xs
xsm
sm
md
lg

สามี ตอนที่ 3

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สามี ตอนที่ 3

ค่ำนั้น ในห้องนอนพระลบที่คฤหาสน์เจ้าสัวเรียว...ราพณ์นอนกอดพระลบแน่น

“ป๊ารักพระลบนะลูก”
“พระลบก็รักป๊าครับ อยากอยู่กับป๊านาน ๆ แต่ตอนนี้พระลบหายใจไม่ออก”
ราพณ์ได้สติคลายอ้อมกอด
“ป๊าขอโทษลูก”
พระลบหายใจเข้าออกยาว ๆ
“เกือบตาย”
“ตัวแค่นี้รู้จักเหรอเราว่าตายเป็นยังไง”
“ไม่รู้ครับ...จำจากทีวีมา เนียนไหมครับป๊า”
“นี่แอบดูทีวีอีกแล้วเหรอ ป๊าบอกแล้วว่า...”
“นิดนึงครับป๊า ถ้าไม่ดูแล้วเวลาพระลบไปโรงเรียนพระลบก็จะคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง เข้าใจหัวอกเด็กนะครับป๊า”
“โอเค แต่เวลาดูต้องบอกป๊า ป๊าจะดูเป็นเพื่อน โอเค”
“โอเคครับ ป๊าไม่สบายหรือเปล่าครับ”
“ทำไมคิดว่าป๊าไม่สบาย”
“ป๊าของพระลบจะยิ้มเสมอ ถ้าไม่ยิ้มแสดงว่าเป็นเรื่อง อากงบอกครับ ป๊ามีพระลบนะครับ พระลบรักป๊าที่สุดในโลก”
พระลบกอดอ้อนน่ารัก จนราพณ์รู้สึกคลายจากทุกข์รวบตัวพระลบกอดลงไปฟัดด้วยความรัก พระลบหัวเราะจั๊กจี้ ดิ้นเต็มที่ สองพ่อลูกกอดกันด้วยความอบอุ่นใจ

รสิกานั่งซึมที่โต๊ะตรงระเบียง ยังน้ำตารินเบาๆ เจ็บปวด หมวยถือถาดข้าวผัด และมีผ้าเย็นอยู่ในถาดด้วยเข้ามาวางตรงหน้า
“กินข้าว...”
“ฉันไม่หิว”
“แกต้องกิน...ฉันยอมเห็นแกนั่งอมข้าว ดีกว่าอมทุกข์แบบนี้ เห็นแล้วทนไม่ได้ว่ะ”
หมวยจับผมรสิกาไม่ให้ระใบหน้า แล้วเอาผ้าเย็นเช็ดหน้าให้
“เย็นนะแก”
“เย็นสิดี จะได้ตื่น เรื่องแค่นี้ทำเหมือนจะตาย”
“แกพูดเหมือนไม่เข้าใจฉัน มันไม่ใช่เรื่องแค่นี้”
“ฉันรู้...ถ้ามันเกิดกับตัวฉันก็คงไม่ง่าย แต่ฉันมันบ้าน ๆ น่ะแก ไม่ต้องแบกเกียรติแบกหน้าไว้เต็มสองบ่าเหมือนแก แต่คุณหญิงรสิกาที่ฉันรู้จักเข้มแข็งกว่านี้เยอะ เชื่อฉัน กินข้าว ท้องอิ่ม สมองแล่น”
รสิกามองหมวยอย่างซาบซึ้งในความเป็นเพื่อน
“ขอบใจนะหมวย”
“เปลี่ยนคำขอบใจเป็นกินข้าว เพื่อนจะชื่นใจกว่า เชื่อฉันนะ...พรุ่งนี้เราจะเจอทางออก ต้องมีสิ่งที่ดีกว่ารอเราอยู่แน่นอน”
รสิกายอมกินข้าว หมวยคอยนั่งเชียร์ยิ้มเอาใจช่วยตลอด

เช้าวันใหม่...รัตนาวลีแปลกใจ
“หญิงอ้ายยอมแต่งงาน เป็นไปไม่ได้”
เจ้าสัวเรียวยิ้มบางๆ
“เป็นไปแล้วครับ ผมจะรีบเตรียมงานให้เร็วที่สุด ยิ่งคุณหญิงมาอยู่ใกล้เราเท่าไหร่ก็ยิ่งปลอดภัย”
“แล้วเรื่องวังประกาศเกียรติ”
“ที่ผมยังไม่จ่ายให้กับประสิทธิ์เพราะอยากยื้อให้เขารู้สึกว่ายังได้วังไว้ ถ้าเราผลีผลาม ประสิทธิ์อาจจะทำเรื่องที่เราคาดไม่ถึง”
“ผลประโยชน์แท้ ๆ แต่ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าคุณราพณ์ใช้วิธีอะไรถึงทำให้หญิงอ้ายยอมแต่งงาน โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้จัก มันไม่น่าเป็นไปได้”
ราพณ์อึกอักตอบไม่ถูก เจ้าสัวเรียวมองรู้ว่าวิธีที่ราพณ์ใช้คงไม่โอเคนัก ยังไม่ทันจะช่วยเบี่ยงประเด็น เสียงรามดังเข้ามา
“สวัสดีครับป๊า”
เจ้าสัวกับรัตนาวลี ราพณ์หันไปเห็นรามเข้ามา เจ้าสัวเรียวดีใจ เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น รามจะเป็นคนที่อัธยาศัยดี น่ารัก ช่างเอาใจ อ้อนเจ้าสัวเสมอ ทำให้เจ้าสัวเอ็นดูและสงสารไปในคราวเดียวกัน
“เจ้าราม...กลับมาถึงเมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกป๊าก่อน”
“เซอร์ไพร์สไงครับป๊า ผมเพิ่งกลับมาถึงครับ ผมตามแฟนกลับมา”
เจ้าสัวเรียวหน้าเสีย รามหันไปทางรัตนาวลีที่ชะงักอึ้งไป
“สวย สง่าแบบนี้ คุณแม่เลี้ยงของผมใช่มั้ยครับ สวัสดีครับ”
รัตนาวลียิ้มรับ
“สวัสดีค่ะคุณราม”
รามตีหน้าเศร้ามาก
“ขอโทษนะครับที่ผมคงแต่งงานกับลูกสาวคุณแม่ไม่ได้ เพราะผมรักแฟนของผมมากน่ะครับ”
รัตนาวลีชะงักมองเจ้าสัวเรียวที่อึ้งๆที่รามพูดโพล่งมาแบบนี้

รามทิ้งตัวลงนั่งหน้าซื่อมากเหมือนไม่ได้ทำอะไรผิด ราพณ์กับเจ้าสัวเรียวมองอย่างหัวเสีย
“ทำไมแกถึงพูดจาไม่คิดต่อหน้าหม่อมวลี”
รามยิ้มๆ
“ผมคิดแล้วนะครับป๊า คิดดีด้วย”
“ราม” ราพณ์ปราม
“ผมทำให้ผู้หญิงต้องเจ็บปวดเพราะถูกผมปฏิเสธไปหลายคนแล้ว ผมไม่อยากทำบาปเพิ่มอีก”
เจ้าสัวเรียวระอา
“แต่ถ้าแกปฏิเสธเขา แกนั่นแหละที่จะเสียใจ ผู้หญิงที่ดีพร้อมแบบนี้ที่ป๊าเลือกให้แก”
“ผมก็มีผู้หญิงที่เลือกแล้วเหมือนกันครับ ปิ๋มเป็นถึงลูกสาวท่านทูตเลยนะป๊า แล้วเขาก็ชอบผมมากด้วย เขามาก่อน ผมทำให้เขาเสียใจไม่ได้หรอก”
“แต่แกต้องแต่งงานกับคุณหญิงรสิกา” เจ้าสัวเรียวเสียงแข็ง
“ขอโทษครับป๊า แต่ผมทำตามที่ป๊าต้องการไม่ได้จริงๆ”
“ราม...โอ้ย”
เจ้าสัวเรียวโมโหจนมีอาการเจ็บอก
“ป๊า” ราพณ์เข้าไปประคอง “ราม เห็นมั้ยว่าแกทำอะไรลงไป”
รามสีหน้าดูรู้สึกผิดจริง
“ขอโทษนะเฮีย ขอโทษนะครับป๊า ผมคงทำให้ทุกคนที่อยากแต่งงานกับผมสมหวังไม่ได้ ปิ๋มคนเดียวเท่านั้นที่โชคดี ผมฝากเฮียดูแลป๊าด้วยนะครับ”
รามเดินออกไปเลย ราพณ์พอใจที่รามไม่ยอมแต่งกับรสิกาแต่เก็บอาการไว้ แต่อาการของราพณ์ก็ไม่รอดพ้นสายตาเจ้าสัวเรียว เขาแกล้งพูดหยั่งเชิง
“แล้วจะบอกคุณวลียังไง ป๊ากลุ้มใจจริงๆ”
ราพณ์เห็นแก่พ่อด้วย ตามใจตัวเองด้วย
“ป๊ายังมีผมอีกคนนะครับ”
เจ้าสัวเรียวเข้าล็อกแต่ยังเนียนต่อ
“ราพณ์ ลื้อหมายความว่าไง”
“เพื่อรักษาหน้าให้ป๊า และรักษาน้ำใจคุณวลี ผมจะยอมแต่งงานกับ คุณหญิงรสิกาแทนรามเอง”
“ทำอย่างนั้นได้ยังไง แกหนีดูตัวบ่อยๆ บอกว่าไม่พร้อมมีครอบครัวไม่ใช่เหรอ”
ราพณ์ตอบเนียนๆ
“เพื่อป๊า ผมจะยอมครับ”
เจ้าสัวเรียวมองออกว่าลูกชายกำลังใช้เล่ห์เหลี่ยมตบตาเพื่อไม่ให้เขาเจ้าจับได้ว่าลูกรู้สึกอย่างไรกับรสิกา
“ป๊าขอโทษนะราพณ์ที่ทำให้ราพณ์ลำบากใจ ราพณ์ทำเพื่อรักษาหน้าป๊าใช่มั้ย...ใช่มั้ยราพณ์”
“ครับ”
ราพณ์รับคำแต่ก็รู้สึกแปลกๆ ที่เจ้าสัวเรียวย้ำถามไปมา
“แต่...คุณหญิงไม่ชอบหน้าแกนะราพณ์ แกบอกเขาว่าให้แต่งกับเจ้ารามแล้วกลายเป็นแกแทน...ต้องอาละวาดแน่”
“ก็ต้องลองดูครับ ผมคิดว่าผมมีวิธี”
เจ้าสัวเรียวทำเป็นตื่นเต้น
“เหรอ...แกมีวิธีเหรอ”
เจ้าสัวเรียวถามทั้งที่มั่นใจว่าคนอย่างราพณ์ถ้าจะทำอะไรต้องมีแผนการอยู่ในหัวแล้ว

ลินดาเดินลงมาชั้นล่างชะงักมองไล่จากหน้าประตูเห็นเสื้อตัวจ้อยวางอยู่ที่พื้น เธอเดินไล่มองจนเห็นเป็นเสื้อชั้นใน ก็เดาได้ทันทีรีบเดินไปที่ห้องรับแขก แล้วชะงักที่เห็นรามกำลังนัวเนียอยู่กับผู้หญิงกลางพื้นห้อง
“ไอ้ราม” โบตั๋นโกรธจัดแผดเสียงดังสนั่น
“แม่”
ผู้หญิงตกใจรีบวิ่งคว้าหมอนสองใบมาปิดตัวทันที
“แกเอาอีตัวมานอนในบ้าน” ลินดาชี้หน้าด่าผู้หญิง “อีสกปรก แกออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้” ลินดาคว้าของขว้างใส่ “ก่อนที่ฉันจะฆ่าแก ไป”
ผู้หญิงลนลานรีบวิ่งไปเก็บเสื้อผ้าวิ่งออกไป
“ไอ้ราม”
“อย่าเสียงดังน่าม๊า ปวดหัว”
“แกทำตัวเละเทะแบบนี้ ถ้าโดนเจ้าราพณ์แย่งสมบัติไปหมดจะว่ายังไง แทนที่จะเข้าบริษัทดูแลสมบัติตัวเอง”
“แค่ค่าเลี้ยงดูไม่พอเหรอม๊า ไม่เหนื่อยด้วย ไม่ต้องไปนั่งทำงานงกๆแต่ก็มีเงินใช้ เลิกคิดจะฮุบบริษัทป๊าเถอะ แล้วเฮียราพณ์ก็รักผมมาก เฮียไม่ทำร้ายผมหรอก เฮียไม่ใช่ม๊านี่”
ลินดาตบหน้าราม เพียะ รามตะลึง
“ถ้ามันรักแกจริง ทำไมมันถึงไล่ม๊ากับแกออกมา ถ้ามันรักแก ทำไมป๊าถึงต้องส่งแกไปเมืองนอก”
รามลังเล
“ก็ผมไม่สบาย”
“แกมันโง่ ไอ้ราพณ์กับน้อง ๆมันเป่าหูป๊าแก มันบอกว่าแกเป็นบ้า”
“ไม่...ผมไม่ได้บ้า”
“แต่ป๊าแกเชื่อพวกมัน พวกมันทำให้แกหัวเน่า ไม่มีค่าในสายตาป๊าแกมันหวังเขี่ยแกจากกองมรดก พวกมันเกลียดแก ไม่มีใครรักแก ป๊าก็ไม่รักแก”
รามไม่อยากเชื่อ ไม่ยอมเชื่อ
“ไม่จริง ป๊ารักผม เฮียรักผม ทุกคนรักผม” รามตะโกน “ทุกคนต้องรักผม”
รามทรุดตัวลงร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างสติขาด

“ทุกคนต้องรักผม”

 
ลินดามองรามตั้งสติแล้วขยับเข้าไปปลอบโยนราม ลินดาเปลี่ยนเสียงอีกแบบ กอดราม

 
“ม๊ารักรามนะลูก ถ้ารามอยากให้ป๊ารัก ทรามต้องเอาใจป๊าเป็นเด็กดีสิลูก ถ้าป๊าจะให้รามแต่งงาน รามก็ต้องแต่ง” ลินดาเกลี้ยกล่อม “ป๊าจะได้รักรามไงลูก ชนะไอ้ราพณ์ แล้วป๊าจะรักราม รามต้องชนะไอ้ราพณ์”
“ผมจะชนะเฮียราพณ์ ผมจะชนะเฮียราพณ์”
ลินดาพอใจ
“ดีมากลูกรัก ดีมาก”
รามตัวสั่นพูดตามเหมือนโดนสะกดจิต เจอภาวะที่ลินดาจิตใส่มาตั้งแต่เด็ก

เจ้าสัวเรียวหัวเราะอย่างพอใจ รุ้งรายเข้ามา
“วันนี้ป๊าอารมณ์ดี มีเรื่องอะไรคะ รุ้งอยากอารมณ์ดีด้วย”
“อาเฮียของลื้อจะเป็นฝั่งเป็นฝาน่ะสิ ว่าแต่ลื้อแต่งแน่นะ ราพณ์”
“แน่ครับ”
เจ้าสัวเรียวหัวเราะพอใจ รามเข้ามาได้ยินพอดี
“ถ้ารุ้งเก่งอย่างเฮียก็ดี” รุ้งรายเข้าไปนั่งข้างเจ้าสัวเรียว “รุ้งจะได้เป็นลูกรักบ้าง”
“ป๊ารักลูกทุกคนเท่ากัน” เจ้าสัวเรียวเหลือบเห็นราม “แต่เฉพาะลูกที่มันเอาถ่านนะพวกไม่ได้เรื่องก็ตัดหางปล่อยวัดให้หมด” เจ้าสัวเรียวตบไหล่ราพณ์อย่างพอใจ ภูมิใจ “ราพณ์ไม่เคยทำให้ป๊าผิดหวังเลย”
“ป๊าครับ...ผมจะแต่งงานกับคุณหญิง”
ทุกคนชะงักหันมองราม
“ผมคิด ๆ แล้ว ผมควรจะทำให้ป๊าสบายใจ ผมก็เลย...”
รุ้งรายเห็นราพณ์หน้าเสีย
“พูดอะไรของแก คนที่จะแต่งงานกับคุณหญิงคือเฮียราพณ์คนเดียว”
“แต่ป๊าบอกผม ป๊าอยากให้ผมแต่ง” รามเถียง
รุ้งรายกับราพณ์มองเจ้าสัวเรียวว่าจะเอายังไง เจ้าสัวเรียวตัดสินใจ
“ป๊าเปลี่ยนใจแล้ว ราพณ์จะเป็นคนที่ต้องแต่งงานกับคุณหญิง เรื่องนี้จบแล้วนะไม่ต้องพูดอีก” เจ้าสัวเรียวหันไปหาราพณ์ “หม่อมวลีไปที่วังตั้งแต่เช้าแล้ว เราไปรับหม่อมวลี ถึงเวลาจัดการเรื่องวังให้เรียบร้อย แล้วป๊าจะพาไปฉลอง”
เจ้าสัวเรียวโอบไหล่ราพณ์ออกไป รุ้งรายตามออกไป รามมองอย่างอิจฉา

รสิกาเดินออกมาจากห้องน้ำนั่งลงที่โต๊ะเครื่องแป้ง รัตนาวลีเข้ามา รสิกาชะงักที่เห็น
“หม่อมแม่...มาแต่เช้ามีอะไรหรือเปล่าคะ”
“แม่เห็นลูกยังไม่ลงไปทานข้าวเช้า” รัตนาวดีรสิกานิ่งๆก็เข้ามาแตะที่หน้าผาก “ไม่สบายหรือเปล่า”
“อ้ายไม่ได้เป็นอะไรค่ะ” เธอขยับลุก “เดี๋ยวอ้ายจะเข้าออฟฟิศ”
เสียงหวีดร้องเอาเรื่องของแหววดังมาจากชั้นล่างดังขึ้น
“ไอ้พวกบ้า อย่าเอาไปนะ”
รสิกากับรัตนาวลีรีบลงไปชั้นล่างทันที

รสิกากับรัตนาวลีเดินออกมาที่ด้านหน้า เห็นว่ามีรถบรรทุกที่ด้านหลังมีของใช้ในวังที่โดนขนขึ้นไปชิ้นสองชิ้นแล้ว ประสิทธิ์กับสุรีย์ส่องกำลังยืนมองแหววกับลูกน้องที่ยื้อขาเก้าอี้เดี่ยวกับลูกน้องของ ประสิทธิ์ที่จะขนขึ้นหลังรถ
“ปล่อย เก้าอี้คุณท่าน เอาไปไม่ได้”
ลูกน้องประสิทธิ์พยายามจะกระชากแต่แหววยึดไว้สุดตัว
“ปล่อยนะนังแหวว”
สุรีย์ส่องจะเหวี่ยงมือฟาดแหววให้ปล่อย มือของรสิกาเข้ามายึดข้อมือสุรีย์ส่อง
“เธอไม่มีสิทธิ์ทำร้ายคนของฉัน”
สุรีย์ส่องจะสะบัดให้หลุดแต่ไม่น่าเชื่อแรงโกรธของรสิกามีมาก รสิกาบีบแน่นจนสุรีย์ส่องสะบัดไม่หลุด รสิกาสั่งกับลูกน้องประสิทธิ์
“วางเก้าอี้ลง”
เสียงรสิกาไม่ได้กระชากหรือตะคอกแต่เปี่ยมด้วยอำนาจ สายตาของเธอทำให้พวกลูกน้องรู้สึกเกรงในความเป็นเจ้าของบ้านวางเก้าอี้ลง รสิกาปล่อยมือ สุรีย์ส่องเองเห็นสายตาของรสิกายังต้องขยับไปหลบที่ด้านหลังของพ่อ รัตนาวลีหันไปสั่ง
“แหววโทรแจ้งความ”
“ดี ให้ตำรวจมาเป็นพยาน เพราะได้เวลาที่ลูกหนี้จะต้องออกไปจากวังนี้”
รัตนาวลีกับรสิกาอึ้ง
“ยังไม่ครบกำหนด อ้ายจะไม่มีวันออกจากบ้านตัวเองเด็ดขาด” รสิกาเถียง
สุรีย์ส่องมองหน้า
“อีกสองชั่วโมงจะถึงกำหนดที่ตกลงไว้ เอามาสิ เงินแปดสิบล้าน มากองตรงหน้าพวกฉันเดี๋ยวนี้”
รสิกาอึ้ง
“แม่จะโทรหาเจ้าสัว...” รัตนาวลีเดินกลับเข้าไป
รสิกาจับมือรัตนาวลียึดไว้ คือสับสนอยากรักษาวังแต่ก็ไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณเจ้าสัวเรียว
“อ้าย”
สุรีย์ส่องเยาะ
“ไม่มีปัญญาใช่ไหม ในที่สุดวังนี้ก็ต้องเป็นของฉัน”
“ต่อให้ได้วังไป ก็เปลี่ยนกำพืดเธอไม่ได้หรอกนะ”
“นังรสิกา”
“อยากเป็นผู้ดีต้องให้ดีจากข้างใน ถ้าดีเอ็นเอเป็นแค่กาจะเชิดหน้าเป็นหงส์ด้วยการประโคมแอสเซสเซอรี่อย่างที่เธอชอบทำ ฉันว่ามันน่าสมเพช”
สุรีย์ส่องโมโหจะเดินเข้าจัดการรสิกา แต่เสียงแตรดังมาจากทางหน้าบ้าน ทุกคนชะงัก รถของราพณ์แล่นเข้ามา เจ้าสัวเรียวกับราพณ์ลงมาจากรถ
“ดูจากสภาพ คนพวกนี้ไม่ได้มาดีใช่ไหมครับคุณวลี” เจ้าสัวราพณ์บอกกับประสิทธิ์ “จะออกไปเอง หรือบริการพาเหินออกนอกวังล่ะครับ”
“ที่นี่เป็นของผมแล้ว” ประสิทธิ์โชว์ใบสัญญาขายฝากที่มีลายเซ็นหม่อมเจ้าชัยประกาศ “หม่อมจำได้ไหมว่าลายเซ็นผู้กู้ยืมเป็นลายเซ็นของใคร”
เจ้าสัวเรียวก้าวมายืนข้างรัตนาวลีท่าทางกวน ๆ
“ครบกำหนดตอนหกโมงเย็นนี่พึ่งสี่โมงใจร้อนไปหรือเปล่า”
“มันไม่ใช่เรื่องของเจ้าสัว”
“คุณรัตนาวลีเป็นภรรยาผม”
“เท่ากับหม่อมเป็นคนนอกตระกูลประกาศเกียรติไปแล้ว ทีนี้มันเป็นเรื่องของผมกับหญิงอ้ายที่ต้องตกลงกัน”
รัตนาวลีกับเจ้าสัวเรียวอึ้งที่โดนประสิทธิ์ย้อน ราพณ์เสียงดังขึ้นมา
“งั้นผมก็มีสิทธิ์ยุ่งเรื่องนี้”
รสิกา ประสิทธิ์ สุรีย์ส่องมองราพณ์ว่าหมายความว่ายังไง
“เพราะผมกับคุณหญิงกำลังจะแต่งงานกัน”

ทุกคนอึ้ง รสิกาตะลึงที่รู้ว่าต้องแต่งงานกับราพณ์

 
ราพณ์มองทุกคนอย่างคนอย่างพอใจที่ตัวเองคุมสถานการณ์ได้
 
“คราวนี้คงเข้าใจตรงกันแล้วว่า...ผมไม่ยุ่งเรื่องนี้ ไม่ได้”
ประสิทธิ์ไม่ยอม
“ไม่ว่ายังไงก็ตาม ถ้าฉันไม่ได้เงินแปดสิบล้านในสองชั่วโมงนี้...”
ราพณ์หันมองเจ้าสัวเรียวทั้งคู่ยิ้ม

ในวังประกาศเกียรติ กระเป๋าเงินสองใบที่มีเงินอัดแน่นถูกเปิดต่อหน้าประสิทธิ์และสุรีย์ส่อง ที่มองอย่างอึ้งๆ นึกไม่ถึง
“เรียบร้อยนะครับ” ราพณ์ถามเสียงเข้ม
สุรีย์ส่องยังไม่ยอมแพ้
“อย่าไปรับนะคะพ่อ สุจะเอาวังนี้”
เจ้าสัวเรียวมองหน้าประสิทธิ์
“คุณประสิทธิ์คงไม่คิดทำตัวเหมือนเด็กเล่นขายของ พลิกลิ้นไปมาอย่างที่ลูกสาวคุณกำลังทำหรอกนะ”
ราพณ์เสริมันที
“แต่ถ้าคุณประสิทธิ์คิดจะทำ ก็คงต้องฟ้องศาลนะครับ มีเจตนาไม่รับเงินใครผิดสัญญา ใครจะแพ้ก็จะได้รู้กัน”
รสิกาจะออกตัวว่าไม่อยากได้รับความช่วยเหลือจากราพณ์และเจ้าสัวเรียว แต่ประสิทธิ์เอ่ยขึ้นก่อน
“จะซื้อวังประกาศเกียรติให้สองแม่ลูกนี่ว่างั้น”
“ซื้อสถานะความเป็นเจ้าหนี้ของคุณต่างหาก”
รสิกามองหน้าราพณ์ อย่างไม่เข้าใจว่าเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่
“ถึงวังนี้จะเก่า แต่ก็คงมีคุณค่าสำหรับทุกคนที่อยู่ในที่นี้”
ราพณ์สบตาแม่นม แหวว และคนรับใช้ทุกคนในวัง ประสิทธิ์ยิ้มเหยียด
“ไอ้วังเสื่อมๆ เนี่ยน่ะเหรอ มีค่า”
เจ้าสัวเรียวมองหน้า
“มีไม่มีคุณก็อยากได้ ใช่มั้ยคุณประสิทธิ์ โบราณสถานเขายังต้องขึ้นทำเนียบรักษาไว้ไม่ให้ไอ้พวกคนพาลมาทำลาย วังนี่ก็เหมือนกันใช่มั้ย หม่อม”
“ใช่ค่ะ ไม่ควรให้เสื่อม เพราะคนพาลเข้ามาทำลาย” รัตนาวลีบอกกับสุรีย์ส่อง “เอาสัญญามาให้อายัยสุ”
สุรีย์ส่องจะไม่ให้ แต่รัตนาวลีดึงมานิ่งๆ อย่างมีอำนาจเหนือกว่า และฉีกทิ้งต่อหน้าทุกคนแล้วดูนาฬิกา
“ทุกอย่างอยู่ในเวลาที่กำหนดและเป็นไปตามข้อตกลง นอกจากเงินแปดสิบล้านจะซื้อสถานะเจ้าหนี้ของพวกคุณแล้ว ก็ขอให้เงินจำนวนนี้ซื้อความเป็นญาติจากพวกคุณด้วย”
รัตนาวลีมองหน้าสุรีย์ส่องและประสิทธิ์อย่างเอาจริง
“เมื่อขายขาดกันไปแล้ว ก็ขอให้สิ้นสุดการเป็นญาติกันแต่เพียงเท่านี้ ต่อไปพวกคุณไม่มีสิทธิ์ในวังของท่านชายอีก” รัตนาวลีบอกกับทุกคนในวัง “ต่อไปวังชัยประกาศจะต้อนรับแต่ญาติและมิตรแท้เท่านั้นขอให้ทุกคนจำไว้”
เจ้าสัวเรียวยิ้มพอใจกับการจัดการที่เอาจริงเอาจังของรัตนาวลี ประสิทธิ์โกรธ
“หม่อมรัตนาวลี”
“และเมื่อไม่ใช่ญาติก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ และถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง...แหวว โทรเรียกตำรวจ แจ้งข้อหาบุกรุกกับคนที่ไม่ใช่ญาติของเราที”
ประสิทธิ์แค้น
“หม่อมจะต้องเสียใจที่ทำกับผมแบบนี้”
“คนที่จะเสียใจคงมีแค่ท่านชาย ที่นับญาติกับสัมภเวสีโดยไม่รู้ตัว”
สุรีย์ส่องมองเหยียด
“อยู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาเป็นคนจริงจังแบบนี้ หม่อมอาเปลี่ยนไปเยอะนะคะ ตั้งแต่ต้องขายตัวแลกเงิน”
เจ้าสัวเรียวเดือดจะจัดการให้ แต่รัตนาวลีจัดการได้อย่างนิ่งและเย็นกว่า
“แหวว แจ้งข้อหาหมิ่นประมาทเพิ่มไปด้วย อ้าย เตรียมตัวนะลูก ถ้าต้องถึงกับฟ้องศาลเพื่อสั่งสอนคนที่ดูถูกเราบ้าง เราก็ต้องทำ”
รสิกา อึ้งๆ แต่ก็รับคำ
“ค่ะหม่อมแม่”
“ปกติผมไม่ค่อยว่าง แต่ถ้าต้องไปเป็นพยาน ผมก็น่าจะจัดคิวให้ได้นะครับหม่อม” ราพณ์เสริม
“ขอบคุณค่ะคุณราพณ์” รัตนาวลีหันไปไล่ประสิทธิ์และสุรีย์ส่อง “ไปสิคะ”
เจ้าสัวเรียวมองเยาะ
“นั่นสิ ไล่อยู่ตั้งนานแล้วทำไมยังดื้อด้านอีก”
รัตนาวลียิ้มนิ่งๆ เป็นการตอบรับ ประสิทธิ์กับสุรีย์ส่องหมดทางต่อกร
“ไปยายสุ”
สุรีย์ส่องยังดื้อด้าน
“แต่...”
“แค่นี้แกยังไม่เหวอะพออีกหรือไง”
ประสิทธิ์ลากสุรีย์ส่องออกไป รัตนาวลีหันมาหารสิกา
“หมดเรื่องสักทีนะลูก”
“แล้วเราก็จะได้แต่งงานกันให้จบๆนะคุณหญิงรสิกา”
ราพณ์ยิ้มแย้มอารมณ์ดี รสิกาโมโหใส่ทันที
“ที่คุณพูดว่าฉันต้องแต่งงานกับคุณ มันหมายความว่ายังไง”
ราพณ์ ยิ้มกวน
“จะคุยเรื่องนี้...ตรงนี้...เลยใช่มั้ย”
รสิกามองกลุ่มคนรับใช้ที่มองอยู่ เธอหันมองหน้าเขาแล้วเดินนำเข้าไปในบ้าน รัตนาวลีหนักใจ
“คุณราพณ์”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจัดการได้”
ราพณ์เดินตามเข้าไป รัตนาวลีหันมาหาเจ้าสัวเรียว
“เจ้าสัวคะ ฉันต้องการคำอธิบาย”

เจ้าสัวเรียวยิ้มพร้อมรับการซักไซ้ไล่เรียงอยู่แล้ว

 
รสิกาเดินนำเข้ามาในห้องหนังสือ ราพณ์เดินตามมา เธอหันมาอย่างเหลืออด
 
“ตามข้อตกลงฉันต้องแต่งงานกับน้องชายคุณ”
ราพณ์ เดินเข้าหารสิกา
“จะแต่งกับคนไหนก็เหมือนกัน เพราะคุณก็ไม่ได้พิศวาสน้องชายหรือว่าตัวผม”
“ฉันไม่เคยนึกพิศวาสอะไรในตัวคุณเลยนะ”
“พูดแบบนี้ หรือว่าคุณพิศวาสน้องชายผมทั้งที่ยังไม่เห็นหน้า คุณนี่ไวไฟใช่เล่นนะ”
“ปากสกปรก”
รสิกาจะตบ ราพณ์จับมือไว้ รสิกาโกรธมาก
“ผู้ชายอย่างคุณมันน่าขยะแขยงเหลือเกิน”
ราพณ์สะเทือนใจแต่เก็บอาการไว้ แล้วใช้สองมือจับรสิกากระชากมาประชิดอก
“งั้นคุณคงต้องฝึกให้ชินกับความสกปรกของผมแล้วล่ะ เพราะผู้ชายที่คุณขยะแขยงคนนี้กำลังจะได้เป็นสามีของคุณหญิงรสิกา ประกาศเกียรติ”
สองคนสบตามองหน้ากัน
“แล้วคุณจะได้รู้ว่า ผมสกปรกจริงรึเปล่า”
ราพณ์จ้องหน้ารสิกา ราพณ์เผลอตัวจะก้มหน้าเข้าหา รสิกาผลักเขาออกห่างอย่างโกรธแค้น
“ฉันไม่ใช่สิ่งของที่คิดจะโยนให้ใครก็ได้”
“แล้วถ้าคิดว่ามันเป็นข้อตกลงทางธุรกิจล่ะ จะสบายใจขึ้นมั้ย ทั้งเรื่องเงินให้คู่กรณี แล้วก็วังนี้ เทียบกับเงินแปดสิบห้าล้านที่ผมจ่ายไป”
“กำลังจะพูดว่าที่ฉันได้มา มันเกินคุ้มใช่ไหม”
ราพณ์ยิ้มว่ารสิกาเข้าใจถูกแล้ว
“นายทุน ฉันไม่ยอมเป็นลูกหนี้คนอย่างคุณแน่”
“คุณยังมีทางเลือกอีกเหรอครับ คุณหญิง”
รสิกายิ้มอย่างตัดสินใจ
“ถ้าฉันต้องแต่งงานกับคุณ ฉันยอมเป็นหม่อมไร้วังซะยังดีกว่า”
รสิกาเดินออกไป ราพณ์หน้าเสียที่ทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่คิด

ทุกคนรอฟังอยู่ว่าจะเป็นยังไง เมื่อรสิกาออกมาจากห้อง เธอหันไปสั่งแหววกับแม่นม
“นมจ๊ะ พี่แหวว เก็บของ เราจะย้ายออกจากวังนี้ ทันทีที่หาที่อยู่ใหม่ได้”
รัตนาวลีกับเจ้าสัวอึ้ง
“อ้ายยอมเสียวังนี้ ดีกว่าแต่งงานกับคนที่อ้ายเกลียด”
แม่นมขัดขึ้น
“คุณหญิงขา ถ้าท่านพ่อรับรู้...”
รสิกามองรูปของท่านชายชัยประกาศ
“อ้ายเชื่อว่าท่านพ่อจะรับรู้และยินดีที่อ้ายตัดสินใจทำแบบนี้”
รสิกาเดินขึ้นข้างบนไป
“อ้าย”
รัตนาวลี ตามรสิกาขึ้นไป เจ้าสัวหันมองราพณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ราพณ์”
ราพณ์หนักใจ

รสิกาเดินมาหน้าประตูห้องนอน รัตนาวลีตามมายื้อไว้
“อ้าย...”
“อ้ายไม่ใช่สิ่งของที่จะโยนให้ใครเมื่อไหร่ก็ได้ อ้ายเป็นคนมีศักดิ์ศรีมีหัวใจ แต่หม่อมแม่กลับร่วมมือกับพวกเขาเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของอ้ายไม่เหลือดี”
“ทุกคนทำเพื่ออ้ายนะลูก”
“ถ้าหม่อมแม่จะทำเพื่ออ้ายจริงๆ ทำไม่ไม่ทำหน้าที่ของแม่ แม่ที่ยืนเคียงข้างลูก แต่นี่หม่อมแม่แสดงให้เห็นแล้วว่า เลือกที่จะอยู่ข้างสามีของหม่อมแม่”
รัตนาวลีเสียใจน้ำตาไหลพราก รสิกาเองก็ทนเก็บกลั้นความเสียใจไว้ไม่อยู่เหมือนกัน ทั้งคู่ร้องไห้เสียใจไม่แพ้กัน รัตนาวลีเดินเข้าหารจับตัวรสิกา
“อ้าย”
รสิกาเบี่ยงตัวหนีแล้วเดินเข้าห้องไป รัตนาวลีพยายามเคาะประตูเรียก
“อ้าย...อ้าย”
รสิกาไม่ยอมเปิดประตู รัตนาวลียิ่งร้องไห้หนัก...รสิกายืนร้องไห้ พูดคำพูดที่อยากจะพูดกับแม่
“อ้ายรู้สึกอดสูกับตัวเองเหลือเกินค่ะหม่อมแม่”
รัตนาวลีพยายามเรียกอย่างร้อนใจแต่ไม่ได้รับการตอบรับสักนิด
“อ้าย...อ้าย เปิดประตูให้แม่สิลูก”
แม่นมเข้ามา
“หม่อมคะ หม่อมก็ทราบว่าตอนนี้คุณหญิงจะไม่ยอมพูดกับหม่อมแน่นอน ยิ่งตื้อก็ยิ่งโหมไฟ ห่างๆ ให้ไฟมอดลงก่อนนะคะ”
รัตนาวลีหยุดเคาะประตูเรียก แต่ไม่ละสายตาจากประตูห้องของลูกสาว
“นะคะหม่อม นมจะดูแลคุณหญิงเองค่ะ”

ปฐวีตกใจกับเรื่องราวที่สุรีย์ส่องเล่าให้ฟัง
“อ้ายเนี่ยนะขายตัวแลกกับวัง แกพูดบ้าอะไรยายสุ”
“ทำไมยายน้องแสนวิเศษของพี่ จะคิดสบายทางลัดกะเขาบ้างไม่ได้เหรอ”
“หยุดว่าร้ายอ้าย ถ้าเป็นแกก็ว่าไปอย่าง”
สุรีย์ส่องกรีดเสียงใส่
“สุเป็นน้องของพี่นะไม่ใช่นังอ้าย พี่กับมันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันด้วยซ้ำ”
“ถ้าเปลี่ยนกันได้ก็คงดี”
สุรีย์ส่องจะกรี๊ดใส่ ปฐวีจ้องหน้า
“ไม่ต้องกรี๊ด พี่รำคาญ เธอไม่เคยสู้อ้ายได้เลยรู้ตัวไหม”
สุรีย์ส่อง โกรธ
“อะไรที่สุสู้มันไม่ได้”
ปฐวี พูดเสียงเรียบแต่แทงทะลุกลางใจสุรีย์ส่องมาก
“ความเป็นผู้ดี...”
สุรีย์ส่องขึ้นเลย
“พีวี”
“พยายามชนะมาตลอดแต่ก็ได้แค่พยายามน่ะนะ พยายามต่อไป...พี่เอาใจช่วย”
สุรีย์ส่องกรี๊ดด้วยความโกรธ
“พี่วี”
ปฐวีออกไป ทิ้งให้สุรีย์ส่องอาละวาดอย่างขัดใจ

ค่ำนั้น...รสิกาเครียดมองไปรอบๆ ห้อง พลางเดินไปหยิบรูปถ่ายของท่านชายมาดู เธอร้องไห้ที่ไม่สามารถรักษาวังนี้ไว้ได้
“ถ้ารักษาวังนี้ไว้ได้ แต่อ้ายต้องแต่งงานกับคนน่าขยะแขยงแบบนั้น ท่านพ่อก็คงจะเสียใจเหมือนกันใช่มั้ยคะ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“คนดีของนม ขอพวกเราเข้าไปหน่อยเถอะนะ”
รสิกาเปิดประตู แม่นม แหวว ป้านวล ป้านางคนรับใช้อื่น ๆ ของวังพากันเข้ามาต่างเห็นน้ำตารสิกาก็อึ้งกันไป ป้านางโผเข้าไปทันที
“คุณหญิงของป้า อย่าร้องไห้เลยนะคะ คุณหญิงยังมีพวกป้าอยู่นะคะ”
“อ้ายกำลังจะทำให้ทุกคนลำบาก”
“ป้ายอมลำบากดีกว่าให้คุณหญิงของป้าต้องเสียน้ำตา แก่ ๆ อย่างป้าอีกไม่นานก็ตาย ป้าไม่กลัวหรอกค่ะ” ป้านางพูดปลงๆ
“คุณหญิงไม่ต้องให้เงินเดือนแหววนะคะ แล้วแหววจะช่วยทำงานด้วยอีกแรง”
ป้านวลเสริม
“ป้าก็จะช่วยด้วยค่ะ ไม่ว่าคุณหญิงจะไปอยู่ที่ไหน พวกป้าจะไปกับคุณหญิงด้วย พวกเราจะไม่มีวันทิ้งคุณหญิงเด็ดขาด”
รสิกามองป้า ๆ ทุกคนที่มีสายตามุ่งมั่นยืนยันเจตนารมณ์ของตัวเอง รสิกานั่งลงยกมือไหว้ทุกคนด้วยความซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณทุกคนนะคะที่รักอ้าย ขอบคุณจริงๆ ค่ะ อ้ายสัญญาว่าจะไม่ทำให้ทุกคนต้องลำบาก”
ป้า ๆซึ้ง
“คุณหญิงของป้า”
รสิกากับกลุ่มป้าๆ กอดกันกลมด้วยความรัก แม่นมตัดบท
“เอาล่ะ ๆ ให้คุณหญิงพักผ่อนได้แล้ว”
แต่ทุกคนก็ยังกอดรสิกาไม่ยอมปล่อย แม่นมถอนใจหันมองแหววเป็นเชิงสั่งให้ทำตาม แหววรู้หน้าที่เข้าไปแยกอย่างละม่อม
“ป้า ๆ จ๋า ไปเก็บของกันเถอะนะจ๊ะ ไปนะจ๊ะ ไปนะ”
แหววแยกพวกป้าๆ ออกจากรสิกา ทุกคนไม่กล้าขัดพากันแตกกระเจิงออกไปคนละทิศคนละทาง รสิกามองแม่นม
“ไม่เป็นไรนะคะคนดีของนม เอาไงเอากัน”

รสิกากอดแม่นมอย่างต้องการที่พึ่ง

สามี ตอนที่ 3 (ต่อ)

เจ้าสัวเรียวกับรัตนาวลี เดินคุยกันเข้ามาที่ห้องรับแขกคฤหาสน์

“ฉันทราบว่าคุณรามไม่ต้องการแต่งงานกับหญิงอ้าย แต่จู่ๆ ให้หญิงอ้ายไปแต่งงานกับคุณราพณ์ โดยไม่ถามความสมัครใจ หญิงอ้ายเป็นคนนะคะ ไม่ใช่สิ่งของที่จะโดนทำเหมือนไม่มีชีวิตจิตใจแบบนี้”
“หม่อมใจเย็น ๆ นะครับ”
“ฉันเย็นไม่ไหวหรอกค่ะ ถ้าเจ้าสัวกลัวว่าจะเสียคำพูด ฉันบอกได้เลยว่าไม่ต้องกลัว และฉันไม่ได้เรียกร้องหรือบีบให้เจ้าสัวทำแบบนี้”
“ผมไม่ได้ทำเพราะกลัวเสียคำพูดหรือรักษาหน้า แต่ผมทำเพื่อราพณ์”
รัตนาวลีชะงัก
“ทำเพื่อคุณราพณ์ เจ้าสัวหมายความว่ายังไง”
“ราพณ์รักคุณหญิง”
รัตนาวลีอึ้ง
“คุณราพณ์เพิ่งได้พบกับหญิงอ้ายไม่นาน ฉันไม่คิดว่า...”
“ราพณ์รู้จักคุณหญิงนานแล้วครับ นายธี เพื่อนเจ้าราพณ์บอกผมเองและผมเชื่อสายตาของผม เวลาเห็นราพณ์มองคุณหญิง มันมีความหมาย หม่อมจำได้ไหมครับวันที่คุณหญิงเป็นลม อาการของ
ราพณ์เป็นยังไง”
รัตนาวลีนึกถึงภาพที่โรงพยาบาล ราพณ์กรวนกระวายเรียกให้หมอมาช่วยรสิกา
“ฉันก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน ฉันคิดว่าคุณราพณ์ไม่ถูกกับหญิงอ้าย”
เจ้าสัวเรียวจับมือรัตนาวลี
“หม่อมรังเกียจราพณ์หรือเปล่าครับ”
รัตนาวลีหนักใจ
“เท่าที่ฉันเห็น คุณราพณ์เป็นคนดี เก่งเรื่องการงาน เป็นผู้นำ”
“ให้โอกาสราพณ์ได้ไหมครับหม่อม”
“ให้หญิงอ้ายตัดสินใจเถอะค่ะ ชีวิตของเขา ฉันคงตอบแทนไม่ได้”
“แค่หม่อมไม่รังเกียจ ผมก็ดีใจมากแล้ว”
“ตอนนี้หญิงอ้ายคงโกรธมาก ฉันขอโทรหาลูกก่อนนะคะ”
รัตนาวลีหยิบโทรศัพท์มือถือพยายามกดโทรออกแล้วจะเดินออกไปที่ระเบียง ราพณ์เดินสวนเข้ามา เจ้าสัวเรียวหันไปเรียก
“ราพณ์มาคุยกับป๊าหน่อย”

รสิกาอยู่ที่ระเบียงห้องน้ำตาคลอ แม่นมถือถาดเล็ก ๆ มีแก้วนมอุ่น ๆ เข้ามา
“คุณหญิงคะ ทานนมสักแก้วนะคะ ตั้งแต่เช้ายังไม่ทานอะไรเลย”
“อ้ายทานไม่ลงค่ะนม”
แม่นมวางแก้วนม เห็นรสิกาน้ำตาคลอก็สงสาร เข้ากอด
“คนดีของนม อย่าร้องไห้เลยนะคะ”
“ทำไมหม่อมแม่กับอ้ายต้องยอมคนพวกนั้น ยอมให้คนโกงที่ทำร้ายท่านพ่อมาชี้นิ้วสั่งให้เราทำนั่นทำนี่ ถ้าวิญญาณท่านพ่อรับรู้ ว่าอ้ายต้องแต่งงานเพื่อแลกกับความช่วยเหลือจากคนที่ท่านพ่อเกลียดที่สุด ท่านพ่อคงเสียใจกับสิ่งที่อ้ายทำ ทำให้ท่านพ่อต้องเสื่อมเกียรติ”
รสิกาน้ำตาริน กอดแม่นมไม่ยอมให้เห็นน้ำตา
“อย่าร้องไห้เลยนะคะ คนดีของนม...” แม่นมกอดตอบอย่างสงสาร

ในห้องหนังสือคฤหาสน์เจ้าสัวเรียว...ราพณ์ทิ้งตัวลงนั่ง เจ้าสัวเรียวนั่งข้างๆ
“เรื่องมันเป็นแบบนี้แล้วลื้อจะทำยังไงต่อ”
“ผมยังมืดแปดด้านครับป๊า ผมไม่คิดว่าคุณหญิงจะเกลียดผมมากขนาดนี้ คิดไม่ถึงจริงๆ”
“หมายความว่าลื้อหมดทางแล้วใช่ไหม”
“ผม...”
“ตอนนี้ประสิทธิ์มันคงแค้นที่ไม่ได้วังอย่างที่หวัง ลื้อต้องให้คุณหญิงแต่งงานกับลื้อให้เร็วที่สุด ก่อนที่มันจะลงมือ ยิ่งช้าคุณหญิงจะยิ่งตกอยู่ในอันตราย”
ราพณ์ห่วงรสิกา
“ครับป๊า”
เจ้าสัวมองอย่างพอใจ

แม่นมอยู่ในห้องหนังสือ แหววเข้ามาตามให้ไปนอนเพราะดึกมากแล้ว
“ไปนอนเถอะค่ะคุณนม”
“เห็นรูปนี้ไหมแหวว มันตั้งอยู่ที่นี่ยี่สิบกว่าปี”
แม่นมพูดไปเก็บไปไม่สนใจแหววเลย
“คุณนมคะ คุณนม ที่เขาบอกก็คงจะจริง คนเราพออายุมากอะไรๆ ก็หย่อนหมด ตึงอย่างเดียวคือ...”
“ฉันไม่ได้หูตึงนะ แค่กำลังนึกถึงความทรงจำเก่าๆ”
“เก๋อ่ะนม นึกถึงความทรงจำเก่าๆ ยังกะนางเอกละคร”
“แกไม่รู้หรอกว่าฉันผูกพันกับวังนี้แค่ไหน พอจะต้องจากไปจริงๆ ใจมันหาย แต่ไม่อยากให้คุณหญิงเธอไม่สบายใจ”
รสิกาเดินมาหน้าห้องได้ยินเสียงคนคุยกัน
“ทำไมไม่ห้ามคุณหญิงไม่ให้ย้ายออกไปล่ะคะ นมจะได้ไม่ต้องใจสลาย”
“คุณหญิงสำคัญกับฉันยิ่งชีวิต คุณหญิงเหนื่อยกับพวกเรามามากแล้ว ให้ฉันตายซะยังดีกว่าที่จะต้องเห็นคุณหญิงทนทุกข์ทรมาน”
รสิกาที่ได้ยินคำพูดแม่นมแล้วอึ้ง
“เก็บของซะ แล้วก็อย่าแสดงอาการอะไรออกไปให้คุณหญิงไม่สบายใจ”
รสิกามองแม่นมอย่างคิดหนัก

เช้าวันใหม่...ราพณ์เข้ามาในวังแล้วชะงักที่เห็นว่าเหล่าคนรับใช้ กำลังช่วยกันทยอยเก็บข้าวของเตรียมขนย้าย โดยมีรสิกายืนดูอยู่ ราพณ์ไม่วายแหย่
“จัดวังใหม่เหรอครับคุณหญิง”
รสิกาเห็นราพณ์ก็เชิดใส่
“วังนี้ไม่ต้อนรับคุณ”
“ไม่เป็นไร ผมเป็นคนไม่มีพิธีรีตองอะไร”
รสิกาหันไปค้อน รู้ว่าเขาตั้งใจกวนประสาท
“แต่คิดอีกที ต้อนรับผมดีๆ ก็ดีเหมือนกันนะ เพราะทางนิตินัย ผมเป็นเจ้าของวังนี้”
“คนอย่างคุณไม่คู่ควรที่จะได้ครอบครองวังนี้สักนิด”
“แค่ผมก้าวเข้ามาก็ทำให้วังนี้แปดเปื้อนแล้วใช่มั้ย”
รสิกาหันมามองราพณ์อย่างโกรธๆ
“ผมเห็นพวกนางเอกละครผู้จองหอง ชอบพูดกันแบบนี้ แต่จะว่าไปมีวาสนาเกิดมาสูงศักดิ์แต่ไม่มีเงิน คุณหญิงก็หล่นอันดับมาเป็นแค่ยาจกล่ะครับได้นะครับ”
รสิกาโกรธ
“คุณ”
“ถ้าคุณหญิงไม่คิดจะรับความช่วยเหลือของผม...ก็ดีในฐานะที่ผมเป็นเจ้าหนี้เป็นเจ้าของวังนี้ ผมขอสั่งให้ทุกคนย้ายออกจากที่นี่ภายในวันพรุ่งนี้”
รสิกาอึ้ง
“มันเร็วเกินไป”
“ก็ไหนขยะแขยงผมนักไม่ใช่เหรอครับ”
“ฉันต้องการเวลาในการหาที่อยู่ใหม่”
“นั่นคุณกำลังขอร้องผมอยู่รึเปล่า คุณหญิงรสิกา”
รสิกาอึ้งที่ถูกราพณ์ย้อน ทั้งคู่จ้องหน้ากัน เสียงเพล้งดังมาจากด้านบน แหววรีบวิ่งลงมา
“คุณหญิงคะ คุณนมเป็นลมค่ะ”

ทุกคนตกใจ

 
รสิกาเดินไปเดินมาด้วยความกังวลอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาล
 
“นั่งลงเถอะคุณหญิง การเดินพล่านของคุณไม่ช่วยให้คุณนมดีขึ้นหรอกนะ” ราพณ์บอก
“คนไม่เคยห่วงใครอย่างคุณ จะไปเข้าใจอะไร”
“แต่ผมรู้ว่าความเครียดฆ่าคนได้ ถ้าเกิดคุณเป็นอะไรไปอีกคน ใครจะดูแลคุณนม เห็นชอบเป็นลมเป็นงานอดิเรกนี่”
รสิกาหันมาค้อน
“นั่งห่วงก็ได้ ไม่ต้องเดินไปเดินมา ผมเวียนหัว”
รสิกาทิ้งตัวนั่งประชด
“หิวรึเปล่า ผมหาอะไรให้กินมั้ย”
“ไม่”
“ไม่หิว งั้นเครื่องดื่มบำรุงกำลังไหม เผื่อจะทำให้คุณคึกขึ้นมาบ้าง”
“คุณราพณ์” รสิกาฉุน
“ก็เห็นคุณชอบทำตัวซีเรียส เกลียดโลก ผมก็เลยอยากให้คุณคึกคัก จะได้มีเรี่ยวแรงแก้ปัญหาต่อไง”
รสิกาอึ้งไม่ใช่อย่างที่คิด
“หรือว่าคุณกำลังคิด”
รสิกาสวนทันทีกลัวเสียฟอร์ม
“ฉันไม่ได้คิด”
“คนพูดไม่คิดน่ะไม่ร้ายเท่าคนฟังแล้วคิดหรอกนะครับ เพราะถ้าคิดเรื่องไม่ดี แสดงว่าในใจมันมีเชื้ออยู่” ราพณ์ยิ้มกวนนิด ๆ
รสิกาเสียฟอร์มเถียงต่อไม่ได้ โดยไม่รู้เลยว่าทั้งหมดราพณ์พูดเพื่อให้รสิกาหายเครียดหายกังวล
หมอออกมา รสิการีบเข้าไปถาม
“แม่นมฉันเป็นไงบ้างคะหมอ”
“คนไข้เป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว ทำให้โลหิตไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจได้ไม่ปกติ ประกอบกับคุณไข้อายุมากแล้วทำให้อาการทรุดได้ง่าย ทางที่ดีควรเข้ารับการผ่าตัดเพื่อรักษาด่วน”
รสิกา ลำบากใจที่จะพูด
“ค่าผ่าตัด...”
ราพณ์แทรกขึ้น
“ผ่าได้เลยครับหมอ” ราพณ์บอกกับรสิกา “เรื่องค่าใช้จ่ายผมรับผิดชอบเอง”
รสิกาหันไปมองราพณ์อึ้งๆ
“แต่...”
“ศักดิ์ศรีของคุณไม่สำคัญเท่าชีวิตคนในปกครองหรอกนะ วางมันไว้ตรงนั้นเถอะคุณหญิง”
รสิกาคิดในชั่วขณะ
“ผ่าได้เลยค่ะ”
“ครับ”
หมอเดินแยกไปเพื่อเตรียมการผ่าตัด รสิกายังไม่คลายความร้อนใจ ราพณ์มองรสิกาอย่างเป็นห่วง

รสิกากับราพณ์ยืนรออยู่หน้าห้องผ่าตัด ปฐวีร้อนใจเข้ามาหา...
“อ้าย”
“พี่วี”
รสิกาเข้าไปหาปฐวีอย่างเป็นที่พึ่ง
“พี่ไปที่วังถึงรู้ว่าคุณนม...”
ปฐวีเห็นราพณ์อยู่ด้วย
“ไปคุยกันข้างนอกไหมอ้าย”
ปฐวีพารสิกาออกไปคุยข้างล่าง ราพณ์มองอย่างไม่พอใจนัก

รสิกาออกมาคุยกับปฐวีบริเวณทางเดินในโรงพยาบาล
“แม่นมเป็นไงบ้าง”
“ต้องผ่าตัดด่วนค่ะ”
รสิกาพูดแล้วก็รู้สึกลำบากใจที่ต้องให้ราพณ์ช่วยเรื่องเงิน แต่ปฐวีเข้าใจว่ารสิกาต้องการความช่วยเหลือ
“ใจเย็นนะ เรื่องเงินไม่มีปัญหา พี่จัดการให้เอง”
“อย่าดีกว่าค่ะ เดี๋ยวท่านลุงกับยายสุ...”
“เงินของพี่ไม่เกี่ยวกับสองคนนั้น”
“อ้ายไม่อยากให้สุรีย์ส่องมาหยามอ้ายได้อีก อ้ายรู้พี่วีหวังดีกับอ้ายแต่อ้ายรับไม่ได้จริงๆ ค่ะ”
“อ้าย...”
“อ้ายมีทางออกเรื่องนี้แล้วค่ะ...ขอบคุณที่พี่วีห่วงอ้าย”
“แต่...”
“อ้ายขอกลับไปดูแม่นมก่อนนะคะ”
รสิกาจะเดินกลับ พบสกรรจ์พอดี
“คุณหญิง”
สกรรจ์ยิ้มยินดีมาก

ราพณ์โทรรายงาน อาการของแม่นมให้เจ้าสัวเรียวกับรัตนาวลีรู้
“กำลังผ่าตัดครับ ด้วยแพทย์เฉพาะทางเลย ไม่ต้องกังวลนะครับ เดี๋ยวถ้าผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยเมื่อไหร่ ผมจะโทรไปบอก”
รสิกากับปฐวีเดินกลับมา โดยมีสกรรจ์ตามมาด้วย ราพณ์มองอึ้งๆ
“ที่จริงคุณนมกำลังผ่าตัดอยู่ จะคุยอะไรกันก็น่าจะให้มันกระชับๆ หน่อยนี่อะไร หายไปตั้งนาน” ราพณ์ต่อว่า
“แค่ 10 นาที นาฬิกาคุณเสียรึเปล่า”
รสิการู้ว่าราพณ์เริ่มเปิดฉากกวนประสาท รสิกาหันไปหาปฐวี
“พี่วีกลับไปเถอะ มีประชุมไม่ใช่เหรอคะ”
ปฐวีรู้ว่ารสิกาไม่อยากลำบากใจ
“ก็ได้ พี่มันคนมีการมีงานทำ คงอยู่เฝ้าไม่ได้” ปฐวีหันไปบอกราพณ์ “ถ้าว่างก็ฝากดูแลก่อนนะครับ”
ปฐวีแยกไป แต่สกรรจ์ยังไม่ไป ราพณ์หันไปกัดสกรรจ์
“แล้วคุณล่ะ ว่างเหมือนกันเหรอ”
“ผมออกแล้วเวรครับ” สกรรจ์ยิ้มหน้าซื่อ “ทำงานเสร็จแล้วก็เลยว่าง”
“นี่มันเรื่องในครอบครัว คุณไม่ต้องยุ่งก็ได้นะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเป็นคนนอกที่...ว่าง”
รสิกาห้ามศึก
“คุณสกรรจ์มาเยี่ยมใครหรือเปล่าคะ”
“ผมมาเยี่ยมคุณสิริโสภาน่ะครับ”
ราพณ์ชะงักไปนิด รสิกาสลดลง
“ฉันไม่กล้าไปเยี่ยมเขาเลยตั้งแต่วันที่มีเรื่อง รู้สึกผิดน่ะค่ะ เขาคงเกลียดฉันมาก”
“อาการคุณสิริโสภาดีขึ้นมากแล้วครับ คุณหญิงไม่ต้องกังวลนะครับ ผมจะหมั่นมาเยี่ยมเขาแทนคุณหญิงเองนะครับ”
ราพณ์หมั่นไส้
“ไม่ทราบว่าคุณหญิงแต่งตั้งคุณเป็นตัวแทนตอนไหน แอบอ้างมีความผิดนะครับ”
รสิกาช่วยสกรรจ์
“ขอบคุณนะคะที่คุณสกรรจ์มีน้ำใจให้กับฉัน”
รสิกามองราพณ์อย่างตำหนิแล้วยิ้มอ่อนโยนกับสกรรจ์
“ฉันฝากคุณสกรรจ์ด้วยนะคะ”
ราพณ์มองรสิกาที่อ่อนโยนกับสกรรจ์แต่พอหันมาหาราพณ์ หน้าตึงตั้งกำแพงใส่ทันที ราพณ์เซ็งแต่เก็บอาการ
“คนนอก...ดึงให้เข้ามายุ่งระวังชีวิตจะวุ่นวายนะคุณหญิง”
“แต่คนนอกที่หวังดีอย่างจริงใจ ย่อมดีกว่าคนในที่ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของตัวเองไม่ใช่เหรอคะ งูพิษร้อยตัวยังไม่ร้ายเท่าคนรอบตัวที่ไม่จริงใจ”
ราพณ์มองนิ่ง รสิกามองอย่างประกาศชัดว่าราพณ์เป็นศัตรู เสียงมือถือรสิกาดังขึ้น เธอกดรับสายเมื่อเห็นชื่อกอบกู้
“ค่ะคุณกอบกู้ อ้ายจะรีบเข้าออฟฟิศเดี๋ยวนี้ค่ะ”
รสิกาวางสาย ลำบากใจ ราพณ์ได้ยินก็คลายความตึง ห่วง
“ถ้างานด่วน คุณไปเถอะผมจะดูทางนี้ให้เอง”
รสิกาลังเล
“คุณนมถึงมือหมอแล้ว จะต้องปลอดภัย”
“ก็ได้” รสิกาพยายามอ่อนกับราพณ์ “ ฉันฝากคุณด้วยนะ”
ราพณ์ยิ้มที่รสิกายอมฟังและเห็นด้วย
“ผมไปส่งครับ” สกรรจ์อาสา
“ค่ะ”
ราพณ์อึ้งที่สกรรจ์ใช้ช่องใกล้ชิดรสิกา สกรรจ์ยิ้มตั้งใจกวนประสาทราพณ์นิด ๆ
“ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะพาคุณหญิงไปส่งที่บริษัทอย่างปลอดภัยแน่นอน”

ราพณ์มองอย่างเหม็นหน้าสกรรจ์มาก

 
รสิกาเดินเข้ามาที่หน้าออฟฟิศ สกรรจ์ตามเข้ามาส่ง
 
“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง”
“ยินดีครับ เรื่องคุณสิริโสภาผมจะแวะไปเยี่ยมเธอบ่อยๆ”
“ฉันอยากไปเยี่ยมเธอนะคะ แต่...”
“ถ้าอย่างนั้นคุณหญิงไปพร้อมกับผมไหมครับ”
“จะรบกวนคุณมากไปไหมคะ”
“ไม่เลยครับ”
สกรรจ์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งให้ รสิกากดหมายเลขมือถือ สกรรจ์รับมือถือมากดโทรออก
“ผมโทรเข้าไปที่เครื่องคุณหญิงแล้วนะครับ คุณหญิงอยากไปเมื่อไหร่ก็โทรหาผมนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
สกรรจ์ออกไป กอบกู้ออกมาจากออฟฟิศอย่างรีบร้อน
“คุณหญิงครับ เชิญที่ห้องประชุมครับ ลูกค้ารอคุยงานกับคุณหญิงอยู่ครับ”
“ดูลูกค้าคนนี้จะวีไอพีนะคะ เป็นใครเหรอคะ”
กอบกู้สีหน้าอึดอัดใจมาก

รสิกาเข้ามาในห้องแล้วชะงักที่เห็นรุ้งรายกำลังนั่งอยู่กับวศิน ในลักษณะที่ควงแขนวศินแสดงความสนิทสนมเป็นเจ้าของ วศินเห็นรสิกาก็จะดึงตัวออกจากการเกาะกุมของรุ้งราย แต่เห็นสายตาของรุ้งรายที่จ้องเป็นคำสั่งว่าอย่า วศินชะงักยอมให้รุ้งรายแสดงความเป็นเจ้าของแต่โดยดี
“สวัสดีค่ะคุณหญิง ฉันมาวันนี้เพื่อจะแจ้งให้ทราบว่างานออกแบบที่จะจ้างคุณหญิงทำน่ะ ฉันจะให้คุณวศินเป็นคนประสานงานเรื่องนี้ในฐานะตัวแทนของฉัน”
รุ้งรายมองวศิน เขารู้สึกมีพาวเวอร์ขึ้นมาทันที
“คุณรุ้งต้องการให้ผมเป็นคนปรู๊ฟแบบทั้งหมด ผมจะเป็นคนตัดสินใจในเรื่องแบบทั้งหมด คุณหญิงทำงานมาพรีเซนต์ให้ผมภายในสองอาทิตย์ ผมต้องการงานที่ตรงเวลา ขอให้คุณหญิงเข้าใจตามนี้นะครับ”
รสิกามองอึ้งตะลึงกับการเปลี่ยนแปลงของวศิน รุ้งรายมองหน้า
“ว่ายังไงคะคุณหญิง ฉันรอฟังอยู่”
รสิกาพยายามเก็บอาการเต็มที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กอบกู้มองอย่างห่วงใย
“ได้ค่ะ ฉันจะจัดการให้ตามนั้น”
“วศิน...ฉันอยากได้รายละเอียดเรื่องงบในการรีโนเวทครั้งนี้ คุณตามคุณกอบกู้ไปเอาเอกสารมาทีนะ”
“ครับ”
วศินกับกอบกู้ห่วงรสิกา แต่จำต้องออกไป รุ้งรายลุกขึ้นมาหารสิกา
“รู้ตัวแล้วใช่ไหมว่า ต่อไปนี้คุณหญิงเป็นแค่แฟนเก่า”
รสิกามองรุ้งรายที่มองตอบด้วยสายตากวนประสาทเต็มที่ รสิกาพยายามนิ่งที่สุด

สิริโสภาเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดคนไข้เป็นชุดปกติ มองดูรอบๆ ว่าลืมอะไรไหม มานพเข้ามาในห้อง เธอดีใจคิดว่าเป็นราพณ์ แต่พอเห็นเป็นมานพก็หน้าเจื่อนไป
“คุณนพ”
“ผมจะมารับคุณสิกลับบ้านครับ”
“แล้วคุณราพณ์ล่ะคะ”
“คุณราพณ์ติดธุระอยู่ครับ”
สิริโสภาน้อยใจลืมตัว
“ธุระอะไรถึงมารับสิไม่ได้คะ”
มานพมองด้วยสีหน้าเข้ม ๆ
“ขอโทษนะครับ ผมแนะนำว่าฐานะของคุณ...”
“ไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้คำถามนี้ใช่ไหมคะ”
สิริโสภาสะเทือนใจ
“ขอโทษครับที่ผมต้องพูดตรงๆ ผมแค่อยากเตือนคุณ”
มานพไม่ได้ชอบสิริโสภา แต่เป็นคนจิตใจดีและเป็นกลางพอสมควร
“ฉันรู้ว่าฉันเป็นแค่ผู้หญิงในที่ลับเท่านั้น”
มานพมองเห็นใจ
“คุณสิครับ การยอมรับความจริงจะทำให้คุณทุกข์น้อยลง”
“มองมุมบวก อย่างน้อยฉันก็ยังได้อยู่กับคนที่ฉันรัก เท่านั้นฉันก็พอใจ”
มานพมองออกว่าสิริโสภาหลอกตัวเอง
“การยอมรับความจริง มันรวมถึงไม่หลอกตัวเองนะครับ”
สิริโสภาหลบตาแล้วตัดบท เพราะรู้ว่าที่มานพพูดคือความจริง
“กลับเถอะค่ะ ฉันเหนื่อยเต็มที”
สิริโสภาเดินเลี่ยงออกไป มานพมองตามรู้สึกเห็นใจ

รุ้งรายขยับเข้ามานั่งบนโต๊ะ ท่าทางกวนโทสะมาก ในขณะที่รสิกามองอย่างตั้งสติ
“เข้าใจแล้วใช่ไหมคะว่า...ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับวศินคืออะไร”
รสิกานิ่งมาก
“ฉันไม่ชอบเอาเรื่องของคนอื่นมาใส่ใจ”
“มิน่า คุณถึงไม่รู้ตัวว่าศินเขาลดตำแหน่งคุณหญิงจากคนรักเป็นแค่แฟนเก่าไปแล้ว...คุณหญิงควรจะ...”
รสิกายกมือห้าม
“สักครู่นะคะ”
รุ้งรายชะงักมองรสิกาที่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้วกดอัดเสียง
“พูดต่อเลยค่ะ”
รุ้งรายงง
“คุณทำอะไรเนี่ย”
“ก็อัดเสียงคุณไว้ไงคะ ฉันเห็นคุณพูดซ้ำๆ ก็เกรงว่าฉันจะเป็นสาเหตุให้คุณเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ อัดเสียงคุณไว้ ว่างแล้วฉันจะเปิดฟัง...คุณจะได้ไม่เหนื่อยและ ไม่ป่วย...” รสิกายิ้ม “พูดต่อสิคะ”
รุ้งรายอึ้งอึดใจต่อมาก็หัวเราะอย่างถูกใจ รสิกางง รุ้งรายขำจนพอใจแล้วก็รุกต่อ
“คุณรักศินหรือเปล่า”
รสิกาหน้าตึง
“ฉันไม่จำเป็นต้องตอบคำถามนี้”
“จำเป็นค่ะ เพราะตอนนี้วศินเป็นคนของฉัน แต่ฉันเชื่อนะคะว่าคุณหญิงที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีคงไม่คิดจะเปลี่ยนฐานะจากแฟนเก่ามาเป็นชู้หรอก...จริงไหมคะ”
รสิกากดหยุดอัดเสียง แล้วยิ้มแบบมันไร้สาระมาก
“ฉันมีเรื่องในชีวิตที่ต้องทำอีกมาก เรื่องที่ไม่ได้ให้สาระกับชีวิตฉันไม่สนใจหรอกค่ะ แล้วฉันก็ไม่ชอบยุ่งกับของ ๆ คนอื่น”
สองคนจ้องหน้ากัน รุ้งรายยิ้มพอใจ รสิกาคิดว่ายิ้มเยาะ หน้าเชิดแสดงความไม่แคร์
“คำตอบฉันคงบำบัดอาการคุณได้แล้วใช่ไหมคะ”
รุ้งรายยิ้ม ยักไหล่นิด ๆ แบบก็โอเค
“ฉันจะไปเอาแบบตัวอย่างมาให้คุณลองดูเป็นไอเดียนะคะ”
รสิกาแยกไป รุ้งรายมองตามยิ้มพอใจมาก
“คนแบบนี้สิถึงจะสมกับเฮียราพณ์”

ราพณ์เดินคุยโทรศัพท์ออกมาจากลิฟท์ บริเวณล็อบบี้โรงพยาบาล
“ผมรออยู่ที่ล็อบบี้นะครับ ป๊า”
ราพณ์ขยับออกไปรอที่มุมหนึ่ง ลิฟท์อีกตัวเปิดออก สิริโสภาลงมากับมานพ
“นั่งรอตรงนี้นะครับ เดี๋ยวผมไปเคลียร์ค่าใช้จ่ายก่อน”
“ค่ะ”
มานพเดินแยกไป สิริโสภายังรู้สึกเพลียมองหาที่นั่ง เธอเห็นราพณ์กำลังยืนอยู่อีกด้าน สิริโสภาดีใจรีบเดินเข้าไปหา
“คุณราพณ์”
ราพณ์หันมาเห็นสิริโสภาก็ตกใจดึงไปหลบหลังเสา ให้สิริโสภาหันหลังพิงเสาไว้
“สิ...ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วใช่ไหม”
“คุณไม่ได้มารับสิหรอกเหรอคะ”
“ผมมาทำธุระ”
เจ้าสัวเรียวเดินเข้ามาเห็นราพณ์ที่ยืนคุยอยู่ เจ้าสัวเรียวขยับไปใกล้พอที่จะได้ยินราพณ์คุย แต่ไม่เห็นหน้าคนที่คุยด้วย สิริโสภาตัดพ้อ
“สิหวังว่าคุณจะมาเยี่ยมสิบ้าง”
“ผมงานยุ่งจริง ๆ นะสิ คุณกลับไปรอที่บ้านนะ ผมว่างแล้วจะรีบไปหานะครับ”
“ค่ะ”
มานพเข้ามาชะงักที่เห็นราพณ์
“ราพณ์”
“แกพาสิไปส่งที่บ้านแล้วโทรหาฉันด้วย”
“คุณสิ กลับเถอะครับ”
“สิจะรอนะคะ”
สิริโสภาเดินแยกไป เจ้าสัวเรียวเห็นแค่ด้านหลังสิริโสภาเดินออกไป ราพณ์มองตามสิริโสภาหนักใจ ทันใดนั้นเสียงรัตนาวลีดังขึ้น
“เจ้าสัวคะ”
ราพณ์หันกลับมาตกใจที่เห็นรัตนาวลีเดินเข้ามาหาเจ้าสัวเรียว ที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากจุดที่เขายืนอยู่นัก
“ป๊า...”
เจ้าสัวเรียวยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คุณนมอยู่ชั้นไหน พาป๊ากับคุณวลีไปเยี่ยมสิ”
ราพณ์เห็นไม่ถามอะไรก็โล่งใจ
“ทางนี้ครับ”

ราพณ์เดินนำไป รัตนาวลีเดินตาม เจ้าสัวเรียวมองราพณ์รู้สึกกังวล
 




 
รุ้งรายชี้หน้าจอคอมที่เป็นแบบของการตกแต่ง ให้ลูกค้าเลือก เป็นแบบสไตล์โมเดิร์น
 
“ฉันเอาสไตล์นี้ เน้นสีขาวนะ แล้วจะได้เห็นแบบทั้งหมดเมื่อไหร่”
“ฉันจะทำ cad พรีเซนต์ในอาทิตย์หน้าค่ะ”
“ดี” รุ้งรายลุกขึ้นแล้วหันมาหาวศิน “ศิน ฉันจะไปทำงานก่อน เลิกงานแล้วรีบกลับนะ จะรอ”
รุ้งรายส่งสายตามาทางรสิกาว่าเข้าใจไหม รสิกามองนิ่งเก็บอารมณ์
“ขอตัวนะคะ”
รสิกาเก็บแบบทั้งหมดเดินออกไป วศินมองตามรู้สึกผิด เสียดาย อาลัยอาวรณ์

รสิกาเข้ามาหยิบแก้วจะชงกาแฟหน้าเครียด ๆ มือวศินเข้ามาจับแก้วกาแฟไว้ รสิกาหันมาเห็นว่าเป็นวศินก็ชักมือออกทันทีจะไป วศินจับมือ
“คุณหญิง...”
รสิกาสะบัดหลุดทันที
“กรุณาให้เกียรติฉันด้วยค่ะ”
“ผมอยากคุยกับคุณ”
รสิกามองอย่างตำหนิ
“ ความศรัทธา...ไว้ใจ...มันหมดลงตั้งแต่ถูกทรยศแล้วล่ะค่ะ ตั้งแต่นี้ไปฉันกับคุณ เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป กรุณาเข้าใจตามนี้นะคะคุณวศิน”
วศินอึ้ง เสียบปรบมือดังมาจากตรงประตู วศินกับรสิกาชะงักที่เห็นรุ้งรายเดินเข้ามายิ้ม
“ฉันชื่นชมคุณหญิงจริง ๆ นะคะที่เป็นผู้ดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง สมกับเป็นว่าที่พี่สะใภ้ฉันจริงๆ”
รสิกาฟังแล้วเจ็บปวดสะเทือนใจเดินหนีไป วศินอึ้ง รุ้งรายยิ้มจะไป
“เดี๋ยวครับคุณรุ้ง คุณหมายความว่ายังไงเรื่องที่รสิกาจะเป็นพี่สะใภ้”
รุ้งรายมองกดข่มมาก
“มันต้องไม่มีความหมายอะไรกับเธอทั้งนั้น เพราะตอนนี้เธอไม่มีสิทธิ์จะยุ่งกับใครได้ ถ้าฉันไม่อนุญาตและ ถ้าฉันรู้ว่าเธอทำตัวไม่เชื่องอีกล่ะก็...เธอจะไม่ได้เสียแค่เงิน” รุ้งรายพูดหมายถึงชีวิตวศินด้วย
วศินมองรุ้งรายเห็นสายตาเด็ดขาดเอาจริงจนเขาเริ่มหวั่นใจ

เจ้าสัวเรียวเดินนำราพณ์มาที่มุมหนึ่งของโรงพยาบาล ราพณ์ตามมาอย่างสงสัยว่ามีอะไร
“ป๊าเรียกให้ผมมาคุย มีเรื่องอะไรเหรอเปล่าครับ”
“ทุกวันนี้ลื้อไม่เคยมีเรื่องผู้หญิงให้ต้องเป็นข่าวฉาว ป๊าพอใจมากที่ลื้อรู้จักระมัดระวังในการรักษาชื่อเสียงของตระกูล เพราะตัวลื้อคือสัญลักษณ์ของบริษัท ถ้าลื้อมัวหมอง บริษัทก็จะหมองมัวไปด้วย”
ราพณ์มองเจ้าสัวรู้สึกว่าพ่อ กำลังจะโยงเข้าประเด็นบางอย่าง
“แต่วัยของลื้อก็ไม่น้อย ถ้าจะมีเบี้ยบ้ายรายทางบ้าง ป๊าก็ว่าไม่แปลกใช่มั้ย” เจ้าสัวเรียว มองอย่างคาดคั้น “ใช่มั้ยอาราพณ์”
ราพณ์จำต้องยอมจำนน
“ครับ แต่ผมป้องกันไว้ทุกอย่างแล้ว”
“ความประมาทคือหนทางแห่งความตายนะ ใจคน คือสิ่งที่คาดเดาได้ยาก เพราะคนเราเปลี่ยนไปทุกวัน วันนี้ลื้ออาจเห็นว่าเป็นหนู แต่วันต่อไปอาจจะกลายเป็นเสือร้ายก็ได้เช่นกัน”
“ผมจะจำไว้ครับ”
“ที่สำคัญที่สุดคือใจของเราเอง ผู้หญิงคนนี้คงอยู่กับลื้อมานาน ความผูกพันอาจจะกลายเป็นความรัก”
“ผมไม่ได้รัก แต่ผมสงสาร”
“ความสงสารที่เพิ่มพูนเปรียบเหมือนเถาไม้เลื้อยที่หล่อเลี้ยงด้วยความประมาท มันจะค่อยๆ รัดคอลื้ออย่างช้า ๆ กว่าลื้อจะรู้ตัวมันจะรัดจนลื้อขาดใจตาย”
ราพณ์ฟังแต่ไม่อยากเชื่อนักด้วยความมั่นใจ
“ป๊ารู้ว่าลื้อไม่เชื่อ ลื้อดูป๊ากับอาโบตั๋น แม่เจ้าราม เป็นตัวอย่าง เพราะป๊าเริ่มจากความสงสาร กว่าจะรู้ว่าอีคืองูเห่า ม๊าของลื้อก็ต้องช้ำใจจนตายเพราะแผนการของอี ป๊ารู้สึกผิดกับม๊าลื้อมาตลอด แต่ป๊าก็ไม่อาจแก้ไขหรือแก้ตัวได้อีกแล้ว...ราพณ์ วันหนึ่งที่ลื้อเจอคนที่ลื้อรัก ป๊าไม่อยากให้ลื้อต้องพลาดเหมือนป๊า”
ราพณ์สลดลง
“ครับป๊า ผมจะระวังครับ”
“แล้วเรื่องคุณหญิงล่ะ ลื้อจะจัดการต่อยังไง”
“คุณหญิงใจเด็ดกว่าที่ผมคิดคงต้องหาวิธีที่ดีกว่านี้”
เจ้าสัวเรียวมองหยั่งความรู้สึก
“คุณหญิงพยศขนาดนี้ ลื้อจะไหวเร้อ”
ราพณ์ยิ้ม
“ป๊าสอนผมเองนี่ครับว่า ไม่มีอะไรใต้ฟ้านี้ที่เราจะไม่ได้มา ถ้าเรามุ่งมั่นและตั้งใจไม่ใช่เหรอครับ”
“ทำให้ได้อย่างที่คุยก็แล้วกัน”
“ครับ” ราพณ์สายตามุ่งมั่นมาก
เจ้าสัวเรียวมองอย่างพอใจ

รสิกาขับรถเข้ามาจอดที่หน้าตึกวังประกาศเกียรติ ดับรถแล้วนั่งนิ่งอยู่หลังพวงมาลัยเจ็บปวดที่โดนวศินหักหลัง แต่ไม่ร้องไห้เพราะไม่ได้รัก เป็นความผูกพัน เธอคิดถึงสิ่งที่วศินเคยบอก...
“ผมอาจไม่มีเกียรติยศเทียบเท่าคุณหญิงได้เลย” เขาจับแค่ปลายนิ้วมือ “แต่
ผมสัญญาว่าผมจะรักและซื่อสัตย์กับคุณหญิงตลอดไป ให้เกียรติคบกับผมนะครับ คุณหญิง”
รสิกายิ้มนิด ๆ เป็นการตกลง

รสิกานิ่งเจ็บกับการถูกทรยศ แหววเข้ามาเคาะกระจกรถข้างที่นั่งคนขับ รสิการู้สึกตัวเสทำเหมือนหยิบของแล้วก็ลงจากรถ แหววที่ยืนรอเข้ามาหาอย่างร้อนใจ
“คุณหญิงขา คุณนมป่วยเป็นอะไรคะ”
“โรคลิ้นหัวใจรั่ว นมอายุมากแล้วก็อ่อนแอ...”
“คงสะเทือนใจด้วยน่ะค่ะ เมื่อคืนก่อนก็นั่งเก็บของไปร้องไห้ไปทั้งคืน คุณนมรักและผูกพันกับวังนี้มาก คุณนมเหมือนกับแม่คนที่สองของแหวว ถ้าคุณนมเป็นอะไรไป แหววคง...” แหววร้องไห้
“ใจเย็น ๆ นะพี่แหวว หม่อมแม่บอกว่าตอนนี้นมปลอดภัยแล้วจ๊ะ”
“เราไม่ย้ายออกจากที่นี่ได้ไหมคะ แหววกลัวน่ะค่ะ...ถ้าต้องย้ายออกไป ไม่รู้คุณนมจะรับไหวไหม”
รสิกาคิดหนัก

แม่นมนอนอยู่บนเตียงคนไข้ ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นเห็นรัตนาวลีขยับเข้ามา มีเจ้าสัวเรียวกับราพณ์ยืนเยื้องไปทางด้านหลัง
“นมจ๊ะ...”
“หม่อม...” แม่นมจะขยับก็เจ็บ “โอย”
“นมปลอดภัยแล้วนะจ๊ะ ผลการผ่าตัดเรียบร้อยดี”
แม่นมอึ้ง
“ผ่าตัดเลยเหรอคะ ก็ต้องใช้เงิน แพงมากไหมคะ นมทำให้คุณหญิงต้องลำบาก” แม่นมกังวลใจ
“ไม่ต้องห่วง เจ้าสัวกับคุณราพณ์ช่วยจัดการให้แล้ว”
แม่นมไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจ แต่พูดเพราะความห่วงรสิกา
“แต่คงไม่ได้ช่วยฟรี ๆ ใช่ไหมคะ ถ้าคุณหญิงต้องโดนเอาเปรียบเพราะนม นมสู้ขอตายซะยัง
ดีกว่า ที่จะทำให้คุณหญิงของวังประกาศเกียรติ คนดีของนมต้องเป็นลูกไก่ในกำมือของคนอื่น”
รัตนาวลีจับมือนม
“นมจ๊ะ ไม่มีใครทำอะไรแบบนั้นหรอกจ๊ะ”
“แล้วเรื่องแต่งงาน”
“เจ้าสัวบอกว่าคุณราพณ์รักหญิงอ้าย แล้วฉันก็เชื่อว่าอย่างนั้น”
“จริงเหรอคะ”
แม่นมนิ่งไป รสิกาเดินเข้ามาเห็น เธอไหว้เจ้าสัวเรียวกับรัตนาวลีก่อนจะเข้ามานั่งข้างๆ แม่นม
“นมจ๊ะ...”
“คุณหญิง”
“เจ็บมากไหมคะนม”
“มันเจ็บไปทั้งอกเลยค่ะคุณหญิง”
“เจ็บตรงไหนคะ เดี๋ยวอ้ายเป่าเพี้ยงเดียวหาย”
“แค่เห็นคุณหญิงมา นมก็หายแล้วล่ะค่ะ”

รสิกาจับมือแม่นมขึ้นมาแนบแก้มด้วยความรักและห่วงใย เจ้าสัวเรียว ราพณ์ยืนมองอย่างประทับใจในความเอาใจใส่ของรสิกา

สามี ตอนที่ 3 (ต่อ)

ปฐวีเดินนำสุรีย์ส่องเข้ามาในห้องอาหารของโรงแรม

“ทำไมต้องให้สุมาแทนคุณพ่อด้วยนะ แค่คุยกับลูกค้าไม่ได้เป็นปาร์ตี้สักหน่อย พี่วีมาคนเดียวก็พอแล้ว”
ปฐวีรู้ทัน
“เซ็งเพราะคิดว่าจะเป็นงานใหญ่มีนักข่าวล่ะสิ...บ้าชื่อเสียง”
“ไม่เห็นแปลก ที่นังอ้ายยังบ้าฐานันดรเลย”
ปฐวีมองไม่พอใจ
“เรียกอ้ายให้มันดี ๆ หน่อย”
“แตะต้องไม่ได้เลยนะ พี่น้องก็ไม่ใช่ทำไมต้องเข้าข้างมันนักหนา”
ปฐวีมองเซ็งยังไม่ทันตอบ สุรีย์ส่องกลับชะงักไม่เดินต่อ ปฐวีเห็นสายตาของสุรีย์ส่องดูตกใจมากมองตามสายตาเห็นรุ้งรายควงกับวศินเข้ามา ปฐวีอึ้งๆ
“ไอ้วศิน...ทำไม...”
สุรีย์ส่องรีบปรี่เข้าไปหาวศินกับรุ้งรายด้วยความไม่พอใจ
“ศิน บังเอิญจังเลยค่ะ แล้วนี่ทำไมถึงได้มากับ...”
สุรีย์ส่อง มองรุ้งรายแบบไม่ชอบหน้า ปฐวีสายตาไม่พอใจ
“แล้วหญิงอ้ายล่ะ”
วศินอึกอัก รุ้งรายแทรก
“เรื่องของคนอื่นศินเขาไม่รู้หรอก เพราะเขาจะต้องรู้แค่เรื่องของฉันเท่านั้น”
รุ้งรายทำซบกับต้นแขนวศิน จงใจกวนประสาท สุรีย์ส่องไม่พอใจ แต่ไม่เท่ากับปฐวีที่กระชากคอเสื้อวศินเลย
“แกหักหลังอ้ายงั้นเหรอ ไอ้...”
รุ้งรายตวาดเสียงดัง
“หยุดนะ คุณไม่มีสิทธิ์ทำร้ายคนของฉัน”
สุรีย์ส่องอึ้งมองวศิน
“ศิน...นี่คุณกับรุ้งราย...ทำไมต้องเป็นรุ้งราย มันดีกว่าสุตรงไหน” สุรีย์ส่องเสียใจ
รุ้งรายมองอาการสุรีย์ส่องรู้ว่าต้องมีใจกับวศินแน่
“อกเขาไปสิคะศิน ว่ารุ้งดีกว่าตรงไหน” รุ้งรายเย้ยใส่เต็มที่
“ฉันรู้นะว่าเธอชอบใช้ของมือสองตามกำพืดเดิม แต่ไม่คิดว่าเธอจะชอบใช้ผู้ชายมือสองต่อจากคนอื่นด้วย” สุรีย์ส่องเหยียดหยัน
รุ้งรายสวนเย้ยเยาะ
“มือสองก็โอนะ เพราะเป็นผู้ชายที่บางคนอยากได้จนตัวสั่น”
วศินอับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี เขาตัดบท
“คุณรุ้งกลับกันเถอะครับ ผมไม่อยากทานที่นี่แล้ว”
รุ้งรายกวนประสาท
“ก็ดีนะ แถวนี้มลภาวะมันเยอะ อากาศสกปรกซะจนฉันไม่กล้าหายใจแรง กลัวเชื้อโรค เรากลับไปทานที่ห้องกันดีกว่านะ ไปก่อนนะสุรีย์ส่อง”
รุ้งรายจงใจยั่วสุรีย์ส่องให้แค้นด้วยการควงวศินออกไป ปฐวีมองตามไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น สุรีย์ส่องเดินตาม ใช้มือถือเดินตามไปถ่ายคลิปของวศินกับรุ้งรายเอาไว้

รสิกาป้อนโจ๊กให้แม่นม
“คุณหญิงขา แล้วหม่อมท่านล่ะคะ”
“กลับไปแล้วจ๊ะ แต่พรุ่งนี้หม่อมแม่จะมาเยี่ยมนมตอนบ่ายๆ นะ นม ทานอีกสักคำนะ นะคะ...คนดีของอ้าย”
แม่นมโดนลูกอ้อนก็จำต้องยอมทานอีกคำตามที่ขอ รสิกาป้อนโจ๊กให้เอาผ้าเช็ดปากเบาๆ ราพณ์ยืนอยู่ที่ประตูแอบมองจากด้านนอกมองมุมอ่อนโยนของรสิกาอย่างประทับใจ
“นมจะออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่คะ ของที่วังก็ยังเก็บไม่เรียบร้อย”
รสิกาจับมือแม่นม
“นมจ๋า...ถ้านมไม่อยากย้ายออกจากวัง อ้ายจะบอกหม่อมแม่ขอให้แม่นมอยู่ที่วังนะจ๊ะ”
“ไม่ค่ะ คุณหญิงไปไหนนมจะตามไปดูแลด้วย นมจะไม่ยอมทิ้งคุณหญิงของนมเด็ดขาด”
“ถ้าต้องไปจากวังจริง ๆ นมจะทนได้เหรอจ๊ะ”
แม่นมใจหายแต่ยังพยายามฝืนพูด แม่นมจับมือรสิกาให้แน่ใจ
“ในโลกนี้ไม่มีอะไรสำคัญกับนมมากไปกว่าคุณหญิงหรอกค่ะ อย่าทิ้งนมไว้นะคะ พานมไปด้วยนะคะคุณหญิง”
แม่นมหายใจติดขัด
“นมจ๊ะ”
รสิกาดูท่าอาการของนมจะไม่ดี รีบกดเรียกพยาบาล เสียงราพณ์ดังขึ้น
“คุณหมอทางนี้ครับ”
ราพณ์เปิดประตูเข้ามา พยาบาลกับหมอเข้ามาดูอาการแม่นม รสิกายืนมองทั้งตกใจและเป็นห่วง ราพณ์เข้ามายืนเคียงข้างมองเหตุการณ์เงียบๆ

ประสิทธิ์กับสุรีย์ส่องคุยกันอยู่ในห้องหนังสือ ประสิทธิ์มองภาพของวศินกับรุ้งรายที่ควงกัน
“รุ้งราย...กับ...”
“วศิน...แฟนนังอ้ายค่ะพ่อ”
“วศิน ผู้ชายที่แกเคยคลั่งสมัยเรียนใช่ไหม”
“คนนี้ล่ะค่ะพ่อ”
ประสิทธิ์มองแล้วคิด
“นี่แกอย่าบอกนะว่า...”
สุรีย์ส่องสะใจ
“นังอ้ายมันโดนเขี่ยทิ้งแล้วค่ะ”
“แล้วแกแค็ปภาพสองคนนี้มาทำไม”
สุรีย์ส่องยิ้ม
“ไม่มีอะไรสนุกไปกว่าทำให้นังอ้ายเป็นตัวตลกหรอกค่ะพ่อ สุจะเหยียบมันให้จมดิน”
“ก็ดีนะ ให้หม่อมวลีกับหญิงอ้ายได้เจอความอับอาย แล้วยังดิสเครดิต เจ้าสัวเรียวด้วยพฤติกรรมเละเทะของลูกสาวได้อีก พ่อชอบ”
สุรีย์ส่องยิ้มร้าย

แม่นมนอนหลับ การหายใจเป็นปกติ รสิกาขยับผ้าขึ้นมาห่มให้แล้วขยับนั่งกุมมือ ราพณ์เดินเข้ามาในห้องมองการดูแลของรสิกาอย่างประทับใจ
“ผมจ้างพยาบาลพิเศษไว้แล้ว คุณกลับไปพักเถอะคุณหญิง”
“คุณราพณ์...ฉันขอเวลาคุยกับคุณหน่อยได้ไหม”
ราพณ์มองรสิกาที่สีหน้าดูลำบากใจ ราพณ์สงสัยว่ามีเรื่องอะไร

รสิกาเดินนำเข้ามาที่มุมสวยรู้สึกอึดอัดใจมากที่ต้องเป็นฝ่ายขอร้อง แต่ก็พยายามเพื่อแม่นม ราพณ์ตามเข้ามาไม่รุกไม่กดดัน มองอย่างรอคอย รสิกาตัดสินใจหันกลับมา
“ฉันจะขอยืดเวลาในการย้ายออกจากวัง”
“ไหนว่ายอมเป็นหม่อมไร้วังไง กลัวความลำบากจนยอมกลืนน้ำลายตัวเองเลยเหรอครับคุณหญิง”
“ฉันไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง”
“ผมทราบว่าคุณทำเพื่อคุณนม แล้วคุณต้องการเวลานานแค่ไหน”
“จนกว่าแม่นมจะ...” รสิกาพูดไม่ออก “แม่นมรักวังนั้นมาก...ฉัน”
“ผมตกลง”
รสิกาไม่อยากเชื่อ มองอย่างประเมิน
“ฉันต้องแต่งงานกับคุณเป็นข้อแลกเปลี่ยนใช่ไหม”
“ก็โลกนี้ไม่มีของฟรีนี่ครับ” ราพณ์ขยับเข้าไปใกล้ “แต่คุณหญิงรังเกียจผมมากไม่ใช่เหรอครับ”
“ค่ะ ฉันรังเกียจ เพราะนายทุนอย่างพวกคุณใช้เงินเพื่อเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของคนอื่น นั่นคือสิ่งที่คนดีๆ เขาไม่ทำกัน”
ราพณ์หมั่นไส้
“คุณหญิงช่างมีคุณธรรมสูงส่งเหลือเกินนะครับ เสียเกียรติมากไหมครับที่ต้องมาเกลือกกลั้วกับคนอย่างผม”
“การแต่งงานกับคุณเท่ากับฉันทำลายประกาศเกียรติด้วยมือของฉันเอง คุณคิดว่าฉันจะรู้สึกยังไง”
“ถ้ามันจะทำให้คุณหญิงเสื่อมเสียขนาดนั้น...ก็ไม่ต้องแต่งครับ”
รสิกามองว่าหมายความว่ายังไง
“ผมจะให้คุณหญิงอยู่ที่วังต่อไป...แลกกับการที่คุณหญิงต้องอยู่กับผมในฐานะเมียนอกสมรส”
รสิกาตะลึง
“คุณ”
“ผมแค่เพิ่มทางเลือกให้คุณหญิง คุณหญิงตัดสินใจนะครับ ว่าจะเป็นเมียตีทะเบียน หรือเมียนอกสมรส”

รสิกาอึ้งกับข้อเสนอของราพณ์

 
ราพณ์มองรสิกาที่ยังยืนนิ่ง เขามองนาฬิกาข้อมือ
 
“เวลาของผมเป็นเงินเป็นทอง แล้วผมก็ไม่เคยต้องรอ...”
รสิกามอง ราพณ์มองกดดัน
“เงียบ ผมถือว่าไม่ตกลง...งั้นก็...”
“นานแค่ไหน” รสิกามองราพณ์ด้วยสายตาเกลียดมาก “ที่ฉันต้องอยู่กับคนอย่างคุณ”
ราพณ์ยิ้มกวนๆ
“จะชั่วคราวหรือตลอดไป ผมก็อนุมัติ เอาเป็นว่าเราจะจดทะเบียนสมรส คุณหญิงจะได้อยู่วังประกาศเกียรตินานเท่าที่คุณหญิงต้องการ ตกลงไหมครับ”
รสิกาได้แต่นิ่งเป็นการตอบรับ ราพณ์ยังยิ้มยียวนต่อ
“แต่ระหว่างนั้นคุณหญิงต้องทำหน้าที่ของภรรยาที่ดีให้กับผม ทั้งเรื่องในครอบครัวและ...” ราพณ์ทำหน้ากรุ้มกริ่ม กวนประสาท
“หยาบคาย” รสิกาโกรธมาก
“แลกกับการที่จะให้คุณนมมีความสุขในวาระสุดท้ายของชีวิต...มันคุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม”
รสิกาเจ็บใช้ความคิดประเมินอย่างรวดเร็ว
“ฉันไม่เคยเอาศักดิ์ศรีมาคำนวณกำไรขาดทุน”
“แต่วันนี้คุณหญิงกำลังขายและผมก็จ่ายเงินซื้อ จริงไหมครับ”
“สักวันฉันจะซื้อศักดิ์ศรีของประกาศเกียรติคืน และถึงวันนั้นฉันต้องการอิสระ”
ราพณ์ยิ้มไม่คิดว่ารสิกาจะทำได้
“แต่ถ้าจะซื้อคืนทั้งวัง ก็แปดสิบห้าล้านนะครับ”
“แต่หม่อมแม่...”
“คุณหญิงนี่เกลียดปลาไหลแต่กินน้ำแกงนะ ปากบอกว่าเกลียดเงินนายทุนแต่ก็อาศัยวังที่นายทุนจ่ายเงินให้อย่างไม่รังเกียจ นึกว่าจะหยิ่งที่แท้ก็เห็นแก่ความสบาย”
รสิกาสายตากร้าว
“แปดสิบห้าล้าน แลกกับวังและอิสระของฉัน”
ราพณ์ยิ้ม
“ผมตกลง”
รสิกามองราพณ์อย่างเกลียดชัง แค้นแทบกระอัก รสิกาสะบัดหน้าไป ราพณ์มองตามยิ้มนิด ๆ ในใจรู้สึกดีใจที่ในที่สุดก็ดึงตัวรสิกามาได้สำเร็จ

เช้าวันใหม่...เจ้าสัวเรียวเลื่อนหนังสือพิมพ์ คอลัมน์ข่าวทานตะวันจ๊ะจ๋าแล้วตบโต๊ะปังเงยหน้ามองราพณ์กับรุ้งรายทื่ยืนอยู่ ราพณ์ยืนนิ่ง รุ้งรายก็ดูสงบไม่สะทกสะท้านทั้งคู่
“รุ้ง บอกป๊าสิว่านี่มันเรื่องอะไร”
ราพณ์มองที่หนังสือพิมพ์เห็นรูปของรุ้งรายกับวศินที่ถูกขยายค่อนข้างชัด
“รุ้งกับ...คนรักคุณหญิงนี่”
รุ้งรายหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน
“วังประกาศเกียรติสะเทือนหนัก เมื่อคุณหญิงรสิกาโดนลูกสาวเจ้าสัวคนดังฉกผู้ชายออกจากอก ครอบครัวเพิ่งจะดองเป็นทองแผ่นเดียวกับเจ้าสัวคนดังไม่เท่าไหร่ ก็ต้องถวายของรักตามเป็นของขวัญแต่งงานให้หม่อมแม่คนสวยซะแล้ว เอ...มอบกายถวายวังกันขนาดนี้ ลิ้มวัฒนาถาวรกุลคงมีทีเด็ดไม่ธรรมดา แว่วว่าอีกไม่นานคุณหญิงจะเซอร์ไพร์สจนเหล่าเซเลบต้องตกเก้าอี้กันเลยทีเดียว”
เจ้าสัวเรียวเสียงแข็ง
“ลื้อทำบ้าอะไร”
รุ้งรายมอง ๆ หนังสือพิมพ์
“ฝีมือยัยสุรีย์ส่อง มันจงใจดิสเครดิตเรา”
“ป๊าไม่สนใจว่าจะเป็นฝีมือใคร แต่แกไม่ควรทำแบบนี้”
รุ้งรายไม่ได้กลัวหรือว่ารู้สึกผิด บอกเรียบ ๆ ตามเจตนารมณ์
“ป๊าคะ...รุ้งทำเพื่อเฮีย”
“ลื้อจะกันวศินออกจากคุณหญิงใช่ไหม...ลื้อรักชอบไอ้เจ้าวศินนี่หรือเปล่า”
“พวกทะเยอทะยานแบบนี้ อยู่ด้วยรุ้งคงหมดตัวแน่ค่ะป๊า”
“แล้วจะยาวนานแค่ไหน” ราพณ์ถามขึ้น
“ก็จนกว่าเฮียจะเข้าฝั่งเข้าฝาได้นั่นแหละ”
ราพณ์หันมาหาเจ้าสัว
“งั้นก็คงไม่นานหรอกครับป๊า”
เจ้าสัวเรียวกับรุ้งรายมองราพณ์
“พูดแบบนี้แสดงว่าเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
ราพณ์ยิ้ม
“วันนี้ผมคงไม่ทานมื้อเช้ากับป๊านะครับ”
“ไม่ทานกับป๊าจะไปทานกับใครล่ะเฮีย”
ราพณ์ยิ้มกว้าง

รสิกาเพิ่งลงมาจากด้านบนเดินเข้ามาที่โต๊ะอาหาร ชะงักที่เห็นราพณ์ยืนรออยู่แล้ว
“คุณมาที่นี่ทำไม”
“ว่าที่สามีจะมาทานมื้อเช้ากับว่าที่ภรรยา ไม่ได้เหรอครับ”
รสิกามองราพณ์เหมือนอยากจะฆ่าให้ตาย ราพณ์ขำๆ
“อย่าทำเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อผมสิครับ กินสามีตัวเองมันไม่อร่อยหรอก...แค่ชิมๆ ก็พอเร้าใจกว่า”
ราพณ์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ รสิกาจะตบแต่เขาจับข้อมือเธอไว้
“ไม่ฉลาดเลยนะครับที่จะทำร้ายเจ้าหนี้”
“คุณต้องการอะไร”
ราพณ์ยื้อ ลีลา
“ทานข้าวก่อนได้ไหม ผมหิว”
แหววเข้ามาพร้อมกับชามข้าวต้มวางให้กับรสิกา แหววมองทางราพณ์สายตาไม่ชอบแต่ก็ไม่แสดงจนน่าเกลียด
“อาหารเช้าค่ะคุณหญิง”
“จัดให้ผมด้วยที่นึง”
แหววเหวอนิด ๆ ที่โดนสั่ง รสิกามองราพณ์ เขามองกลับแบบว่าเธอจะทำยังไงจะหักหน้าหรือจะยอมตาม
“จัดมาให้คุณราพณ์ด้วยนะจ๊ะ”
“ค่ะ” แหววออกไป
“ว่าที่ภรรยาผมน่ารักจริงๆ”
รสิกามองราพณ์แค้นๆ

สุรีย์ส่องแต่งตัวเรียบร้อย กำลังยืนส่องกระจกเตรียมตัวจะไปทำงาน เสียงทุบประตูดังมาก เธอเดินไปเปิดประตู เป็นปฐวียืนหน้าถมึงทึงอยู่หน้าห้อง สุรีย์ส่องรู้เลยว่าเรื่องอะไร
“เห็นแล้วล่ะสิ”
ปฐวีชูหนังสือพิมพ์ในมือ
“ฉันขอสั่งให้แกเลิกหาเรื่องอ้ายสักที”
สุรีย์ส่องสวนทันที
“ไม่...ยิ่งเห็นนังอ้ายมันเจ็บ มันทุกข์ สุยิ่งมีความสุข”
ปฐวีสมเพช
“แกก็ทำได้แค่ทำให้เขาเจ็บ แต่ก็ไม่มีวันชนะอ้ายได้”
สุรีย์ส่องโกรธมาก
“ถอนคำพูดนะพี่วี”
“มันคือความจริง แกเคยชนะอ้ายได้สักครั้งไหม เรียนก็ไม่ได้เกียรตินิยมอย่างอ้าย จีบไอ้วศิน เขาก็ไม่เลือกแก แต่ไปวิ่งตามอ้าย จนถึงทุกวันนี้อ้ายเป็นมัณฑนากรโกอินเตอร์ไปถึงไหนต่อไหนแล้ว แกยังย่ำอยู่กับที่กินเงินพ่อ ทำหนังสือไฮโซยกหางตัวเอง คนแพ้แล้วพาลอย่างแกมันแย่สิ้นดี”
สุรีย์ส่องแค้น
“มากไปแล้วนะพี่วี...ที่พี่เข้าข้างมันขนาดนี้เพราะพี่ชอบมันใช่ไหม นังอ้ายน่ะ”
ปฐวีอึ้งไปนิด
“คิดว่าสุไม่รู้เหรอว่าพี่เชิดชูมัน ดีกับมันยกให้มันเป็นดอกฟ้า เพราะหวังให้มันมองหมาวัดอย่างพี่ใช่ไหมล่ะ...นังอ้ายมันไม่เคยเห็นหัวพวกเราพี่คิดเหรอว่ามันจะมองหมาอย่างพี่ เห่าให้ตายมันก็ไม่มีวันสนใจ สักวันสุจะต้องชนะนังอ้ายให้ได้ ถึงวันนั้นสุจะเหยียบมันให้จมดิน มันต้องอยู่ใต้ฝ่าเท้าสุ พี่จำไว้”
สุรีย์ส่องปิดประตูใส่หน้า ปฐวีโกรธคิดเป็นห่วงรสิกา

รสิกาทานข้าวต้ม สีหน้าฝืนมากๆ ในขณะที่ราพณ์นั่งข้างๆ มองรสิกาที่นั่งกินเงียบ ๆ เขาจงใจกวนประสาทซดข้าวต้มโฮกๆ เคี้ยวจั๊บๆ
“คุณสนุกมากไหม”
รสิกามองอย่างไม่พอใจแล้ววางช้อน ราพณ์ยิ้มรู้ว่ายั่วได้ผล
“ผมไม่ค่อยชอบความเงียบน่ะครับ คุณหญิงรู้ตัวไหมว่าหน้าตาคุณหญิงทำเหมือนการทานข้าวกับผมมันเหมือนเป็นวันสิ้นโลก”
“ก็ตอนนี้ฉันรู้สึกแบบนั้นอยู่จริงๆ ฉันยินดีนะคะที่คุณรู้ตัว”
ราพณ์สะอึกที่พอยั่วไป คำตอบรสิกากลับทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด
“คุณคงไม่ได้กำลังพาลผมเพราะเรื่องข่าวใช่ไหม”
“ข่าวอะไร”
ราพณ์อึ้งที่รสิกาตอบย้อนมาเหมือนไม่รู้ ก็รู้ว่าหลุดปากไปแล้ว
“ฉันกำลังถามคุณอยู่ว่าคุณพูดถึงข่าวอะไร”
ราพณ์เปลี่ยนเรื่องทันที
“ที่ผมมาวันนี้เพราะ...”
ราพณ์หยิบซองเอกสารแล้วดึงเอกสารสัญญาเงินกู้ พร้อมกับปากกาวางตรงหน้า
“นักธุรกิจอย่างผมคงไม่ลงทุนโดยไม่มีหลักฐานหรอกนะครับ ยอดเงินทั้งหมดแปดสิบห้าสิบล้าน ส่วนค่าผ่าตัด ผมแถมให้ คุณหญิงตรวจเอกสารก่อนได้นะครับ”
รสิกาหยิบเอกสารขึ้นมาดู
“ถ้าฉันไม่เซ็น...”
“ผมก็จะได้เห็นว่าผู้ดีไร้สัจจะ ไร้เกียรติตัวเป็นๆ น่ะมันเป็นยังไง”
รสิกามองแค้นหนักแทบกระอัก เธอมองหนังสือสัญญาคิดหนัก ราพณ์มองแบบแอบลุ้นให้เธอหยิบปากกา รสิกาตัดสินใจ
“แต่ฉันมีข้อแม้ว่าถ้าฉันหาเงินมาคืนคุณได้ทั้งหมด ฉันจะต้องเป็นอิสระจากคุณ”
ราพณ์ขำ
“แปดสิบห้าล้านนะครับ”
“ใช่”
ราพณ์ยิ้มมั่นใจมาก
“ขอให้มีวันนั้นนะครับ”
รสิกาโกรธมากที่โดนต้อนจนมุม เธอเซ็นชื่อแล้ววางปากกา ราพณ์หยิบเอกสารมาดูแล้วมองเธอ รสิกามองตอบอย่างไม่ยอมเป็นเบี้ยล่าง สองคนต่างประจันหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร ราพณ์เซ็นชื่อในส่วนของผู้ให้กู้
“สัญญามีผลตั้งแต่ตอนนี้ คุณหญิงรู้ใช่ไหมครับว่าเป็นลูกหน้าที่ดีจะต้องเชื่อฟังเจ้าหนี้ทุกเรื่อง”
รสิกานั่งคอแข็งแค้นมาก ราพณ์ออกไป รสิกามองตามเจ็บปวดที่ต้องตกเป็นฝ่ายยอม

สิริโสภาเดินวนไปมาอยู่หน้าบ้านอย่างหงุดหงิด พยายามโทรหามานพ
“รับสิ คุณนพ”
สิริโสภารออย่างกระวนกระวายจนสายตัดก็กดโทรใหม่อีก

มานพ ใส่ฟอร์มร้านกาแฟของตัวเอง ยกแก้วกาแฟมาวางตรงหน้าราพณ์
“อเมริกาโน่ครับคุณราพณ์”
มานพวางแล้วขยับถอยมายืนอย่างรักษาระยะห่างในฐานะลูกน้อง
“ถ้าจะนอบน้อมขนาดนี้ คลานเข่ามาเสิร์ฟกาแฟจะดีมาก”
“ได้ครับ...”
มานพกวนประสาทราพณ์ ลงคุกเข่าจะคลาน แก้วที่กำลังจะเอาน้ำเปล่ามาเสิร์ฟให้หยุดดูแล้วยิ้มขำรู้ว่ามานพแกล้ง ราพณ์หันไปฟ้อง
“คุณแก้วครับ...สามีคุณแก้วกำลังวอน ถ้าไม่อยากตกงานกลับมาเป็นเพื่อนฉันเดี๋ยวนี้”
มานพลุกขึ้นตบไหล่ทันที
“เอาไง ว่ามาเลย เพื่อน”
ราพณ์ขำ
“ขอความพอดี”
มานพลุกขึ้นยิ้มๆ เสียงมือถือมานพดัง แก้วหยิบมือถือมาให้
“นพคะ”
มานพมองโทรศัพท์ในมือที่ยังดังกระหน่ำไม่หยุดหันมองราพณ์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ราพณ์เห็นสีหน้ามานพหนักใจ ก็ถามขึ้น
“สิเหรอ”
มานพพยักหน้าเสียงมือถือเงียบไป
“ตกลงแกจะแต่งงานกับคุณหญิงแน่ใช่ไหม ไหนว่าไม่อยากมีภาระถ่วงชีวิตไง”
“เขาไม่ใช่ภาระ แต่เขาเป็นสัมภาระ”
“ไม่ใช่หน้าที่แต่เป็นของจำเป็นต่อชีวิต ยอมแบกด้วยความเต็มใจว่างั้นเถอะ”
ราพณ์ยิ้มพอใจที่มานพเข้าใจ
“เขายอมตกลงแล้ว แล้วแกจะทำยังไงกับคุณสิ แกคงไม่คิดจะมีเมียสองหรอกนะ”
“ไม่ ฉันอยากให้เกียรติคุณหญิง...ให้ฉันจัดการเรื่องคุณหญิงให้เรียบร้อย ฉันจะคุยกับสิเอง”
มานพมองราพณ์อย่างพอจะรู้ว่า วันข้างหน้าจะมีปัญหาของสิริโสภารออยู่แน่

เย็นนั้น รสิกาเข้ามาที่ห้องรับแขกแล้วชะงักที่เห็นเจ้าสัวเรียว รัตนาวลี ราพณ์นั่งรออยู่ ราพณ์ลุกมาหาจับมือเธอไว้ รสิกาจะขืน เขาจึงพูดด้วยเบาๆ
“คุณหญิงจะเบี้ยวเหรอครับ”
รสิกาได้สติยอมให้ราพณ์จูงมือไปนั่ง รัตนาวลีมองอย่างแปลกใจ ขณะที่เจ้าสัวเรียวทึ่งๆ ที่รสิกายอมราพณ์แต่โดยดี
“วันนี้ผมขอให้ป๊ามาเป็นเถ้าแก่สู่ขอคุณหญิงอย่างเป็นทางการน่ะครับ ผมทราบว่าหม่อมอาจจะคิดว่ามันเร็วเกินไป เพราะผมกับคุณหญิงเพิ่งรู้จักกัน ผมประทับใจคุณหญิงมานานแล้วครับ ก่อนหน้านี้ผมไม่มีโอกาสได้ทำความรู้จัก แต่หลังจากที่ได้ใกล้ชิดกัน ผมก็มั่นใจว่าคุณหญิงคือคนที่ผมอยากจะร่วมชีวิตด้วย ผมรักคุณหญิงครับ”
รสิกามองราพณ์ คิดว่าสร้างเรื่อง ใจเธอไม่เชื่อที่เขาพูดเลยสักนิด เจ้าสัวเรียวมองออกว่าราพณ์พูดออกมาจากใจ
“ถ้าคุณราพณ์ยืนยันแบบนั้น ฉันก็คงไม่ขัดข้องแต่คนที่จะแต่งงานคือหญิงอ้าย ฉันคงต้องให้เจ้าตัวเขาเป็นคนตัดสินใจ”
รัตนาวลีหันไปทางรสิกา ทุกคนมองเธอ รสิกาเห็นสายตาของราพณ์ที่มองมาอย่างกดดัน
“อ้าย...รู้จักคุณราพณ์ไม่นาน แต่ที่อ้ายรู้จัก อ้ายก็ประทับใจหลายอย่างที่เขาทำกับอ้าย...” รสิกาปากยิ้มแต่นัยน์ตาเชือดเฉือน “อ้ายตกลงค่ะ”
เจ้าสัวเรียวดีใจ
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องงานแต่ง...”
ราพณ์ไม่ขัด เพราะกะเนียนให้เป็นเหมือนว่าผู้ใหญ่จัดให้ก็ไม่ขัด
“อ้ายขอไม่จัดงานแต่งนะคะ”
ทุกคนชะงักที่รสิกาโพล่งขึ้นมา ราพณ์มองรสิกาอึ้งๆ กับการตัดสินใจ รสิกามองราพณ์ยิ้มเชือดมาก ประกาศชัดว่าจะไม่ให้คนนอกรับรู้
“อ้ายว่าเรื่องแต่งงานมันเป็นเรื่องของคนสองคน แค่รับรู้กันภายในก็พอค่ะ คุณราพณ์ก็คงเห็นเหมือนอ้ายใช่ไหมคะ”
ราพณ์สะเทือนใจกับสายตารสิกาแต่ยังฝืนเพื่อให้ถึงเป้าหมาย
“ถ้าคุณหญิงต้องการแบบนั้น ผมก็ไม่ขัดข้องครับ”
“แต่แม่ว่า...” รัตนาวลีจะแย้ง
รสิกาแทรกทันที
“อ้ายขอให้อ้ายเป็นคนกำหนดเรื่องนี้เองนะคะ หม่อมแม่”

รัตนาวลีมองหน้ารสิการู้ว่าแย้งไปก็ไม่ชนะจำต้องยอมตามใจ ราพณ์อึ้งๆ มองความใจเด็ดของรสิกา
 




 
ราพณ์กับรสิกาเดินออกมาส่งเจ้าสัวเรียวกับรัตนาวลีที่รถ
 
“ขอบคุณนะครับคุณวลี ที่ให้โอกาสผม”
“ฉันหวังแค่เพียงเห็นหญิงอ้ายมีคนปกป้องคุ้มครองให้ปลอดภัย และมีความสุข และคุณราพณ์คงจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง”
ราพณ์ยิ้มมั่นใจมาก
“ผมสัญญาครับ”
เจ้าสัวเรียวมองความยินดีของราพณ์อย่างพอใจที่ดูลูกชายจะมีใจกับรสิกาจริง ๆ รสิกาพยายามฝืนยิ้มอย่างยากลำบากเต็มที เจ้าสัวเรียวกับรัตนาวลีขึ้นรถออกไปเหลือราพณ์กับรสิกาสองคน ราพณ์ยังไม่วายกวนประสาท
“ผมชอบจริงๆ ที่คุณหญิงเริ่มทำหน้าที่ภรรยาที่ดี ช่วยผมประหยัดค่าจัดงาน อันที่จริงถ้าจะจัดงาน ผมก็ไม่ว่าอะไรนะ”
“เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ ตอนที่ฉันเป็นอิสระจะได้ไม่วุ่นวาย”
“ยังไม่ทันได้เริ่มงานก็คิดจะลาออกตลอดเวลา ชวนให้ผมคิดว่า...”
รสิกาสวนทันที
“ฉันรังเกียจคุณ...ฉันแสดงออกชัดเจนไม่ต้องตีความ ไม่ต้องวิเคราะห์หรอกค่ะ”
ราพณ์อึ้งแต่ย้อน
“ดีครับ...แล้วผมขอย้ำนะครับว่าสัญญาฉบับนี้มีแค่คุณกับผมที่รับรู้ หม่อมวลีกับป๊าผมไม่ได้รับรู้เรื่องนี้ ถ้าคุณหญิงทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ คนที่ต้องเสียคือคุณหญิงคนเดียว ทั้งชื่อเสียง วังประกาศเกียรติ แล้วคุณนมก็คงเสียใจที่ต้องจากที่นี่ไป”
“ฉันทราบและเข้าใจดีว่ากำลังทำอะไรและเพื่อใคร สิ่งไหนควรทำ ไม่ควรทำฉันตัดสินเองได้”
“น่าอิจฉาหม่อมวลีที่มีลูกสาวเป็นคนดี เสียสละขนาดนี้”
“ฉันอยากเป็นคนที่สมบูรณ์แบบที่ท่านย่าเคยสอนไว้”
“น่าสนใจ แบบไหนเหรอครับที่เรียกว่าคนสมบูรณ์”
“คนที่คิดดี ทำดี มีศีลธรรม สามสิ่งที่คุณไม่มี”
ราพณ์สะเทือนแต่ยังฝืนยิ้ม
“งั้นผมคงต้องเรียนรู้จากภรรยาให้มากหน่อย ทุกซอกทุกมุม”
“สิ่งหนึ่งที่คุณต้องรู้ไว้ สามีภรรยา มันคือการยอมรับระหว่างคนสองคน สำหรับฉันคุณคือเจ้าหนี้ ไม่ใช่สามี และไม่มีวันได้เป็น”
“งั้นคุณหญิงก็เตรียมตัวไว้ เพราะต่อจากนี้ในฐานะเจ้าหนี้ ผมคงต้องเก็บเกี่ยวดอกเบี้ยจากคุณหญิงให้คุ้มค่า”
รสิกามองโกรธจัด ราพณ์มองอย่างไม่ลดราวาศอกให้เลย เสียงมือถือของราพณ์ดัง เขามองเป็นเบอร์สิริโสภา ราพณ์หนักใจเดินห่างจากรสิกาออกมาแล้วกดรับ
“ว่าไงครับสิ”
สิริโสภาคุยโทรศัพท์อย่างดีใจมาก
“คุณนพบอกว่าคืนนี้คุณจะมาหาสิ อยากทานอะไรคะ สิจะทำให้ค่ะ”
ราพณ์หนักใจ
“ผมทานได้หมด คุณจัดการก็แล้วกัน”
“ได้ค่ะ สิจะรอนะคะ”
ราพณ์กดวางสายหันกลับมาเห็นรสิกา
“ฉันรอส่งคุณ”
ราพณ์ยิ้มยังไม่ทันพูดต่อ รสิกาก็สวนมาซะก่อน
“ตามมารยาท”
ราพณ์ยิ้มเก้อแต่ยังไม่วาย
“แต่ผมติดมารยาทฝรั่ง แล้วเวลาจะจากก็ต้อง...”
ราพณ์แกล้งจะขยับเข้ามา รสิกาหลุดโมโหใส่นิด ๆ
“ฉันเป็นคนไทย”
“ผมชอบจังเลยเวลาคุณโกรธ แบบนี้ใช่ไหมที่เขาเรียกว่าหน้าบูดเป็นตูดลิง”
“พอได้แล้ว ฉันไม่อยากเสียเวลากับคุณ ถ้าคุณไม่ไป ฉันไปเอง”
รสิกาเดินกลับเข้าวังไป ราพณ์มองตามยิ้มพอใจที่ยั่วได้

สิริโสภาทำความสะอาด เปิดเพลงคลอเบาๆ จัดบ้านอย่างมีความสุขมาก มานพเข้ามาพร้อมกับถุงอาหารและดอกไม้หลายช่อ
“คุณสิครับ”
“คุณนพ...ได้ของครบไหมคะ”
“ก็ของสดกับดอกไม้ตามที่คุณสั่งนี่ครับ”
“ขอบคุณค่ะ สิยังออกไปไหนไม่ค่อยไหวต้องรบกวนคุณนพ”
“ไม่เป็นไรครับ มันเป็นหน้าที่ของผม จัดบ้านหรือครับ”
“ค่ะ คุณราพณ์ไม่ได้มานาน สิอยากทำให้บ้านสดชื่นต้อนรับเขา”
มานพสงสาร
“ครับ”
“คุณนพทราบไหมคะว่าคุณราพณ์จะมาถึงกี่โมง”
“คุณราพณ์ไม่ได้บอกไว้ครับ แต่คงมาค่ำ ๆ”
“งั้นสิต้องรีบเตรียมอาหาร ขอตัวนะคะ”
สิริโสภากระตือรือร้นรีบหอบของเข้าไปในครัว มานพมองตามถอนใจสงสารรู้ว่าสิริโสภากำลังจะต้องโดนบอกเลิก

ค่ำนั้น ราพณ์นั่งอ่านรายงานผลประกอบการอยู่ในห้องหนังสือ ยิ้มๆเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เจ้าสัวเรียวไปขอรสิกา
“เรื่องกำหนดวันรับตัวเจ้าสาว...”
“ผมจะให้ทางผู้ใหญ่ของผมดูฤกษ์ยาม”
รสิกาขัดขึ้น
“ฉันขอให้เป็นหลังจากที่แม่นมออกจากโรงพยาบาลค่ะ”
ทุกคนหันมอง
“แม่นมเลี้ยงดูฉันมาตั้งแต่ยังเล็ก ฉันอยากให้เขาร่วมรับรู้ครั้งนี้ด้วย”
ราพณ์แอบกระซิบ
“คิดจะยื้อเวลาเหรอคุณหญิง”
รสิกาหน้ายิ้มแต่คำพูดตอบเบาๆ เชือดเฉือนมาก
“ฉันต้องแน่ใจว่าคุณจะไม่โกงฉัน เพราะคนอย่างคุณมันเชื่อไม่ได้”
ราพณ์ยิ้มตอบ แล้ววางมือบนมือรสิกากดไว้แน่นจนเธอดึงออกไม่ได้
“ผมดีใจนะครับที่คุณหญิงเป็นคนอ่อนโยน ผมเลือกคนไม่ผิดจริงๆ” ราพณ์ส่งสายตาแสดงความเหนือกว่ามาก “หลังจากคุณนมออกจากโรงพยาบาลเราจะมารับตัวเจ้าสาวเลยนะครับ”
“ถ้าหญิงอ้ายตกลง ดิฉันก็ไม่ขัดข้องค่ะ” รัตนาวลีตอบรับ
ราพณ์ยิ้มกับรสิกา เขากุมมือเธอไว้ไม่ยอมปล่อย รสิกาจะดึงออกก็ดึงไม่ได้ สะบัดหน้านิด ๆ อย่างหัวเสียแต่ราพณ์มองแล้วยิ้ม...

ราพณ์นั่งยิ้มเคลิ้มๆรุ้งรายเข้ามาด้านหลัง
“น่ารักใช่ไหม”
ราพณ์ลืมตัว
“มาก...” ราพณ์นึกได้หันมาเห็นเป็นรุ้งราย “รุ้ง...เข้ามาทำไมไม่เคาะประตู”
“เฮีย รุ้งเดินเข้าออกห้องนี้ไม่เคยต้องเคาะ ต้องมีมารยาทอะไรเลย พอจะแต่งงานหน่อย มีมารยาทกับน้องขึ้นมาเชียว ดีใจล่ะสิที่เขายอมแต่งด้วย”
ราพณ์เขิน เปลี่ยนเรื่อง
“แล้วมีอะไร”
รุ้งรายวางเอกสารประเมินราคาที่ดิน
“ที่ดินตรงวังประกาศเกียรตินี่พันล้านเลยนะเฮีย ทำเลกลางเมือง มิน่ามิสเตอร์หยางถึงอยากได้นัก ถ้าทำเป็นคอมมูนิตี้มอลล์เก๋ ๆ สำหรับคนในเมือง ความเก่าแก่ของวังก็เป็นสีสันที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยวต่างชาติ”
“เรื่องนี้เฮียรู้แล้ว แล้วเช็คมาเพื่อ...”
“ก็รุ้งอยากรู้ว่าคุณหญิงจะมีทางดิ้นที่จะไม่แต่งงานกับเฮียอีกไหม พอรู้อย่างนี้ชัก กลัว ถ้าคุณหญิงคิดจะขายวังเอาเงินมาใช้หนี้ เฮียคงต้องกินน้ำใบบัวบกหลายขนานเลยนะ”
“ไม่หรอก คุณหญิงจะไม่ยอมขายวังเด็ดขาด มันคือเกียรติยศที่เขาต้องรักษาไว้ให้พ่อเขา”
“แต่งคราวนี้คุ้มนะเฮียได้วังมูลค่าขนาดนี้มาด้วย”
ราพณ์ยิ้ม
“สิ่งล้ำค่าของวังประกาศเกียรติไม่ใช่ที่ดิน”
รุ้งรายแซว
“แต่เป็นเจ้าของที่ดินใช่ไหม”
ราพณ์เสเอาเอกสารเก็บในลิ้นชักโต๊ะทำงานเพื่อเลี่ยง
“เฮียเขินตลกดีนะ เข้าหอจะเขินไหมเนี่ย คุณหญิงสวยขนาดนั้น”
“รุ้ง เรื่องวศิน...เฮียไม่อยากให้มันมายุ่งกับคุณหญิง”
“ไม่ต้องห่วง...รุ้งเตรียมวิธีกันไว้ให้เฮียแล้ว”
เสียงมือถือราพณ์ดังเห็นเป็นชื่อสิริโสภา เขามองนาฬิกาเห็นว่าสามทุ่มแล้ว ลุกขึ้นจะไป
“เฮียจะไปไหน”
“ธุระ...”
“จะแต่งงานแล้วทำตัวสะอาดหน่อยก็ดีนะเฮีย เที่ยวแบบนี้คุณหญิงรู้จะไม่ให้ร่วมหอ”

ราพณ์อดไม่ได้ที่จะผลักหัวน้องสาวอย่างหมั่นไส้ รุ้งรายยิ้มตามหลังดีใจที่พี่ชายมีความสุข

 
รสิกายืนรอหมวยอยู่ มือถือของเธอดังขึ้นเป็นวศินโทรมา รสิกาตัดสินใจกดรับ
 
“สวัสดีค่ะ”
วศิยคุยโทรศัพท์อยู่ที่คอนโดรุ้งราย
“คุณหญิง ผมโทรหาคุณทำไมคุณถึงไม่รับ”
“ตอนนี้นอกเวลางาน ถ้าคุณอยากจะคุยเรื่องงานขอให้ติดต่อมาพรุ่งนี้นะคะ”
“ทำไม...คุณอยู่กับใครผมถึงคุยไม่ได้”
“ช่วยมีมารยาทด้วยนะคะคุณวศิน นี่เป็นเวลาส่วนตัวของฉัน สวัสดีค่ะ”
รสิกาวางสาย วศินหงุดหงิด
“คุณหญิง คุณหญิง”
วศินหัวเสียหันกลับมาเห็นรุ้งรายยืนอยู่ในมือมีเอกสารที่วศินทำโครงการเรื่องบริษัท วศินตกใจ
“คุยกับรสิกา”
“คุณรุ้งควรทราบนะครับ ว่าผมก็มีเรื่องส่วนตัวของผมเหมือนกัน เงินของคุณไม่ได้ซื้อทั้งชีวิตของผม”
รุ้งรายยิ้มเยาะ
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็คงต้องยกเลิกเรื่องการจัดตั้งบริษัทของเธอ ทั้งที่พรุ่งนี้ฉันจะให้เธอไปจดทะเบียนบริษัท ก็ไม่เป็นไร เงินฉันมันซื้อเธอไม่ได้นี่นะ”
รุ้งรายวางเอกสารลงบนโต๊ะจะเดินออกไป วศินอึ้ง
“คุณรุ้ง”
รุ้งรายยิ้มเยาะหันกลับมาหน้านิ่งๆ
“ว่าไง...”
“ผมขอโทษครับ”
รุ้งรายขยับเข้าไปใช้มือตบที่แก้มวศินแบบเบาๆ เป็นการข่ม
“เข้าใจแล้วใช่ไหม ว่าเงินของฉันซื้อทั้งชีวิตของเธอ”
วศินเจ็บปวดที่ขายศักดิ์ศรี
“ครับ...”
รุ้งรายจะเดินเข้าห้อง
“ผมไม่เข้าใจ...เราแยกห้องนอนแล้วคุณซื้อผมมาเพื่ออะไร”
รุ้งรายยิ้มไม่ตอบเข้าห้องล็อคประตู วศินหงุดหงิด

หมวยกระหืดกระหอบเข้ามาหารสิกาที่รออยู่
“มีเรื่องอะไรยัยคุณหญิง ให้เพื่อนเดลิเวอรี่ขนาดนี้”
รสิกาน้ำตาร่วงเข้ากอด หมวยตกใจได้แต่กอดปลอบ
“ใจเย็น ๆ คุณหญิง แกมีฉันนะ มีอะไรก็เล่ามา”
รสิกายิ่งร้อง หมวยทำอะไรไม่ถูก

ราพณ์ขับรถมาจอดที่หน้าบ้านสิริโสภา มานพยืนรออยู่ราพณ์จอดรถแล้วกดกระจกรถลง
“บอกตามตรงฉันสงสารเขา แต่ถ้าแกไม่อยากมีปัญหากับคุณหญิงก็คงต้องให้มันจบ”
“ขอบใจ”
“ฉันจะรออยู่ตรงนี้ เผื่อมีอะไร”
ราพณ์พยักหน้าบีบแตรสองที ประตูเปิดออก ราพณ์ขับรถเข้าไป มานพมองตามอย่างหนักใจ

หมวยอารมณ์ขึ้นหลังจากฟังเรื่องทั้งหมด
“อย่าไปยอมสิยัยคุณหญิง ฟ้องหม่อมแม่ไปเลย”
“ไม่ได้...ฉันอยากให้นมอยู่ที่วังจนกว่า...”
หมวยจับไหล่บีบแน่น
“อ้าย ยังไงแม่ก็คือแม่ ถ้าแกมีปัญหาเขาคือคนแรกที่เป็นเดือดเป็นร้อนแล้วก็เข้าช่วยแก”
“แต่ตอนนี้ฉันไม่มั่นใจ ถ้าแม่ไม่เข้าข้างฉัน...ฉันคง...”
“เชื่อฉันเถอะน่า อย่างม๊าฉันงี้ บ่นด่าจะเอาขี้เถ้ายัดปากฉันเช้าเย็น พอฉันร้องไห้นะโหย...จะเป็นจะตายยิ่งกว่าฉันอีก อึดแค่ไหนก็แพ้น้ำตาลูกทู้กคน เพราะว่าเขารักไง”
รสิกายังลังเล
“ไม่เชื่อเหรอ อ้ายฉันไม่เคยโกหกแกเหมือนวศินหรอกนะ”
รสิกาสะเทือนใจ
“ขอโทษนะ แต่ฉันต้องพูด ฉันรู้ว่าแกเสียใจที่มองคนผิด แต่ก็ดีแล้วที่เรารู้เช่นเห็นชาติตั้งแต่ตอนนี้ ดีนะที่ยังไม่แต่ง...แล้วตาคนที่ชื่อราพณ์อะไรเนี่ยมีเมียหรือยัง รวยขนาดนี้ไม่น่าจะซิงนะ”
“มีลูกชายคนนึง”
“โหย...มีของแถมด้วย คิดบวก ๆ ก็...ดีนะไม่ต้องท้องเอง”
รสิกาหยิกเข้าให้
“แกนี่ ฉันเครียดนะ”
“ฉันรู้ นี่ว่าจะถามอยู่ว่าแกทุ่มทุนไปหรือเปล่า เอาตัวแลกวังเพื่อให้แม่นมอยู่เนี่ยนะ”
“แม่นมเลี้ยงฉันตั้งแต่ยังเล็ก เขารักฉันมาก ฉันจะไม่ทำร้ายคนที่รักฉัน”
“รวมถึงพ่อแกด้วยใช่ไหม”
“วังประกาศเกียรติคือเกียรติยศคือศักดิ์ศรีของท่านพ่อที่ฉันต้องรักษาไว้ ฉันจะไม่ยอมทำลายมันเพราะเห็นแก่ความสุขของตัวเองเด็ดขาด”
“แม่เจ้า ไอ้อาการเลือดขัตติยานึกว่าจะมีแต่ในละคร นี่แกหลุดมาจากนิยายเล่มไหนหรือเปล่า”
“ยัยหมวย”
“แต่ที่แกทำมันได้ใจฉันวะ แกเลี้ยงพวกป้า ๆ ข้ารับใช้ของพ่อแกทุกคน น้ำใจงามเหมือน...” หมวยใช้สองมือดึงแก้มหยอก ๆ “หน้าสวย ๆ ของแกเลย”
“มันเจ็บนะแก”
“แต่ฉันไม่เจ็บนี่” หมวยยังดึงบิดเบาๆ แกล้ง
“ยัยหมวย”
รสิกาแก้แค้นคืนมั่ง ต่างคนต่างปัดป้องกันวุ่นวาย ขำใส่กัน รสิกามองแล้วรู้สึกดีขึ้นที่ยังมีเพื่อน

ราพณ์เดินเข้ามาในบ้าน สิริโสภายกแก้วน้ำเย็นออกมาให้ เมื่อเขานั่งลงที่เก้าอี้ เธอเข้ามาดูแลถอดถุงเท้า แล้วหยิบผ้าเย็นมาเช็ดหน้าเช็ดตาดูแลอย่างดี ราพณ์มองสีหน้ายิ้มมีความสุขของสิริโสภา เขาหนักใจจับมือเธอไว้
“มีอะไรเหรอคะ” สิริโสภาชะงัก
“นานแค่ไหนแล้วที่คุณมาอยู่ที่นี่”
“สองปีค่ะ”
“ถ้าคุณทำงานที่บริษัทต่อ อาจได้เลื่อนตำแหน่งเป็นสมุห์บัญชีแล้วนะ”
“สิมีความสุขที่ได้อยู่ที่นี่” สิริโสภาสวมกอดราพณ์ “ได้อยู่กับคุณสิก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วค่ะ”
ราพณ์กอดตอบอย่างลำบากใจว่าจะเริ่มต้นยังไงดี
“สิ คุณเป็นคนน่ารัก ช่างเอาใจ”
สิริโสภายิ้มมองเขาอย่างแสนรักรู้สึกว่าวันนี้หวานชื่นใจ ราพณ์ขยับจากกอดเป็นจับสองมือของเธอไว้
“ผม...”
สิริโสภามองลุ้นว่าวันนี้คงมีเซอร์ไพร์ส
“เชื่อว่าจะมีผู้ชายดี ๆ ที่จะรักและดูแลคุณได้ดีกว่าผม”
สิริโสภาชะงักอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน
“คุณพูดอะไรคะ สิไม่เข้าใจ...”
“ผม...” ราพณ์ลำบากใจ “จะโอนบ้านหลังนี้ให้กับคุณแล้วจะให้ทุนกับคุณสักก้อนที่มากพอที่คุณจะเริ่มชีวิตใหม่”
“สิไม่ต้องการชีวิตใหม่ สิต้องการชีวิตแบบนี้”

“ผมคงมาหาคุณไม่ได้อีกแล้ว”

สามี ตอนที่ 3 (ต่อ)

สิริโสภาช็อค

“ทำไมคะ คุณโกรธสิเหรอคะ สิผิดตรงไหนบอกสินะคะ สิจะปรับปรุงตัว สิจะไม่ขัดคำสั่ง จะไม่ตามคุณ”
ราพณ์จำต้องขัด
“ผมจะแต่งงาน”
สิริโสภาตะลึง
“ผมขอโทษนะ”
“ไม่นะคะ สิไม่ยอม มันจะเป็นแบบนี้ไม่ได้”
“สิ...ใจเย็นๆ นะ”
“สิรักคุณ ยอมอดทนมาตลอด คุณจะทิ้งสิไม่ได้นะคะ สิเป็นเมียคุณ”
ราพณ์อึ้งกับคำประกาศของสิริโสภา จนต้องเสียงดังเพื่อให้เธอได้สติ
“สิ...ผมว่าเราคุยกันเรื่องนี้เข้าใจตั้งแต่แรกแล้วนะ ว่าความสัมพันธ์ของเรามันเป็นแบบไหน แล้วเราก็ยอมรับที่จะคบกันแบบนี้”
“เป็นความผิดของสิใช่ไหมคะที่รักคุณ” สิริโสภาเริ่มพรั่งพรูสิ่งที่เก็บกด “สิผิดเองที่เดินเข้ามาเสนอตัวให้คุณ ผิดที่ยอมเป็นเมียเก็บของคุณ ผิดที่ทำตัวง่ายๆ จนคุณไม่เห็นค่า ผิดๆ สิผิดเอง”
“ผมว่าคืนนี้เราคงคุยกันไม่รู้เรื่อง พรุ่งนี้ผมจะให้มานพจัดการเรื่องของคุณให้เรียบร้อย”
ราพณ์จะไป สิริโสภาเข้ามาดึงตัวไว้ไม่ยอม
“ไม่ สิจะไม่ยอมเสียคุณไป อยู่กับสินะคะ สิรักคุณ”
“สิ ปล่อยผม...”
สิริโสภากอดไว้สุดชีวิต
“สิไม่ให้คุณไป สิรักคุณนะคะราพณ์ สิขอร้อง ถ้าไม่มีคุณสิจะอยู่ยังไง”
“สิ”
ราพณ์พยายามจะแกะมือ สิริโสภาไม่ฟังพยายามรั้งเขาไว้สุดชีวิต มานพเข้ามาเห็นสภาพสิริโสภาที่คลั่งไปแล้ว มานพพยายามเข้ามาช่วยแยกสิริโสภาออกไป
“ปล่อยสินะ ปล่อย” สิริโสภาพยายามดิ้น
มานพล็อคเต็มแรง
“กลับไปไอ้ราพณ์ ฉันจัดการเอง”
สิริโสภาร้องไห้คร่ำครวญ
“อย่าไปนะคะราพณ์ อย่าทิ้งสิไป อย่าไป”
ราพณ์มองสิริโสภาที่พยายามดิ้นรนด้วยความสงสาร ราพณ์ตัดสินใจหันหลังเดินออกไป
“ราพณ์”
ราพณ์เดินออกไป สิริโสภาจะตาม มานพขวางไว้
“ถอยไป สิจะไปคุยกับราพณ์ให้รู้เรื่อง”
“ยอมรับความจริงเถอะคุณสิ เรื่องของคุณมันจบแล้ว”
“มันจะไม่จบ ไม่มีวันจบ สิรักเขา”
“ราพณ์เคยบอกรักคุณสักครั้งไหม”
สิริโสภาอึ้ง
“เขาไม่ได้รักคุณ ราพณ์เจอคนที่เขารักแล้ว และเขาอยากจบเรื่องของเขากับคุณไว้แค่นี้”
สิริโสภาเจ็บปวดกับความพ่ายแพ้
“ทำไมเขาถึงไม่รักสิ ทั้งที่สิรักเขา เขาคือชีวิตของสิ...ให้สิคุยกับเขา เขาจะต้องเปลี่ยนใจ”
มานพไม่ขยับหลีก สิริโสภาแทบจะไหว้ขอร้อง
“สิขอร้อง ให้สิไปนะคะ คุณนพ”
“ราพณ์ไม่ได้รักคุณ คุณต้องยอมรับ”
สิริโสภายังไม่ยอมแพ้จะออกไปให้ได้
“สิจะไม่ยอมเสียเขาไป เขาคือชีวิตของสิ”
มานพไม่ยอมปล่อยล็อคตัวสิริโสภาไว้
“ปล่อยฉัน ปล่อย”
สิริโสภาเสียใจกรีดร้องจนเป็นลมหมดสติ มานพได้แต่มองด้วยความเห็นใจ

รสิกาเดินกลับเข้ามาในบ้านชะงักที่เห็นรัตนาวลีรออยู่
“หม่อมแม่...”
“ลูกหายไปไหนมา ทำไมไม่โทรมาบอกก่อน”
รสิกาตัดพ้อ
“แม่นมอยู่ที่โรงพยาบาล หลังจากหม่อมแม่แต่งงาน อ้ายไม่เคยหวังว่าจะมีใครที่ยังรออ้ายอยู่ที่วังนี้อีก”
รัตนาวลีเจ็บปวดพยายามจะพูด
“อ้าย...แม่อยากให้ลูกรู้...”
รสิกาตัดบท
“อ้ายดีใจนะคะที่อย่างน้อยหม่อมแม่ยังแสดงให้อ้ายเห็นว่าหม่อมแม่ยังนึกถึงอ้ายบ้างในบางครั้ง”
“ถ้าอ้ายไม่คิดจะฟัง แม่ก็จะไม่พูด”
“หม่อมแม่อยู่รออ้ายคงเป็นธุระสำคัญใช่ไหมคะ”
“อ้ายจะแต่งงานกับคุณราพณ์จริงๆเหรอลูก”
รสิกาชะงัก
“ไม่ดีเหรอคะ คนบ้านนั้นเขาเป็นคนดีในสายตาหม่อมแม่ไม่ใช่เหรอคะ”
“เท่าที่แม่เห็นคุณราพณ์ก็เป็นคนดีนะลูก เขามีความรับผิดชอบ มีหน้าที่การงานที่ดี แม่เชื่อว่าเขาจะดูแลลูกได้”
รสิกาอึ้งไปกับความเห็นของรัตนาวลี
“แต่แม่คิดว่ามันเร็วเกินไปไหมที่ลูกจะตัดสินใจแบบนั้น ลูกอยากแต่งจริงๆ หรือว่ามีเหตุผลอื่น”
รสิกามองรัตนาวลี
“ทำไมหม่อมแม่ถึงคิดแบบนั้น”
“กับวศินลูกคบมาเป็นสิบปี ก็ยังไม่เคยคิดจะตอบรับสักที แม่รู้ว่าเหตุผลของลูกคืออยากให้เรื่องของวังจัดการให้เรียบร้อย แล้วทำไม...”
“หม่อมแม่แต่งงานกับเจ้าสัว เราก็ได้วังมาแล้วนี่คะ เราเป็นคนไม่มีหนี้เพราะความเสียสละของหม่อมแม่แล้ว”
รัตนาวลีอึ้ง
“อ้าย...”
“สักวัน อ้ายจะกู้ศักดิ์ศรีของเราคืนมา วังนี้ต้องเป็นของอ้ายโดยที่ไม่ติดค้างบุญคุณใคร”
“แม่อยากรู้ว่าอ้ายแต่งเพราะความรักหรือเปล่า”
“อ้ายเหนื่อย ขอตัวนะคะหม่อมแม่”
รัตนาวลีพยายามรั้งไว้แต่รสิกาเดินไปทันที รัตนาวลีรู้สึกหนักใจ

ราพณ์เข้ามาในห้องเห็นพระลบกำลังนั่งวาดสีเทียนอยู่ที่โต๊ะ เขาขยับเข้าไปยืนด้านหลังเห็นภาพที่พระลบวาดเป็นภาพราพณ์กับพระลบยืนอยู่หน้าบ้านหลังเล็ก ๆ ด้านบนมีพระอาทิตย์ เมฆแล้วก็มีนางฟ้ามีปีก
“วาดอะไรอยู่ครับ”
พระลบหันมาเห็นราพณ์ก็ดีใจมาก
“ปะป๊า”
ราพณ์กอดพระลบหอมแก้มด้วยความเอ็นดู
“ยังไม่บอกป๊าเลยว่าพระลบวาดอะไรอยู่ครับ”
“อันนี้ปะป๊ากับพระลบ แล้วอันนี้ก็หม่าม๊าไงครับ หม่าม๊าเป็นนางฟ้ากำลังลงมาจากสวรรค์มาอยู่กับพวกเรา”
“หม่าม๊าลงมาจากสวรรค์เหรอครับ”
“ครับ อากงบอกว่าปะป๊ากำลังจะพาหม่าม๊ามาให้พระลบ”
ราพณ์ชะงักไปนิด ทันใดนั้นเสียงเจ้าสัวเรียวดังเข้ามา
“การแต่งงานมันก็ไม่ใช่แต่งกันสองคนนะ”
ราพณ์หันมองเห็นพ่อเข้ามา
“ลื้อมีลูก มีพี่น้อง จะมาทำงุบงิบเงียบๆ ไม่ได้หรอกนะ”
ราพณ์อึ้งๆ ว่าลืมข้อนี้ไปจริงๆ
“ป๊าไม่อยากรู้ว่าแกใช้วิธีไหนถึงได้คุณหญิงมา แต่ดูจากสภาพแล้วคงไม่ดีนัก”
“ผมอยากเอาชนะคุณหญิง”
เจ้าสัวเรียวลุกขึ้นมายืนมองลูกชายนิ่งแล้วจิ้มที่อกของลูก
“แล้วใจลื้อล่ะ จะมีความสุขไหมถ้าได้แต่งงานเพราะแค่อยากเอาชนะ”
“ผม...”
ราพณ์อ้ำอึ้ง เจ้าสัวเรียวมองยิ้ม ๆ
“อ่านหนังสือออก สำคัญ...อ่านเหตุการณ์ออกสำคัญกว่า...อ่านคนอื่นออกสำคัญยิ่ง แต่อ่านตนเองออกสำคัญที่สุด ให้เกียรติคุณหญิงแล้วคุณหญิงจะให้เกียรติลื้อ”
ราพณ์คิดตาม

“ครับ ป๊า”

 
เย็นวันใหม่...รสิกาออกมาจากออฟฟิศชะงักที่เห็นราพณ์ยืนรออยู่ที่รถของเขาที่จอดอยู่ด้านหน้า

“คุณมาทำไม”
“ผมมารับคุณไปทานข้าว”
“ฉันไม่ไป”
รสิกาจะเดินไปที่รถตัวเอง
“ผมกำลังสร้างความเนียนให้กับการแต่งงานของเรานะครับ แสดงตัวว่าเป็นแฟนก่อนจะแต่งงานสักหน่อย”
“การข่มเขาโคขืนให้กลืนหญ้า มันอาจทำให้โคสำรอกทุกอย่างทิ้ง”
“แต่ก่อนจะสำรอก คิดสักนิดนะครับว่าถ้าจู่ๆ เราเป็นสามีภรรยากันโดยไม่มีท่าทีมาก่อนเลย คนจะหาว่าคุณหญิงท้องฟ้าแลบ มันจะดูไม่งามนะครับ”
รสิกาโกรธมาก ราพณ์เปิดประตู
“เลือกเอานะครับ ว่าจะร่วมมือกับผมเพื่อรักษาชื่อเสียงตัวเองหรือไม่”
รสิกามองราพณ์อย่างเกลียดชัง

รถราพณ์เข้ามาจอดหน้าคฤหาสน์ คนรับใช้สองคนออกมารอรับ รสิกานั่งอยู่ในรถอึ้ง ราพณ์ลงจากรถมาเปิดประตูให้ แต่รสิกายังไม่ลง
“คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม”
“อีกหน่อยคุณก็ต้องย้ายมาอยู่ที่นี่ บ้านของสามีก็ควรจะต้องทำความรู้จักไว้”
“ฉันไม่ได้ตกลงแบบนั้น”
“คุณหญิงไม่มีสิทธิ์เลือกอีกแล้ว อยากให้พวกเด็กรับใช้สงสัยหรือไงว่าทำไมคุณถึงไม่ลงจากรถ”
รสิกาเห็นสายตาเด็กรับใช้ที่มองมา เธอจำต้องลงจากรถ ราพณ์ปิดประตูแล้วยื่นมือให้เธอวางมือแต่รสิกานิ่ง ราพณ์ไม่สนจับมือเธอแล้วพาเดินเข้าไปในบ้าน รสิกาอยากจะขืน ราพณ์ขู่
“อยากให้ทุกคนเห็นหรือไงว่าคุณหญิงเต็มใจแต่งกับผมมากหรือว่าผู้ดีชอบที่จะแสดงให้คนอื่นรับรู้และสมเพช”
รสิกาคอแข็งเดินตามไป ราพณ์ยิ้มอย่างพอใจในชัยชนะ

ราพณ์พารสิกาเข้ามาในห้องรับแขก รสิกาอึ้งๆ ที่เห็นว่าทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า เจ้าสัวเรียวนั่งอยู่กับรัตนาวลี รังรองอยู่กับชาญชัย ระรินอยู่ในชุดนักศึกษา ราพณ์บอกทุกคน
“เฮียพาคุณหญิงรสิกามาแนะนำตัวกับทุกคน คุณหญิงครับ นี่เจ้รังรอง พี่สาวผมกับเฮียชาญชัย พี่เขย ส่วนระริน น้องสาวคนเล็ก”
รสิกาไหว้รังรองกับชาญชัยที่ รับไหว้อย่างเสียไม่ได้ ในขณะที่ระรินดีใจออกนอกหน้า
“คุณหญิง รินดรออิ้งแบบห้องรินไว้ รินจะทำห้องใหม่ คุณหญิงช่วยแนะนำให้รินหน่อยนะคะ”
รสิกายิ้มเอ็นดู
“ได้สิคะ”
รังรองแอบดึงระรินไว้แบบปราม
“ได้เจอตอนงานแซยิดป๊าครั้งเดียว ยังประทับใจไม่หาย”
ชาญชัยยิ้มๆ แต่แอบกัด
“แบบนี้คงเรียกว่าเป็นทองแผ่นเดียวกันอย่างสมบูรณ์นะครับ ทั้งหม่อมวลี ทั้งคุณหญิง”
เจ้าสัวเรียวปราม
“ไปทานข้าวกันได้แล้ว”
“ผมขอพาคุณหญิงไปแนะนำกับคนสำคัญก่อนนะครับ เดี๋ยวตามไป”
รสิกาสงสัยว่าใคร

ราพณ์เปิดประตูเข้ามาในห้องนอนพระลบเห็นในห้องว่างเปล่า เขาเดินเข้าไปดูด้านใน รสิกาเดินตามเห็นพระลบพยายามจะผูกหูกระต่ายที่หน้ากระจก
“พระลบทำอะไรอยู่ครับ”
“พระลบอยากหล่อ หล่อไหมครับปะป๊า”
พระลบหันมา หูกระต่ายเบี้ยวไม่เป็นรูป รสิกาอยู่ด้านหลังราพณ์มองความน่ารักของพระลบยิ้มๆ
“อยากหล่ออวดกับใครก็ถามคนนั้นสิครับ”
ราพณ์ขยับเปิดให้รสิกาก้าวเข้ามา พระลบมองอย่างจำได้
“โห...สวยจังเลยครับ นางฟ้าคนสวยที่เคยช่วยพระลบใช่ไหมครับป๊า”
ราพณ์มองรสิกาว่าพระลบกำลังคุยด้วย เขาล้อเลียนนิดๆ
“ใช่ไหมครับนางฟ้าคนสวย”
รสิกาเมินราพณ์แต่หันไปหาพระลบ
“ใช่จ๊ะ”
พระลบเข้ากอด รสิการับพระลบที่โผเข้าหาแทบไม่ทัน
“นางฟ้าของพระลบ”
รสิการู้สึกเอ็นดูแต่เห็นสายตาราพณ์ที่มองมายิ้มๆ ก็ต้องเปลี่ยนเป็นฟอร์ม
“ได้เวลาทานข้าวแล้วไม่ใช่เหรอ”
“พระลบไปล้างมือนะครับ แล้วไปทานข้าวกัน” ราพณ์บอกลูกชาย
“ครับ”
พระลบเข้าไปล้างมือ รสิกายิ้มมองตามเห็นราพณ์มองก็ฟอร์มทำเป็นถามเรื่องอื่น
“แล้วแม่ของพระลบล่ะ...ไปไหน”
“คุณสนใจอดีตของผมด้วยเหรอ แบบนี้...มันแสดงออกว่าคุณมีใจนะ”
รสิกาหมั่นไส้ใช้ความเงียบไม่ต่อความ ราพณ์แอบยิ้ม

เจ้าสัวเรียว และทุกคนนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร ราพณ์เดินนำรสิกาเข้ามากับพระลบ เขาพาเธอมานั่งข้าง ๆ ราพณ์นั่งติดด้านขวาของเจ้าสัวเรียว รัตนาวลีก็นั่งทางซ้ายมือของเจ้าสัวเรียว
“เอ้าทานข้าวกันได้แล้ว” เจ้าสัวเรียวเอ่ยขึ้น
ทันใดนั้นเสียงรามดังขึ้น
“วันครอบครัวขาดผมได้ยังไงครับ”
รามเข้ามายิ้มแย้มแล้วมองเห็นรสิกา รามตะลึงในความสวย
“คุณ...”
“คุณหญิงรสิกา ว่าที่พี่สะใภ้ของแกไง” เจ้าสัวเรียวแนะนำ
“ผมรามครับ น้องชายคนที่สามของเฮีย คุณหญิงสวยมากเลยนะครับ ผมไม่น่าปากไวรีบปฏิเสธเลย ผมว่าผมกับคุณหญิงดูเหมาะกันมากกว่าเฮียราพณ์อีก”
รสิกา อึ้งไป เจ้าสัวเรียวปราม
“เจ้าราม หยุดพูดได้แล้ว”
รามยิ่งห้ามยิ่งพูด
“ไม่งั้นป๊าคงไม่คิดส่งคุณหญิงมาให้ผมก่อนหรอก ใช่ไหมครับหม่อมวลี”
“ราม” ราพณ์ปรามอีกคน

รามยิ้มแบบไม่แคร์ออกแนวสะใจด้วยซ้ำ ชาญชัยมองชอบใจที่ดูเละเทะจริงๆ รังรอง ระริน มองว่าเป็นเรื่องแล้ว ราพณ์หน้าตึง ขณะที่รัตนาวลีกับรสิกาวางหน้าไม่ถูก

 
โต๊ะอาหารคฤหาสน์เจ้าสัวเรียว...ทุกคนอึ้งกับคำพูดของราม เจ้าสัวเรียวหน้าตึงมาก รัตนาวลีสงสารลูกสาว ในขณะที่รสิกาพยายามตั้งสติ บรรยากาศตึงจนไม่รู้จะเริ่มคลายจากตรงไหนก่อน
 
“เง็ก ตักข้าว” ราพณ์พยายามข่มความโกรธ
รัตนาวลีพยายามยิ้มใจเย็น
“คุณรามนั่งสิคะ”
“ขอบคุณครับ”
รามนั่งลงยิ้มไม่สะเทือนเลยว่าทำให้บรรยากาศเสีย เง็กกับกิมช่วยกันตักข้าว ในขณะที่ทุกคนต่างลอบมองกันไปมาจับสังเกตกัน รามตักกับข้าวให้กับรสิกา
“คุณหญิงทานไก่นึ่งสิครับ แม่ครัวที่นี่ต้มสุกพอดีมาก” รามมองรสิกากรุ้มกริ่มมาก “เนื้อหวาน ๆ ผมชอบมาก คุณหญิงชอบทานอะไรครับ ผมจะได้จำไว้ จะได้เอาใจคุณหญิงถูก”
ราพณ์มองรามอย่างไม่พอใจ เจ้าสัวเรียวขัดเสียงดังแบบใกล้หมดความอดทน
“ราม ถ้าลื้อไม่กินก็ลุกไป”
รามชักสีหน้าที่พ่อตำหนิไม่ไว้หน้าตัวเอง
“สมน้ำหน้า” ระรินสะใจ
รามหันขวับมอง ระรินมองตอบไม่มีกลัว รังรองมองอย่างไม่ชอบ
“กินข้าวกันได้แล้ว” เจ้าสัวเรียวตัดบท
ขณะเดียวกันนั้นเสียงรุ้งรายดังขึ้น
“รอรุ้งก่อนสิคะ”
ทุกคนหันมองเห็นรุ้งรายเดินเข้ามา
“เฮียพาว่าที่พี่สะใภ้มาเปิดตัวทั้งที มันต้องพร้อมหน้าพร้อมกันสิคะป๊า”
คุณหญิงนั่งลงตรงข้ามกับรสิกา
“เสียดายนะคะวันนี้ศินเขาไม่ว่าง ไม่งั้นรุ้งจะพาคนของรุ้งมาเปิดตัวบ้าง แต่รุ้งกลัวว่าถ้าคุณหญิงต้องทานข้าวกับเพื่อนสนิท อาจจะแสลงจนทานไม่ลง จริงไหมคะคุณหญิง”
คนอื่นๆ หันมองรสิกาดูท่าที รัตนาวลีห่วงลูกแต่รสิกานิ่งมากยิ้มไม่สะเทือน
“คุณรุ้งพูดตกไปหนึ่งคำนะคะ ที่จริงต้องใช้คำว่าอดีตเพื่อนสนิท”
“อดีตที่ความหมายว่า สิ่งที่จบไปแล้วใช่ไหมครับ” ราพณ์ถามอย่างพอใจ
รสิกายิ้มรับอย่างมีสติมาก
“ค่ะ และถ้ามันผ่านไปแล้ว มันจะไม่มีวันหวนกลับ”
รุ้งรายยิ้มพอใจแต่ยังไม่วายแหย่ต่อ
“ฟังดูเหมือนถ่านไฟเก่าจะอับชื้น ถ้าคุณหญิงไม่คิดจะเป็นไฟก็ดีค่ะ เพราะคนของรุ้งมันเหมือนน้ำมัน น้ำมันน่ะมันหาทางไหลได้ไปเรื่อย”
ราพณ์หันมาหารสิกา
“ถ้ารุ้งเข้าใจแล้วก็ดี ขอโทษนะครับคุณหญิงที่น้องผมเขาเสียมารยาท”
“ฉันกำลังจะเข้ามาเป็นสะใภ้ของลิ้มวัฒนาถาวรกุล หน้าที่ของฉันคือรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีของสามี เพราะนั่นหมายถึงเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวฉันเองด้วยเหมือนกัน”
ราพณ์ขยับมาวางมือบนมือของเธอ รสิกาหันมองแล้วยิ้มให้ราพณ์ เจ้าสัวเรียว รุ้งรายพอใจ ระรินปลื้มๆชื่นชม ขณะที่รามกับชาญชัยมองอย่างอยากรู้ว่าลึกๆมีอะไร รังรองเองก็รู้สึกดีขึ้นแต่เห็นชาญชัยมองมาก็ต้องทำเป็นนิ่งเย็นชาไม่สนใจรสิกา

สิริโสภาพยายามกดโทรศัพท์โทรหาราพณ์ แต่เขาไม่ได้เปิดเครื่อง เธอกด ๆโทรศัพท์ไม่ยั้ง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เธอมองเสื้อยืดของราพณ์ที่แขวนอยู่ ยื่นมือไปแตะเสื้อของเขาแล้วน้ำตาร่วง นึกถึงตอนที่ราพณ์ใส่เสื้อตัวนี้เคยนั่งกอดเธอ สิริโสภาจับเสื้อของราพณ์มาแนบแก้มร้องไห้ราวกับจะขาดใจ หน้าประตูมานพยืนมองด้วยความสงสาร

ชาญชัยนั้นเป็นลูกเขยที่ไม่ค่อยพอใจราพณ์กับเจ้าสัวเรียว ที่ไม่เคยเห็นความสำคัญของเขา ปกติลูกเขยกับลูกสาวที่แต่งออกจากบ้านไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียงอยู่แล้ว แต่เจ้าสัวเรียวกับราพณ์เห็นแก่รังรองจึงให้ความช่วยเหลือเข้าหุ้นกับชาญชัย ตั้งบริษัทก่อสร้างขึ้นในฐานะบริษัทลูก ชาญชัยพยายามจะบีบรังรองทุกทางเพื่อให้ช่วยพูดให้เจ้าสัวเรียวยกบริษัทให้เป็นของตนเองเพียงผู้เดียว ไม่อยากเป็นบริษัทลูก ไม่อยากให้ใครมาตรวจสอบ ทั้งที่อาศัยเงินและเครดิตเจ้าสัวเรียวจนก่อตั้งมาได้
ขณะที่นั่งทานอาหารกันอยู่ ชาญชัยหาจังหวะถามเรื่องที่ตัวเองข้องใจ พอได้จังหวะก็โพล่งขึ้นมา
“แล้วราพณ์กำหนดหรือยังว่าจะจัดงานที่ไหน แต่งวันไหน เฮียจะได้ช่วยจัดการให้”
เจ้าสัวเรียวกับรัตนาวลีมองราพณ์ว่าจะเอายังไง
“เราจะจัดงานเป็นการภายในครับ เฉพาะคนในครอบครัว”
“ไม่เงียบไปเหรอ” ชาญชัยหันมาบอกกับเจ้าสัวเรียว “แบบนี้ที่คนเขาลือจะยิ่งกลายเป็นฮือฮาว่าจริง
นะครับ”
“ข่าวลืออะไรคะเฮียชาญ” ระรินถามอย่างไม่รู้จริงๆ
ชาญชัยได้โอกาส พูดทันที
“ข่าวว่าทางประกาศเกียรติแต่งงานล้างหนี้น่ะสิน้องริน”
ทุกคนอึ้ง รังรองก็ตกใจที่ชาญชัยโพล่งออกมา รัตนาวลีกับรสิกาหน้าเสีย
“ลื้อเอาอะไรมาพูด” เจ้าสัวเรียวไม่พอใจ
“มันเป็นข่าวครับป๊า พวกข่าวซุบซิบตามสังคม”
“ไร้สาระ” เจ้าสัวเรียวเสียงแข็ง
ราพณ์พูดขึ้นนิ่งๆ
“ผมว่าเฮียเอาเวลาไปสนใจโครงการทาวน์เฮ้าส์ ที่เฮียดูแลจะดีกว่านะครับ”
ชาญชัยหน้าตึงที่โดนแตะเรื่องทำงานของตัวเอง
“มันก็โอเคนี่ คนแห่จองกันหมดแล้ว”
“ผมได้รับรายงานมาว่าโครงสร้างมันต่ำกว่ามาตรฐาน อาจจะมีปัญหาที่ผู้รับเหมา ถ้าเฮียจัดการไม่ได้ ผมจะให้รุ้งไปช่วยเคลียร์”
ชาญชัยเสียงแข็งทันที
“ไม่ต้อง” ชาญเห็นทุกคนมองรีบพูดอ่อนลง “เฮียจะเข้าไปดูเอง”
เจ้าสัวเรียวพูดขึ้น
“ป๊าทำธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์มาตลอด มันคืออุดมการณ์ในการทำงานที่ทุกคนในครอบครัวจะต้องยึดมั่นในการทำงาน”
“ผมพยายามจะทำให้บริษัทมีผลกำไรสูงสุด” ชาญชัยเถียง
ราพณ์เสียงเข้ม
“มาตรฐานต่ำกำไรสูงมันไม่ใช่นโยบายของบริษัทเรา คำว่าเรารวมถึงทุกบริษัทในเครือด้วย เห็นทีผมกับสถาปนิกจะต้องเข้าไปตรวจที่โครงการ”
ชาญชัยรีบบอกเจ้าสัวเรียว
“ถ้าไว้ใจให้ผมบริหาร ก็ควรจะปล่อยให้ผมจัดการเองไม่ใช่เหรอครับ”
ราพณ์ขัดขึ้น
“ถ้ามันเกิดความผิดพลาดขึ้นมา มันจะไม่ใช่แค่เงินที่เสียไป ผมมองว่าผู้รับเหมารายนี้มีปัญหามาตลอด การเลือกบุคลากรเฮียต้องใช้วิจารณญาณมากกว่านี้นะครับ”
ชาญชัยโกรธที่เจอราพณ์หักหน้ากลางโต๊ะอาหาร แล้วเจ้าสัวเรียวก็ยังดูจะให้ท้าย
“งานประเภทนี้มันเลือกคนยาก ไม่เหมือนบางประเภท เหนื่อยน้อยแต่ได้รับการยกย่องมาก” ชาญชัยสายตามองไปทางรสิกาประมาณหาที่ลง “ราพณ์ก็คงเสียเงินไปไม่น้อย ไอ้แบบนี้มันสมควรแล้วเหรอ”
รุ้งรายแทรกขึ้น
“ไม่ว่าเฮียราพณ์จะเสียเงินหรือไม่มันก็ไม่เกี่ยวกับเฮียชาญนี่คะ เพราะมันเป็นเงินกงสี รุ้งกับน้องๆ ที่ถือเป็นสายในยังไม่เดือดร้อน เฮียชาญเป็นแค่ลูกเขยไม่มีสิทธิ์ในกองนี้จะเดือดร้อนทำไมคะ”
ชาญชัญโกรธวางตะเกียบปึ้ง
“ผมอิ่มแล้ว ขอตัวครับ”
รังรองเรียกไว้

“เฮียคะ...เฮีย”
 

ชาญชัยเดินไปไม่ฟังเสียง รังรองหันมาตวาดน้องสาว
 
“รุ้ง...หาเรื่องเฮียเขาทำไม”
“หรือเจ้ว่ารุ้งพูดผิด”
เจ้าสัวเรียวมองทั้งรุ้งรายกับรังรอง
“โต๊ะกินข้าวมีไว้กินข้าว ถ้าไม่กินก็ลุกไป”
“รองขอตัวก่อนนะคะ สวัสดีค่ะหม่อม”
รังรองลุกออกไป ทุกคนเงียบงัน รามยิ้มกวนๆ
“เป็นมื้อที่สนุกจริงๆ ถ้าหม่าม๊าผมมาด้วยคงสนุกกว่านี้ คุณหญิงเจอหม่าม๊าผมหรือยังครับ”
รสิกางงเล็กน้อย เจ้าสัวเรียวกับคนอื่นๆ มองราม รามพูดเสียงเศร้า เพราะโดนแม่ฝังหัวมา
“หม่าม๊าโบตั๋น เมียรองที่ถูกทุกคนมองข้าม”
เจ้าสัวเรียววางตะเกียบอย่างแรง ทุกคนสะดุ้งมอง
“ขอโทษนะครับ หม่อม คุณหญิง มื้อนี้คงไม่สะดวกที่จะทานแล้วล่ะครับ”
รัตนาวลีมองเจ้าสัวเรียวรู้ว่าคงอยากคุยกับลูก ๆ
“อ้าย แม่จะเดินไปส่งที่รถนะลูก”
“ค่ะ”
ราพณ์บอกกับรสิกา
“เดี๋ยวผมตามออกไปนะครับ”
รสิกามองเป็นการตอบรับแล้วลุกออกไปกับรัตนาวลี ราพณ์หันไปบอกระริน
“ระรินขึ้นไปดูพระลบที่ห้องให้เฮียที”
ระรินมองรามอย่างโมโห อยากเฉ่งด้วย
“แต่...”
ราพณ์เสียงเข้ม
“ระริน”
“ค่ะ”
ระรินออกไป รามพูดขึ้น
“กับข้าวเยอะแยะ น่าเสียดาย”
เจ้าสัวเรียวตบโต๊ะปัง
“ลื้อไม่ควรทำแบบนี้”
“ป๊าหมายถึง พูดความจริงน่ะเหรอครับ”
“ราม”
รามมองไม่สะดุ้งสะเทือน เจ้าสัวเรียวโกรธมาก ราพณ์เครียด

สิริโสภาร้องไห้จนสาแก่ใจ มานพที่ยืนมองเห็นว่าอยู่ก็ไม่มีประโยชน์เดินกลับออกไป สิริโสภานึกถึงที่ราพณ์บอกว่าจะแต่งงาน เธอแค้นเสียใจผิดหวัง
“คุณเป็นของสิ สิไม่ยอม...ไม่ยอม”
เสียงประตูหน้าบ้านถูกเปิดแล้วปิด สิริโสภาหยุดร้อง ขยับลุกขึ้นมอง เห็นมานพกำลังจะเดินออกไป เธอตัดสินใจบางอย่างทันที รีบไปคว้าแจกันแก้วแล้วเขวี้ยงไปที่กำแพง เพล้ง มานพชะงักที่ได้ยินเสียง ตัดสินใจวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน
สิริโสภาหยิบเศษแก้วที่แตกขึ้นมาแล้วกรีดเข้าที่แขน มานพรีบวิ่งเข้ามาในบ้านชะงักที่เห็นเลือดร่างสิริโสภาฟุบอยู่กับพื้น ที่แขนมีเลือดไหลออกมา
“คุณสิ”
มานพเข้าไปพยายามจะประคองขึ้นมา แต่สิริโสภาสะบัด
“ปล่อยฉัน ฉันอยากตาย”
มานพพยายามจะลากสิริโสภาออกไป เธอพยายามจะสะบัดให้หลุด มานพไม่ยอมแพ้พยายามจะลากออกไปให้ได้ สิริโสภาคลั่งไร้สติไปแล้ว

รัตนาวลีเดินออกมาที่ลานจอดรถกับรสิกา ที่หน้าเครียดมาก
“หม่อมแม่ทนอยู่ได้ยังไงคะ กับการที่ญาติพี่น้องเขา พูดจาดูถูกเราขนาดนี้ ทั้งลูกเขย ลูกชาย”
“การแต่งงานไม่ใช่แค่เราแต่งงานกับผู้ชายหนึ่งคนนะอ้าย แต่มันคือการแต่งงานกับครอบครัวของเขา เท่าๆ กับที่เขาแต่งงานกับครอบครัวของเรา”
“แต่ถ้ามันเป็นแบบนี้ อ้ายไม่...”
“ให้อ้ายตัดแม่ตัดลูกกัน อ้ายยอมไหม”
รสิกาสวนทันที
“ไม่ค่ะ”
รัตนาวลียิ้ม แล้วอธิบายต่อ
“ครอบครัวของใคร เขาก็ย่อมรักและผูกพัน การแต่งงานจะเปลี่ยนเราจากคู่รักให้เป็นคู่ชีวิต เป็นคู่คิดที่ดูแลกันและกัน”
“ดูแล” รสิกาดูสับสนงุนงงว่าต้องทำอะไร
รัตนาวลีลูบที่ต้นแขนเบาๆ
“เมื่อลูกแต่งงาน ความรักจะผลักดันให้ลูกได้รู้ว่าลูกควรจะต้องทำยังไง...”
รสิกาเจอคำว่ารักจากรัตนาวลีมาก ๆ เข้าชักต่อต้านเพราะตนเองไม่ได้รู้สึกถึงความรักสักนิด

ในห้องนั่งเล่น...รามเดินเข้ามาตรงหน้าเจ้าสัวเรียวหน้าซื่อๆ มั่นใจว่าที่พูดคือความจริง แต่เป็นความจริงที่โบตั๋นพูดฝังหัวไว้ รามคิดว่าแม่จริงใจและรักเขาที่สุด เมื่อลินดาเล่าว่าโดนรังแกเพราะเรื่องสมบัติ รามก็เชื่อ และพยายามจะเรียกร้องให้ตามที่ลินดาต้องการ
“ลื้อพูดเรื่องบ้า ๆ พวกนั้นทำไม” เจ้าสัวเรียวพูดขึ้นมาอย่างโกรธจัด
“เรื่องไหนล่ะครับ เรื่องที่ป๊าหาคุณหญิงมาแต่งกับผมแต่เฮียราพณ์แย่งไป หรือว่าเรื่องที่ป๊าไม่เคยยกย่องแล้วทุกคนที่นี่ก็ไม่เคยให้เกียรติม๊าผม”
ราพณ์ปราม
“ราม...อย่าก้าวร้าว”
“ก่อนเฮียจะสอนผม เฮียสอนตัวเองก่อนเถอะครับ สอนตัวเองให้รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ จะได้รู้ว่าเฮียกับพวกเจ๊ ๆ ควรให้ความเคารพม๊าของผมด้วย”
เจ้าสัวเรียวตวาดลั่น
“หุบปาก แกเป็นน้องไม่ควรจะเถียงพี่แกแบบนี้”
รามชะงักมองพ่อ
“ทำไมป๊าไม่ตวาดเฮียบ้าง เวลาเฮียเถียงม๊าผม ทำไมต้องเป็นผมกับม๊าที่ผิดเสมอเพราะผมไม่ใช่ลูกชายคนโตใช่ไหมครับ ป๊าถึงไม่รักผม ป๊าลำเอียง”
“ราม...”
เจ้าสัวเรียวความดันขึ้น ปวดหัวจี๊ดจนเซต้องลงไปนั่ง รามตกใจ
“ป๊า”
ราพณ์ตกใจตะโกนเรียก
“เง็ก...เง็ก”

รัตนาวลีกับรสิกาอยู่หน้าตึก ได้ยินเสียงราพณ์ ทั้งสองหันตามเสียงที่ดัง แล้วพากันวิ่งกลับเข้าไปด้านใน รามจะเข้ามาหาเจ้าสัวเรียวแต่ยังไม่ทันจะแตะ ราพณ์ขัดเสียงดัง
“อย่า”
รามชะงัก ราพณ์มองด้วยความโกรธ
“ออกไป...อย่าให้ป๊าต้องเครียดเพราะแกอีก...ไป”
รามอึ้งมองเจ้าสัวเรียวที่หายใจเร็วถี่ รามต้องถอยห่างออกมานั่งมองเงียบๆ เง็กวิ่งเข้ามา
“ยามาแล้วค่ะ”
รัตนาวลีรีบรับยาจากเง็กแล้วเข้าไปหาเจ้าสัวเรียว
“ทานยานะคะเจ้าสัว”
เจ้าสัวเรียวทานยาแต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น รสิกายืนมองเหตุการณ์อึ้งๆ เพราะเพิ่งเคยเจอเรื่องนี้เป็นครั้งแรก

เจ้าสัวเรียวนั่งพิงไปกับเตียงกึ่งนั่งกึ่งนอน รัตนาวลีขยับเข้ามาใกล้ด้วยความเป็นห่วง
“เป็นยังไงบ้างคะ”
“ผมดีขึ้นแล้ว ไม่เป็นไร”
รสิกากับราพณ์ยืนอยู่ด้านหลังรัตนาวลี เจ้าสัวเรียวหน้าสลด
“ผมต้องขอโทษหม่อมกับคุณหญิงด้วย ที่รามกับชาญชัยพูดจาไม่เหมาะสม”
รสิกาเห็นสภาพเจ้าสัวเรียวก็อ่อนลง
“ไม่เป็นไรค่ะ”
เจ้าสัวเรียวหันไปบอกลูกชาย
“ราพณ์ ดึกแล้วพาคุณหญิงไปส่งเถอะ”
“ครับ”
รัตนาวลีละล้าละลังอยากไปส่ง
“ถ้างั้นแม่...”
รสิการ้ายไม่ออก เพราะสภาพเจ้าสัวเรียวดูป่วยมาก
“หม่อมแม่ดูแลเจ้าสัวเถอะค่ะอ้ายกลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ” รสิกาไหว้รัตนาวลีกับเจ้าสัวเรียว
“จ๊ะ ขับรถระวังนะคะคุณราพณ์”
“ผมสัญญาครับว่าจะดูแลคุณหญิงอย่างดี”
รสิกาสบตา ราพณ์มองมาด้วยสายตาจริงจัง รสิกาเมินอย่างหมั่นไส้ว่าสร้างภาพ
“เชิญครับคุณหญิง”

ราพณ์พารสิกาออกไป
 
จบตอนที่ 3 
 
กำลังโหลดความคิดเห็น