ปีกมาร ตอนที่ 6
เช้าวันต่อมา แม่ลูกอยู่ด้วยกันนห้องโถง นวลนภาส่งเงินให้ภาษิตสองพัน
“เอ้า แวะซื้อกระเช้าดอกไม้แล้วไปเยี่ยมคุณลุงประสูตินะอย่าเหลวไหลอีกล่ะ ตอนแกป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก คุณลุงมานอนเฝ้าตั้งหลายคืน ญาติผู้ใหญ่น่ะ...พยายามเคารพนับถือมากๆ เพราะเหลืออยู่ไม่กี่คนแล้ว แล้วแต่ละคน...ก็คงจะอยู่อีกไม่นานหรอก”
ภาษิตตอบนอบน้อม แต่ท่าทางทะเล้น
“ครับผม”
“อย่ามาทะลึ่งกับแม่ ไป...แล้วอย่าให้เหมือนคราวที่แล้วอีกนะ”
“คร๊าบ”
ภาษิตจูบเงินก่อนเดินออกไป นวลนภามองตามไปส่ายหน้า
ด้านฉวีอยู่บนเตียงในห้องพักฟื้นนอนหลับตานิ่งๆ เพียรภมรนั่งเฝ้าแม่ สักพักจึงหยิบกระเป๋าเอกสารเดินไปยังประตูหันมามองฉวีอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะเปิดประตูเดินออกไป
ขณะนั้น ภาษิตเดินหิ้วกระเช้าดอกไม้ ผิวปากอย่างอารมณ์ดีเข้ามาในโรงพยาบาล สวนทางกับเพียรภมรโดยที่ไม่ได้ทักทายหรือสนใจ ภาษิตชะงัก วางกระเช้าทิ้งแล้ววิ่งตามเพียรภมรออกมา
“นี่ คุณ จำผมไม่ได้หรือ ผมไงล่ะ...ผมเคยช่วยคุณตอนที่คุณ...เอ้อ..ช่างเถอะ คุณคงไม่อยากให้ผมพูดถึงมัน”
“คุณต้องการอะไร คำขอบใจยังงั้นหรือ” เพียรภมรจ้องหน้า
“ใครบอกว่าผมต้องการแค่นั้น”
“งั้นคุณต้องการอะไร”
น้ำเสียงและแววตาของเพียรภมรกระด้างและเย็นชา
“ข้าว...ข้าวหนึ่งมื้อ สำหรับการตอบแทนในความมีน้ำใจของสุภาพบุรุษที่ยังไม่สูญพันธุ์”
เพียรภมรเบนสายตามาจ้องมองภาษิตด้วยความรู้สึกเกลียดชัง
“ตกลง”
ฝ่ายศลัยลาวิ่งหนีขึ้นเนิน โดยมีลายสือวิ่งตามขึ้นมา ผลึกแอบสะกดรอยตามลายสือ ด้วยความเหนื่อยอ่อน
“คุณ ฟังผมก่อนนะ ใช่ คุณแก่กว่าผมแล้วมันเป็นยังไง...มันช่วยไม่ได้นี่ที่คุณหนีมาเกิดก่อน มันเป็นความผิดของใครล่ะ ที่ผมเกิดไม่ทันคุณ”
“ลายสือ เลิกตอแยกับฉันเสียทีเถอะ คุณยังเรียนอยู่นะ”
“ผมกำลังจะจบ มันไม่ใช่ข้อห้ามไม่ให้ผมรักคุณ มันไม่ได้อยู่ที่ผมเด็กหรือคุณแก่ มันอยู่ที่ว่าคุณจะหย่ากับเขาหรือเปล่า”
“ไม่..!”
“แต่ผมเห็นเขาที่สถานีรถไฟ ผมรู้ว่าถึงยังไงคุณกับเขาก็ไปกันไม่รอด!”
“ฉันรักเขานะ ลายสือ”
“วันหนึ่ง..คุณก็ต้องรักผม!”
“ทำไม”
“เพราะผมจะทำให้คุณรัก”
ศลัยลาหยุดก้าวกึก ต่างสบสายตาของกันและกัน แววตาศลัยลาหวั่นไหว
“แม้ว่า..โลกจะเรียกคุณว่าชายชู้ยังงั้นหรือ คุณกล้าเสี่ยงเอาอนาคตของคุณทั้งชีวิตมาวางไว้กับฉัน...กล้าเสี่ยงหรือ”
“ผมกล้าแน่...ถึงตอนนั้นผมจะเป็นฝ่ายถามคุณ...ว่าคุณกล้าเหมือนอย่างที่ผมกล้าหรือเปล่า”
ลายสือวิ่งลงเนินเขาไป ศลัยลามองตามไปด้วยแววตาฉงนฉงาย และหวั่นไหว ผลึกซึ่งแอบสังเกตการณ์อยู่มองสองคนด้วยความสนใจ
ฟากสองคนอยู่ในร้านอาหาร ภาษิตรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เพียรภมรนั่งมอง
อย่างเฉยเมย เย็นชา
“คุณ อ้าว ทำไมนั่งเฉยๆ ล่ะ คุณทำยังงี้ผมเขินนะ”
“ฉันกินอะไรไม่ลงหรอก เพราะเมื่อตอนที่ฉันเป็นเด็ก ฉันก็เห็นแก่กินอย่างคุณนี่แหละ แล้วคุณรู้มั้ย...กินเข้าไปแล้วไอ้อาหารดีๆ พวกนี้มันคายกากตัวเองออกมาเป็นอะไร”
ภาษิตชะงัก ทำหน้าผะอืดผะอม
“แหม ว่าจะสั่งของแพงๆ อีกเลยสั่งไม่ลง”
“ความสำคัญของการกิน กับคุณค่าของการกินมันต่างกันนะ”
“ผมรู้...กินแล้วมันจะคายกากออกมาเป็นของเสีย หลังจากที่ร่างกายกลั่นเอาคุณค่าออกไปหมดแล้ว เอาละ...เอาเป็นว่าผมพอใจกับการตอบแทนของคุณก็แล้วกัน ตายละโว้ย..
ภาษิตเพิ่งนึกได้ว่าทิ้งดอกไม้ไว้ที่โรงพยาบาล ผุดลุกขึ้นยืน
“ผม...ผมยังไม่ได้ไปเยี่ยมคุณลุงเลยนี่ ผมต้องไปแล้วละคุณ”
ภาษิตวิ่งออกไปย่างรีบร้อน เพียรภมรมองตามไป ด้วยแววตากระด้าง ยิ้มเหยียดให้ภาษิตตามเคย
ด้านผลึกเดินตามลายสือออกมา ลายสือตักน้ำไปยืนล้างหน้าอยู่ที่ระเบียงบ้านพัก
“เมื่อวานกูออกไปสำรวจต้นงิ้วว่ะ ไอ้ที่เชื่อกันว่าต้นงิ้วมันเหี้ยนหนามน่ะ...เป็นความเชื่อที่ผิดโว้ย เพราะฉะนั้นถ้ามึงคิดจะปีนต้นงิ้ว ตัดสินใจให้แน่ๆ”
สีหน้าลายสือขรึมลง เมินมองไปทางหนึ่งด้วยความละอายใจ
“แล้วจะมาพูดหานรกอะไรล่ะ”
“เออ นรกลงแน่ถ้ามึงไม่หยุดตัวเอง ผู้หญิงเขาไม่ได้ใยดีมึง เขามีผัวมีลูก มึงบ้าหรือไงกันแน่วะไอ้สือ นี่ มึงบอกมาตรงๆ นะที่มึงพยายามตื้ออยู่นี่ เอาจริงหรือว่าเล่นๆ”
ลายสือไม่ตอบ เดินหนี ผลึกยังเดินตาม
“มาบอกซีวะ เล่นๆ ก็แค่นั้น กูจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับมึงเดียวนี้เลย ไอ้สือ..มึงเป็นอะไรไปวะ เราก็เคยจีบแม่ม่ายพายเรือมาด้วยกัน ไม่เห็นมีอะไรต้องผูกพันเลย มึงยังมีอนาคตนะโว้ย ทำไมมึง..”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น กูไม่อยากฟัง!”
ลายสือเดินออกไป ผลึกโกรธ ตะโกนด่าไล่ตามหลังไป
“กูจะพูด...กูจะพูดจนกว่ามึงจะฟังเสียงกู ไอ้บ้า...ไอ้โง่..ไอ้...ไอ้ทึ่ม..ไอ้...ไอ้...แหม...กูไม่รู้จะเรียกมึงว่ายังไงดีนะไอ้สือ....ไอ้...ไอ้เพื่อนไม่สั่งสอน!”
ผลึกลืมตัวสะดุ้งเบาๆ สีหน้าเจื่อนลง
ชาวบ้านของบ้านเชียงนั่งทอผ้าอยู่ใต้ถุนเรือน ศลัยลา และผจงจิตเดินชมผ้าที่ทออยู่
ผจงจิตผ้าทอมือนี่กรรมวิธีมันซับซ้อนนะ ชาวบ้านส่วนใหญ่ทอกันใช้กันเองในครัวเรือน ได้เนื้อผ้าที่มีคุณภาพแล้วก็ต้นทุนต่ำ ผ้าทออีสานมีสองแบบที่เรียกว่ากี่ธรรมดากับกี่กระตุก
ชาวบ้านเว้าตอบ อธิบายด้วยภาษีอีสาน “ค่ะ คุณขา กี่กระตุก กี่ทุกข์กี่ยาก กี่ลำบากกี่ธรรมดาค่ะ”
“เอ๊ะ ทำไมล่ะคะ”
ผจงจิตอิบาย “ก็กี่กระตุกนี่มันเร็วก็จริง แต่เวลาฝ้ายยืนขาดละก็ต้องต่อด้ายกันหูตาเหลือก แต่กี่ธรรมดาเวลาด้ายยืนขาดก็ต่อง่ายๆ แต่เวลาทอเท่านั้นที่มันช้า...เออ ศลัยไม่หาซื้อผ้าทอไปฝากคุณแม่ของภูเขาหรือ ไม่แน่หรอกของกำนัลถึงๆ เสียหน่อย ขี้คร้านจะยอมให้เธอกับภูฉายดีกัน”
มือที่กำลังเลือกดูผ้าของศลัยลาชะงัก สีหน้าสลดลง
เวลาเดียวกันภูฉายนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้ยาว เปิดดูอัลบั้มรูปแต่งงานด้วยความคิดถึงศลัยลาสลักเดินมากระชากออกไป
“รูปแต่งงาน...เอามาดูทำไม ไม่เห็นมีอะไรน่าดูเลย”
“แต่...แม่ครับ”
“รูปก็คือรูป ความหลังก็คือเวลาที่มันผ่านมาแล้ว แกจะไปนึกถึงมันทำไมอีก มันมีแต่จะทำให้แกเดินย้อนรอยเดิม”
“ผมคิดถึงศลัยลาครับ...แม่”
“แต่นังศลัยน่ะ มันจะคิดถึงแกบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ เชื่อแม่ซีภูแกต้องพยายามตัดใจ มัย..นังมัย”
ละมัยเข้ามา
“ขา”
“เอารูปนี้ไปเผาทิ้ง!”
ภูฉายตกใจ “แม่ครับ”
สลักเสียงดังกว่าเดิมอีก"เอาไปเผาทิ้ง!"
ละมัยอึ้ง “เผาทำไมล่ะคะ ก็รูปนี่มันรูป...”
“ฉันสั่งให้เอาไปเผาทิ้ง!”
“ค่ะ”
ละมัยนำอัลบั้มรูปออกไป
ทั้งสองแม่ลูกต่างคนต่างพยายามปรับอารมณ์ให้ลดลง สลักเปลี่ยนท่าทีเป็นปลอบโยนลูกชาย เมื่อเห็นภูฉายเงียบลง ไม่พูดไม่จา
“ต่อไปนี้..แกจะลืมศลัยลาได้แล้ว ไม่มีรูปแต่งงาน ไม่มีความหลังระหว่างแกกับศลัยลาอีกต่อไปแล้วละ ภูฉาย”
ภูฉายอึกอัก ไม่ยอมตอบรับ สลักน้ำเสียงเข้มขึ้น
“จริงมั้ย ภู”
“เอ้อ…”
สลักเสียงเข้ม และดังมากขึ้นอีก “จริงมั้ย”
“ครับ..แม่”
สีหน้าภูฉายสลดลงอย่างยอมจำนน
ปีกมาร ตอนที่ 6 (ต่อ)
ภาษิตนอนดูโทรทัศน์อยู่ นวลนภาเพิ่งกลับจากนอกบ้านสีหน้าเคร่งเครียด จับผิด ชี้หน้าภาษิต
“ฉันเพิ่งไปเยี่ยมคุณลุงประสูติมา”
“อ๋อ ครับ แฮ่ะๆ แล้วยังไงครับ”
“คุณลุงก็ยังไม่เคยเห็นหน้าหลานรักพร้อมกับกระเช้าดอกไม้ราคาสองพันเลย”
ภาษิตพรวดพราดลุกขึ้นนั่ง ทำท่าจะวิ่งหนี เมื่อนวลนภาทำท่าจะบิดหู
“โอ้ย อย่าครับ คุณแม่ ผมมีเหตุจำเป็นจริงๆไม่เชื่อคุณแม่ไปถามคุณเพียรภมรก็ได้ ผมไม่ได้งุบงิบเงินเลยจริงๆ ผมซื้อกระเช้า แต่ว่า...”
“ถ้าแกซื้อ แล้วทำไมกระเช้าไม่ถึงมือคุณลุง”
“ก็...ก็เพราะว่าคุณ...คุณเพียรภมรซีครับ แหม...คือว่ามันมันเป็นเหตุสุดวิสัย”
นวลนภาชะงัก สีหน้าแปลกใจ
“หนูเพียรภมรไปทำอะไรที่โรงพยาบาล”
พยาบาลกำลังสวมเครื่องช่วยหายใจ พยายามช่วยชีวิตของฉวี ซึ่งมีอาการของโรคแทรกซ้อนขึ้น เพียรภมรเปิดประตูเข้ามา สีหน้าตื่นตระหนก
“แม่เป็นอะไรคะ”
“คุณออกไปก่อนค่ะ เราแจ้งคุณหมอทราบแล้วค่ะ”
“แม่”
พยาบาลกันเพียรภมรออกไป เมื่อหมอเข้ามาอย่างรีบร้อน
“แม่”
“กรุณาออกไปรอข้างนอกค่ะ”
พยาบาลกันเพียรภมรออกไป แล้งจึงดึงม่านปิด
ภูฉายนั่งรออยู่ที่เก้าอี้รับแขกเงียบๆ ภาษิตแต่งตัวเดินลงมา แปลกใจเมื่อเห็นพี่เขย
ภาษิตยกมือไหว้ “พี่ภู มาเมื่อไหร่ครับ”
“สักครู่”
“มาหาแม่หรือครับ คุณแม่ไม่อยู่ไปเยี่ยมคุณลุงประสูติที่บ้านไม่ได้บอกเสียด้วยว่าจะกลับเมื่อไหร่ เอายังงี้มั้ยครับ ให้คุณแม่โทร.กลับก็ได้”
“ไม่ต้อง พี่แค่มาถามข่าวศลัยน่ะ ศลัยส่งข่าวมาบ้างหรือเปล่า”
“เปล่านี่ครับ”
“แปลก..ทำไมศลัยเงียบไป”
“พี่ศลัยคงจะสนุกกับการทำงานจนไม่มีเวลาส่งข่าวถึงใครน่ะครับ...พี่ภูไม่ต้องห่วง พี่ศลัยคงดูแลตัวเองได้ คุณแม่เป็นคนที่ที่เลี้ยงลูกให้ลูกช่วยตัวเอง...ไม่ว่าลูกผู้หญิงหรือลูกผู้ชาย!”
“งั้นพี่กลับละ จะออกไปข้างนอกหรือ”
“ครับ”
“ติดรถพี่ไปมั้ยล่ะ”
“ไม่ละครับ”
ภูฉายหยิบกุญแจรถยนต์ของศลัยลาออกมา
“กุญแจรถของศลัย บางทีเธออาจจะต้องใช้รถ ไปเอาเองที่บ้านก็แล้วกัน”
ภูฉายวางกุญแจใส่มือภาษิตแล้วเดินออกไป ภาษิตมองกุญแจในมือ มองตามพี่เขยไปอย่างแปลกใจ
ฟากเพียรภมรนั่งรออยู่อย่างกระวนกระวายภายในท่าทีที่นิ่งและเงียบ สักครู่พยาบาลเดินเข้ามาหา
“เชิญคุณเข้าเยี่ยมได้แล้วล่ะค่ะ”
“แม่เป็นอะไรคะ คุณพยาบาล”
“คนไข้มีอาการแทรกซ้อนตั้งแต่เมื่อคืนนี้ค่ะ คุณหมอสั่งให้ใช้เครื่องช่วยหายใจ”
“แม่ทรุดลงใช่มั้ยคะ”
สีหน้าแววตาของเพียรภมรสลดลง
“แม่”
ฉวีมีอาการทรุดหนักลง ต้องอยู่ในเครื่องช่วยหายใจ และให้อาหารทางสายน้ำเกลือเพียรภมรก้าวเข้ามาช้าๆ
“แม่…”
เพียรภมรยืนมอง ด้วยแววตาที่อ่อนโยน เศร้าหมองเอื้อมมือไปลูบไล้ลำแขนของร่างที่ไร้สติสัมปชัญญะของฉวีอย่างสะเทือนใจ เพียรภมรน้ำตาร่วงพรู
“แม่..แม่อย่าตายนะ อย่าตาย..แม่ต้องอยู่ แม่ต้องลุกขึ้นมาแล้วต่อสู้กับมัน มันก็แค่ผู้ชายสารเลวที่หลงเข้ามาในชีวิตของแม่ คนแล้ว..คนเล่า..คนเลวทั้งนั้น แม่..อย่าตาย..อย่าตาย..!”
เพียรภมรยื่นมือที่สั่นสะท้านไปจับมือของแม่อย่างปวดร้าวใจ ซบหน้าลงสะอื้นไห้
ศลัยลาปลดปล่อยตัวเองเดินลุยน้ำเล่นอยู่ในลำธารเบื้องล่าง ลายสือโยนก้อนหินเล็กๆ ไปตกตรงหน้าศลัยลาพอดี ศลัยลาหันมามอง
“นึกแล้วว่าต้องเป็นคุณ ชาติที่แล้วเป็นพวกก่อกวนซีนะ สันดานถึงได้ติดมาถึงชาตินี้”
“คุณนี่ปากจัดพอใช้นะ แต่ถึงคุณจะด่าผมยังไง ผมก็จะรักคุณยังงี้แหละ”
“กลับไปรอดผ้าถุงแม่กลับมาเกิดใหม่ไป๊ ไอ้หนู!”
ศลัยลัยมองมาด้วยความโกรธ ก่อนเดินออกไป ลายสือค่อยๆ ลุกขึ้นยืน มองตามร่างศลัยลาไป
สายลับอ้วยดำ ผลึก ออกมาจากที่ซ่อน เข้ามายืนใกล้ๆ ลายสือ
“ฉันชักจะเห็นใจแกว่ะ ที่ร่ำๆจะเล่นบทชายชู้นี่ ฉันรู้..ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้”
ผลึกชูหนังสือจิตวิทยาของฟรอยด์
“แกเป็นคนขาดแม่ว่ะ”
ลายสือชะงัก มองหน้าผลึกอย่างขุ่นเคือง ก่อนผละไป
ทางด้านภูฉายนั่งหมกตัวอยู่ในมุมห้องมืดมิด สลักเดินเข้ามาเปิดไฟ
“เป็นผีดิบหรือ ถึงไม่สู้แสงไฟ ไปไหนมาค่ำๆ มืดๆ”
“ไปบ้านคุณแม่ของศลัยน่ะครับ”
“ไปทำไม เขาเจ็บป่วยอ้อนให้แกไปเยี่ยมหรือ พิลึก แม่ตัวเองสามวันดีสี่วันไข้กลับไปห่วงแม่ของคนอื่น”
“ผมไปถามข่าวศลัยน่ะครับ ศลัยเองก็ไม่ได้ส่งข่าวทางบ้าน”
“งั้นก็คงจะสนุกจนลืมคนข้างหลัง ไอ้อ้างไม่มีเวลาน่ะ....อย่ามาอ้างเลย ทำราชการเช้าชามเย็นชามอยู่แล้วใครจะเชื่อ ศลัยลาหมดใจกับแกแล้วน่ะซี”
“พรุ่งนี้ผมจะไปขอนแก่นนะครับแม่”
ภูฉายตัดสินใจ เดินขึ้นขั้นบนไม่ยอมเหลียวหลัง
“ภู ภู เดี๋ยวก่อน ภู…”
สีหน้าแววตาของสลักซีดสลดลง
เวลานั้นภาษิตกำลังเช็ดรถยนต์ ขณะนวลนภาเดินออกมาถามอย่างแปลกใจ
“นั่นรถของศลัยนี่ มาอยู่นี่ได้ยังไง”
“พี่ภูเขาเอากุญแจมาให้ผม ผมก็เลยไปเอากลับมา รถคันนี้แม่ซื้อให้พี่ศลัย ไม่ได้ซื้อให้ลูกเขยไม่ใช่หรือครับ”
นวลนภาติง “มันจะไม่น่าเกลียดหรือ แกทำอะไรต้องนึกถึงจิตใจของภูฉายเขาบ้างนะ เขากำลังมีปัญหากันอยู่ เขารักกัน...แต่ต้องมาแยกกันเพราะเรื่องคนอื่น แม่ละสังเวชจัง”
“แต่ถ้าหย่ากัน คุณนายสลักมายึดทั้งบ้านทั้งรถ คุณแม่จะสังเวชลูกสาวตัวเองยิ่งกว่านี้” ภาษิตค่อนแคะ
“แกก็เลยทำตัวเป็นผู้หวังดีซีนะ ศลัยก็พิลึก ไม่ส่งข่าวถึงภูฉายก็น่าจะนึกถึงตาหนูบ้างไม่รู้ศลัยทำใจได้ยังไง แม่ละทำไม่ได้หรอก ไม่โหดพอ”
“ฟังแล้วเหมือนพี่ศลัยเป็นแม่มดเลยนะครับ แต่ใครจะรู้ล่ะ..ว่าแม่มดอย่างพี่สาวผมจะมีความรู้สึกยังไง”
ท่าทีภาษิตขุ่นเคืองและเจ็บปวดแทนศลัยลา
เงาของศลัยลากำลังนั่งกอดเข่า ดูรูปลูกอยู่บนโขดหินเหนือน้ำตก น้ำตาของศลัยลาหยดรินหลั่งลงมาเงียบๆ ลายสือก้าวเข้ามา
“ผมไม่อยากเห็นคุณร้องไห้เลย”
“ไม่มีใครหัวเราะได้ตลอดเวลาหรอกลายสือ”
“ถ้าคุณรักเขา ทำไมคุณขาดความเชื่อมั่นในตัวคุณเองกับเขา ถึงขั้นร้องไห้ คุณกำลังจะหมดรักเขาใช่มั้ยล่ะ”
“เพราะฉันยังรักเขาอยู่...ฉันกำลังภาวนาขอให้เรายังรักกันอยู่เพื่อลูก ฉันขอให้เป็นยังงั้นจริงๆ”
ศลัยลาซบหน้ากับรูปของลูกบนฝ่ามือ ร่ำไห้
สีหน้าแววตาของลายสือสลดลง
อ่านต่อตอนต่อไป เวลา 9.30 น.
เช้าวันต่อมา ภูฉายหิ้วกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆ ลงบันไดมา ละมัยกำลังทำงานบ้านอยู่
“ดูแลตาหนูด้วยนะมัย ฉันจะไปสักสองสามวัน”
“ค่ะ”
สลักเดินออกมา สีหน้าแปลกใจ ภูฉายยังมองไม่เห็นแม่ มัวแต่ควักเงินให้ละมัย
“นี่เงินค่ากับข้าว กับค่านมตาหนู อย่าซื้อโจ๊กสำเร็จรูปมาป้อนนะ มันมีสารกันบูดผสม ต้องเคี่ยวเอง ไม่เสียเวลาสักเท่าไหร่หรอก”
“ค่ะ”
สลักนิ่งคิด แล้วเริ่มมารยา ออกอาการเวียนศีรษะ ขณะถามลูกชาย
“โอย นั่นแกจะไปแล้วหรือ ภู”
ภูฉายชะงัก “แม่ แม่เป็นอะไรครับ”
“ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงแม่หรอก โอย...มัย...ฉันใจสั่นยังไงไม่รู้ ประคองฉันที”
ภูฉายวิ่งเข้ามาประคองสลัก สลักเป็นลมพับลงในอ้อมแขนของภูฉาย
“แม่..!”
สีหน้าแววตาของภูฉายตื่นตกใจมาก
รถของศลัยลาจอดอยู่หน้าบ้าน ภาษิตแต่งตัวนักศึกษาเดินลงมายังรถยนต์ ผิวปากท่าทีร่าเริง
นวลนภาเดินตามลงมาด้วยท่าทีกังวล
“เอารถศลัยมาใช้น่ะ แกต้องดูแลรักษาให้ดีนะเดี๋ยวรถเก๋งเขาจะกลายเป็นรถบรรทุกเพื่อนไปซะ”
“โธ่ คุณแม่ รถจอดไว้เฉยๆ มันเสื่อมนะครับ มันต้องใช้บ้างจอดบ้าง”
“แกก็จะอ้างเอาบุญคุณใช่มั้ยล่ะ ที่เอารถมาใช้นี่”
“ผมลืมไป จ่ายมาซะดีๆ ค่าน้ำมัน พันห้าครับ..พันห้า สองร้อยเดี๋ยวนี้มันเติมได้เสียที่ไหนล่ะน้ำมันน่ะ ได้แต่น้ำมูกครับ”
นวลนภามองค้อน ควักเงินออกมาจ่ายให้อย่างเสียไม่ได้
“ฉันก็ว่าจะไม่บ่นแล้วเชียว ไหนจะเสียค่าน้ำลายไหนจะเสียเงิน เอ้า เอาไป อาทิตย์นึงนะ...ไม่ใช่เติมน้ำมันวันละพันห้าทุกวัน”
“ไปละครับ คุณแม่”
ภาษิตขับรถยนต์ออกไป นวลนภามองตามไป
ด้านภูฉายนั่งรออยู่หน้าห้องตรวจโรคที่โรงพยาบาล พยาบาลประคองสลักออกมา
“อ้าว ทำไมไม่นอนสักคืนสองคืนล่ะครับ แม่ไม่สบาย”
“นอนเข้าไปยังไงไหว คลินิกคืนละห้าพันน่ะ สองคืนก็หมื่นเข้าไปแล้ว พอบอกราคาฉันเลยหายเวียนหัวเป็นปลิดทิ้งเลย!” สลักอ้าง
“ช่างมันเถอะครับแม่ ก็เงินแค่นั้น”
สลักค้อนภูฉาย ท่าทางกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก
“เงินตั้งหมื่น แกคิดว่าแค่นั้นเองหรือ ไม่เอา...เอายาแล้วกลับไปนอนที่บ้านดีกว่า อีกอย่างหนึ่งแม่เป็นห่วงตาหนู จะปล่อยให้อยู่กับนังมัยได้ยังไง นังนั่นมันเป็นแค่คนใช้”
“งั้นผมขอรับยา แล้วรับคุณแม่กลับบ้านน่ะครับ คุณพยาบาล”
“ได้ค่ะ”
พยาบาลเดินไปจัดยา ภูฉายเดินตามไป สลักทรุดตัวลงนั่ง ปรายตาชำเลืองมองตามไปยังภูฉาย
แววตาของสลักฉายแววตาพอใจ ที่แผนของตนสำเร็จ ทำให้ภูฉายไม่ต้องไปขอนแก่น
ขณะที่ภาษิตขับรถยนต์มาติดไฟแดง เห็นรถยนต์ของภูฉายเข้ามาจอดเทียบ โดยมีสลักกำลังนั่งดมยาดมอยู่ กวาดสายตามองไปจ้องมองด้วยความแปลกใจ
“เอ๊ะ นั่นมันรถของเมียแกนี่”
“ครับ ผมให้ภาษิตเอาไปใช้ ดีกว่าจอดอยู่เฉยๆ”
สลักโวยลั่น “ต๊าย ทำไมแกถึงได้โง่ยังงั้น ก็ถ้ารถแกเสียล่ะ มิต้องเสียเงินนั่งแท็กซี่หรือ นี่ขนาดแกยังไม่ได้หย่านะ มันยังรื่นเริงครึกครื้น นี่เรื่องหย่าของแกคงผ่านอนุมัติของคนพวกนี้แล้วซีท่า!”
ภูฉายทำหน้าเบื่อๆ เลี้ยวรถยนต์ไปคนละทางกับภาษิต
เย็นนั้น ศลัยลาหิ้วรองเท้าผ้าใบออกมานั่งสวมที่หน้าบ้านพักผจงจิตเดินตามออกมา
“วันนี้หมอกหนานะ เธอจะออกไปวิ่งหรือ”
“ไปด้วยกันมั้ย” ศลัยลาชวน
“โอ้ย ไม่ไหว ฉันสงวนไขมันเอาไว้ดีกว่า ศลัยถ้าวิ่งไปเจอต้นงิ้วละก็..ถอยให้ห่างๆ เลยนะ”
น้ำเสียงผจงจิตขบขัน แต่มีความนัยของการเตือนสติ ศลัยลาสีหน้าสลดลง พยักหน้าก่อนที่จะวิ่งออกไป
ผจงจิตมองตามไปอย่างห่วงใย
ศลัยลาวิ่งมาตามเนินกว้างของบริเวณเนินเขาที่มีทัศนียภาพงดงามในยามตะวันตกดิน ลายสือวิ่งตาม ท่าทีเหนื่อยหอบ
“นี่ถ้าคุณให้ผมวิ่งอีกกิโลครึ่งขีด มีหวังผมตับแลบออกมาจากร่างแน่”
ศลัยลาหยุด หันไปมองด้วยแววตาเครียด
“ยังหนุ่มยังแน่น วิ่งตามคนแก่ไม่ทันขายหน้าแย่”
“โธ่ ก็คุณไม่ใช่คนแก่กะโหลกกะลานี่ จะได้ตามทันง่ายๆ”
“ขอบใจนะที่บอกฉันว่าฉันเป็นคนแก่หนังเหนียว แก่ง่าย..ตายช้า!” ศลัยลายิ้มบางๆ
ลายสือชอบใจ “เวลาคุณยิ้ม คุณทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้นเยอะเลย ทำไมไม่ยิ้ม”
“อย่าพยายามรวมเราไว้ในโลกใบเดียวกันเลย มันไม่สำเร็จหรอกลายสือ”
“ทำไม ในเมื่อผมเองก็ไม่ใช่คนรักใครง่าย ผมเบื่อที่จะต้องเดินตามจีบผู้หญิง รับใช้บริวารที่เป็นเพื่อน จนถึงวงวารว่านเครือแม่เจ้าประคุณ หรือแม้แต่หมาที่บ้าน ผมรักคุณ มันเร็วไปก็จริง แต่ผมก็รัก ผมก็เสียใจนะ ที่จริงผมควรจะแค่ชอบคุณมากกว่า”
“ใช่ คุณควรจะเสียใจ เพราะฉันเกลียดคุณ”
ศลัยลาวิ่งหนีไป ลายสือมองตาม ก่อนที่จะวิ่งตามออกไป
อ่านต่อหน้า 3
ปีกมาร ตอนที่ 6 (ต่อ)
ค่ำนั้น นวลนภากำลังทำอาหารอยู่ในครัว เป็นอาหารค่ำที่จัดอย่างสวยงาม บอกนิสัยประณีต และความเป็นแม่บ้านของนวลนภา สักครู่ภาษิตเดินเข้ามาหา
“ผมไปเยี่ยมคุณลุงมาแล้วนะครับคุณแม่ ตามไปเยี่ยมไข้ที่บ้าน”
“กว่าจะเยี่ยมกันสำเร็จ แม่ก็เคี่ยวเข็ญแกแทบตาย นี่ถ้าคุณลุงรู้เข้าละก็...”
ภาษิตสวนออกมา “คุณลุงไม่ใช่คนเจ้ายศบทกลอนเหมือนยายคุณนายสลักหรอกครับ ลูกหลานไปเยี่ยมท่านก็ยังชวนกินโน่นกินนี่เลย”
“พูดถึงคุณสลัก แม่อยากไปเยี่ยมตาหนู” นวลนภาว่า
“ผมไม่ไปนะ ผมจะรอพี่ศลัยกลับมาก่อน คุณแม่ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ศึกแย่งลูกนี่ถ้าพี่ศลัยชนะ ก็ต้องมาตกหนักคุณแม่อยู่ดี”
“ฉันก็ว่ายังงั้นแหละ เออ..แล้วรู้หรือยัง หนูเพียรภมรไปที่โรงพยาบาลทำไม ใครเจ็บป่วยหรือ”
ภาษิตสงสัยเช่นกัน
“นั่นน่ะซีครับ ใคร”
ที่ห้องพักฟื้นในโรงพยาบาล หมอกำลังจับชีพจรของฉวี แล้วจึงสวมเครื่องช่วยหายใจคืน เพียรภมรเปิดประตูเข้ามาพอดี
“แม่เป็นยังไงบ้างคะ”
“พ้นขีดอันตรายแล้วละครับ แต่หลังจากนั้น...”
“ทำไมคะคุณหมอ”
“คงต้องใช้เวลาสำหรับการฟื้นฟูอีกนานครับ”
“หมายความว่า..แม่..แม่จะพิการ”
“เรื่องนี้เราเห็นจะต้องคุยกันทีหลัง”
ใบหน้าของเพียรภมรหมองเศร้า เปล่งเสียงออกมาอย่างสะเทือนใจ
“แม่…”
ภาษิตเดินเลี้ยวมุมตึก เพียรภมรเปิดประตูห้องพักฟื้นออกมา น้ำตาไหลเงียบๆ ภาษิตก้าวเข้ามา
“คุณ เป็นอะไรน่ะ”
“แม่..นี่ถ้าฉันรู้ว่า..แม่จะมีชีวิตแค่ช่วงสั้นๆ ฉันจะไม่บีบให้แม่ทำในสิ่งที่แม่ไม่ต้องการจะทำ ฉันจะไม่พยายามปั้นแต่งให้แม่เป็นอย่างที่ฉันต้องการ...แม่สาหัส..อาจจะพิการเพราะผู้ชายเลวๆ ที่มันมีอยู่เกลื่อนโลก แม่ของฉันต้องกลายเป็นคนพิการ..เพราะพวกคุณ!”
เพียรภมรแผดเสียงใส่หน้าภาษิตด้วยความเกลียดชัง
เห็นกิริยาอาการของเพื่อนพี่สาว สีหน้าแววตาของภาษิตตื่นตระหนกมาก
ตอนเช้า ภูฉายอยู่ในชุดทำงาน ยืนชงกาแฟอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม กังวล ทุกข์ใจอยู่เงียบๆ สลักเดินเข้ามา
“อ้าว ยังไม่ไปทำงานอีกหรือภู นี่เก้าโมงแล้วนะ แม่ก็นึกว่าแกไปแล้ว”
“รถเป็นอะไรก็ไม่รู้ครับ สตาร์ทไม่ติด แม่โทร.ไปตามช่างแล้วล่ะครับ”
“นั่นไง นี่ถ้าแกไม่ให้กุญแจไอ้พวกนั้นไป แกก็ยังมีรถศลัยลาใช้ พวกนั้นมันคงจ้องจะขนย้ายข้าวของมีค่าแล้วละ ถ้าถอนเสาเรือนได้มันคงถอนแน่!”
“เอ้อ..ก็มันของศลัยลาทั้งนั้นนี่ครับ”
“แกพูดยังงั้นได้หรือ แต่งงานกันแล้วมันต้องเป็นของๆแกครึ่งนึง ไปจัดการเอารถคันนั้นคืนมา แกจะได้ไม่ต้องเสียค่าแท็กซี่”
ภูฉายเครียด รู้สึกลำบากใจ
ส่วนที่บ้านนวลนภาเวลานั้น นวลนภากำลังทำงานบ้านอยู่ ภาษิตเดินเข้ามาเงียบๆ
สีหน้าเคร่งขรึม ครุ่นคิด
“เป็นอะไร ภาษิต”
“เพื่อนพี่ศลัยคุณเพียรภมรน่ะครับแม่ ผมเพิ่งรู้ว่าทำไมคุณเพียรภมรถึงไม่ยอมแต่งงาน!”
ภาษิตเดินขึ้นชั้นบนไป นวลนภามองตามลูกชายไปอย่างแปลกใจ
ฟากศลัยลาเดินอยู่ตามลำพังในถนนของหมู่บ้านลายสือเดินตามมา จ้องมองศลัยลา
ศลัยลาหยุดก้าว เลิกคิ้ว
“มองอะไร”
“ผมอยากให้คุณเป็นดินเหนียว ผมจะปั้นคุณให้คุณเป็นผู้หญิงที่น่ารักที่สุดในโลก คุณต้องเป็นผู้หญิงในความฝันของผม”
สีหน้าของศลัยลาค่อยๆ สลดลง
“คุณมีผู้หญิงในความฝันด้วยหรือ”
“ใช่ ตอนผมเป็นหนุ่มเพิ่งแตกพานน่ะ ผมพลิกตำราหาผู้หญิงคนนั้น แต่ตอนนี้...ผมพบคุณ ผมไม่เสียใจหรอก ถ้าวันหนึ่งข้างหน้าเราต้องเดินสวนทางกันโดยไม่มีสิทธิ์ทักทาย”
“บังเอิญฉันไม่ใช่ดินเหนียว ฉันมีดีมีเลวในตัวเอง แล้วก็ไม่ใช่ผู้หญิงในตำรากุลสตรี ฉันเป็นผู้หญิงในความฝันของใครไม่ได้”
ศลัยลาก้าวเดิน
“แม้แต่เขางั้นหรือ”
ศลัยลาถอนหายใจยาว เมินหน้าไป น้ำตาเริ่มคลอดวงตา
“ใช่ เราเคยเข้าไปอยู่ในความฝันของกันมาแล้ว แต่ตอนนี้เรารู้ว่ามันแคบ...มันแคบเสียจน...เราทนอยู่ด้วยกันไม่ได้!”
“คุณยังรักเขาอยู่”
“ใช่ ฉันยังรักเขา”
“ถ้าคุณหย่ากับเขาแล้ว คุณต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน ถึงจะลืมเขา”
ศลัยลาหันมาสบสายตาของลายสือ
“คุณจะรอหรือ อย่าเลย...อย่ารอ คุณจะเสียเวลาเปล่าๆ”
ศลัยลาเดินออกไป ลายสือมองตามไป ถอนหายใจอย่างกังวล ครุ่นคิดหนัก
ศลัยลาเดินเข้าบ้านพักมา แววตายังมีริ้วรอยของความหม่นช้ำ ผจงจิตสังเกตเห็นกิริยานั้นของศลัยลา แล้วเดินเข้ามาใกล้ๆ
“ไปเที่ยวหมู่บ้านมาหรือ”
“ฮื่อ มีอะไรหรือ”
“ฉันบอกไม่ถูกหรอกศลัย ฉันไม่ได้หมายถึงฉันมองศลัยในแง่นั้น รู้ว่าคนอย่างศลัยคงมีสติพอที่จะ..ไม่ทำ!”
ผจงจิตย้ำคำว่า “ไม่ทำ” หนักแน่นมาก
“รู้ได้ยังไง”
“ศลัย นี่ไม่ใช่เรื่องที่คุณจะประชดภูฉายนะ”
“ถ้าฉันจะเล่นชู้”
ศลัยล่าเอ่ยขึ้น แววตาของศลัยลาข่มขื่น ปวดร้าว ไม่มีแววยินดีสักน้อย
“เรื่องประชดภูฉายไม่ใช่เงื่อนไข แต่มันอยู่ที่กิเลสของฉัน อยู่ที่ความอยากได้ใคร่ดีของฉัน”
“ศลัย”
ศลัยลาสะเทือนใจ น้ำตาไหลลงมา
“ฉันเบื่อตัวเอง...ฉันพยายามสาบานแล้วว่าฉันจะเป็นผู้หญิงที่ดี ฉันจะไม่ทำในสิ่งที่ผิดศีลธรรมของการเป็นเมีย แต่...แต่ฉันรู้ว่า...ฉัน...ฉันทำไม่ได้!”
”ศลัย”
ผจงจิตดึงตัวศลัยลาเข้ามากอดไว้อย่างปลอบโยน ศลัยลาร้องไห้เสียงดัง
ทางด้านสลักดูแลต้นไม้ ปากบ่นพึมพำอยู่คนเดียว ภูฉายนั่งแท็กซี่เข้ามาจอดหน้าบ้าน
“ดูซี มันจะมีกะใจบ้วนน้ำลายใส่กระถางต้นไม้หน่อยก็ไม่มี นังมัยนี่ไม่รู้มันจะตกเป็นทาสของตัวขี้เกียจไปถึงไหน”
ภูฉายเดินเข้ามา
“อ้าว ภู รถยังไม่เสร็จอีกหรือ”
“ยังครับ”
“แล้วทำไมไม่ไปเอารถศลัยลามาใช้ ยังงี้แกก็ต้องจ่ายค่าแท็กซี่ทุกวันน่ะซี”
“ไม่เป็นไรครับแม่ ผมใช้ของที่ทำงานได้”
“รถที่ทำงานเขาให้ใช้ในกิจการของเขาไม่ใช่หรือ หรือว่าแกไม่กล้าไปเอารถฉันจะไปเอง”
“อย่าครับ..แม่!”
“ทำไม แกกลัวพวกมันหรือ”
“แม่ครับ ผมขอร้อง...ผมไม่อยากแตะต้องอะไรที่เป็นสมบัติส่วนตัวของศลัย พรุ่งนี้ผมจะเอารถบริษัทมาใช้”
พูดจบภูฉายเดินขึ้นบ้านไปเลย สลักมองตามภูฉายอย่างไม่พอใจที่ลูกขัดใจ
เพียรภมรเดินลงมาจากโรงพยาบาบช้าๆ ท่าทีเศร้าหมอง สิ้นหวัง ภาษิตก้าวเข้ามายืนประจัญหน้า
“ผมเพิ่งรู้ว่า...”
เพียรภมรสวนทันที ท่าทางถือดี “ไม่เป็นไร ไม่ใช่แม่ของคุณอยู่แล้วนี่ ฉันจำได้ว่า..ฉันไม่ได้ออกปากขอความเห็นใจจากใคร”
“ที่คุณด่าผม ว่าผมทำให้แม่คุณต้องพิการ ผมยอมรับ ใช่...ยอมรับแทนผู้ชายชั่วๆ แต่คุณจะอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ คุณต้องแบ่งพื้นที่ให้คนอื่นเขาอยู่ร่วมกับคุณด้วย”
แววตาของเพียรภมรมองมาอย่างเย็นชา
“เพื่ออะไร”
“เพื่อบอกคนในสังคมนี้ว่าคุณเป็นมนุษย์ไม่ใช่สัตว์เลือดเย็น อย่าให้ความเกลียดของคุณทำลายชีวิตที่ยังเหลืออยู่ของคุณ แลวก็..ทำลายพวกเรา”
เพียรภมรหันกลับมาจ้องมองภาษิต ภาษิตสบสายตาของเพียรภมรอย่างจริงจัง
สีหน้าของเพียรภมร เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ผลุนผลันออกไป
ภาษิตมองตามไป
“คุณ..คุณทนาย”
ผลึกกำลังนั่งแอบจิบเหล้าเถื่อนอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ลายสือ ปิดประตู กำลังจะเดินออกไป
“ไปไหน”
“ไปส้วม”
“แน่นะ...ค่ำมืดดึกดื่นยังงี้ ห้ามข้ามเขตไปแถวเรือนพักผู้หญิงนี่เป็นระเบียบ”
“ไอ้ระเบียบของมึงนี่ เขียนขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ไอ้ผลึก”
“ตั้งแต่มีคนริอ่านจะปีนต้นงิ้วน่ะซีวะ ไปส้วมก็รีบไปเดี๋ยวจะมาเรี่ยราดแถวๆ นี้ ไป”
ลายสือเดินหนีไป ผลึกนั่งก๊งเหล้าขาวต่อ
ส่วนศลัยลานั่งทำงานอยู่ในห้องพัก ผจงจิตอาบน้ำเสร็จแล้วจึงเดินเช็ดหน้าเช็ดผมไปยืนยังหน้าต่าง มองลงไป เห็นลายสือเดินวนเวียนอยู่ข้างล่าง
“แหม ฉันไม่อยากเชื่อเลย”
“ทำไมหรือ”
“ก็ลายสือน่ะซี นี่ถามจริงๆ เถอะ รู้สึกยังไงมั่งที่คุณยังมีน้ำยาพอที่จะเขียนตำรารักกับเด็กหนุ่มนักศึกษาน่ะ...ฮึ”
ศลัยลานึกโกรธ “ครั่นเนื้อครั่นตัว อยากจะฆ่าคนละมั้ง”
จากนั้นศลัยลาผละไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง ผจงจิตมองตามไปด้วยความห่วงใย
คืนนั้นลายสือมัวแต่ชะเง้อมองที่หน้าต่างศลัยลาเดินเข้ามา สะกิด ถามรวนๆ
“ไง หนู ยังไม่นอนอีกหรือ”
“ผมนอนไม่หลับ”
“ก็เลยต้องแวะเวียนมาดูหลังคาเรือนพัก แล้วทำท่าเหมือนไอ้บ้าห้าร้อยจำพวก”
“ครับ เมื่อเด็กๆเคยโดนหมาบ้ากัด ไม่รู้ฉีดยารอบสะดือครบเข็มหรือเปล่า ให้อภัยเถอะ ถ้าผมจะทำอะไรเหมือนหมาขี้เรื้อนเข้าไปทุกที”
“ไปนอนเสียเถอะลายสือ”
แววตาศลัยลาเคร่งขรึม จริงจัง น้ำเสียงตักเตือน
“แต่ผมอยากคุยกับคุณ”
“เมื่อก่อนฉันกับเขาก็มีเรื่องคุยกันไม่จบสิ้น แต่ตอนนี้ถ้าเราหันหน้าเข้าหากันก็หมายถึงเราชวนกันยิกๆ ไปหย่า!”
“จริงๆ แล้วคุณกำลังอ่อนไหวกับเรื่องของเรา” ลายสือบอก
“เปล่า แต่ฉันกำลังชื่นชมกับตัวเองที่หลอกเด็กอย่างคุณได้สำเร็จ”
แววตาของลายสือเว้าวอน บอกถึงความสุจริตใจ และน่ารักอยู่ในที
“ผมจะขอบคุณมาก ถ้าคุณช่วยหลอกให้ตลอดรอดฝั่ง...ได้โปรดกรุณา…”
ศลัยลาสวนออกมา “ไปนอน..!”
“ครับ เห็นหน้าคุณนิดนึง..นิดนึง..หลับสบายแล้ว”
ลายสือยิ้มๆ ก่อนที่จะเดินกลับไป ศลัยลามองตามด้วยความรู้สึกหวั่นไหว
ภูฉายนั่งรับประทานอาหารอยู่เงียบๆ ละมัยรินน้ำมาให้ สลักบ่นจริงจัง
“แม่ไม่เห็นความจำเป็นที่แกจะต้องเอารถบริษัทมาใช้เลย รถศลัยลาก็มีอยู่ทั้งคัน ไปเอาคืนมาเสียก็สิ้นเรื่อง รถยังใหม่ๆ เพิ่งซื้อเมื่อตอนแต่งงานนี่เอง”
“ผมก็สะดวกดีนี่ครับ”
“ไม่ได้หมายถึง..เรื่องสะดวกสบาย แต่แม่หมายถึงสิทธิ์ที่แกยังเป็นสามีอยู่น่ะ”
“จริงซีนะครับ ผมยังเป็นสามีอยู่”
ภูฉายค่อยๆ ลดช้อนในมือลง แววตากระจ่างแจ้งขึ้น
“ผมควรจะปรับความเข้าใจกับศลัยลา”
“นี่ ภู แม่ไม่ได้หมายความถึงเรื่องนั้น เก็บเรื่องปรับความเข้าใจเอาไว้ก่อนเถอะ พอพูดถึงเมียขึ้นมาร่ำๆ จะลืมแม่ทุกทีแกน่ะ วันก่อนถ้าแม่ไม่เจ็บจนเป็นลมเป็นแล้งแกก็คงแล่นไปตามเมียที่ขอนแก่นแล้วใช่มั้ยล่ะ”
“เอ้อ...”
ละมัยมองภูฉายอย่างลุ้นๆ
“แกต้องไปเอารถมาใช้นะ!” สลักยื่นคำขาด
“เอ้อ...”
“แม่สั่งให้แกไปเอารถกลับมา”
ภูฉาย “เอ้อ...” อีก
สลักถามย้ำ “ยังไง”
“ครับ...แม่”
ภูฉายรับคำเบาๆ สลักยิ้มอย่างพอใจ
ละมัยยืนมองมาอย่างสังเวชกับคำตอบของภูฉาย
ด้านภาษิตยืนพิงรถยนต์ คันที่เป็นของศลัยลา เพียรภมรเดินลงมาจากตึกคอนโดที่พัก ชะงักเมื่อเห็นภาษิต
“ผมรู้ว่าคุณจะถามว่า...ผมมาทำอะไรที่นี่...ผมมาดักรอคุณเพื่อถามว่ามีอะไรจะให้ผมช่วยคุณได้บ้าง ในฐานะที่คุณเป็นเพื่อนของพี่สาวผม”
“คุณจะช่วยอะไรฉันได้ คุณยังใส่เครื่องแบบ ยังขอเงินคุณแม่คุณใช้อยู่เลย” เพียรภมรเหน็บ
“คุณก็ยอมให้ผมช่วย ในแบบที่ผมไม่ต้องควักกระเป๋าซีเป็นต้นว่า..ขับรถไปส่งคุณที่สำนักงาน”
แววตาของเพียรภมรเย็นชา ปั้นปึ่งอย่างเคย
“ก็ได้ ฉันจะสงเคราะห์คนว่างงานอย่างคุณ”
เพียรภมรขึ้นรถยนต์ นั่งเชิดปั้นปึ่ง ภาษิตมองแล้วส่ายหน้า ก่อนขับรถยนต์ออกไป
เวลานั้นสุเทพเดินออกจากซอยที่มาหลบซ่อนหนีตำรวจอยู่ ขณะภาษิตขับรถยนต์ผ่านมา เพียรภมรมองเห็นผัวใหม่แม่พอดี
“หยุดหยุดก่อนคุณ...จอดซี...นั่นไง....มัน..มันหนีตำรวจมากบดานแถวนี้แน่”
“ใครน่ะ”
เพียรภมรไม่ตอบ “ฉันบอกให้จอดได้ยินมั้ย จอดเดี๋ยวนี้!”
ภาษิตจอดรถยนต์ เพียรภมรเข้าไปขวางหน้าสุเทพ ชี้หน้าด่า มือสั่นเทา
“แก...แกทำร้ายแม่ฉัน แกซ้อมแม่จนพิการ...แก...ฉันจะเอาแกเข้าคุก!”
สุเทพตกใจ “หา...นัง...นังหวีน่ะเรอะ พิการ”
เพียรภมรกระแทกเสียง “ใช่ แม่เกือบตาย ฉันจะจับแกส่งตำรวจ”
ขาดคำเพียรภมรบันดาลโทสะสุดขีด กระโดดเข้ารัดคอสุเทพ ด้วยความโกรธจนลืมตัว
“อ้าว เฮ้ย คุณ ทำไมทำยังงั้น” ภาษิตตกใจ
สุเทพเหวี่ยงเพียรภมรกระเด็นไป แล้วจะเข้าทำร้าย ภาษิตกระชากตัวเพียรภมรออกมา ถูกสุเทพชกหน้ากระเด็นไปทรุดตัวใกล้ๆ แล้วสุเทพก็วิ่งหนีไป
เสียงเพียรภมรเกรี้ยวกราด “จับมันซี จับมัน...คุณไม่ได้พยายามช่วยฉันเลยนะเพราะคุณเห็นมันเป็นผู้ชายเพศเดียวกับคุณใช่มั้ยล่ะ คุณมันไอ้คนเห็นแกตัว มันเหมือนกันหมดทั้งโลก..มันเหมือนกันหมด..โฮ!”
เพียรภมรร้องไห้คร่ำครวญอย่างคุ้มคลั่ง ลืมตัว
สีหน้าแววตาแปลกใจของภาษิต จ้องมองเพียรภมรอย่างตื่นตระหนก
อ่านต่อหน้า 4
ปีกมาร ตอนที่ 6 (ต่อ)
อีกฟากหนึ่ง ที่บริเวณหลุมขุดแต่ง เจ้าหน้าที่หน่วยโบราณคดี ต่างกำลังทำงานกันอยู่ ผลึกเดินไปตักน้ำขึ้นมาจะดื่ม ลายสือเดินไปฉวยแก้วในมือ เดินเลยไปวางให้ศลัยลา แล้วจึงเดินกลับไปทำงานต่อ
ศลัยลายกแก้วน้ำขึ้นดื่ม มองไปยังลายสือ ผจงจิตรำพึงเบาๆ
“ความจริงลายสือเขาก็น่ารักนะ แต่ระวังหน่อยเด็กหนุ่มๆ น่ะมักจะตัดสินปัญหาด้วยความคลั่ง ฉันกลัวจะต้องไปเป็นพยานในศาลหรือไม่ก็...”
ศลัยลาถาม “อะไร”
“ภูฉายเขายิงปืนไม่แม่น เดี๋ยวลูกปืนมันจะพลัดหลงเข้ามาอยู่ในพุงของฉัน ลูกฉันยังเล็กๆอยู่นะ ศลัย”
“เอ้อ..ขอบใจที่เตือน”
“ไม่อยากให้ศลัยดีงามทุกระเบียดนิ้วหรอก แต่ความดีก็ยังเป็นอาภรณ์ประดับชีวิตของผู้หญิงอยู่ อย่าโกรธเลยที่ฉันเตือนบ่อยๆ”
“เตือนฉันมากๆ เถอะ ถ้าฉันไม่เชื่อ คุณเขกหัวฉันแรงๆ นะ ด่าฉันก็ได้...ถามฉันว่าทำไมถึงอยากเป็นกากีนัก!”
ศลัยลาผละไป ผจงจิตมองตามไป แววตาอ่อนโยน ด้วยความสงสาร
ประตูห้องพักของอพาตเมนท์เปิดออก เพียรภมรก้าวเข้ามา สีหน้าร่วงโรยไปด้วยความบอบช้ำ
ภาษิตยืนอยู่หน้าประตูท่าทางเคร่งขรึม พูดอย่างจริงใจ
“คุณควรทำงานให้น้อยลง แล้วหาเวลาไปพบจิตแพทย์เสียบ้าง อาการทางจิตของคุณต้องได้รับการบำบัดนะ”
“คุณคิดว่าฉันเป็นบ้าซีนะ”
“เปล่า...แต่คุณต้องยอมให้ใครบางคนรับปัญหาของคุณ...ผมไม่แนะนำตัวเองหรอกนะ เพราะผมยังสวมเครื่องแบบนักศึกษา แล้วก็แบมือขอเงินคุณแม่ใช้!”
ภาษิตผละไปอย่างฉุนเฉียว สีหน้าของเพียรสลดลง
นวลนภายกของว่างมาตั้งตรงหน้าภูฉาย พลางทรุดตัวลงนั่งใกล้ ด้วยท่าทางอ่อนโยน อาทร เห็นสีหน้าภูฉายเศร้าหมอง อมทุกข์
“ศลัยคงใกล้จะกลับแล้วละ ไปสามเดือนกว่าๆ แล้วนี่...ทานซีภู แม่ทำเอง วันๆไม่รู้จะทำอะไรหาเรื่องทำนั่นทำนี่สมองมันจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน”
“ขอบคุณครับ”
“ตาหนูเป็นยังไงมั่งล่ะ”
“สบายดีครับ”
“ทำใจให้สบายนะภู อย่าคิดมาก ไว้ศลัยกลับมาก็ค่อยคุยกัน ผัวเมียน่ะ มีตัวทำลายที่สำคัญกว่ามือที่สามอีกตัว คือตัวทิฐิ มีไอ้ตัวนี่อยู่ด้วย มันพูดกันไม่รู้เรื่องหรอก”
ภาษิตเพิ่งกลับเข้ามา ไหว้ทักพี่เขยแกนๆ ท่าทีไม่สบายใจเห็นได้ชัด
“อ้อ ภาษิต กลับมาแล้ว แม่ชวนภูเขากินข้าวด้วย”
“หรือครับ...ก็ดีนี่ครับ งั้นผมไม่กินด้วยนะครับ ผมเหนื่อย”
ภาษิตเดินขึ้นชั้นบนไป
“เขาเป็นอะไรครับ หรือว่า...”
“ไม่รู้ซี ตั้งแต่เอารถศลัยมาใช้นี่เขากลายเป็นคนธุระมาก เออ...แล้วรถภูเป็นอะไร ถึงได้เอารถที่ทำงานมาใช้”
“รถเสียครับ อย่าห่วงเลยครับคุณแม่ อีกสองสามวันก็เสร็จ”
“แล้วนี่จะมาเอารถหรือเปล่านี่”
“เอ้อ…”
ภูฉายมีสีหน้ายิ้มเจื่อนๆ ก้มหน้า หลบสายตา
“เปล่าครับ”
สลักรู้เรื่องไม่พอใจมาก ส่งเสียงดังใส่หน้าภูฉายซึ่งยืนก้มหน้านิ่งๆ
“เปล่าได้ยังไง...แกไปตอบว่าเปล่าๆ พวกนั้นก็ได้ทีฮุบเอารถไว้ใช้น่ะซี ทำไมแกถึงได้โง่ยังงี้นะ”
“ผมเกรงใจคุณแม่ของศลัยน่ะครับ มันไม่ใช่รถของผม”
“จะต้องเกรงใจทำไม จะหย่ากันอยู่ริมมะล่อแล้ว ถึงตอนเจรจาเรื่องแบ่งทรัพย์สิน แม่เห็นจะต้องไปเจรจาเอง ขืนปล่อยแกไปตกลงกับฝ่ายนั้น คงได้แต่เสื้อผ้าติดตัวมาชุดเดียว”
“เอ้อ…”
“ที่ดินที่สาทร ตอนแต่งงานใส่ชื่อสองคนหรือเปล่า ของๆ ใครแต่งงานแล้วก็เป็นสินสมรส หย่าต้องแบ่งครึ่ง”
“เอ้อ แต่ว่าเรือนหอนั่น…” ภูฉายจะท้วงว่าบ้านนั้นครอบครัวศลัยลา ออกเงินสร้างเองหมด
“แม่น่ะ..ไม่อยากยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของแกหรอกนะ แค่เลี้ยงลูกให้แกแม่ก็เหนื่อยสายตัวแทบขาดอยู่แล้ว แต่นี่เป็นเพราะแกน่ะดีเกินไป แม่เลี้ยงแกมาดีเกินไป แกถึงไม่ค่อยจะทันคนอื่น แม่เห็นจะต้องเลี้ยงลูกของแก...ให้มันรู้จักงกตั้งแต่เด็กๆ จริงมั้ย”
ภูฉายอึดอัด เอาแต่นิ่ง
สลักเบนสายตามองมามอง ย้ำเสียงดังขึ้น เข้มงวดขึ้น
“จริงมั้ย ภูฉาย”
ภูฉายเอาแต่ “เอ้อ...”
สลักเสียงดัง “จริงมั้ย”
“ครับ..แม่”
สลักยิ้มด้วยความพอใจ
ฟากผลึกกำลังนั่งวาดรูปสัตว์เล่นอยู่ในห้องพัก ลายสือเปิดประตูออกมา
“จะไปไหนอีกล่ะ ไอ้ผีกระสือ”
“เป็นนายทะเบียนหรือไงวะ”
“กูไม่อยากเห็นเพื่อนปีนต้นงิ้วโว้ย มันทุกข์เวทนา”
“ก็ไม่ดีหรือ กูปีนต้นงิ้ว มึงอยู่ในกะทะทองแดง เรายังเป็นเพื่อนกันในนรก”
“หมายความว่ามึงเอาแน่ นี่ ไม่นึกถึงพ่อมึง ก็น่าจะนึกถึงแม่มึงมั่งนะ แม่มึงคงจะภูมิใจหรอกที่ลูกชายกำลังประพฤติตัวเป็นชายชู้น่ะ นี่เลิกที อีกไม่นานเราก็กลับกรุงเทพฯ แล้ว กูจะพามึง ไปจีบหญิงเอง”
“ไม่ กูเบื่อ”
“เบื่อที่ต้องเดินตามผู้หญิงต้อยๆ ต้องจูบปากกับหมาของหล่อนน่ะหรือ แล้วมึงรู้มั้ย เป็นชายชู้น่ะ สภาพมันทุเรศแค่ไหน” หนุ่มอ้วนดำแดกดัน
ลายสือมองหน้าผลึกๆ แล้วผละไป ผลึกมองตามไปอย่างห่วงใย ปนหงุดหงิด
ศลัยลานอนเอาหนังสือศิลปวัฒนธรรมปิดหน้าหลับอยู่ บนเนินสวยๆ แห่งนั้น ลายสือเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่ง ศลัยลารีบผุดลุกขึ้นนั่ง
“กลัวผมลักหลับคุณหรือ” ลายสือสัพยอก
“นี่ พูดจาน่ะอย่าให้มันทิ่มแทงศีลธรรมนัก ต้องรู้เด็กผู้ใหญ่”
“ผมนึกแล้วว่าคุณต้องหลบหน้าผมมาอยู่ที่นี่”
“วันหยุดแบบนี้ คุณไม่เข้าเมืองหรือ”
“ผมอยากอยู่ใกล้ๆ คุณ เราเหลือเวลาที่จะอยู่ด้วยกันน้อยเต็มทีแล้วนะ”
แววตาของศลัยลาสลดลง
“ลายสือ..คุณรู้มั้ย ฉันกำลังคิดอะไรอยู่”
“คิดอะไร”
“สามีกับลูกเล็กๆ ฉันพยายามลืมว่ามีคนสองคนอยู่โลกของฉันกับคุณ...แต่..แต่ว่า...”
“สามีกับลูกของคุณ พลัดหลงเข้ามาในมโนธรรมของคุณ” ลายมือต่อให้
“ใช่ เขาเป็นเจ้าของชีวิตของฉัน ตราบใดที่...ฉันยังไม่ได้หย่ากับเขา จริงมั้ย”
ศลัยลามองสบสายตาแบบตั้งคำถาม สีหน้า แววตาขอลายสือดูออกว่าเจ็บปวด
ขณะที่อาจารย์อังเดรกำลังเขียนรายงานอยู่ใต้ต้นไม้ ผลึกค่อยๆ ย่องเข้ามาชะเง้อมอง
“สรุปรายงานแล้วหรือครับ อาจารย์”
“ใช่ เดือนหน้านี่เราจะได้กลับกรุงเทพฯ แล้วนะ”
“ไชโย ได้กลับไปเห็นแสงสีแล้ว ผมอดเปรี้ยวอดหวานเต็มที มันเปรี้ยวปากไม่ได้เกี้ยวหญิงน่ะครับ เอ้อ แล้วมีอะไรจะให้ผมช่วยบ้างครับ อาจารย์”
“มี”
“อะไรครับ”
“ช่วยไปไกลๆ!”
“กึ๋ยย!”
สีหน้าของผลึกเจื่อนจ๋อย ยิ้มแหยๆ
ศลัยลาและลายสือเดินขึ้นเนินเขาเล็กๆ มาด้วยกัน ท่าทีศลัยลาเป็นมิตรขึ้น
“เล่าเรื่องของคุณ....ให้ฟ้งบ้างซี”
“แม่ตายตอนที่ผมยังเด็ก ตอนนั้นคุณพ่อเป็นปลัดอำเภอ แล้วต่อมาก็เป็นนายอำเภอ ปลัดจังหวัด จนถึง...ผู้ว่าฯ”
“คุณพ่อคุณแต่งงานใหม่หรือ”
“ครับ มีลูกอีกสองสามคน มีที่มาเรียนกรุงเทพฯบ้างแล้ว”
“คุณก็เลยเดียวดายมาก”
“ก็ไม่ถึงกับว่างเปล่า ตอนที่ผมเข้ามาเรียนโบราณคดี ผมเลือกทางเดินของผมเอง ผมไม่คิดว่าการศึกษาอดีตเป็นการเดินย้อนหลัง คุณล่ะ..ทำไมถึงมาเป็นนักโบราณคดี”
“ฉันคงจะชอบโอ่งอ่างกระถางแตก”
“ผมก็คงจะเหมือนคุณ”
ศลัยลายิ้มแย้มแจ่มใส
“ชอบของใช้แล้วประเภทของเก่าซีนะ”
น้ำเสียงลายสือจริงจัง ขณะมองตาศลัยลา
“ของใช้แล้วน่ะ มันไม่ได้ถูกจัดเข้าข่ายของชำรุดทุกชิ้นนะ...ของใช้แล้วบางชิ้น เป็นทรัพย์สินสมบัติที่มีคุณค่าหาได้ยาก...อย่างคุณไงล่ะ”
รอยยิ้มของศลัยลาเริ่มจางลง สีหน้าสลดลงเมื่อนึกถึง สถานภาพในชีวิตที่เป็นผู้หญิงที่ผ่านการแต่งงานมาแล้วของตนเอง
สลักเดินลงบันไดมาท่าทีเหนื่อยล้า ยินเสียงเด็กร้องจ้า ละมัยทำงานบ้านอยู่
“โอย...ทำยังไงก็ไม่ยอมเงียบ แกขึ้นไปจัดการทีนังมัย”
“ให้หนูจัดการยังไงคะ น้องหนูอาจจะปวดท้องก็ได้” มะมัยว่า
“ยาธาตุไงล่ะ กรอกปากเข้าไปซี”
“แต่ว่ายาธาตุน่ะมัน”
“ไป...เอายาธาตุขึ้นไปให้ตาหนูกิน ขืนปล่อยให้ร้องจนภูกลับเดี๋ยวก็ต้องเสียเงินค่าหมอค่ายา ภูน่ะ ลูกเขาเป็นอะไรนิดๆหน่อยๆ เขาก็ต้องพาไปประเคนเงินให้หมอแล้วละ ไปซี”
“ค่ะ”
ละมัย รีบขึ้นไป สลักถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“เฮ้อ...รู้ยังงี้ฉันไม่รับตาหนูมาเลี้ยงหรอก เหนื่อยจะตายไป แล้วมีใครเห็นความสำคัญของฉันมั้ย..ไม่มี”
สลักบ่นบ้าคนเดียว
ค่ำนั้นภาษิตนั่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยา นวลนภายกอาหารมาตั้งภาษิตถามขึ้นลอยๆ
“คุณแม่ครับ คนที่ขาดความรัก มันเป็นอาการเจ็บป่วยทางจิตหรือเปล่าครับ”
“ทำไมแกถามแม่ยังงี้”
“ผมเห็นแม่เป็นพยาบาลเก่าน่ะซีครับ”
“มันก็อยู่ที่ผลกระทบ ถ้าผลกระทบมันรุนแรงทำให้เกิดปัญหาทางด้านจิตใจ มันก็มีแนวโน้มของความเจ็บป่วยทางจิต”
“เรามีทางที่จะแก้ใช่มั้ยครับ คุณแม่”
“เราต้องให้ความอบอุ่นกับคนๆ นั้นให้มากๆ ทดแทนในสิ่งที่ขาด ใจน่ะลูกมันหนาได้บางได้ บางครั้งมันก็อ่อนไหว เจ็บง่าย จำง่าย เจ้าคิดเจ้าแค้นนัก มันล้วนแต่ส่งผงผลถึงอารมณ์แล้วก็..สมอง!”
สีหน้าแววตาของภาษิตเคร่งขรึม ใคร่ครวญครุ่นคิดตามคำแม่
วันต่อมาภายในห้องประชุมของกลุ่มสตรีแห่งนั้น วาระการประชุมสิ้นสุดลง ทุกๆ คนต่างแยกย้ายกันกลับ
“ขอบคุณค่ะ...ขอบคุณมากนะคะที่ให้ความร่วมมือกับกลุ่ม ประชุมคราวต่อไป เราจะส่งเป็นหนังสือเชิญค่ะ”
เพียรภมรเก็บเอกสาร เพื่อนเดินเข้ามา
“คุณกำลังเป็นที่สนใจนะ ฉันบอกแล้วว่าคุณมีคุณสมบัติที่เป็นประธานกลุ่มได้”
“มันจะไม่เร็วเกินไปหรือ”
“เราจะซาวเสียงภายในกลุ่มก่อน ถ้าเสียงดีเราจะเสนอชื่อคุณ”
“ขอบคุณค่ะ”
เพื่อนเดินออกไป เพียรภมรนั่งคิด
ขณะที่ภาษิตยืนรออยู่นอกห้อง เพียรภมรเดินตรงมา มองภาษิตด้วยแววตาเย็นชา
“ผมไปหาคุณที่สำนักงานทนายความ เขาบอกว่าคุณมาประชุม เอ้อ...เกี่ยวกับเรื่อง..เรื่องอะไรนะ”
“สิทธิสตรี” เพียรภมรตอบห้วนสั้น
“รวมกลุ่มกันแล้วเรียกนั่นร้องนี่ ไม่รู้จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายดี สรุปแล้วก็หาเหตุทำให้มนุษย์ถูกแบ่งแยก”
“ผู้หญิงน่ะถูกแบ่งแยกโดยผู้ชายมานานแล้ว ผู้หญิงถูกกีดกันให้กลายเป็นพลเมืองอันดับสองของโลก...ไม่มีสิทธิ์ทำในสิ่งที่ผู้ชายทำได้ แม้แต่การประทุษร้ายทางเพศ!”
“นี่ เดี๋ยวนี้ผู้หญิงริอ่านจะข่มขืนผู้ชายแล้วหรือคุณ”
เพียรภมรเดินออกจากห้องประชุม ภาษิตเดินตามมา ท่าทีแปลกใจ
“ก็ที่ผู้ชายคลอดลูกเองไม่ได้ ผมยังไม่เคยไปร้องแรกแหกกระเชอให้ใครช่วยเลย มนุษย์ต้องทำในสิ่งที่เพศของตัวเองเอื้ออำนวย”
“ไม่จริง มนุษย์ผู้หญิงต้องทำได้ทุกอย่างแม้แต่...เขี่ยผู้ชายให้ตกโลกไป!”
เพียรภมรเดินหนีไป ภาษิตหยุดก้าว มองตามไปอย่างงๆ
คืนนั้นภูฉายเดินเล่นอย่างเนือยๆ เศร้าหมองเพราะคิดถึงปัญหาของตนเองและศลัยลา
สลักเดินเข้ามา
“นอนไม่หลับหรือ ภู”
“ครับ”
“แม่มียานอนหลับ เผื่อมันจะช่วยแกได้”
“ผมไม่อยากหลับเพราะฤทธิ์ยาหรอกครับ ผมอยากตื่นอย่างมีสติ...ผมต้องการทบทวนเรื่องที่ผ่านมาของผมกับศลัยลา ทำไม...จนถึงวันนี้ผมยังรักศลัยลาอยู่ มันไม่มีขาดไม่มีเกินเพราะมันมีอยู่เต็มส่วน มันเหมือนเดิมทุกอย่างแล้วทำไม...ทำไมเราต้องหย่ากัน!”
สลักดึงตัวภูฉายเข้ามากอดไว้
“ภู เมื่อตอนที่แม่หย่ากับพ่อแก แม่ก็รู้สึกเหมือนแก รู้สึกเหมือนยังรักเขาอยู่ แต่แม่ขจัดมันไปได้เพราะความเกลียด...พอความเกลียดมันเข้ามาในใจเราได้..ความรักมันก็หายไป!”
สลักจับใบหน้าของภูฉายให้กลับมา จ้องมองดวงตาของลูกชาย แววตาของสลักเอ่อไปด้วยน้ำตา ด้วยความรู้สึกรักลูกอันแท้จริงของสลัก
“อย่าขังความรักเอาไว้ แกต้องปล่อยมันออกไป...แม่รักแกนะ..ภู...แม่รักลูก”
“ครับ..แม่”
ภูฉายตอบอย่างเลื่อนลอย เคลิ้มไปตามความอ่อนโยนของแม่สลักจูบภูฉายที่หน้าผาก ก่อนกอดลูกไว้อย่างปลอบโยน
เช้าวันใหม่ ทุกคนกำลังเก็บงานกันอยู่ อังเดรถือกระดาษรายงานปึกใหญ่เข้ามาบอกกับทุกๆ คน
“งานของเราเสร็จแล้ว เราจะได้กลับบ้านประมาณอาทิตย์หน้า”
“จริงหรือครับ อาจารย์” ผลึกดี๊ด๊า
“ใช่ เราจะได้กลับกรุงเทพฯ แล้วนะ”
“ไชโย ได้กลับไปเห็นแสงสีแล้ว ผมอดเปรี้ยวอดหวานเต็มที มันเปรี้ยวปากไม่ได้เกี้ยวหญิงน่ะครับ เอ้อ แล้วมีอะไรจะให้ผมช่วยบ้างครับ อาจารย์”
“มี”
“อะไรครับ”
“ช่วยไปไกลๆ”
“กึ๋ยย!”
ผลึกยิ้มแหยๆ
จังหวะนี้ สีหน้าศลัยลากลับสลดลง มองไปยังลายสือ ซึ่งมองมายังศลัยลาด้วยความรู้สึกอาลัยอาวรณ์
ศลัยลาเปิดประตูเข้ามานั่งกอดเข่าเงียบๆ อยู่บนเตียงนอน ด้วยกิริยาเงียบเหงาเศร้าหมอง
ผจงจิตเปิดประตูเข้ามา
“จะได้กลับบ้านแล้ว ป่านนี้บ้านฉันคงเปลี่ยนสภาพเป็นรังหนูไปแล้ว ลูกก็คงเปลี่ยนสัญชาติเป็นลิงเป็นค่าง กลับไปมีหวังต้องทำความสะอาดกันยกใหญ่ ศลัยไม่ดีใจหรือ เรากำลังจะได้กลับบ้านนะ”
“ฉันบอกไม่ถูก”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“อยู่หรือกลับก็มีค่าเท่าๆ กัน ชีวิตก็ยังยุ่งๆ”
“ศลัย ไม่เอาน่ะ คงไม่มีอะไรร้ายแรงจนแก้ไม่ได้ คุณกับภูฉายมีลูกด้วยกันนะ”
“ใช่ ฉันจะเอาลูกกลับมาเลี้ยงเอง”
“แม่เขาจะยอมหรือ”
“สิทธิ์เลี้ยงดูลูกไม่ได้อยู่กับเขา ทุกอย่างต้องแม่...แม่...โอ..นี่ฉันแต่งงานกับผู้ชายที่เลี้ยงไม่รู้จักโตได้ยังไงนี่”
ศลัยลาสะเทือนใจ
“ฉันรักเขา...เคยรักขนาดยอมตายแทนเขาได้...เราแทบจะตายแทนกันได้ นี่ถ้าเขาไม่ยอมคืนลูกให้ฉันละก็....”
แววตาของศลัยลาเด็ดเดี่ยว เสียงจริงจังเอาเรื่อง
“เราต้องหย่ากัน..!”
อ่านต่อตอนที่ 7