วิวาห์ป่าช้าแตก ตอนที่ 1
กลุ่มเมฆสีดำเคลื่อนตัวเข้าบดบังพระจันทร์คืนข้างแรมจนมืดมิด…เสียงนก กา ร้องกันระงมผิดธรรมชาติ ราวกับจะบ่งบอกถึงเหตุอาเพศร้ายแรง
กลางราวป่าแห่งหนึ่ง หมอผีในชุดขาวหน้าตาดูมีเมตตาและเป็นคนดี นั่งอยู่ในวงล้อมของสายสิญจน์พร้อมห้อย กับ โหน ลูกน้องสองคนที่นั่งอยู่ด้วย
ตรงหน้าเป็นหม้อดินลงยันต์และพันไว้ด้วยสายสิญจน์ หมอผีภาวนาคาถา ชาวบ้านที่อยากรู้อยากเห็น ต่างพากันหอบหิ้วพระ สายสิญจน์ใบหนาด ขันน้ำมนต์มาเพื่อป้องกันตัวยืนเรียงรายดูพิธีอยู่ ชาวบ้านหญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างกลัวๆ
“ล้างป่าช้าแบบนี้มันจะดีรึ ผีเขาก็อยู่ของเขาดีๆ ไปไล่เขา มันจะไม่ยิ่งเฮี้ยนเหรอวะ”
ชาวบ้านชายขัดขึ้น
“มันไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนล้างป่าช้าที่อื่น พ่อหมอคนนี้เขาไม่ได้มาไล่ผี แต่เขาจะมาปลดปล่อย”
ชาวบ้านชายอีกคนหวาดๆ
“ปลดปล่อยให้มันมาหักคอพวกเราน่ะสิ”
“ถ้าเอ็งไม่เชื่อก็กลับบ้านไป อย่ามาปากพล่อยให้พิธีเขาแตก” ชาวบ้านชายดุเพื่อน
ทันใดนั้น…นกแสกบินผ่านส่งเสียงร้องดัง ชาวบ้านกรีดร้อง ก้มหลบกันใหญ่ด้วยความกลัว ห้อย กับ โหนในสายสิญจน์สะดุ้งเฮือก ใจคอไม่ดี
“เอาสักทีไหมพ่อหมอ บรรยากาศมันชักจะยังไงๆ แล้วนา” ห้อยบอกอย่างกลัวๆ
โหนมองบรรยากาศรอบๆอย่างหวาดหวั่น
“นั่นสิ สงสัยผีมันจะรู้ตัวกันแล้วว่าเราจะมาล้างป่าช้า”
หมอผีไม่สนใจ ยังคงภาวนานิ่ง ขณะเดียวกันนั้น บนท้องฟ้า…เมฆดำเคลื่อนตัวเข้าบดบังพระจันทร์ไว้จนหมดสิ้น หมอผีค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“ถึงเวลาแล้ว”
ห้อยกับโหนพูดออกมาพร้อมกัน
“เอาแล้วๆ”
ห้อยหันไปจุดเทียนที่มุมด้ายซ้าย โหนหันไปจุดเทียนที่มุมด้านขวา ทั้งคู่กลับมานั่งพนมมือ พยายามสยบความกลัวในสีหน้า
“มากันแล้วรึพวกมึง” หมอผีคำราม
พวกชาวบ้านสะดุ้งโหยง เกาะกันเป็นกลุ่มๆ วิจารณ์เซ็งแซ่
“เฮ้ย มาแล้วๆ”
“ไหนวะ ไม่เห็นสักตัว”
“เงียบๆ สิ เดี๋ยวผีมันรู้ว่าพวกเราอยู่ที่นี่ด้วย”
“เจ้าประคู๊ณ อย่ามาหลอกอย่ามาหลอนกันเลย เพี้ยง”
หมอผีส่งกระแสจิตถึงเหล่าวิญญาณที่ทยอยปรากฏตัวขึ้นรอบๆ วิญญาณทุกตัวยังไม่ปรากฏร่างให้เห็นชัด เป็นเพียงหมอกควันที่ขึ้นรูปร่างคนเท่านั้น ประกอบไปด้วย ผีนักรบโบราณ มีดาบแทงทะลุกลางลำตัว...ผีนางทาส อยู่ในชุดโจงกระเบนกับผ้าแถบ ที่ด้านหลังมีรอยแผลจากการถูกเฆี่ยนจนตาย หน้ากระอักออกมาเป็นเลือด...ผีตายท้องกลม ผีสาวยุคปัจจุบัน ใส่ชุดคลุมท้อง ในมือมีตุ๊กตาที่เตรียมไว้ให้ลูก...ผีนางรำ อยู่ในชุดไทยฟ้อน ใส่เล็บทองยาวทุกนิ้ว มีเล็บทองเสียบทะลุคอ เลือดอาบไปทั้งตัว...ผีนักแสดงงิ้วชาย อยู่ในชุดจีน ในมือถือพัดจีบ...ผีทหารญี่ปุ่นอยู่ในชุดเครื่องแบบสมัยสงครามโลก มอมแมม เปื้อนเลือดไปทั้งตัว แขนขาด ลำตัวเต็มไปด้วยรอยรูกระสุน เลือดทะลักออกมาไม่หยุด หมอผีตวาดก้อง
“เขาว่าพวกมึงเฮี้ยนนักใช่ไหม หลอกหลอนคนเขาไปทั่ว พวกมึงรู้ไหมว่ามันบาป กรรมชั่วที่พวกมึงก่อไว้ ยิ่งจะฉุดจะรั้งพวกมึงไว้ ไม่ให้ไปผุดไปเกิด”
พวกชาวบ้านตัวสั่น ขนลุกกันไปหมด
“ในเมื่อพวกมึงมันเฮี้ยนนัก กูก็จะปราบมึง ดึงวิญญาณพวกมึงมาไว้ในหม้อยันต์นี้ ชาวบ้านเขาจะได้อยู่กันอย่างสงบสุขเสียที”
หมอผีเริ่มภาวนามนต์ดึงวิญญาณ เหล่าวิญญาณพากันตื่นตระหนกเมื่อเจอมนต์เป็นคลื่นพลังงานเหมือนหมอกควันสีดำ เหล่าวิญญาณถูกมนต์ล้อมตัวไว้และกระชากดึง…เหล่าผีพยายามต่อสู้ขัดขืน ฝืนรั้งตัวไว้แต่แล้วผีนางทาสก็เป็นรายแรกที่ถูกมนต์กระชากวิญญาณเข้าสู่หม้อยันต์ ผีขุนศึกโกรธแค้นหมอผีมาก
“มึงกล้าดียังไงมาจับพวกกู”
ผีขุนศึกพุ่งทะยานจะเข้ามาเงื้อดาบฟัน แต่ก็ถูกมนต์ดึงวิญญาณไปในที่สุด ผีนางรำโดนกระชากเป็นรายต่อไป ผีทหารญี่ปุ่นตวาดลั่น
“ไอ้ชั่วช้าสารเลว รังแกได้แม้กระทั่งวิญญาณ”
ผีทหารญี่ปุ่นจะเข้ามาทำลายพิธี ห้อยหยิบมีดหมอส่งให้หมอผีทันที
“พ่อหมอ รับไป”
หมอผีรับมีดมา แต่กลับแทงลงที่พื้นดินตรงหน้า วิญญาณผีทหารญี่ปุ่นถูกมนต์ดึงลงหม้อยันต์ไป ผีที่เหลือเริ่มหวาดกลัวต่อมนต์
“ทำไมพ่อหมอไม่ใช่มีดอาคมนั้นเล่า” ห้อยถามอย่างสงสัย
“พวกมันโดนทำร้ายมามากพอแล้ว กูไม่อยากทำร้ายมันอีก”
“แต่มันจะทำร้ายพ่อหมอนะ” โหนแย้ง
“มนต์กูฤทธิ์แรงนัก พวกมันสู้ไม่ได้หรอก”
กลุ่มชาวบ้านเริ่มใจชื้น
“ได้ยินไหม พ่อหมอเขาบอกว่าผีมันสู้อาคมเขาไม่ได้” ชาวบ้านคนหนึ่งดีใจ
“ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ จะได้นอนตาหลับกันซะที” ชาวบ้านอีกคนบอกอย่างโล่งใจ
ผีกี่เพ้า ผีทหารญี่ปุ่น ผีนักโทษประหาร ถูกดึงวิญญาณลงหม้อยันต์จนหมดสิ้น โหนรีบส่งผ้ายันต์ให้…หมอผีรับไปแล้วคลุมปากหม้อไว้ ก่อนจะร่ายมนต์ปิดหม้อ
“โอม…นะจะวัง เอมันตัง สุตะเร กูจะกัก กูจะขัง กูจะรั้งพวกมึงไว้ มึงจงอยู่ มึงจงฟัง กูจะฝังมึงลงดิน ให้มึงสะ ให้มึงสิ้น ให้วิญญาณมึงสลาย ให้มึงตายแล้วรู้ตาย อย่าได้หมายทำร้ายคน”
จบคาถา หมอผีกรีดเลือดที่แขนของตัวเองให้หยดลงบนยันต์ที่ปากหม้อ
“เลือดเป็นจงล้างเลือดตาย”
แสงวาบขึ้นที่ยันต์ปิดหม้อก่อนจะค่อยๆ สลายลง…หมอผีถอนใจด้วยความโล่งอก
“เสร็จพิธีแล้วใช่ไหมพ่อหมอ” ห้อยถาม
หมอผีพยักหน้ารับ
“ไอ้ห้อย ไอ้โหน มึงเอาหม้อใบนี้ไปฝังให้ไกลหูไกลตาคน กูจะฝากวิญญาณมันไว้กับแม่พระธรณี”
ในป่าหญ้าลึกเข้าไป...โหนวิ่งนำหน้ามาหยุดอยู่ที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง หันไปเรียกห้อยที่อุ้มหม้อตามหลังมา
“ที่นี่แหละ เหมาะเหม็งนัก เร็วเข้าสิวะ ฝังเลย”
โหนกับห้อยช่วยกันขุดหลุมฝังหม้อลงหลุมเอาดินกลบ
70 ปีต่อมา…ต้นไม้ตรงที่ฝังหม้อไว้กลายเป็นตันไม้ตายซากและอยู่ตรงหน้าบ้านหลังหนึ่ง สภาพรกร้าง ไม้เลื้อยปกคลุมไปทั่ว บรรยากาศมืดครึ้ม สุดวังเวง สนามหน้าบ้าน มีอีกา 2 - 3 ตัว จิกซากสัตว์ จำพวกหนู แต่เละจนไม่รู้สภาพ บริเวณ รั้วหน้าบ้าน ท้องฟ้ายังมืด
หลวงพ่อนำขบวนพระที่เดินผ่านมาบิณฑบาต เมื่อมาถึงหน้าบ้านก็ก้มหน้าก้มตาเดินด้วยความหวาดๆ แต่ก็ยังพยายามสำรวมอยู่ ทันใดนั้น เสียงอีการ้องดังขึ้น หลวงพ่อและพระลูกวัดชะงัก อีกาบินตัดหน้า ออกมาจากในบ้าน หลวงพ่อและเหล่าพระตกใจ รีบก้มหน้างุดๆ ก้าวเท้าอย่างเร็ว เด็กวัดที่อยู่ท้ายขบวนวิ่งขึ้นหน้าไปอยู่หัวแถว พระรีบสาวเท้าเร็วขึ้น เลี้ยวมุมหายลับไป
เมื่อกลับถึงวัด...สนธยาเด็กวัดหนุ่มรูปหล่อ รินชาส่งให้ หลวงพ่อที่หอบอยู่
“เช้านี้บิณฑบาตไกลหรือครับหลวงพ่อ”
หลวงพ่อรับชามาดื่ม ตอบอย่างไว้เชิง
“ก็ทางเดิมนั่นแหละ”
“กลับมาแล้วเหนื่อยทุกวันแบบนี้ ผมว่าหลวงพ่อเปลี่ยนเส้นทาง บิณฑบาตไหมครับ”
“ไม่ได้หรอก ญาติโยมเขารอใส่บาตรอยู่ จะไปเปลี่ยนได้ยังไง...เออ สายป่านนี้แล้ว เอ็งไม่ไปเรียนหนังสืออีกเรอะ”
“โธ่...หลวงพ่อครับ หลวงพ่อลืมแล้วล่ะสิเนี่ย ผมเรียนจบแล้วครับ เพิ่งสอบเสร็จไปเมื่อวานนี้ไงครับ”
“เออ ข้าลืมไป เอ็งเรียนจบแล้ว ยังงี้ก็ต้องหางานทำสินะหรือเอ็งจะคิดอยู่วัด เป็นเด็กวัดไปจนแก่”
“ผมก็ต้องหางานทำสิครับหลวงพ่อ ที่ผมยังอยู่วัดเนี่ยก็เพราะผมอยากอยู่รับใช้หลวงพ่อ ตอบแทนหลวงพ่อที่มีพระคุณกับผมต่างหากล่ะครับ”
“เอาเถอะ บุญคุณที่ให้เอ็งอยู่วัดมาตั้งแต่เอ็งเป็นกำพร้ามันจบสิ้นลงแล้ว เอ็งชดใช้ให้วัดมากจนล้นเหลือแล้ว ต่อไปนี้ถึงเวลาที่เอ็งจะต้องออกไปเริ่มต้นต่อสู้ชีวิตให้มันสมกับที่ข้าเคี่ยวเข็ญให้เอ็งท่องตำรามาตั้งแต่เล็กน้อย”
“ครับหลวงพ่อ ผมจะไม่ทำให้หลวงพ่อผิดหวังแน่นอนครับ ผมจะหางานทำสร้างชีวิต จะลำบากแค่ไหน ผมก็จะไม่ยอมแพ้ เพราะเป้าหมายในชีวิตผม สูงส่งนัก ผมจะต้องคว้ามาให้ได้”
“เป้าหมายอะไรของเอ็งวะที่ว่าสูงส่งนัก”
“เป้าหมายของหมาวัด ก็ต้องดอกฟ้าสิครับหลวงพ่อ”
หลวงพ่องงๆ
“ดอกฟ้า...ดอกฟ้าที่ไหนของเอ็งวะ”
พิมพ์ดาว สาวสวยลูกสาวเศรษฐี ซึ่งเป็นคนรักของสนธยา จัดดอกไม้อยู่ในห้องรับแขก คุยกับฤดี ผู้เป็นแม่ไปด้วย
“หนูบอกคุณแม่แล้วไงคะว่าหนูยังไม่อยากเรียนต่อ หนูอยากหางานทำมากกว่า”
ฤดีโวยใส่
“ได้ยังไง สมัยนี้อย่างน้อยมันก็จบปริญญาโท จะอเมริกาหรืออังกฤษก็เลือกมาสักที่หนึ่ง แม่มีปัญญาส่ง”
“ก็เพราะเหตุนี้ไงคะ ที่ทำให้หนูไม่อยากเรียนต่อ”
“ทำไม...ฉันไม่เข้าใจจริงๆ แกคิดอะไรของแกอยู่”
“หนูไม่อยากเป็นเด็กที่ต้องคอยให้แม่ช่วยไปซะหมดทุกอย่าง หนูอยากรับผิดชอบชีวิตหนูเองบ้าง”
“รับผิดชอบ เฮอะ...อย่างแกจะไปรับผิดชอบอะไรได้”
“หนูจะพิสูจน์ให้คุณแม่เห็นว่าหนูทำได้ ถ้าหนูจะไปเรียนต่อ หนูจะไปด้วยเงินที่หนูหามาได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่เงินคุณแม่”
พิมพ์ดาวลุกขึ้นไปแล้วเดินออกจากห้องไป
“เฮอะ...ทำเป็นอวดดี ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคุณหนูอย่างแกจะไปมีปัญหาทำงานทำการอะไรได้” ฤดีมองตามลูกสาวอย่างไม่พอใจ
สนธยาผุดลุกผุดนั่งกระวนกระวายรออยู่ที่ริมน้ำ สักครู่พิมพ์ดาวมาถึง
“สนธยา”
สนธยายิ้มกว้าง
“คุณดาว”
สนธยายื่นดอกบัวให้
“สำหรับคุณดาวครับ”
“ดอกบัวอีกแล้ว ขโมยของวัดมันบาปนะ”
“ไม่ได้ขโมยหรอกครับ พอดีว่าวันนี้ผมเปลี่ยนแจกัน เอาดอกใหม่ใส่ ส่วนดอกเก่า จะทิ้งก็เสียดาย ยังสวยอยู่เลย”
“ก็เลยเอามาให้แฟน”
“เอ่อ...คือ” สนธยาหัวเราะกลบเกลื่อน “ก็คุณสวยเหมือนดอกบัวนี่ครับ ทั้งหอม ทั้งบริสุทธิ์”
สนธยาสังเกตเห็นว่าดาวหน้าเครียดๆ
“มีอะไรรึเปล่าครับ ทำไมคุณดูเครียดๆ”
“มีเรื่องกับคุณแม่นิดหน่อยน่ะ เฮ่อ...ฉันเบื่อกับการเป็นลูกแหง่จะแย่อยู่แล้ว ชีวิตทั้งชีวิตถูกคุณแม่คอยควบคุมมาตลอด ไอ้ชีวิตคุณหนูแบบนี้ คนอื่นเขาอาจจะชอบนะแต่ฉันไม่ชอบ ฉันอยากเป็นอิสระ อยากเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องตกอยู่ใต้ใคร อยากทำอะไรก็ได้ทำ อยากรักใครก็ได้รัก”
สนธยาหน้าหมองลง
“ขอโทษครับที่ผมไม่ดีพอ”
“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นซะหน่อย ฉันก็แค่เบื่อที่ต้องปิดบังเรื่องของเรา”
“ที่ผมขอให้คุณปิดบังไว้ก็เพราะเป็นห่วงคุณนะครับ ตอนนี้ผมมันก็แค่เด็กวัด จะมีน้ำหน้าอะไรไปรักคุณได้ แต่ผมเรียนจบแล้ว แล้วผมก็ตั้งใจว่าจะทำงาน สร้างอนาคต สร้างชีวิตใหม่ให้มันคู่ควรที่จะเป็นคนรักของคุณให้ได้ จริงๆ นะครับ ไม่ว่าจะยาก จะมีอุปสรรคมากแค่ไหน ผมก็จะทำให้สำเร็จ” สนธยาจับมือพิมพ์ดาวขึ้นมา “สัญญานะครับว่าคุณจะรอผม”
“ฉันสัญญา”
ในศาลาการเปรียญยามค่ำคืน สนธยาเปิดหนังสือพิมพ์ หางานทำ เขาอ่านด้วยความสนใจ
“รับสมัครพนักงานฝ่ายจัดการ วุฒิปริญญาโท...เรามันแค่ปริญญาตรี...รับสมัครผู้จัดการร้านอาหาร เอ้อ อันนี้น่าสนใจ” สนธยาเขียนวงกลมไว้ “รับสมัครผู้ช่วยแม่บ้าน…รับสมัครผู้จัดการสวนยาง อืม…อันนี้สงสัยจะไม่ไหว”
พิมพ์ดาว ใช้คอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ค หางาน
“เลขา เงินเดือนแปดพัน” ส่ายหัว อ่านต่อ “แม่บ้าน...โอเปอเรเตอร์ เฮ้อ...เงินเดือนก็ไม่พอค่าน้ำมัน
แล้ว...จะไหวมั้ยเนี่ย”
พิมพ์ดาวฮึดสู้ หาข้อมูลต่อ
สนธยายังง่วนอยู่กับการเปิดหนังสือพิมพ์หางาน
“อันนี้ก็ไม่ใช่…อันนี้ก็ไม่ได้…เฮ่ย”
ทันใดนั้นเงาวูบไหวแวบเข้ามา…สนธยาเห็นทางหางตา เงยหน้าขึ้นมองก็ไม่เห็นใครไม่สนใจ ก้มหน้าดูหนังสือพิมพ์อีก…เงาวูบผ่านมาด้านหน้าอีกครั้ง
สนธยาเงยหน้าขึ้น
“ใคร”
ไม่มีใคร สนธยาเริ่มสงสัย สายตาเหลือบไปที่ประตูทางเข้าที่แง้มไว้ เห็นร่างเด็กผู้หญิงในชุดนอนขาวมองเข้ามา
“เด็กที่ไหนน่ะ”
สนธยารีบลุกไปดู…เด็กผู้หญิงหันหลังวิ่งหนีไป เขารีบตาม
“นี่หนูเป็นใคร เข้ามาได้ไง”
เด็กไม่ตอบ วิ่งห่างออกไป
“เดี๋ยวสิ หนูๆ”
สนธยาตามเด็กไป...
“เดี๋ยวสิหนู...หนู รอฉันด้วย”
เด็กผู้หญิงวิ่งตรงไปที่บันไดทางขึ้นเมรุ สนธยาชี้ตะโกนเรียก
“หนู นั่นเมรุเผาศพ ขึ้นไปไม่ได้”
เด็กผู้หญิงหันกลับมา
“ลงมานะ”
หัวของเด็กผู้หญิงหลุดตกลงไปในเมรุ สนธยาตะลึง ร่างของเด็กผู้หญิงค่อยๆ เลือนหายไป สนธยาร้องลั่น
“ผีหลอก”
สนธยาสะดุ้งตื่นขึ้นมาหน้าตาตื่นก่อนจะค่อยๆ ตั้งสติ
“ฝันไปหรอกเหรอ…เหมือนจริงชะมัด”
ทันใดนั้นเงาก็แว่บเข้ามาตรงหน้า
“เฮ้ย...ไม่ได้ฝันนี่” สนธยาหลับตาปี๋
โข่งซึ่งเป็นเด็กวัดเข้ามาถาม
“ตกใจอะไรพี่สน ฉันไม่ใช่ผีนะ”
สนธยาค่อยๆ ลืมตาขึ้นเห็นว่าเป็นโข่งก็โล่งใจ
“อ้าว...ไอ้บ้า มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง ตกใจหมด แล้วทำไมยังไม่นอน มีอะไร”
“โข่งจะมาบอกพี่สนว่า พรุ่งนี้ไปช่วยหลวงพ่อบิณฑบาตแทน โข่งหน่อยเหอะนะ”
“ทำไมล่ะ ทำไมต้องให้ไปแทนด้วย ขี้เกียจรึไง”
“ไม่ได้ขี้เกียจ แต่มันกลัวนี่”
“กลัวอะไรของแก”
“ก็กลัวบ้านผีสิงน่ะสิ”
“ผงผีมีจริงที่ไหนกัน มีก็แค่ในฝันเท่านั้นแหละ”
“ถ้าพี่ไม่กลัว พี่ก็ไปแทนหน่อยสิ นะๆ ไหว้ล่ะ” โข่งยกมือไหว้
สนธยาตัดบท
“เออๆ ได้”
“ขอบคุณคร้าบ ขอให้หางานได้น่ะพี่ ไปล่ะนะ”
โข่งลั้นลาออกไปทันที…สนธยามองตามไปแล้วส่ายหน้าระอาใจกับโข่ง
“ขี้เกียจตื่นเช้าล่ะสิไอ้โข่งเอ้ย”
เช้าวันใหม่...ขบวนพระเลี้ยวผ่านมุม มาถึงหน้าบ้าน พิมพ์ดาวกับแม่กำลังรอตักบาตรอย่างแช่มชื่น
“เอ้ามาแล้วๆ ยายดาว พระมาโน่นแล้ว เตรียมขันข้าวให้พร้อมสิ”
“ค่ะคุณแม่”
พิมพ์ดาวคว้าขันข้าวมาอุ้มไว้ชะเง้อมองเลยพระไปเรื่อยๆ จนสุดขบวนเจอเข้ากับหน้าของสนธยาที่กำลังชะเง้อมาเหมือนกัน พิมพ์ดาวอมยิ้มทันที
“นิมนต์ค่ะหลวงพ่อ” ฤดีหันไปมองลูกสาว เห็นว่ายิ้มไม่เลิก “เอ้า...มัวแต่ยืนยิ้มอยู่นั่นแหละ ยิ้มให้ใคร”
“เอ่อ...ยิ้ม...ยิ้มให้หลวงพ่อน่ะค่ะ”
“จะบ้าเหรอ ยิ้มให้พระมันบาปรู้ไหม หุบยิ้ม”
พิมพ์ดาวรีบหุบยิ้ม ก้มหน้างุดๆ ค่อยๆ บรรจงตักบาตรด้วยสีหน้านิ่งๆ สนธยาแอบมองพิมพ์ดาวตลอดเวลา...เมื่อสองแม่ลูกใส่บาตรเสร็จขบวนพระก็เดินออกไป…ฤดีมองตามหลังสนธยาไปอย่างไม่พอใจ
“เกลียดน้ำหน้าจริงๆ เลย”
“อ้าว...คุณแม่ ไปเกลียดพระทำไมล่ะคะ บาปนะคะ”
“ไม่ได้เกลียดพระ เกลียดไอ้เด็กวัดที่เดินตามหลังพระอยู่นั่นไง”
“แล้วไปเกลียดเขาทำไมล่ะคะคุณแม่”
“ไม่ชอบท่าทางของมันน่ะสิ ตางี้ให้หลุกหลิกๆ ดูไม่น่าไว้ใจน่ารังเกียจ ต่ำ”
พิมพ์ดาวอึ้งไปเลย ฤดีด่าเสร็จก็เดินเข้าบ้านไป
พิมพ์ดาวถอนใจเฮือกใหญ่ ด้วยความหนักใจ
อ่านต่อหน้า 2
วิวาห์ป่าช้าแตก ตอนที่ 1 (ต่อ)
หลวงพ่อเดินบิณฑบาตผ่านมาถึงหน้าตลาด…ทันใดนั้นเจนนี่ก็โผล่พรวดมาดักหน้า
“นิมนต์ค่ะหลวงพ่อ” เจนนี่รีบนั่งลง
สนธยาเหลือบตามองเจนนี่ที่กำลังตักบาตร…เจนนี่ตักบาตรเสร็จ หลวงพ่อจะเดินไปแต่เธอรีบเรียกไว้
“ขอพรด้วยค่ะหลวงพ่อ ขอให้หนูเฮงๆ งานเข้าตลอด คิดจะขายอะไรก็ขอให้ขายได้ กิจการเจริญก้าวหน้า ไม่มีอุปสรรค ไม่มีอับโชค ขอให้มีแต่โชคดีๆ มีงานเข้าตลอดจนเจ้าอื่นวอดวาย เพราะสู้หนูไม่ได้ ขอให้…”
สนธยทนไม่ไหวขัดขึ้น
“โอ๊ยคุณครับ ใส่บาตรแค่นมกล่องเดียว จะขออะไรนักหนา”
เจนนี่ลุกขึ้นทันที
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแกด้วย ไอ้เด็กวัด”
“เกี่ยวสิครับ ในเมื่อคุณกำลังทำให้หลวงพ่อเสียเวลา ชาวบ้านคนอื่นเขาต้องรอก็เพราะคุณ”
“แล้วทีแกล่ะ โตเป็นควายแล้วยังจะเกาะวัดกินอีก”
สนธยาโดนแทงใจดำฉุนกึก
“หยุดพูดไปเลยนะคุณ”
“ทำไมจะพูดไม่ได้ ทีนายยังด่าฉอดๆ”
หลวงพ่อห้ามทัพ
“เอาเถอะๆ พอเถอะโยม อย่าทะเลาะกันเลย เดี๋ยวบุญจะหนีหมด เหลือแต่บาป” หลวงพ่อพยักหน้าให้พระอื่นตามไป
หลวงพ่อเดินนำขบวนไป…สนธยายังคงหันมามองเจนนี่อย่างไม่ชอบขี้หน้า เจนนี่มองตามไม่พอใจเช่นกัน
“ไอ้เด็กวัดบ้าเอ้ย...ดูซิ เลยอดได้พรเลย ฮึ่ย” เจนนี่พนมมือ “เจ้าประคู้ณ ขอให้วันนี้เฮงๆด้วยเถอะ ตกยากจนจะกินอากาศแทนข้าวอยู่แล้วเนี่ย”
เจนนี่เจราจาขายห้องในคอนโด ให้ลูกค้าชาย - หญิง คู่หนึ่ง
“42 ตารางเมตร สองห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ หนึ่งห้องรับแขก แล้วก็ห้องครัวสไตล์ยุโรปครบวงจร ราคานี้หาที่ไหนไม่ได้แล้วนะคะ”
ฝ่ายชายมองๆ
“ไหนล่ะสองห้องนอน เห็นแค่ห้องเดียวเอง”
“อ๋อ ก็นี่ไงคะ” เจนนี่ชี้ตรงบริเวณที่ยืนกันอยู่
ฝ่ายหญิงงงๆ
“อ้าว...ก็นี่มันห้องรับแขกไม่ใช่เหรอ”
“แล้วแต่ค่ะ อยากทำเป็นห้องรับแขกหรือห้องนอนก็ได้ทั้งนั้นแหละค่ะ”
“อ้าว...ถ้าทำเป็นห้องนอน ก็ไม่มีห้องรับแขกน่ะสิ” ฝ่ายชายแย้ง
“มีสิคะ ก็กั้นข้างหน้านิดหนึ่ง ใส่ชุดโซฟาสวยๆ เข้าไป แค่นี้ก็เป็นห้องรับแขกแล้ว” เจนนี่แนะนำ
ฝ่ายชายขัดขึ้นอีก
“จะได้ยังไง ห้องเล็กแค่นี้ กั้นอีก จะอยู่ได้ยังไง”
“ไม่ได้หมายถึงคุณสองคนอยู่นี่คะ ห้องนอนที่ว่าเนี่ย เป็นห้องเด็ก ก็ห้องลูกคุณสองคนในอนาคตยังไงล่ะคะ ตอนนี้ยังไม่มีก็เป็นห้องรับแขกไปก่อน พอมีลูกก็เปลี่ยนเป็นห้องรับแขก เจาะประตูให้ทะลุถึงกันได้หมด โอ๊ย แค่นี้ ลูกๆ ของคุณก็จะได้อยู่ในสายตาตลอดเวลา แถมยังทำให้อากาศถ่ายเททั่วถึงไปทั้งพื้นที่ โห...ไม่อยากจะเชื่อเลยนะคะ เหมือนกับว่าห้องนี่เขาเตรียมไว้ให้พวกคุณเป็นเจ้าของยังไงยังงั้นเลยล่ะค่ะ” เจนนี่แถไปจนได้
ชาย หญิงต่างพากันอึ้ง
“ตกลงซื้อนะคะ” เจนนี่อ้อน
เจนนี่บ่นอุบอิบ ขณะที่ล้วงหากุญแจห้อง
“กินแห้วอีกตามเคย พูดปากจะฉีกถึงหูอยู่แล้วยังไม่ซื้ออีก เฮ่อ...แล้วจะเอาอะไรกินกันล่ะเนี่ย”
เจนนี่เดินมาถึงหน้าห้อง พบข้าวของถูกเอามาวางไว้
“ฮึ่ย...เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทำไมข้าวของฉันมันถึงออกมาอยู่ข้างนอกหมดล่ะ”
“ก็เพราะลื้อโดนไล่ที่น่ะสิอาหมวย” เสียงเจ้าของห้องดังขึ้น
เจนนี่หันขวับกลับไปมอง
“เฮีย”
“เจอตัวก็ดีแล้ว จ่ายมาซะดีๆ สามเดือนเข้าไปแล้ว ถ้าลื้อคิดจะอยู่ฟรี ไปอยู่วัดโน่น ไม่ใช่ที่นี่”
“แหม เฮียก็ ขอผลัดไปก่อนนะ คือว่า...คือว่าฉันเพิ่งได้งานน่ะ เงินเดือนตั้งเกือบแสนเลยนะ สิ้นเดือนปุ๊บ ได้เงินเดือนปั๊บ ฉันจะรีบมาเคลียร์ให้เฮียเลยนะ”
“ไม่เชื่อเว้ย น้ำหน้าอย่างลื้อเชื่อถือไม่ได้ พูดแบบนี้มา กี่เดือนแล้ว โกหกมุขเดิมๆ ไม่เบื่อรึไงวะ”
“ไม่ได้โกหกนะเฮีย เรื่องจริง”
“อั๊วไม่เชื่อ ถ้าลื้อไม่จ่าย อั๊วจะแจ้งความ ให้ตำรวจมาลากลื้อเข้าคุก”
“อย่านะเฮีย”
เจนนี่พยายามห้ามไม่ให้เฮียกดมือถือได้
“ลื้อจะห้ามทำไม ในคุกเขาให้นอนฟรี ไม่มีค่าเช่า เหมาะกับลื้อแล้ว”
“เฮียอย่า เฮียฟังฉันก่อน”
เฮียไม่สนใจกดโทรศัพท์หาตำรวจ
“ฮัลโหล”
เจนนี่หน้าตื่น
“เว้ย...เอาไงดีวะ...เผ่นก่อนแล้วกัน”
เจนนี่วิ่งออกไปทันที เฮียตกใจ
“เฮ้ย...ลื้อจะหนีไปไหน อาหมวย กลับมาก่อน จะหนีหนี้เหรอ อาหมวย”
บริเวณแคมป์คนงานในที่ๆ กำลังซ่อมแซมบ้านอยู่...สนิทกำลังทะเลาะกับเจ้าของบ้าน
“แค่ซ่อมนิดซ่อมหน่อยทำไมมันแพงขนาดนี้ ราคานี้มันปลูกบ้านได้ทั้งหลังแล้วนะ” เจ้าของบ้านโวย
“เอ๋า...นี่ก็พูดแบบคนไม่รู้งานไง ไม่ได้พูดแบบช่างเขาพูดกัน”
เจ้าของงงๆ
“ยังไง”
“บอกว่าหลังคารั่ว แล้วจะให้ปีนบ้านขึ้นไปซ่อมรึไง มันก็ต้องมีนั่งร้านขึ้นไป ต้องก่อ ต้องสร้างกันขึ้นมา แล้วพอไปถึงไอ้ที่ว่ารั่วนิดเดียว โอ้โห รั่วซะทั้งจั่ว รื้อกันไปสิ ไหนจะรื้อ ไหนจะอุดรูรั่ว ไหนจะปูกระเบื้องใหม่ ไหนจะต้องยาแนวกันน้ำ แล้วมันถูกซะที่ไหนเล่าไอ้ของที่เอามาทำนะ”
เจ้าของทำหน้าเซ็ง สนิทโม้ต่อ
“นี่แค่หลังคานะ ยังไม่รวมไปถึงฝ้า เออ...ไอ้เราก็หวังดีเนาะ หลังคารั่ว ฝนมันก็ซึมลงไปถึงฝ้า ไอ้เราก็คิดเผื่อให้ ถ้ามันลงมาถึงพื้นล่ะ เอ้า พื้นไม้อีก เดี๋ยวมันก็ผุกันหมดพอดี ก็เลยเปลี่ยนพื้นให้ นี่คิดแต่ค่าอุปกรณ์น่ะค่าแรงไม่ได้คิด ไหนจะท่อตัน ท่อแตก โถส้วมทรุด หน้าต่างฝืด ประตูตก บันไดผุ โอ๊ย สารพัดอ่ะ”
“แล้วใครใช้ทำ”
“เอ้า...พูดงี้หาว่าเสือก...เวร เอ้ย น้ำจิตน้ำใจคนกรุงเทพ มันไม่มีเหลือกันแล้วจริงๆ ไอ้ช่างบ้านนอกอย่างเรามันไม่รู้”
“นี่น่ะเหรอน้ำใจ” เจ้าของบ้านยื่นใบเสร็จให้ดู “น้ำใจเป็นแสนๆ เนี่ยเหรอ”
“จะเรียกอะไรก็ช่างเถอะ ตกลงจะจ่ายไม่จ่าย ถ้าไม่จ่ายแจ้งความนะ”
“ไม่ต้อง ไม่ต้องแจ้ง แจ้งให้แล้ว”
ทันใดนั้นเสียงเมียเจ้าของบ้านดังขึ้น
“ทางนี้เลยค่ะคุณตำรวจ”
สนิทชะงัก
“ฮะ...ตำรวจ...ตำรวจมาทำไม”
เจ้าของบ้านจ้องหน้า
“ก็มาจับแกน่ะสิ ไอ้ช่างหัวหมอ ไอ้ขี้โกง คิดจะหลอกฟันราคากันง่ายๆ งั้นเหรอ ฝันไปเถอะ...อยู่ทางนี้ครับคุณ ตำรวจ”
สนิทคิดๆมองซ้ายมองขวา ว่าเอาไงดีก่อนตัดสินใจชี้ไปมั่วๆ
“เฮ้ย คานหัก”
สนิทชี้ขึ้นข้างบน เจ้าของบ้านเผลอมองตาม สนิทฉวยจังหวะนั้นเผ่นแนบออกประตูหลังไป
“เอ้า เฮ้ย”
เมียเจ้าของบ้านพาตำรวจเข้ามาถึงพอดี ชี้ไปโดยไม่มอง
“นั่นเลยค่ะ จับมันเลยค่ะ”
ตำรวจเข้าไปชาร์จเจ้าของบ้านผู้เป็นสามีทันที
“เฮ้ย...จะทำอะไรผม”
เมียหันไปมองก็สะดุ้งตกใจ
“ว้าย ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่คนนี้ค่ะ คนนี้ผัวหนู”
ตำรวจงงๆ
“เอ้า...ยังไงเนี่ย”
“แล้วไอ้ช่างขี้โกงล่ะ มันอยู่ไหน” เมียถามอย่างสงสัย
“มันหนีไปแล้ว ไปทางโน่น” เจ้าของบ้านชี้ไป
ตำรวจรีบตามไปทันที เจ้าของบ้านทั้งคู่รีบตามตำรวจไป บรรยากาศอลวนวุ่นวายกันไปหมด
เจนนี่มาหยุดที่หน้ารั้วบ้านบำรุงน้าชายของเธอ เมื่อกดกริ่งเรียก เสียงโฉมฉาย น้าสะใภ้ตะโกนดังออกมา
“ไม่ซื้อๆ ไม่ต้องมาขายอะไร มีหมดแล้ว ไม่ซื้ออะไรทั้งนั้น”
เจนนี่ถอนใจ
“ฉันเอง น้าโฉม เปิดประตูหน่อย”
เจนนี่ยืนรอสักพัก...เสียงประตูแง้มออกนิดๆ โฉมฉายโผล่หน้าออกมา
“ฮะ...นังเจนนี่...นังเจนนี่จริงๆ ด้วย มาทำไมวะ”
โฉมฉายวี๊ดเสียงดัง เมื่อทราบความจำนงของเจนนี่
“อะไรนะ จะมาขออาศัยอยู่ด้วย”
“ก็เออน่ะสิ หลานมันบอกว่าเบื่ออยู่อพาร์ตเม้น มีแต่ห้องแคบๆ หายใจหายคอไม่ออก มันเลยจะมาขอเปลี่ยนบรรยากาศ” บำรุงหันมาหาเจนนี่ “ใช่ไหมล่ะ”
เจนนี่พยักหน้ารับคำ
“จ้ะ...น้า”
“เอ้า...งั้นก็เอาข้าวของไปเก็บสิไป ไปดูห้องหับด้วยว่าถูกใจไหม”
เจนนี่ชะงัก
“ข้าวของ...เอ่อ...คือ คือฉันไม่ได้เอาอะไรมาน่ะจ้ะ”
บำรุงพยักหน้าเข้าใจ
“อ้อ...กะมาอยู่ไม่นานรึไง ไม่เป็นไรๆ มาหาใช้เอาที่นี่ ขาดเหลืออะไรก็ค่อยกลับไปเอา ไปๆ ไปดูห้อง”
โฉมฉายขัดขึ้น
“เดี๋ยวก่อน”
“อะไรของแกวะ ล่อซะเสียงดัง”
โฉมฉายมองหน้าเจนนี่
“ใครอนุญาตให้อยู่ยะ ฉันยังไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ อย่ามามั่ว”
“ก็ฉันเอ่ยแทนแล้วไง” บำรุงบอก
“ไม่ได้” โฉมฉายเสียงเข้มมาก
“ไอ้เจนนี่มันหลานฉัน ทำไมมันจะอยู่บ้านฉันไม่ได้”
“ถึงจะเป็นหลานก็เถอะ จะมาอยู่กันฟรีๆ ได้ยังไง ข้าวของสมัยนี้มันแพงหูดับ จะมากินมาใช้ฟรีๆ น่ะ ไม่ได้เด็ดขาด ยังไงก็ต้องจ่ายค่าเช่า”
บำรุงชักโมโห
“มันจะมากไปแล้วนะ ค่าเช่าบ้าบออะไรของแก”
“ไม่รู้ล่ะ ยังไงก็ต้องคิด ห้ามอยู่ฟรี ไม่งั้นก็ไปอยู่ที่อื่นๆ”
บำรุงโกรธ
“ถ้าแกไล่มัน ฉันก็จะไปด้วย”
โฉมฉายอึ้งไปเลย บำรุงจ้องหน้าเมีย
“ให้มันรู้ไปสิว่าหลานคนเดียว ฉันจะช่วยมันไม่ได้”
โฉมฉายหน้าหงิก อิดออดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจพูดขึ้น
“เออๆ ไม่ต้องเช่าก็ได้ แต่ต้องทำงานแลกค่าเช่า”
“แกจะให้มันทำอะไรวะ” บำรุงถามอย่างสงสัย
“ก็ไอ้บ้านหลังนั้นไง บ้านมรดกที่ฉันได้มาแล้วกะจะขายน่ะ ลงโฆษณาขายก็แล้ว ประกาศก็แล้ว ไม่เห็นมีใครมาซื้อเลย” โฉมฉายมองหน้าเจนนี่ “ถ้าแกอยากอยู่ที่นี่ก็ต้องขายบ้านหลังนั้นให้ฉันให้ได้ ถือว่าแทนค่าเช่า ถนัดอยู่แล้วนี่งานขายน่ะ”
“ได้ ฉันจะขายให้ มันจะยากสักแค่ไหนเชียว กะอีแค่บ้านหลังเดียว ขายไม่ได้ให้มันรู้ไป” เจนนี่บอกอย่างมุ่งมั่น
หน้าพระประธานบนศาลาการเปรียญ สนธยายกมือพนมหน้าตาแน่วนิ่งเอาจริงเอาจัง
“หลวงพ่อครับ ผมอยู่รับใช้หลวงพ่อมาก็นานมากแล้ว ไม่เคยรบกวนบนบานร้องขออะไรจากหลวงพ่อเลย แต่ครั้งนี้มันจำเป็นจริงๆ ครับ ผมกราบขอให้หลวงพ่อเมตตาช่วยให้ผมได้งานดีๆ ทำเพื่อสร้างชีวิต สร้างอนาคตต่อไปด้วยเถอะครับ ถ้าหลวงพ่อช่วย ผมจะไม่ลืมพระคุณเลยครับ”
สนธยาก้มลงกราบ เสียงรถเบรกดังอย่างแรงเอี๊ยด...ตามด้วยเสียงโครมใหญ่ที่หน้าวัด สนธยาที่ก้มลงกราบพระอยู่สะดุ้งโหยง...
“เกิดอะไรขึ้น...”
สนธยารีบลุกขึ้นออกไปดู เห็นว่ามีรถขับเสยประตูวัดอยู่
“ไม่ได้ม๊าว มาวที่ไหนกันเล่า นี่ไง ถึงบ้านแล้วคร่อก”
สมชาติพูดอ้อแอ้แล้วหมดสติไป
“เฮ้ย”
สนธยารีบเข้าไปดูเห็นสมชาติติดอยู่ในรถ
“คุณ...คุณครับ คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ คุณ”
ไม่มีเสียงตอบ สนธยาชักใจไม่ดี
“ตายรึเปล่าวะ”
สนธยารีบหาทางเปิดประตูรถ ลากตัวสมชาติออกมาจนได้
“คุณครับ ฟื้นสิครับ คุณ คุณ”
สนธยามองไปรอบๆ ไม่เห็นใครเลย เขาคิดว่าจะเอายังไงดี
สนธยานั่งอยู่ที่หน้าห้องตรวจของคลินิก ไม่นานนักหมอออกมา
“คุณหมอครับ เป็นยังไงบ้างครับ”
“คนไข้ปลอดภัยแล้วนะครับ ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย แต่ที่สลบไปเพราะเมาน่ะครับ”
สนธยาหน้าตื่น
“ฮะ...แค่เมาเนี่ยนะ”
“รอคนไข้ฟื้นก็กลับบ้านได้แล้วครับ...หมอขอตัวก่อนนะครับ”
สนธยายกมือไหว้ หมอเดินไป สนธยาบ่นงึมงำ
“เมาอะไรแต่หัววันวะ...ฮึ่ย...รู้งี้ไม่ช่วยหรอก”
พยาบาลเข้ามาหา
“ญาติคนไข้ใช่ไหมคะ...รบกวนที่แผนกการเงินด้วยค่ะ”
พูดจบพยาบาลก็เดินออกไป สนธยาตะลึง
“ฮะ...แผนกการเงิน...จะให้เราจ่ายงั้นเหรอ”
สนธยาวิ่งหน้าตั้งกลับมาที่รถที่ยังเสยอยู่หน้าวัด...เขารีบมุดเข้าไป เปิดลิ้นชัก ค้นรถทั่วๆ เพื่อหากระเป๋าเงิน
“ไม่มีกระเป๋าตังค์...สงสัยจะโดนขโมย...ฮึ่ย เอาไงดีวะ” เขาคิดๆ “มือถือ ใช่...ต้องมีเบอร์ญาติในมือถือแน่ๆ”
สนธยาค้นรถอีกครั้งเพื่อหามือถือ...ค้นจนทั่วแต่ก็ไม่เจออะไร
“ต้องมีสิ...ต้องมี”
บ้านร้างยามค่ำคืน เงียบสงัดและวังเวง เสียงนกเค้าแมวร้องฮือๆ เจนนี่มาหยุดอยู่หน้าบ้าน
“นี่น่ะเหรอบ้านที่เราต้องขายให้ได้...” เธอหยิบไฟฉายออกมาส่องดู “โอเค...ไม่น่าจะยาก”
เจนนี่เป็นคนไม่กลัวผี เธอส่องไฟฉายสำรวจไปทั่วบริเวณภายในบ้าน...เสียงหมาหอนดังไม่หยุด
“สามห้องนอน....”
เจนนี่สำรวจไปรอบๆ
“สามห้องน้ำ…”
ยินเสียงตุ๊กแกร้องดังขึ้นพอดิบพอดี
“พร้อมสัตว์เลี้ยงแสนน่ารัก”
เธอส่องไฟไปโดนหน้าต่างกระจกที่แตกอยู่
“ระบบความปลอดภัยเป็นเลิศ”
ส่องไปอีกโดยรอบๆ พบว่าไม่มีข้าวของเลยสักชิ้น
“ตบแต่งพร้อมเข้าอยู่”
สุดท้ายไฟฉายในมือเจนนี่ส่องไปหยุดที่ยันต์ตรงหน้าประตูบานหนึ่ง
“ไม่มีโปรโมชั่น เยส ฉันจะต้องหลอกขายไอ้บ้านร้างๆ หลอนๆ นี่ให้ได้...อยากรู้นัก ใครจะเป็นผู้โชคดีของฉัน”
อ่านต่อตอนที่ 3
วิวาห์ป่าช้าแตก ตอนที่ 2
ค่ำนั้นโฉมฉายกับบำรุงตั้งวงกินข้าวกันอยู่ เจนนี่กลับมาอย่างเหนื่อยๆ
“มีไรกินบ้างน้า หิวจะแย่แล้ว”
เจนนี่จะไปตักข้าว โฉมฉายหันมาแว๊ด ชี้นิ้วสั่ง
“หยุด...บ้านฉันไม่ใช่มูลนิธิปวีณา ถ้าอยากกินก็หาเงินมาช่วยกันสิคิดแต่จะขออย่างเดียวเลยรึไง”
เจนนี่แทรกอย่างเซ็งๆ
“ก็ไปหาแล้วแต่มันไม่มี ฉันถึงต้องมาขอน้ากินนี่ไง ไม่เข้าใจตรงไหนเนี่ย”
“เอ็งก็พยายามขายบ้านหลังนั้นให้ได้สิวะ จะได้มีเงินมาแบ่งกันใช้ไง” บำรุงบอก
“ลองเป็นสิบรายแล้วน้า แค่ลูกค้ามาเห็นหน้าบ้าน ก็เผ่นกันหมดแล้ว”
“ไม่สน ถ้าขายบ้านไม่ได้ ไม่ช่วยกันหาเงิน ก็ไม่ต้องกิน นี่ให้อยู่ฟรีก็ดีเท่าไหร่แล้ว ไป รีบไปให้พ้นหน้าเลยไป” โฉมฉายไล่
เจนนี่เดินเซ็งสะบัดขึ้นบ้านไป
วันต่อมา พิมพ์ดาวกลับจากหางานทำ ถึงบ้านด้วยความเหนื่อย ฤดีนั่งรออยู่แล้ว
“ไง อุตส่าห์ไปตระเวนทั้งวัน งานมันไม่ได้หาง่ายอย่างที่แกคิดใช่มั้ยล่ะ”
“แม่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ยังไงดาวต้องหางานทำได้แน่”
“ฉันคงไม่รอถึงตอนนั้นหรอกย่ะ...”
ฤดี โยนตั๋วเครื่องบินลงบนโต๊ะรับแขก
“นี่ตั๋วเครื่องบินไปสมุย”
พิมพ์ดาวมองงงๆไม่เข้าใจ
“เกาะสมุย...ทำไมต้องไปสมุยด้วยคะ”
“ตอนนี้ร้านอาหารของเรากำลังหาทางขยายสาขา นอกจากเชียงใหม่กับภูเก็ต ก็มีเกาะสมุยที่น่าสนใจ...ถ้าแกอยากทำงาน แม่ก็จะให้โอกาสแกได้ยืนด้วยลำแข้งตัวเอง...”
พิมพ์ดาวชะงัก
“งาน”
“ใช่ ถ้าแกสามารถเปิดสาขาใหม่ที่นั่นได้ แม่จะยอมรับแก และยอมปล่อยมือจากแก ให้แกเป็น อิสระอย่างที่แกต้องการ ยกเว้นว่า...แกกลัวเกินว่าจะทำ”
พิมพ์ดาวยิ้ม
“ไม่ค่ะ หนูไม่กลัวอะไรทั้งนั้น หนูจะพิสูจน์ให้คุณแม่เห็นเอง ว่าหนูพร้อมรับผิดชอบชีวิตตัวเองแล้วค่ะ”
“แต่งานนี้แกต้องเริ่มนับหนึ่งด้วยตัวเอง จะไม่มีความช่วยเหลืออะไรจากสาขาใหญ่ทั้งนั้น เข้าใจไหม”
“ค่ะ”
“ถ้าเข้าใจแล้วก็เตรียมตัวให้พร้อม”
“หนูต้องไปเมื่อไหร่คะ”
พิมพ์ดาวกับสนธยาคุยกันอยู่ที่จุดนัดพบประจำของทั้งคู่ สนธยาตกใจ ที่พิมพ์ดาวมาบอกเรื่องไปสมุย
“พรุ่งนี้...แล้วทำไมคุณต้องไปอยู่ตั้งสมุยด้วย แล้วคุณจะไปอยู่ยังไง อยู่กับใคร แล้วต้องอยู่นานแค่ไหน จะกลับมาเมื่อไหร่ แล้วไม่ไปไม่ได้เหรอครับ แล้ว...”
พิมพ์ดาวรีบแทรก
“พอๆ หยุดถามก่อนได้ไหม ถามซะขนาด นี้แล้วดาวจะตอบยังไงล่ะ”
“ขอโทษครับ คือว่าผมตื่นเต้นน่ะครับ แค่รู้ว่าคุณจะไป ก็ทำอะไรไม่ถูกแล้วล่ะครับ”
“จริงๆ แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหรอกนะ ออกจะดีสำหรับเราสองคนด้วยซ้ำไป”
สนธยาแปลกใจ
“ทำไมถึงคิดว่าดีล่ะครับ ไปอยู่ไกลอย่างนั้น ไม่เห็นจะดีเลย”
“ดาวเบื่อกับการที่คุณแม่เลี้ยงเหมือนลูกแหง่ เป็นเด็กไม่ยอมโตเต็มทีแล้ว ดาวอยากพิสูจน์ตัวเอง อยากทำให้ท่านเชื่อว่าดาวโตแล้ว แล้วก็พร้อมจะรับผิดชอบชีวิตตัวเอง ไม่ว่าจะเรื่องงาน หรือว่าเรื่องความรัก”
สนธยาอึ้งไป
“ผมเข้าใจแล้ว...ที่ผ่านมา คุณดาวคงลำบากใจมากสินะครับที่ต้องปิดท่านเรื่องแฟน...แถมแฟนยังเป็นแค่เด็กวัดอีก”
“ดาวไม่เคยอายเรื่องนั้นหรอกนะ แต่ถ้าดาวแสดงความผู้ใหญ่ออกมาให้ท่านเห็นไม่ได้ ดาวก็จะไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอะไรในชีวิต”
สนธยานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะจับมือพิมพ์ดาวขึ้นมา
“ผมจะไม่ปล่อยให้คุณต้องรับผิดชอบความรักของเราตามลำพังหรอกครับ ระหว่างที่คุณไม่อยู่ ผมจะตั้งใจทำงานเก็บเงินสร้างฐานะ ให้เหมาะสมคู่ควรกับการเป็นคนรักของคุณ แล้วพอคุณกลับมา เราจะได้แต่งงานกัน...นะครับ”
พิมพ์ดาวซึ้งใจ
“สัญญานะ”
“สัญญาครับ”
สนธยาดึงพิมพ์ดาวเข้ามากอด...
“ผมสัญญาว่าจะไม่มีวันยอมให้อะไร มาทำลายความรักของเราได้เด็ดขาด”
เช้าวันใหม่...บนศาลาวัด สมชาติก้มกราบหลวงพ่อ อย่างรู้สึกผิด
“นมัสการครับหลวงพ่อ คือ ผมอยากมากราบขอโทษ ที่วันก่อนผมขับรถชนประตูวัดหลวงพ่อน่ะครับ”
“อ้อ โยมนี่เอง วันหลังทำอะไรก็มีสติหน่อยนะ แล้วนี่เป็นไง บาดเจ็บอะไรมากมั้ย”
“มีก็แค่แผลในใจครับหลวงพ่อ คือผมเองรู้สึกผิดมาก เลยอยากหาช่างมาซ่อมประตูวัดให้ แล้วก็อยากทราบด้วยว่าใครที่ช่วยผมไว้ เห็นนางพยาบาลว่าเป็นผู้ชาย หนุ่มๆ ผิวขาว หน้าตาดีๆ”
สนธยาเปิดหนังสือพิมพ์หางานเดินบ่นเข้ามา
“หมอนวดแผนโบราณ...รับจ้างกรีดยาง...ไม่เวิร์ค”
หลวงพ่อหันไปเห็นจึงร้องเรียก
“สน...ไอ้สน มานี่สิ”
สนธยาเข้ามาหาหลวงพ่อยกมือไหว้
“มีอะไรจะใช้ผมหรือครับหลวงพ่อ”
“นี่ไง ถ้าตามที่โยมบอกน่ะ ก็มีอยู่คนเดียวนี่แหละ”
สนธยาเห็นสมชาติก็ตกใจ
“เอ้าพี่ ออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอครับ”
“โอ้ว น้องรัก...น้องนี่เอง ที่ช่วยชีวิตพี่ไว้” สมชาติจับมือ “พี่ชื่อสมชาติ นี่นามบัตรพี่...น้องมีอะไรให้พี่ช่วย อยากให้พี่ตอบแทนยังไง บอก”
“ผมช่วยพี่ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนหรอกครับ”
“เฮ้ย ไม่ได้...ยิ่งเป็นคนจิตใจดีแบบนี้ พี่ยิ่งต้องให้ น้องบอกมาเลย น้องอยากได้เท่าไหร่”
สมชาติจะหยิบกระเป๋าเงิน สนธยามองหลวงพ่อ ลังเล หลวงพ่อยิ้ม
“ผมไม่อยากได้เงินหรอกครับ ตอนนี้ ที่ผมอยากได้ที่สุด คืออยากได้งานทำครับ”
“ป๊าดๆ ดีมาก เอ็งช่วยถูกคนแล้วไอ้น้องรัก”
สนธยางง
สมชาติขับรถพาสนธยามาถึงตึก เขียนชื่อด้านหน้าว่าแซมเวย์...
“นี่เลย...ที่นี่เลย ดูไว้ให้เต็มตาไอ้น้องชาย ที่นี่แหละ ที่ที่จะทำให้น้องเป็นเศรษฐี”
สนธยาอึ้งๆ งงๆ อ่านป้ายคำขวัญ
“แซมเวย์...เราสร้างคุณ คุณสร้างเงิน”
สนธยาเริ่มมีความหวังขึ้นมาทันที
ประตูลิฟท์โรงแรมเปิดออก พิมพ์ดาวออกจากลิฟท์ คุยโทรศัพท์กับสนธยาไปด้วย
“ดีใจด้วยนะสน ดาวว่าคนขยัน แล้วก็อัธยาศัยดีอย่างสน ต้องทำงานนี้ได้ดีแน่ๆ”
“ผมจะทำทุกอย่างเพื่ออนาคตของเรา ผมจะสร้างฐานะ ทำให้แม่คุณดาวยอมรับผมให้ได้นะครับ”
พิมพ์ดาวคุยโทรศัพท์เดินเข้ามาในล็อบบี้ โทนี่ที่นั่งจิบกาแฟอยู่ มองเห็น รีบลุกขึ้น
“ดาวก็เหมือนกัน ดาวจะรีบจัดการร้านอาหารที่นี่ให้เสร็จ แล้วจะรีบไปกลับไปหาสนนะ...คิดถึงนะคะ”
พิมพ์ดาววางสาย เงยหน้าขึ้น พบว่าโทนี่ยืนฉีกยิ้มอยู่ตรงหน้า
“คุณพิมพ์ดาว...ตัวจริงสวยกว่าในรูปอีกนะครับ”
พิมพ์ดาวแปลกใจ
“คะ...เราเคยรู้จักกันมาก่อนเหรอคะ”
“ผมโทนี่ครับ คุณพ่อคุณแม่เราทำธุรกิจร่วมกันที่สมุย ท่านเลยให้ผมมาดูแลคุณที่นี่”
“ขอโทษนะคะ ดาวโตแล้ว ไม่ต้องให้ใครมาคุมหรอกค่ะ”
พิมพ์ดาวจะไป โทนี่ขวางไว้ ยิ้ม
“เรียกว่ามาช่วยพัฒนาธุรกิจของเราดีกว่า อย่างน้อยผมก็มีพรรคพวกอยู่ที่นี่...เชิญครับ ผมจะพาไปที่ร้าน”
โทนี่ผายมือ พิมพ์ดาวเดินนำไปอย่างเสียไม่ได้ โทนี่ยิ้ม อยากเอาชนะให้ได้ รีบตามไป
ร้านอาหารริมทะเล อยู่ในสภาพก่อนปรับปรุง รกร้าง ข้าวของ โต๊ะเก้าอี้ วางระเกะระกะ พิมพ์ดาวมองไปรอบๆ อย่างหนักใจ อึ้งๆ
“ทำไม...”
พิมพ์ดาวพูดได้แค่นั้น โทนี่ รีบแทรกมาอธิบาย
“มันเคยเป็นร้านอาหารมาก่อนน่ะครับ แต่กิจการไม่ดี เลยปิดร้างไปหลายปี ก็เลยมีสภาพอย่างที่เห็น”
“อย่างนี้ก็เท่ากับว่า ทุกอย่างต้องเริ่มจากศูนย์สินะคะ”
โทนี่ยิ้ม
“ไม่ต้องห่วงครับ เพื่อนผมที่นี่เยอะแยะ ถ้าเราช่วยกัน คุณดาว ไม่ต้องกลัวอะไรแน่”
“ดาวไม่กลัวหรอกค่ะ ดาวตั้งใจมาเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ไม่ว่าต้องเจอกับอะไร ดาวต้องเอาชนะและทำร้านนี้ให้ประสบความสำเร็จให้ได้”
พิมพ์ดาวเปิดประตูด้านหลังร้านออกไป พบว่าเป็นระเบียง เห็นทะเลกว้าง
“โอ้โห สวยจัง”
พิมพ์ดาวมองไปรอบร้าน หน้าตามุ่งมั่น
“ดาวจะทำให้มันเป็นร้านอาหาร ที่สวยที่สุดบนเกาะนี้ให้ได้เลย”
“เอาเลยครับ ลงมือเลย ผมจะช่วยคุณดาวเต็มที่เลยครับ”
โทนี่ยิ้ม แฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์แปลกๆ
โทนี่แอบมาคุยโทรศัพท์กับฤดีที่มุมหนึ่งของร้านอาหาร
“ทุกอย่างเรียบร้อยดี ไม่มีปัญหาครับ”
“แล้วอย่าลืมเรื่องที่น้าไหว้วานไปล่ะ ไม่ใช่แค่ให้ช่วยดูแลร้าน แต่ต้องช่วยกันหมาด้วย โดยเฉพาะไอ้พวกหมาวัด อย่าให้โผล่ไปแถวนั้นเด็ดขาด”
“เรื่องนั้นอย่าห่วงเลยครับ ผมจะเฝ้าน้องดาวอย่างดี ถ้ามีหมาตัวไหนกล้าเข้ามาล่ะก็ ผมจะไล่มันไปเอง”
โทนี่ยิ้มร้าย
ค่ำนั้น เจนนี่มาทำงานที่ร้านข้าวต้ม เถ้าแก่เจ้าของร้านผัดผักบุ้งไฟแดงเสร็จตะโกนเสียงดังโวยวาย
“เฮ้ย ไปเรียกเด็กเสิร์ฟคนใหม่มาสิ มันหายไปไหนวะ”
เจนนี่ในชุดเด็กเสิร์ฟวิ่งออกมา เคี้ยวข้าวเต็มปาก
“มาแล้ว มาแล้ว โต๊ะไหนเฮีย”
“แหม ลื้อนี่มาวันแรก ยังไม่ทำงานก็กินก่อนเลยนะ ไป ผักบุ้งไฟแดงไปเลย โต๊ะ 4”
เจนนี่เอาผักบุ้งไปเสิร์ฟ เจ้าของร้านหันไปคุยกับเมียที่นับเงินอยู่
“เฮ้ย ตอนอีมาสมัครงาน อีบอกทำงานอะไรมานะ”
“เซลขายบ้าน อั้วเห็นอีพูดเก่งดี ก็เลยรับไว้”
เจ้าของร้านส่ายหน้า
“ดึกๆ เป็นเด็กเสิร์ฟ เช้าเป็นเซลขายบ้าน เฮอะ ใครจะเชื่อวะ”
สนธยามาคุยกับหลวงพ่อ เมื่อกลับมาถึงวัด
“เป็นไงบ้าง ที่เขาพาเอ็งไปฝากงานน่ะทำได้มั้ย แล้วมันเป็นงานอะไรแน่”
“งานขายครับหลวงพ่อ เท่าที่อบรมมา ถ้าขยันๆ ตั้งใจทำ ก็น่าจะสร้างรายได้ที่มั่นคงได้เลยนะครับ”
“เออดีๆ ขอแค่เป็นงานสุจริต และเอ็งตั้งใจจริง ข้าก็ดีใจด้วย ว่าแต่ ถ้าเอ็งมีงานทำ อีกไม่นานก็คงร่ำรวย มีเงินมีทอง มีบ้านอยู่ ไม่ต้องอาศัยวัดแล้วสินะ”
“โธ่ อย่าเพิ่งรีบไล่ผมเลยครับหลวงพ่อ ผมเพิ่งเริ่มงาน แล้วบ้านสมัยนี้ราคาตั้งเป็นแสนเป็นล้าน ทำงานไปอีกสิบปีจะมีเงินซื้อรึเปล่าก็ไม่รู้”
“แปลว่าจะขออาศัยอยู่วัดต่อว่างั้น”
สนธยายิ้ม ยกมือไหว้หลวงพ่อ
เวลาผ่านไป...
เดือน มกราคม...สนธยาแต่งตัวในชุดทำงานเรียบร้อย สมชาติทำท่ากดไลค์ให้ มองอย่างภูมิใจมาก...สนธยากดกริ่งหน้าบ้านหลังหนึ่ง สาวสวยฮอตเปิดประตูออกมา เจอหน้าสนธยาเข้าก็เยิ้มใส่...สนธยากับสมชาติตีมือกันด้วยความดีใจที่สามารถขายของได้
ร้านอาหาร พิมพ์ดาว....ลูกน้องในร้าน ยกเก้าอี้ ปัดกวาด เก็บร้าน ที่รกเละ โทนี่ยืนชี้สั่ง พิมพ์ดาวช่วยยกของผ่านมา โทนี่จะช่วยพิมพ์ดาวส่ายหัว แล้วยกของเดินผ่านไป โทนี่มองอย่างหงุดหงิด
บ้านร้าง...เจนนี่พาลูกค้าคนหนึ่งมาดูบ้าน ลูกค้าเห็นหน้าบ้านตกใจ วิ่งหนี เจนนี่ พยายามเรียกแต่ไม่สำเร็จ เธอได้แต่ยืนเซ็ง
เดือนกุมภาพันธ์... สนธยามาด้อมๆ มองๆ ชมรมไทเก๊ก ในสวนลุม...เขาเปิดการขายให้สมาชิกชมรมไทเก๊ก ทุกคนสนใจกันมาก จากนั้นไปขายต่อที่ค่ายมวย...สนธยาอธิบายสรรพคุณสินค้าชูกำลังให้บรรดานักมวยฟัง บรรยากาศบู๊มาก
พิมพ์ดาว...อยู่กับเชฟในครัวร้านอาหารเพื่อชิมอาหาร โทนี่ มาชิมด้วย ยกนิ้ว ยื่นมือให้จะจับมือ พิมพ์ดาวจับมือโทนี่ไปจับมือเชฟแทน
บ้านร้าง...เจนนี่พาลูกค้าคนเดิมมา ยกมือไหว้ตลอดทาง ขอร้องให้มาดู ลูกค้ามาเห็นหน้าบ้าน จะหนีอีก เจนนี่ลากไว้ทัน ผลักเข้าประตูบ้านไป แล้วตามเข้าไป...ลูกค้าแอบย่องออกมาจากหลังบ้านหนีไป
เดือนมีนาคม...สนธยาขึ้นเวทีรับรางวัล ‘ดาวทอง’
พิมพ์ดาวตัดริบบิ้นเปิดร้าน...
เจนนี่ จูงลูกค้า คนใหม่เป็นคนตาบอดใส่แว่นดำมาที่บ้านร้าง เธอพยายามพูดและดันลูกค้าเข้าไปในบ้าน ลูกค้าเดินเข้าไปสักครู่ก็รีบวิ่งออกมาทันที เจนนี่เกาหัวเซ็ง
เดือนเมษายน...สนธยาขึ้นรับรางวัล ‘ดาวเพชร’
พิมพ์ดาวนั่งตบยุง ไม่มีลูกค้าเข้าร้าน โทนี่ต้องพาพรรคพวกมาเป็นลูกค้า พิมพ์ดาวเห็นแล้วยิ้มเจื่อนๆ
เจนนี่พาลูกค้ามาดูบ้านร้าง ลูกค้าส่ายหัว เจนนี่ยิ้ม โชว์พระ เอาพระคล้องคอ ลูกค้าไม่เอาหนีไป
ต่อมาในเดือนพฤษภาคม...ชมรมแอโรบิคสวนลุม สนธยาเปิดการขายครั้งใหญ่...
ในบ้านพักคนชรา...สนธยาอธิบายสรรพคุณสินค้าเพื่อสุขภาพ
พิมพ์ดาวยิ้มต้อนรับลูกค้า ดูแลตามโต๊ะ ร้านคึกคักขึ้น
เจนนี่นิมนต์พระมาทำพิธี พระมาแค่หน้าประตูบ้านร้าง ก็วิ่งหนีไปจนจีวรปลิว
อ่านต่อหน้า 4
วิวาห์ป่าช้าแตก ตอนที่ 2 (ต่อ)
ในเดือนมิถุนายน... สนธยาขึ้นรับรางวัล ดาวแพลตตินั่ม
ค่ำนั้น สนธยากับสมชาติ ดื่มฉลองกันอยู่ในร้านข้าวต้ม อย่างมีความสุขกันมาก สนธยายกแก้วชนกับสมชาติ
“ดื่มให้กับมหาโบนัส”
“เงินเป็นล้าน จะเอาไปทำอะไรวะไอ้น้องรัก” สมชาติถาม
“คงเอาไปทำอะไรไม่ได้หรอกครับ”
“เอ้า...ทำไมล่ะ เก็บไว้เฉยๆ มันจะไม่งอกไม่เงยนะ เอาไปลงทุนทำธุรกิจส่วนตัวเล็กๆ น้อย หรือเอาไปซื้อกองทุนซื้อหุ้นไหมล่ะ พี่รู้จักโบรกเกอร์เก่งๆ เดี๋ยวให้เขาช่วยได้”
“ไม่ดีกว่าครับ...” สนธยาเขินๆ “คือ...ผมตั้งใจจะเก็บเงินไว้แต่งงาน”
“ฮ้า...จะแต่งงาน อ้าว...แล้วก็ไม่บอก แล้วจะแต่งยังไงแต่งเข้าวัดเหรอ...จะแต่งแม่ชีรึไง”
สนธยาอึ้งๆ
“เอ่อ...”
เจนนี่ในชุดเด็กเสริ์ฟมาจดออเดอร์
“รับอะไรเพิ่มมั้ยคะพี่ น้ำเพิ่มมั้ยคะ”
สนธยามองหน้าเจนนี่
“หน้าน้องนี่คุ้นๆ เราเคยเจอกันมาก่อนป่ะเนี่ย”
“ไม่เคยอ่ะ พี่อย่าใช้มุขนี้มาจีบหนูเลยดีกว่า มุขเก่าแล้ว”
สมชาติยิ้มแซว
“แหมน้อง ไอ้นี่มันมีแฟนแล้ว กำลังจะแต่งงาน ไปๆ น้องไปเอาน้ำจิ้มมาเพิ่มดีกว่า...เผื่อไว้กลับมา พี่อาจจะขอเบอร์ กิ๊กกิ้ว”
เจนนี่เข้าครัว มาเอาน้ำจิ้มบ่นอย่างเซ็งๆ
“ซวยอะไรงี้วะ บ้านน้าโฉมก็ขายไม่ได้ซะที ต้องมาเป็นเด็กเสิร์ฟให้แขกมันแทะโลมอยู่ได้...เอาวะ อย่างเจนนี่ ต้องไม่มีวันเป็นเด็กเสิร์ฟ ไปจนตาย เราต้องรวยกว่านี้สิวะ” เจนนี่มีฮึด
“เจนนี่ น้ำจิ้มได้ยัง ทำไรอยู่” เสียงเจ้าของร้านเรียกดังมา
“ได้แล้วๆ ไปเดี๋ยวนี้แหละ”
เจนนี่หงุดหงิดเทน้ำจิ้มใสถ้วย รีบออกไป
สมชาติสักถามสนธยาเรื่องแต่งงาน
“เฮ้ยไอ้สน ถามจริง เอ็งแต่งงานแล้วจะเอาแฟนไปอยู่วัด ไม่เขินเหรอวะ”
เจนนี่เอาน้ำจิ้มมาวางที่โต๊ะ
“จะบ้าเรอะพี่ ผมก็ซื้อเรือนหอผมสิ”
เจนนี่ได้ยินเริ่มสนใจ แต่ทำเป็นนิ่ง แกล้งเสิร์ฟน้ำต่อ
“เฮ้ยแต่ซื้อบ้าน เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่ถูกๆ ยิ่งในกรุงเทพด้วย จะหาซื้อที่ไหน”
สนธยาคิดๆ
“ไม่รู้ดิพี่ รู้แต่งานนี้ ผมทุ่มหมดตัว ผมจะใช้เงินที่มีอยู่ทั้งหมด สร้างเรือนหอแล้วทำให้คุณดาวมีความสุขให้ได้”
“แมนว่ะ งั้นพี่ขอให้เอ็งหาเรือนหอได้เร็วๆแล้วกัน...มาๆชนๆ”
สมชาติชนแก้วกับสนธยา เจนนี่ยิ้มมีแผน
“เจอเหยื่อแล้ว…”
พิมพ์ดาว ส่งลูกค้ากลุ่มสุดท้าย ออกจากร้าน
“ขอบคุณนะคะ”
โทนี่เข้ามาหา
“ได้เวลาปิดร้านแล้วนะครับน้องดาว”
“ดาวว่าเราน่าจะเลื่อนเวลาปิดร้านออกไปอีกหน่อยนะคะ อาจจะทำให้ลูกค้ามากขึ้น”
“พอเถอะครับ แค่นี้น้องดาวก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว”
“ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ พรุ่งนี้ดาวจะลองปิดร้านดึกกว่านี้ดู ถ้ายังพอขายได้ ก็เป็นอันว่าดาวคิดถูก”
“ถ้าน้องดาวต้องการแบบนั้น พี่ก็จะยินดีจะช่วย แต่วันนี้ ขอพี่เลี้ยงข้าวน้องดาวหน่อยได้ไหมครับ”
“ขอบคุณนะคะที่ชวน แต่ดาวคงต้องขอตัวเพราะว่าคืนนี้ดาวอยากคิดเมนูใหม่ๆ มากกว่า ขอโทษนะคะ”
พิมพ์ดาวเดินเข้าไปด้านในร้าน โทนี่มองตามไปอย่างโกรธๆ
“เล่นตัวนักนะ”
สมชาติเมาแอ๋ สนธยาประคองออกมาหน้าร้าน
“ไม่มาว...ไม่มาว”
“พี่เมาแล้วล่ะ”
“ใครเมา ถ้ามาวกรูให้ถีบเลย”
สนธยาถีบโครมด้วยความมั่นไส้ สมชาติลงไปกองกับพื้น
“เฮะๆ ถีบจริง เจ็บจริง สงสัยจะเมาจริงๆ”
สนธยาดึงสมชาติลุกขึ้น
“กลับแท็กซี่นะพี่ อย่าขับรถเลย เดี๋ยวผมเรียกให้”
แท็กซี่ผ่านมาพอดี สนธยาโบกรถพยายามส่งสมชาติขึ้นรถด้วยความลำบาก จนแท็กซี่ออกรถไป สนธยาถอนใจด้วยความเหนื่อย เจนนี่ดักรออยู่ รีบเข้ามาแกล้งเดินชน
“อุ๊ยๆขอโทษค่ะ อ้าวคุณลูกค้า จะเรียกแท็กซี่กลับบ้านเหรอคะ บ้านอยู่ไหนล่ะคะเนี่ย”
“ถัดไปอีก 2 ซอยเนี่ยครับ”
“อุ้ย...ซอยเดียวกันเลย หลังไหนเหรอคะ”
“ผมไม่ได้อยู่บ้านหรอกครับ ผมอยู่วัด”
“ว้าย เก๋อ่ะ ไม่น่าเชื่อ สมัยนี้ยังมีคนอยู่วัดอีกด้วย อยู่มานานแล้วเหรอคะ”
“อยู่ตั้งแต่เด็กแล้วครับ”
“ต๊าย สมถะ แล้วคุณไม่อยากมีบ้านเป็นของตัวเองเหรอคะ เอ่อ...คือ พอดีว่าได้ยินคุณคุยกับเพื่อน เรื่องซื้อบ้านน่ะค่ะ ฉันอยากจะขายบ้านอยู่พอดี ก็เลยคิดว่าบางทีคุณอาจจะสนใจ”
“แล้วทำไมถึงขายล่ะครับ”
เจนนี่ดราม่าทันที
“คือว่า...บ้านหลังนั้นน่ะ น้าฉันจะขายให้ถูกๆเป็นของขวัญวันแต่งงาน ฉันกับคู่หมั้นเลยช่วยกันเก็บเงินซื้อไว้ เพื่อเป็นเรือนหอ”
สนธยาสนใจขึ้นมาทันที
“แต่ว่า...ยังไม่ทันได้แต่งงานกัน เขาก็มาด่วนจากไป”
สนธยาชะงัก
“ตายเหรอครับ”
เจนนี่ส่ายหน้าเศร้าๆ
“มีกิ๊กอ่ะค่ะ แล้วเขาก็ทิ้งฉันไป แต่มันเจ็บตรงที่เรือนหอ ฉันวางมัดจำคุณน้าไปแล้ว คิดดูสิคะคนไม่รักกัน เรือนหอจะเอาไปทำไม ฉันก็เลยอยากจะขาย เก็บไว้ก็เศร้าใจ เห็นทีไรก็ช้ำๆ มันสุดจะทนแล้วอ่ะค่ะ”
“เสียใจด้วยนะครับ”
“แค่เสียใจไม่พอ ถ้าคุณสงสารฉันจริง ไปดูบ้านกันไหมคะ บางทีคุณอาจจะชอบก็ได้ เอ่อ...นะคะ อย่าให้ฉันต้องทนอยู่กับอนุสรณ์แห่งความรักที่ไม่มีใครต้องการอีกเลย นะคะ ฉันขอร้องล่ะ...ฮือ”
เจนนี่บีบน้ำตาร้องไห้
“อ...โอเคครับ ผมจะไปดู”
“จริงนะคะ ไปดูพรุ่งนี้เลยนะ ขอเบอร์ด้วยค่ะ”
เจนนี่ยื่นโทรศัพท์ให้ทันที
“ครับๆ ได้ครับ”
สนธยาเอาโทรศัพท์เจนนี่มากด เจนนี่แอบยิ้มร้าย
เจนนี่กลับมา เจอโฉมฉายดักรออยู่
“กลับมาแล้วเหรอนังตัวดี”
“อะไรอีกล่ะน้า ฉันกลับมาเหนื่อยนะ มีอะไรไว้พูดกันพรุ่งนี้เถอะ”
เจนนี่จะเดินเข้าบ้านแต่โฉมฉายกระชากตัวไว้
“ไม่ได้...ต้องพูดกันให้รู้เรื่องวันนี้ อยู่ฟรีๆ มาตั้งหลายเดือนแล้ว ไหนล่ะที่ว่าจะขายบ้านให้ฉัน ทำไมป่านนี้ยังขายไม่ได้อีก”
“โห น้า บ้านนะไม่ใช่ปลาทู จะได้ขายกันได้ง่ายๆ มันต้องใช้เวลาหน่อยสิ”
“ด้าย...อยากได้เวลาใช่ไหม ฉันให้เวลาแกถึงพรุ่งนี้ ถ้าพรุ่งนี้แกยังขายบ้านให้ฉันไม่ได้ ก็ไสหัวออกไป ฉันไม่ให้อยู่แล้ว”
“เฮ้ย อะไรกันล่ะน้า แค่วันเดียวเนี่ยนะ”
“เออ...แกเกาะฉันกินมากี่เดือนแล้ว พอกันที ฉันเหม็นขี้หน้าแกเต็มทนแล้วพรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ฉันจะยอมให้แกอยู่ที่นี่”
โฉมฉายฉะเสร็จก็ขึ้นบ้านไป เจนนี่เจ็บใจ
“เออ...พรุ่งนี้จะขายให้ดู”
วันใหม่...เจนนี่พาสนธยามาหยุดที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง
“หลังนี้แหละเรือนหอฉัน”
สนธยามองไปรอบๆเห็นว่าบรรยากาศวังเวงมากไร้เงาเพื่อนบ้าน มีเพียงบ้างหลังตรงหน้าที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว หน้าบ้านปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ครึ้ม เถาไม้เลื้อยพันพาดไป พร้อมเสียงอีกาที่ร้องกันลั่น ทำให้บรรยากาศเหมือนบ้านผีสิง
“นี่มันบ้านคนหรือบ้านผีสิงกันแน่เนี่ย...ไม่มีบ้านคนเลย มีหลังนี้อยู่หลังเดียว ทำไมมันเป็นอย่างนั้นล่ะคุณ”
“ก็ไอ้พวกเพื่อนบ้านแถวนี้มันเห็นแก่เงินน่ะสิคุณ พอมีข่าวว่าจะสร้างหมู่บ้านจัดสรร มีนายหน้าเข้ามากว้านซื้อที่ มันก็งกอยากได้เงินรีบขายกันแทบไม่ทัน แล้วไงล่ะ สุดท้ายหมู่บ้านก็ไม่ได้สร้าง เห็นว่าทุนไม่ถึง เจ๊งไปซะก่อน ก็เลยเหลือแต่เรือนหอฉันหลังนี้หลังเดียวเท่านั้นแหละที่รอดมาได้”
“สรุปว่าถ้าผมจะซื้อบ้านหลังนี้ ผมต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ตลอดไปใช่ไหมครับ”
“มันก็ไม่แน่หรอกคุณ”
“ไม่แน่ยังไง”
“ก็...ฉันหมายถึงว่าอีกหน่อยคุณอาจจะแต่งงาน มีลูกมีหลานเต็มบ้านไปหมดน่ะสิ เอาเหอะ อย่าเพิ่งพูดเลย เข้าไปดูบ้านกันก่อนเถอะ รับรองว่าคุณต้องชอบ”
เจนนี่นำหน้าสนธยาเข้าบ้านไป
บริเวณในบ้านดูรกร้าง อึมครึมยิ่งกว่าภายนอก....มืดครึ้มไปด้วยร่มเงาต้นใหญ่ เจนนี่เดินนำเข้าไปในตัวบ้าน
“บ้านหลังนี้อายุเกือบจะร้อยปีแล้วนะ เรียกว่ามรดกล้ำค่าเลยแหละ”
สนธยาก้าวเท้าตามไป...จังหวะที่ก้าวเข้า เสียงตุ๊กแกก็ดังขึ้นทันที...ตุ๊กแก...
“เย้ย”
สนธยาตกใจผวาเกาะหลังเจนนี่ เธอถอนหายใจ
“นี่...แค่ตุ๊กแกจะกลัวอะไรกันนักหนา ตกลงผู้ชายป่ะเนี่ย”
“ก็มันตกใจนี่ โบราณเขาว่าไว้ ถ้าไปไหนแล้วตุ๊กแกทัก จะเกิดเรื่องร้าย”
“เอามือตุ๊กแกของนายออกไปจากบ่าฉันก่อนไป”
สนธยารีบผละจากเจนนี่
“นายมาที่นี่เพื่อมาซื้อบ้าน แล้วนายก็กำลังจะได้เป็นเจ้าของบ้านดีๆ ทั้งสวยงาม ทั้งน่าอยู่ อย่างนี้เขาเรียกว่าเรื่องดี ไม่ใช่เรื่องร้าย ไปเร็ว ฉันจะพาทัวร์”
เจนนี่เดินนำหน้าไป สนธยารีบตาม เจนนี่นำหน้าขึ้นบันไดมาชั้นบนของบ้าน
“สามห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ”
“โอ๊ย...อย่างนี้ก็แย่งกันตายสิครับ”
“ของมันต่อเติมเพิ่มกันได้ อย่าได้แคร์ เรื่องเล็กเรื่องน้อย”
“มีห้องพระไหมครับ”
เจนนี่ชะงัก
“อะไรนะ”
“ห้องพระน่ะครับ ผมโตมากับวัด ติดซะแล้ว ยังไงก็ต้องมีพระอยู่ใกล้ๆ”
“โอเค เรื่องห้องพระ ปล่อยเป็นหน้าที่ของฉัน ฉันจะดำเนินเรื่องให้เอง ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจัดให้ นี่มาดูห้องนอนเล็กสำหรับลูกนายในอนาคตดีกว่า”
เจนนี่เดินนำไปอีกทาง....สนธยารีบตามไป
โฉมฉายกับบำรุงกำลังลุ้นหวยทางวิทยุ แต่ก็ต้องผิดหวังเลขที่ออกไม่ตรงกับที่ตนเองซื้อ ทั้งสองร้องลั่น
“โว๊ย”
“ผิดตั้งแต่ตัวแรกยังตัวสุดท้าย เอาเซ่...ให้มันรู้ไปว่าใครจะเกิดมาซวยอย่างนี้” บำรุงบ่นอุบ
โฉมฉายโวยวาย
“ฉันนี่ไง เกิดมาซวยกว่าที่ดันมามีผัวดวงอับอย่างแก”
“อ้าวๆ อยู่ดีมาโทษฉัน ฉันบังคับให้แกไปซื้อหวยด้วยรึไง”
“ทำไมจะโทษไม่ได้ ดูสิ ตั้งแต่ได้แกเป็นผัว ชีวิตมีแต่เจริญฮวบๆจนก็จน หน้าตาก็ห่วย ดวงชะตาดันเฮงซวย ไม่เคยมีเรื่องดีๆเข้ามาในชีวิต ทั้งหมดเพราะแกเนี่ยแหละ”
“เอ้า นังนี่เดี๋ยวปั๊ดตบจูบ เป็นละครหลังข่าวซะเลยนี่”
“เอาสิวะ แกตบฉันเตะ”
บำรุงโฉมฉายเถียงกันอยู่ เจนนี่เข้ามาพอดี
“เอ้าๆ ตีกันอีกแล้ว เอะอะด่ากันอยู่ได้ พอหยุ๊ด หมดยก”
โฉมฉายหันไปแว๊ดใส่ทันที
“แกสิหยุด เรื่องของผัวเมีย ไม่จ่ายค่าเช่าบ้านยังเสนอหน้ามาอีก อยากโดนด้วยรึไง”
“ที่เสนอหน้ามาเนี่ยเพราะมีข่าวดีจะมาบอก ฉันขายบ้านได้แล้ว”
บำรุงกับโฉมฉายหันมามองเจนนี่
“จริงดิ”
เจนนี่พยักหน้า
“ก็เออสิ”
บำรุงกับโฉมฉายหันมามองหน้ากันแล้วกระโดดขึ้นสุดตัว
“ขายบ้านได้แล้ว” โฉมฉายดีใจ
“เราจะรวยกันแล้วโว้ย” บำรุงตะโกนลั่น
สองผัวเมียกอดกันกลมด้วยความดีใจ...
“แหมรีบรักกันขึ้นมาเลยนะ หาคนซื้อได้แล้ว อย่าลืมเรื่องค่านายหน้าล่ะ”
โฉมฉายจ้องหน้า
“ตลกแระ ทำไมต้องให้ แกอยู่บ้านฉันฟรีมาตั้งหลายเดือน”
เจนนี่จ้องหน้ากลับ
“ก็ลองดูสิ ถ้าฉันทำให้เขาซื้อไอ้บ้านห่วยๆนั่นได้ ฉันก็เปลี่ยนใจให้เขาไม่ซื้อได้เหมือนกัน”
บำรุงตัดบท
“เอาน่ะๆ ...ให้มันไปเถอะ ขืนเก็บไว้ เราก็ไม่มีปัญญาขายไอ้บ้านเน่าๆ นั่นหรอกน่ะ”
“ก็ได้...ว่าแต่แกไปหลอกมันยังไง มันถึงโง่มาซื้อบ้านหลังนั้นได้วะ”
บำรุงสวนขึ้น
“โอ๊ย...ใครจะสน ลองได้เงินค่าบ้านแล้ว ต่อไปจะเป็นยังไงก็ตัวใครตัวมันล่ะ ไม่มีการรับผิดชอบเด็ดขาด ซื้อแล้วซื้อเลย ไม่รับคืนสินค้า”
โฉมฉายเห็นด้วย
“ใช่”
เจนนี่เบ้หน้า
“แหม ทีอย่างนี้ล่ะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะ ฉันว่าทางที่ดีรีบนัดโอนบ้านให้เสร็จเถอะ เรื่องจะได้จบๆ ซะที”
“คราวนี้เราจะได้เป็นเศรษฐีกันแล้วโว้ย”
บำรุงกับโฉมฉายกอดกันดีใจ เจนนี่มองเซ็งๆ
ค่ำนั้น พิมพ์ดาวคุยโทรศัพท์กับสนธยาอยู่มุมหนึ่งในร้านอาหารริมทะเล
“อะไรนะ จะซื้อบ้านงั้นเหรอ”
สนธยาคุยโทรศัพท์อยู่บริเวณวัด
“อย่าเรียกว่าบ้านเลยครับ เรียกว่าเรือนหอดีกว่า”
“เรือนหองั้นเหรอ...” พิมพ์ดาวอมยิ้ม
“ครับ เรือนหอของเรา...มันจะพร้อมเข้าอยู่เมื่อคุณกลับมา”
บรรยากาศยามค่ำคืนของบ้านร้างที่กำลังจะกลายเป็นเรือนหอ...เสียงหมาหอนดังรับต่อกันเป็นทอดๆ
“ปล่อยฉันออกไปด้วย...ปล่อยฉันออกไปที...ขังฉันไว้ทำไม...อย่าให้กูออกไปได้นะโว้ย”
เสียงอู้อี้ๆ ของผีทั้งชายและหญิงดังขึ้นท่ามกลางความเงียบบรรยากาศชวนหลอนสุดขีด
อ่านต่อตอนที่ 3