
“ไชโย”
พระลบกระโดดลงจากกเตียง เสียงดังลั่น
“พี่แหวว พระลบได้ไปทะเลแล้ว อากง อาม่า”
“รู้กันทั้งบ้าน” ราพณ์ยิ้มมองรสิกา “คุณหญิงจะเอาอะไรไปบ้างครับ ผมจะเก็บให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ช่วยเรียกพี่แหววให้มาช่วย...ฉันจะขอบคุณมาก”
ราพณ์รับคำยิ้มๆ พอขยับจะลงจากเตียงแล้วชะงักเพราะเจ็บ
“อูย...”
รสิกามองรู้ว่าเจ็บที่ตกเตียงเมื่อคืน
“เป็นอะไรเหรอคะ”
“สงสัยนอนผิดท่าน่ะครับ มันปวด ๆ”
“อ้าว...ไม่ใช่ตกเตียงเหรอคะ”
ราพณ์ชะงักหันมองว่าเธอเห็น รสิกายิ้มแบบว่าเห็นความเปิ่นของเขาแล้วลุกไป ราพณ์เสียฟอร์มสุดเซ็ง
“จบเลย”
แต่เขาก็ยิ้มตามเธอไปรู้สึกว่าวันนี้ลางดีอารมณ์ดีแต่เช้า

เจ้าสัวเรียวกับรัตนาวลีเดินมาส่งราพณ์ที่ประคองรสิกาที่รถ มีแหววช่วยจูงพระลบยกกระเป๋าให้
“ที่จริง พี่แหววน่าจะไปด้วยกันนะคะ”
แหววกระดี๊กระด๊า
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปเก็บกระเป๋าเลยนะคะ”
รัตนาวลีขัดขึ้น
“ไม่ดีหรอกลูก ให้แหววอยู่ที่นี่ดีแล้ว เง็กก็ไปดูแลอาม่าที่โน่นแล้ว มีแหววอยู่ยังพอช่วยแม่ได้บ้าง”
แหววจ๋อยอด ราพณ์กับรสิกาพาพระลบขึ้นรถออกไป
“แหววห่วงคุณหญิงจังเลยค่ะ” แหววพูดไปอย่างนั้น ที่จริงอยากไปเที่ยวด้วย
รัตนาวลีตำหนิ
“แม่แหวว สามีภรรยาจะไปเที่ยวกัน เราจะไปเป็นก้างทำไม”
แหววเข้าใจ
“อ๋อ...”
เจ้าสัวเรียวยิ้มมีหวัง
“ขอให้บรรยากาศเป็นใจ ผมอยากอุ้มหลานตัวเล็ก ๆ เหลือเกิน”
รัตนาวลียิ้ม ระรินวิ่งออกมากระหืดกระหอบออกมา
“คุณหญิงไปทำงานแล้วเหรอคะ”
เจ้าสัวเรียวหันมาบอกลูกสาว
“ไปฮันนีมูน”
ระรินชะงัก
“อ้าว...คิดว่าไปทำงาน รินจะได้ไปยื่นใบสมัครงานด้วย”
“คิดแต่จะพึ่งคนอื่นเรื่อยไปเมื่อไหร่จะโต งานของเราก็จัดการเอง”
“ค่ะ...โดนเลย” ระรินบ่นจ๋อย ๆ

เจ้าสัวเรียวกับรัตนาวลีมองระรินยิ้มๆ

 
มานพเข้ามาที่หน้าทาวน์เฮ้าส์ของสิริโสภาเห็นปิดเงียบ เขามองที่วางรองเท้าไม่มีรองเท้าอยู่ มานพรู้สึกผิดปกติไขกุญแจเข้าไป เห็นว่าข้างในเงียบมาก มานพตัดสินใจเข้าไปในห้องนอนแล้วเปิดตู้เสื้อผ้าและตู้ของใช้ไม่มีอะไรเหลืออยู่ มานพเครียดที่สิริโสภาหายตัวไป เขาตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาราพณ์ทันที

ราพณ์กำลังถือของออกมาจากมินิมาร์ทในปั๊มพร้อมกับพระลบ รสิกานั่งรออยู่ที่รถ เสียงมือถือดัง ราพณ์มองแล้วกดรับ
“ว่าไงนพ”
“ทำไมเสียงใสจังวะ แกยุ่งอยู่เหรอเปล่า”
“ไม่ยุ่ง” ราพณ์น้ำเสียงมีความสุข “ฉันกำลังจะพาคุณหญิงกับพระลบไปเที่ยวทะเล แล้วแกมีอะไร”
มานพรู้สึกว่าราพณ์กำลังมีความสุขเลยไม่อยากบอกให้กังวล
“ก็ตอนนี้ฉันว่างงานเลยโทรมาทักทายเพื่อน”
“กลับจากทะเลแล้วฉันจะไปที่ร้าน”
“เที่ยวให้สนุกนะ”
มานพวางสายอย่างเครียดๆ
“หวังว่าคุณจะถอดใจนะคุณสิ”

สิริโสภานั่งมองห้องทำงานของสิริโสภาอย่างกระวนกระวายเห็นว่ารสิกายังไม่มา เธอพยายามเก็บอาการ
“พี่พร คุณหญิงยังไม่มาอีกเหรอคะ”
“ลาเป็นอาทิตย์เลยจ๊ะ สิมีอะไรเหรอเปล่า”
“สิได้ยินมาว่าคุณหญิงสวยมากน่ะค่ะ ก็เลยอยากเห็น”
ระรินเข้ามามอง ๆ แล้วตรงมาถามแถวโต๊ะสิริโสภา
“สวัสดีค่ะ ดิฉันมาขอพบคุณกอบกู้ค่ะ”
กอบกู้ออกมาจากห้อง ศิริพรหันไปบอก
“บอสคะ น้องคนนี้มาขอพบน่ะค่ะ”
ระรินยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะ ดิฉันระรินค่ะ”
กอบกู้รับไหว้
“น้องสาวคุณราพณ์ใช่ไหมครับ คุณหญิงโทรมาบอกแล้วครับ ตอนแรกเห็นว่าจะมาพร้อมกัน”
“คุณหญิงไปฮันนีมูนกับเฮียราพณ์น่ะค่ะ รินเลยต้องมาเอง”
“เอ...ผมชักจะกลัวแล้วสิว่าต้องเสียอินทีเรียมือหนึ่งของผมไป ดูคุณราพณ์ทั้งรักทั้งหวงคุณหญิงเหลือเกิน”
ระรินยิ้มแย้ม
“จริงค่ะ ตั้งแต่แต่งงานเฮียไม่เคยห่างคุณหญิงเลยนะคะ”
กอบกู้เดินนำไปที่ห้อง ระรินเดินตาม
“คุณราพณ์เป็นผู้ชายที่โชคดีมากนะครับ เพราะคุณหญิงเป็นคนที่ดีพร้อม...สมบูรณ์แบบน่ะครับ”
“เห็นด้วยเลยค่ะ”
สิริโสภาลืมตัวขยำเอกสารแน่น ศิริพรเห็นก็เตือน
“สิ...เอกสารยับหมดแล้ว สิ”
สิริโสภารู้สึกตัวรีบปล่อยมือ
“ขอโทษค่ะพี่”
สิริโสภาต้องตั้งสติอย่างยากเย็นทั้งที่อยากกรีดร้อง

สุรีย์ส่องฉีกภาพข่าวของตัวเองที่โดนตบจนหมดสภาพ
“ไอ้บ้า ไอ้พวกบ้า”
ปฐวีที่กำลังจะออกไปหยุดยืนมองสุรีย์ส่องอย่างสังเวช
“ยัยสุ หยุดโวยวาย แกหาเรื่องใส่ตัวเอง”
“สุไม่หยุด นังอ้าย นังรุ้งราย สุจะฆ่ามัน”
ปฐวีชี้หน้าสุรีย์ส่อง
“เงียบ”
สุรีย์ส่องกรีดร้อง ปฐวีหน่ายออกไป สุรีย์ส่องขัดใจพล่านจนต้องโทรหาประสิทธิ์

ประสิทธิ์กับมิสเตอร์หยางอยู่ในห้องส่วนตัวของภัตตาคาร ประสิทธิ์ตกใจกับความต้องการของมิสเตอร์หยาง
“คุณหยางต้องการเข้าไปที่วังประกาศเกียรติเหรอครับ”
“ผมอยากสำรวจสถานที่เพื่อวางแผนในการทำงาน คุณจะพาผมเข้าไปได้เมื่อไหร่”
เสียงมือถือประสิทธิ์ดัง เป็นชื่อสุรีย์ส่อง ประสิทธิ์กดทิ้ง เสียงมือถือก็ยังดังเข้ามาอีกจนประสิทธิ์ต้องปิดเครื่อง...ประสิทธ์ลำบากใจ
“เอ่อ...ตอนนี้ผมยังไม่สะดวก”
“ผมไม่ค่อยชอบท่าทีอึกอักของคุณเลย คุณประสิทธิ์ โปรเจ็คท์นี้ ผมลงทุนไปไม่น้อย และผมก็เริ่มระดมหุ้นส่วนเข้าร่วมทุนในการทำโครงการในครั้งนี้ไปแล้ว”
“ผมแค่ไม่อยากให้ทางเจ้าของเดิมรู้ตัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับวังประกาศเกียรติ ไม่อย่างนั้นเรื่องมันจะยิ่งยาก”
“ไม่ว่ายังไงก็ตาม ถ้าเครดิตผมเสียหาย...คุณต้องชดใช้” สายตามิสเตอร์หยางโหดมาก
ประสิทธิ์มองความโหดอย่างลำบากใจเล็กน้อย รู้ว่างานนี้ขี่หลังเสือเข้าให้แล้ว

ราพณ์ขับรถมาถึงบ้านพักตากอากาศ ทุกคนพากันลงจากรถ อาม่ากับเง็กเดินออกมารับ พระลบโผเข้าหา
“อาเหล่าม่า”
อาม่าดีใจ
“พระลบมาเยี่ยมอาเหล่าม่า”
“พระลบคิดถึงอาเหล่าม่า ป่าป๊ากับพี่คุณหญิงก็คิดถึงอาเหล่าม่านะครับ”
“อาเหล่าม่าดีใจที่พวกลื้อคิดถึงมาเยี่ยมอาม่า น่ารักจริงๆ เจี๊ยะมาหรือยัง อาคุณหญิงหิวไหม อาเง็กไปหาข้าวหาขนมมาให้หลานกับเหลนอั๊วสิ ลื้อนี่ไม่ได้เรื่อง”
รสิการีบบอก
“ไม่เป็นไรค่ะอาม่า เราทานระหว่างทางมาแล้วค่ะ”
“เอาของเข้าไปเก็บก่อนเถอะครับ แดดร้อน ผมช่วย”
ราพณ์ช่วยประคองรสิกาที่เจ็บขา เธอขืนเต็มที่ เขาได้แต่มองเธอที่ดื้ออย่างขำ ๆ
“พวกลื้อไปนอนห้องใหญ่เลยนะ อาเง็กช่วยขนของสิ”
“ค่า”

เง็กต้องรีบมาช่วยขนของ พระลบวิ่งเข้าไปในบ้าน ราพณ์ประคองรสิกา อาม่าเดินนำไปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
 

 
เง็กเปิดประตูขนกระเป๋าเข้ามา พระลบกระโดดขึ้นเตียงมีความสุขมาก ราพณ์กับรสิกาตามเข้ามา เธอมองภายในห้องอย่างสนใจ
 
“ชอบไหมครับ”
“ก็สวยดีค่ะ”
“ฝีมือการออกแบบใช้ได้ไหมครับ ผมแต่งห้องนี้เองนะ”
“ก็ดีค่ะ”
รสิกาค่อยๆ เดินไปที่เตียงแล้วเปิดกระเป๋า จะจัดเสื้อผ้า
“พระลบครับ ไปอาบน้ำนะครับ เดี๋ยวจะได้ทานข้าวกลางวัน”
พระลบอ้อน
“พระลบว่าอยากให้ป๊าอาบให้”
รสิกามองราพณ์ว่าจัดการซิ ราพณ์เข้ามาอุ้มพระลบ
“งั้นก็ไปกันเลย”
“คุณจะไปไหน”
“อาบน้ำในห้องน้ำไม่มันหรอกจริงไหมพระลบ”
พระลบตาวาวรู้ว่าจะได้เล่นน้ำ
“จริงครับ”
ราพณ์คว้ากระเป๋าใบเล็กแล้วพาพระลบออกไป รสิกามองตามไม่เข้าใจว่าหมายความว่ายังไง

บริเวณสระว่ายน้ำ...ราพณ์อุ้มพระลบในชุดว่ายน้ำกระโดดลงน้ำตูมลงไปในสระ สองพ่อลูกว่ายน้ำเล่นกันสนุกสนาน รสิกาตามออกมาดูขำ ๆ พระลบหันมาโบกมือให้
“พระลบอาบน้ำแป๊บนึงนะครับพี่คุณหญิง”
“แบบนี้เขาเรียกว่าเล่นน้ำไม่ใช่อาบน้ำครับ” รสิกาบอกยิ้มๆ
“ไหน ๆ ก็ต้องเปียกอยู่แล้วก็เปียกให้คุ้มใช่ไหมครับพระลบ”
“ครับผม...พี่คุณหญิงมาอาบน้ำด้วยกันสิครับ”
“ไม่ได้หรอกจ๊ะ พี่ไม่มีชุดว่ายน้ำ”
“อาบน้ำกันนะครับพี่คุณหญิง นะครับ” พระลบอ้อนวอน
“พี่ไม่ได้เอาชุดมาจริงๆ”
อาม่าเข้ามาด้านหลังแล้วใช้มือดันเบาๆ รสิกาหล่นตูมลงน้ำ เธอโผล่พรวดขึ้นมาเหวอ ๆ อาม่ายืนหัวเราะ
“นี่มันสระบ้านเราเองลื้อจะใช้ชุดทำไม จริงไหม”
พระลบกับราพณ์ตอบพร้อมเพียง
“จริงครับ”
พระลบกับราพณ์สาดน้ำใส่ รสิกาเคืองสาดน้ำคืน กลายเป็นสงครามสาดน้ำ อาม่าคอยเชียร์รสิกาอย่างสนุกสนาน

กอบกู้กับระรินเดินออกมาจากห้องทำงาน
“คุณรินมาเริ่มงานอาทิตย์หน้าได้เลยนะครับ ผมจะพิจารณาตำแหน่งที่เหมาะสมกับคุณเอง”
“ขอบคุณมากค่ะ รินหนักเอาเบาสู้นะคะ รินอยากได้ความรู้อยากทำงานกับบริษัทเจ๋ง ๆ อย่างที่นี่มานานแล้ว”
“ยินดีครับ”
ระรินไหว้ลาแต่ยืนขวางประตู สกรรจ์ที่เปิดประตูเข้ามาโดนหัวไม่ได้ตั้งใจ
“โอ้ย”
สกรรจ์หน้าเสีย
“ขอโทษครับ”
“นี่คุณเปิดประตูยังไง ไม่รู้จักระวังเลย ไม่มีตาหรือไง” ระรินโวย
สกรรจ์โดนเป็นชุดก็เลยไม่ยอม
“คุณครับ ตรงนี้มันทางเข้า แล้วประตูก็ต้องผลักเข้า ผมทำตามกฎทุกอย่างแต่คุณยืนขวางทางอยู่ ขอถามหน่อยว่าใครผิด”
“ก็ฉันยืน...” ระรินนึกได้เออจริง “แต่คุณก็ควรจะดูก่อนจะผลักประตูสิ”
สกรรจ์หันไปหากอบกู้
“ถามคนอื่นดีไหมว่าใครผิด”
ระรินหันไปเห็นกอบกู้ที่ยืนอยู่ ก็คิดได้ว่าไม่ควรโวยวาย
“เอ่อ...งานนี้ก็ผิดทั้งคู่ ถือว่าเจ๊ากัน” กอบกู้ตัดบท
“ทำอะไรก็ระวังบ้างนะครับ แบบนี้คนไม่ผิดเขาเดือดร้อน”
ระรินแค้นมาก
“รินไปก่อนนะคะคุณกอบกู้”
ระรินไหว้กอบกู้แล้วรีบเลี่ยงออกไปด้วยความอาย สกรรจ์หันมาถามกอบกู้
“คุณหญิงอยู่ไหมครับ”
“คุณหญิงลาหนึ่งอาทิตย์ครับ”
“ขอบคุณครับ...”
สกรรจ์กลับไปอย่างหงอยๆ

ระรินออกมาเจอมอเตอร์ไซค์ของสกรรจ์ขวางอยู่หน้ารถเธออยู่ ด้านหลังก็มีรถอีกคันจอดปิด สกรรจ์เดินมาที่รถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองเห็นระรินกำลังหงุดหงิดอยู่
“จอดไม่เหลือช่องให้เดินหน้าเลยเหรอเนี่ย มักง่ายจริง ๆ”
มอเตอร์ไซค์หนักมาก ระรินพยายามขยับรถแต่ขยับไม่ได้ ระรินหัวเสีย มือสกรรจ์เข้ามาจับมอเตอร์ไซค์ขยับให้
“ผมจัดการให้เอง”
ระรินเห็นหน้าก็เหวี่ยงเลย
“มอเตอร์ไซค์คุณใช่ไหม จอดมักง่ายแบบนี้มีใบขับขี่หรือเปล่า เนี่ยคุณ”
“ผมขอโทษ พอดีผมรีบไปหน่อย”
“แต่คุณทำแบบนี้คนอื่นเขาเดือดร้อน ทำอะไรก็ระวังบ้างนะคุณ แบบนี้คนไม่ผิดเขาเดือดร้อน”
สกรรจ์หันมองแบบไม่จบใช่ไหม ระรินมองประเมินว่าสะใจพอแล้วก็เดินไปขึ้นรถ สตาร์ทรถแล้วบีบแตรกวนประสารท พอเขาเอารถถอยออกไป เธอก็ออกรถไปอย่างแรงด้วยความสะใจ สกรรจ์มองตามส่ายหน้ากับความร้ายของระริน เขาคิด ๆ แล้วตัดสินใจโทรหารสิกา

ราพณ์อุ้มพระลบที่ตัวเปียกเข้ามาจะเข้าไปในห้องน้ำ
“ป๊าอาบน้ำให้จริง ๆล่ะคราวนี้”
“พระลบอยากให้พี่คุณหญิงอาบให้”
ราพณ์กับรสิกาอึ้งๆ มองหน้ากัน
“พี่คุณหญิง...”
“เข้าไปในห้องน้ำสิคะ”
“แต่ขาคุณ...”
ราพณ์จะแย้งแต่รสิกาขัดขึ้น
“ฉันเจ็บขาค่ะ มือยังเป็นปกติ ฉันจะอาบให้พระลบเอง”
ราพณ์มองแบบตามใจแล้วพาพระลบเข้าไปในห้องน้ำก่อนจะออกมา...รสิกาเดินสวนเข้าไปเปิดฝักบัวอาบน้ำให้พระลบ เธอต้องปลุกปล้ำกับการอาบน้ำให้พระลบ ราพณ์ยืนมองชอบใจ รสิกาเห็นเขายืนมองก็เขินๆ
“ไม่ต้องเฝ้าหรอกค่ะ ฉันจัดการได้ ฉันไม่ชอบให้ใครมายืนมอง”
“ได้ครับคุณหญิง”

ราพณ์เลี่ยงไปนั่งรอ เสียงมือถือของรสิกาดัง ราพณ์มองเห็นว่าเป็นชื่อสกรรจ์ เขามองไปทางห้องน้ำ เสียงรสิกากับพระลบดัง ทำให้เธอไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ ราพณ์จัดการปิดเสียงโทรศัพท์ ราพณ์มองว่าสายตัดไปแล้วก็เอาโทรศัพท์โยนใส่ในกระเป๋าสะพายของรสิกาเนียนๆยิ้มพอใจ

 
ในบ้านคุณนายไฮโซ...ลินดาเขวี้ยงไพ่ลงบนโต๊ะ
 
“อะไรกัน ป๊อกอีกแล้วเหรอ”
เจ้ามือรวบไพ่กับเงินไป
“ถอนทุนอีกไหมล่ะคุณโบตั๋น”
“สามหมื่นแล้วนะ ยังไม่ได้คืนสักบาท เลิกๆ”
ลินดาลุกเดินออกมาชะงักที่เห็นคุณนายเจ้าของบ้านกำลังนั่งดูสร้อย แหวน กำไลเพชร
“คุณนาย...ทำไมมันอู้ฟู่ขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าได้จากวงโน้น”
“ได้จากวง ชาติหน้ายังไม่รวยเลย เดี๋ยวนี้ฉันมีวิธีที่ง่ายกว่านั้น”
“วิธีอะไร”
“ฉันเล่นหุ้น ขึ้นทีได้เป็นหมื่นเป็นแสน”
ลินดามองอย่างสนใจ
“มันได้เยอะขนาดนั้นเชียว แนะนำฉันบ้างสิ”
“แล้วฉันจะเปิดหูเปิดตาให้”
ลินดาพร้อมจะลงทุกวังวนที่เป็นการพนัน

ค่ำนั้น รามนอนไม่หลับ ลืมตามารู้สึกภาพรอบข้างมันบิดเบี้ยวความรู้สึกมันพลุ่งพล่านไม่สามารถนอนได้ รามพยายามลุกขึ้นมานั่งก็ยังไม่ดีขึ้น เขาลุกจากเตียงเดินวนไปวนมา
“โธ่เว้ย”
รามพล่านทนไม่ไหวต้องออกไปข้างนอก

ในผับ...รามยืนเต้นเบาๆ มองหาผู้หญิงเห็นหญิงคนหนึ่งน่าสนใจก็เข้าไปทัก
“ชนแก้วกันหน่อยนะครับ”
หญิงคนนั้นไม่สน มองแล้วสะบัดจะเดินไป รามทนไม่ได้กระชากแขน
“ชวนดี ๆ อย่าเล่นตัว”
แฟนผู้หญิงคนนั้นเข้ามาต่อยรามผัวะ
“อย่ายุ่งกับเด็กกู”
“มึง”
รามต่อยสวนแสดงความก้าวร้าวจนกระจายทั้งผับ

สิริโสภาลุกจากหน้าคอมพิวเตอร์แล้วเดินออกมาหน้าร้านกาแฟ พอเปิดประตูก็เจอรามที่เมาสภาพสะบักสะบอมล้มลงตรงหน้าร้าน รามพยายามขยับขึ้นมานั่งพิงกระจกร้าน สิริโสภายืนมองเห็นเลือดที่มุมปาก เธอมองๆ แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าไปแตะที่มุมปาก รามเอามือจับมือของเธอ สิริโสภารีบดึงมือออกทิ้งไว้แต่ผ้าเช็ดหน้าหันหลังเดินไป รามมองตามแต่เห็นแค่ด้านหลังไม่ชัดนัก

รสิกานั่งทำงานอยู่ที่ระเบียงบ้านพักตากอากาศ พระลบนั่งเล่นตัวต่อเลโก้ ราพณ์เช็คงานในไอแพดดูเอกสาร
อาม่านั่งขยับเนื้อตัวแบบเมื่อย รสิกาสังเกตเห็น
“เมื่อยเหรอคะอาม่า”
“มันปวด ๆ ขา”
“อ้ายช่วยนวดให้นะคะ”
“ลื้อนวดเป็นเหรออาคุณหญิง”
“อ้ายเคยนวดให้ท่านพ่อบ่อย ๆค่ะ” รสิกาพูดแล้วก็นึกถึงพ่อ
“ลื้อเป็นอะไรอาคุณหญิง”
“เปล่าค่ะ”
รสิกาเริ่มลงมือนวดให้ อาม่าหน้าเคลิ้ม ๆชอบใจ
“สบายจริง ๆ ลื้อนวดเก่งนะ”
รสิกายิ้มน่ารัก ตั้งอกตั้งใจนวดใหญ่ ราพณ์แอบมองอย่างประทับใจ...เวลาผ่านไปพระลบนั่งหลับจนหัวโขกเลโก้ที่ต่อไว้กระจายลงพื้น แต่ยังไม่ยอมล้มตัวลงนอน รสิกา ราพณ์ อาม่าหันไปมองยิ้มๆ กับท่านั่งหลับแต่ไม่ยอมล้มของพระลบ อาม่าส่ายหน้า
“ง่วงยังจะห่วงเล่น อาราพณ์พาลูกขึ้นไปนอนไป คงเหนื่อยมากวันนี้เล่นน้ำตั้งนาน”
“ครับม่า”
ราพณ์อุ้มพระลบขึ้นไปข้างบน อาม่าหันมาหารสิกา
“ลื้อก็ไปนอนได้แล้วอาคุณหญิง อาม่าไม่เมื่อยแล้ว”
“ค่ะ”
รสิกาจะลุกแต่อาม่าอ้าแขน รสิกาขยับเข้ากอดอาม่า
“อาม่ารักลื้อนะอาคุณหญิง”
“ขอบคุณค่ะอาม่า”
อาม่าหอมเบาๆ รสิกายิ้มรู้สึกอบอุ่นใจ

รสิกากระเผลกเข้ามาในห้องเห็นว่าราพณ์นอนกอดพระลบหลับไปแล้ว เธอมองอย่างเอ็นดูแล้วเดินมาห่มผ้าให้ทั้งคู่ ราพณ์ขยับตัว พระลบขยับด้วยเป็นท่าเดียวกันเหมือนกันเปี๊ยบ รสิกายิ้ม ๆ
“สมเป็นพ่อลูกกันจริงๆ”
รสิกาขยับขึ้นอีกฟากของเตียงแล้วนอนหลับตา ราพณ์ลืมตามองแล้วกระชับผ้าห่ม หอมพระลบพลางมองรสิกาที่หลับอย่างมีความสุข

พระอาทิตย์ขึ้นที่ขอบฟ้า...รสิกายังนอนหลับ พระลบมากระซิบข้างหู
“ตื่นเถอะครับพี่คุณหญิง พระลบหิวแล้ว”
รสิกางัวเงียลืมตาขึ้นมาเห็นว่าพระลบนั่งยิ้มอยู่ข้าง ๆ หน้าใกล้มาก แต่ที่ตกใจกว่าคือราพณ์นั่งอยู่ที่พื้นซ้อนด้านหลังพระลบกำลังยิ้มมองมา รสิกาตกใจรีบเด้งตัวขึ้นมา
“พระลบหิวแล้ว”
“ผมก็หิวแล้วเหมือนกัน ผมจะพาพระลบไปตลาด คุณหญิงจะไปไหมครับ”
รสิกาชอบกระตือรือร้น
“ไปตลาดเช้าเหรอคะ ไปค่ะ”
รสิกาวางขาลงบนพื้นก็ยังเจ็บ ๆ
“ยังเจ็บอยู่เหรอครับ”
ราพณ์หยิบยามานวดข้อเท้าให้ รสิกาจะชักเท้าไปแต่เขาไม่ยอม
“ถ้ากินยาแก้อักเสบจะหายเร็วกว่านี้นะครับ”
รสิกาทำหน้าไม่ถูกที่เห็นเขานวดเท้าตัวเองอย่างไม่รังเกียจ
“ดีขึ้นไหม”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ ฉันเดินไหว”
“ที่จริงคุณหญิงรออยู่ที่บ้าน...”
รสิการีบสวนด้วยความอยากไป
“ฉันอยากไปตลาดเช้า”

รสิการีบลุกไปพยายามจะทำให้ดูคล่องๆ ราพณ์ยิ้มๆ ที่เธอดูกระตือรือร้น
 

สามี ตอนที่ 5 (ต่อ)

ราพณ์พาทุกคนมาเดินตลาด ราพณ์ประคองรสิกา

“ฉันเดินได้ค่ะ”
“เด็กดื้อ ถ้าไม่ให้ผมประคอง ผมพากลับเลยนะ”
รสิกาเลยจำต้องยอม เง็กคอยดูแลอาม่า ทุกคนพากันมานั่งทานอาหารเช้าด้วยกัน ขณะที่ราพณ์จ่ายเงิน เง็กกำลังจับพระลบที่จะวิ่งไปดูของ อาม่าเห็นคนแบกถาดดอกไม้พวงมาลัย อาม่ามองอย่างสนใจแล้วเดินตามไป เง็กจับพระลบกลับมาได้หันมองหาอีกทีตกใจไม่เห็นอาม่า
“คุณราพณ์ คุณหญิงคะ อาม่าล่ะคะ”
ราพณ์กับรสิกาหันมองตกใจ พยายามมองไปรอบๆ
“ตายแล้ว อาม่าหาย” เง็กหน้าตื่น
“ใจเย็นๆ เง็กเราแยกกันหา อาม่าคงไปไม่ไกล” ราพณ์บอก
ทุกคนออกตามหาอาม่า

ราพณ์ รสิกา พระลบ เง็กต่างพากันแยกย้ายหาอาม่า ขณะที่อาม่าเดินอยู่อีกด้านพอมองหาไม่เห็นราพณ์ เง็ก รสิกาก็เริ่มกลัว
“อาราพณ์ อาเง็ก คุณหญิง ลื้ออยู่ไหน”
อาม่าพยายามคิดเดินไปทางโน้นทางนี้แต่จำทางกลับไม่ได้ อาม่าร้องไห้เครียดจัด
“อาราพณ์ อาคุณหญิง”
อาม่าวิงเวียนจะเป็นลมล้มคว่ำ มือของสกรรจ์เข้ามารับร่างอาม่าไว้ อาม่าหันมองเห็นเป็นสกรรจ์ก็ตกใจไม่รู้จัก
“ลื้อเป็นใคร จะทำอะไรอั๊ว ปล่อยอั๊วนะ ช่วยด้วย...ช่วยอั๊วด้วย”
“คุณยายใจเย็น ๆ ครับ”
อาม่าดิ้นรนใหญ่ไม่รู้จักโวยวาย ราพณ์กับรสิกาได้ยินเสียงโวยวายเห็นคนเริ่มมุงก็เข้ามาดูว่ามีอะไร เง็กเห็นเป็นอาม่าที่ดิ้นรน เง็กรีบเข้าไปกระชากสกรรจ์
“แกจะทำอะไรอาม่า ปล่อยอาม่านะ”
เง็กตี สกรรจ์ปัดป้องไม่ตอบโต้
“ผมไม่ได้ทำนะครับ ใจเย็นๆ ครับคุณ”
รสิกาเห็นว่าเป็นสกรรจ์
“คุณสกรรจ์”
“คุณหญิง” สกรรจ์ดีใจ
เง็กชะงักมองรสิกา
“คุณหญิงรู้จักเหรอคะ”
รสิกาพยักหน้ารับ สกรรจ์เห็นราพณ์
“สวัสดีครับคุณราพณ์”
ราพณ์มองสกรรจ์อย่างสุดเซ็ง เจอมารจนได้
สกรรจ์มีดอกไม้ที่หลุดกระเด็นมาติดที่บ่าสภาพค่อนข้างเลอะ เพราะโดนเง็กเอาของในมือฟาด รสิกากับเง็กมองสกรรจ์อย่างขอโทษ ราพณ์ อาม่า พระลบยืนอยู่ข้างกัน
“อาม่าคะ นี่คุณสกรรจ์เป็นเพื่อนของอ้ายค่ะ” รสิกาแนะนำ
“ผมนาวาโทสกรรจ์ รัตนชัย...ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“โตป่านนี้ยังเล่นเลอะเทอะอีกนะ ดูสิดอกไม้ติดเต็มตัวเลย” อาม่าดุ
“อาม่าค้า...เขาไม่ได้เล่นเลอะเทอะ” เง็กรีบขัด
อาม่าจะเถียง รสิกาแทรกขึ้น
“อ้ายต้องขอโทษคุณสกรรจ์ด้วยนะคะที่พี่เง็กเข้าใจผิด”
อาม่าเสียงดัง
“อ้าว...อาเง็กนี่ลื้อไปทำเพื่อนอาคุณหญิงเลอะเทอะเหรอเนี่ย แย่จริง ๆ”
“ก็อาม่าร้องเสียงดัง เง็กก็คิดว่าคุณเขาเป็นคนร้าย” เง็กจ๋อยๆ
“อั๊วเปล่าร้อง ลื้อนี่มั่ว” แล้วอาม่าก็ชะงักไม่แน่ใจมองหน้าสกรรจ์ “หรือว่าร้อง อั๊วร้องหรือเปล่าอาเพื่อนคุณหญิง”
สกรรจ์ยิ้มขำ
“ผมจำไม่ได้แล้วครับ”
อาม่าถอนใจ
“น่าสงสาร...ยังหนุ่มแท้ๆ ความจำไม่ดีซะแล้ว ลื้อต้องดูแลตัวเองแบบอาม่านี่ แปดสิบกว่ายังปึ๋งปั๋ง”
“ขอบคุณครับอาม่าที่เตือนผม” สกรรจ์ยิ้ม
ราพณ์ตัดบท
“แล้วทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ คงไม่ได้ตาม...ใช่ไหม”
“คุณราพณ์คะ” รสิกาปราม ด้วยความเกรงใจสกรรจ์
“ผมประจำการฐานทัพเรือที่นี่ครับ บังเอิญจริงๆ” สกรรจ์ขำๆท่าทีราพณ์
อาม่าชวนทันที
“อยู่แถวนี้เหรอ งั้นเย็นๆ มากินข้าวที่บ้านนะ จะได้เลี้ยงขอโทษที่อาเง็กทำให้ลื้อเจ็บ”
ราพณ์จะแย้ง สกรรจ์รีบแทรก
“ยินดีครับ”
ราพณ์ไม่พอใจ
“แต่วันนี้ผมกับคุณหญิงต้องทำงานคงไม่สะดวก ขอโทษนะครับ”
รสิกามองราพณ์แบบไม่เห็นรู้เรื่องเลย ราพณ์ยิ้มคิดว่ากันท่าได้แล้วแต่...อาม่าพูดขึ้นมาอีก
“พรุ่งนี้ก็ได้”
ราพณ์อึ้ง
“อาม่า...”
อาม่าไม่ได้ฟังราพณ์หันไปถามสกรรจ์
“ลื้อไปได้ไหมล่ะคุณทหาร”

ราพณ์สุดเซ็งที่กันท่าไม่สำเร็จ สกรรจ์ยิ้มขำ ๆ กับอาการกันท่าของราพณ์

 
ในห้องรับแขก...สุรีย์ส่องหัวเสียใส่ประสิทธิ์
 
“ไม่ได้ค่ะ สุไม่อยากรออีกแล้ว สุอยากเห็นนังอ้ายมันตาย ๆ ไปสักที”
ประสิทธิ์เครียด
“อย่าให้มันวุ่นวายนักยัยสุ ตอนนี้แค่เรื่องมิสเตอร์หยางก็เป็นปัญหามากแล้ว”
“เรื่องนี้ก็อีก คุณพ่อยังไม่ได้ให้เงินที่บอกว่าจะให้สุมาลงทุนกับหนังสือเพิ่ม”
“เงินส่วนที่มิสเตอร์หยางจ่ายล่วงหน้ามาสองร้อยล้าน พ่อต้องเอาไปหมุนกับโครงการหมู่บ้านใหม่ อีกไม่นานนี้พ่อต้องหามาคืน พ่อไม่มีให้แกถลุงแล้ว”
“แต่สุให้ข่าวไปแล้วว่าสุจะเปิดหนังสืออีกหัว มันเป็นหน้าตาของสุ”
“ไม่มีก็คือไม่มี”
ประสิทธิ์ตัดบทเสียงแข็ง ด้วยการเดินออกไป
“นังอ้าย”
สุรีย์ส่องแค้นจะจัดการเอง

พระลบกับราพณ์ช่วยกันก่อปราสาททรายกันสองคนพ่อลูกอย่างสนุกสนาน ราพณ์เห็นรสิกานั่งมองยิ้มๆ แต่พอเห็นเขามองมาก็นิ่ง หน้าตึงใส่แต่ไม่พูด
“ก่อกำแพงไปก่อนนะ เดี๋ยวป๊ามานะครับ”
ราพณ์เดินมาหารสิกามองกวน ๆ
“ผมคงหล่อมากใช่ไหม”
“พูดอะไรของคุณ”
“ก็ผมเห็นคุณจ้องผมตลอดเวลา ผมก็เลยคิดว่าคุณคงหลงเสน่ห์ผม”
รสิการู้ว่าโดนกวนประสาท
“เมื่อเช้า คุณบอกคุณสกรรจ์ว่าเราต้องไปทำธุระแต่กลับมาจนป่านนี้ ฉันเห็นคุณไม่กระตือรือร้น ฉันก็เลยคิดว่าคุณจงใจไม่ต้อนรับคุณสกรรจ์”
ราพณ์ยิ้มรับ
“แน่นอนสิครับ ก็ผมมองออกว่าเขาคิดไม่ซื่อกับภรรยาผม”
“ฉันกับคุณสกรรจ์มีมิตรภาพที่ดีต่อกัน ฉันเชื่อว่าเขารู้ผิดชอบชั่วดี และตัวฉันก็เหมือนกัน”
“ผมเชื่อครับว่าคุณหญิงจะไม่ทำผิดทำนองครองธรรม แต่ในฐานะสามีผมมีสิทธิ์ที่จะหวงและป้องกันไม่ใช่เหรอครับ”
รสิกาหน้าตึง
“ใช่ค่ะ คุณมีสิทธิ์ที่จะหวง...แต่ในฐานะเจ้าหนี้นะคะ ไม่ใช่สามี”
“คุณหญิงจะรั้นไปทำไมครับ ในเมื่อเราก็จดทะเบียนกันถูกต้องแล้ว”
รสิกาจ้องจริงจัง
“สำหรับฉันคำว่าสามี...จะต้องเป็นผู้ชายที่ฉันยอมรับด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่ใช้เงินซื้อมาแบบคุณ”
ราพณ์อึ้ง รสิกาลุกออกไป ราพณ์มองตามอย่างไม่ยอมแพ้เสียงมือถือดังขึ้นเขากดรับ
“ว่ายังไงรุ้ง”

รุ้งรายกำลังเดินเข้าไปด้านหน้ากรมที่ดิน
“รุ้งมาถึงกรมที่ดินแล้วเฮีย ถ้าเจ้าของที่ตุกติกกับเราแบบนี้ รุ้งว่าจะไม่รอนะเฮีย”
“คนขายอยากได้ราคา คนซื้ออยากได้ของถูกมันก็เป็นธรรมดา”
“แต่เราตกลงกันไปเรียบร้อยแล้ว จะมาต่อรองเพิ่มแล้วเพิ่มอีกแล้วเมื่อไหร่มันจะจบ”
“ใจเย็น ๆ นะรุ้ง อารมณ์กับการเจรจามันไปด้วยกันไม่ได้ รุ้งต้องมีสติ“
รุ้งรายถอนใจ
“รุ้งรู้...แค่เซ็งกับพวกไม่ซื่อ เฮียไม่ต้องห่วงนะ รุ้งจะจัดการให้เอง เที่ยวให้สนุกนะ”
“ถ้าเรียบร้อยโทรบอกเฮียด้วยนะ”
รุ้งรายวางสายเดินมาถึงจุดที่นที ป้าศรซึ่งเป็นเจ้าของที่และแบงค์หลานชายป้าศรท่าทางเป็นนักเลงกับเพื่อน ๆอีก 2 คนที่ดูเอาเรื่องรออยู่
“สวัสดีค่ะป้าศร คุณนทีแจ้งมาว่าป้าศรไม่ยอมโอนที่เพราะต้องการเพิ่มราคา แต่ตอนที่เราตกลงกันครั้งแรกที่ห้าล้าน ป้าก็พอใจในราคานี้ไม่ใช่เหรอคะ”
“ก็ตอนนั้นฉันไม่รู้นี่ว่าที่ดินของฉันมันราคาสูง พวกคุณจงใจกดราคาฉัน”
นทีแย้ง
“ทางบริษัทแจ้งราคากับคุณแล้วให้เวลาคุณพิจารณาอีกสองอาทิตย์ คุณตอบรับที่ราคานี้ก่อนทำสัญญาซื้อขาย เราทำทุกอย่างถูกต้องตามขั้นตอน”
“ฉันจะยกเลิกสัญญา”
รุ้งรายไม่พอใจ
“แล้วป้าต้องการยังไง”
ป้าศรคิดว่าเป็นต่อ
“ฉันจะขายที่ผืนนี้ในราคาแปดล้าน”
รุ้งรายหน่ายแต่ไม่แสดงออก
“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ที่ดินของป้าราคาประเมินคือห้าล้านห้าแสน ซึ่งเราได้ต่อรองและตกลงกันที่ห้าล้าน เต็มที่ที่เราให้ได้คือห้าล้านห้าแสนตามราคาจริงเท่านั้น”
ป้าศรหันไปเรียกหลานทันที
“ไอ้แบงค์”
แบงค์กับลูกน้องท่าทางคุกคามมาก
“นี่เจ๊ ถ้าจะซื้อก็ต้องจ่ายมาแปดล้าน”
นทีบอกกับรุ้งราย
“ผมว่าเขาไม่ได้ตั้งใจเจรจานะครับคุณรุ้ง”
“เราทำสัญญาซื้อขายไปแล้ว ถ้าคุณคิดจะเล่นแง่ ฉันคงต้องให้กฎหมายจัดการจนถึงที่สุด ขอตัวนะคะ”
รุ้งรายหันหลังจะไป ป้าศรมองหน้าหลานชาย แบงค์กระชากแขนรุ้งรายไว้
“ไปไม่ได้ จนกว่าจะตกลง”
รุ้งรายพอโดนกระชากก็ต่อยสวนเข้าหน้าแบงค์ผัวะ เพื่อนเห็นแบงค์โดนรุ้งรายเล่นงานก็เข้าเล่นงาน รุ้งรายสวนจนพวกแบงค์กระจายกันไป นทีพยายามเข้าช่วยแต่โดนสวนมาซะมากกว่า สภาพรุ้งรายคือโดนผู้ชายสามคนรุม รุ้งรายพยายามสู้เต็มที่แต่ก็พลาดท่าโดนเพื่อนแบงค์ล็อคตัวไว้ได้ แบงค์แค้นจะตบรุ้งราย
“มึง”
แบงค์เงื้อจะตบ แต่ยังไม่ทันฟาดลงมา ปฐวีเข้ามาถีบแบงค์จนถลาไป รุ้งรายอึ้งที่เห็นปฐวี
“ทำไมคุณ...”
“เคลียร์เรื่องคุณก่อนไหม”
ปฐวีกับรุ้งรายช่วยกันรับมือและเล่นงานจนแบงค์กับเพื่อนทั้งสามคนสลบสิ้นท่า รุ้งรายหันมาหาป้าศรที่โวยวาย
“พวกแกทำร้ายหลานฉัน ฉันจะเอาเรื่อง”

“แจ้งความเลยค่ะ คุณนทีจะได้เอาคลิปให้ตำรวจดูว่าใครเริ่มก่อน”
 

 
ป้าศรชะงัก
 
“ฉันเสียเวลามามากแล้ว ถ้าป้าจะขายที่ฉันยืนยันที่ราคาห้าล้าน”
“ถ้างั้นฉันก็ไม่ขาย บริษัทประสิทธิ์ก็ติดต่อซื้อที่ของฉันเหมือนกัน”
รุ้งรายหันไปมองปฐวี
“ถ้าป้าหมายถึงประสิทธิ์เรียลเอสเตทล่ะก็ เขาไม่ซื้อที่ของป้าแล้ว”
ป้าศรงง ปฐวีบอกทันที
“ผมเป็นคนส่งเจ้าหน้าที่ไปติดต่อซื้อที่กับป้าเอง ป้าไม่ขายผมก็เลยซื้อที่คุณอุษณีย์ที่อยู่ข้างๆที่ของป้าแทน”
ป้าศรหันมาหารุ้งราย
“ดี...ถ้าฉันไม่ขายที่ของเธอมันก็ต้องเว้าแหว่ง อยากเสียหายก็เลือกเอา”
รุ้งรายแค้นมาก ปฐวีแทรกขึ้น
“ผมจะเปิดตาให้ป้าเห็นความจริงนะครับ ฝั่งซ้ายคุณรุ้งรายขึ้นโครงการ ฝั่งขวาทางผมขึ้นโครงการ ถ้าทั้งสองฝั่งก่อสร้างเมื่อไหร่ที่ของป้าจะเป็นที่ตาบอด ถึงตอนนั้นป้าจะขายให้ใครก็ต้องโดนต่อราคาครึ่งต่อครึ่งแน่นอน ป้าคิดดูว่างานนี้ใครกันแน่ที่จะเสียหาย”
ป้าศรดูลังเลหนัก ปฐวีหันไปหารุ้งราย
“คุณรุ้งรายครับ เรื่องที่หลานป้าจงใจทำร้ายร่างกายคุณ ผมว่าเราไม่ควรปล่อยผ่าน”
รุ้งรายมองสายตาปฐวีว่าให้รับมุกเล่นต่อ
“คุณนที พาฉันไปโรงพัก...”
ป้าศรตกใจ
“ฉันขาย แต่ขอเพิ่มอีกห้าแสนเท่าราคาประเมิน”
รุ้งรายยิ้ม
“ตกลงค่ะ”
รุ้งรายกับปฐวีสบตากันอย่างพอใจที่จัดการได้ผล

มุมหนึ่งในกรมที่ดิน...รุ้งรายมองโฉนดในมือแล้วส่งให้นที
“คุณนทีจัดการเรื่องเงินให้เรียบร้อยนะคะ”
“จะเก็บหลักฐานอย่างละเอียดเลยครับ เจ้านี้เขี้ยวตัวจริง”
นทีแยกไป รุ้งรายมองไปทางประตูอาคารยังรี ๆ รอ ๆ ปฐวีออกมาจากด้านในจะออกไปอีกทางรุ้งรายเรียกไว้
“คุณปฐวี”
ปฐวีชะงักหันมาเห็นรุ้งรายที่กำลังเดินเข้ามาหา
“ยินดีนะครับที่จะเป็นเพื่อนบ้านโครงการติดกัน”
“ทำไมคุณถึงช่วยฉัน...ฉันคิดว่าคุณจะ...”
“ปาดหน้าแย่งซื้อที่จากคุณ หรือว่าสะใจที่เห็นคุณพลาดอย่างนั้นเหรอครับ ผมไม่ได้มีอาการทางจิตนิยมเห็นคนล้มแล้วเหยียบซ้ำอย่างนั้น”
รุ้งรายปากไวไปหน่อย
“ฉันเห็นพ่อคุณชอบทำบ่อย จ้างคนมาล้วงข้อมูลขโมยความคิด ดิสเครดิตคนอื่น ก็คิดว่าคุณจะเหมือน...”
รุ้งรายหันมองปฐวีแล้วชะงักที่เขาหน้าเสียปฏิเสธไม่ได้เพราะมันเป็นความจริง รุ้งรายเห็นท่าทีของเขาแล้วรู้สึกผิดที่พูดแรงไป ก็เปลี่ยนเรื่องเลย
“ฉันขอบคุณนะคะที่ช่วยฉันวันนี้ ฉันไปก่อนนะคะ ขอบคุณอีกครั้ง”
รุ้งรายจะไป ปฐวีเรียกไว้
“เดี๋ยวครับ อ้ายเป็นยังไงบ้าง”
รุ้งรายมองแปลกใจว่าทำไมมาถามกับตัวเอง
“ผมคิดว่าอ้ายคงยุ่งเลยไม่ได้ติดต่อไป”
รุ้งรายรู้ว่าปฐวีแก้ตัว
“คุณหญิงสบายดีค่ะ ตอนนี้ไปฮันนีมูนกับเฮียราพณ์”
“ไปไหนครับ”
“ฉันว่ามันคงไม่เหมาะที่คุณจะทำตัวเป็นมือที่สามในครอบครัวคนอื่น”
ปฐวีหน้าตึง
“ผมจะทำอะไรมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของผมไม่เกี่ยวกับคุณ”
ปฐวีเดินหนีไป รุ้งรายมองตามอย่างสนใจในท่าที

ราพณ์พารสิกาเข้ามาในมุมที่ดินติดชายหาดกว้าง ทรายสีขาวละเอียด ด้านขวาติดหน้าผาและโขดหิน อีกด้านเปิดโล่ง มีต้นมะพร้าวเรียงรายให้ความรู้สึกสดชื่น
“ที่ดินผืนนี้ที่คุณจะสร้างโรงแรม”
“ครับ...มันเป็นที่ดินของอาม่าที่ยกให้กับผม ชายหาดที่เชื่อมต่อกับที่ดินผืนนี้มีโรงแรมอีกหลายแห่ง แต่ทุกแห่งแข่งกันในเรื่องความหรูหรา ความสะดวกสบาย”
“มันก็เป็นยุทธศาสตร์ของการตลาดไม่ใช่เหรอคะ”
“การมาทะเลของคุณ...มาเพื่ออะไร”
“พักผ่อนไงคะ เราอยู่ในเมือง อยู่กับที่ทำงาน อยู่กับผู้คน มันเหมือนโดนจับตาตลอดเวลา”
“แม้แต่ตอนอยู่ที่วังใช่ไหมครับ”
รสิกามองว่าทำไมเขารู้ ราพณ์ยิ้ม
“ก็ผมสังเกตไม่ว่าคุณอยู่กับใคร คุณระมัดระวังตัว รักษากิริยาตลอดเวลา มันไม่...สบายใช่ไหม”
รสิกานิ่งเป็นการยอมรับ
“คุณก็เหมือนกัน เวลาอยู่กับญาติพี่น้องตัวเองก็ไม่เห็นจะสบายนี่คะ”
“แล้วเวลาไหนที่คุณคิดว่าผมสบายที่สุด”
“เวลาอยู่กับพระลบไงคะ คุณดูผ่อนคลาย...น่า...”
รสิกาชะงักรู้สึกตัวเบรกตัวเองได้ทัน แต่หันมาเห็นราพณ์มองแบบลุ้น ๆ ว่าจะพูดว่าน่ารักใช่ไหม
“น่า...จะเป็นตอนนั้นล่ะค่ะที่คุณดูสบายที่สุด”
ราพณ์รู้ทันไม่รุกแค่ยิ้ม
“ครับ มันเป็นเวลาของครอบครัว ผมอยากมีโรงแรมสำหรับครอบครัว ความเรียบง่าย สบาย สะอาดตา และไม่ทำลายความสวยงามของธรรมชาติที่มีอยู่เดิมกลมกลืนกับธรรมชาติ ไม่ทำลาย”
“ก็ขึ้นอยู่กับกลุ่มลูกค้าของคุณด้วยนะคะ ถ้าเป็นระดับไฮเอนด์ก็คงต้องการความหรูหรา”
“โรงแรมของผมจะมีความหรูหราในเรื่องของการบริการ ที่จะทำให้ลูกค้าทุกคนรู้สึกว่าเขาคือคนสำคัญ ผมอยากให้โรงแรมของผมรองรับลูกค้าหลายระดับ เพราะไม่ว่าระดับไหนสำหรับผมก็ถือเป็นลูกค้าเหมือนกันทุกคน”
รสิกามองไม่อยากจะเชื่อ
“มันจะผิดคอนเซ็ปท์นายทุนของคุณหรือเปล่า”
“ป๊าสอนผมเสมอ หนึ่งบาทหรือหมื่นบาทล้วนมีค่าเท่ากันเพราะทุกบาทที่เขามอบให้มันหมายถึงความไว้วางใจ ดังนั้นเรามีหน้าที่บริการและทำงานตอบแทนให้ดีที่สุด ให้สมกับความไว้ใจที่ลูกค้ามอบให้”
รสิกามองเขาอย่างพินิจพิจารณา ราพณ์ชะงักที่เห็นเธอหน้าเสีย
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณหญิง”
“ฉันกำลังคิด...ว่าคุณจ่ายเงินให้กับฉันไม่น้อย คุณกำลังบอกฉันใช่ไหมว่าควรจะบริการคุณให้ดีที่สุดให้สมกับเงินที่คุณจ่าย”
ราพณ์อึ้งที่กลายเป็นเรื่องนี้ได้ยังไง
“ผมไม่ได้คิดแบบนั้นเลยนะครับ ผมแค่อธิบายวิธีคิดของผมให้คุณเข้าใจงานออกแบบที่คุณต้องทำ คุณหญิง ผมทำทุกทางที่จะเป็นการให้เกียรติคุณ ไม่เคยคิดว่าซื้อคุณมา”
“คำพูดจะให้สวยหรูแค่ไหนก็ได้ แต่การกระทำต่างหากที่จะพิสูจน์คนแล้วฉันก็ได้เห็นแล้วว่าคุณก็ไม่ต่างจากเจ้าสัว ใช้เงินเป็นเครื่องมือเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง โดยไม่สนใจว่าจะทำร้ายใคร”
ราพณ์คาดคั้น
“คุณกำลังพูดเรื่องอะไรผมไม่เข้าใจ ป๊าไปทำอะไรให้คุณต้องเจ็บแค้นขนาดนี้”
“เจ้าสัวทำลายครอบครัวฉัน”
“ไม่จริง ป๊าผมมีคุณธรรมและไม่เคยทำร้ายใคร แต่ถ้าคุณยืนยันก็ต้องบอกผมมาว่ามันมีเรื่องอะไร”
รสิกามองอย่างไม่อยากเชื่อว่าราพณ์จะไม่รู้
“จะให้ฉันพูดเพื่อตอกย้ำความพ่ายแพ้ของท่านพ่องั้นเหรอ ไม่มีทาง”

รสิกาเดินเลี่ยงไป ราพณ์มองตามไปไม่เข้าใจว่าระหว่างเจ้าสัวเรียวกับชัยประกาศเกิดอะไรขึ้น
 

 
บริษัท LK...เจ้าสัวเรียวยืนรออยู่ในห้องทำงาน รุ้งรายเคาะประตูแล้วเปิดเข้ามา
 
“ป๊าเรียกให้รุ้งมาหา คงเกี่ยวกับเรื่องที่กรมที่ดินเมื่อเช้าใช่ไหมคะ แต่รุ้งก็จัดการได้เรียบร้อยนะคะป๊า”
“แต่ถ้าปฐวีไม่เข้ามาช่วย รุ้งคงไม่มายืนตรงหน้าป๊าได้อย่างนี้ อาจจะเป็นโรงพยาบาลหรือโรงพักใช่ไหม”
รุ้งรายนิ่ง
“ใช่ไหม”
“แต่พวกนั้นลามปามกับรุ้งก่อนนะคะป๊า”
“ก่อนจะตอบโต้ประเมินกำลังคู่ต่อสู้หรือเปล่า”
รุ้งรายอึ้งเพราะวู่วาม
“คือ...มันกะทันหัน”
เจ้าสัวเรียวมองอย่างตำหนิ
“บุคคลที่เปิดช่องให้โทสะครอบงำ ยังความวิบัติให้แก่ตนเอง”
รุ้งรายหลบตาเจ้าสัวเรียว
“อย่าให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก”
“ค่ะ”
“แล้วเรื่องวศินจะจบได้หรือยัง”
“ตอนนี้เฮียก็แต่งงานเรียบร้อยแล้ว รุ้งว่ามันก็ถึงเวลาแล้วล่ะค่ะ”
“ดีแล้ว เพราะคนที่มองไม่เห็นการณ์ไกล ภัยก็จะมาถึงตัว คนไม่รู้จักตัดไฟ ภัยก็จะน่ากลัว”
“รุ้งจะระวังค่ะ”
ลินดาเปิดประตูเข้ามา รามเดินตาม
“ทำไมไม่เคาะประตู” เจ้าสัวเรียวมองลินดาอย่างตำหนิ
รามออกรับแทน
“ผมผิดเองครับ ผมเป็นคนเร่งให้ม๊ารีบเข้ามาน่ะครับ ขอโทษนะครับป๊า”
“เธอมาที่นี่ทำไม” เจ้าสัวเรียวถามเสียงเข้ม
“เจ้าสัวคงไม่ลืมนะคะว่าสัญญาอะไรกับรามไว้”
รุ้งรายมองพ่อว่าหมายถึงอะไร เจ้าสัวเรียวมองรามที่กำลังมองมาด้วยความหวัง
“ป๊าจะให้รามเรียนรู้งานกับรุ้งนะ”
รุ้งรายอึ้ง
“รามเนี่ยนะคะป๊า”
“ฝึกงานให้น้องด้วย” เจ้าสัวเรียวสั่งเสียงเข้ม
รุ้งรายรู้ว่าพ่อกำชับให้ทำตามนั้น
“ค่ะ”
รุ้งรายมองรามกับโบตั๋นอย่างไม่ชอบใจนัก

ผู้จัดการสองคนเข้ามาในห้อง รุ้งรายแนะนำราม
“คุณประสานและคุณชิตเป็นมือขวาของป๊า ราม...ฝากเนื้อฝากตัวกับทุกท่านสิ”
ลินดาโต้ทันที
“รามเป็นลูกชายคนรองของเจ้าสัวเรียว มีสิทธิ์ในการบริหารบริษัทนี้ไม่ต่างจากราพณ์”
รามมองผู้จัดการอย่างหยิ่งทะนง
“พวกคุณลุงควรให้ความร่วมมือกับผม ความคิดเก่า ๆ กับวิธีการที่มันล้าสมัย ผมคงต้องขอให้ทุกท่านทิ้งไปเพื่อเตรียมรับสิ่งใหม่ ๆ ที่มันดีกว่า”
รุ้งรายมองอย่างตำหนิ
“ราม”
รามหน้ามึน ๆ ไม่สนใจ ไม่ถ่อมตัวใด ๆ ทั้งสิ้น รุ้งรายหน้าเสีย
“รามยังใหม่กับการทำงาน ขอให้ทุกท่านช่วยดูแล สอนงานให้ด้วยนะคะ”
ผู้จัดการทั้งสองคน สบตากันอย่างไม่ค่อยพอใจรามนัก แต่จำต้องตอบ
“ยินดีครับ”
“ขอบคุณนะคะ”
ผู้จัดการทั้งสองคนแค่ยิ้มรับแล้วออกไป รุ้งรายหันมาหาราม
“สิ่งแรกที่รามควรจะเรียนรู้คือสัมมาคารวะ คุณประสานกับคุณชิตทำงานกับป๊ามานาน ประสบการณ์ และความสามารถเขามีมากกว่ามือใหม่อย่างเราเยอะ”
ลินดาเบ้หน้า
“ก็แค่ลูกจ้างรับเงินเดือน ทำตามคำสั่งทำไมจะต้องไปหงอไปฟังมัน อีกหน่อยรามก็ต้องเป็นผู้บริหาร มันต้องข่มให้อยู่ตั้งแต่ตอนนี้ ให้มันรู้ว่ารามเป็นใคร”
รุ้งรายสวน
“รุ้งว่าคุณลินดาอย่าเพิ่งคิดไปไกลเลยนะคะ ที่นี่เขานับถือคนที่การทำงานไม่ใช่ตำแหน่ง ถ้าไม่มีสมองก็อยู่ที่นี่ไม่ได้หรอกค่ะ”
รามโกรธ
“มากไปแล้วนะเจ้รุ้ง”
“น้อยไปด้วยซ้ำ แกมีหน้าที่เรียนรู้งานจากฉัน จำใส่สมองแกไว้ว่าฉันเป็นหัวหน้างานของแก”
โบตั๋นโวย
“ที่เจ้าสัวบอกไว้จะให้รามทำงานกับราพณ์ไม่ใช่เธอ”
รุ้งรายเยาะ
“คิดจะไปเป็นผู้ช่วยท่านรองประธาน ผ่านมือผู้บริหารอย่างฉันให้ได้ซะก่อนเถอะค่ะ”
ลินดาโกรธ
“คิดจะขวางกันใช่ไหม”
“ถ้ารุ้งคิดจะทำ...นายรามไม่ได้เกิดแน่ เพราะตอนนี้ที่รุ้งเป็นรองอยู่ก็แค่ป๊ากับเฮีย อยากสูงกว่ารุ้งก็ต้องพิสูจน์ด้วยการสร้างผลงานนะคะ ไม่ใช่สร้างเรื่อง” รุ้งรายมองหน้าราม “พรุ่งนี้มาเริ่มงานได้เลย”
รามคิดจะแย้ง
“ถ้าเรื่องมากก็ไม่ต้องทำ จะไปคุยกับป๊าก็ได้นะ ดูสิว่าป๊าจะฟังใคร ระหว่างคนทำงานกับเด็กหัดเดิน” รุ้งรายเสียงแข็งเอาจริง
ลินดากับรามแค้น โบตั๋นดึงให้รามเดินออกไป รุ้งรายมองอย่างสุดเซ็ง

ลินดาเดินนำมาอย่างหัวเสีย
“จำไว้นะราม ลูกต้องเขี่ยนังรุ้งให้กระเด็นให้ได้ ม๊าเกลียดหน้ามัน”
“ม๊าไม่ต้องห่วง ผมจะทำให้พวกเจ้ดูถูกเราไม่ได้อีก”

ลินดายิ้มจับไหล่ว่าดีมาก รามมองลินดาอย่างเชื่อฟัง
 
จบตอนที่ 5 
 
กำลังโหลดความคิดเห็น