วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 23 อวสาน
เหม่ยอิงรินแชมเปญลงแก้ว แล้วเดินกรีดกรายจิบไปมา อีกมือถือปืน เวลาพูดก็โบกปืนไปมา บราลีมองแบบท้อใจ
“นี่เธอ คุยกะฉันหน่อยสิ ฆ่าเวลา ก่อนที่พี่ชายใหญ่จะเข้ามาถึง ไหนลองตอบชั้นมาซิว่าเธอรักจ้าวซันตรงไหน ห้ามตอบว่ามีอำนาจ หน้าตาดี หุ่นดี ขับรถสวยหรือรวยมากนะ”
บราลีมองเหม่ยอิงอย่างกังวล
“คุณ วางแผนว่าจะทำอะไรจ้าวซัน”
“เธอไม่มีสิทธิ์ถาม เธอต้องตอบ ตอบมา ทำไมเธอถึงรักเค้า”
“คุณก็รักเค้าไม่ใช่เหรอ ถ้าคุณรักจ้าวซัน คุณต้องไม่ทำร้ายเค้า”
“อุ๊ย...หมั่นไส้ บอกมาซิ ว่าเธอเห็นผู้ชายคนนั้นมีดีตรงไหน ผู้ชายโง่ เอาแต่วิ่งทำดีเพื่อคนนั้นคนนี้ ผู้ชายโง่ ที่ไม่เคยกอบโกยเพื่อตัวแอง ผู้ชายโง่ที่ไม่รู้คุณค่าของความรักของผู้หญิงที่รักเขามาโดยตลอดอย่างฉันคนนี้ มันมีดีตรงไหน”
“เหม่ยอิง จ้าวซัน เป็นคนที่ดีที่สุด ฉันรักเขา เพราะฉันเกิดมาเพื่อรักเขา ถ้าฉันจะบอกคุณว่าฉันเป็นของเขามาตั้งแต่แรกเกิดแล้ว มันเป็นชะตาลิขิต คุณจะเชื่อไหม”
“อีบ้า แกกะชั้นนี่ใครบ้ามากกว่ากันกันแน่ อีบ้าๆๆ ชั้นตังหาก ไม่ใช่แก ที่เกิดมาเพื่อรักจ้าวซัน เพื่อเป็นของจ้าวซัน”
“ที่จ้าวซันหายไปนานบอกว่าไปทำธุระที่ต่างประเทศแล้วเพิ่งกลับมานี่ คุณคิดว่าเขาไปไหน ไปทำอะไรเหรอ”
“นังแพศยา เธอจะเยาะเย้ยฉันใช่ไหม ว่าเขาพาเธอไปเที่ยวฮันนีมูนกันมา นังหน้าด้าน”
เหม่ยอิงตบบราลีเพี๊ยะ บราลีหน้าสะบัดหันไปตามแรงตบ แต่หันกลับมาจ้องหน้าเหม่ยอิงตาวาว
“เหม่ยอิง คุณไม่รู้ใช่ไหม ว่าจ้าวซันที่แท้จริงเขาคือใคร”
“ฉันรู้สิ ทำไมฉันจะไม่รู้”
“จริงเหรอ”
“จริง ชั้นรู้ว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน ฉันยังจำวันแรกที่เราพบกันได้เลย”
เหม่ยอิงมองบราลี สีหน้าภูมิใจ บราลีมอง สงสัย
เหม่ยอิงนึกถึงอดีต เหตุการณ์วันนั้นเกิดขึ้นที่โรงเรียนสอนเด็กกำพร้าของพ่อโจเซฟ เหม่ยอิงกำลังนั่งเล่นตุ๊กตาบาร์บี้อยู่ที่มุมนึงใต้ร่มไม้ภายในโรงเรียน ฉินเจียงเดินเคี้ยวหมากฝรั่งเข้ามา ฉินเจียงชูเกมบอยในมือให้เหม่ยอิงดู แล้วเล่นอวดเปิดเสียงดังอย่างภูมิใจ
“แม่เราบอกว่าเล่นเกมมากๆ สมองจะเสื่อม” เหม่ยอิงบอก
“เธอสิสมองเสื่อม เอามานี่”
ฉินเจียงแกล้งกระชากตุ๊กตาไปจากมือเหม่ยอิง
“ปล่อยนะ เอามา ขี้ขโมย”
ไทไทยื่นมือเข้ามาบิดหูทั้งสองคน ทั้งคู่ร้องโอดโอย ไทไทปล่อยมือออก
“ฉินเจียงมาแกล้งหนู ด่าหนูว่าบ้าด้วย”
“พอได้แล้วฉินเจียง เหม่ยอิง ไม่ทะเลาะกันบ้างจะได้ไหม”
เต้ค่อยๆ เดินเข้ามาอย่างสง่าจากทางด้านหลัง
“หลวงพ่อให้มาตามเข้าไปข้างในแล้ว” เต้บอกกับไทไทแล้วหันไปพูดกับฉินเจียงและเหม่ยอิง “เข้าไปข้างในแล้วต้องเรียบร้อยเข้าใจไหม ไม่อายเด็กที่นี่บ้างหรือไง”
“อายทำไม เด็กกำพร้าพวกนี้ไม่มีพ่อไม่มีแม่ด้วยซ้ำ”
เต้มองหน้าไทไทระอาใจ
ฉินเจียงแกล้งหยอก เอื้อมมือไปผลักเหม่ยอิงขณะเดินอยู่ภายในอาคาร เหม่ยอิงทำหน้าแค้น หาทางแกล้งกลับ เดินไล่ตามฉินเจียง ฉินเจียงอาศัยเต้และไทไทเป็นที่หลบ เดินอ้อมไปมา ไทไทรำคาญ
“พอได้แล้ว เลิกเล่นกันซะที”
ทั้งสองคนยังแกล้งกันไม่ยอมหยุด
“ฉินเจียง เหม่ยอิง” เต้บอกเสียงแข็งมีพลัง “กลับไปเราคงต้องคุยกันหน่อยแล้ว”
“สองคนไม่ต้องเข้าไปแล้วดีกว่า รออยู่ตรงนี้แหละ”
ไทไทบอก เหม่ยอิงสะบัดหน้าเดินออกไปฉินเจียงเดินตามไม่รู้สึกอะไร เต้และไทไทมองตาม ส่ายหน้า แล้วเดินเข้าไปในห้องหลวงพ่อโจเซฟ
เหม่ยอิงเดินกินขนมห่อๆ มาตามทางเดิน พร้อมหันไปต่อว่าฉินเจียง
“เพราะพี่ฉินเจียงคนเดียวเลยทำให้ฉันโดนดุไปด้วย”
“อ้าว...เดินระวังหน่อยสิ”
เหม่ยอิงหันขวับกลับไปตามที่มาของเสียง จึงเห็นจ้าวซันวัยเด็ก หน้าตาและการแต่งตัวสะอาดสะอ้าน ยืนถือไม้กวาดอยู่ เหม่ยอิงโกรธ มองอย่างท้าทาย จ้าวซันมองหน้าแล้วค่อยๆ ชี้ให้ดูที่พื้นว่ากำลังยืนเหยียบกองขยะที่ตัวเองกวาดไว้อยู่
“ทำไมมากวาดไว้ตรงนี้ล่ะ เกะกะขวางทางเดินคนอื่น”
เหม่ยอิงเตะกองขยะกระจาย จ้าวซันไม่ว่าอะไรก้มหน้าก้มตากวาดต่อไป เหม่ยอิงมองยิ่งโกรธ เดินเตะขยะไปเรื่อยๆ จ้าวซันมองอึ้ง แต่ไม่ว่าอะไร ยังคงก้มหน้าก้มตาตามกวาด ฉินเจียงเห็นเริ่มสนุก เดินไปเตะบ้าง จ้าวซันก็ยังไม่ว่าอะไร ฉินเจียงถุยหมากฝรั่งที่ตัวเองเคี้ยวอยู่ลงไปที่พื้นอย่าท้าทาย จ้าวซันมองหน้า ทั้งคู่จ้องหน้ากัน ฉินเจียงเดินไปทางเหม่ยอิง คว้าเอาถุงขนมในมือเหม่ยอิงมาเททั้งหมดลงบนพื้น
“ทำอะไรนะ พี่บ้า เอาขนมฉันคืนมา”
ฉินเจียงผลักเหม่ยอิงล้มลงไปบนพื้น จ้าวซันรีบเข้ามาห้าม แล้วผลักฉินเจียงออกไป
“อย่ารังแกผู้หญิงสิ”
เหม่ยอิงมองจ้าวซัน อึ้งไป
“ไม่เกี่ยวกับแก ไอ้เด็กกำพร้า” จ้าวซันโกรธ เลือดขึ้นหน้า ฉินเจียงเดินไปผลักอก “ทำไม อยากมีเรื่องเหรอ”
ทันใดนั้นจ้าวซันก็สวนหมัดออกไป ฉินเจียงและจ้าวซันชกต่อยกันนัว เหม่ยอิงมองดูอยู่กับพื้น ทันใดนั้นก็มีมือเต้มาดึงลากคอเสื้อจ้าวซันและฉินเจียงแยกออกจากกัน
“เต้...ไอ้นี่มันรังเกผม”
“ขอโทษครับ”
“รู้จักกันแล้วสินะ” เต้พูดยิ้มๆ
ฉินเจียง จ้าวซันมองหน้ากันงงๆ เหม่ยอิงมองจ้าวซัน เริ่มประทับใจ
ที่บ้านสี่ฤดูขณะนั้นพวกอากง อาม่า และแม่สี่ที่กำลังท้องอ่อนๆ อยู่ยืนรอต้อนรับ ฉินเจียงและเหม่ยอิงค่อยๆ เดินเข้ามา เหม่ยอิงรีบเดินเข้าไปกอดแม่สี่
เต้กับไทไทเดินเข้ามาในบ้าน ไทไทจูงจ้าวซันที่สะพายเป้ เดินเข้ามา มองไปรอบๆ บ้านอย่างตื่นๆ ทุกคนมองจ้าวซัน สงสัย
“บ้านสี่ฤดูต้อนรับลูกชายคนโตฉันหน่อย ต่อไปเราก็เป็นตระกูลจ้าวเหมือนกันแล้ว”
ทุกคนตกใจมองหน้ากัน ฉินเจียงอึ้งตกใจมากกว่าใคร
“ใช่ ต่อไปนี้เด็กคนนี้คือ “จ้าวซัน” ถ้าดูตามอายุแล้ว แกก็ต้องเรียกเขาว่าพี่”
“ไม่มีทาง จะให้ผมเรียกเด็กกำพร้ากวาดขยะว่าพี่เนี่ยนะ”
ไทไทเดินเข้าไปตบปากฉินเจียงเบาๆ
“จ้าวซันเป็นลูกบุญธรรมของฉัน ฉันจะถือว่าจ้าวซันเป็นลูกชายคนโตของตระกูลจ้าว ให้ทุกคนเข้าใจไว้ตามนี้ด้วย”
ฉินเจียงมองจ้าวซันด้วยความแค้น เหม่ยอิงมองแม่สี่ แม่สี่ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก อากง อาม่ามองจ้าวซัน ยิ้มอย่างอบอุ่นยินดี จ้าวซันมองทุกคนไปรอบๆ ก้มหัวให้ทักทายอย่างเขินๆ จ้าวซันยิ้มให้เหม่ยอิง เหม่ยอิงเหมือนจะยิ้มตอบ แต่แล้วก็สะบัดหน้าหนี เชิดๆ แล้วแอบหันกลับมามองอีกครั้งภาพที่เห็นคือไทไทและเต้ลูบหัวลูบหลังจ้าวซันด้วยความเอ็นดู
“เขาคือเด็กกำพร้า ผลจากจากสงครามในประเทศเล็กๆ ประเทศนั่นไง คีรีรัฐอะไรนั่นแหละ เหมือนเธอด้วย ใช่ไหม หรือเธอมันเป็นคนไทยกันแน่ล่ะ ช่างเถอะ ฉันไม่สนใจเธอหรอก เพราะเขาเป็นเด็กจากประเทศนั้น เขาถึงกระตือรือร้นอยากรับใช้เจ้าชายรัชทายาท และเขาถึงโกรธที่ฉินเจียงไปขายอาวุธให้ประเทศนั้น เพราะมันคือมาตุภูมิของเขา นี่ไง มีอะไรที่ชั้นไม่รู้”
เหม่ยอิงทำหน้าเชิด เริ่ด ภูมิใจ บราลีมองอย่างเพลียใจ
ฉินเจียงโอบไหล่จ้าวซันค่อยๆ ย่อง ทำตัวต่ำ ระมัดระวัง ที่จะไม่ให้คนในบ้านเห็น มาจนถึงหน้าประตูบ้านตากอากาศ จ้าวซันมองเข้าไปข้างในบ้านตากอากาศแล้วหยุด ฉินเจียงวิ่งนำไปจ้าวซันเอื้อมมือไปดึงไหล่ฉินเจียงค่อนข้างแรงจนฉินเจียงรู้สึกได้และหันไปมอง
“แกรออยู่ตรงนี้”
“ทำไมต้องรอ ข้างในมีใครบ้างก็ไม่รู้ ไอ้พันหงปิงมันตายหรือเป็น หนีไปแล้วหรือยังอยู่ฮ่องกง หรือเกิดพวกมันอยู่ด้วยกัน”
“ฉันขอร้องล่ะ”
ฉินเจียงจ้องหน้าจ้าวซัน เข้าใจ แต่ยังไว้ฟอร์ม
“ก็โอเค้ แต่ผมบอกไว้ก่อนนะว่าผมจะเข้าไปทันที ถ้าผมรู้สึกว่ามันมีอะไรเกิดขึ้น” ฉินเจียงปัดเอามือที่เจ้าซันบีบไหล่ออก “อยากเป็นพระเอกคนเดียวก็ตามใจ”
จ้าวซันพยักหน้าขอบคุณอย่างจริงใจ แล้วหันหลังเดินเข้าไปช้าๆ
บราลีประสานสายตากับเหม่ยอิง
“จ้าวซัน ที่จริงชื่อองค์ชายน่านปิงนรเทพ เจ้าพ่อของเขา เป็นอดีตเจ้าหลวงที่โดนเจ้าพ่อขององค์ชายศิขรนโรดมที่เป็นพี่ชายแท้ๆ ปล้นราชบัลลังก์ไป เขาคือองค์ชายรัชทายาทตัวจริง ของราชบัลลังก์คีรีรัฐ”
“อะไรนะ”
“เจ้าพ่อของเขาดื่มยาพิษฆ่าตัวตาย พ่อแม่ของฉัน เป็นข้าหลวงรับใช้เจ้าพ่อ-เจ้าแม่ของเขา ท่านทั้งสองยอมสละชีวิต เพื่อให้เจ้าแม่ของจ้าวซันพาเขาหนีออกมาตอนที่เกิดเหตุชิงบัลลังก์เมื่อ20ปีก่อน เจ้าแม่ของจ้าวซันพาชั้นที่ยังเป็นทารกหนีออกมาด้วยกัน”
“ไม่จริง”
“จริงสิ ก่อนท่านจะพลีชีพ ท่านได้ฝากฝังให้ฉันเป็นข้ารองบาทองค์ชาย หมายความว่าให้เป็นผู้หญิงของพระองค์ตั้งแต่ยังแบเบาะ หลังจากนั้นบาทหลวงโจเซฟ เป็นคนพาจ้าวซันมาฝากให้จ้าวฉินเย่ว์กับจ้าวไทไทเลี้ยง ส่วนฉัน บาทหลวงโจเซฟ ก็พาไปฝากให้พลตรีสุริยะ ภีมะมนตรีเลี้ยงเหมือนกัน”
“โกหก”
ด้านนอก จ้าวซันมาถึงพบว่าประตูถูกปิดล็อค จ้าวซันเอาตัวแนบผนัง พยายามหาทางเข้าไปรอบๆ บ้าน จนมาเจอหน้าต่างบานนึงเปิดแง้มอยู่
“ที่ฉันเติบโตมาและเรียนที่อเมริกาจนจบมา จ้าวซันนี่เองที่เป็นผู้อุปถัมป์มาตลอด”
จ้าวซันดีใจที่บราลียังอยู่
“ม่านฟ้า น้องปลอดภัย”
จ้าวซันพูดกับตัวเองอย่างดีใจแล้วเงี่ยหูฟัง
“กิจการโรงงานผ้าไหมของพ่อฉันที่เมืองไทย ที่แท้ก็เขาที่ช่วยโอบอุ้มในช่วงหลังๆ มานี่ ฉันเองก็เพิ่งมารู้ความจริงเมื่อมาฮ่องกง ที่ทำให้ฉันได้พบกับพวกคุณนั่นแหละ”
จ้าวซันตั้งใจฟัง แล้วค่อยๆ โผล่ดู จ้าวซันมองเห็นอีกด้านนึงของห้อง แต่เป็นมุมที่ไม่เห็นตัวคน จ้าวซันดึงบานหน้าต่างให้อ้ากว้างขึ้น เสียงบราลีที่ได้ยินออกมานั้น ชัดเจนและดังมากขึ้น
“งานเลี้ยงองค์ชายคีรีรัฐ เป็นงานที่จ้าวซันจัดขึ้น เพื่อให้เขากับองค์ชายศิขรได้พบกัน เรื่องบังเอิญเรื่องเดียวที่เกิดขึ้นก็คือเรื่องที่จ้าวฉินเจียง ดันไปขายอาวุธสงครามให้นายทหารคีรีรัฐซึ่งมีเป้าหมาย ต้องการจะยึดอำนาจจากเจ้าหลวง พ่อของศิขรที่เป็นลุงของจ้าวซัน”
สีหน้าจ้าวซันมีความหวัง แล้วมีพลังมากขึ้น
“พระเจ้าช่วย” เหม่ยอิงอุทานออกมา
“ทหารคีรีรัฐพวกนั้น คือพวกที่ไล่ล่าจะฆ่าจ้าวซันกับแม่และฆ่าพ่อแม่ชั้น นี่แหละที่คุณต้องรู้ก็คือที่จ้าวซันหายไปต่างประเทศเป็นเวลานาน และฉันตามเสด็จไปด้วย เราไม่ได้ไปฮันนีมูน จ้าวซันไปช่วยองค์ชายศิขรปราบพวกกบฏพวกนั้น เราเกือบตายกันหลายหน แต่สุดท้ายก็ทำสำเร็จ เวลานี้องค์ชายศิขรได้ขึ้นครองราชย์เป็นเจ้าหลวงองค์ใหม่เรียบร้อยแล้ว จ้าวซันถึงเดินทางกลับมา”
“โอ...โอ...นี่มัน...มัน...เป็นเรื่องที่...ที่...”
“คุณไม่มีทางคาดคิดได้เลย คุณเหม่ยอิง”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง ฉันจะไปรู้ได้ยังไงๆๆ นี่มันมากเกินไปแล้วๆ”
เหม่ยอิงวางปืนลง นิ่งตะลึงไปหลายวินาทีแล้วร้องไห้ออกมาเงียบๆ เพราะช็อก บราลีมองอย่างสลด สมเพช อนาถใจ เหม่ยอิงค่อยๆ สงบลง แล้วทรุดนั่ง เงียบไป
บราลีร้องไห้ออกมาเช่นกัน
“มันมากเกินไปจริงๆ คุณเหม่ยอิง ชีวิตของจ้าวซัน ต้องผจญกับเรื่องเลวร้ายมามากแล้ว ชีวิตของฉันก็เหมือนกัน เราถูกปล้นชีวิตวัยเด็กที่ดีงามไป ให้กลายเป็นเด็กกำพร้า ต้องพลัดบ้านพลัดเมืองไปคนละทิศละทาง สุดท้าย เราได้มาพบกัน แต่แล้วเราต้องมาเจอเรื่องที่คุณกำลังทำอยู่นี่ คุณยังจะฆ่าชั้นแล้วจะทำร้ายจ้าวซันอีกเหรอ คุณทำได้เหรอคะ”
เหม่ยอิงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา บราลี เหม่ยอิง ประสานสายตากัน
“นี่...นี่ชั้น ชั้นทำอะไรลงไป ชั้นพลาดไปแล้ว งั้นเหรอ”
จ้าวซันเข้ามาทางหน้าต่างนั้นสำเร็จแล้วยืนซุ่มฟังอยู่เงียบๆ เศร้าใจ แต่ก็มีความหวังว่าเหม่ยอิงจะคิดได้
ฉินเจียงเดินด่อมๆ มองๆ แถวนอกประตูบ้าน ด้วยความกังวลและเป็นห่วง ฉินเจียงทนรออยู่ข้างนอกไม่ไหว ตัดสินใจเดินก้าวเข้าไป
“คุณชายรอง”
ฉินเจียงสะดุ้งหันกลับไป อาหลี่วิ่งหอบมาอยู่ข้างหลังฉินเจียง
“โธ่เว้ย ตกอกตกใจหมด มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงวะ”
“ตกลงว่าเราควรจะเข้าไปช่วยหรือรออยู่ตรงนี้ดีล่ะครับ”
ทั้งสองคนมองหน้ากันสักพัก
“ใช่ จะรออยู่ทำไม เข้าไปกันคนละทางแล้วกัน แยกย้ายกันไป แกรู้ทางเข้าออกของบ้านนี้ใช่ไหม”
“ครับ”
“งั้นแกไปเข้าทางประตูครัว ส่วนฉันจะอ้อมไปทางด้านหลัง” อาหลี่พยักหน้ารับคำ “ระวังตัวให้ดี อย่าให้นางจิ้งจอกมันจับได้ พยายามหยุดจ้าวเหม่ยอิง อย่าให้ทำอันตรายคุณบราลีหรือพี่ใหญ่ได้เป็นอันขาด ไป”
ทั้งสองคนค่อยๆ แยกย้ายกันไปอย่างระวังตัว
ที่ชายหาด ผู้กองเหลียงดูนาฬิกาข้อมืออย่างกระวนกระวายอยู่ที่รถ หมวดจางหยิบกล้องส่องทางไกลออกมาส่องดู
“เอ๊ะ ผมเห็นเหมือนมีคนเข้าไปในบ้านนะครับ”
“ไหน” ผู้กองเหลียงคว้าเอากล้องส่องทางไกลมาดู “ไม่เห็นมีใครเลย” ผู้กองเหลียงส่งให้หมวดจางเอากลับดูอีกครั้ง “ทำไมแกไม่เฝ้าดูให้มันตลอดวะ”
“ผมเห็นว่ามันไม่มีอะไรเคลื่อนไหวนานแล้วก็เลย...”
“นี่มันก็เกือบจะชั่วโมงแล้ว ทำอะไรกันอยู่”
“เราจะวางใจให้พวกนั้นจัดการกันเองหรือครับ”
ผู้กองเหลียงมองหน้าหมวดจาง ครุ่นคิด
“ผมรู้ดีว่าจ้าวเหม่ยอิงมีพิษสงแค่ไหน”
“งั้นเราจะมัวรออะไรอยู่ล่ะครับ”
ผู้กองเหลียงพยักหน้าให้หมวดจางเป็นการตกลง
ภายในบ้าน บราลีมองเหม่ยอิง แววตามีความหวัง ส่งสายตาขอร้อง เหม่ยอิงสับสน งงงวย
“คุณเหม่ยอิง มันยังไม่สายไปนะคะ ฉันจะบอกทุกคนเองว่าเรามาด้วยกัน เพื่อมาปรับความเข้าใจ ระหว่างเราสองคน ไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น”
เหม่ยอิงคิดตาม ยังงงๆ ทันใดนั้นจ้าวซันก้าวเข้ามา
“เหม่ยอิง”
เหม่ยอิงสะดุ้ง คว้าปืนมาอีกครั้ง ลุกยืน
“เจ้าพี่”
“ม่านฟ้า น้องไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ค่ะ เจ้าพี่ คุณเหม่ยอิง เธอไม่ได้ทำอะไรน้อง”
“พูดอะไรกัน” เหม่ยอิงแว้ดขึ้นมา “รักกันมาก ห่วงกันมากใช่ไหม พี่ใหญ่”
“เหม่ยอิง พี่ก็ห่วงเธอเหมือนกันนะ หยุดเถอะนะน้อง พี่จะดูแลน้องเอง เราจะช่วยกันผ่อนหนักให้เป็นเบานะ” เหม่ยอิงร้องไห้ออกมา
“พี่น่ะเหรอจะช่วยน้อง พี่จะช่วยทำไม น้องทำร้ายพี่ ทำร้ายบริษัทไปตั้งมากมาย น้องทำผิดมากใช่ไหมคะ เวลานี้ พี่ชายใหญ่คงจะเกลียดน้องมากใช่ไหมคะ”
บราลีเงียบ มองดูสองคนไปมาด้วยความห่วงใย
“พี่ไม่เคยเกลียดน้อง”
“ไม่จริง พี่ต้องเกลียดสิ เกลียดมากด้วย เพราะน้องทำเรื่องเลวร้ายมามาก น้องไม่รู้เลย ไม่เคยรู้เลยว่าพี่เป็น
ใคร พี่ต้องเจออะไรมาบ้างในชีวิต ทำไมพี่ไม่บอกน้องบ้างล่ะคะ ถ้าน้องได้รู้ความจริง เพียงแค่น้องได้รู้ความจริง น้องก็คง ไม่ทำอะไรทั้งหมด ที่น้องทำมานี่ แต่นี่ที่น้องทำลงไปเพราะน้องไม่รู้อะไรเลย เพราะพี่ไม่ไว้ใจน้องเลย ฮือๆๆ”
จ้าวซันกับบราลีอึ้ง
ข๊ะรั้นฉินเจียงอยู่ทางประตูด้านหลัง ฉินเจียงบิดลูกบิดประตูปรากฏว่าล็อก ฉินเจียงกำลังแงะหน้าต่างเพื่อปีนเข้าไป แต่มีมือมาแตะฉินเจียงจากด้านหลัง ฉินเจียงรีบหันไปยกปืนขึ้นจ่อ กลายเป็นอาหลี่ยกมือสองข้าง
“เฮ้ย อะไรวะ ตามมาทำไม”
“ทางนี้ครับ ทางนี้ ผมเห็นแล้วว่าอยู่ตรงไหนกัน”
ฉินเจียงย่องตามอาหลี่ไปอีกทาง ทั้งสองคนมาหยุดตรงหน้าต่างข้างห้องรับแขก ชะเง้อมองเข้าไปข้างในเห็นจ้าวซัน เหม่ยอิง บราลี กำลังเจรจากันอยู่ แต่ไม่สามารถเห็นพร้อมกันทั้งสามคนได้ มีหลืบและเสามาบัง ต้องขยับตัวไปมา ทั้งสามคนผลัดกันชะเง้อขึ้นไปดู
“คุณเหม่ยอิงมีปืนด้วยนะครับ”
“ฉันจะเข้าไปล่อเอง แล้วหลอกให้เหม่ยอิงออกมาไล่ยิง แล้วพอเหม่ยอิงออกมา แกก็รีบรวบตัวไว้ ผู้หญิงคนเดียวไม่น่ายาก”
“ถ้าคุณเหม่ยอิงไม่ตามออกมาแล้วยิงคุณตรงนั้นเลยล่ะครับ”
“ฉันว่าฉันรู้จักผู้หญิงคนนี้ดีพอ เอาตามแผนนี้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็ใช้หัวแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าไป”
อาหลี่ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 23 อวสาน (ต่อ)
เหม่ยอิงพยายามกลั้นน้ำตาและหยุดอาการฟูมฟาย จ้าวซันค่อยๆ เดินเข้าไปหาเหม่ยอิงช้าๆ
“เหม่ยอิง พี่ขอโทษ แต่เรื่องชีวิตของพี่ มันต้องเป็นความลับจริงๆ”
“พี่เป็นเจ้าชาย ถ้าอยากจะขึ้นเป็นเจ้าหลวงก็เป็นได้ แต่พี่กลับมารับใช้บ้านเรา ให้พวกเราโขกสับทุกอย่าง เพื่ออะไรคะ”
“ทุกอย่างมันคือมายาทั้งนั้นล่ะ เหม่ยอิง แม้แต่การเป็นจ้าวซัน มันก็เป็นมายา น้องอย่าไปยึดติดอะไรเลย สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความสุขหรอก ทุกที่ ทุกคน เอาแต่โลภ เอาแต่อยากยิ่งใหญ่ แล้วก็ฆ่ากัน เพื่ออะไรก็ไม่รู้ ปล่อยบราลีเขาไปเถอะ เรามาเจรจากัน พี่จะช่วยเหม่ยอิงเอง จะเอาอะไรก็ว่ามา”
“ไม่ น้องปล่อยบราลีไม่ได้ ถ้าน้องไม่มีมันอยู่ในมือ พี่ก็ไม่มีวันจะมาพบน้อง”
“น้องอยากให้พี่ทำอะไรให้ บอกมาเลย พี่ยอมทำให้ทุกอย่าง จะไปต่างประเทศใช่ไหม จะหนีคดี ไปอยู่ในที่ๆ ไม่มีใครตามได้ ไปมีชีวิตใหม่ ใช่ไหม”
“โอ้โห นี่พี่จะยอมทำสิ่งที่ขัดกับความถูกต้องหรือคะ พี่ยอมทำทุกอย่างเพื่อผู้หญิงคนนี้คนเดียวหรือคะ”
“อย่างที่พี่บอกไง เหม่ยอิง ลาภ ยศ สรรเสริญอะไรทั้งหมด มันเป็นมายาทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่เป็นของพี่จริงๆ เลย ทุกอย่างเป็นของคนอื่น พี่ก็แค่ต้องทำหน้าที่ของพี่ เพื่อส่วนรวม แต่มีแค่บราลีคนนี้เท่านั้นที่เป็นของพี่ และพี่ก็เป็นของเค้าจริงๆ แค่คนเดียวในโลก”
“พี่เป็นของเค้า เค้าเป็นของพี่ งั้นเหรอคะ ฮะๆๆ” เหม่ยอิงยกปืนเล็งไปที่บราลีทันที เหม่ยอิงหันมาพูดกับบราลี “แล้วเธอคิดว่าเรื่องทั้งหมดนี่มันยุติธรรมกะชั้นแล้วเหรอ ผู้ชายคนนี้ทำให้ชั้นรัก เพราะเค้าไม่เคยบอกเรื่องเธอมาก่อน ถ้าชั้นรู้เรื่องนี้แต่ทีแรก ชั้นก็จะไม่รักจ้าวซัน ชั้นก็จะไม่ทำเรื่องทั้งหมดนี้ แต่นี่ชั้นคือคนที่ถูกหลอก ถูกปิดบังความจริงมาตลอด ชั้นทำความผิดเพราะความไม่รู้ ความมืดบอด แล้วพอชั้นกลายเป็นอีโง่บ้า ชั่วเลว ไม่มีใครเอา เหลือตัวคนเดียว สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างแบบนี้ แล้วพวกเธอก็จะจากไป มีความสุขกันสองคน ทิ้งให้ชั้นติดคุกแบบหน้าโง่ๆ ไปลำพังงั้นเหรอ”
บราลีรับฟังอย่างเข้าใจและสงสาร
“เอาอย่างนี้ ชั้นจะไปกับคุณก็ได้ ชั้นจะพาคุณหนีไปเอง”
“อะไรของเธอ ม่านฟ้า”
“คุณเหม่ยอิงพูดถูก เธอก็เหมือนน้องตอนแรกที่เคยต่อต้านพี่ทุกอย่าง เพราะความไม่รู้ คนที่ถูกปิดบังข้อมูล ทำให้หลงทาง มันเป็นยังไงน้องรู้ดี มันไม่ยุติธรรมกับเธอ น้องจะพาเธอหนีเอง แล้วพี่ก็ทำเป็นว่าขัดขวางเราไม่ได้ ปล่อยให้เราไปด้วยกัน เพราะกลัวน้องเป็นอันตราย ดีไหมคะ”
เหม่ยอิงลดปืนลง
“นี่ เธอพูดจริงหรือ บราลี”
“ตอนนี้แหละ” ฉินเจียงกระโจนเข้ามา ตั้งท่าจะยิง “นังเหม่ยอิง”
“อย่า”
จ้าวซันร้องห้าม เหม่ยอิงหันไปมองทางฉินเจียง ตกใจ เหม่ยอิงรีบยิงฉินเจียงไปก่อนสอง-สามนัดแต่ไม่โดน
ฉินเจียงกลิ้งตัวหลบไปหลังเสาและวิ่งไปอีกทาง
“เก่งจริงก็ตามมา”
เหม่ยอิงแสยะยิ้ม มองหน้าจ้าวซัน และบราลี แล้วหันไปมองทางที่ฉินเจียงวิ่งไป
“ฉันเกือบจะโง่หลงกลพวกแกแล้ว พี่ชายไม่ได้มาคนเดียวใช่ไหม พี่ชายใจร้าย”
“ไม่ใช่นะเหม่ยอิง”
“ไม่มีแผนการอะไรทั้งนั้นนะคะ เมื่อกี้ฉันพูดจริงๆ นะ”
เหม่ยอิงเอาปืนจ่อแล้วลากบราลีไปอีกทาง หันปืนมาขู่ไม่ใช้จ้าวซันตามมา จ้าวซันมองตามไป เซ็งจัด
“ฉินเจียงนะฉินเจียง เฮ่ย”
หมวดจางกำลังจับตาดูความเคลื่อนไหวของบ้านพักตากอากาศอยู่ที่บริเวณชายหาด ผู้กองเหลียงกำลังใช้มือถือติดต่อ
“ได้ยินเสียงปืนไหม ใช่ครับ ผู้หญิงคนเดียวนี่แหละครับ แต่ผมอยากให้ส่งกำลังมาสนับสนุนหน่อย เพราะเขาไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา”
“ผู้กองครับ ยิงกันใหญ่แล้วครับ”
หมวดจางบอกอย่างร้อนใจ ผู้กองเหลียงพยักหน้า กดตัดสาย
“บุก”
ผู้กองเหลียงวิ่งนำไปพร้อมกับควักปืนออกมา หมวดจางโยนกล้องส่องทางไกลทิ้งแล้วรีบวิ่งตาม
เหม่ยอิงถือปืนลากบราลีออกไปอีกทาง เหม่ยอิงถีบประตูข้างทางห้องรับแขกให้เปิดออกเห็นอาหลี่ดักรออยู่
“อย่าเข้ามา” เหม่ยอิงถือปืนหันไปทางบราลี ขู่ว่าจะยิง เหม่ยอิงหลบไปอีกห้อง จ้าวซันเดินเข้ามา “ไม่ต้องตามมา”
จ้าวซันมองไปข้างหลังเห็นฉินเจียงซ่อนอยู่ทำท่าจะออกมา
“ฉินเจียงอย่า”
เหม่ยอิงรีบหันไป ยิงปืนอีกสองนัด ฉินเจียงรีบหลบหลังกำแพง
“พี่ใหญ่! จะให้มันฆ่าผมหรือยังไง”
เหม่ยอิงลากบราลีไป พร้อมยื่นปืนไปข้างหน้า หันทางจ้าวซันและฉินเจียงสลับกัน เหม่ยอิงเหลือบไปมองที่หน้าต่างอีกบาน เห็นผู้กองเหลียงและหมวดจางถือปืนวิ่งมา
“พอเถอะค่ะ คุณอาจจะไม่รอด” บราลีบอก
“ฉันเห็นแล้ว ไม่ต้องมาบอก”
จ้าวซันก้าวออกไปยืนอยู่กลางบ้าน จ้าวซันเสียงดังหันไปตะโกนบอกทุกคน
“ทุกคนฟังผม ฉินเจียง หลี่ ผู้กองเหลียง หมวดจาง” แต่ละคนทำหน้างง จ้าวซันกำลังทำอะไร ชะเง้อออกมาดูบ้าง “ถอยออกไปให้หมด ออกไปจากบ้านนี้ นี่เป็นคำสั่ง”
“พี่ใหญ่ทำอะไรน่ะ เราจะจับมันได้อยู่แล้ว”
ฉินเจียงตะโกนบอกจากที่ซ่อน
“ไม่ ฉินเจียง เชื่อสิ เดี๋ยวพี่จัดการเอง ทุกคนออกไป”
ฉินเจียงหงุดหงิด เจ็บใจ ไม่เข้าใจ อารมณ์เสีย อาหลี่กับเต๋อเป่ามองหน้ากัน แล้วค่อยๆ ถอยออกไปจากตัวบ้าน
“ออกไปให้หมดเดี๋ยวนี้”
จ้าวซันตะโกนบอก ผู้กองเหลียงกับหมวดจาง ค่อยๆ ถอยออกไป ผู้กองเหลียงพยักหน้าให้หมวดจางแล้วกวักมือเรียกไปอีกทาง ฉินเจียงโกรธ หงุดหงิด
“เออ! ตามใจ เอาตัวเองให้รอดแล้วกัน ถ้าพี่หรือบราลีเป็นอะไรไป ผมแหละจะเป็นคนนึงที่ไปยืนหัวเราะอยู่หน้าศพ”
ฉินเจียงเขวี้ยงปืนลงพื้น แล้วเดินออกไปจากบ้านไม่สนใจ
“เหม่ยอิง”
จ้าวซันจะเดินเข้าไปหา เหม่ยอิงยิงปืนไปที่พื้นใกล้กับเท้าของจ้าวซัน
“ไม่ต้องเข้ามา” จ้าวซันอึ้ง “น้องแพ้แล้ว ไปไหนไม่รอดแล้ว แต่คิดแล้วก็น่าขำ พาตำรวจมาล้อมบ้านขนาดนี้ เพื่อมาจับผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียว ถึงตอนนี้คงไม่มีใครมาช่วยน้องได้แล้ว ถึงออกไปจากที่นี่ได้ ถ้าไม่โดนเก็บตายก็คงต้องโดนจับให้ไปนอนในคุก”
“จะไม่มีใครทำแบบนั้นพี่สัญญา”
เหม่ยอิงยิ้มให้จ้าวซันอย่างไม่มีความหมาย
“น้องก็ไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้นเหมือนกัน” ทันใดนั้นเหม่ยอิงก็ผลักบราลีไปอีกทางอย่างแรง บราลีเซถลาล้มลงไป “น้องขอตายของน้องเองอยู่ในนี้ดีกว่า” เหม่ยอิงคุกเข่าลงกับพื้น ค่อยๆ หยิบปืนขึ้นมา “แล้วพี่ชายจะได้เห็นภาพสุดท้ายของน้องตอนที่ยังมีชีวิตอยู่”
“เหม่ยอิงอย่า”
“อย่างน้อยพี่จะได้จำภาพนี้ไปจนวันตาย ไม่มีวันลืมน้องสาวที่ชื่อเหม่ยอิงคนนี้”
เหม่ยอิงยกปืนขึ้นมาในระดับศีรษะ
“อย่า”
“ลาก่อนค่ะ พี่ชาย”
เหม่ยอิงขึ้นไกปืน หลับตา เงยหน้า บราลีรีบกระโจนพุ่งตัวมาจากกำแพงเข้ามาปัดมือเหม่ยอิง ปืนลั่นเสียงดังไปโดนกำแพงด้านหลัง
เต๋อเป่าและอาหลี่ที่อยู่ด้านนอก หันไปมองอย่างตกใจ
ฉินเจียงตกใจจะรีบวิ่งเข้าไป แต่แล้วก็หยุด เปลี่ยนใจหันหลังกลับ ภายในบ้านพักบราลีคว้าปืนและแย่งมาจากมือเหม่ยอิงได้ บราลีตบหน้าเหม่ยอิงอย่างแรงเพื่อเรียกสติ
“ทำแบบนี้ทำไม”
“ปล่อยฉัน อย่ามายุ่ง เอาปืนมานี้” เหม่ยอิงกระโจนเข้าไปแย่ง บราลียกปืนหลบ รีบลุกขึ้นยืน “เอามาๆ ฉันจะตายให้ทุกคนดู”
“ไม่ต้อง ฉันไม่อยากเห็น”
“ทุกคนจะได้สาแก่ใจ”
“เลิกสนใจได้แล้วว่าคนอื่นจะมองคุณยังไง มานี่ ลุกขึ้น” บราลีเข้าไปฉุดเหม่ยอิงให้ลุกขึ้น “ฉันจะพาเธอหนีไปเอง ไปด้วยกัน” เหม่ยอิงตะลึง “ข้างนอกมีเรือจอดอยู่ เธอเห็นใช่ไหม” เหม่ยอิงมองไปทางหน้าต่าง เห็นเรือจอดอยู่ที่ท่า
“เราสองคนจะวิ่งไปให้ถึงที่เรือนั่น แล้วหนีไปด้วยกัน”
บราลีมองเหม่ยอิงแบบจริงใจที่สุด อยากจะช่วยจริงๆ เหม่ยอิงมองหน้าบราลี เริ่มลังเล
“บราลี”
“ฉันจะหาทางให้คนของคุณชายจ้าวซันพาคุณหนีไปที่คีรีรัฐ ไปอยู่ที่นั่น”
“เดี๋ยว เธอคิดจะทำอะไรน่ะ” จ้าวซันถามอย่างแปลกใจ บราลีหันไปหาจ้าวซัน
“ได้ใช่ไหมคะ” จ้าวซันงง ยังไม่ทันตอบ บราลีกลับไปพูดกับเหม่ยอิงต่อ “คุณจะไปมีชีวิตใหม่ที่นั่น ไปทำอะไรก็ได้ ไปเปิดร้านขายเสื้อผ้า ไปเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ หรืออะไรก็ได้” เหม่ยครุ่นคิด “จ้าวซันเขาใหญ่มากที่นั่น เขาจะช่วยให้คุณหลบไปอยู่เงียบๆ ได้ โดยไม่มีใครรบกวนคุณอีก”
“จริงเหรอ”
“คุณไว้ใจฉันไหม” เหม่ยอิงนิ่งไปสักพัก มองตาบราลี “ฉันไว้ใจคุณ คุณเอาปืนไว้”
บราลีส่งปืนให้เหม่ยอิง จ้าวซันอึ้ง เหม่ยอิงรับปืนไปจากบราลี มองปืนที่ถืออยู่ในมือและหน้าบราลี บราลียื่นมือเปล่าอีกข้างออกไป
“ไปด้วยกัน” เหม่ยอิงนิ่งไปสักพัก แล้วค่อยๆ ยื่นมือมาจับ “รีบไปกันเถอะ”
บราลีพยักหน้าเพิ่มความมั่นใจให้เหม่ยอิง เหม่ยอิงพยักหน้าตอบ แล้ววิ่งนำบราลีออกจากบ้านไป สีหน้าเหม่ยอิงที่มีความหวังเล็กน้อยจึงปรากฏรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก
เหม่ยอิงและบราลีจูงมือวิ่งไปด้วยกัน เหม่ยอิงวิ่งนำหน้าอยู่เล็กน้อย เหม่ยอิงหันไปยิ้มให้กับบราลี บราลียิ้มตอบ ทั้งคู่วิ่งเข้าไปใกล้เรือมากขึ้นทุกทีๆ บราลีหันไปมองจ้าวซัน ยิ้มและพยักหน้าให้ทำนองว่าไม่ต้องเป็นห่วง
เหม่ยอิงเกือบจะถึงเรือแล้ว ผู้กองเหลียงกับหมวดจางที่ซ่อนอยู่ด้านล่างโผล่ขึ้นมาจาท่าเรือ ถือปืนเล็งมาที่เหม่ยอิง เหม่ยอิงตกใจปล่อยมือบราลี ใช้สองมือจับปืนเล็งไปข้างหน้า
“ผู้กอง อย่าค่ะ”
เสียงปืนดังเปรี้ยง หนึ่งนัด จ้าวซันตกใจมากรีบวิ่งตามไปดูที่ท่า
ผู้กองเหลียงถือปืนค้างไว้ สักพักร่างเหม่ยอิงค่อยๆ ร่วงลงช้าๆ บราลีรีบเข้าไปประคอง
“ไม่” จ้าวซันวิ่งมาทันพอดี รีบเข้าช้อนร่างเหม่ยอิงไว้ เหม่ยอิงโดนยิงเข้าที่ท้องเลือดอาบ จ้าวซันช็อก “เหม่ยอิงงงงง...”
บราลีช็อกมองหน้าผู้กองเหลียง ผู้กองเหลียงงงว่าทำอะไรผิดไปหรือเปล่ามองหน้าหมวดจาง เหม่ยอิงนอนอยู่บนตักและอ้อมกอดของจ้าวซัน ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“เหม่ยอิง น้องต้องไม่เป็นไรนะ”
เหม่ยอิงยิ้มตอบ
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ ตอนนี้น้องมีความสุขมาก ไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่นิดเดียว”
เหม่ยอิงมีน้ำตาไหลออกมาจากหางตา จ้าวซันเศร้า ตกใจ ทำอะไรไม่ถูก
“ไม่เป็นไรนะๆ ต้องไม่เป็นไรนะ แข็งใจไว้นะเหม่ยอิง”
“พี่รักน้องไหมค่ะ”
“รักสิรัก รักๆๆ”
จ้าวซันพยายามกอดเหม่ยอิง เอามือลูบผมที่ลงมาปิดหน้า เหม่ยอิงพูดทั้งๆ ที่หลับตาอยู่
“น้องก็รักพี่ รักพี่มากกว่าชีวิตของน้องเองซะอีก พี่รู้ใช่ไหม”
“พี่รู้ๆ อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้ ใครก็ได้รีบไปตามหมอมาที เร็ววว”
จ้าวซันตะโกนสุดเสียง
ฉินเจียง อาหลี่ เต๋อเป่า รีบวิ่งมาที่ท่าเรือ ผู้กองเหลียงกับหมวดจางค่อยๆ เดินขึ้นมาจากที่ซ่อน ทุกคนพากันเดินเข้ามาหาเหม่ยอิงที่นอนอยู่บนตักจ้าวซันช้าๆ เหม่ยอิงยื่นมือขึ้นมา จ้าวซันรีบจับเอาไว้
“จับมือน้องไว้นานๆ นะคะ อย่าเพิ่งปล่อยจนกว่า...”
“ไม่ น้องจะต้องไม่เป็นอะไร”
“อดทนไว้นะคะ เดี๋ยวหมอก็มาแล้ว” บราลีบอก
“เสียดายนะ เราเป็นเพื่อนกันได้แป๊ปเดียวเอง”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิ เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่วันนี้จนตลอดไปเลยต่างหาก เดี๋ยวเราก็จะไปที่คีรีรัฐด้วยกันไม่ใช่เหรอ”
ฉินเจียงที่ยืนมองอยู่ห่างก็อดที่จะเศร้าไปด้วยไม่ได้
“อะไรกัน ลูกผู้หญิงตระกูลจ้าวต้องเข้มแข็งกว่านี้สิ”
เหม่ยอิงลืมตาไปยิ้มให้ฉินเจียง
“พี่รอง...ก็เป็น...ตัวยุ่ง...ตลอดกาลสินะ”
จ้าวซันบีบมือเหม่ยอิงแน่น ผู้กองเหลียงลงมานั่งข้างๆ ตามด้วยหมวดจาง
“คุณเหม่ยอิง ผม... ผม...นึกว่า...”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แบบนี้น่ะดีแล้ว ขอบคุณนะคะ” ผู้กองเหลียงร้องไห้ รีบลุกหนีไป ยืนร้องคนเดียว ทนเห็นสภาพเหม่ยอิงไม่ได้ หมวดจางตามไปปลอบ “ขอฉันอยู่กับพี่ชายของฉัน ตามลำพัง สักหน่อยได้ไหมคะ” บราลีค่อยๆ ลุกไป คนอื่นๆ ค่อยๆ ลุกตาม เหม่ยอิงหลับตาอยู่บนตักจ้าวซัน “ทะเลสวยจังเลยนะ พี่ว่าไหม”
“อืมม สวย”
“เสียดายเราคงไม่ได้ไปเที่ยวทะเลด้วยกันอีกแล้ว”
“ใครบอกล่ะเรากำลังเที่ยวทะเลด้วยกันอยู่นะตอนนี้”
“ทุกอย่างสายไปหมดเลย”
“ยังไม่สายสักหน่อย”
เหม่ยอิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองหน้าจ้าวซัน เหม่ยอิงเห็นน้ำตาไหลจากดวงตาของจ้าวซัน
“น้ำตาหยดนี้ สำหรับน้องใช่ไหม ไม่เห็นพี่ชายใหญ่ร้องไห้มานานเท่าไหร่แล้ว อยากให้เวลาหยุดอยู่ตรงนี้จัง ถ้าน้องตายไป พี่ชายใหญ่จะจำน้องคนนี้ไปได้อีกนานแค่ไหนนะ”
“ก็ต้องจำได้สิ จำได้ไปจนวันสุดท้ายของพี่”
“แล้วชาติหน้าล่ะ”
“ชาติหน้าก็ต้องจำได้”
“ไม่เอาแล้วนะ ชาติหน้าต้องไม่เป็นพี่น้องกันแล้วนะ น้องอยากให้เราเป็นมาเป็นคนรักกันบ้าง” พูดจบเหม่ยอิงก็กระอักออกมาเป็นเลือด จ้าวซันรีบเอาพาเช็ดหน้าจากกระเป๋ามาเช็ดให้ “สภาพน้องดูไม่ได้เลยใช่ไหมตอนนี้”
“น้องของพี่สวยเสมอ สวยมาก”
จ้าวซันร้องไห้ พูดไม่ออก พยายามกลั้นน้ำตา
ฉินเจียง บราลี เต๋อเป่า อาหลี่ ผู้กองเหลียง และหมวดจาง พากันเดินออกมาเกือบจะเป็นหน้ากระดาน ผู้กองเหลียงกับหมวดจางยืนอยู่ตรงกลางหน้าเครียด รู้สึกผิด ฉินเจียงกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ ร้อนรน
“ช่วยเร่งหน่อยได้ไหมครับ ผมจ่ายเพิ่มให้เป็นสองเท่าเลย สาม-สี่เท่าก็ได้”
ฉินเจียงกดโทรศัพท์เพื่อวางสาย
“ว่ายังไงบ้างคะ”
“ผมโทรไปเร่งแล้ว เขาบอกว่าจากโรงพยาบาลมาที่นี่อย่างเร็วที่สุดก็ประมาณ 45 นาที”
“ไม่มีโรงพยาบาลไหนที่ใกล้กว่านี้แล้วเหรอครับ”
ฉินเจียงส่ายหน้าสิ้นหวัง
“แต่ 45 นาที เราก็ยังมีหวังอยู่ไม่ใช่เหรอ”
ฉินเจียงหันมายิ้มแห้งๆ ให้บราลีพร้อมถอนหายใจ
“แปลกนะ คนเรา ถึงจะเกลียดกันแค่ไหน แต่พอเขาจะตายไปต่อหน้าต่อตาก็อดที่จะเสียใจไม่ได้”
บรรยากาศเศร้าสลด ทุกคนเงียบกันไปสักพัก ผู้กองเหลียงก็โพล่งขึ้นมา
“ผมไม่รู้จริงๆ นะครับว่าคุณเหม่ยอิงเขา...” ผู้กองเหลียงหันไปพูดกับบราลี “ผมคิดว่าเขาจะลักพาตัวคุณไปอีก และเห็นเขาหันปืนมาทางนี้ผมก็เลย...”
“ไม่ใช่ความผิดของผู้กองหรอกค่ะ”
“ผมเข้าใจนะครับ เพราะถ้าเป็นผมผมก็คงนึกอย่างนั้นเหมือนกัน” อาหลี่บอก
“นึก แต่คุณอาจจะไม่ยิง”
“ถ้าผู้กองไม่ได้เป็นคนยิง ผมก็อาจจะยิงเองก็ได้” หมวดจางบอก
“จริงๆ ฉันไม่น่าบอกให้คุณเหม่ยอิงวิ่งออกไปเลย ต้นเหตุทั้งหมดอาจจะเป็นฉันเอง”
“พอเถอะ เหม่ยอิงทำตัวเองมาตั้งแต่แรกแล้ว”
“แต่ผมก็อดเสียใจไม่ได้อยู่ดี”
ผู้กองเหลียงทรุดนั่งลงกับพื้น เอามือกุมหัว
“เราทุกคนก็เสียใจครับ” อาหลี่นั่งลงใกล้ๆ ฉินเจียงเดินมานั่งอีกข้าง เอามือตบไหล่ผู้กองเหลียงเบาๆ
“ผมควรจะเสียใจมากกว่า ที่ผ่านมาผมทำเลวกับเหม่ยอิงมากกว่าคุณหลายเท่า”
บราลีมองไปทางจ้าวซันและเหม่ยอิง สายตาเป็นห่วงและสงสารจับใจ เหม่ยอิงกำลังนอนอยู่บนตักจ้าวซัน
จ้าวซัน ลูบผม ลูบหน้า เช็ดเลือดให้หน้าเหม่ยอิงสวยสะอาด
“น้องต้องอดทนนะ รถพยาบาลกำลังมา น้องผ่านเรื่องยากๆ มาตั้งเยอะ แค่รอหมอ แค่นี้เอง”
“น้อง...รอ...ไม่ไหวแล้ว...พี่ชายใหญ่ น้อง...อยาก...หลับแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น น้องต้องนึกถึง แต่เรื่องดีๆ น้องจะได้หลับฝันดี แล้วตื่นมาพบกับสิ่งดีๆ”
“บนฟ้านั่น มีสวรรค์จริงหรือเปล่าคะ”
“มีสิ”
“แต่ เวลา เราขึ้นเครื่องบิน บินไปสูงแค่ไหน ก็ไม่ถึงสวรรค์ซักที”
“สวรรค์ อยู่สูงกว่านั้น เครื่องบินๆ ไปไม่ได้หรอก”
“น้อง ก็คง ไป..ไม่ได้ เหมือนกัน น้อง ไม่เคย เป็นคนดีเลย ประตูสวรรค์คงปิด ใส่หน้าน้อง”
“ไม่จริงหรอก พระเจ้าไม่ใจร้ายแบบนั้น เพียงแค่ น้องคิดถึงพระองค์ อย่างจริงใจ พระองค์ก็จะอภัยให้”
“จริงเหรอคะ”
“จริงสิ”
“แล้วพี่ล่ะคะ อภัยให้น้องไหม”
“พี่ไม่เคยโกรธน้องเลย น้องก็รู้”
“ถ้า น้องเจอเต้ น้องจะบอกว่า พี่ทำดีที่สุดแล้ว น้องไม่ดีเอง พี่สอนน้องแล้ว แต่...น้องไม่จำ” จ้าวซันร้องไห้ พูดไม่ออก “น้อง...จะ หลับแล้วนะคะ พี่อนุญาต ให้น้องนอน...ซะทีนะคะ”
“จ้ะ พักผ่อนให้สบายนะ”
“จูบลา น้องก่อน”
“กู๊ดไนท์จ้ะ สวีทดรีมนะ บาย...น้องรักของพี่” จ้าวซันจูบเหม่ยอิง
“กู๊ดไนท์ ไอเลิฟยู...ไอ เลิฟยู...ทิลไอ ดาย...น้องรักพี่...จนวันตาย จริงๆ นะคะ” เหม่ยอิงหลับไป จ้าวซันกอด ร้องไห้เงียบๆ บราลีมองมาไกลๆ ร้องไห้ไปด้วย
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 23 อวสาน (ต่อ)
แม่สี่วางโทรศัพท์แล้วร้องไห้ ทิ้งโทรศัพท์หลุดมือ ผิงอันมองอยู่ รีบเข้าไปประคอง
“ผิงอัน แม่เอง แม่ทำให้เหม่ยอิงตายเอง”
“อะไรนะคะ”
“แม่ ให้คุณบราลีกินยานอนหลับ แล้วช่วยเหม่ยอิง พาบราลีไป เพราะเหม่ยอิงบอกว่าถ้าไม่ทำแบบนี้ เขาจะหนีไปไม่สำเร็จ แต่ถ้ามีบราลีเป็นตัวประกัน จ้าวซันจะพาเขาไปนอกประเทศจนได้ แต่แล้วเพราะแม่เอง ทำให้เหม่ยอิงโดนตำรวจยิงตาย”
“พี่เหม่ยอิง” ผิงอันร้องไห้
“แม่ ทำลายลูกตัวเอง แม่ผิดเอง ผิงอัน แม่จะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเลย” แม่สี่ร้องไห้จนเป็นลม ผิงอันกอดแม่ไว้ ร้องไห้ไปด้วย
วันต่อมากล่องเครื่องเพชรจ้าวไทไทที่มีเครื่องเพชรครบ วางบนโต๊ะตรงหน้าจ้าวไทไท ผิงอันเป็นผู้วาง หน้าตา”
สงบ อ่อนโยน
“แม่ใหญ่คะ พวกเราต้องขอโทษแทนพี่เหม่ยอิงจริงๆ ในที่สุด พี่เหม่ยอิงก็ได้รับผลกรรม แล้วก็ประสบกับจุดจบที่น่าเศร้า อาจจะเป็นเพราะคำสาปของเครื่องเพชรนี้จริงๆ ก็ได้” ไทไทยิ้มสลด
“คำสาปเครื่องเพชรจ้าวไทไท มันไม่มีจริงหรอก ผิงอัน”
“อะไรนะคะ”
“มันก็แค่ เรื่องที่ฉันแต่งขึ้นขู่พวกผู้หญิงที่อยากจะได้มันกันนัก พวกเมียน้อย นังเล็กๆท มากมาย ที่เต้ของเราสะสมไว้นั่นแหละ”
“อ้าว”
“จริงๆ แต่ก่อนนี้ มีสาวๆ มากมาย หลงใหลใฝ่ฝันว่า ถ้าฉันตาย หรือจ้าวฉินเย่ว์ทิ้งฉัน พวกหล่อนจะได้มีสิทธิ์ในเครื่องเพชรชุดนี้กัน น่าขำ ในที่สุด ฉันเองดันมีชีวิตอยู่นานกว่าใคร จนเต้ของเราตาย แม้กระทั่งพวกเมียเล็กเมียน้อยตายกันหมด จนถึงเหม่ยอิง เด็กรุ่นลูกแท้ๆ ก็มาตายก่อน จ้าวไทไท ก็ยังอยู่เฝ้าเครื่องเพชรชุดนี้ต่อไป ทั้งๆ ที่ก็ไม่มีงานอะไรให้ใส่ไปอีกแล้ว นอกจากจะใส่เล่นนั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้องนี้ มันน่าขำมากใช่ไหม”
“แต่พี่เหม่ยอิงก็ตาย ในขณะที่ใส่เครื่องเพชรนี้นี่คะ”
“เหม่ยอิงมันตาย เพราะมันทำตัวของมันเองต่างหาก เครื่องเพชรมันก็อยู่เฉยๆ ของมัน คนเราจะได้รับผลยังไง ก็ขึ้นอยู่กับการประทำของตัวเองทั้งนั้นแหละ ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว”
“ก็จริงค่ะ”
“ในที่สุดแล้ว เมื่อถึงวันที่เหมาะสม เธอโตพอเมื่อไหร่ เครื่องเพชรชุดนี้ มันก็คงจะต้องตกเป็นของเรานั่นแหละ ซายหมุย”
“หนูไม่อยากได้หรอกค่ะ หนูไม่ดีพอ แม่ใหญ่ให้พี่บรีดีกว่าค่ะ”
“ให้เจ้าหญิงทำไม เขาไม่ใช่คนตระกูลจ้าว จ้าวซัน เจ้าชายจากเมืองไกลก็ไม่ใช่คนตระกูลจ้าวเหมือนกัน แต่เธอใช่ เพราะฉะนั้นมันก็ต้องเป็นของเธอ ไม่ต้องปฏิเสธหรอก อย่าว่าแต่เครื่องเพชรเลย ยังมีอะไรอีกหลายอย่างนัก ที่เธอจะต้องรับเอาไว้ ทั้งๆ ที่เธอไม่เคยคาดฝันเลยล่ะ” ไทไทหัวเราะเบาๆ ผิงอันหน้าตื่นๆ
ทะเลเมืองไทย น้ำทะเลสีเขียวฟ้าสวย มีกลีบดอกกุหลาบแดงโรยลงมาจำนวนนึง จ้าวซันยืนอยู่ โยนดอกกุหลาบแดงลงมา เป็นดอกๆ ที่มีก้านด้วย บราลีช่วยโยนด้วย จนหมด จ้าวซันหันมาหาบราลีแล้วยื่นมือออกมาหา
บราลีจับมือจ้าวซันไว้ มองสบตา ให้กำลังใจ จ้าวซันมอง พยายามยิ้ม น้ำตาซึมๆ มือทั้งสองประสานนิ้วกัน
บราลีกอดจ้าวซันปลอบโยน กุหลาบในทะเลค่อยลอยไปตามคลื่น
ตอนกลางคืน จ้าวซันนั่งมองกองไฟเศร้าๆ เอาไม้เขี่ยๆ ถ่านเล่น บราลีถือเครื่องดื่มชงเดินมามองจ้าวซัน จ้าวซันหันมามอง พอเห็นบราลี จ้าวซันก็ยื่นมือมาหาอีก บราลีเข้าไปจบมือจ้าวซัน แล้วนั่งลงข้างๆ พร้อมกับส่งแก้วแครื่องดื่มให้กิน
จ้าวซันกุมแก้วไว้ด้วยสองมือ ประคองกิน จิบแบบช้าๆ แล้วเหลือบตาช้อนมองหน้าบราลี บราลีลูบชายผมจ้าวซัน จับผมให้พ้นหน้า แตะแก้ม บราลีประคองหน้าจ้าวซัน จูบแก้ม จูบหน้าผาก จ้าวซัน
เช้าวันรุ่งขึ้นบราลี จ้าวซัน ใส่บาตรพระริมทะเล แล้วทั้งสองนั่งลงไหว้ พระให้พร จ้าวซันเดิน บราลีกอดเอว ทั้งคู่พากันเดินช้าๆ ไป ริมทะเล สีหน้าจ้าวซันค่อยสดใสขึ้นบ้าง ทั้งคู่สบตากัน จ้าวซันจับหัวบราลี ลูบผมเบาๆ เป็นเชิงขอบใจ บราลียิ้มให้สดใส จ้าวซันยิ้มตาม
ที่วังคีรีรัฐ พระเทวีสิริวารตีแต่งตัวเครื่องประดับให้ศิขรนโรดม แล้วถอยออกมาดูแบบปลาบปลื้ม
“งามเหลือเกิน ศิขรลูกแม่ ลูกจะเป็นเจ้าหลวง ที่เป็นเจ้าบ่าว ที่สง่างาม น่ารักที่สุดเท่าที่คีรีรัฐเราเคยมีงานอภิเษกสมรสมา ประวัติศาสตร์จะต้องจารึกว่าลูกกับมิถิลา จะเป็นคู่เจ้าหลวง กับพระเทวี ที่น่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกิน”
“มิถิลาคงจะสวยมาก”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว เดี๋ยวลูกคอยดูเองก็แล้วกัน จะได้ตะลึงในความงามของน้อง”
ศิขรนโรดมกราบที่อกแม่
“ลูกกราบเจ้าแม่ เจ้าแม่ทรงเมตตามิถิลามากๆ ไม่ได้รังเกียจเรื่องพ่อของเค้าเลย”
“ลูกรักใคร แม่ก็รักด้วย และใครรักลูก แม่ก็พร้อมจะรักเค้า ศิขรไม่ต้องห่วงเลย”
ศิขรนโรดมนึกอะไรได้ นิ่งไปนิด
“ลูกอยากให้เจ้าพี่มาจังเลย”
“แม่คิดว่า จ้าวซันกำลังวุ่นวายมากกับเรื่องที่ฮ่องกง อาจจะปลีกตัวมายาก”
“ลูกเข้าใจ แต่ถ้าเจ้าพี่มาได้ คงเป็นของขวัญงานแต่งงานที่ดีที่สุดสำหรับลูก”
“น่านปิงต้องอยากมาสิลูก เจ้าพี่รักเจ้าน้องแค่ไหน ถ้าเสด็จมาได้ ต้องเสด็จมาแน่”
ศิขรนโรดมมีความหวัง
เช้าวันรุ่งขึ้นที่ลานพิธี ประชาชนมากมาย ถือธง ถือดอกไม้ นั่งกันเป็นแถว หมอหลวงพาเจ้าหลวงมาทยาทรถือไม้เท้า เดินเขยกมา พระเทวีสิริวารตีมาประกบ
“ทรงพร้อมไหมเพคะ เหนื่อยหรือเปล่า”
“ไม่เหนื่อยเลย มัวแต่ปลาบปลื้ม ดีใจ”
“ทรงพระดำเนินไหวไหมเพคะ”
“ไหวสิ”
พระครูหันไป พยักหน้าไปให้คิว คณะดนตรีในขบวน บรรเลงขึ้น อสุนีเดินนำศิขรนโรดมในชุดอภิเษกออกมา
คณะของเจ้าบ่าวมีวงดนตรีนำ ตามด้วยศิขรนโรดม อสุนี และพวกญาติผู้ใหญ่ตาม เดินเป็นขบวนช้าๆ ไปตามพรมแดง จากตำหนักนึง ไปอีกตำหนักนึง
ประชาชนหมอบเฝ้าอยู่ที่สองข้างทางที่ปูพรมแดงนั้น ประชาชนบ้างโบกธง บ้างโปรยดอกไม้ไปตามทาง ให้ศิขรนโรดมเหยียบ ในหมู่คนดู มีการตั้งกล้องถ่ายทอดภาพออกสู่จอให้ประชาชนชม
ในหมู่ประชาชน ด้านนึงถูกจัดไว้ ให้เป็นที่สำหรับนักท่องเที่ยว สื่อต่างชาติ ถือกล้องภาพนิ่งภาพเคลื่อนไหว อนุญาตให้อยู่กัน ที่ลานอีกตำหนัก เป็นพวกสตรีฝ่ายในล้วนๆ ตั้งแถวรอ แม่นม พามิถิลาออกมาหลบหลังประตู มิถิลาสวยงามมาก
“อย่าทำหลังงอ เอ่อ...คุณมิถิลาคะ อีกไม่นาน คุณจะได้เป็นพระเทวี ฉัน...เอ่อ...ฉันจะเริ่มใช้คำราชาศัพท์กับเธอแล้วนะ พระเทวีเพคะ ทรงยืดพระองค์ให้ตรงๆ หน่อยเพคะ ทรงงามมากนะเพคะ” แม่นมกระซิบบอก มิถิลาชะเง้อดู แล้วกระซิบ
“เจ้าหลวงทรงงามมากเลย แม่นมคะ”
“ไม่มีใครเกินอยู่แล้วเพคะ ทรงเป็นที่หนึ่งเสมอ”
ในหมู่นักท่องเที่ยว บราลีและจ้าวซัน ภูสินทรและสมุน คอยรักษาความปลอดภัย ทุกคนใส่แว่นดำ แต่งตัวกลมกลืน แทรกเข้ามาเนียนๆ ไม่มีใครสังเกต
“งามมากเลยนะคะ ทุกอย่างเลย” บราลีบอก
“เจ้าหลวงศิขรหน้าตาขรึมมาก สงสัยจะกลัว” จ้าววันหัวเราะเบาๆ
“กลัวอะไรคะ”
“กลัวการแต่งงาน”
“เจ้าน้องอยากแต่งงานจะตายไปค่ะ”
บราลีค้อน จ้าวซันหัวเราะ ศิขรนโรดมเดินเข้ามาจนใกล้ตำหนักฝ่ายใน แม่นมจับแขนมิถิลา
“ว่าที่พระเทวี เสด็จออกได้แล้วเพคะ”
แม่นมพาเจ้าสาวออกไป ประชาชนโห่ร้องโบกธง กล้องวิดีโอตรงจุดนั้น หันไปถ่ายมิถิลา ภาพมิถิลาขึ้นจอใหญ่
บราลีแล้วจ้าวซันดูอย่างตื่นเต้น ศิขรนโรดมก้าวไปถึง มิถิลากราบเท้ากับพื้น ภาพวิดีโอจับที่ภาพนั้นขึ้นจอ บราลี จ้าวซันยืนดูกัน
“เห็นไหม มาแอบแบบนี้สนุกดีนะ ได้เห็นว่าประชาชนรักเจ้าหลวงมากแค่ไหน แล้วเขาจะได้ไม่ต้องลำบาก จัดทางที่ให้เราให้วุ่นวาย”
“ใช่ค่ะ เป็นคนดู สนุกกว่านะคะ”
ศิขรนโรดมประคองมิถิลาขึ้น ศิขรนโรดมจับมือกับมิถิลา แล้วหันมาหาทางประชาชน แล้วพากันเดินมาทางประชาชน ประชนโห่ร้อง ชื่นชม ตะโกน
“เจ้าหลวงทรงเจริญยั่งยืน”
“มาแล้วๆๆ”
กลุ่มจ้าวซันตะโกนกัน
“เจ้าหลวงเจริญยั่งยืนๆๆ”
ศิขรนโรดม มิถิลา พากันเดินมาหาประชาชน มีอสุนีตาม ศิขรนโรดมจับมือมิถิลา กวาดตาดูประชาชน ศิขรนโรดมเห็นประชาชนโบกธงรับ จ้าวซันกับบราลีโบกกันสุดแขน ศิขรนโรดมมองมาแล้วชะงัก เบิกตากว้างเมื่อเห็นจ้าวซันกับบราลี ที่ปะปนอยู่ในกลุ่มประชาชน
“เจ้าพี่”
จ้าวซันรู้ตัว ว่าโดนจับได้ ยกมือทัก ยิ้มอบอุ่น มิถิลาสงสัย มองตามสายตา แล้วชะงัก อสุนีมองมา ชะงัก สีหน้าเปลี่ยนไป แต่ฝืนทำปกติ ศิขรนโรดมหยุด มองจ้าวซัน บราลีถวายบังคม มิถิลาตาโตหันมาสบตาศิขรนโรดม
จ้าวซันทำเครื่องเหมายให้เดินต่อไป ทำพิธีก่อน ศิขรนโรดมดีใจจนเนื้อเต้น
“ในที่สุด เจ้าพี่ก็มา มิถิลาดูสิ ในที่สุด เจ้าพี่ก็มา”
มิถิลาก้มหัวให้จ้าวซัน จ้าวซันทำมือยืนยัน ให้ดำเนินต่อไป
“เสด็จดำเนินต่อไปพะย่ะค่ะ เจ้าหลวง พระราชพิธีต้องตรงตามฤกษ์ทุกๆ ขั้นตอนพะย่ะค่ะ”
อสุนีกระซิบบอก ขบวนทั้งหมด ทั้งพวกผู้ใหญ่เดินผ่านจ้าวซันไป ทั้งเจ้าหลวงมาทยาทร พระเทวีสิริวารตี ท่านครู หมอหลวง ต่างหันมามองทางจ้าวซัน แล้วต่างทำหน้าดีใจ ทักทาย ตื่นเต้นกัน พระเทวีสิริวารตีรีบสั่งบางอย่างกับแม่นม แม่นมดีใจ รีบดี๊ด๊า จ้าวซัน บราลี ภูสินทร ก้มทำความเคารพทุกท่าน ประชาชนเริ่มหันมามองจ้าวซัน
จ้าวซัน และพวกมองส่งจนขบวนของศิขรนโรดมทั้งหมด เข้าไปในท้องพระโรง พอพวกพระราชพิธีเข้าไปในท้องพระโรงกันหมด ประชาชนเริ่มหันมาสนใจจ้าวซัน คนถ่ายวิดีโอ หันกล้องมาทางจ้าวซัน ภาพจ้าวซันถูกตัดขึ้นจอใหญ่
“น่านปิงนรเทพนี่นา”
“องค์น่านปิงเสด็จมา”
“องค์น่านปิงๆๆ”
ประชาชนหันมาสนใจ แล้วทั้งหมดก็ถวายบังคมกราบลง
“องค์ชายน่านปิง ทรงเจริญยั่งยืนพะย่ะค่ะ”
บางคนที่ถือธง ก็โบกธงอย่างดีใจ
แม่นมรีบต้อนจ้าวซันและบราลีเข้ามาในตำหนักหลวง
“มันน่าถวายผางนักเชียว องค์ชายน่านปิง โตแล้วยังทรงเล่นซ่อนหาเป็นเด็กๆ ทรงทราบไหม ว่าเจ้าหลวงทรงกระวนกระวายขนาดไหน เพราะทรงนึกว่าจะไม่มาซะแล้ว”
“เราก็มาแล้วไง พระนม”
“คุณม่านฟ้าก็เหมือนกัน เร็วเข้าค่ะ ซุกซนกันจริง แทนที่จะเตือนกัน กลับทำตัวเหลวไหลกันทั้งคู่”
“ไม่ได้เหลวไหลนะคะ แต่เราอยากจะทำหน้าที่ของประชาชนชาวคีรีรัฐบ้าง”
“องค์ชายน่านปิง ทรงเป็นพระราชวงศ์ชั้นสูงที่สุด ที่ต้องประทับอยู่ในตำแหน่งเจ้าพี่ของเจ้า นี่ถ้าไม่เสด็จมานะ จะเสียพระทัยซักแค่ไหน”
จ้าวซันเข้ามากอดแม่นม
“หยุดบ่นได้แล้วค่ะ พระนม มา จะให้ทำอะไร ก็ว่ามา”
“มีเวลาอีกครึ่งชั่วโมง สมเด็จพระสังฆราชท่านทรงสวดมนตร์เสร็จ ก็จะเป็นพิธีอภิเษก รีบเข้าเถอะเพคะ
เอ้า...พวกเธอ เอาตัวคุณม่านฟ้าไปจัดการเร็ว”
แม่นมพาจ้าวซันมาทาง พวกข้าหลวงพาบราลีไปอีกทาง
ที่ท้องพระโรง พระครู นำศิขรนโรดมและมิถิลา เดินเคียงกันมาที่ตรงตั่งคู่สำหรับพิธีรดน้ำ พวกเสนาบดี ทหาร ข้าราชบริพารเต็มห้อง ต่างนั่งลงกับพื้น
“เจ้าพี่ล่ะ พระครู เจ้าพี่เข้ามาหรือยัง”
“ประทับที่พระที่นั่งตั่งเถอะ ฝ่าบาท ได้พระฤกษ์แล้ว”
“แต่เราอยากรอเจ้าพี่ก่อน เจ้าพี่ต้องเป็นผู้พระราชทานน้ำสังข์ให้เรา ต่อจากเจ้าพ่อเจ้าแม่ เรามีกันสองคนพี่น้อง งานแต่งงานเรา จะไม่มีเจ้าพี่ไม่ได้”
“เจ้าหลวงเพคะ” มิถิลาจับมือ ยิ้มปลอบใจ “ทุกอย่าง จะเป็นไปตามพระประสงค์แน่เพคะ”
พระครูจับตัวศิขรนโรดมให้นั่งลง มิถิลานั่งลงด้วย
“กราบบังคมทูล พระราชชนก และพระราชชนนีพะย่ะค่ะ”
พระเทวีสิริวารตี ประคองเจ้ามาทยาทรเข้ามา พระครูหันไป เชิญพานสายมงคล ที่สำหรับคล้องรอบศรีษะทั้งบ่าวสาว ให้พระเทวีสิริวารตีและเจ้าหลวงมาทยาทร ทั้งสองช่วยกันสวมมงคลรอบหัวให้บ่าวสาว
“แล้วเจ้าพี่ล่ะ เจ้าพี่”
ทุกคนในห้องต่างหันไปมองหา อสุนีรีบเข้ามา
“องค์ชายน่านปิงและพระคู่หมั้นเสด็จมาแล้ว”
จ้าวซันและบราลี ที่ทรงชุดอลังการงามสง่า ก้าวเข้ามา ทุกคนพากันนั่งลงถวายบังคมราบไปทั้งห้องเหมือนจ้าวซันคือเจ้าหลวงตัวจริง อสุนีมองดูคนรอบๆ เหล่านั้น ที่พากันถวายบังคมลงต่ำมากๆ ตัวเองรีบถอยไปอยู่หลังศิขรนโรดมที่นั่งตั่งแล้ว เพื่อจะไม่ลงนั่งไปกะทุกคน
“เจ้าหลาน”
เจ้ามาทยาทรก้มหัวให้จ้าวซัน
“เจ้าหลาน”
“เจ้าลุง เจ้าป้า”
“เจ้าลุง เจ้าป้า”
จ้าวซัน บราลี คุกเข่าบังคมต่อหน้าเจ้าหลงวงมาทยาทรและพระเทวีสิริวารตี
“มาเถอะ น่านปิง ม่านฟ้า มา เจ้าหลวงทรงรอแค่หลานเท่านั้นเลยนะ”
“น่านปิง ม่านฟ้า ไป ไปทำหน้าที่ให้สมบูรณ์เถอะนะ”
จ้าวซันและบราลีลุกขึ้น พระเทวีสิริวารตีช่วยประคองเจ้าหลวงมาทยาทรไป พระครูมอบสังข์ให้ เจ้าหลวงมาทยาทรรับไป รดน้ำให้บ่าวสาว
“ขอให้ลูกทั้งสองเป็นเจ้าหลวง และพระเทวีที่รักกัน ช่วยเหลือกัน ทำภารกิจเพื่อคีรีรัฐของเราให้ประสบความสำเร็จทุกๆ ด้านนะลูก”
ทั้งสองกราบลง พระเทวีสิริวารตีรับสังข์ต่อมา รดน้ำให้
“ขอให้อยู่ด้วยกันจนแก่จนเฒ่า ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร ขอให้มีลูกหลานมาช่วยกันทำงานรับใช้ปวงประชาชนนะลูก”
ทั้งสองกราบลง พระครูนำสังข์ไปเติมน้ำกับข้าราชการผู้ช่วยประกอบพิธีแล้วส่งสังข์ต่อให้จ้าวซัน
“ขอให้เจ้าหลวง และพระเทวี จงมีความรักที่อย่าได้มีวันจืดจาง”
“เจ้าพี่ หม่อมฉันสองคนจะไม่ได้มีวันนี้ หากไม่มีเจ้าพี่กับม่านฟ้าช่วยให้เราได้เข้าใจกัน เราทั้งสองจะไม่มีวันลืมเลย” ศิขรนโรดมมองจ้าวซัน น้ำตาคลอ
“ขอให้ทรงมีความสุขมากๆ เพคะ และมีองค์ชาย องค์หญิงน้อยๆ น่ารักๆ เร็วๆ นะเพคะ” บราลียิ้มปลื้ม ตื้นตันน้ำตาคลอด
“องค์น่านปิงและคุณม่านฟ้าเหมือนกันนะคะ”
ศิขรนโรดมมองจ้าวซัน และบราลีอย่างมีความสุข น้ำตาไหล อสุนีมองจ้าวซัน แววตามีแววประหลาด ด้านนึง ภูสินทรแอบมองอสุนีอย่างไม่ไว้ใจ
พอตกกลางคืนมีพลุ ดอกไม้ไฟเต็มฟ้า ประชาชนดูดอกไม้ไฟกัน เด็กๆ เล่นไฟเย็น ตะไล พลุเล็กๆ บ้างวิ่งกินขนมไปมา ริมถนนก็มีการแสดงพวกกายกรรม ละครลิง วงดนตรีพื้นเมือง คนมุงดูกันแต่ละคนต่างแต่งกายสวยงาม นอกจากนี้ยังมีเวทีการแสดงระบำอลังการแบบมีนางฟ้อนกันเยอะๆ ชาวเมืองมุงดูกัน
ในวังมีวงดนตรีแบบชาววัง ซอซึงและมีนักร้องชาย-หญิง นั่งเท้าแขน ร้องเพลงเสียงเย็นๆ ตอบโต้กันไปมา
บริเวณวังจัดเหมือนงานเลี้ยงขันโตกในสวน มีพวกทหาร ข้าราชบริพาร ชาววัง นั่งกินกันพลางมองบนฟ้าก็ยังมีดอกไม้ไฟขึ้นเป็นระยะๆ ภูสินทรนั่งกินอยู่กับท่านครู หมอหลวง อสุนี ข้าราชบริพาร
“คุณเมืองเทพ แล้วองค์ชายไม่รับสั่งหรือ ว่าจะกลับมาอยู่ที่นี่เมื่อไหร่”
“นั่นสิ ข้าราชการ พ่อค้า และประชาชนพูดถึงพระองค์กันทุกคน ว่าอยากให้มาประทับที่นี่เป็นการถาวร เพราะจะได้ช่วยกันกับเจ้าหลวงบริหารบ้านเมือง”
“คุณเมืองเทพกราบทูลท่านสิ ว่าอย่าทรงเร่ร่อนอีกต่อไปเลย คีรีรัฐต้องการพระองค์ท่านมาก หากพระองค์กลับมา พวกเราทุกคนจะได้อุ่นใจซะที”
อสุนีดื่ม ขรึม
“เอ...ผมไม่เคยได้ยินนะว่ามีพระราชดำริว่าจะมาหรือเปล่า หรือจะมาเมื่อไหร่”
“หึๆ องค์ชายจ้าวซัน จะเสด็จไปไหนมาไหน ไม่เคยมีการบอกหมายกำหนดการล่วงหน้าทั้งนั้น เพราะโปรดทำให้คนอื่นเขาตื่นเต้น ทำพระองค์ให้โดดเด่น ดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้ตลอดเวลา ขนาดงานอภิเษกของเจ้าหลวง ก็ยังทำพระองค์ให้โดดเด่นกว่าเจ้าหลวงเล้ย” อสุนีบอก
“หมายความว่างยังไง อสุนี”
“ไม่มีอะไร ผมพูดเล่น”
เมืองเทพมองหน้าอสุนีจะเอาเรื่อง
“อ้าว คุณเมืองเทพ ลองชิมเครื่องดื่มนี่หน่อย ของหัวเมืองทางเหนือเขาส่งมา คุณว่ารสมันได้ที่หรือยัง”
“ไหนๆๆ ผมชิมบ้างสิๆ”
ภูสินทรหันไปสนใจทางนั้นแทน ระหว่างนั้น มีเสียงพลุ ดอกไม้ไฟ เป็นระยะๆ
ในตำหนัก มิถิลากับบราลี แกะของขวัญกัน นั่นคือชุดนอนสวยงามและหวานเป็นลูกไม้พราวแพง
“โอ๊ะ นี่มัน”
“ชุดนอนเพคะ พระเทวี งามมาก เหมาะกับเพราะเทวีมาก”
“ชอบจังเลยค่ะ ขอบพระคุณคุณม่านฟ้ามาก”
“ทรงในคืนนี้เลยสิเพคะ”
“สวยจังเลย แบบนี้ ท่าทางจะตัดเย็บยาก” มิถิลาพิจารณาอย่างละเอียด
“ทรงสนพระทัยเรื่องการตัดเย็บเสื้อผ้าเหมือนกันหรือเพคะ”
“สนใจสิคะ คุณม่านฟ้าเรียนเรื่องอุตสาหกรรมสิ่งทอมา น่าจะให้คำแนะนำได้ว่าถ้าประเทศของเรา จะทำอุตสาหกรรมเสื้อผ้าชนิดสวยๆ งามๆ แพงๆ ประณีตแบบนี้เพื่อการส่งออกบ้าง จะเหมาะสม และเป็นไปได้ไหมคะ”
“พระเทวีเริ่มทำหน้าที่ของพระเทวีแล้วนะเพคะ ทรงคิดถึงประชาชนก่อนอื่นเลย”
ทั้งสองหัวเราะกัน
อีกด้านนึง จ้าวซันกับศิขรนโรดมนั่งดื่มกันสองคน
“เจ้าพี่ จะเสด็จไปไหนอีก ประทับอยู่บ้านของเราเถอะ นะ เจ้าพี่นะ” จ้าวซันนิ่ง ไม่ตอบ “น้องไม่เคยคาดฝัน จะขึ้นครองบัลลังก์ น้องไม่ได้เตรียมตัวเลย น้องกับเจ้าแม่ เฝ้ารอเจ้าพี่กลับมาเสมอ เพื่อจะได้มีเจ้าพี่เป็นเจ้าหลวงของเรา”
“น้องเป็น หรือพี่เป็น ก็เหมือนกันนั่นแหละ”
“จะเหมือนกันได้ไง ในเมื่อเจ้าพี่ทรงพระปรีชาสามารถมากเหลือเกิน”
“ศิขร ให้พี่ไปเถอะ เวลานี้พี่อยากแต่จะท่องเที่ยวไป อย่างไร้ภาระหนักๆ ใดๆ ทั้งนั้น”
“น้องยอมให้เจ้าพี่ไปพักผ่อนให้พอใจก่อนก็ได้ แล้วถ้าเมื่อไหร่ ทรงอยากมีภาระบ้างก็กลับมาเถอะ”
“พี่ไม่ได้เก่งกาจอะไรมากมายเลย ศิขร น้องยังไม่เคยลองทำอะไร น้องลองทำดูก่อน พอลงมือจริงๆ แล้ว น้องอาจจะพบว่าตัวเองเก่งที่สุดก็ได้”
“บางทีน้องก็กลัวการมีอำนาจเหลือเกิน น้องเคยเห็นมาแล้ว ว่าอำนาจมันเหมือนอาวุธ มันหันมาทำลายตัวคนถืออาวุธซะเองก็บ่อย”
“แต่ใครๆ ก็อยากได้ครอบครองอาวุธนั้นกันจริงๆ อยากจนสามารถทำอะไรที่น่ากลัวที่สุดก็ได้ อยากจน ฆ่าพี่น้องหรือคนที่ตัวเองรัก หรือแม้แต่ตัวเองก็ได้”
“มันมีหลักการอะไรไหม เจ้าพี่ที่จะทำให้น้องเป็นเจ้าหลวงที่ดีได้”
“การเป็นเจ้าหลวงที่ดี ก็คือการทำเพื่อประชาชน มากกว่าตัวเอง การใช้อำนาจก็เหมือนกัน จงใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตัว แค่นี้เอง ศิขรผู้ยิ่งใหญ่ ต้องไม่เอาเปรียบ ต้องเป็นผู้ให้ ไม่ใช่เป็นผู้กอบโกยเอามาเป็นของตน”
“เหมือนเจ้าพี่ใช่ไหม เจ้าพี่เป็นผู้ให้มาตลอด”
“จงให้ไป แล้วเราจะได้มาเอง ความดีของการเป็นผู้ให้จะคุ้มครองเรา”
จ้าวซันพูดอย่างเปี่ยมศรัทธา และจริงใจ ศิขรนโรดมมองอย่างสุดปลื้ม
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 23 อวสาน (ต่อ)
บริเวณหน้าผา ใกล้แม่น้ำ พันหงปิงที่ร่างกายพิกลพิการบางอย่าง ขากระเผลกๆ เอวคดๆ กำลังลองปืนยิง ปังๆๆๆ กระสุนเข้าต้นไม้ เปลือกไม้กระจุยกระจาย ก่อนจะส่งปืนให้พวกโจรคีรีรัฐที่แต่งตัวพื้นเมืองเอาไปตรวจเช็ค
“บอกแล้วว่าตัวนี้สุดยอด แล้วถ้าพวกเอ็งอยากได้อะไรอีกบอกข้า มากกว่าเอ็มเจ็ดเก้าข้าก็จัดให้ได้”
“คนพิกลพิการอย่างลุงไปเอาอาวุธเจ๋งๆ พวกนี้มาจากไหน”
“เอ้า เรื่องไรจะบอก พวกเอ็งรู้แค่ว่า ข้าเคยเป็นเพื่อนนายทหารเก่าที่ใหญ่ที่สุดที่นี่ก็แล้วกัน แต่พวกมันตายหมดล่ะ มีแต่ข้านี่แหละที่อยู่ยงคงกระพัน อาวุธอะไรก็เอาข้าลงไม่ได้ เฮ้ย จะบอกไรให้เอาบุญนะ หนุ่มๆ อย่างพวกเอ็ง ถ้าอยากรวย อย่าอยู่ใต้กฎหมาย ไม่มีทางเจริญ แต่อย่ามาค้าอาวุธเหมือนข้า ไปปลูกยาค้าฝิ่นดีกว่า ถ้าสนใจข้าแนะ”
แต่อยู่ๆ พันหงปิงก็ชะงัก เพราะเห็นภูสินทร จ้าวซัน บราลีเดินผ่านไป ในเส้นทางที่ตำลงไป เลียบริมน้ำ
“นั่น...อา พวกมันก็มาที่นี่เหมือนกันหรือ อืม...ใช่สินะ งานอภิเษกเพิ่งผ่านไปนี่นา”
พันหงปิงขยับตามไปมอง เห็นชัดเจนว่าคือจ้าวซัน พันหงปิงของขึ้น แค้น
“เอ้า ลุง ไหนจะแนะนำอะไรก็บอกมาสิ อย่าลีลา”
“พวกเอ็งเห็นไอ้พวกนั้นมั้ย เพราะพวกมันที่ทำให้ข้าพิการยังงี้ จ้าวซัน” พันหงปิงหันมาหาพวกโจร “พวกเอ็งอยากลองวิชาที่ข้าสอนให้ไหมล่ะ”
พวกโจรงง พันหงปิงคิดล้างแค้น
ศิขรนโรดมกับมิถิลามาลาจ้าวซันกับบราลี
“เจ้าพี่แน่ใจเหรอว่าจะไม่ให้น้องสั่งทหารตามไปอารักขาจนกว่าจะถึงเมืองไทย”
“เวลานี้คีรีรัฐสงบสุขแล้ว ไม่มีอันตรายอะไรให้ต้องระวังอีก น้องอย่าห่วงไปเลย แค่ช่วยเตรียมเรือเตรียมเสบียงอาหารระหว่างเดินทางให้ก็พอแล้ว”
“ไม่กี่ชั่วโมง ก็เข้าชายแดนประเทศไทยค่ะ ไปทางน้ำก็สะดวกดี วิวสวยดีด้วย”
“น้องให้อสุนีช่วยจัดเตรียมเรือเอาไว้ให้เจ้าพี่แล้ว อีกสักพักคงจะมาถึง”
“ทำไมถึงไม่นั่งเครื่องบินกลับ ไม่สะดวกกว่าหรือ”
“เราอยากแวะบ้านเก่าที่เมืองไทยของเราด้วย ยังมีอะไรๆ อีกตั้งเยอะที่เราอยากให้ม่านฟ้าได้รู้ได้เห็น โดยเฉพาะเรื่องราวในวัยเด็กของเรา”
“เจ้าพี่ คุณม่านฟ้า ห้ามลืมนะ ถ้ามีงานมงคลเมื่อไหร่ ต้องส่งข่าวมาบอกเราด้วย เราอยากเห็นวันที่เจ้าพี่มีความสุข”
บราลีมองศิขรนโรดม เขิน
“เจ้าหลวง อย่าเพิ่งเร่งรัดสิเพคะ เวลานี้เจ้าพี่คงจะอยากอิสระ พักผ่อนท่องเที่ยวไปก่อนมากกว่า”
“แต่รับรองได้ว่ามีวันนั้นแน่ๆ แล้วถ้าพี่มีทายาทเมื่อไหร่ จะขออนุญาตพามาฝากตัวให้เป็นพระสหายกับทายาทน้อง”
“หากเป็นชายหรือเป็นหญิงเช่นเดียวกัน น้องยินดีมากที่จะให้เป็นพระสหาย แต่ถ้าหากเป็นหญิงกับชาย เป็นพระสหายคงไม่เหมาะ เป็นพระคู่หมั้นดีไหมเจ้าพี่”
ภูสินทรกลับเข้ามารายงาน
“เรือกำลังมาแล้วครับองค์ชาย”
จ้าวซันกับศิขรนโรดมรู้ดีว่าถึงเวลาต้องจากกันแล้ว
“น้องขอให้เจ้าพี่มีความสุขอย่างที่เจ้าพี่ปรารถนามาตลอด น้องจะคิดถึงเจ้าพี่”
“ดูแลตัวเองด้วยนะศิขร”
จ้าวซันกับศิขรนโรดมกอดลากัน
เรือแล่นมาจอดเทียบริมแม่น้ำ ทหารคนหนึ่งเป็นคนบังคับเรือเข้ามา ศิขรนโรดมกับมิถิลาตามมาส่งด้วย
“เรือลำนี้ น้องให้อสุนีช่วยจัดเตรียมไว้ให้ เสบียงอาหารและน้ำดื่มพร้อมสำหรับล่องไปถึงเมืองไทย เจ้าพี่จะได้สะดวกสบาย”
ภูสินทรเข้าไปสำรวจในเรือตามหน้าที่
“ขอบใจมาก พี่จะติดตามข่าวของน้องเสมอ”
“ไปเถอะค่ะองค์ชาย ออกสายจะร้อน”
จ้าวซันขึ้นเรือไป กำลังจะประคองให้บราลีตามขึ้นมา อยู่ๆ ภูสินทรร้องดังออกมาจากในเรือ
“องค์ชาย ในเรือมีระเบิด ออกไปให้ห่างจากเรือพะย่ะค่ะ”
ศิขรนโรดม มิถิลาตกใจ รีบถอยออกมา จ้าวซันปกป้องบราลี
“หมายความว่ายังไง”
“มีคนนำระเบิดแสวงเครื่องติดเอาไว้ที่ช่องใต้ท้องเรือพะย่ะค่ะ”
“ใครกัน”
“อสุนี”
ภูสินทรหันขวับ เพราะเห็นอะไรบางอย่างไหวจากมุมด้านหนึ่งบนเชิงเขา รู้ทันทีว่ามีคนแอบอยู่ที่นั่น ภูสินทรวิ่งกระโจนไปอย่างรวดเร็ว
อสุนีถือรีโมทควบคุมซุ่มรออยู่ รู้ตัวว่าพลาดท่าถูกจับได้ กำลังขยับตัวจะคิดหนี แต่ทันใด ภูสินทรวิ่งเข้ามาก่อน
“อสุนี”
ภูสินทรพุ่งเข้าไปกระชากอสุนีไม่ให้ไปไหน อสุนีปัดป้อง ภูสินทรตะปบล็อกแขนเอาไว้ ปลดรีโมทในมือ อสุนีออกมาจนได้ แล้วผลักอสุนีให้ล้มไป
“เจ้าคิดลอบสังหารองค์ชายน่านปิงทำไม”
อสุนีกำลังจะลุกขึ้นสู้ แต่ศิขรนโรดมเข้ามาก่อน
“อสุนี”
อสุนีผงะ คุกเข่าลง
“นี่...คงจะเป็นรีโมทควบคุมระยะไกล”
ภูสินทรส่งรีโมทนั้นให้จ้าวซัน
“อสุนี ทำไมเจ้าถึงคิดร้ายต่อเจ้าพี่”
“เพราะองค์เจ้าหลวงแห่งคีรีรัฐจะต้องเป็นองค์ศิขรนโรดมแต่เพียงผู้เดียว ฝ่าบาทเท่านั้นที่ควรจะเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนชาวคีรีรัฐ ไม่ใช่คนอื่น”
“คนอื่น เจ้าเรียกเจ้าพี่ของเราว่าคนอื่นได้ยังไง”
“พี่ทำอย่างนี้ รู้มั้ยว่าโทษที่พี่จะได้รับคืออะไร”
“ข้ารู้ทุกอย่าง แต่ข้าต้องทำ เพื่อเจ้าหลวง”
“อสุนี เจ้าอยากให้เราตายใช่มั้ย ดู” จ้าวซันกดรีโมท เรือระเบิดตู้ม ไฟลุกท่วม
“ทุกคน จงเอาข่าวนี้ไปประกาศให้ชาวคีรีรัฐรู้ว่า ฉัน...น่านปิงนรเทพตายแล้ว ด้วยน้ำมือของทหารเก่าของจอมพลราชิด นับแต่นี้ไปจะมีเพียงองค์ศิขรนโรมดมแต่เพียงผู้เดียว ส่วนเราเป็นคนตายไปแล้ว ย่อมจะไม่กลับมาอีก”
อสุนีจ้องจ้าวซัน คาดไม่ถึง “ขอบคุณเจ้ามากที่จงรักภักดีกับศิขรมากขนาดนี้ ไม่มีใครที่เราจะไว้ใจให้ดูแลศิขรเท่ากับเจ้าอีกแล้ว อสุนี”
“ท่านจะไม่เอาผิดเรางั้นรึ”
“ฝากเจ้าหลวงกับพระเทวีด้วย”
อสุนีอึ้ง ซึ้งใจ แต่แล้วอสุนีก็เหลือบไปเห็นพันหงปิงซุ่มอยู่ที่อีกด้าน พร้อมกับปืน
“ระวัง”
พันหงปิงยิง อสุนีกระโจนเอาตัวเองปกป้องจ้าวซันไว้ กระสุนเข้ากลางหลังของอสุนี อสุนีหันไปควักปืนยิงตอบโต้ถูกพันหงปิงเช่นกัน พันหงปิงล้มลง สิ้นใจ โจรสามคนโผล่ออกมายิง ภูสินทรยิงตอบโต้
ศิขรนโรดมคว้าปืนจากทหารคนที่เอาเรือมา ยิงสวน โดนคนร้าย ล้มไป ในที่สุด คนร้ายสิ้นใจหมด ภูสินทรรีบไปดูหน้าคนร้ายแต่ละคน แล้วพบพันหงปิง
“พันหงปิง นี่แก...ตายยากตายเย็นจริงๆ คราวนี้ หวังว่าเราคงไม่ได้เจอกันอีก”
จ้าวซันยังคงประคองอสุนีเอาไว้
“อสุนี ตั้งสติไว้ เจ้าต้องไม่เป็นอะไร”
“องค์น่านปิง ฝ่าบาท...หม่อมฉัน...ขอ...โทษ...” อสุนีสิ้นใจ
“อสุนี อสุนี”
“พี่อสุนี”
บราลีชะงัก หันกลับมา ตะลึง จ้าวซันประคองร่างอสุนีที่สิ้นใจแล้วเอาไว้
จ้าวซัน บราลี ศิขร มิถิลา ภูสินทร ยืนอยู่หน้าหลุมศพอสุนีที่อยู่ริมแม่น้ำเวียงสาย มิถิลาเอาดอกกล้วยไม้ป่าวางให้ที่หน้าหลุม
“พี่อสุนี”
มิถิลาน้ำตาไหล ศิขรนโรดมกอดปลอบประโลมใจเอาไว้
“อสุนี ขอให้เจ้าหลับให้สบายที่ริมแม่น้ำเวียงสายนี้ ที่นี่คือที่ทหารกล้าต่างก็เสียสละชีพเพื่อปกป้องคีรีรัฐ”
“อินปง จันทร์แรม พ่อกับแม่ของน้องก็เช่นกัน”
“นักเรียนทุกคนของคีรีรัฐ จะได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของประเทศและรู้ถึงวีรกรรมของบรรพบุรุษทั้งหลาย พวกเราจะไม่ลืม”
“พี่จะเป็นแบบอย่างให้ทหารรุ่นใหม่ของคีรีรัฐ ดำเนินรอยตาม”
“ความกล้าหาญ ความจงรักภักดี และความเสียสละของเจ้า จะถูกส่งต่อไปยังเยาวชนของคีรีรัฐ พวกเขาจะได้รับรู้ว่าบ้านนี้เมืองนี้ อยู่รอดปลอดภัยมาได้ เพราะอะไร” ทุกคนสดุดีให้อสุนี “ภูสินทร ท่าน...อยู่ที่นี่ ดูแลเจ้าหลวงเถอะ”
“องค์ชาย”
“เรากับม่านฟ้า ไม่มีอะไรให้ท่านต้องดูแลอีกแล้ว แต่เจ้าหลวงยังต้องการท่าน คีรีรัฐยังต้องการทหารกล้าเช่นท่าน ได้โปรดเถอะ”
ภูสินทรคุกเข่ารับบัญชา
“น้อมรับพระบัญชาพะย่ะค่ะ”
จ้าวซันมองศิขรนโรดม
“โชคดี ศิขรนโรดม”
“น่านปิงนรเทพ”
จ้าวซันกับศิขรนโรดมจับมือกัน
บ้านริมทะเล มีภาพคู่ของจ้าวซันกับบราลีที่ถ่ายคู่กันในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ อิริยาบถต่างๆ จนกระทั่งเห็นรูปแต่งงานของจ้าวซันกับบราลีทั้งอยู่ในชุดแบบไทยและชุดแบบสากล ติดอยู่ที่ผนังบ้าน เสียงบราลีหัวเราะดังเข้ามา
“ฮะๆๆ สมน้ำหน้า เจ้าพี่อยากแกล้งน้องก่อนเอง”
บราลีถือแปรงทาสีวิ่งหลบจ้าวซันเข้ามา
“เล่นทีเผลอ ระวังให้ดีแล้วกัน”
จ้าวซันจะไล่จับบราลี ที่อยู่ในชุดเสื้อทีเชิ้ต กางเกงยีนส์ มีผ้ากันเปื้อน มีหมวกกระดาษหนังสือพิมพ์กันสีหยดใส่หัว วิ่งเอาสีป้ายหน้า หัวเราะสนุกสนาน ต่างคน ต่างมีสีเปื้อนหน้าเหมือนแมว
“พอแล้วค่ะๆๆ เลอะไปหมดแล้ว”
“ทีหลังก็อย่าแกล้งพี่สิ”
“ก็ถ้าไม่แกล้งเจ้าพี่จะให้แกล้งใครล่ะ”
“ยังจะแกล้งใช่มั้ย”
จ้าวซันจับตัวบราลีไว้ เอาสีเขียนหนวด
“อ๊าย คนบ้าๆๆ” บราลีจะไปทาสีต่อ
“มัวแต่เล่นอย่างนี้ เมื่อไหร่บ้านของเรามันถึงจะเสร็จ”
“เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น”
“นี่”
“ก็สำหรับน้อง บ้านของเราเสร็จตั้งแต่วันที่ได้เจอพี่แล้ว”
จ้าวซันยิ้ม บราลียิ้ม ทั้งสองจูบกัน ทันใดมีเสียงท่อน้ำแตกดังมา สองคนแปลกใจ
บราลีกับจ้าวซันวิ่งมาดูที่ท่อน้ำบริเวณหน้าตัวบ้าน
“เจ้าพี่ รีบซ่อมเร็วๆ ค่ะ”
“ไปเอากล่องเครื่องมือมาให้พี่ที”
“อยู่ตรงไหนคะ”
“เรามากดไว้ เดี๋ยวพี่ไปหยิบเอง”
บราลีจะมากดน้ำต่อจากจ้าวซัน แต่จ้าวซันแกล้งกดให้น้ำฉีดเลอะใส่บราลี
“เจ้าพี่”
“ฮะๆๆๆ ลูกหมาตกน้ำป๋อมแป๋มๆ”
“จะเล่นยังงี้ใช่มั้ย นี่แน่ะ”
บราลีกดให้น้ำพุ่งไปเลอะจ้าวซันเช่นกัน ทั้งสองเล่นกันสนุกสนาน มีความสุข แบบสามัญชน
จบบริบูรณ์