xs
xsm
sm
md
lg

สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 1

ขณะที่ญาณินเดินอยู่บนรถไฟฟ้านั้น จู่ๆ มีเสียงตะโกนดังลั่นขึ้นมาว่า “มึงลบหลู่กู !”

คำๆ นี้ ทำเอายิปซีสาวพี่ใหญ่ของน้องๆ ทั้ง 4 นึกถึงเรื่องราวในอดีต เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นตอนเย็นในวันหนึ่งเมื่อ 6 ปี ก่อน
กรรณาแสบแก้วหูมาก ถึงขนาดต้องปิดหูตัวเอง พร้อมๆ กับกรีดร้องเสียงดัง โดยที่บริเวณชายหาด ป๋องดิ้นกระแด่วๆ จะจมน้ำอยู่ในน้ำทะเลที่มีความตื้นแค่หัวเข่า เขาร้องขอความช่วยเหลือ
"ช่วย...ช่วยด้วย ช่วยด้วย !"
กรรณา เนตรสิตางศุ์ กรรัมภา สุคนธรส และ ญาณิน ในชุดเสื้อตัวใหญ่ กางเกงเล ผมถูกมัดจุก หน้าเปื้อนสีอยู่บนชายหาด ยืนปะปนอยู่กับเพื่อนร่วมคณะ รุ่นพี่ชายหญิงยืนเกาะกลุ่มกัน หลายคนเมาแอ่น ชี้มือไปที่ทะเล หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน เมื่อได้ยินเสียงของพงษ์ศักดิ์ หรือ ป๋อง รุ่นพี่ในคณะ
"ช่วย...ด้วย !"
พวกเพื่อนรุ่นพี่ต่างหัวเราะขบขัน ไม่มีใครรู้ว่า แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกับพงษ์ศักดิ์
เสียงญาณินดังขึ้นบอกเรื่องราว
"วันนั้นเป็นวันที่รุ่นพี่จัดงานรับน้องใหม่ให้กับนักศึกษาปีหนึ่งอย่างพวกเรา"
ภาพและเรื่องราวในอดีตยังจำได้ติดตา เพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งเห็นอาการของพงษ์ศักดิ์เป็นเรื่องขบขัน แล้วบอกว่า
"ไอ้ป๋องจะแปลงร่างเป็นพะยูนเกยตื้นแล้วโว้ย ฮ่าๆ"
รุ่นน้องคนอื่นวิ่งกรูกันมาดูพงษ์ศักดิ์ที่ชายหาด มีใครบางคนชนตัวกรรัมภาจนเซไปหาเนตรสิตางศุ์ที่ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
"เขา...เขา...กำลังเหยียบพี่ป๋องจมน้ำ"
กรรัมภาจับตัวเนตรสิตางศุ์ถาม
"อะไรเหรอ"
ฉับพลัน ... สายตาของกรรัมภา ก็เห็นเจ้าที่ใส่ชุดโจงแดง ถอดเสื้อ หุ่นกำยำ ตัวสูงใหญ่กำลังเหยียบร่างป๋องให้จมน้ำ
กรรัมภาอ้าปากค้าง ตะลึงกับภาพที่เห็น เธอเงยมองหน้าเนตรสิตางศุ์ที่ยังตัวสั่นกับภาพที่เห็นเธอเข้าใจได้ทันทีว่า สิ่งที่เธอเห็นคือสัมผัสที่หกของเนตรสิตางศุ์นั่นเอง
"พวกมึงลบหลู่กู!" เจ้าที่บอกอย่างนั้น
ญาณินเห็นกรรัมภาและเนตรสิตางศุ์ยืนแข็งจ้องเขม็งมองตรงไปทางพงษ์ศักดิ์ที่ดิ้นทุรนทุราย ก็เริ่มสังเกตเห็น ความผิดปกติของคนทั้งสองซึ่งต่างจากเพื่อนๆ พี่ๆ คนอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้น
ญาณินละสายตาหันไปมองกรรณาที่กำลังกรีดร้องพร้อมยกมือขึ้นปิดใบหู
"วันนี้เป็นวันที่พวกเราได้พบและรู้ตัวตนของกันและกันเป็นครั้งแรก"

" โครม" !!
ญาณินหันไปทางที่มาของเสียงดัง ที่แท้... สุคนธรสท่าทางร้อนใจควานหาของในกระเป๋าย่ามไม่เจอ
"ปัทโธ่เว้ย! ทำไมเวลารีบถึงหาของไม่เจอเสียทีนะ"
สุคนธรสเทของในกระเป๋าย่ามลงพื้น ซึ่งมีทั้งผ้าปิดปากลายการ์ตูน สเปร์ยพริกไทยกันผี ฯลฯ เธอคว้าม้วนสายสิญจน์แบบถักหลากสีวิ่งลงไปในทะเลหาพงษ์ศักดิ์ ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน เธอพยายามจับตัวพงษ์ศักดิ์ที่ดิ้นพราดๆ จนเธอกระเด็นออกไป
"ช่วยด้วย!" เสียงพงษ์ศักดิ์ยังคงร่ำร้อง
"อยู่เฉยๆสิพี่ เดี๋ยวได้ตายกันพอดี"
กรรณาตัดสินใจวิ่งลงไปช่วยสุคนธรสจับพงษ์ศักดิ์ เธอพยักหน้าให้สุคนธรสทีหนึ่งเป็นการบอกกลายๆว่า ให้จัดการเลย สุคนธรสเข้าใจความหมายแล้วพนมมือม้วนสายสิญจน์ ปากขมุบขมิบ ท่องคาถาแล้วก็เอาสายสิญจน์พันตัวพงษ์ศักดิ์ในทันที
จู่ๆร่างทั้งสามก็จมหายไปในทะเลต่อหน้าต่อตาทุกคน
ขณะที่ทุกคนกำลังใจหาย ทั้งสามก็โผล่ขึ้นมาพ้นผิวน้ำพร้อมพยุงพงษ์ศักดิ์ขึ้นมาอย่างทุลักทุเล
"อ้าว...มาช่วยกันหน่อยดิ จะปล่อยให้หนูสองคนช่วยอยู่อย่างนี้เหรอ!" กรรณาตะโกนบอ
คำพูดของกรรณาทำให้รุ่นพี่ผู้ชายที่กำลังยืนช็อกกับเหตุการณ์ได้สติ รีบวิ่งลุยน้ำลงไปช่วยลากพงษ์ศักดิ์ขึ้นมานอนปฐมพยาบาลบนชายหาด
ท่ามกลางความโกลาหล ญาณินยืนนิ่ง หลับตาลง ถอดจิต... เพื่อไปยืนประนมมือขอร้องเจ้าที่
"อย่าทำเขาเลยนะคะท่านเจ้าที่"
"มันต้องตาย! มันไม่มีสัมมาคารวะ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง"
ญาณินสัมผัสได้ว่า พงษ์ศักดิ์เมาแล้วเดินไปฉี่ใต้ต้นไม้ หลังศาลเพียงตาที่ถูกปล่อยจนโทรม
ญาณิน รับรู้เหตุการณ์ทั้งหมด
"อย่าเอาเขาไปเลยนะคะ หนูสัญญาว่าพรุ่งนี้หนูจะให้เขาขอขมาลาโทษค่ะ"
เจ้าที่ยืนนิ่งใบหน้าดุดัน ญาณินยังคงประนมมืออ้อนวอน
"อโหสิกรรมให้เขาเถิดนะคะ อย่างน้อยยังช่วยให้เขาได้สำนึกและแก้ไขสิ่งผิดพลาดที่เขาได้ทำลงไปนะคะ"
สิ้นคำ... ลมก็พัดกรู ญาณินหลับตา หลบลมและเศษทรายที่ลอยมา พอทุกอย่างสงบ เธอหัน กลับมาทางเดิม เจ้าที่ก็หายไปแล้ว ญาณินยิ้มโล่งใจ

กายหยาบญาณินลืมตาขึ้น จิตกลับมาที่เดิม
"เฮ้ย!"
ภาพแรกที่ญาณินเห็นเมื่อลืมตาขึ้นคือกรรัมภา เนตรสิตางศุ์ สุคนธรส กรรณา ต่างจ้องเธอเป็นสายตาเดียว ทุกคนยิ้มให้กันอย่างรู้ว่าต่างคนต่างมีสัมผัสพิเศษ
"โชคชะตานำมาให้เราทั้งห้าได้พบกัน"

ส่วนรุ่นพี่คนอื่นๆ วิ่งไปช่วยห่ามร่างพี่พงษ์ศักดิ์ออกไป คนอื่นวิ่งแห่ตามไป

วันใหม่ ช่วงตอนกลางวัน ณ บริษัทซิกซ์เซ้นส์ ทั้ง 5 สาวต่างมีมุมมองเกี่ยวกับสัมผัสพิเศษแตกต่างกันไป

เนตรศิตางศุ์ - "วันนั้น มันผ่านมา 5 ปีแล้ว จากวันรับน้องตอนปี1 จนถึงวันนี้ เนตรไม่มีวันลืมวันที่เนตรได้รู้ว่าเนตรไม่ได้เป็นตัวประหลาดอยู่แค่คนเดียวในโลกนี้"
ญาณิน - "พวกเราไม่ได้เป็นตัวประหลาด แต่พวกเราเป็นคนพิเศษ ที่มีพลังพิเศษไม่เหมือนใครต่างหาก"
สุคนธรส - "แต่ก่อน มันเคยเป็นปมด้อยที่เราพยายามปิดบังไว้ เพราะเราอยากจะเป็นคนธรรมดา เหมือนคนอื่นๆ เรากลัว แล้วก็อาย ที่จะแตกต่างจากคนอื่น"
กรรัมภา - "บังเอิญเราได้มาเรียนคณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยเดียวกัน เราถึงมาเจอกันได้
แล้วกล้าที่จะยอมรับมัน ไม่งั้น พรสวรรค์เหล่านี้ก็คงจะต้องถูกเก็บกด หรือกำจัดให้มันหายไปในที่สุด"
กรรณา - "ไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะ เป็นการจัดสรรของฟ้าของดิน ที่ออกแบบมาแล้ว ว่าเรา 5 คน ต้องได้มาอยู่ด้วยกัน เป็นเพื่อนกัน ได้ร่วมมือกันใช้พรสวรรค์ของเราเพื่อช่วยเหลือคนอื่น"

5 สาวนอนเรียงกันเป็นวงกลม เอาหัวชนกัน เหมือนวงกลีบดอกไม้บาน บนผืนผ้าที่ปูบนพื้นหญ้าใต้ต้นไม้หน้าบริษัท กุมาริกาเอากลีบดอกไม้เล็กๆ โปรยปรายลงมาราวกลีบดอกซากุระร่วง ใบหน้าและแววตาของสาวทั้ง 5 สวยงาม อารมณ์อิ่มเอม ปิติ
"มีเด็กๆ จำนวนมากที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์พิเศษหลายอย่าง แต่ถูกครอบครัวกับสังคมไม่เข้าใจ ไม่ยอมรับ ทำให้เด็กๆต้องปิดประตู ปิดหน้าแล้วขังมันไว้ หรือเปลี่ยนชื่อใหม่ให้มัน..ว่า ปมด้อย" กุมาริกาบอก
อรวรรณ แม่บ้านประจำบริษัทถือถาดใส่ผลไม้เข้ามานั่งลงข้างสาวๆ
"แต่พวกคุณทั้ง 5 ยังนับว่าโชคดีที่เติบโตมาเป็นสาวสวยที่น่ารัก สดใส เป็นตัวของตัวเอง และมีทัศนคติที่ดีกับชีวิตนะคะ"
5สาวลุกขึ้นเข้ามารุมกินผลไม้ที่อรวรรณยกมา
อีกด้านหนึ่ง บริเวณหน้าห้องกระจก บรรดาหนุ่มๆ กำลังปิ้งย่างกันอยู่ รวมทั้งก้องฟ้าที่กำลังผสมน้ำจิ้มอย่างจริงจัง
ร้อยตำรวจเอก ณัฐเดช พี่ชายของเนตรสิตางศุ์ บอก
"ทัศนคติ ใช่เลย! ทัศนคตินี่แหละ ที่ทำให้คนเราสุข หรือทุกข์ ชนะ หรือแพ้ สำเร็จ หรือล้มเหลว ชั้นเอง ก้าวหน้า มีอนาคตในหน้าที่การงาน เพราะชั้นมีทัศคติที่ดี แล้วชั้นก็สอนน้องสาวชั้น ให้เป็นเด็กที่มองโลกในแง่ดี เพราะฉะนั้น เมื่อเนตรให้โอกาสนายแล้ว ก็ขอให้นายจงรักษาความดี ดุจเกลือรักษาความเค็ม อย่าทำให้น้องสาวชั้นผิดหวัง"
พันตำรวจตรี นายแพทย์วรวรรธ แห่งนิติเวช ทำท่าตะเบ๊ะ บอก
"ครับพี่ครับ ผมจะทำให้ทุกคนเห็น ว่าน้องสาวของพี่ได้คู่รักที่เป็นคนดีมีคุณภาพ เปรียบเสมือนทองแท้ที่ทนทานต่อการพิสูจน์ รับรองว่าคุณเนตรจะไม่ผิดหวังเด็ดขาด..ครับพ้ม!"
"เหมือนชั้นไง ใครได้ชั้นเป็นแฟน ต้องนับว่าโชคดีมากๆ เพราะชั้นรักใครรักจริง รักเดียวใจเดียว เป็นคนซื่อสัตย์ดัดจริต" ติณห์บอก
"ซื่อสัตย์..อะไรนะครับ" ก้องฟ้าถาม
"ซื่อสัตย์ ดัดจริต" ติณห์หนุ่มลูกครึ่งไทย - อเมริกันตอบอย่างมั่นใจ
ทุกคนพูดขึ้นพร้อมกัน
"ซื่อสัตย์สุจริต"
"แต่ละคน ไม่ค่อยสรรเสริญเยินยอ หลงตัวเองตัวเองกันเท่าไหร่เลยนะ ของดีน่ะ เขาไม่ต้องโฆษณากันมากหรอก คนดีเค้าต้องไม่คุย คนดีต้องเงียบๆ ไม่ขี้อวด" ไตรรัตน์
"อย่างพี่ไตรใช่ไหมครับ มิน่า ตั้งแต่แต่งงานไป พี่รสเหมือนจะเงียบๆ เรียบร้อย อ่อนหวานขึ้นจมเลย อารมณ์ก็ดี๊ดี ไม่ค่อยดุเหมือนเดิม พี่รสต้องมีความสุขมากๆ แน่ๆ ที่แต่งงานกับพี่" ก้องฟ้าว่า
ไตรรัตน์อมยิ้ม กรุ้มกริ่ม เอียงคอ แบมือ ยักไหล่ ทำท่าภูมิใจๆ

ทางด้านฝ่ายหญิง
"ยัยรส...ไหนว่าแต่งงานแล้วจะมาเล่าให้พวกเราฟังทุกอย่าง ทุกเรื่องเลยไงล่ะ แต่ทำไม แกกลับดูเงียบๆ นิ่งๆ ไป ไม่เห็นเล่าเรื่องชีวิตคู่ให้เพื่อนๆ ฟังมั่งเลย" ญาณินถาม
เนตรสิตางศุ์รับลูก
"จริงด้วยๆๆ เล่ามาๆๆ อยากรู้ๆ เล่าทุกอย่างเลยนะ ทุกฉาก ทุกเรื่อง ทุกการกระทำ"
กุมาริกาสนุกสนานถูกใจตามประสาเด็ก ... "แอร๊ยๆๆ"
สาวๆ ต่างกรี๊ดและคิกคักกัน
"แหม จะอยากรู้กันไปทำไม มันไม่มีอะไรหรอก" สุคนธรสบอก
"เชอะ...ทำมากั๊ก ปิดบัง เล่ามาเถอะ ชั้นไม่สะทกสะท้านหรอก เฉยๆมาก" กรรณาบอก
"มันก็ธรรมดาๆปกติแหละ ไม่มีอะไรน่าเล่าหรอกจริงๆนะ" สุคนธรสว่า
"ว้าย...เขินแทน ถ้าคนห้าวๆอย่างคุณรสยังพูดไม่ออก แสดงว่า ชีวิตรักของคุณจะต้อง..." อรวรรณยังพูดไม่จบ
กรรัมภาแทรกขึ้น
"อะเมซซิ่งฟันปาร์คมากๆ"
บรรดาสาวๆ ต่างกรี๊ดสนุกสนาน
"อย่ามาทะลึ่งเบเบ๋สิ ยัยแก้ม เดี๋ยวยัยรสมันก็ไม่เล่าหรอก" ญาณินบอก
"ใช่...หยุดจินตนาการเดี๋ยวนี่นะ มันไม่มีอะไรๆ"

ทางวงของผู้ชาย ทุกคนรุมตามตื๊อถามไตรรัตน์
"คุณไตรรัตน์มีอะไรจะสอนรุ่นน้องมั่งครับ ผมจะได้เจริญรอยตามรุ่นพี่" วรวรรธถาม"แหม...ของแบบนี้ มันสอนกันไม่ได้หรอก" ไตรรัตน์บอก
"อะไรวะ มีความสุขแล้วทำเป็นหวงความลับ ทำเป็นอับเงียบนะเพื่อน" ติณห์บอก
"นั่นสิ ดูจากฟอร์มแล้ว พี่ไตรรัตน์ต้องเด็ดสุดอะ" ก้องฟ้าว่า
ติณห์พูดต่อ
"แล้วมันดีมากเลยใช่ไหมวะ การมีชีวิตคู่ ทุกอย่างราบรื่น เรียบร้อย สดชื่น ..บานไหม"
"หา...อะไรบาน" ณัฐเดชถาม
"ชั้นหมายถึง แฮปปี้เหมือนดอกไม้บานไง"
"เบิกบานมั้งครับ" ก้องฟ้าว่า
"นั่นแหละๆ" ติณห์ว่า
ไตรรัตน์ทำคุย แล้วกอดอก หุบปากแน่น
"เฮ่ย...บอกแล้วไง คนพูดไม่เก่ง คนเก่งต้องไม่พูด...เพราะฉะนั้น"
"แบบนี้แปลว่าคุณไตรต้องมีทีเด็ดแน่ๆ" วรวรรธว่า
"ถ้าชั้นไม่แน่จริง ให้ฟ้าผ่าสิเอ้า..."
ทันใด ฟ้าร้องดังเปรี้ยง ณัฐเดชโพล่งบอก
"โอ้...สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง"

ไตรรัตน์รีบกระโดดหลบหลังติณห์ บรรดาหนุ่มๆ ต่างหัวเราะกันลั่น

ภายในห้องนอนของบ้านไตรรัตน์ เวลากลางคืน ฟ้าแลบ ฟ้าร้องโครมครืนอยู่ด้านนอก ไตรรัตน์อยู่ในชุดนอนดูกำลังดูปฏิทินที่มีกากบาทขีดฆ่าวันเต็มเดือนไปหมด จนถึงวันที่วงกลมสีแดงใหญ่ๆไว้

"เย้ เย้ เย้ !"
ไตรรัตน์ร้องขึ้นด้วยความดีใจ กระโดดโลดเต้น
"เยสๆๆ ตั้งแต่วันเข้าหอ คืนวันแต่งงาน ยังไม่มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นเลย วันนี้แหละ สุคนธรส...หง่าว"
ไตรรัตน์ไปที่ห้องน้ำ เคาะประตู
"ตัวเองทำอารายอยู่"
เสียงสุคนธรสห้วนตอบจากในห้องน้ำ
"อาบน้ำ"
"อาบเร็วๆนะ เก๊ามีเรื่องจะคุยด้วย"
"เออๆๆ"
ในห้องน้ำ สุคนธรสนั่งอยู่บนชักโครก ทำฟอร์มห้าวตะโกนตอบ
"กวนใจจริง จะคุยเรื่องอะไร"
"คุณรู้ไหมวันนี้วันอาราย"
สุคนธรสทำเป็นไม่รู้เรื่อง
"วันอะไร"
"วันออกพรรษาไง!"
"อ๋อ...แล้วไง"
"แล้วไงได้ไง...ก็คุณถือศีล ลด ละ เลิกมาตลอดช่วงเข้าพรรษา 3 เดือน ผมก็อดทนรอมาจนถึงวันนี้ไง ฮ่าๆๆ"
สุคนธรสหน้าแดง
"เอ่อ...ทนมาได้ตั้ง 3 เดือน งั้นทนอีก 5 นาทีแล้วกัน"
ไตรรัตน์สีหน้าลามกมาก
"รีบออกมานะ ผมจะจับเวลา"
เขายกนาฬิกาจับเวลาออกมากด ขณะที่เธอยกหนังสือที่ถืออยู่ขึ้นอ่าน หน้าปกหนังสือเขียนว่า “คืนแรกในชีวิต by มาดามจิ้น”
“มาดามจิ้นขอแนะนำว่า คุณต้องงัดชุดนอนที่แสนเซ็กซี่เย้ายวนที่สุดออกมาใส่เดี๋ยวนี้”
สุคนธรสยืนขึ้นหน้ากระจกดูสภาพตัวเอง ในชุดกางเกงผ้า เสื้อยืดสีขาวคอย้วย มีรูแมลงสาปแทะที่หัวไหล่
เธอเอานิ้วแหย่เข้าไปในรูเสื้อ ถามตัวเอง
"เซ็กซี่ไหมวะ ไม่น่ารอด"
สุคนธรสถอยเข้าไปหลังม่านกั้นอาบน้ำ
ไตรรัตน์อยู่หน้าโต๊ะกระจกหยิบน้ำหอมมาฉีดซอกคอ ฉีดปาก
เธอเปิดม่านออกมาในชุดนอนซีทรูบางเบา สยายผม ทำปากเซ็กซี่ แต่ไม่ชอบ
"ตั้งใจเกิ้น"
เธอปิดม่านอีกครั้ง ... เมื่อม่านออก หล่อนอยู่ในชุดนอนผ้านิ่มลื่น สีชมพูหวาน ไม่มากไม่น้อยไป หล่อนยิ้มพอใจ แล้วหยิบหนังสือขึ้นอ่าน
“ระวังกลิ่นไม่พึงประสงค์ทั้งหลาย ขายหน้าไปจนตายอย่าหาว่ามาดามจิ้นไม่เตือน”
สุคนธรสทาโรลออน ตามด้วยการแปรงฟัน
ไตรรัตน์ปิดผ้าม่าน หรี่ไฟ เปิดเพลงคลอเบาๆ แล้วเดินไปหน้าห้องน้ำ ยกนาฬิกาจับเวลาขึ้นมาดูพลางบ่น
"ตัวเอง ไมนานจัง เกิน 5 นาทีแล้วนะคะ"
ขณะนั้นเธอบ้วนปากเสร็จพอดี
"เสร็จแล้วๆ"
เขาทำท่าหวานปากถูมือไปมา กระโดดลงเตียง นอนรออย่างสบายใจ ขณะที่เธอยืนหน้าประตูภายในห้องน้ำ กลับรู้สึกใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น หลับตาข่มความรู้สึกตัวเอง
"สุคนธรสสู้ๆ"
หล่อนจับลูกบิดกำลังจะหมุน แต่นึกขึ้นได้
"ลืมถอดของขลัง !"
สุคนธรสถอดสร้อยพระวางบนเคาน์เตอร์หน้ากระจก ตามด้วยสร้อยตะกรุด ผ้ายันต์ เบี้ยแก้ และของขลังอื่นๆ อีกมากมายจนชิ้นสุดท้าย ก่อนพนมมือขึ้นลูบหัว สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดสร้างกำลังใจแล้วตัดสินใจเปิดประตูออกไป ทำเป็นห้าวแก้เขิน
"มีเรื่องอะไรจะคุยว่ามา"
แต่ไตรรัตน์หลับคาเตียงในมือถือนาฬิกาจับเวลาอยู่ สุคนธรสเซ็ง
"นายไตร !"

ในเวลากลางคืน สายฟ้าแลบและเสียงผ่าฟ้าเปรี้ยง ! ดังเข้ามาในห้องของคฤหาสน์พิมพ์พิลาส ไฟในห้องดับพรึ่บ!! แต่ไม่เกินอึดใจไฟกลับมาติดใหม่ พิมพ์พิลาสนั่งอ่านเอกสารงานอยู่บนเตียง ส่ายหัวหงุดหงิดกับการไฟฟ้าแห่งประเทศไทยเล็กน้อย แล้วกลับมาอ่านเอกสารต่อ
จู่ๆ เสียงลูกบิดประตูขยับก๊อกแก๊กดังขึ้น เธอเหลือบตาขึ้นมองแล้วถาม
"ใคร"
เงียบ ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้น เธอหันกลับไปทำงานต่อ เสียงลูกบิดกลับขยับอีกครา
"เทพ เทพหรือเปล่า"
ไม่มีใครตอบ เธอวางเอกสารแล้วลุกเดินไปเปิดประตู
เมื่อเธอเปิดประตูออกมา ที่หน้าห้องนอนไม่เห็นมีใคร
พิมพ์พิลาสตะโกนเรียก
"นั่นเทพหรือพิสมรน่ะ"
เธอกวาดตาไปรอบๆ แล้วเห็นเงาคนเดินอยู่บริเวณชั้นหนึ่ง
"ฉันถามว่าใคร"
ทุกอย่างเงียบ เธอตัดสินใจรีบเดินลงไปชั้นล่างทันที

บริเวณโถงห้องรับแขกของคฤหาสน์พิมพ์พิลาส
"ชั้นถามว่าใคร"
พิมพ์พิลาสมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นใคร!!
จู่ๆ ฟ้าผ่าเปรี้ยง ! เธอสะดุ้งสุดตัว แสงจากฟ้าผ่าทำให้เกิดเงาคนขนาดใหญ่บนกำแพง เธอเห็นแวบหนึ่งจากหางตาแล้วหันขวับไปมอง แต่เป็นแค่เงาจากแจกันขนาดใหญ่
ประตูหน้าบ้านเปิดออกเอง...เอี๊ยด!! มีเงาคนวิ่งออกไป เธอนึกได้
"นั่นใคร ! กล้าล้วงคองูเห่าเชียวรึไอ้หัวขโมย"
เธอมองหาอาวุธ แล้วคว้าเชิงเทียนบนโต๊ะมาชูในท่าเตรียมพร้อม

"แกรู้จักชั้นน้อยเกินไปแล้ว"

พิมพ์พิลาสกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกมานอกตัวบ้าน ตามเงาคนนั้นไป เธอตามมาจนหยุดยืนอยู่หน้าเรือนกล้วยไม้ที่ประตูเปิดคาอยู่

"เดี๋ยวชั้นจะฟาดให้หัวแบะเลย ไอ้โจรกระจอก"
เธอยกเชิงเทียนเดินเข้ามาในเรือนกล้วยไม้ ในท่าเตรียมพร้อมทันที มีสายตาแอบมองเธอจากมุมหนึ่ง เธอรู้สึกได้ถึงสายตาคู่นั้น แล้วหยุดเดินหันขวับไปมอง แต่ไม่เห็นใคร !!
"ออกมาเดี๋ยวนี้นะไอ้หัวขโมย... ชั้นบอกให้ออกมา!"
สายตาคู่นั้นมองอยู่เหนือหัวของพิมพ์พิลาส
"อย่านึกว่าชั้นไม่กล้านะ...ออกมา"
เสียงขู่ฟ่อๆ เธอได้ยินเสียงนั้นถนักสองหูก็เงยหน้าขึ้นมอง งูเห่าสีดำเมื่อมห้อยอยู่บนคานของเรือนกระจก แลบลิ้นแผล่บๆ ดวงตาแดงวาบของมันจดจ้องมาที่พิมพ์พิลาส ยังไม่ทันจะได้ตกใจ งูเห่าก็ดีดตัวใส่ เธอหวีดร้องสุดเสียง !!
ฟ้าผ่าเสียงดังสนั่นที่นอกเรือน
ภายในเรือนกล้วยไม้ พิมพ์พิลาสล้มลงกองกับพื้น พิษงูวิ่งเข้าไปในร่างกาย เธอหายใจไม่ออก เจ็บปวดจวนเจียนจะตาย งูเห่าตัวนั้นเลื้อยหายไปแล้ว เหลือเพียงเธอที่นอนกระตุกๆ อยู่กับพื้น ดวงตามองทุกอย่างรอบตัวอย่างพร่าพราย
ทันใดมีคนก้าวมาหยุดยืนตรงหน้า สายตาของพิมพ์พิลาสที่เบลอนั้นเห็นคนใส่รองเท้าส้นสูงสีแดง เธอยกมือตะเกียกตะกายจะขอความช่วยเหลือจากใครคนนั้น
"ชะ...ช่วย"
เจ้าของรองเท้าส้นสูงสีแดงกลับยืนเฉย ไม่คิดจะช่วย ในที่สุดพิมพ์พิลาสก็ตาค้างขาดใจตายที่เรือนกล้วยไม้ในทันที

กรุงโซล เกาหลีใต้ เสียงฝูงชนส่งเสียงกรี๊ดค่อยๆดังขึ้นจากด้านหน้าเวที เสียงนั้นดังไกลมาถึงด้านหลังเวทีคอนเสิร์ตปาร์คจุนจี ในเวลากลางคืน กลุ่มทีมงานกำลังเดินนำปาร์คจุนจี ไปตามทางเดินหลังเวทีที่ทอดยาว หัวหน้าทีมงานประสานงานใส่หูฟัง คุยวอ
หลังเวที ปาร์คจุนจี มาดนิ่งสุขุม มีสมาธิ ไม่ตื่นเต้นกับเสียงตะโกนแหกปากที่หน้าเวที เรียก ปาร์คจุนจี ปาร์คจุนจี ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ เขาเดินมาจนถึงจุดๆ หนึ่งเวที ทีมงานทั้งหมดหยุด ยกเว้นปาร์คจุนจีที่เดินไปข้างหน้าอีก 4-5 ก้าวเพียงคนเดียว
พื้นยกระดับ ยกตัวขึ้นพร้อมทั้งพาร่างของเขาขึ้นไปด้วย ท่ามกลางความมืด เสียงฝูงชนร้องดังขึ้นเรื่อยๆ จนพื้นยกระดับ ลอยขึ้นมาจนหยุด เสียงผู้คนเรียก ปาร์คจุนจี ปาร์คจุนจี ดังสนั่น
สปอร์ตไลท์นับไม่ถ้วน สว่างพรึ่บสาดส่องมายังปาร์คจุนจี เสียงตะโกนกรี๊ดดังจนแก้วหูแทบแตก

บริเวณหน้าเวที จอขนาดใหญ่กลางเวทีเริ่มแสดงภาพกราฟฟิกประกอบเสียงดนตรีเร่าร้อน คนดูกรี๊ดกระหึ่ม กรรัมภาอยู่ในกลุ่มคนดูกรี๊ดสุดเสียง เนตรสิตางศุ์ยืนอยู่ข้างๆ ต้องปิดหูข้างหนึ่งเพราะแสบแก้วหูมาก หล่อนไม่เคยมางานคอนเสิร์ตใดๆ มาก่อนในชีวิต และไม่ได้อินกับปาร์คจุนจีและผู้คนเกาหลีรอบข้าง
"ปาร์คจุนจี ปาร์คจุนจี ปาร์คจุนจี"
ปาร์คจุนจีร้องและเต้นวาดลวดลายได้อย่างพลิ้วไหว กรรัมภา ตะโกนบอกเนตรสิตางส์อย่างคนคลุ้มคลั่ง
"แกเห็นปาร์คจุนจีไหมเนตร เท่ห์โคตรๆ"
"เห็น"
"แล้วทำไมแกไม่กรี๊ด แกกรี๊ดสิ แกต้องกรี๊ด แอร๊ย...."
เนตรสิตางศ์พยายามแล้ว แต่ได้แค่ "แอร๋ย"
บนเวที... ปาร์คจุนจีร้อง แต่หน้าเขาขรึม ไม่ค่อยยิ้ม แต่นั่นยิ่งทำให้เขาดูหล่อเท่ห์กระชากใจสาว
บรรดาคนดูต่างเต้นท่าประจำตัวของจุนจี ซึ่งเป็นท่าชี้มือไปซ้ายขวา กระโดดหันซ้ายหันขวา แล้วหันหน้าทำท่าหัวใจกันอย่างพร้อมเพรียง กรรัมภาเต้นตามได้เป๊ะ ทุกสเต็ป แต่เนตรสิตางศุ์งง ทำไม่ได้
"เนตรเร็ว ซ้าย...ขวา...กระโดดซ้าย"
เนตรสิตางศุ์พยายามทำตามแต่ตามไม่ทัน ทำสวนทางกับชาวบ้านตลอด พอท่ากระโดดหันข้าง กรรัมภากระโดดไปทางซ้าย เนตรหันไปทางขวา ก้นเลยชนกัน ปุ้ง! เนตรสิตางศุ์กระเด็น
บนเวที จุนจีเต้นแล้วโพสต์จบเพลง กรรัมภาปลื้มสุดชีวิตร้องไห้อย่างปลาบปลื้มตื้นตัน ส่วนเนตรสิตางศุ์ส่ายหัว

คอนเสิร์ตจบ ทางด้านหลังเวที จุนจีลงมาจากเวที เพื่อเดินกลับห้องพัก เขาถอดไมค์วางบนมือทีมงานที่รอรับอยู่แล้ว มือขวาหยิบกระบอกน้ำจากทีมงานมาดื่มหนึ่งอึกแล้วโยนคืนทีมงาน มือซ้ายแบให้ทีมงานวางผ้าขนหนู ทุกอย่างเป็นคิวเป๊ะ !
ลีจองกุ๊ก ผู้จัดการส่วนตัวของจุนจีเข้ามาอีกทาง มือกำโทรศัพท์มือถือ เดินรีบร้อนเข้าไปหาศิลปินหนุ่ม
"จุนจีๆ พ่อนายโทรมาบอกว่า ย่านายที่เมืองไทยตายแล้ว"
จุนจีชะงักหยุดเดิน อึ้งไปสองวินาที ใบหน้าไร้ความรู้สึกแล้วเดินต่อ ไม่สนใจข่าว

ขณะที่ลีจองกุ๊กสีหน้าไม่สบายใจนัก

 
อ่านต่อหน้า 2

สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 1 (ต่อ)

เวลาต่อมา มีรถยนต์เคลื่อนเข้ามาหยุดที่ด้านนอกเรือนกล้วยไม้ของพิมพ์พิลาส ประตูรถเปิดออก ผู้การก้าวลงมา แล้วกวาดตามองเรือนกล้วยไม้สถานที่เกิดเหตุด้วยสีหน้าจริงจัง

มีตำรวจเดินไปมาในบริเวณนั้น ร.ต.อ. ณัฐเดชกำลังสั่งงานลูกน้อง เมื่อเห็นผู้การก็รีบเดินเข้าไปทำความเคารพ
"สวัสดีครับผู้การ"
"ทอล์กออฟเดอะทาวน์! คุณเชื่อไหมว่าเรื่องนี้จะต้องเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์"
ณัฐเดชแม้จะงงๆ แต่รับคำ
"ครับ"
ทั้งสองเดินคุยกันเข้าไปข้างในเรือนกล้วยไม้
"พิมพ์พิลาสไฮโซชื่อดัง นักธุรกิจหญิงที่มีกิตติศัพท์ในเรื่องความเฉียบขาด เด็ดเดี่ยว เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มูลค่าพันล้าน ดูปากผมชัดๆ นะ พัน...ล้าน พรุ่งนี้หนังสือพิมพ์ทุกฉบับต้องพาดหัวข่าวแต่เรื่องนี้แน่นอน ฮ่าๆๆ"
ผู้การกับณัฐเดชเดินเข้ามาในเรือนกล้วยไม้ ณัฐเดชยกเส้นคาดสีเหลืองให้ผู้การกับตัวเองลอดเข้าไป ทีมงานชันสูตรคนอื่นๆ กำลังตรวจหาหลักฐานรอบๆ ที่เกิดเหตุ ทั้งสองเดินมาถึงร่างไร้วิญญาณของพิมพ์พิลาส
"เป็นยังไงบ้างหมอวรวรรธ" ผู้การถาม
พ.ต.ต. นายแพทย์วรวรรธ จากนิติเวช สะพายกล้องถ่ายรูป กำลังเช็กสภาพศพของผู้ตาย หันมาหาผู้การ
"สวัสดีครับผู้การ"
หมอวรวรรธลุกขึ้นรายงาน
"ผู้ตายน่าจะเสียชีวิตเพราะถูกงูที่มีพิษกัด มีรอยเขี้ยวงูที่ต้นคอเธอครับ"
ที่ต้นคอพิมพ์พิลาส มีรอยเขี้ยวงูกัดสองเขี้ยว
"งู งู!"
ผู้การกระเด้งไปเกาะหลังณัฐเดช ณัฐเดชกับหมอวรรธมองอย่างงงๆ ผู้การกลัวเสียฟอร์ม รีบทำเก็ก
"มองอะไร กลัวงูมันผิดด้วยเหรอ แล้วไงต่อ"
หมอวรวรรธชี้ไปที่ปลายนิ้วของพิมพ์พิลาสที่ถลอกยับเยิน
"ก่อนจะเสียชีวิต เธอคงดิ้นรน ทรมาน..ทุรนทุรายมาก เพราะพิษงูทำให้ กล้ามเนื้อเป็นอัมพาตเฉียบพลัน อวัยวะในระบบทางเดินหายใจหยุดทำงาน จนสมองขาดออกซิเจนในที่สุดครับผม"
"ผู้ตายน่าจะตายมานานเท่าไหร่" ณัฐเดชถาม
"น่าจะไม่เกินสองชั่วโมงครับ"
ณัฐเดชดูนาฬิกาข้อมือ
"ตอนนี้ตีหนึ่ง แสดงว่าเหตุเกิดประมาณห้าทุ่ม คุณพิมพ์พิลาสเข้ามาทำอะไรในนี้ตอนดึกๆ แถมฝนยังตกหนักอีกด้วย"
"อาจจะลงมาดูว่าดอกกล้วยไม้เปียกฝนหรือเปล่า" ผู้การว่า
"คุณท่านไม่เคยลงมาในนี้ตอนกลางคืน"
ณัฐเดช วรวรรธ ผู้การหันไปเห็นพิสมร แม่บ้านคนสนิทของพิมพ์พิลาสยืนอยู่ ดวงตาพิสมรแดงช้ำผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก

วรวรรธพยุงพิสมรให้นั่งที่เก้าอี้ในเรือน หน้าโต๊ะที่นั่งนั้นวางอุปกรณ์ปลูกกล้วยไม้
"นี่คุณพิสมรแม่บ้านคนสนิทของคุณพิมพ์พิลาสครับ" ณัฐเดชถาม
"ชั้นอยู่กับคุณท่านมาตั้งแต่หัวดำจนหัวหงอก ชั้นรู้จักคุณท่านดี ทุกๆ วัน คุณท่านรับทานอาหารเย็นเสร็จก็จะขึ้นห้องนอน ไม่ลงมาอีก คุณท่านทำแบบนี้มายี่สิบสามสิบปี แล้วทำไมอยู่ดีๆ วันนี้ถึงลงมา ต้องมีคนลวงคุณท่านลงมาฆ่าแน่ๆ"
"แต่รอยเขี้ยวที่คอคุณพิมพ์พิลาส"
"ไม่จริง ! ในนี้ไม่เคยมีงู ชั้นเข้ามาดูแลความเรียบร้อยในนี้ทุกวัน เมื่อเย็นชั้นก็เพิ่งเข้ามา ถ้ามีงูอยู่ ชั้นคงตายไปแล้ว"
ผู้การฉุนพิสมรบอก
"คุณณัฐเดชไปหางูมายืนยันกับคุณพิสมรสิ"
"หางู"
"ใช่...งูที่กัดคุณพิมพ์ตายไงเล่า"
"ในนี้ไม่มีงูแล้วครับ" หมอวรวรรธบอก
"ไม่มีได้ไง ค้นทั่วหรือยัง"
"เราระดมคนหาจนทั่วหมดทุกซอกทุกมุมแล้วครับ หลังคา ท่อระบายน้ำ พัดลมระบายอากาศ ต้นไม้ทุกต้น"
ผู้การมองไปรอบๆ แล้วบอก
"เป็นไปไม่ได้ ในนี้เป็นสถานที่ปิด มีทางเดียวที่จะเข้าได้คือ ทางประตู ! แล้วมันจะหายไปได้ยังไง"
"คุณท่านถูกฆาตกรรม คุณท่านถูกฆาตกรรม" พิสมรร้องเสียงดัง

วันใหม่ เวลากลางวัน กรรณายืนใส่หูฟังอยู่บนรถไฟฟ้า เสียงข้อความแชท สั่นกรึ๊กในมือถือดัง กรรณาหยิบมากดอ่าน “ยืมเงินซ่อมมอไซค์หน่อยจิ”
กรรณาหันไปข้างๆ ก้องฟ้ายืนยิ้มเผล่ กระพริบตาปริบๆ ถือโทรศัพท์อยู่ในมือ กรรณาขยับปากเน้นๆ "ไม่ !"
ก้องฟ้าดึงหูฟังกรรณาออก แล้วบอก
"ใจร้าย"
"ชั้นทั้งดาวน์ให้ ผ่อนให้ เติมน้ำมันให้ ยังจะมาว่าชั้นใจร้ายก็เรื่องของแกเถอะ"
กรรณาหันหน้ากลับไป ก้องฟ้าไม่ยอมแพ้ ยกโทรศัพท์กดแชท กรรณาหันขวับชี้หน้า
"ถ้าแกไม่หยุด ชั้นจะไม่จ่ายค่าโทรศัพท์เดือนนี้ให้"
"หยุด หยุด หยุดและจ้า"
ก้องฟ้าคอย่น กรรณาค้อนให้ มองออกไปนอกหน้าต่าง
เธอรู้สึกเหมือนมีคนแอบมองจึงหันไปทางนั้น ผู้ชายใส่สูทสีดำรีบเอาหนังสือนิตยสารบังหน้า ผู้โดยสารคนอื่นบนรถไฟฟ้านั่งแชทบ้าง หลับบ้าง เธอคิดว่าตัวเองคิดไปเองจึงหันกลับไป แล้วรู้สึกอีกว่ามีใครมองเธอแน่ๆ จึงหันขวับไปมอง ผู้ชายคนเดิมรีบยกนิตยสารขึ้นบังหน้าอีกครั้ง
กรรณาชักสีหน้าไม่พอใจ เมื่อขบวนรถจอด ประตูเปิด ถึงสถานีที่หมาย กรรณาเดินออกพร้อมก้องฟ้าเสียก่อน

กรรณากับก้องฟ้าเดินลงมาจากรถไฟฟ้ามายังด้านล่าง หล่อนหงุดหงิด แต่ก้องฟ้ายังเพ้อเรียกร้องความสนใจ
"ไม่มีมอไซค์ขับก็ต้องนั่งรถเมล์ หลงนิดหลงหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก เรามันเกิดมาจน พี่สาวก็ใจดำ..ยังกะอีกา"
กรรณาหยุดเดิน จับแขนก้องฟ้า ... น้องชายต่างแม่
"ใจอ่อนแล้วใช่ม้า"
หล่อนกำลังจะอ้าปากดุน้องชาย
จู่ๆ ใครคนหนึ่งเดินมากระแทกหลังอย่างจนหล่อนหน้าคะมำ ข้าวของ หูฟังกระเด็นออกจากตัว หล่นกระจายเต็มพื้น
"พี่กรรณ"
ก้องฟ้าวิ่งไปเก็บของที่กระเด็นไปไกล กรรณาเจ็บมือ คนที่ชนรีบย่อตัวลงช่วยหล่อนเก็บของ และถามอย่างห่วงใย
"ขอโทษนะฮะ เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณ"
"ชนขนาดนี้ คิดว่าจะเจ็บไหมล่ะ"
กรรณาแหงนหน้าขึ้น เห็นผู้ชายในชุดสูทดำ มีนิตยสารหนีบไว้ข้างลำตัว เธอนึกจำได้ทันที

ขณะเดียวกับที่เธออึ้ง...ตะลึง เสียงพลังงานเริ่มก่อตัวอึงอลอยู่ข้างหู

ผู้ชายในชุดสูทนี้คือ ดร. แผนยุทธ ณ เวียงทับ นักธุรกิจเสียงนุ่มสะท้านใจสาว เขาคิดไปเองว่า ที่กรรณาจ้องหน้าเขาเพราะตกตะลึงในความหล่อ จึงยิ้มละมุน ดวงตาระยิบระยับ ตามประสาคนเจ้าชู้

ทันใดนั้น เสียงแหลมปรี๊ดกรีดเสียงร้องดังของผีผู้หญิงนางหนึ่งดังเข้ามาในหูของกรรณาจนต้องปิดหู
"โอ๊ย !"
แผนยุทธแตะแขนกรรณา
"คุณครับ คุณเป็นอะไร"
"แอร๊ย... ไปให้พ้นจากสามีชั้นเดี๋ยวนี้นะ ผู้ชายมันหมดโลกแล้วหรือไงยะ ถึงต้องมายุ่งกับสามีชาวบ้านหะ"
กรรณาโมโห ตะโกนไร้ทิศทาง
"หุบปากสักทีนังผีเสียสติ"
ก้องฟ้ากระซิบถามด้วยความ กลัว
"ได้ยินเสียงผีเหรอ พี่กรรณ"
"เออดิ ไม่ใช่ผีเฉยๆ ด้วยนะ แต่เป็นผีปากปลาร้า"
กรรณาเก็บของที่กระจัดกระจายใส่กระเป๋า แล้วลุกออกไปเลย แผนยุทธมองตามงงๆ เสียงช่อเพชรดังไล่ลังกรรณา
"แอร๊ย... ไป ไปให้พ้น"

ภายในบริษัทซิกส์เซนส์ อินทีเรีย เวลาสาย เนตรสิตางศุ์ถือจานวางคุกกี้กลางโต๊ะประชุม กรรัมภากำลังถักเสื้อสเวตเตอร์สีชมพูที่ใกล้จะเสร็จแล้ว
“คุกกี้พริกน้ำปลากับขนมปังหน้าผัดสะตอเบอรี่กุ้งสูตรเนตรเอง”
ญาณิน กรรัมภา สุคนธรสพูดพร้อมกัน
“สูตรนี้หมอวรวรรธชอบมากๆ”
สุคนธรสกับกรรัมภามองหน้ากันแบบรู้ไต๋ มามุขนี้ตลอด
“คิดเหมือนชั้นปะ” กรรัมภาถาม
“คิด หมอวรรธผิดศีลข้อสี่ชัวร์” สุคนธรสบอก
เนตรสิตางศุ์ได้ยินไม่ถนัด
“อะไรนะ”
“ไม่ก็เป็นพวกลิ้นจระเข้ ไม่รับรู้รส” กรรณาบอก
กรรณากับก้องฟ้ามาถึงบริษัท หล่อนโยนวางกระเป๋านั่งประจำที่ หน้าบูดอารมณ์เสียจากการโดนด่า
“อ้าว...กรรณมาพอดีเลย”
“กว่าจะมา...พวกชั้นรอจนเหงือกแห้งแล้ว” กรรัมภาบอก
กรรณาหน้าไม่รับแขก ไม่รับมุขด้วย
“โดนใครเหยียบเท้ามายัยกรรณ” ญาณินถาม
“นางโดนผีปากปลาร้าด่าค่ะ คุณพี่” ก้องฟ้าพูดแล้วก็เดินสะบัดสะโพกเข้าไปในครัว
“ผีปากปลาร้า เจอที่ไหน ร้านส้มตำเหรอ” เนตรสิตางศุ์ถาม
กรรณาประชด
“จ้า...ร้านส้มตำปากซอยนี่แหละ เฮ้ย!”
ญาณินตัดบท
“นี่ๆๆ อย่าเถียงกันเลย ไหนๆก็มากันครบแล้ว มาเริ่มกันเลยดีกว่า”
กรรัมภาวางเสื้อสเวตเตอร์อย่างเบามือ แล้วพับผ้าห่ออย่างบรรจง นำเก็บในกล่องที่มีแต่รูปปาร์คจุนจีแปะเต็มไปหมด
“มีลูกค้าใหม่เข้ามาเหรอ” กรรณาถาม
กรรัมภาปิดฝากล่องเรียบร้อย จูบจ๊วบลงที่กล่องหนึ่งที
“ถูก...ลูกค้ารายนี้น่าสนใจมากๆ”
“เขามีดีกรีเป็นถึงด็อกเตอร์ บริษัทเราไม่ได้ไก่กาอาลาเล่นะจ๊ะ ขนาดด็อกเตอร์ยังสนใจ” สุคนธรสอธิบาย
“เสียงในโทรศัพท์ยังหล่อเลย อยากเห็นหน้าแล้วล่ะ” กรรัมภาพูดเสริม
“จะได้ แต๊ะอั๋ง เอ้ย แตะ เขาน่ะสิ” เนตรสิตางศุ์บอก
“ช่วยไม่ได้ ก็ฉันต้องแตะถึงจะมองเห็นเบาะแส” กรรัมภาบอก
“แม่คนหลายใจ เมื่อวานยังไปดูคอนเสิร์ตปาร์คจุนจีอยู่เลย วันนี้มาเปลี่ยนสเปกซะละ” กรรณาบอก
“ปากร้ายนักนะยัยกรรณ”
“โอย... พอได้แล้ว เขาบอกหรือเปล่าจะให้เราทำงานอะไร” ญาณินรำคาญ
“ยังไม่ได้บอก เขาจะเข้ามาคุยกับเราเองตอนสิบโมง” กรรัมภาบอก
ทันใด … เสียงออดหน้าบ้านดังขึ้น เนตรสิตางศุ์มองนาฬิกาแขวนบอกเวลา 10.00 น. พอดี
“ตรงเวลาเป๊ะ”

กรรณาเดินมาหน้าประตู ท่าทางกระตือรือร้น ยิ้มหวาน บริเวณหน้าบ้าน... ผู้ชายคนหนึ่งยืนหันหลังอยู่ กำลังมองบริเวณรอบๆ
“สวัสดีค่ะ บริษัทซิกส์เซนส์ยินดีต้อนรับ”
ชายคนนั้นหันมากลายเป็นดร.แผนยุทธ ณ เวียงทับ ผู้ชายผู้มาพร้อมเสียงยัยผีปากปลาร้า
“คุณ”
ดร.แผนยุทธยิ้มหวาน
“โลกกลมดีจังนะครับ...”

ภายในห้องทำงานลีจองกุ๊ก บริษัทเพลงที่เกาหลีจุนจี ม้วนบทละครปาใส่กำแพงเสียงดังปัง !
“ชั้นไม่เล่น !”
“ไม่ได้ สัญญาเซ็นไปแล้ว ยังไงนายก็ต้องเล่น” ลีจองกุ๊กบอก
“ส่งนักร้องในค่ายคนอื่นไปแทนสิ ในค่ายมีชั้นคนเดียวหรือไง” จุนจีบอก
ลีจองกุ๊กพูดอย่างใจเย็น
“จุนจี ละครเรื่องนี้เป็นละครเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างเกาหลีกับไทย ประเทศเราถึงต้องส่งซูเปอร์สตาร์อย่างนายไป เหมือนที่ประเทศไทยก็จะเอานางเอกอันดับหนึ่งของเขามาเล่นกับนายเหมือนกัน ถ้านายไม่เล่น ไม่ใช่แค่นาย ไม่ใช่แค่ชั้นหรือบริษัทที่จะเสียหาย แต่มันเสียหายระดับประเทศเลยนะโว้ย”
จุนจีสีหน้าเครียด
“ชั้นรู้นะว่า ทำไมนายถึงไม่อยากไปเมืองไทย”
จุนจีพูดทันที
“ไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้น”
“ชั้นรู้จักนายดี นายปิดบังชั้นไม่ได้หรอก ถ้านายไม่อยากไปเจอใครที่เมืองไทย นายก็ไม่ต้องไปเจอ นายแค่ไปทำงานแล้วก็กลับโรงแรมเท่านั้นก็จบ ซูเปอร์สตาร์ต้องแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวให้ออก นายเคยทำได้มาไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง แล้วทำไมครั้งนี้ นายจะทำไม่ได้”

ลีจองกุ๊กจับบ่าให้กำลังใจจุนจีที่ยังเครียด และหนักใจอยู่

ในห้องประชุม บริษัท ซิกส์เซนส์ อินทีเรีย ห้าสาวนั่งสัมภาษณ์ ดร.แผนยุทธ เนตรสิตางศุ์ ถือปากกาคอยจดข้อมูล อรวรรณนำน้ำเย็นมาให้ดร.แผนยุทธ

“น้ำเย็นๆ ค่ะ”
แผนยุทธยกมือไหว้อย่างสุภาพ
“ขอบคุณมากครับ”
อรวรรณรีบย่อตัวไหว้กลับ
“อุ้ยๆ ไม่เป็นไรค่ะคุณด็อกเตอร์”
“เรียกผมแผนยุทธดีกว่าครับ เรียกด็อกเตอร์แล้วดูห่างไกล”
แผนยุทธยิ้มสุภาพ อรวรรณ ยิ้มมองแผนยุทธอย่างชื่นชม กรรณาแอบเบ้ปากไม่ค่อยชอบหน้าแผนยุทธ เขาหันกลับมามองหล่อน เพื่อนๆ มองกรรณาด้วยสายตาสงสัย ญาณินรีบเปลี่ยนเรื่อง
“เริ่มเลยดีไหมคะ จะได้ไม่กวนเวลาคุณแผนยุทธ”
“เราต้องเรียนให้คุณแผนยุทธทราบก่อนนะคะ ว่าถึงแม้พวกเราจะดูสวยพริ้งหน้าใส” กรรัมภาบอก
“หรือพูดง่ายๆว่า ดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือ” สุคนธรสเสริม
“แต่มันเป็นแค่ลุคภายนอก ความสามารถของพวกเราอยู่ในนี้ค่ะ” เนตรสิตางศุ์ พูดพลางเอามือแตะที่หัว
“ผมอ่านข้อมูลของพวกคุณในอินเทอร์เน็ตแล้ว”
กรรัมภาเปิดรูปรีสอร์ตของติณห์ในไอแพตให้แผนยุทธดู เพื่อความน่าเชื่อถือ
“นี่ค่ะตัวอย่างงานออกแบบรีสอร์ตที่กาญจนบุรี เราต้องขอโทษด้วยที่มีให้ดูแค่งานเดียว พอดีไวรัสเข้าคอมพ์เมื่อตะกี้นี่เอง ตัวอย่างงานอื่นๆ อีกเป็นสิบงานหายหมดเลยค่ะ”
สุคนธรสบอก
“แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ พวกเราออกแบบได้หมดทุกแนวอยู่แล้ว คลาสสิค โมเดิร์น บูติก วินเทจ”
“ผมไม่ได้อยากให้พวกคุณออกแบบตกแต่งให้ผมครับ”
ทั้งหมดตะลึง
กรรณาโพล่งทันที
“ก๊อง...ส่งแขก!”

สาวๆเดินหอบกระเป๋า ไอแพด สมุดจดจะเข้าไปในบ้าน อรวรรณวิ่งมาขวางหน้า ทั้งหมดเบรกเอี๊ยด ! อรวรรณโชว์ซองจดหมายจำนวนมาก
“จดหมายทวงหนี้ตั้งแต่สมัยที่บริษัทไม่มีงานเข้า ป้าเก็บไว้ทุกฉบับ เอาไว้เตือนใจพวกคุณว่าเวลาไม่มีงาน ไม่มีเงิน เราลำบากกันยังไง”
“พวกเราเบื่อเรื่องผีกันมากๆ พวกเราขอเว้นวรรคหน่อยเถอะค่ะ ป้าออขา” สุคนธรสบอก
“คราวที่แล้ว พวกเราก็เกือบจะเอาตัวไม่รอด โชคดีที่ผ่านมาได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะโชคดีอย่างนี้ทุกครั้ง” กรรณาว่า
“ค่ะ...ป้าเข้าใจ แต่พวกคุณไม่สงสารเขาหรือคะ”
“เราสงสารตัวเองมากกว่าค่ะ” กรรัมภาบอก
สี่สาวจะเดินเข้าบ้าน เหลือเพียงญาณินที่นั่งคิดอะไรอยู่
“คุณหนูคะ อย่าเดินหนีเขาเลยนะคะ พวกคุณหนูพูดเสมอว่า มันเป็นหน้าที่ของพวกคุณหนูไม่ใช่เหรอคะ”
สาวๆชะงัก
“ใช่... เป็นหน้าที่ของพวกเราที่ต้องช่วยเขา พวกเราสิกลับต้องขอบคุณเขาที่เขามาหาเรา ให้พวกเราได้ช่วยเขา ให้พวกเราได้สะสมบุญ” ญาณินบอก
สาวๆคิดได้
“จริงด้วย พวกเราต้องขอบคุณเขา พวกเราต้องเปลี่ยนโมหะโทษะเป็นเมตตาและเวทนา” สุคนธรสบอก
ทั้งหมดเห็นด้วยยกเว้นกรรณาที่กอดอก ส่ายหัว ยังทำใจไม่ได้กับความขี้หลีของดร.แผนยุทธ...

บริเวณหน้ารั้วบริษัท ซิกส์เซนส์ ฯ ก้องฟ้าเปิดประตูรั้ว ผายมือให้ แผนยุทธสีหน้าซึม
“ขอบคุณครับที่ใช้บริการ”
เจ้าที่พูดให้ก้องฟ้าได้ยิน
“จะบ้าเรอะ เขายังไม่ได้ใช้บริการอะไรเลย”
“แล้วพี่ยามจะให้ผมพูดกับเขาว่าอะไร ขอบคุณที่มาแต่ยังไม่ได้ใช้บริการ งี้เหรอ”
แผนยุทธมองก้องฟ้าที่ยืนพูดคนเดียว แล้วส่ายหัว
“งั้นผมฝากนามบัตรเอาไว้ เผื่อพวกคุณจะเปลี่ยนใจ”
“ครับ”
เสียงญาณินดังขึ้นจากตัวบ้าน
“ไม่ต้องฝากนามบัตรหรอกค่ะคุณแผนยุทธ”
แผนยุทธหันไปเห็นสาวๆยืนอยู่ อรวรรณยิ้มดีใจอยู่ข้างหลัง

เวลาเย็น จุนจีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยเดินเข้ามาในบ้านที่เกาหลี เขาโยนเสื้อคลุมไว้ที่โซฟา แล้วเดินผ่านรูปถ่ายพ่อแม่และจุนจีที่ขยายเป็นภาพติดผนังด้านนึง ทุกคนในรูปยิ้มมีความสุข
จุนจีเข้ามาในห้องนอนของพ่อแม่
“พ่อครับ แม่ครับ ผมกลับมาแล้ว”
เกรียงไกรกำลังห่มผ้าให้แม่จุนจีที่นอนซมอยู่บนเตียง หัวแม่ใส่หมวกถักเพราะเพิ่งทำคีโม เกรียงไกรหันมาชู่ว์ปากให้จุนจีเสียงเบาๆ
“แม่เพิ่งหลับเหรอครับ”
“ใช่ เขาอยากรอเจอแก กว่าจะยอมนอนได้ พ่อต้องกล่อมแล้วกล่อมอีก” เกรียงไกรบอก
จุนจีรู้สึกผิด
“คืนนี้ผมจะแคนเซิ่ลงานอยู่กับแม่แทน”
“แม่จะยิ่งนอนไม่หลับใหญ่เลย แค่นี้แม่เขาก็โทษตัวเองว่า เป็นตัวปัญหาให้เราสองคนพ่อลูกมากพออยู่แล้ว”
“แม่ไม่ใช่ปัญหา คนอื่นต่างหากที่เป็นปัญหา”
เกรียงไกรจุ๊ปาก
“ชู้วส์ เดี๋ยวแม่ก็ตื่นพอดี ลูกตามพ่อมา”
เกรียงไกรดึงปาร์คจุนจีออกไปที่ห้องรับแขกของบ้าน
“จุนจี... ทนายของคุณย่าโทร.มาหาพ่อ เขาอยากให้พ่อกลับไปร่วมเปิดพินัยกรรมของคุณย่า ซึ่งพินัยกรรมจะถูกเปิดได้ ก็ต่อเมื่อลูกหรือทายาทอยู่ครบ”
“แล้วยังไงต่อครับพ่อ”
“แกจะไปเมืองไทยอยู่แล้วใช่ไหม แกไปแทนพ่อทีสิ”
“ผมไม่ไป” จุนจีพูดทันที
“หรือแกจะให้พ่อทิ้งแม่แกไป”
“เขาจะทำอะไรมันก็เรื่องของเขาสิครับ เราไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาอีกแล้ว”
เกรียงไกรเหนื่อยใจ
“จุนจี เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว แกจะโกรธคุณย่าไปตลอดชีวิตเลยหรือไง”
“แล้วผมไม่ควรโกรธหรือครับ เขาทำอะไรกับพวกเราไว้ ผมจำไม่เคยลืม”
“เรื่องทั้งหมดพ่อผิดเอง ถ้าพ่อไม่มัวแต่สนใจเรื่องสร้างครอบครัว พาแกกลับเมืองไทยบ่อยๆ ไปขอโทษย่า ยังไงท่านต้องเข้าใจ แต่นี่เราไม่เคยกลับไปอีกเลย”
“ผู้หญิงคนนั้นไม่เคยมีเหตุผลอะไรทั้งนั้น เอาแต่ใจตัวเอง พ่อกับแม่เลิกโทษตัวเองได้แล้ว คนที่ต้องโทษคือตัวเขาเอง... ไม่ใช่เรา!”
เกรียงไกรดุลูกชาย
“จุนจี ย่าเขาตายไปแล้ว อย่าพูดถึงท่านแบบนั้น”
จุนจีเงียบทั้งที่ยังโกรธ และโมโห
“ถ้าลูกไม่อยากทำเพื่อย่า ก็ถือว่าทำเพื่อพ่อกับแม่แล้วกัน”

จุนจีสีหน้าเครียด ไม่ตอบ เกรียงไกรเดินกลับไปดูแลแม่ต่อ

ในอดีต แผนยุทธนอนหลับอยู่บนเตียงในห้องนอน จู่ๆ ก็มีเงาดำโน้มหน้ามาพูดข้างหูแผนยุทธ เงานั้นผมยาวสยายตกลงบนใบหน้าของเขา เสียงกระซิบของหญิงสาวขาดๆ หายๆ เป็นช่วงๆ

“ไป...อยู่...กับ...ชั้น...”
แผนยุทธลืมตาหน้าซีดเผือด กระเด้งลุกขึ้นจากเตียง แต่ไม่เห็นใครอยู่ในห้อง
“ทุกคืนผมจะสะดุ้งตื่นกลางดึก เพราะได้ยินเสียงคนมาร้องเรียกให้ผมไปอยู่ด้วย”
แผนยุทธเล่าต่อให้สาวๆผู้มีสัมผัสพิเศษฟัง
“เสียงมันก้องๆ แล้วก็ขาดๆ หายๆ ผมได้ยินทุกคืนจนผมแน่ใจว่า ผมไม่ได้คิดไปเอง ผมนอนไม่หลับ เครียดไปหมด”
“เมียคุณคงอยากชวนคุณไปอยู่ด้วย” กรรณาบอก
“คุณรู้ได้ยังไงว่าเมียผมตายแล้ว”
“ก็กรี๊ด...ออกมาลั่นขนาดนั้น”
“หา...กรี๊ดอะไร เมื่อไหร่ครับ”
“เฮ้ย...”
กรรัมภาสะกิด กรรณาเปลี่ยนเรื่อง
“เอาเป็นว่าชั้นรู้ก็แล้วกัน”
“ครับ”
สุคนธรสถาม
“ขอโทษนะคะ ภรรยาคุณเสียตั้งแต่เมื่อไหร่”
แผนยุทธสีหน้าเศร้า
“เมื่อสองอาทิตย์ก่อน เธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตไป”

สองอาทิตย์ที่แล้ว … หน่วยกู้ภัยกำลังใช้เครนดึงซากรถเก๋งคันหรูขึ้นจากบึงน้ำ
“พิมอรหายออกไปจากบ้านหลายวัน ผมตามหาเธอจนทั่วก็หาไม่พบ จนกระทั่งตำรวจโทร.มาบอกว่า พบรถของเธออยู่ในน้ำ”
แผนยุทธใส่ชุดสูทขับรถเข้ามาจอดในที่เกิดเหตุ เขารีบลงจากรถวิ่งไปดูรถเก๋งที่กำลังขึ้นมาจากน้ำ ร่างของพิมอรซีดขาว บวมๆ อยู่ในรถ ใครที่เห็นต่างตกใจ สงสาร และทนดูสภาพไม่ได้
“พิมอร !”
แผนยุทธวิ่งฝ่าหน่วยกู้ภัยเข้าไปที่รถ พยายามจะเปิดประตูรถแต่รถล็อกเปิดไม่ได้ เขาทั้งเคาะทั้งทุบกระจกรถ อยากจะเข้าไปหาเมียสุดที่รัก ร้องไห้ปริ่มว่าจะขาดใจตาม

แผนยุทธสีหน้าเศร้า น้ำตาซึม เมื่อนึกถึงเมีย ทำให้ห้าสาวพลอยสลดกับเหตุการณ์นั้นไปด้วย
“ตำรวจสันนิษฐานว่า รถพิมอรเกิดเสียหลัก ทำให้รถชนขอบสะพานก่อนจะพุ่งลงไปในน้ำ พิมอรคงหาทางหนีออกมาจากรถที่ล็อกม่ได้จึงเสียชีวิต พิมอรเป็นคนดี...ไม่น่าต้องมาตายแบบนี้เลย”
“พวกเราแสดงความเสียใจด้วยนะคะ” ญาณินบอก
“ขอบคุณครับ ถ้าวิญญาณที่ตามผมเป็นพิมอรจริง ผมก็อยากจะรู้ว่า เธอต้องการอะไร และผมจะช่วยเธอได้อย่างไร”
“พวกเราจะพยายามช่วยนะคะ” เนตรสิตางศุ์บอก
“ผมต้องทำอะไรบ้าง “
กรรัมภาบอก
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราค่ะ”
อรวรรณเข้ามากระซิบสุคนธรส
“คุณหนูคะ จะทำในบริษัทเลยเหรอคะ”
“ค่ะป้า”

เวลากลางคืน ต่อเนื่องมา ในห้องโถงของบริษัท สี่สาวนั่งล้อมวงรอบแผนยุทธภายใต้แสงสลัวในห้องที่ปิดม่านหมดทุกบาน สี่สาวตั้งสมาธิแน่วแน่
สุคนธรสทำพิธีกล่าวเชิญ
“ข้าพเจ้าขอเชิญดวงวิญญาณที่ติดตามคุณแผนยุทธเข้ามา ณ ที่แห่งนี้”

ที่หน้าบริษัทฯ ก้องฟ้าดึงผ้ายันต์ออก อรวรรณปลดสายสิญจน์ลง แล้วรีบวิ่งออกจากบริเวณนั้นทันที
“ทำไมต้องมาทำที่นี่ด้วยน้า....”
ท่านเจ้าที่มองไปนอกรั้วแล้วสะดุ้งตกใจกับสิ่งที่เห็น
“โอย...ทำไมหน้ากลัวอย่างนี้. เย็นยะเยือกจับขั้วกระดูกเลย”
ผีช่อเพชรเคลื่อนเข้าไปในบ้านอย่างเร็ว
ความเร็วขนาดทำให้ผมเจ้าที่ ปลิวไปด้วย แล้วตั้งหลักมองตามเข้าไปในบ้าน

“สาวๆ เจองานหินอีกแล้ว”

 
อ่านต่อหน้า 3

สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 1 (ต่อ)

ภายในห้องทำพิธี เสียงผีช่อเพชรกรีดร้องดังจนกรรณาปิดหู

“โอ๊ย”
สุคนธรสหลับตา ย่นจมูก
“กลิ่นเหม็นเขียวมาก!” สุคนธรสว่า
“อีพวกแม่มด พวกแกจะทำอะไร ! หา”
เสียงกรีดร้องดังของช่อเพชรอื้ออึงเหมือนเสียงลำโพงแตกดังอยู่ตลอดเวลากรรณาแสบแก้วหูอย่างทรมาน
“ได้ยินอะไรเหรอกรรณ” เนตรสิตางศุ์ถาม
“หูจะแตกอยู่แล้ว...โอ๊ย” กรรณาลงไปกลิ้งกับพื้น
ญาณินสังเกตเห็นน้ำในแก้วกระฉอกขึ้นมาเป็นจังหวะ แสดงให้เห็นถึงพลังเสียงของผีตนนี้ แผนยุทธออกจะงงกับท่าทางของสาวกลุ่มนี้
“เห็นอะไรไหมเนตร” กรรัมภาถาม
เนตรสิตางศุ์มองไปรอบๆ
“ไม่เห็นอะไรเลย เขามาแล้วจริงๆ เหรอ”
ญาณินยังคงมองแก้วน้ำอยู่
“มาแล้ว”
ทุกคนหันมามองตามสายตาของญาณิน เห็นน้ำในแก้วยังคงกระฉอกอยู่ กรรณายังคงปิดหูดิ้นไปมา
“พวกแกจะทำเสน่ห์ใส่ผัวชั้นหรือไง!”
กระจกบ้านใกล้ๆ ร้าวทันที ไมโครเวฟในครัวเปิดปิดเองไม่หยุด
“หูชั้นจะแตกอยู่แล้วเนี่ย”
กรรัมภาถาม
“ได้กลิ่นอะไรไหมรส”
“กลิ่นความแค้นน่ะ...แค้นมากเลย”
กรรณากัดฟัน เปิดหู ถามเอง
“คุณต้องการอะไรจากคุณแผนยุทธ ทำไมถึงไม่ไปสู่สุคติ”
“ไม่ใช่เรื่องของพวกแก อย่ายุ่ง !”
คราวนี้กระจกรอบบ้านก็สั่นสะเทือน “กริ๊งๆ” เหมือนมีลำโพงขนาดยักษ์เปิดอัดอยู่ใกล้ๆ
“ผู้หญิงหน้าด้านอย่างพวกแก พูดดีๆ ไม่เข้าใจหรอก และถ้าไม่อยากตาย อย่ามายุ่งกับผัวชั้น !” ช่อเพชรหวีดร้องดังลั่น
กรรณาต้องปิดหูอีกครั้ง แล้ว ดิ้นเหมือนจะขาดใจ
“โอ๊ย...ชั้นไม่ไหวแล้ว”
อรวรรณเข้ามาพอดี รีบวิ่งเข้าไปดูกรรณา
"คุณกรรณ...คุณหนูคะช่วยคุณกรรณด้วยค่ะ"
"นี่มันอะไรกันครับ"
น้ำยังคงกระฉอก แก้วสั่น กระจกสะเทือนเป็นจังหวะเดียวกัน ไมโครเวฟไม่หยุดเปิดปิด ควันเริ่มขึ้นเครื่อง
สุคนธรสเรียก
"แก้ม"
กรรัมภาพยักหน้าถอดถุงมือออก รีบยื่นมือไปจับแขนแผนยุทธ เขาหันขวับมามองกรรัมภา สายตาทั้งคู่ปะทะกัน กรรัมภามองลึกเข้าไปในดวงตา แล้วสะดุ้งตกใจ รีบชักมือออกจากแขนของเขาทันที
"มีอะไรเหรอ จับผมทำไม"
"เห็นอะไรบ้างแก้ม" ญาณินถาม
"งานศพ"
สุคนธรสถามย้ำอย่างสงสัย
"เห็นงานศพ"
"ใช่ แต่เห็นแวบเดียวมันก็มืดหมดเลย มืดมากจนน่ากลัว"
กรรณายังคงปิดหูชักดิ้นชักงอ
"ช่วยด้วย ! ชั้นไม่ไหวแล้ว"
ไมโครเวฟระเบิด “โครม”!! แก้วน้ำแตก “เพล้ง”!! กระจกสั่นรัวหนักขึ้น
สุคนธรสเรียก
"ก๊อง!"

ท่านเจ้าที่ชะเง้อเข้าไปในบ้าน แล้วบอกก้องฟ้า
"ไอ้น้อง รีบปิดยันต์เร็วๆ คุณกรรณแล้วหูจะแตกแล้ว"
ก้องฟ้ารีบปิดผ้ายันต์อย่างลนลานไว้เหมือนเดิม
ภายในห้องทำพิธี ทุกอย่างเงียบสนิท ทุกคนนิ่งเหมือนหยุดหายใจ กรรัมภาและเนตรสิตางศุ์กอดกันกลม
สุคนธรสบอก
"ชั้นไม่ได้กลิ่นแล้ว"
กรรัมภาตัวสั่นเทา
"เขาไปหรือ...หรือยัง"
ญาณินบอก
"ยัยกรรณ...เขาไปแล้ว...ยัยกรรณ"
ไม่มีเสียงขานรับ ญาณินหันไปดูก็ตกใจ
"ยัยกรรณ!"
กรรณานอนนิ่งสลบคาที่ เลือดซึมซิบๆออกหูเล็กน้อย และมีเลือดกำเดาไหลออกมาเลอะเต็มมืออรวรรณ ทุกคนตกใจ อรวรรณถึงกับร้องไห้
"คุณหนู...ช่วยคุณกรรณด้วย"

ดร.แผนยุทธ ณ เวียงทับ หน้าซีด ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

อรวรรณกับก้องฟ้าช่วยกันปฐมพยาบาลกรรณาอยู่ที่มุมหนึ่งในบริษัท แผนยุทธมองทึ่งๆ

"พวกคุณคิดว่าเป็นวิญญาณของพิมอรภรรยาผมหรือครับ ที่ติดตามผมอยู่"
"มันใช่อยู่แล้ว พี่กรรณบอกว่าเขาร้องลั่นเอาแต่ด่าว่าไปยุ่งกับสามีเขา" ก้องฟ้าบอก
"ปกติคุณพิมอรเป็นคนขี้หึงไหมคะ" เนตรสิตางศุ์ถาม
"พิมอรจะหึงผมทำไมครับ ในเมื่อผมไม่เคยคิดนอกใจเธอ"
เนตรสิตางศุ์ยกมือขึ้นแตะปาก เมื่อเห็นว่า ดวงตาของเขาเริ่มจะรื้นๆ
"ตลอดเวลาที่แต่งงานกันมา ผมรักเค้าและมีเค้าเพียงคนเดียว เค้าเป็นคนดี พูดจาอ่อนหวาน ไม่เคยด่าทอใคร ผมตั้งใจว่าจะมีพิมอรคนเดียวไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต แต่...เค้ากลับมาด่วนจากผมไป" แผนยุทธปิดหน้าร้องไห้
"ถ้าคุณไม่เคยคิดนอกใจเค้า ทำไมเค้าต้องตามหึงหวงคุณด้วยล่ะ" สุคนธรสถาม
"หรือว่าวิญญาณตนนั้นไม่ใช่พิมอร แต่เป็นคนอื่น อย่างเช่นวิญญาณคู่รักของผม ตั้งแต่ชาติปางก่อน ชาติก่อนผมอาจจะเจ้าชู้มาก ชาตินี้ถึงต้องเกิดมาเป็นคนรักเดียวใจเดียว"
"ไม่ใช่หรอกค่ะ กระแสของเค้าอาฆาตและเข้มข้นมาก คงเป็นปัจจุบันเหมือนเราๆ นี่แหละ..ข้อสันนิษฐานนี้ตกไปได้เลย" กรรัมภาบอก
กรรัมภากับแผนยุทธเผชิญหน้ากัน
ญาณินมองแผนยุทธอย่างท้าทาย
"เราก็อยากพิสูจน์ให้ได้ว่า อะไรที่ทำให้เธอคั่งแค้นและเจ็บปวด ถ้าไม่ใช่ด้วยความหึงหวงอย่างที่คุณว่า"
"ครับ ผมก็อยากพิสูจน์ พวกคุณจะได้รู้ว่า ผมเป็นผู้ชายที่มีรักเดียวแน่วแน่มั่นคง หนึ่งในไม่กี่คนที่คุณจะสามารถหาได้บนโลกใบนี้"

มุมพักผ่อน ภายในบริษัทของเช้าวันใหม่ อรวรรณเอายาแก้อักเสบและน้ำเปล่าให้ กรรณากินและดื่มน้ำตาม
ทุกคนนั่งประชุมเรื่องเคส ดร.แผนยุทธกันอยู่
กรรัมภาบอก
"พวกเราทุกคนมีธุระส่วนตัวกันทั้งนั้น แต่งานบริษัทก็ต้องเดินหน้า จะทิ้งไม่ได้"
"ไม่ว่าจะน่ากลัวหรือยากขนาดไหนพวกเราก็ต้องทำ" เนตรสิตางศุ์บอก
"แล้วใครจะทำล่ะ" สุคนธรสถาม
ทุกคนมองกันไปมา ไม่มีใครออกความคิดเห็น
"ชั้นขอบาย ชั้นไม่อยากทำเคสนี้จริงๆ" กรรณาบอก
ญาณินโวยวาย
"รีสอร์ตก็ยังไม่เสร็จ ถ้าชั้นต้องทำอีกเคส ชั้นจะแยกร่างยังไง"
"ถ้าชั้นโดน ชีวิตแต่งงานชั้นจบสิ้นแน่" สุคนธรสบอก
"เอาล่ะคุณหนูขา... เอางี้ ป้ามีวิธีช่วยพวกคุณหนูในการหาผู้ที่ต้องรับผิดชอบเคสของดร.แผนยุทธค่ะ" อรวรรณบอก
"วิธีอะไรคะ" ญาณินถาม
"วิธีนี้ไงเจ๊..."
ก้องฟ้าเดินเข้ามาพร้อมกล่องโพยจับสลาก
"จับสลาก!" ทุกคนโพล่งขึ้นพร้อมกัน
"ถูกต้องค่ะ" อรวรรณบอก
"นี่คือความเท่าเทียมกันตามหลักซิกส์เซนส์ธิปไตย" ก้องฟ้าบอก
จู่ๆ กรรัมภาก็ร้องกรี๊ดเสียงดัง
"อะไรของแกวะ" ญาณินถาม
"ชั้นลืม ว่ามีนัดไปเอาชุดกับดีไซเนอร์ที่ชั้นจะใส่ไปต้อนรับจุนจีที่สนามบิน" กรรัมภาพูดแล้ววิ่งออกไป

"ยัยแก้มรอก่อน...ชั้นไปด้วย"
สุคนธรสวิ่งตามไป
"เออ...ชั้นก็ต้องไปเมืองกาญจน์แล้วล่ะ นัดคุณติณห์ไว้ ไปก่อนนะ" ญาณินรีบลุกไป
"ชั้นยืนยันเหมือนเดิม ชั้นไม่ทำ เหม็นขี้หน้าอีตาดร.นั่น"
กรรณาบอก แล้วลุกขึ้นเดินเข้าบ้านไป
"ยัยกรรณ! เดี๋ยวชั้นไปทำอะไรร้อนๆให้แกกินดีกว่า อาการหูอักเสบจะได้ดีขึ้น"
เนตรสิตางศุ์รีบลุกตามกรรณาเข้าไปในบ้าน
อรวรรณเหวอ
"อ้าวไปกันหมดเลย...แล้วตกลงเคสนี้ใครจะเป็นคนรับผิดชอบล่ะ"
"เอ๊ะ...มันมีอาหารอะไรที่กินแล้วหูหายอักเสบได้ด้วยเหรอป้า"
ทั้งสองคนได้แต่ยืนงง

ไซด์งานก่อสร้างรีสอร์ตติณห์ ที่กาญจนบุรี รถแล่นเข้ามาจอด ไม่มีคนงานอยู่เลยซักคนเดียว งานโดนทิ้งค้างเอาไว้ ไม่มีกิจกรรมใดๆเกิดขึ้น ญาณินลงจากรถ มองซ้าย ขวา
"คนงานหายไปไหนกันหมด... มีใครอยู่บ้างคะ สวัสดีค่ะ" ญาณินตะโกนถาม
เธอตกใจ หน้าเสีย เมื่อเห็นคนงานยืนรวมกลุ่มกัน ทุกคนหน้าเศร้าคอตกกันหมด
"พวกเรามีอะไรกัน...บอกฉันมา เกิดเรื่องอะไรขึ้น"
หนึ่งในกลุ่มคนงานตัดสินใจพูด
"พวกเราจะส่งตัวแทนมาเจรจากับคุณณิน...คุณณินต้องรับให้ได้นะคะ"
ญาณินอึ้ง หน้าเสียหนักเข้าไปอีก
กลุ่มคนงานค่อยๆ แยกแหวกตรงกลางออก ติณห์ยืนอยู่ปลายสุดของกลุ่ม เขาอุ้มกุหลาบแดง100กว่าดอกเข้ามา หล่อนถึงกับอ้าปากค้าง คนงานอมยิ้มกันใหญ่ บางคนแอบหัวเราะคิกคัก
เขานั่งคุกเข่าต่อหน้าหล่อน
"คุณณินว่าดอกกุหลาบพวกนี้ เยอะไหมครับ"
ญาณินพยักหน้า เขินอายจนแก้มแดง
"ดอกกุหลาบพวกนี้มีปริมาณเท่ากับจำนวนวันที่ผมรู้ตัว ว่าผมรักคุณ ถ้าคุณว่าเยอะ มันคงไม่แปลกใช่ไหมที่ผมจะขอคุณแต่งงาน แต่งงานกับผมนะ"
คนงานพร้อมใจกันเชลียร์
"แต่งเลยๆๆ"
ญาณินหันไปมองคนงาน ทุกคนยิ้มมีความสุขไปกับเจ้านาย ญาณินยิ่งเขิน
หัวหน้าคนงานยกมือให้ทุกคนหยุดฟัง ญาณินพูด
"ชั้นอยากให้รีสอร์ตของคุณเสร็จเรียบร้อยก่อน"
"งั้นทันทีที่รีสอร์ตเสร็จ เราแต่งงานกันนะ"
"ค่ะ"
คนงานเฮกันลั่น
ติณห์ลุกมา อุ้มหล่อนขึ้นมาในอ้อมแขน เขาหันไปตะโกนกับคนงาน
"ทุกคนเป็นพยานให้ผมนะว่า คุณณินรับปากผมแล้ว"
คนงานหัวเราะชอบใจ ปรบมือ มีความสุขสุดๆ เขาอุ้มหล่อน หมุนไปมา
วิญญาณหลวงพิชัยภักดี กับโกลเด้นเบบี๋เต้นไปรอบๆ
"ปลูกกุหลาบแดงไว้เพื่อเธอ เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าดอก บ่งบอกความจริงที่ยิ่งใหญ่ บ่งบอกว่าใจชั้นยังคงมั่น - ชั้นจะได้ไปเกิดแล้ว..."

เสียงเพลงนั้นดังต่อเนื่อง

ติณห์อุ้มญาณินเข้ามาในบ้าน เสียงเพลงยังดังตามมา 

"ปลูกกุหลาบแดงไว้เพื่อเธอ 9 พัน 9 ร้อย 99 ดอก"
"ปล่อยชั้นลงได้แล้วค่ะคุณติณห์"
"ผมซ้อมไว้ ตอนอุ้มคุณเข้าห้องหอจะได้คล่องปรื๊ด คล่องปรื๊ด"
หล่อนทุบอกเขาอย่างเขินๆ
"คุณติณห์ !"
ภายในบ้าน มิรันตีนั่งคอตั้งวางมาดนางพญาอยู่ ทนายสมชาติยืนตัวลีบด้วยความเกรงใจ ติณห์ชะงักในทันที
"มัมมี่"
มิรันตีเห็นลูกชายอุ้มผู้หญิงเข้ามาในบ้านก็หน้าตึงขึ้นมาทันที คุณหลวงพิชัยภักดี กับโกลเด้นเบบี๋ตามติณห์กับญาณินเข้ามาด้วย
วิญญาณหลวงพิชัยโพล่งชื่อลูกสาว
"นังมิรันตี !"
โกลเด้นเบบี๋ งงไม่รู้จักมิรันตี

ติณห์ วางญาณินลง หล่อนถอยไปแล้วได้สติก่อน ยกมือไหว้มิรันตี
"สวัส...สวัสดีค่ะ...คุณ"
"ชั้น..มิรันตี พิชัยภักดี สจ๊วร์ต เดอ ลา แมร์ ไฮเดนเบิร์ก แต่เธอเรียกชั้นง่ายๆ ว่ามิสซิสไฮเดนเบิร์กก็ได้"
"มิสซิสไฮเดนเบิร์ก"
วิญญาณหลวงพิชัยภักดีบ่นฮุบ
"ทำไมมันนามสกุลเยอะนักวะ"
"ไม่ต้องงง...ชั้นใส่ทุกนามสกุลของทุกสามี...ที่ชั้นแต่งงานด้วย ส่วนติณห์...เขาแค่นามสกุลสจ๊วร์ตเท่านั้น แล้วเธอล่ะ ชื่อ นามสกุลอะไร"
ติณห์ตั้งตัวได้ รีบเข้าไปขวาง
"มัมมี้...มัมมี้จะไม่กอดลูกก่อนหรือครับ"
มิรินตีชะงัก ยิ้มกว้าง อ้าแขนออก
"ติณณี่...ไอมิสยูนะ"
ติณห์เข้าไปกอดมิรันตี
"ผมคิดถึงแม่มากกว่า ผมอยากให้แม่มาอยู่กับเราตั้งแต่ตอนแรก แต่แม่มาตอนนี้ก็ดีแล้วครับ เพราะเราได้ผ่านเรื่องร้ายๆมาหมดแล้ว ต่อไปนี้ เราจะมีแต่ความสะดวกสบายราบรื่น"
"ใช่ครับ พวกเราช่วยกัน ต่อสู้กับอุปสรรคทั้งหมดมาได้ด้วยความยากลำบาก โดยมีคุณญาณินช่วยคุณติณห์ให้พ้นจากอันตรายถึงชีวิตมาหลายครั้ง" ทนายสมชาติบอก
"แหม...พูดแบบนี้ ตั้งใจจะบอกว่า ตอนที่พวกแกลำบากกัน ชั้นหายไปไหน แต่พอพวกแกสบาย แล้ว ทำไมชั้นโผล่มาชุบมือเปิบ...งั้นสิ"
วิญญาณคุณหลวงพิชัยภักดีบอก
"อุ๊ย...ลูกรักของพ่อ พูดแบบนี้แปลว่า ร้อนตัวนะคะเนี่ย"
โกลเด้นท์เบบี๋ขานรับ
"ตรงประเด็นเป๊ะ"
"แม่อย่าคิดมากสิครับ ผมแค่อยากมีแม่อยู่ข้างๆ เวลาผมไม่สบายใจเท่านั้นเอง" ติณห์บอก
"อ้อ แล้วเวลาแกสบายใจ แกอยากมีผู้หญิงอยู่ข้างๆ งั้นสิ"
เขารีบเปลี่ยนเรื่องคุยกับแม่ทันที
"แล้วมัมมี้มาได้ยังไง ไม่เห็นโทรมาบอก ผมจะได้ไปรับ"
"แม่มาหลายวันแล้ว แต่แม่แวะไปหาเพื่อน แล้วก็แวะไปทำธุระที่กรุงเทพฯ มาเรียบร้อยแล้ว"
มิรันตีจ้องญาณิน ... เธอจำได้ เมื่อคราวที่เธอนั่งรถไปดูญาณินถึงงานแต่งสุคนธรส
"แม่ไปเปิดหูเปิดตามา แม่ถึงได้รู้ได้เห็นอะไรมาเยอะเลย"
"คุณมิรันตีจะมาอยู่กี่วันครับ ผมจะได้จองโรงแรมให้" ทนายสมชาติถาม
"ชั้นจะอยู่ที่นี่อีกนานเท่านาน ติณณี่อยู่ไหน มัมมี้ก็อยู่ด้วย กิจการของเรามันใหญ่เกินไปที่ลูกจะดูแลตามลำพัง"
"มัมมี้ภูมิใจกับรีสอร์ตของผมแล้วใช่ไหมครับ มัมมี้เข้าใจแกรนด์ปาแล้วใช่ไหม แกรนด์ปาไม่ได้เป็นอย่างที่เขาร่ำลือกัน ตอนนี้ผมกำลังเขียนหนังสือประวัติชีวิตของแกรนด์ปาอยู่ เราจะพิมพ์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ มัมมี้มาก็ดีแล้วครับ ผมจะได้ปรึกษาในสิ่งที่ผมไม่รู้เกี่ยวกับแกรนด์ปา"
"เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอก แต่ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนนอก ให้เขาออกไปก่อนได้ไหมจ๊ะ แม่มีเรื่องส่วนตัวในครอบครัวที่ต้องคุยกะลูก และทนายสมชาติหน่อย"
"เอ่อ...แม่ครับ แต่...ญาณินไม่ใช่คนนอกนะครับ เรา จะแต่งงานกันครับ"
มิรันตีหน้าตึงขึ้นมาทันที

มิรันตีโพล่งถาม
"อยู่ที่ธนาคาร!"
"ใช่ครับ เราฝากทองทั้งหมดไว้ที่ธนาคาร" ทนายสมชาติบอก
มิรันตีปรายตามองญาณิน
"แน่ใจหรือเปล่าว่าอยู่ครบ ไม่ใช่มีใครหยิบไปแล้วไม่รู้เรื่อง คนสมัยนี้ไว้ใจได้ที่ไหน หน้าซื่อๆ ใสๆ แต่ใจคดมีถมไป"
"แน่ใจครับ"
กุมาริกา โกลเด้นท์เบบี๋บอก
"ไม่ถามสารทุกข์สุกดิบลูก แต่กลับถามถึงทอง"
"นี่แหละ ลูกสาวชั้น"
ญาณินหน้าเสีย ติณห์รู้ถึงบรรยากาศมาคุ รีบช่วย
"มัมเห็นรีสอร์ตหรือยังครับ คุณณินเป็นคนออกแบบแล้วก็คุมงานก่อสร้างเองทั้งหมดเลย"
"มิน่า ถึงเหมือนโรงเรียนอนุบาล"
ติณห์กึก ญาณินหน้าชามาก สมชาติจะช่วยเปลี่ยนเรื่อง
"คุณมิรันตีครับ ผมว่า..."
"บ้านคุณญาณินอยู่ที่ไหน"
สมชาติอ้าปากค้าง
"กรุงเทพฯค่ะ" ญาณินบอก
"แล้วทำไมไม่อยู่บ้าน พ่อแม่ไม่มีเหรอ"
"มีค่ะ"
"คุณณินต้องคุมงานอยู่ที่นี่ครับ" ติณห์บอก
"เหรอ พ่อแม่รู้หรือเปล่าว่าต้องมาทำงานอยู่ในป่าในเขากับผู้ชาย นี่ถ้าเป็นลูกสาวชั้นนะ ชั้นไม่ยอมปล่อยให้มาเด็ดขาด เดี๋ยวคนอื่นจะดูถูกเอาได้ว่าลูกสาวชั้นใจง่าย"
"มัม !"
ญาณินหน้าชาไปหมดแล้ว
"มัมมาเหนื่อยๆ พักผ่อนก่อนนะครับ คุณณินต้องไปคุมงานต่อแล้ว ไปครับคุณณิน ผมไปส่ง"
ติณห์จูงมือญาณินออกไปเลย มิรันตีมองตามย่างไม่ชอบหน้า ทนายสมชาติส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ
"ใบฝากทองอยู่ที่ไหน ชั้นต้องการดูเดี๋ยวนี้"
"เอ่อ...ครับๆ"
สมชาติเดินออกไป
วิญญาณหลวงพิชัยภักดีบอก
"คราวที่แล้วปัญหามันยังอยู่ภายนอกบ้าน แต่คราวนี้มันเข้ามาอยู่ในบ้านเลย"

ติณห์จูงมือญาณินออกมาที่สวน หล่อนสีหน้าเศร้า อยากจะร้องไห้
"คุณณิน ผมขอโทษแทนมัมด้วยนะ มัมก็เป็นคนแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วมัมใจดีมากๆ"
"คงยกเว้นกับชั้น"
"ไม่จริงหรอกครับ มัมเพิ่งมาถึง ยังไม่เข้าใจอะไรดี แต่ผมเชื่อว่า ถ้ามัมรู้จักคุณ มัมจะต้องรักคุณเหมือนที่ผมรักคุณ อย่าร้องไห้นะ"
ติณห์ประคองแก้มญาณิน ทั้งสองมองหน้ากัน
"ค่ะ...ชั้นไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ คุณกลับไปดูแลคุณแม่เถอะ ชั้นจะไปทำงานต่อแล้ว"
"ไม่เป็นอะไรจริงนะ"
ญาณินพยักหน้า
"ยิ้มให้ผมดูก่อน"
หล่อนยิ้มนิดๆ ให้ เขาจุ๊บที่หน้าผาก
"เดี๋ยวผมตามไปนะ"

ญาณินยิ้มรับ จนเมื่อเขากลับเข้าไปในบ้าน รอยยิ้มบนใบหน้าของหล่อนก็หายไป มีแต่ความเศร้าเข้าเกาะกุม

ภายในห้องรับแขก ทนายสมชาติค้นเอกสารในกระเป๋าหนัง

"ใบฝากทองอยู่ที่บ้านครับ ผมไม่ได้เอาติดตัวมาด้วย"
"แล้วถ้าบ้านคุณโดนยกเค้า หรือไฟไหม้วอดทั้งหลัง คุณจะมีปัญญาชดใช้ชั้นไหม" มิรันตีถาม"พูดจาเป็นสิริมงคลดีแท้"
สมชาติพึมพำกับตัวเองก่อนหันไปบอกมิรันตี
"คุณมิรันตี ไม่ต้องห่วงครับ ต่อให้ไม่มีใบฝาก ยังไงลายเซ็นคุณติณห์ก็ใช้เบิกได้"
"แสดงว่าตอนนี้ทองเป็นของติณห์ใช่ไหม"
"ก็...ก็ใช่ครับ"
"แล้วถ้าใครจดทะเบียนสมรสกับติณห์ ก็จะมีสิทธิ์ในทองด้วยใช่ไหม"
"ครับ"
มิรันตีนึกถึงญาณิน
"มิน่า..."
ติณห์เดินกลับเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก ทนายสมชาติเห็นท่าไม่ดี จึงขอตัว
"ผมขอตัวก่อนนะครับ"
"ทำไมมัมไปพูดกับคุณณินแบบนั้น" ติณห์ถาม
"แม่พูดเรื่องจริง มันผิดตรงไหน"
"มันไม่ใช่แบบนั้นครับ คุณณินไม่ใช่ผู้หญิงใจง่าย เธอเก่ง น่ารัก เป็นกุลสตรีไทยมาก และที่สำคัญเธอเป็นห่วงผมมาก เธอยอมตายเพื่อผมได้เลยนะครับมัม"
"ท่าทางแม่จะช้าเกินไป"
"ช้าอะไรครับ"
"ติณห์... ลูกไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมผู้หญิงหรอก แต่ไม่ต้องห่วง แม่มาแล้ว แม่จะปกป้องลูกและทรัพย์สมบัติของเราเอง"
มิรันตีกอดติณห์...แววตาเกลียดชังญาณิน ติณห์งง ไม่เข้าใจว่าแม่พูดอะไร

รายการโทรทัศน์ต่างๆ ในเมืองไทย กำลังกล่าวขวัญถึง และนำเสนอข่าวของ ปาร์คจุนจี ถ้วนหน้าโดยเฉพาะ รายการเจาะข่าวเด่น

"สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้แล้วนะครับที่ประเทศเรา จะมีเรื่องที่น่าภูมิใจและตื่นเต้นเกิดขึ้นกับการมาประเทศไทยครั้งแรกของซูเปอร์สตาร์แห่งเอเชีย ปาร์คจุนจี ที่โด่งดังไปทั่วโลก
รายการบันเทิงยามเช้า
"ยอดกดไลค์จากยูทูปพุ่งขึ้นเป็น 50 ล้าน กับซิงเกิ้ลใหม่ที่เพิ่งออกมา"
รายการข่าวสั้นทันเหตุการณ์
"เป็นมิติใหม่ของวงการภาพยนตร์ไทย ที่จะได้ปาร์คจุนจีมาร่วมแสดงกับดารานำจากประเทศไทย"
รายการตีท้ายครัว พิธีกรใส่ชุดประจำชาติเกาหลี และใส่หน้ากากจุนจี ข้างหลังเป็นเหล่าแฟนคลับยืนถือป้ายไฟเกาะกลุ่มกันเนืองแน่น
คุณอ๊า- "วันนี้รายการเราได้มารายงานสถานการณ์สดๆจากสนามบินสุวรรณภูมิ ไม่อยากจะคุยนะ เราเป็นรายการเดียวที่ได้มาเก็บภาพตั้งแต่แรกที่ปาร์คจุนจีเหยียบแผ่นดินไทย"
มดตะนอย - "เขาจะก้มกราบแผ่นดินไทยหรือไม่ ต้องคอยติดตามกัน"

กระแสนิยมปาร์คจุนจีในหมู่แฟนคลับและคนไทยปรากฏขึ้นทั่วไป เช่น
กลุ่มแฟนคลับสาว 4 คน ตะโกนและเต้นท่าปาร์คจุนจีพร้อมกัน
แฟนคลับ 2-3 คน วัยรุ่นชายทำผม แต่งตัวเลียนแบบปาร์คจุนจี
หญิงสาวผมบ๊อบเป็นเด็กมัธยมน้ำตานองหน้า พูดไม่ออก ร้องไห้สะอึกสะอื้น ปิ่มจะขาดใจ
"ดีใจ...ดีใจมาก...แบบ...รอเขามานาน..."
ภาพสัมภาษณ์แฟนคลับจุนจี ปรากฏบนหน้าจอโทรทัศน์ ก้องฟ้านั่งจ้องโทรทัศน์อย่างไม่วางตา มือหยิบขนมในถุงกิน กรรณากับเนตรสิตางศุ์นั่งทำแฟ้มเอกสารอยู่บนโต๊ะห่างออกไป อรวรรณเดินถือไม้ขนไก่ ไม้กวาดผ่านมาเห็นภาพเด็กสาวร้องไห้ในโทรทัศน์พอดี
"ใครตายคะ"
"ไม่มีใครตายหรอกครับ น้องเขาร้องไห้ดีใจปาร์คจุนจีจะมา"
"เฮ้อ...วัยรุ่นสมัยนี้นะ ทำไมไม่เอาเวลาไปทำเรื่องที่มีสาระกว่านี้ แล้วนี่ก๊องก็รอดูปาร์คฯอะไรนี่ด้วยเหรอคะ ป้าเห็นเอาแต่นั่งจ้องทีวีมาพักใหญ่ๆแล้ว"
"เปล่าครับป้า นี่ผมกำลังทำมาหากินอยู่นะครับ รับจ๊อบๆ"
"จ๊อบอะไรก๊อง" เนตรสิตางศุ์ถาม
"พี่แก้มสั่งให้ผมจ้องทีวีไว้ ถ้าพี่แก้มออกทีวีปุ๊บให้กดอัดปั๊บ ง่ายๆ แค่นี้ได้ตั้งห้าร้อย"
"แฟนคลับมีเป็นร้อยๆ คุณแก้มจะได้ออกทีวีเหรอคะ" อรวรรณถามอย่างสงสัย
"ป้าออไม่ต้องห่วง ถ้ายัยแก้มมั่นใจขนาดนี้ รับรองว่างานนี้ยัยแก้มจัดหนักแน่" กรรณาบอก
ทางเข้าสนามบินสุวรรณภูมิ กรรัมภาในชุดฮันบกสีชมพูสะท้อนแสงก้าวเข้ามา หล่อนแต่งหน้าทำผมถูกต้องตามหลักชุดฮันบกเป๊ะ ยิ้มนิดๆ เชิดหน้าหน่อยๆ มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำ เสียงดนตรียิ่งใหญ่อลังการ สุคนธรสถือป้ายไฟเขียนว่า “ปาร์คจุนจี” ไตรรัตน์ถือว่า “คนนี้เด็กเจ๊” พร้อมมีลูกศรชี้ไปที่กรรัมภา ไตรรัตน์สะพายกระเป๋าผ้าใบใหญ่มาด้วย ทั้งสองยกป้ายไฟบังหน้าตัวเอง
"คุณ ผมอาย"
"คิดว่าชั้นไม่อายหรือไง ทนๆ หน่อยน่ะ"
"ใครจำผมได้ล่ะ ซวยเลยงานนี้ โดนแซวจมดินแน่"
ไตรรัตน์สีหน้าจำใจมาก
"คุณไตรรัตน์ จัดมา" กรรัมภาบอก
"เอาจริงเหรอเนี่ย...!"
"เอาน่า...เร็วๆสิ"
ไตรรัตน์ควักเครื่องเล่นซีดีในกระเป๋า กรรัมภาก้าวไปโพสต์กลางลาน สุคนธรสเอาป้ายไฟปิดหน้า ไตรรัตน์กดปุ่มเล่น เสียงเพลงดังจากเครื่องเล่น ทุกคนในสนามบินหันมามองทางกรรัมภา
กรรัมภากระชากชุดฮันบกออก กลายเป็นชุดกระโปรงสั้น แต่ยังคงคอนเซ็ปต์ แล้วแดนซ์เพลง ปาร์คจุนจีกระจาย ไตรรัตน์ได้แต่ส่ายหัว นักข่าวทั้งหมดวิ่งแห่กันมาถ่ายรูปหล่อนในทันที
พิธีกร1บอก
"เห็นไหมครับ แฟนคลับของปาร์คจุนจีไม่ธรรมดากันจริงๆ"
พิธีกร 2บอก

"อุ๊ย เริ่ดค่า... แซ่บเวอร์"

 
อ่านต่อหน้า 4

สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 1 (ต่อ)

ส่วนที่บริษัทซิกซ์เซนส์ อินทีเรีย ในจอทีวีมีภาพกรรัมภาเต้นสดจากสุวรรณภูมิ แต่ก้องฟ้าก้มหน้าดูหนังสือบอลอย่างตั้งใจ กรรณากับเนตรสิตางศุ์นั่งทำงานอยู่เห็นกรรัมภาแดนซ์ออกทีวี

เนตรสิตางศุ์จะเรียก "ก๊อง" แต่กรรณาปราม
"อย่าไปบอกมัน งานกล้วยๆ แค่นี้มันยังไม่ตั้งใจ ปล่อยให้มันอดได้ตังค์ไป"
ทั้งสองคนเก็บของแล้วลุกจะออกไปธุระข้างนอก เนตรสิตางศุ์พยักหน้ามองการถ่ายทอดสดในทีวีและมองก้องฟ้า แล้วบอก
"คนนึงก็ขาด คนนึงก็เกิน"
ทั้งสองเดินออกไป

ที่กาญจนบุรี ติณห์เดินมาหาญาณินที่บริเวณรีสอร์ต เขามองหาซ้าย-ขวา พอดีได้ยินเสียงญาณินแว่วมาเลยเดินตามต้นเสียง เขาเห็นหล่อนยืนดุคนงานตรงสนามหญ้าทางด้านหนึ่ง น้ำเสียงเด่นชัดว่าอารมณ์ไม่ดี
"โอ๊ย...ไม่ใช่นะ ผิดแล้ว ตรงนี้ไม่ได้ปูหญ้าค่ะ ดูในแปลนสิคะ สนามหญ้าต้องสิ้นสุดลงแค่นี้ แล้วตรงนี้ ลงต้นไผ่ไงคะ ทำไมไม่ทำตามที่ประชุมกันล่ะ ตกลงไว้อย่างนึง แล้วทำอย่างนึง แบบนี้จะประชุมกันให้เสียเวลาทำไมคะ"
เขาเดินเข้ามา
"ที่รัก...ใจเย็นๆครับ อย่าโมโหสิ"
"โอ๊ย...มันเหนื่อยนะคะ ทำสวนน่ะ แดดก็ร้อน ไม่ใช่นั่งเล่นในห้องแอร์"
เขาประคองหน้าหล่อนอย่างทนุถนอม
"เป็นอะไรหรือเปล่า ดูไม่สดชื่นหมือนคุณณินคนเดิมของผมเลย"
หล่อนถอนใจเล็กน้อยก่อนตั้งสติ ลูบหน้าตัวเอง
" เมื่อคืนคงนอนดึกน่ะค่ะ พักผ่อนน้อย"
"แน่ใจนะ ว่า...เพราะพักผ่อนน้อย ไม่ใช่ เพราะคิดเรื่องอื่น"
หล่อนฝืนยิ้ม ทำตาแบ๊วใส่เขา
"เรื่องอื่น เรื่องอะไรคะ ไม่มีเรื่องอะไรนี่คะ"
"แน่นะ"
"ค่ะ"
"รีสอร์ตใกล้จะเสร็จแล้ว... แล้วผมจะพาไปเที่ยวพักผ่อนอย่างหรูๆ ให้คุณเป็นมาดามสบายๆนะครับ"
"จริงเหรอ เอาที่หนาวๆ เย็นๆ หน่อยนะคะ ไม่ร้อนแบบนี้"
"จริงสิครับ ตอนเราไปฮันนีมูลรอบโลกไง"
จังหวะนั้น โกลเด้นเบบี๋แว่บขึ้นมา
"เจ๊จีจ้าไปดูคุณตาที"
"โกลเด้น...ทำไม มีอะไร"
"คุณตากำลังต้องการความช่วยเหลือด่วนค่ะ"
"อะไร คุณหลวงเป็นอะไร!"
"แกรนด์ปา!"
สมชาติวิ่งมา ด้วยอาการอึดอัด
"คุณติณห์ครับ แย่แล้วครับ"

ติณห์กับญาณิน และสมชาติวิ่งขึ้นมาบนเรือน เจอมิรันตีกำลังคุมคนงานรื้อ งัด ซ่อมแซมเรือนไทย วิญญาณหลวงพิชัยภักดีโมโห ยืนด่าอยู่ข้างลูกสาว แล้วหายตัวเปลี่ยนไปยืนด่าข้างขวาบ้าง ข้างซ้ายบ้าง สลับกันไปมา
"แกจะทำอย่างนี้ไม่ได้นะนังลูกไม่รักดี ถ้าชั้นรู้ว่าโตขึ้นแกจะเป็นคนแบบนี้ ชั้นจะเอาขี้เถ้ายัดปากแกตั้งแต่เกิด"
หลวงพิชัยภักดีหันไปเห็นญาณินก็ร้องขอความช่วยเหลือ
"หนูญาณิน ! หนูญาณินมาบอกมันที ว่าอย่ามายุ่งกับเรือนของชั้น"
โกลเดนเบเบี๋บอก
"ใจเย็นๆค่ะ คุณตา...แบบนี้เดี๋ยวความดันขึ้น ได้ตายซ้ำตายซ้อนกันพอดี"
ติณห์รีบเดินเข้าไปหามิรันตี
"มัม มัมทำอะไร"
"คุณมิรันตีครับ ทำแบบนี้ คุณหลวงท่านไม่ยอมแน่ๆ นะครับ" สมชาติบอก
"สต็อป! พูดจาเหลวไหล ทนายสมชาติ คุณพ่อชั้นตายไปนานแล้วนะจ๊ะ ติณห์..แม่เก็ทไอเดียใหม่จ้ะลูกรัก แม่จะโมดิฟายที่นี่เป็นสปา นวดแผนไทย รื้อข้างหลังทิ้ง สร้างเป็นห้องอบซาวน่าสมุนไพรไทย เดี๋ยวเราก็โม้ๆ ไปว่า เราเอาต้นสมุนไพรแถวนี้มาทำเป็นสมุนไพรออร์แกนิค ไร้สารพิษ ฝรั่งกำลังฟีเว่อร์เรื่องพวกนี้ รับรองกำไรงาม"
"ชั้นขอแช่งให้เงินทับตัวแกตาย นังเกลือสินเธาว์ !" หลวงพิชัยภักดีบอก
"แต่ผมตั้งใจว่าจะอนุรักษ์ที่นี่ให้เป็นมิวเซียม..พิพิธอะไรนะ" ติณห์บอก
"พิพิธภัณฑ์ครับ" สมชาติเสริม
"เยส พิพิธภัณฑ์ แอนด์ไลบารี ห้องหนังสือ เป็นอนุสรณ์ให้กับแกรนด์ปาและตระกูลเรานะ มัม"
"ไร้สาระ! เรามีของดีจะมาเอาตั้งโชว์ไว้เฉยๆ ให้เสียค่าทำความสะอาดทำไม เราต้องเอามาต่อยอดต่อผลให้มันงอกเงย"
หลวงพิชัยภักดีสื่อสารกับญาณินอย่างร้อนรน
"หนูณินบอกมันที อย่ามายุ่งกับเรือนชั้น ชั้นอนุญาตให้ลูกหลานอยู่เท่านั้น"
ญาณินหนักใจ
"บอกมันสิหนูณิน ถ้ามันทำลายที่นี่ก็เท่ากับมันทำลายหัวใจของชั้น"
หลวงพิชัยภักดีร้องห่มร้องไห้ โกลเดนเบบี๋กอดปลอบ
"โอ๋ๆ นิ่งแตะๆ บอกเค้าสิเจ๊"
"คือ...เอ่อ คุณมิรันตีคะ คือ คุณหลวงพิชัยภักดีท่านไม่พอใจ ท่านอยากเก็บที่นี่ไว้ให้ประชาชนได้ชมเท่านั้นค่ะ"
มิรันตีมองญาณินอย่างแปลกใจ แล้วถามลูกชาย
"มีเรื่องอะไรที่แม่ไม่รู้หรือเปล่าติณห์"
"คืออย่างนี้ครับมัม คุณญาณินเธอมีซิกส์เซนส์ สามารถติดต่อสื่อสารกับวิญญาณแกรนด์ปาได้ แล้วตอนนี้แกรนด์ปาก็อยู่แถวนี้ด้วย"
มิรันตีขรึมจ้องญาณินตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วหัวเราะ แล้วทำเป็นกลั้นหัวเราะ รักษามรรยาท
"เป็นความจริงนะครับ คุณมิรันตี ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะครับ" สมชาติยืนยัน
"คุณทนาย...อย่าบ้าให้มันมากนัก เป็นผู้หลักผู้ใหญ่แล้วมาทำเพี้ยน เดี๋ยวก็จับส่งโรงพยาบาลบ้าซะหรอก"
ติณห์ ญาณินรู้สึกผิดท่า ไม่น่าบอกไปเลย

อีกด้านของเรือน มิรันตีดึงติณห์มาคุยกันลำพัง
"ผู้หญิงคนนี้เขาแปลกๆแล้วล่ะ ติณห์ ติณห์ต้องระวังมากๆ"
"แม่ครับ ที่ญาณินพูดเป็นความจริงนะครับ"
"ความจริงที่เค้าบอกว่า แกรนปาของลูก บอกเค้าให้มาบอกลูกว่า ไม่ให้ลูกทำอะไร หรือให้ทำอะไร ให้เอาสมบัติเช่นทองคำเป็นต้น ให้เค้า แล้วให้แต่งงานกะเค้า แบบนี้เหรอ ติณห์"
"แกรนด์ปามีตัวตนนะครับ ผมเคยเห็นแกรนด์ปากับตาผมเองมาแล้ว แล้วผมก็รู้ด้วยว่า แกรนด์ปาต้องการอะไร"
"ไปกันใหญ่แล้ว ติณห์...อะไรกันเนี่ย ลูกก็มีการศึกษา เป็นฝรั่ง ทำไมความรักทำให้ลูกเชื่อเรื่องโง่งมงายแบบนี้ โอ โน ไอ ค้านท์ บีลีฟอิท!"
"ผมรู้ ว่ามันฟังแปลก..ไม่น่าเชื่อ แต่มันจริงนะครับ"
มิรันตีส่ายหน้า
"ติณห์...แม่เป็นห่วงลูกจริงๆ แม่ นี่แม่ไม่น่าทิ้งให้ลูกมาอยู่ที่นี่คนเดียวเลย ไอ้ทนายสมชาติมันก็คงร่วมมือกับยัยนั่น มาช่วยกันต้มลูกล่ะสิ แม่ผิดเองๆๆ แม่สัญญานะลูก..ว่าแม่จะไม่ทอดทิ้งลูกไว้กับสมบัติและทรัพย์สินมากมายแบบนี้อีกแล้ว มันอันตรายจริงๆ..ไอพรอมิส แม่สัญญานะจ๊ะ..มายเดียร์ซัน"

มิรันตีดึงลูกมากอด ลูบหัวลูบหู ติณห์ได้แต่เซ็ง

ฝ่ายญาณินเดินคุยมากับวิญญาณหลวงพิชัยภักดี

"นี่...หนูจะปล่อยให้มิรันตีมาทำแบบนี้กับเรือนชั้นไม่ได้นะ"
"คุณหลวงคะ.. หนูเป็นคนนอกนะคะ"
"หนูไม่ใช่คนนอก มิรันตีสิ...คนนอก มันมาถึง ก็จะมาทำลายแผนของเราทั้งหมด"
"แต่เขาคือคุณแม่ของติณห์ และเป็นลูกสาวของคุณหลวง อย่าลืมสิคะ"
"หนูญาณิน มีหนูคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยชั้นได้ หนูไม่สงสารชั้นเหรอ"
"คุณหลวงคะ คุณหลวงก็ช่วยสงสารหนูบ้างนะคะ อย่าให้หนูต้องอึดอัดใจเลย หนูไม่อยากให้คุณมิรันตีมองหนูว่า หนูมาหลอกคุณติณห์เพื่อหวังอะไรเลยน่ะค่ะ"
"ก็หนูไม่ได้หวังอะไร แต่มันสิ ที่หวังฮุบทุกอย่าง"
"แต่เขาคือทายาทที่สืบสกุลจากคุณหลวงตามกฎหมาย เขามีสิทธิ์ ไม่เชื่อคุณหลวงถามทนายสมชาติเลยค่ะ"
"ไม่ใช่นะ ตามกฎหมายมันเป็นของติณห์แล้ว แต่ยัยนี่มันมามั่ว"
"งั้นก็..ให้เป็นการตัดสินใจของคุณติณห์ก็แล้วกันค่ะ อย่าให้หนูเป็นคนออกปากเลย มันจะไม่เหมาะนะคะ"
ทางด้านหนึ่ง มิรันตีเกาะแขนติณห์ มองญาณินอยู่
"ดูมันพูดคนเดียว ลูกดูสิ ลูกเชื่อหรือ ว่ามันพูดกะผีได้ ถ้ามันไม่บ้า มันก็เล่นละครหลอกลูกอยู่"
"เค้าไม่ได้หลอกครับ แล้วสมมุติ ถ้าเค้าหลอกเค้าจะได้อะไรละครับ จากการที่ให้เก็บเรือนนี้ไว้ให้ดี มัมมี้คิดดูสิครับ"
"ก็ค่าตกแต่งให้มันเป็นมิวเซียม หรือไลบารีไง"
"ทำเป็นสปา เค้าก็จะได้ค่าตกแต่งเหมือนกัน"
"เออ... ไม่สิ ไม่ได้ เพราะมัมมี้จะ เดคอเรต ตกแต่งเองไง ไม่ให้มันมาแตะต้อง"
"มัม...!"
สมชาติบ่นคนเดียวอย่างกลุ้มๆ
"เอาล่ะสิ เจอผู้ร้ายแบบนี้ ท่าจะปราบยากกว่าผู้ร้ายอย่างเสี่ยปิงอีกละมั้ง คุณติณห์เอ๊ย"
โกลเดนเบบี๋ยืนฟังอยู่ข้างๆ
"นั่นสิคะ เจอแม่สามีแบบนี้เข้าไป คุณพี่ของหนูคงต้องถอยซะแล้ว"

ณ สนามบินสุวรรณภูมิ เครื่องแลนดิ้ง กรรัมภาวิ่งนำสุคนธรสกับไตรรัตน์เข้ามา ทั้ง 3 มีแท๊กห้อยคอสำหรับผ่านด่านสนามบินเข้ามาได้ กรรัมภาส่งกล้องดิจิตอลให้สุคนธรส ไตรรัตน์ถือกล้องตัวใหญ่ไว้อยู่แล้ว กรรัมภาสั่งกำชับ
"ยัยรส แกกดถ่ายไปเยอะๆ ต่อเนื่องเลยนะ ไม่ต้องแคร์ว่าจะชัดไม่ชัด เดี๋ยวไปเลือกเอาทีหลัง"
"เออ"
กรรัมภาจับมือสุคนธสและไตรรัตน์ไว้
"ส่วนของคุณไตรรัตน์เป็นคลิป แก้มรอวันนี้มานาน แก้มอยากได้ภาพคู่กับจุนจี ชีวิตของแก้มฝากไว้ที่มือของพวกคุณ"
ไตรรัตน์อยากตายในบัดนาว
"ผมมาทำอะไรที่นี่"
"ทำเพื่อเพื่อนชั้นแค่นี้ไม่ได้เหรอ บ่นมากนัก คืนนี้...อย่าหวังเลย"
ไตรรัตน์ปิดปากหมับ ทั้งสองเดินตามกรรัมภาไป

กรรัมภาเข้ามาชะเง้อมองหาคณะปาร์คจุนจี เธอดึงเสื้อสเวตเตอร์สีชมพูออกมาจากกระเป๋า ไตรรัตน์กับสุคนธรสตามหลังมา มือถือกล้องเตรียมพร้อม แต่ไม่เจอปาร์คจุนจี
"อยู่ไหนกันน้า..."
"เขาอาจจะไม่ได้เข้ามาทางนี้ก็ได้นะแก" สุคนธรสบอก
"เข้าทางนี้ชัวร์ ชั้นสืบมาหมดแล้ว"
กรรัมภามองหา ชักไม่สบายใจ ไตรรัตน์กับสุคนธรสช่วยกันชะเง้อมองหาด้วย
"ไม่มาแล้วอ่ะ กลับเถอะ" ไตรรัตน์บอก
"นี่...เดี๋ยวอด"
ไตรรัตน์ปิดปากสนิทแล้วพูด
"โอเอ"
กรรัมภาเดินไปหาแถวหลังเสาขนาดใหญ่ ในมุมั้อยู่ห่างจากไตรรัตน์และสุคนธรส เจ้าหล่อนชะเง้อมองหาไป ภาวนาไป
"อยู่ไหนอะ วิญญาณทั้งหลายที่แก้มเคยช่วยเหลือ ขอให้ช่วยแก้มได้พบกับจุนจีด้วยเถอะค่ะ"
ไม่ทันขาดคำปาร์คจุนจีและคณะเดินก็โผล่จากมุมเสา ผ่านหลังกรรัมภา หล่อนไม่รู้ตัว ไตรรัตน์เห็นจุนจี ก็ชี้นิ้วบอก แต่หล่อนไม่เข้าใจ แต่ก็หันไปมองข้างหลัง เป็นจังหวะที่จุนจีเดินผ่านหลังเธอพอดี
กรรัมภาตะลึง เสื้อสเวตเตอร์หลุดมือ หล่นพื้น ใบหน้าของหล่อนกับจุนจีใกล้กันมาก ศิลปินหนุ่มหันหน้ามาทางหล่อนแว่บหนึ่ง แต่ไม่ได้สนใจอะไร สุคนธรสกับไตรรัตน์ยกกล้องขึ้นเล็ง
จุนจีเดินผ่านกรรัมภาไป หล่อนช็อก ตาค้างไม่ได้หันตามปาร์คจุนจีไป สุคนธรสเตือน
"ยัยแก้ม ตามไปเร็ว ยัยแก้ม!"
หล่อนเป็นลมพับคาพื้นอย่างฉับพลันไปแล้ว

"ไอ้แก้ม" / "คุณแก้ม"

ญาณินกับติณห์เดินมาด้วยกันในบริเวณรีสอร์ต เขามีสีหน้าเครียด หล่อนมองเขาอย่างสงสาร แล้วกอดแขน ยิ้มทะเล้นให้

"ติณห์ อย่าเครียดสิคะ ชั้นไม่เป็นไรหรอก เรื่องที่คนเห็นชั้นเป็นตัวประหลาด พิลึก ไม่เชื่อ...ชั้นชินแล้วล่ะค่ะ"
"ที่รัก...คุณให้เวลามายมัมหน่อยนะ ผมจะพยายาม ค่อยๆปรับเปลี่ยนท่าน"
"ค่ะ แต่คุณจะทำยังไง ให้แม่คุณยอมรับความต้องการของคุณหลวง"
เขาคิดๆแล้วคิดได้
"ถ้าคุณทำให้มัมได้เห็นแกรนด์ปา หรือให้แกรนด์ปาติดต่อมัมได้"
" อุ๊ย..จะดีเหรอคะ"
"นั่นสิ มัมอาจจะหัวใจวายไป"
เขาจับมือหล่อน
"ทำไงดี คุณช่วยคิดหาทาง ให้มัมเชื่อเรื่องแกรนด์ปาหน่อยสิ"
"ค่ะ...ขอคิดหน่อยนะคะ"
เขากอดหล่อน โดยที่เขาไม่เห็นสีหน้าหล่อนว่า หนักใจเพียงใด

เวลาเดียวกัน หมอวรรธกับณัฐเดชกำลังว่ายน้ำแข่งกันอยู่ที่สระวายน้ำของสโมสรตำรวจ สองหนุ่มแหวกว่ายรวดเร็วปานฉลามหนุ่ม ที่ขอบสระ มีสายตาของใครบางคนมองสองหนุ่มที่ว่ายน้ำอยู่ ทั้งคู่แตะขอบสระพร้อมกัน
"ชั้นชนะ" ณัฐเดชบอก
"ผมสิชนะ" หมอวรรธบอกเช่นกัน
"ใครบอก...ชั้นต่างหาก"
"พี่รู้ได้ไง"
"ก็ชั้นเงยหน้าก่อนนาย"
"แต่ผมแตะขอบสระก่อน"
เสียงหนึ่งดังขึ้น
"คุณสองคนแตะขอบสระพร้อมกัน"
ทั้งสองเงยหน้าขึ้นมอง เห็นพงษ์อินทร์ในชุดเดินป่า ผมยาว หนวดเคราครึ้มยืนกอดอก ในมือถือหนังสือพิมพ์พับอยู่
ณัฐเดชกับหมอวรรธมองหน้ากันอย่างสงสัยว่า ใคร!!
"เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า" ณัฐเดชถาม
"คุณไม่รู้จักผม แต่ผมรู้จักสารวัตรกับหมอดี ผมพงษ์อินทร์ ณ เวียงทับ"

บริเวณริมขอบสระ ร.ต.อ.ณัฐเดชกับหมอวรรธใส่เสื้อคลุม พงษ์อินทร์ หรือ โจ้ กางแฟ้มทั้งหมด ที่เกี่ยวกับคดี ให้ณัฐเดชกับหมอวรรธดู
ในนั้นมีทั้งภาพพาดหัวข่าวอุบัติเหตุรถจมน้ำของพิมอร เอกสารต่างๆ ภาพถ่ายเยอะแยะ
"ผมอยากสืบเรื่องการเสียชีวิตของคุณพิมอร ณ เวียงทับ..พี่สาวผม เธอเพิ่งเสียไป..ยังไม่ทันถึงเดือนเลยครับ" พงษ์อินทร์บอก
ณัฐเดชกับหมอวรรธช่วยกันพลิกอ่านคร่าวๆ
"คดีนี้ตำรวจสรุปไปแล้วนี่ครับว่าเป็นอุบัติเหตุ" หมอวรรธบอก
"ผมเชื่อว่าไม่ใช่"
"ทำไมคุณคิดอย่างงั้น" ณัฐเดชถาม
"มีความผิดปกติหลายอย่าง ทั้งรถที่ใช้ และพฤติกรรมของพี่สาวผมในวันนั้น ที่ผมต้องสืบต่อ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่"
"คนเรา บางวันก็ลุกขึ้นทำอะไรแปลกๆ ที่ไม่เคยทำ แล้วก็ไปตาย" ณัฐเดชบอก
"พี่สาวผมรวยมากและเมื่อพี่สาวผมตาย ก็จะมีบางคนได้ประโยชน์ทั้งที่มันมาแต่ตัว แถมนอกใจพี่ผมตลอดเวลา"
"คุณกำลังสงสัย..พี่เขยคุณอยู่" หมอวรรธตั้งข้อสังเกต
"ผมต้องจ่ายเท่าไหร่ เพื่อลากคอมันมาเข้าคุกให้ได้ บอกมาได้เลย ผมยินดีจ่าย"
"นี่ ถ้าอยากให้ช่วย พูดจาให้ดีๆหน่อย ไม่งั้นก็ไปข้างหน้าเลยไป" ณัฐเดชบอก
พงษ์อินทร์อึ้งๆ ไปเมื่อเจอตอกกลับ
"ขอโทษๆสารวัตร ผม...ผมรู้สึกผิด ที่ทิ้งพี่สาวผมให้อยู่ลำพังกับมัน ผมก็เลย บางที ความคิดอ่าน อารมณ์ไม่ค่อยอยู่กะร่องกะรอย สารวัตรมีพี่สาวหรือน้องสาวที่รักมากๆไหมล่ะครับ สมมุติถ้าสารวัตรสูญเสียเค้าไป...สารวัตรจะ..."
ณัฐเดชตัดบท
"พอๆๆ ไม่ต้องสมมุติ ไม่อยากฟัง"
หมอวรรธถาม
"ก่อนจะกล่าวหาเขา คุณมีข้อมูลเพียงพอหรือยัง"
"ยัง"

ทั้งสามมองหน้ากันไปมา

ภายในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ณัฐเดชกับหมอวรรธเปลี่ยนเสื้อผ้าไปคุยกันไป

"เพี้ยนๆนะ พี่" หมอวรรธว่า
"คนแปลกๆมันเยอะ" ณัฐเดชบอก
"โอเค งั้นเราก็ปฏิเสธละกัน"
"เฮ้ย...อย่าสิ"
"อ้าว...ตกลงพี่เอาไงหนิ"
"เขามาหาเราจนเจอ แปลว่า เขาต้องมีความมุ่งมั่นในระดับนึง ที่สำคัญ เขาเชื่อในตัวเรา ว่าเราเก่ง"
"ที่แท้ พี่จะช่วยเขาเพราะบ้ายอ หลงตัวเอง ว่างั้น"
"ฉันเห็นใจคนรักพี่สาวน้องสาว"
"แต่คนที่รักพี่สาวน้องสาวมากไป ก็อาจทำให้จินตนาการเกินจริงไป จนหวาดระแวงคนอื่นไปหมดก็เป็นได้"
"อ้าว...พูดแบบนี้ แอบด่าชั้นนี่หว่า"
"เปล่าครับพี่ จริงๆ เขาอาจจะหวงสมบัติของพี่สาว อยากได้ไว้ซะเอง เลยอยากใส่ร้ายพี่เขย ก็เป็นได้นะครับ"
"หรือพี่เขยมันอาจจะชั่วจริงๆ...ก็เป็นได้เหมือนกัน"
"หรืออาจเป็นทั้งสอง"
"พอ...พอได้แล้ว ตกลงเมื่อกี้ชั้นว่ายชนะแกนะไอ้หมอ" 
"เฮ้ย...ผมชนะ"

บริเวณลานจอดรถ หน้าสโมสรตำรวจ กรรณากับเนตรสิตางศุ์ออกแรงดันรถโฟร์วีลเปื้อนโคลนเขรอะที่จอดขวางซองจอด ที่จอดอื่นๆ เต็มหมด สองสาวออกแรงกันหน้าเขียว แต่เข็นไม่ได้ เนื่องจากรถล็อกเกียร์
กรรณาโวยวาย
"โว้ย ! จอดขวางแล้วยังล็อกเกียร์อีก ไอ้พวกจระเข้ขวางคลอง เดี๋ยวแม่เจาะยางรถสั่งสอนซะเลย"
เนตรสิตางศุ์บอก
"ใจเย็นกรรณ ด่าไป เราก็จอดไม่ได้อยู่ดี"
"แต่เราได้ระบายอารมณ์"
กรรณานึกขึ้นได้ คว้าสมุดฉีกในกระเป๋า พร้อมปากกา ขึ้นมาเขียน
"กรรณทำอะไร"
"เขียนด่ามัน ชั้นให้เบอร์มันโทรกลับด้วย เผื่อมันอยากเคลียร์"
"อย่ามีเรื่องเลยกรรณ จอดตรงนี้ไม่ได้ก็ไปจอดที่อื่นก็ได้ อย่าเสียเวลาเลย พี่ณัฐกะคุหมอวรวรรธรอกินข้าวอยู่นะ"
"เฮ้อ นี่ดีนะ ที่ชั้นยอมรับว่า ปลากะพงทอดน้ำปลาที่คลับเฮ้าส์ที่นี่อร่อยมากมาย แต่ยังไงก็ขอด่าก่อนนะ"
"อย่ามีเรื่องเลยน่า เผื่อวันหลัง เราสองคนมาว่ายน้ำที่นี่ เดี๋ยวจะต้องมาทะเลาะกะคนอีก"
พงอินทร์เดินออกมาจากข้างใน เห็นและได้ยินกรรณาด่าพอดี เจ้าหล่อนไม่ยอมแพ้เอากระดาษเหน็บไว้กับที่ปัดน้ำฝน
"เราต้องไม่ปล่อยให้คนมักง่าย เห็นแก่ตัวลอยนวลอยู่ในสังคมนะเนตร"
"ดีครับ เราต้องบอกให้มันรู้ตัวว่าสิ่งที่มันทำ มันทุเรศ !" พงอินทร์ร่วงวง
กรรณาเตะป๊าบเข้าที่ล้อรถ
"ใช่ค่ะ อยากเจาะยางมันจริงๆ นี่แน่ะ"
"ผมช่วย คนที่ทำแบบนี้ได้ จิตมันต้องไม่ปกติ นี่แน่ะๆ" พงอินทร์เตะบ้าง
"โคลนเต็มรถขนาดนี้ มันต้องออกมาจากป่าดงดิบ ถึงไม่รู้มารยาทสังคม"
"ถูก!! ไอ้พวกป่าเถื่อน ไอ้อสรกุ๊ย"
"เจ๋ง...เป็นคำด่าที่เหมาะสมมาก"
"เรื่องด่านี่ ผมเก่ง ไอ้ไร้การศึกษา ไอ้ขาดการอบรม ไอ้คนรกโลก"
กรรณากับพงอินทร์ต่างหัวเราะชอบใจ แต่เขากลับหยิบกุญแจออกจากกระเป๋ากางเกง
"คุณจะจอดใช่ไหม เดี๋ยวผมจะช่วยเลื่อนรถให้แล้วกัน"
กรรณายังไม่รู้ตัว
"ประเทศไทยต้องมีคนมีน้ำใจแบบคุณนี่ สังคมถึงจะน่าอยู่ ไอ้เนตรไปเตรียมจอดรถสิ"
เนตรสิตางศุ์เดินไปขึ้นรถ
พงอินทร์กดรีโมตรถ ไฟกระพริบ เขาขึ้นรถคันนั้นไปนั่งหน้าตาเฉย สตาร์ทรถ กรรณาอ้าปากค้าง เขาขับรถออกไป หล่อนยังยังคงอ้าปากค้างอยู่ ยังไม่ทันที่เนตรสิตางศุ์จะเคลื่อนรถเข้ามาจอด พงอินทร์ถอยหลังมาจอด “เอี๊ยด” เข้าที่เดิม แล้วลดกระจก เอื้อมหยิบกระดาษของกรรณาที่หน้ากระจกเอามาขยำเป็นก้อน
"คงไม่ต้องโทร.ไปเคลียร์แล้วเนอะ"

พงอินทร์ปากระดาษลงถังขยะ แล้วขับรถออกไป กรรณาอ้าปากค้าง

 
อ่านต่อตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น