ดาวเรือง ตอนที่ 5
สุวรรณกับเวียงจับมือกันผ่านลูกกรง ทั้งสองต่างคร่ำครวญโหยไห้ ผันที่ยืนอยู่ด้านหลังเวียงถอนใจออกมาเฮือกใหญ่
“พ่อจ๋าแม่จ๋า เอาหนูออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้” สุวรรณคร่ำครวญ
“โถ ไอ้หนูวรรณ เวรกรรมอะไรของเอ็ง” เวียงร้องไห้
“ก็เวรกรรมที่มันก่อขึ้นไง” ผันบอก
“หนูไม่ได้ตั้งใจนะแม่ ไปบอกไอ้จ่าแม่นให้หนูที ว่าแดดมันจ้า เห็นตัวสีน้ำตาล นึกว่าหมา เลยฟาดไปทีนึง” สุวรรณร้องไห้ฮือ ๆ
กรอดกับแหลมวิ่งขึ้นโรงพักมาพร้อมกับโอเลี้ยงและข้าวหนึ่งห่อ
“พี่วรรณจ๋า! / ได้เวลาดินเนอร์แล้วจ้ะ”
“พวกเอ็งหุบปากไปเลยนะ ข้าไม่กินอะไรทั้งนั้น ตราบใดที่แม่กับพ่อยังไม่เอาข้าออกจากคุก ข้าจะอดตายอยู่ในนี้” สุวรรณประกาศ
เวียงกับผันมองลูกตัวเองด้วยความเวทนาแล้วคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างก่อนชักชวนกันเดินไปสุวรรณมีสายตามุ่งมั่นแน่วแน่ว่าจะประท้วงแม่กับพ่อด้วยการ ‘อดอาหาร’
ดาวเรืองกับเพี้ยนช่วยกันเก็บร้าน บานชื่นวุ่นอยู่ที่โต๊ะทำอาหาร
“โกรธคุณปลัดมากล่ะสิ ถึงได้หน้าหงิกแบบนี้” เพี้ยนถาม
ดาวเรืองตอบทันที “เออ!!”
“งั้นพี่เรืองก็ไม่ต้องไปทำงานกับเขาสิ”
บานชื่นพูดทันที “คนเราพูดอะไรไว้ แล้วไม่ทำ ไม่ใช่คน”
“งั้นคนที่ไม่ใช่คนก็เยอะแยะเกลื่อนเมืองสิแม่” ดาวเรืองว่า
บานชื่นจะขว้างตะหลิว “เดี๋ยะเหอะ!!”
“อ๊ะ ๆ ตะหลิวนั่นอันสุดท้ายแล้วนะแม่ ถ้าเขวี้ยงมาคงต้องเอาสากผัดข้าวกันบ้างล่ะ”
“ก็เอ็งรับปากเขาแล้วไม่ทำตามสัญญา เขาจะได้ด่ามาถึงข้าน่ะสิว่าลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน”
ดาวเรืองมีสายตามุ่งมั่น “แล้วใครบอกว่าฉันจะไม่ทำล่ะ...ดีเหมือนกัน ไปกับไอ้ปลัด ฉันจะได้ไปทำงานของฉันด้วย”
บานชื่นกับเพี้ยนงงว่าดาวเรืองจะทำงานอะไรอีก
“งานอะไรเหรอพี่เรือง” เพี้ยนถาม
ดาวเรืองยิ้มกริ่ม “เชื่อหัวไอ้เรืองเฮอะ!!”
สุวรรณยัดข้าวจนเต็มปากเพราะหิวจัด กรอดกับแหลมนั่งเกาะลูกกรงมองพลางกลืนน้ำลาย
“อดซะอิ่มเลยนะพี่” แหลมว่า
สุวรรณเรอเสียงดัง “ดีกว่าโยนให้หมากิน”
เสมอใจถือถุงก๊อบแก๊บเดินขึ้นโรงพักมาด้วยความร้อนใจแล้วปรี่มานั่งคุกเข่าลงหน้าลูกกรง
เสมอใจสีหน้าห่วงใย “ไอ้วรรณ...เอ็งเป็นไงบ้าง”
สุวรรณเซ็ง “คนที่อยากให้มาดันไม่มา แต่คนที่เหม็นขี้หน้า ดันโผล่มาตลอดเลยวุ๊ย”
“นั่นถุงอะไร กินได้รึเปล่า” กรอดถาม
กรอดพยายามจะดึงถุงในมือเสมอใจ เสมอใจยื้อกลับมายื่นให้สุวรรณ
“ข้าเอาตะไคร้หอมมาให้เอ็ง เอาไว้ไล่ยุง” เสมอใจบอก
“แล้วถ้าจะไล่เอ็งต้องใช้อะไรวะ!” สุวรรณย้อน
กรอดกับแหลมช่วยกันไล่ “ชิ่วๆ”
เสมอใจผิดหวังและเสียใจ “ข้าไปแน่ แต่เอ็งต้องรับของนี่ไปก่อน”
“ไม่จำเป็นโว้ย ยุงหน้าไหนมันจะกล้ามากัดข้า ข้าหนังหน้ายิ่งกว่าควาย ไม่จำเป็นต้องพึ่งของๆเอ็ง”
แหลมกับกรอดประสานเสียง “ถูก!”
เสมอใจเสียงดัง “หยุด...อย่าขยับ!”
ทั้งสามหนุ่มชะงักกึกแล้วนิ่งเป็นหุ่น
เสมอใจค่อยๆ สอดมือผ่านลูกกรงเข้ามาช้าๆ ทุกคนมองเสมอใจอย่างงงๆ แล้วเสมอใจก็ตบยุงที่เกาะแก้มซ้ายและขวาของสุวรรณให้อย่างแรง
“นังเหมอ!!” สุวรรณเอามือจับแก้มที่เห็นเลือดยุงติดหน้าซึ่งชาจนขึ้นริ้ว
“เห็นมั้ยว่ายุงมันชุมแค่ไหน” เสมอใจหยิบตะไคร้หอมมาวางตรงหน้าสุวรรณ “ข้าเอามาให้ เอ็งจะใช้หรือไม่ใช้ก็เรื่องของเอ็ง หรือจะทนนอนให้ยุงกัดทั้งคืนก็ตามใจ”
พูดจบเสมอใจก็เดินออกไป แล้วสามหนุ่มก็พากันตบยุงที่บินเข้ามากัดอย่างต่อเนื่อง
“พี่ไม่ใช้ใช่มั้ย งั้นฉันใช้เอง” แหลมบอก
สุวรรณรีบคว้าขวดตะไคร้หอมมาเทแล้วทาที่ตัว
“ของข้า ข้าต้องใช้ก่อนโว้ย”
สุวรรณทาตะไคร้หอมทั่วตัวในขณะที่แหลมกับกรอดนั่งตบยุงกันจ้าละหวั่น
ที่โรงพยาบาลดอนพัฒนา จ่าแม่นที่นอนบนเตียงพิเศษทำหน้าหมางเมิน
“หนูวรรณมันไม่ได้ตั้งใจ มันฝากมาขอโทษ ฝากมาขอขมา” เวียงบอก
“คนอย่างไอ้วรรณนะเรอะรู้จักผิดชอบชั่วดี” จ่าแม่นว่า
“เห็นแก่อนาคตเด็กมันเถอะจ่าแม่น ต่อไปไอ้วรรณมันจะทำคุณประโยชน์ให้ประเทศได้อีกเยอะ อย่าเอาเรื่องมันเลยนะ” ผันขอร้อง
“ใครผิดก็ว่ากันตามผิดโว้ย ข้าจะไม่อ่อนข้อให้เด็ดขาด ไม่มีการทำขวัญ ไม่มีการรับหมากพลู ไม่รับเงิน ไม่คอรัปชั่นใดๆทั้งสิ้น”
“ให้โอกาสคนกลับใจ ให้อภัยคนสำนึกผิด ถือว่าได้บุญใหญ่เลยนะจ๊ะ” บุญปลอดช่วยหล่านล้อม
บุญปลีกพูด “เห็นแก่เพื่อนเก่าเพื่อนแก่สักครั้งนะจ่านะ”
“ไม่!” จ่าแม่นยืนกราน “ต่อให้มี 10 ผัน 10 เวียง 10 ปลีก 10 ปลอด ข้าก็ไม่ใจอ่อน ไม่ๆๆๆ”
“ถ้าไม่เห็นแก่พวกข้า ก็ขอให้เห็นแก่แม่บานก็แล้วกัน”
จ่าแม่นได้ยินชื่อบานชื่นก็หูผึ่งแต่แกล้งทำไม่สนใจ
“แม่บานเกี่ยวอะไรด้วย” จ่าแม่นถาม
“ก็หนูวรรณทำเพื่อลูกสาวแม่บาน บาปมันก็ตกแก่ไอ้เรืองกับแม่บานด้วย” เวียงอธิบาย
จ่าแม่นเข้าใจได้ทันที “อืมม...จริง...ฟังขึ้น มีเหตุผล ถ้างั้นก็ได้โว้ย ข้าจะเห็นแก่แม่บาน” ทุกคนเฮดีใจ “แต่ข้ามีข้อแม้”
ทุกคนถามขึ้นมาทันที “อะไร”
“ข้ากับแม่บานจะต้องได้ดินเนอร์หรูๆกันคืนนี้ แล้วเป็นอันจบกัน!” จ่าแม่นบอก
ผันกับเวียงมองหน้ากันเพราะรู้สึกว่าเจองานใหญ่เข้าแล้ว
บานชื่นกอดอกเชิดหน้าใส่เวียงกับผัน
“ทำไมข้าจะต้องช่วย จำได้ไหม ตอนลูกข้าเกือบจะติดคุก ไม่มีหมาตัวไหนจะช่วยสักตัว” บานชื่นว่า
“นึกว่าสงสารหนูวรรณเถอะนะ แม่บานก็รู้ ที่หนูวรรณทำไปก็เพราะมันรักไอ้เรือง” เวียงว่า
“กลั้นใจกินข้าวกับไอ้แม่นแค่มื้อเดียวเอง” ผันบอก
ดาวเรืองกับเพี้ยนที่อยู่ในชุดนักเรียนนั่งฟังอยู่ ดาวเรืองเห็นช่องทางที่จะแกล้งจ่าแม่นจึงตาลุก
“กลั้นใจนิดเถอะแม่ เรื่องจิ๊บ ๆ แค่นี้ คิดซะว่าช่วยหมาช่วยแมว” ดาวเรืองบอก
ผันสะอึก แต่ก็ดีใจ “เห็นมั้ยแม่บาน ไอ้เรืองมันเห็นดีด้วย”
บานชื่นคิดหนัก “เอางั้นเรอะไอ้เรือง”
ดาวเรืองลุกขึ้นยืน “เอางั้นแหละ แต่มีข้อแม้นะ ว่าการช่วยเหลือครั้งนี้ให้ถือเป็นบุญคุณ!”
เวียงกับผันมองหน้ากันแล้วพยักหน้า
ดาวเรืองยิ้มกริ่ม “แม่...เอาขึ้นกระดานไว้เลยว่าบ้านผู้ใหญ่ผันติดหนี้เราอยู่ 1 ครั้ง”
“เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องขึ้นกระดาน ข้าจำได้ ไม่เบี้ยวหรอก”
“ถึงจำได้ก็ต้องขึ้น จะได้มีพยานรู้เห็นเยอะๆ” ดาวเรืองยืนยัน
“ตามสบาย ๆ แต่พูดแล้วว่าจะช่วยก็ต้องช่วยนะ ห้ามคืนคำ” เวียงว่า
“คนอย่างไอ้เรืองไม่พูดพล่อยๆ...แต่...บ้านผู้ใหญ่จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเก้าอี้ ค่าเสียเวลา ช่างหน้าช่างผมก็ต้องป้าไสวกับเสมอใจเท่านั้น จะมาใช้ไก่กาอย่างป้าเวียง น้าปลีก น้าปลอดไม่ได้....ว่าไง” ดาวเรืองถาม
เวียงกัดฟันกรอด “จะว่าไงได้อีกล่ะไอ้เรือง ก็ถ้าเอ็งจะคิดค่าอากาศหายใจ ข้าก็ต้องยอม”
ดาวเรืองยิ้มกับเพี้ยนเพราะงานนี้ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งความสะใจ
ดาวเรืองพาเพี้ยนที่อยู่ในชุดนักเรียนเดินมาที่รถซาเล้ง
“เปิดเทอมแล้วเซ็งอ่ะ” เพี้ยนว่า
“เซ็งอะไรวะ ได้มาเรียนแบบนี้ ดีกว่าตะลอนๆไปกับข้า” ดาวเรืองบอก
“ไปกับพี่ดีกว่า ได้เงิน มาเรียนแบบนี้ ไม่รู้จะได้อะไร”
“ก็ได้ความรู้สิวะ มีความรู้จะได้ไม่ถูกใครเอาเปรียบ”
“ทีพี่เรืองไม่เรียน ไม่มีใครกล้าแหยมสักคน”
“แล้วเอ็งจะเอาอย่างข้าเหรอ ต้องวิ่งเฉียดตะรางไปมาแบบนี้ เขาให้เรียนฟรีๆก็ต้องตั้งใจให้มันเต็มที่...เอ็งอยากจะโง่เหมือนพวกไอ้วรรณรึไง”
เพี้ยนส่ายหน้าดิก ดาวเรืองยิ้มก่อนจะขี่ซาเล้งออกไป
จินตวัฒน์เห็นดาวเรืองกับเพี้ยนขี่ซาเล้งเข้ามาจอดที่หน้าร้าน
“ดาวเรืองมาแล้วครับน้าบานชื่น” จินตวัฒน์บอก
บานชื่นชะเง้อมองตาม จินตวัฒน์ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางกระตือรือร้นว่าจะไปออกพื้นที่เดี๋ยวนี้ ดาวเรืองหมั่นไส้จินตวัฒน์ เธอเดินเข้ามาในร้านแล้วแกล้งทำฟึดฟัด
“ไปกันเถอะเรือง” จินตวัฒน์ชวน
ดาวเรืองหันไปทางเพี้ยน “เฮ้ย ไอ้เพี้ยน กี่โมงแล้ววะ”
“สิบสี่นาฬิกา สี่สิบเจ็ดนาที”
“อีก 13 นาที ยังพอมีเวลากินน้ำแข็งใสสักถ้วย” ดาวเรืองบอก
“ไอ้เรือง เอ็งจะเฉไฉทำไม คุณปลัดมารอเอ็งนานแล้วนะ” บานชื่นว่า
“อะไรอะแม่ ก็มันยังไม่ถึงเวลานัด ทำงานกับคนตรงเวลาน่ะ เข้าใจกันหน่อย”
ดาวเรืองหันมาเลิกคิ้วกวนๆใส่จินตวัฒน์แล้วเดินไปนั่งกระดิกเท้าที่โต๊ะตัวหนึ่งอย่างสบายใจ
บานชื่นเกรงใจมาก “ระหว่างรอ น้ำแข็งใสสักถ้วยมั้ยคะปลัด”
ดาวเรืองหัวเราะชอบใจ จินตวัฒน์ได้แต่ส่ายหน้าให้กับความกวนของดาวเรือง
ดาวเรืองขึ้นไปนั่งในรถอีเฉื่อย จินตวัฒน์ติดเครื่องเตรียมออกตัว
“บอกทางด้วยนะ” จินตวัฒน์บอก
“ได้ เดี๋ยวชี้ทางสว่างให้”
อีเฉื่อยแล่นไปตามถนนลาดยาง ถนนลูกรังซึ่งเป็นเส้นทางในหมู่บ้าน
อีเฉื่อยแล่นมาจอดหน้า ”โรงสีเอื้ออาทรหมู่บ้านดอนล้อมหมี โดยกำพล ชอบอุปถัมภ์” จินตวัฒน์ กับดาวเรืองลงมายืนดู
จินตวัฒน์กับดาวเรืองเดินดูแปลงพืชผักปลอดสารพิษเอื้ออาทร บ้านดอนล้อมหมู โดย กำพล ชอบอุปถัมภ์
ดาวเรืองยื่นน้ำในแก้วให้จินตวัฒน์ดื่มที่บริเวณโรงผลิตน้ำดื่มซึ่งติดป้ายโรงผลิตน้ำดื่มเอื้ออาทร บ้านดอนล้อมวัว โดยกำพล ชอบอุปถัมภ์
ดาวเรืองพาจินตวัฒน์เดินลุยน้ำแล้วชี้โบ๊ชี้เบ๊ให้จินตวัฒน์ดูป้าย “ฝายกั้นน้ำเพื่อความสุขที่ยั่งยืนของคนดอนล้อมเก้ง โดยกำพล ชอบอุปถัมภ์”
จินตวัฒน์ขับรถมาโดยมีดาวเรืองนั่งข้างๆ
“ดูเหมือนชีวิตคนดอนพัฒนาจะถูกอุปถัมภ์โดยเสี่ยกำพลทั้งหมด ตั้งแต่ในตัวอำเภอ ยันหมู่บ้านที่กันดารสุดๆ”
“ก็งี้แหละ คนมันชอบช่วยเหลือ ชอบเอื้ออาทร” ดาวเรืองบอก
จินตวัฒน์เบรกรถเอี๊ยด เมื่อเจอฝูงควายพากันเดินข้ามถนน เขาเห็นป้ายบ้านดอนล้อมควายอยู่ตรงหน้า
“นั่นก็ควายเอื้ออาทร เพื่อหมู่บ้านดอนล้อมควายของเสี่ยกำพล ชอบอุปถัมภ์” ดาวเรืองบอก
“เอื้ออาทรขนาดนี้แล้วเขาอยู่ได้ยังไง ธุรกิจจริงๆของเสี่ยกำพลล่ะ มีมั้ย” จินตวัฒน์ถาม
“อยากรู้จริงป๊ะ”
จินตวัฒน์แสดงสีหน้าสนใจเต็มที่
รถอีเฉื่อยวิ่งผ่านทางแยกเข้าป่า
เสียงดาวเรืองตะโกนลั่น “เฮ้ย เลี้ยวขวาๆ!!”
จินตวัฒน์ถอยรถกลับและกำลังจะเลี้ยวเข้าถนนทางเข้าป่าปลูก
“ทางเข้าป่านี่ ในนี้มีหมู่บ้านอีกเหรอ” จินตวัฒน์ถาม
“ไม่มี แต่ที่ไหนมีป่า ที่นั่นมีเสี่ยกำพล นายอยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าเสี่ยกำพลทำอะไรรับประทาน”
รถของกำพลแล่นสวนมาจอด จินตวัฒน์จอดรถ กำพลลดกระจกรถลงแล้วเอ่ยถาม
“สวัสดีครับคุณปลัด มาทำอะไรแถวนี้ครับ”
“ผมมาออกพื้นที่เยี่ยมชาวบ้านน่ะครับ”
“แหม บ้านเราโชคดีจริงๆที่ได้ปลัดไฟแรงมาประจำที่นี่ อยากให้ผมช่วยงานอะไรก็บอกนะครับ ผมยินดี”
ดาวเรืองพูดแค่ให้จินตวัฒน์ได้ยิน “เอื้ออาทรตั้งแต่ชาวบ้านยันข้าราชการ”
“ขอบคุณครับเสี่ย”
“น่าเสียดาย ที่วันนี้พาชมปางไม้ไม่ได้ พอดีมีธุระน่ะครับ ถ้าอยากจะชมก็ให้ดาวเรืองพาไปนะครับ” กำพลบอก
“ครับ ขอบคุณครับ”
กำพลโบกมือลาด้วยท่าทางเป็นมิตรสุดๆ ก่อนจะขับรถกระบะโฟร์วิลล์ออกไป
“นี่แหละ พ่อพระของคนดอนพัฒนาตัวจริงเสียงจริง” ดาวเรืองว่า
จินตวัฒน์รู้สึกได้ว่าดาวเรืองประชดประชันมากกว่าจะชื่นชมจริงๆ
ดาวเรืองเดินนำหน้าจินตวัฒน์เข้าไปในป่าปลูกของกำพลที่มีทั้งร่องรอยถูกตัดไปแล้วและยังยืนต้นเรียงเป็นแถวเป็นแนว
“ใหญ่เหมือนกันนะ” จินตวัฒน์บอก
“ไม่ใหญ่ ก็ไม่ใช่เสี่ยกำพล ปลูกเอง ตัดเอง ขนเอง รวยเอง” ดาวเรืองว่า
“ถูกต้องตามกฎหมายใช่ไหม”
“ถูกสิ ทั้งกฎหมายไทยและกฎหมายฉบับเสี่ยกำพล”
“หมายความว่าไง กฎหมายฉบับเสี่ยกำพล” จินตวฒน์งง
“อ้าว ก็เป็นกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อการทำความดีของเสี่ยกำพลไง”
จินตวัฒน์ไม่เข้าใจ แต่ไม่ทันจะพูดอะไร ดาวเรืองก็เดินฉีกไปอีกทางจินตวัฒน์มองตามไปก็เห็นดาวเรืองเดินเข้าไปหารถขนซุงที่กำลังขนไม้กันอยู่
ดาวเรืองคุยกับคนงานตัดไม้ที่อยู่ที่รถขนซุง 4-5 คน
“ว่าไงน้าเสริม หายหน้าหายตาไปเลยนะ ไม่เห็นไปกินข้าวที่ร้านบ้าง” ดาวเรืองทัก
เสริมพูด “ไม่มีเวลาว่ะ ต้องรีบตัดไม้ จะได้ทันขนพร้อมกับ...ของหวาน!”
ดาวเรืองตาโตแล้วกระซิบถาม “เที่ยวนี้มีของหวานด้วยเหรอ”
จินตวัฒน์ขยับตัวมายืนใกล้ๆดาวเรืองเพราะสงสัยเรื่องของหวาน
“เออ ข้ามเขามาแล้ว” เสริมบอก
ดาวเรืองตาลุก “มีเหลือให้ฉันแบ่งไปขายที่ร้านบ้างมั้ยล่ะ”
“ของไม่พอ จะแบ่งให้เอ็งได้ไง” เสริมเห็นจินตวัฒน์เขม้นมองด้วยความสงสัย “ข้าไปทำงานก่อนล่ะ ว่างๆจะแวะไปกินข้าวที่ร้าน” เสริมเดินออกไป
จินตวัฒน์ถาม “ของหวานอะไร”
“น้ำตาลทราย...ผิดกฎหมายป๊ะ”
ดาวเรืองหัวเราะแล้วเดินไป จินตวัฒน์มองดาวเรืองด้วยความสงสัยก่อนเดินตามไป
ผันอุ้มไก่ยืนต่อหน้ากำพล คนกำลังเชียร์ไก่ชนกันอย่างเมามันอยู่ด้านหลัง
ผันพูดอย่างนอบน้อม “มีอะไรให้ผมรับใช้ครับเสี่ย”
“อย่าพูดว่ารับใช้เลยผู้ใหญ่ เรียกว่าร่วมงานกันดีกว่า ฉันอยากให้เลื่อนจัดงานวัดให้เร็วขึ้นหน่อย สักอาทิตย์หน้านี้เลย คันไม้คันมือ อยากทำบุญน่ะ” กำพลบอก
“แหมเสี่ย หายใจเข้าก็ทำทาน หายใจออกก็ทำบุญ บุญบารมีล้นจนใช้ไปอีกสิบชาติก็ไม่หมด”
“ผู้ใหญ่ผันก็ได้ด้วย เพราะสนับสนุนคนทำดี ได้เหมือนทุกครั้งนั่นแหละ”
ผันรู้ว่ากำพลหมายถึงอะไร
“เรื่องงานวัด ผมจะจัดการให้เร็วที่สุด” ผันกระซิบกระซาบ “ส่วนเรื่องจัดซื้อตู้น้ำหยอดเหรียญกับยาฆ่าหญ้าแจกชาวบ้านของ อบต. ตอนนี้งบผ่านแล้วครับ เสี่ยเข้าไปเสนอราคาได้เลย รับรองผ่านฉลุย”
กำพลตาโต “แล้วเจ้าอื่นล่ะ”
“มี 2-3 เจ้า แต่ไม่น่ากลัว พวกไก่กา สู้มืออาชีพอย่างเสี่ยไม่ได้” ผันว่า
“ถ้าได้ ฉันจะตัดเปอร์เซ็นต์ให้ผู้ใหญ่เหมือนเดิมไม่ต้องห่วง”
ผันยิ้มหวานเพราะรู้ว่าลาภก้อนใหญ่กำลังจะบินเข้ากระเป๋าอีกแล้ว กำพลยิ้มกริ่มและมีสายตาเจ้าเล่ห์
กำพลเปิดประตูขึ้นนั่งในรถอย่างสบายอกสบายใจ
“เป็นไงครับเสี่ย สำเร็จมั้ยครับ” ลูกน้องถาม
“จะเหลือเหรอ ไอ้ผันมันทั้งโง่ ทั้งเห็นแก่เงิน โยนเศษเงินให้มันนิดๆหน่อยๆมันก็กระโดดอ้าปากรับแล้ว...เอ็งโทรไปบอกทางโน้นให้ขนยาข้ามมาเลย เราจะส่งเข้ากรุงเทพฯตอนมันจัดงานวัดกันนี่แหละ” กำพลบอก
กำพลยิ้มเหี้ยมก่อนจะหัวเราะอย่างมีความสุข
สุวรรณร้องไห้โวยวาย
“ปล่อยกู ๆ ๆ น้องเรืองอยู่ไหน มาช่วยพี่วรรณด้วย”
“ถามหาแม่เวียงจะมีประโยชน์กว่านะพี่ ตอนนี้พวกแม่ๆกำลังดำเนินการช่วยพี่วรรณอยู่จ้ะ” แหลมบอก
“รับรอง พี่วรรณได้ออกจากคุก ไม่เกินวันนี้แน่นอนจ้ะ” กรอดเสริม
“แล้ววันนี้มันเหลืออีกกี่ชั่วโมงวะ...ไอ้วรรณอยากตาย ๆๆๆ”
กรอดกับแหลมเห็นสุวรรณร้องไห้โฮและดิ้นทุรนทุรายก็แอบสบตากันเพราะคิดว่าโอเวอร์มากไปแล้ว
บุญปลีก บุญปลอด และเมียทุกเบอร์ของผันช่วยกันทำอาหารกันจ้าละหวั่น บางคนขูดมะพร้าว บางคนหั่นผัก บางคนตำน้ำพริก บางคนคนหม้อแกงจนควันฟุ้งไปทั้งครัว โดยเวียงยืนเท้าสะเอวสั่งงาน
เวียงตักชิม “ถุยๆๆๆ ยังกะน้ำล้างคาวปลา รสชาติชาววังน่ะทำเป็นกันมั้ยวะ”
“นี่ก็สุดฝีมือชาววังแล้วนะจ๊ะ” บุญปลีกบอก
“วังดอนล้อมหมีบ้านเอ็งนะสิ พิถีพิถันกันหน่อยโว้ย เกิดไอ้แม่นมันไม่พอใจจะว่ายังไง” เวียงว่า
“หนูวรรณก็ติดคุกหัวโตน่ะสิจ๊ะ” บุญปลอดพูด
“เดี๋ยวปั๊ดตบให้ผมร่วงหมดหัว จะได้บวชชีให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยนี่...เอ้า...นังปลีก คนอยู่นั่นล่ะ เดี่ยวก็เละหมดหรอก นังเบอร์ 7 8 9 หั่นผักเข้าไวๆ กระชงกระชายน่ะตำใส่ไปอีกนังปลอด ใส่ลงไปให้เยอะๆ อะไรแกะสลักได้ก็แกะ” เวียงสั่ง
นาฬิกาบนฝาผนังบอกเวลาสี่โมงเย็นเป๊ะ จ่าแม่นเด้งตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง เขาก้าวลงจากเตียงแล้วเก็บของเร็วๆ เหมือนถูกไล่ที่ กำจรเปิดประตูเข้ามาเห็นก็ตกใจ
“อ้าวจ่า จะไปไหน”
“ธุระสำคัญโว้ย หลีกไป ๆ” จ่าแม่นว่า
“หายปวดหัวแล้วเหรอ หรือจะรีบไปจับใคร” กำจรถามต่อ
“ไม่ได้ไปจับ แต่ไปจีบ ไอ้จร อย่าขวางทางรัก ถอยไปโว้ย”
กำจรหลีกแทบไม่ทัน จ่าแม่นแทบจะวิ่งทะลุประตูออกไป
กำจรเกาหัวแกรกๆ “ปูนนี้แล้วยังมีทางรักอีกเหรอ”
บานชื่นนั่งหน้ากระจก ไสวกับเสมอใจกำลังช่วยกันทำผมให้เธอ
“ทรงนี้เหมาะกับหน้าฉันเหรอ” บานชื่นถาม
“เปลี่ยนมาสิบทรงแล้ว ไม่มีทรงที่สิบเอ็ดแล้วนะโว้ย” ไสวว่า
“แค่ถาม ไม่ได้จะเปลี่ยน”
“น้าบานสวยขนาดนี้ ทำทรงไหนก็เหมาะจ้ะ โดยเฉพาะทรงนี้ หน้าเด็กลงตั้งสิบปี มองแวบๆนึกว่าไอ้เรือง” เสมอใจชม
“เหรอ” บานชื่นชมโฉมตัวเองอย่างภูมิอกภูมิใจ “จะเถียงก็เถียงไม่ออก”
“เนื้อเต้นยิบๆขนาดนี้ อย่าบอกนะ ว่าคืนนี้จะยอมไอ้จ่าแม่นมันจริงๆ” ไสวถาม
“บ้า...ฉันก็แค่...รักษาภาพลักษณ์อดีตนางงามสองสมัยไม่ให้ใครดูถูกได้ก็เท่านั้น ถ้าคิดจะปลงใจกับไอ้จ่าแม่น คงไม่รอจนเหนียงยานอย่างนี้หรอก” บานชื่นบอก
เสมอใจยิ้ม ไสวหมั่นไส้เล็กๆ
รถอีเฉื่อยแล่นเข้ามาจอด ดาวเรืองกระโดดลงจากรถ จินตวัฒน์ลดกระจกรถลงแล้วพูด
“ขอบใจมากนะเรือง”
“เปลี่ยนจากขอบใจ เป็นยกเลิกสัญญาก็น่าจะดี” ดาวเรืองบอก
เพี้ยนกำลังจัดหนังสือลงกระเป๋านักเรียนกับย่ามแบบเด็กวัด เขาเงยหน้าขวับแล้ววิ่งปรู๊ดมารับดาวเรือง
“ไปไหนด้วยกันอย่างงี๊ สักวันคนได้คิดว่าปลัดพาคุณนายไปตรวจงานด้วย” เพี้ยนแซว
“ทะลึ่ง เดี๊ยะโดนหนังสติ๊กมัดปาก” ดาวเรืองว่า
“ทำเดือดร้อนนะพี่เรือง ทีคุณปลัดยังไม่เห็นว่าอะไร”
จินตวัฒน์พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ดาวเรืองหันมาฮึ่มใส่เพี้ยน แล้วจินตวัฒน์ก็ขับรถออกไปทันที ดาวเรืองไล่เตะเพี้ยน รถกระบะจากบ้านผู้ใหญ่ผันขับสวนรถอีเฉื่อยเข้ามาจอดที่หน้าร้าน
บุญปลีกทำท่าเหมือนแม่เวียง “เร็ว ๆ เข้าช่วยกันคนละไม้ คนละมือ”
บรรดาเมีย ๆ ของผันช่วยกันยกหม้ออาหารลงจากรถ
“จัดโต๊ะจัดสถานที่ให้เรียบร้อยนะ อยากได้อะไรเพิ่มก็บอก” ดาวเรืองบอก
“เยอะแยะเลยไอ้เรือง จานชาม ช้อน แก้วน้ำ และก็...” บุญปลีกไล่
ดาวเรืองพูดต่อ “เชิงเทียน ดอกไม้ ผ้าคลุมโต๊ะ ได้หมด”
“ดีจริงๆ มีอุปกรณ์พร้อมขนาดนี้ เราก็ไม่ต้องไปหาซื้อที่ตลาดให้ยุ่งยาก” บุญปลอดว่า
“ไอ้เพี้ยน ไปขนของที่น้าๆต้องการมาเดี๋ยวนี้” ดาวเรืองสั่ง
เพี้ยนวิ่งปรู๊ดไปจัดการตามที่ดาวเรืองสั่ง
ทุกคนช่วยกันจัดโต๊ะจนเสร็จเรียบร้อย
บุญปลอดพูดกับดาวเรือง “ขอบใจมากนะไอ้เรือง ช่างมีน้ำใจจริงๆ”
ดาวเรืองแบมือ “จ๊ะ คิดแบบมีน้ำใจ ทั้งหมดก็ 3500 บาท ข้าวของทุกวันนี้มันแพง ไหนจะค่าแฟ้บ ค่าน้ำยาล้างจานอีก”
“ทำไมมันแพงนักวะ” บุญปลีกถาม
“ไม่จ่ายก็ได้นะ...ไอ้เพี้ยน...รื้อ!!”
เพี้ยนกับดาวเรืองทำท่าจะดึงผ้าปูโต๊ะที่มีของทุกอย่างวางพร้อมบนโต๊ะออก เมียทุกคนเข้ามาห้าม
“อย่า!”
บุญปลีกยัดเงินใส่มือดาวเรืองอย่างฉุนๆ ดาวเรืองนับเงินและหัวเราะอย่างสุขใจสุด ๆ
“หมดธุระแล้วก็เชิญกลับกันไปได้ ที่เหลือไอ้เรืองจัดการเอง”
ยังไม่ทันจะยกโขยงออกไป โทรศัพท์จากผันก็โทรเข้ามาที่เครื่องบุญปลอดเสียก่อน
บุญปลอดรับโทรศัพท์ “จ๊ะพี่ผู้ใหญ่”
เวียง จ่าแม่น หมู่จ้อย กรอด และแหลมยืนอยู่หน้าห้องขัง สุวรรณเกาะลูกกรงลุ้น ในขณะที่ผันกำลังโทรศัพท์คุยกับบุญปลอด
“เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย ดีมาก” ผันหันมาบอกจ่าแม่น “โอเคแล้วไอ้จ่าแม่น เอ็งไปได้เลย”
จ่าแม่นหรี่ตามองแบบไม่เชื่อ
“จริงหรือวะ”
ผันชี้โทรศัพท์ “นี่นังบุญปลอดนะ มันโกหกไม่เป็น มันถือศีล 5มาตั้งแต่เกิด”
“ถ้าจ่าไม่เชื่อก็คุยกะมันเลยสิ้นเรื่อง” เวียงว่า
“ไม่ต้อง เรียกไอ้เรืองมาคุยกับข้าดีกว่า” จ่าแม่นบอก
ผันคุยโทรศัพท์ “เฮ้ย เอาไอ้เรืองมาคุยหน่อยสิ”
ผันยื่นโทรศัพท์ให้จ่าแม่น สุวรรณเนื้อเต้น
“น้องเรืองจ๋า พี่วรรณอยู่นี่จ้ะ น้องเรือง ไอ เลิฟ ยู”
จ่าแม่นคุยโทรศัพท์ “ว่าไงไอ้เรือง”
ดาวเรืองประดิษฐ์เสียงหวาน และทำท่าทางกวนๆ
“จะรออะไรอีกล่ะคุณจ่า รีบมาสิจ๊ะ เดี๋ยวอาหารเย็นชืดหมดไม่รู้ด้วยนะ”
จ่าแม่นตาลุกวาว “แล้วแม่บานล่ะ”
“อุ๊ย!!! ไม่ต้องห่วง สวยยังกับนางฟ้าเหาะลงมาจากสวรรค์”
จ่าแม่นยื่นโทรศัพท์ให้ผัน สุวรรณยังตะโกนรักดาวเรืองปาวๆ
“ไงไอ้แม่น คราวนี้เชื่อรึยังล่ะ” ผันถาม
จ่าแม่นพยักหน้าแล้วยอมเปิดประตูคุกให้สุวรรณ สุวรรณหลุดออกมาก็โผเข้ากอดเวียงแน่น
“แม่จ๋า”
“หนูวรรณ ไม่เป็นไรนะลูก หมดทุกข์หมดโศกซะที”
“ต่อไปนี้หนูจะไม่ตัดแม่ตัดลูกกับแม่แล้วนะจ๊ะ แม่ไม่ต้องกลัวนะ” สุวรรณบอก
ผันโล่งใจที่ช่วยลูกได้สำเร็จ
“หมดธุระข้าแล้ว ขอตัวก่อนล่ะ จะรีบไปเปลี่ยนชุด”
“นี่ยังแต่งไม่เสร็จอีกเหรอ” หมู่จ้อยถาม
“สำหรับแม่บาน หล่อแค่นี้ไม่พอเว้ย”
จ่าแม่นเดินไป ผันมองตามหลังด้วยความหมั่นไส้
อ่านต่อหน้าที่ 2
ดาวเรือง ตอนที่ 5 (ต่อ)
นาฬิกาบนฝาผนังบอกเวลาสี่โมงเย็นเป๊ะ จ่าแม่นเด้งตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง เขาก้าวลงจากเตียงแล้วเก็บของเร็วๆ เหมือนถูกไล่ที่ กำจรเปิดประตูเข้ามาเห็นก็ตกใจ
“อ้าวจ่า จะไปไหน”
“ธุระสำคัญโว้ย หลีกไป ๆ” จ่าแม่นว่า
“หายปวดหัวแล้วเหรอ หรือจะรีบไปจับใคร” กำจรถามต่อ
“ไม่ได้ไปจับ แต่ไปจีบ ไอ้จร อย่าขวางทางรัก ถอยไปโว้ย”
กำจรหลีกแทบไม่ทัน จ่าแม่นแทบจะวิ่งทะลุประตูออกไป
กำจรเกาหัวแกรกๆ “ปูนนี้แล้วยังมีทางรักอีกเหรอ”
บานชื่นนั่งหน้ากระจก ไสวกับเสมอใจกำลังช่วยกันทำผมให้เธอ
“ทรงนี้เหมาะกับหน้าฉันเหรอ” บานชื่นถาม
“เปลี่ยนมาสิบทรงแล้ว ไม่มีทรงที่สิบเอ็ดแล้วนะโว้ย” ไสวว่า
“แค่ถาม ไม่ได้จะเปลี่ยน”
“น้าบานสวยขนาดนี้ ทำทรงไหนก็เหมาะจ้ะ โดยเฉพาะทรงนี้ หน้าเด็กลงตั้งสิบปี มองแวบๆนึกว่าไอ้เรือง” เสมอใจชม
“เหรอ” บานชื่นชมโฉมตัวเองอย่างภูมิอกภูมิใจ “จะเถียงก็เถียงไม่ออก”
“เนื้อเต้นยิบๆขนาดนี้ อย่าบอกนะ ว่าคืนนี้จะยอมไอ้จ่าแม่นมันจริงๆ” ไสวถาม
“บ้า...ฉันก็แค่...รักษาภาพลักษณ์อดีตนางงามสองสมัยไม่ให้ใครดูถูกได้ก็เท่านั้น ถ้าคิดจะปลงใจกับไอ้จ่าแม่น คงไม่รอจนเหนียงยานอย่างนี้หรอก” บานชื่นบอก
เสมอใจยิ้ม ไสวหมั่นไส้เล็กๆ
รถอีเฉื่อยแล่นเข้ามาจอด ดาวเรืองกระโดดลงจากรถ จินตวัฒน์ลดกระจกรถลงแล้วพูด
“ขอบใจมากนะเรือง”
“เปลี่ยนจากขอบใจ เป็นยกเลิกสัญญาก็น่าจะดี” ดาวเรืองบอก
เพี้ยนกำลังจัดหนังสือลงกระเป๋านักเรียนกับย่ามแบบเด็กวัด เขาเงยหน้าขวับแล้ววิ่งปรู๊ดมารับดาวเรือง
“ไปไหนด้วยกันอย่างงี๊ สักวันคนได้คิดว่าปลัดพาคุณนายไปตรวจงานด้วย” เพี้ยนแซว
“ทะลึ่ง เดี๊ยะโดนหนังสติ๊กมัดปาก” ดาวเรืองว่า
“ทำเดือดร้อนนะพี่เรือง ทีคุณปลัดยังไม่เห็นว่าอะไร”
จินตวัฒน์พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ดาวเรืองหันมาฮึ่มใส่เพี้ยน แล้วจินตวัฒน์ก็ขับรถออกไปทันที ดาวเรืองไล่เตะเพี้ยน รถกระบะจากบ้านผู้ใหญ่ผันขับสวนรถอีเฉื่อยเข้ามาจอดที่หน้าร้าน
บุญปลีกทำท่าเหมือนแม่เวียง “เร็ว ๆ เข้าช่วยกันคนละไม้ คนละมือ”
บรรดาเมีย ๆ ของผันช่วยกันยกหม้ออาหารลงจากรถ
“จัดโต๊ะจัดสถานที่ให้เรียบร้อยนะ อยากได้อะไรเพิ่มก็บอก” ดาวเรืองบอก
“เยอะแยะเลยไอ้เรือง จานชาม ช้อน แก้วน้ำ และก็...” บุญปลีกไล่
ดาวเรืองพูดต่อ “เชิงเทียน ดอกไม้ ผ้าคลุมโต๊ะ ได้หมด”
“ดีจริงๆ มีอุปกรณ์พร้อมขนาดนี้ เราก็ไม่ต้องไปหาซื้อที่ตลาดให้ยุ่งยาก” บุญปลอดว่า
“ไอ้เพี้ยน ไปขนของที่น้าๆต้องการมาเดี๋ยวนี้” ดาวเรืองสั่ง
เพี้ยนวิ่งปรู๊ดไปจัดการตามที่ดาวเรืองสั่ง
ทุกคนช่วยกันจัดโต๊ะจนเสร็จเรียบร้อย
บุญปลอดพูดกับดาวเรือง “ขอบใจมากนะไอ้เรือง ช่างมีน้ำใจจริงๆ”
ดาวเรืองแบมือ “จ๊ะ คิดแบบมีน้ำใจ ทั้งหมดก็ 3500 บาท ข้าวของทุกวันนี้มันแพง ไหนจะค่าแฟ้บ ค่าน้ำยาล้างจานอีก”
“ทำไมมันแพงนักวะ” บุญปลีกถาม
“ไม่จ่ายก็ได้นะ...ไอ้เพี้ยน...รื้อ!!”
เพี้ยนกับดาวเรืองทำท่าจะดึงผ้าปูโต๊ะที่มีของทุกอย่างวางพร้อมบนโต๊ะออก เมียทุกคนเข้ามาห้าม
“อย่า!”
บุญปลีกยัดเงินใส่มือดาวเรืองอย่างฉุนๆ ดาวเรืองนับเงินและหัวเราะอย่างสุขใจสุด ๆ
“หมดธุระแล้วก็เชิญกลับกันไปได้ ที่เหลือไอ้เรืองจัดการเอง”
ยังไม่ทันจะยกโขยงออกไป โทรศัพท์จากผันก็โทรเข้ามาที่เครื่องบุญปลอดเสียก่อน
บุญปลอดรับโทรศัพท์ “จ๊ะพี่ผู้ใหญ่”
เวียง จ่าแม่น หมู่จ้อย กรอด และแหลมยืนอยู่หน้าห้องขัง สุวรรณเกาะลูกกรงลุ้น ในขณะที่ผันกำลังโทรศัพท์คุยกับบุญปลอด
“เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย ดีมาก” ผันหันมาบอกจ่าแม่น “โอเคแล้วไอ้จ่าแม่น เอ็งไปได้เลย”
จ่าแม่นหรี่ตามองแบบไม่เชื่อ
“จริงหรือวะ”
ผันชี้โทรศัพท์ “นี่นังบุญปลอดนะ มันโกหกไม่เป็น มันถือศีล 5มาตั้งแต่เกิด”
“ถ้าจ่าไม่เชื่อก็คุยกะมันเลยสิ้นเรื่อง” เวียงว่า
“ไม่ต้อง เรียกไอ้เรืองมาคุยกับข้าดีกว่า” จ่าแม่นบอก
ผันคุยโทรศัพท์ “เฮ้ย เอาไอ้เรืองมาคุยหน่อยสิ”
ผันยื่นโทรศัพท์ให้จ่าแม่น สุวรรณเนื้อเต้น
“น้องเรืองจ๋า พี่วรรณอยู่นี่จ้ะ น้องเรือง ไอ เลิฟ ยู”
จ่าแม่นคุยโทรศัพท์ “ว่าไงไอ้เรือง”
ดาวเรืองประดิษฐ์เสียงหวาน และทำท่าทางกวนๆ
“จะรออะไรอีกล่ะคุณจ่า รีบมาสิจ๊ะ เดี๋ยวอาหารเย็นชืดหมดไม่รู้ด้วยนะ”
จ่าแม่นตาลุกวาว “แล้วแม่บานล่ะ”
“อุ๊ย!!! ไม่ต้องห่วง สวยยังกับนางฟ้าเหาะลงมาจากสวรรค์”
จ่าแม่นยื่นโทรศัพท์ให้ผัน สุวรรณยังตะโกนรักดาวเรืองปาวๆ
“ไงไอ้แม่น คราวนี้เชื่อรึยังล่ะ” ผันถาม
จ่าแม่นพยักหน้าแล้วยอมเปิดประตูคุกให้สุวรรณ สุวรรณหลุดออกมาก็โผเข้ากอดเวียงแน่น
“แม่จ๋า”
“หนูวรรณ ไม่เป็นไรนะลูก หมดทุกข์หมดโศกซะที”
“ต่อไปนี้หนูจะไม่ตัดแม่ตัดลูกกับแม่แล้วนะจ๊ะ แม่ไม่ต้องกลัวนะ” สุวรรณบอก
ผันโล่งใจที่ช่วยลูกได้สำเร็จ
“หมดธุระข้าแล้ว ขอตัวก่อนล่ะ จะรีบไปเปลี่ยนชุด”
“นี่ยังแต่งไม่เสร็จอีกเหรอ” หมู่จ้อยถาม
“สำหรับแม่บาน หล่อแค่นี้ไม่พอเว้ย”
จ่าแม่นเดินไป ผันมองตามหลังด้วยความหมั่นไส้
‘จ่าแม่น’ ที่แต่งชุดสูทเหมือนเจ้าบ่าวเดินเข้ามาอย่างสง่างามเพราะคิดว่าตัวเองหล่อสุดๆ ดาวเรืองกับเพี้ยนหันไปมองตาค้างและอ้าปากหวอเพราะจ่าแม่นใส่สูทได้อุบาศก์ที่สุด
“แม่บานจ๋า พี่จ่ามาแล้วจ้ะ”
‘บานชื่น’ ที่สวยสะดุดตาในชุดไทยจิตรลดาเดินออกมาจากหลังร้าน จ่าแม่นมองอย่างตะลึง บานชื่นเห็นจ่าแม่นในชุดเจ้าบ่าวก็อึ้ง
“เห็นแม่บานใส่ชุดนี้แล้ว นึกถึงตอนได้นางงามใหม่ๆ ตอนนั้นกับตอนนี้ไม่ต่างกันเลย” จ่าแม่นชม
บานชื่นเชิด “นี่แต่งเบาๆนะ ยังไม่จัดเต็ม ไม่เหมือนแกหรอกจ่าแม่น มากินข้าวแค่นี้ แต่งซะยังกับเป็นเจ้าบ่าว”
จ่าแม่นหน้าม้าน ดาวเรืองรีบเอาใจ
“เชิญนั่งจ๊ะ เชิญนั่ง”
เพี้ยนเลื่อนเก้าอี้ให้จ่าแม่นและบานชื่นนั่ง
“อาหารพร้อม คนพร้อม ยังขาดอะไรมั้ยน๊า” ดาวเรืองว่า
“น้ำไงพี่เรือง ทุกอย่างพร้อม แต่ลืมน้ำไปได้ยังไง” เพี้ยนบอก
จ่าแม่นจ้องบานชื่นตาเป็นมัน บานชื่นเชิดใส่แต่แอบภูมิใจในความสวย
“ใช่ๆ โอกาสพิเศษแบบนี้ ต้องน้ำส้มแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์เท่านั้น รอแป๊บนะจ๊ะ” ดาวเรืองบอก
ดาวเรืองกับเพี้ยนวิ่งปรู๊ดจากไป จ่าแม่นทำตัวไม่ถูกเพราะตื่นเต้นไปทั้งตัว
“มองอะไรนักหนาไอ้จ่า ยังกะไม่เคยเห็นหน้าข้า” บานชื่นว่า
“มองนางฟ้า มองยังไงก็ไม่เบื่อ” จ่าแม่นยิ้มหวานเยิ้ม
ดาวเรืองใส่สลอดลงในแก้วน้ำส้ม เพี้ยนจับตามองที่โต๊ะหน้าร้าน
“ได้ยังพี่เรือง” เพี้ยนถาม
“เรียบร้อย เอ็งไปล็อคห้องน้ำ เดี๋ยวข้าจะเอาไปเสิร์ฟเอง”
ดาวเรืองยกแก้วน้ำขึ้นดมกลิ่นด้วยสายตาเจ้าเล่ห์สุดๆ
จ่าแม่นยิ้มหวาน ดวงตาของเขาฝันหวานไปไกลลิบ
“กี่ปีแล้วนะ ที่แม่บานต้องทนเหงาคนเดียว”
“เหงาอะไร ข้าไม่เคยเหงา มีลูก 2 คน ยุ่งจะตายชัก” บานชื่นบอก
“แหมแม่บานก็ พี่จ่าหมายถึงเหงาหัวใจนะจ้ะ” จ่าแม่นขยิบตาให้
บานชื่นทำหน้ารังเกียจ ดาวเรืองยกถาดพร้อมกระปุกเกลือมาเสิร์ฟน้ำส้ม 2 ที่
“มาแล้วจ้ะ น้ำส้มคั้นเองกับมือ”
ดาวเรืองอมยิ้มแล้ววางแก้วที่ใส่สลอดลงตรงหน้าจ่าแม่น บานชื่นมองลูกสาวอย่างสงสัย
“จ่าลองชิมดูสิ ว่าอร่อยกำลังดีรึยัง” ดาวเรืองว่า
จ่าแม่นมองแต่บานชื่น “เชื่อมือน่า ไปเถอะ”
ดาวเรืองคะยั้นคะยอ “ไม่ได้ เดี๋ยวเสียชื่อ ชิมหน่อยเถอะ ฉันจะได้สบายใจ”
จ่าแม่นตัดความรำคาญจึงยกขึ้นจิบ
จ่าแม่นตอบส่งๆ “ใช้ได้แล้ว”
“ไม่อ่อนเกลือแน่นะ...ฉันว่าเติมเหลืออีกนิดดีกว่า”
ดาวเรืองเหยาะเกลือลงไปในแก้วน้ำส้มอีกนิด
“ลองชิมใหม่สิจ่า สักสองสามอึก” ดาวเรืองบอก
“เอ็งนี่ กังวลอะไรไม่เข้าเรื่อง”
จ่าแม่นยกขึ้นชิมอีกสองสามอึก ดาวเรืองยิ้มร่า บานชื่นจ้องลูกสาวไม่วางตา
“กลมกล่อมยัง...เพิ่มเกลืออีกนิดมั้ย” ดาวเรืองถาม
“อร่อยแล้วเว้ย รสชาติกำลังดีเลย มากกว่านี้เค็ม”
“โอเค สบายใจละ ไปล่ะนะ กินให้อร่อยนะจ่า”
ดาวเรืองหันหลังแล้วหัวเราะแบบไม่มีเสียงพร้อมกับเดินไป จ่าแม่นเริ่มตักอาหารให้บานชื่น
ดาวเรืองเดินมาเจอกับเพี้ยนแถวๆหน้าห้องน้ำ
“ล็อคห้องน้ำรึยัง” ดาวเรืองถาม
เพี้ยนทำมือเป็นสัญลักษณ์โอเค
“แล้วพี่ล่ะ” เพี้ยนถามกลับ
ดาวเรืองยกมือบอกว่าโอเคเช่นกัน
จ่าแม่นทำท่าดื่มน้ำส้มยังกะจิบไวน์
“พี่จ่ามีความสุขที่สุดเลยจ้ะ”
“เอ็งแน่ใจนะ” บานชื่นถาม
“พี่จ่าไม่เคยแน่ใจอะไรเท่านี้มาก่อนจ้ะ...อยากหยุดเวลาไว้แค่นี้จัง”
จ่าแม่นเลื่อนมือมาจะจับมือบานชื่น แต่บานชื่นเลื่อนมือหนี
“ถ้าแม่บานไม่รังเกียจหนุ่มในเครื่องแบบล่ะก็...” เสียงปู๊ดดังยาว
บานชื่นเอ่ยถาม “เสียงอะไรวะ”
“สงสัยจะเป็นเสียงเต้นของหัวใจพี่จ่า” จ่าแม่นตอบ
จ่าแม่นเริ่มรู้สึกปั่นป่วนมวนท้อง หน้าตาเริ่มของเขาบิดเบี้ยวและดึงมือกลับมาจับก้นตัวเอง
จ่าแม่นกลั้นใจพูดต่อ “แม่บานจ้ะ จะยอมรับ...ระ...” เสียงปู๊ดดังอีก
“ตด!!! ไอ้แม่น เอ็งตดเหรอวะ โอ๊ยยยยย....เหม็นจะอ้วก”
บานชื่นปิดจมูกแล้วปัดไล่ลมใต้จมูก จ่าแม่นลุกขึ้นยืนแล้วเอามือหนีบก้นไว้
“เรื่องรักเอาไว้ก่อน ตอนนี้ข้าศึกบุก ไม่ ไหว แล้ว”
จ่าแม่นวิ่งจากโต๊ะผ่านหน้าดาวเรืองกับเพี้ยนที่แอบขำด้วยความสะใจ
ดาวเรืองโบกมือหยอยๆ “ขี้ให้สบายตูดนะจ่า ฮ่าๆ”
“เล่นกะใครไม่เล่น” เพี้ยนว่า
บานชื่นเดินมาหยุดยืนเท้าสะเอวและทำหน้าดุ
“นึกแล้วเชียวว่าต้องมีอะไร ไม่งั้นเอ็งไม่ญาติดีกับไอ้จ่าแม่นหรอก”
ดาวเรืองเลิกคิ้วกวนๆ “ช่วยไม่ได้ ไอ้จ่าแม่นอยากมีเรื่องกะไอ้เรืองก่อน สั่งสอนแค่นี้มันยังน้อยไป”
บานชื่นทำหน้าดุก่อนจะหัวเราะท้องคดท้องแข็งยิ่งกว่าดาวเรืองและเพี้ยนเมื่อมองตามจ่าแม่นที่วิ่งห่อตูดอยู่หน้าห้องน้ำ
จ่าแม่นวิ่งไปที่ห้องน้ำแต่เข้าไม่ได้ เขาพยายามดึงประตูสุดฤทธิ์ แล้วจ่าแม่นก็วิ่งมาที่เล้าเป็ดก่อนจะวิ่งพล่านไปทั่วบ้าน โดยมีดาวเรือง บานชื่น และเพี้ยนยืนดู จ่าแม่นวิ่งเข้าไปในพงหญ้าแล้วนั่งลงโผล่แต่หน้า เขาเบ่งจนเส้นเอ็นผุดก่อนจะหลับตาพริ้มอย่างอิ่มสุข จ่าแม่นสะบัดตูดเหมือนขี้เสร็จแต่พอลุกขึ้นก็ต้องนั่งลงอีกเพราะขี้ยังทยอยเล็ดออกมาไม่หยุด ดาวเรือง บานชื่น และเพี้ยนขำกันท้องคัดท้องแข็ง
ผันยืนชี้แจงต่อหน้าคณะกรรมการหมู่บ้าน โดยมีบานชื่น เวียง บุญปลอด บุญปลีก ไสว และคณะกรรมการผู้ชายอีกประมาณ 5 คนนั่งฟัง
“ที่ฉันเรียกประชุมวันนี้ ก็เพราะจะปรึกษา ว่าถ้าจะเลื่อนจัดงานวัดให้เร็วขึ้นกว่าปีก่อน ๆ เป็นสักอาทิตย์หน้านี้ ใครจะว่ายังไงบ้าง”
คณะกรรมการทุกคนพากันแปลกใจ
“จะปรึกษาหรือแจ้งให้รู้” บานชื่นถาม “ที่จะเลื่อนน่ะ มีเหตุผลมั้ยล่ะผู้ใหญ่ เพราะอีกแค่เดือนเดียวก็จะถึงแล้ว ช่วงนี้หลายบ้านกำลังเก็บเกี่ยว ยุ่งจะตายชัก”
“แล้วเก็บได้เยอะมั้ยล่ะ...ก็รู้ๆกันอยู่ ปีนี้หมู่บ้านเรามีแต่เรื่องไม่ดี ฤดูฝนก็ไม่มีฝน ผลผลิตก็ตกต่ำเจอเพลี๊ยะเจอแมลง เสียหายย่อยยับ ฉันก็เลยคิดว่าเราน่าจะทำบุญสะเดาเคราะห์หมู่บ้านซะหน่อย ถึงอยากให้เลื่อนงานวัดขึ้นมา เผื่ออะไรๆจะดีขึ้น” ผันบอก
“ก็ดีนะ จะได้รีบไปตัดชุดมาทำบุญซะเลย ปีนี้ว่าจะมาออกร้านกับเขาด้วย” เวียงว่า
“แล้วมันจะเตรียมงานกันทันเหรอ แค่อาทิตย์เดียวนะ” ไสวบอก
“นั่นสิผู้ใหญ่ ต้องของบ อบต. ด้วยไม่ใช่เหรอ” บานชื่นพูด
“ไม่ต้อง ปีนี้เราไม่ต้องเตรียมอะไรให้วุ่นวาย ไม่ต้องรองบ อบต. เพราะเสี่ยกำพลจะเป็นสปอนเซอร์จัดงานให้เราทั้งหมด” ผันบอก
คณะกรรมการคุยกันอื้ออึงว่า ‘จริงเหรอ ๆ’บุญปลีกเอ่ยชม “แหม เสี่ยกำพลนี่เจ้าบุญทุ่มไม่เคยเปลี่ยน”
บุญปลอดยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว “สาธุ ขอให้เสี่ยเจริญยิ่งๆขึ้นไปเถอะ”
ผันยิ้มกริ่ม “คนรวยที่เป็นคนดีแบบนี้ กราบไปก็ไม่เสียมือ...ว่ายังไง จะคัดค้านกันมั้ย” ผันมั่นใจสุดๆว่าไม่มี
ไสวยกมือขึ้นจะเกาหัว
ผันรีบพูดดัก “บ๊ะนังไหว เอ็งนี่มันยังไงวะ คนเขาคิดดีทำดี จะมาค้านหาพระแสงอะไร”
“เปล่าค้าน...แค่จะยกมือเกาหัว...ผิดเหรอ” ไสวถามกลับ
ผันหน้าหงาย “อ้าว แล้วไปสิวะ” ผันพูดกับทุกคน “เป็นอันว่าทุกคนเห็นด้วยนะ”
ทุกคนยกมือสนับสนุนหมดซึ่งเป็นที่พอใจของผัน
จินตวัฒน์เดินคุยกับไพศาลที่โถงที่ว่าการอำเภอ
“งานวัดจัดเร็วขึ้นแบบนี้ ผมว่าก็ดีเหมือนกันนะครับ แผนงานพัฒนาที่จะทำเดือนหน้า ก็จะได้ยกมาเริ่มทำเดือนนี้เลย โอกาสที่ชาวบ้านมารวมตัวกันเยอะๆแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ”
“ไม่บ่อยก็จริง แต่จะทำยังไงปลัด งานวัดของชาวบ้าน คือความสนุกสนานรื่นเริง ไม่ใช่งานที่จะมาออกแรง แค่ขนทรายเข้าวัด ก็ส่ายหน้ากันเป็นแถว” ไพศาลบอก
“แต่ถ้าออกแรงแล้วได้ประโยชน์แก่วัดแก่ชุมชนล่ะครับ” จินตวัฒน์ถามกลับ
“ประโยชน์ต่อสาธารณะ ไม่ใช่ประโยชน์ส่วนตัว ปลัดจะไปพูดยังไงให้พวกเขาร่วมมือ”
“ถ้าอย่างนั้น ให้มีการแข่งขันระหว่างคนในชุมชน แล้วเพิ่มถ้วยรางวัลเข้าไปด้วยดีมั้ยครับ ชาวบ้านจะได้มีกำลังใจ พอจบงาน พวกเขาก็จะได้ทั้งสาธารณูปโภคไว้ใช้และได้ภูมิใจร่วมกัน”
“ถ้าชาวบ้านเข้าใจเจตนาของปลัดก็ดีสิ เอาเถอะ ลองดูสักตั้ง...ผมยกให้ปลัดดูแลเรื่องนี้เลยแล้วกัน ถ้าวันเปิดงาน เสี่ยกำพลเขาไม่ว่าง ก็บอกมา ผมจะไปเปิดงานให้”
จินตวัฒน์มีสีหน้ามุ่งมั่นว่าจะทำงานนี้ให้สำเร็จให้ได้
พระครูจ้อยอ่านรายงานการประชุมคณะกรรมการหมู่บ้านที่ถืออยู่ในมือ
“ถ้าเลื่อนขึ้นมาแล้วชาวบ้านไม่เดือดร้อน ก็ไม่มีปัญหา จะเริ่มงานเมื่อไหร่ล่ะ”
“ขั้นตอนเตรียมงานเริ่มตั้งแต่วันนี้ ส่วนงานวัดจะมีอาทิตย์หน้าครับหลวงพี่” ผันบอก
“เหลืออีกไม่กี่วันเอง แล้วจะเตรียมงานทันมั้ยล่ะ”
“ทันสิครับหลวงพี่...ถ้าหาคนมาช่วยงานแทนตาแช่มที่เข้าโรงพยาบาล พวกเราก็ไม่ต้องเหนื่อยกันมาก”
“อยากให้ใครเป็นก็เสนอมาสิวะ” เทิ้มบอก
“ไม่ต้องเสนอให้เปลืองน้ำลาย ญาติของไอ้ผันที่เหลือๆ ว่างๆ น่ะ ยัดมาสักคนสิวะ กินตำแหน่งกรรมการวัด สบายบื๋อ ที่บ้านขาดเหลืออะไรก็มาเอาของวัดไปใช้ได้” หลวงตาคงว่า
ผันฉุน “อุวะไอ้คง!!! เอ็งตั้งใจจะมีเรื่องกับข้าไปจนเข้าโลงกันเลยใช่มั้ย”
ผันกับหลวงตาคงมองหน้าและสู้ตากันชนิดกัดไม่ปล่อย พระครูจ้อยถอนใจอย่างระอา
“แค่เริ่มต้นก็จะตีกันซะแล้ว เวรกรรม”
จินตวัฒน์ ดาวเรือง และกำจรเดินมาด้วยกัน สุวรรณ กรอด และแหลมบึ่งมอเตอร์ไซค์เข้ามาขวางหน้าด้วยท่าทางกวนตีนสุด ๆ
“ที่ไม่มีเวลาไปดูใจพี่วรรณที่โรงพัก ก็เพราะมัวแต่มาเดินตามไอ้ปลัดอยู่นี่เอง” สุวรรณว่า
ดาวเรืองบ่นอย่างขัดใจ “ดมกลิ่นเจอได้ไงวะ”
สุวรรณทำหน้าเหี้ยม “มากันสองต่อสองแบบนี้ได้ยังไง ทำไมไม่คิดถึงใจข้าบ้าง”
กำจรงง “อ้าว แล้วข้าล่ะ ไม่ใช่คนเหรอ”
“ปลัดทำแบบนี้ ไม่โปร่งใส” แหลมบอก
กรอดเสริม “มีนอกมีในชัวร์”
สุวรรณโกรธจนลมออกหู เขาชี้หน้าจินตวัฒน์อย่างไม่เกรงกลัว
“ไอ้ปลัด ถ้าเอ็งคิดจะแย่งไอ้เรืองของข้า เอ็งเตรียมจองศาลาวัดไว้ได้เลย”
“หยุดระรานคนอื่นได้แล้วนายวรรณ” จินตวัฒน์ว่า “คนอื่นเขามีงานทำ ไม่ได้ว่างจะมาทะเลาะด้วยทุกครั้งที่เจอกัน ไปเรือง นายจร ได้เวลาประชุมแล้ว”
“อย่าไปกับมันนะไอ้เรือง อย่าไปๆๆๆๆ” สุวรรณร้องห้าม
“ทำไมจะไปไม่ได้วะ ก็ในเมื่อข้าเป็นผู้ช่วยปลัด” ดาวเรืองบอก
กรอดกับแหลมประสานเสียง “ผู้ช่วย!!”
“มันไปสอบตอนไหนวะ” กรอดถาม
“ข้าติดคุกแค่คืนเดียว เอ็งได้เป็นผู้ช่วยปลัดเลยเหรอ” สุวรรณงง
“เออ แล้วเอ็งล่ะ มีตำแหน่งอะไรกับเขาบ้าง นอกจากตำแหน่งไอ้โจรห้าร้อย” ดาวเรืองว่า
“ด่ากันขนาดนี้ ถีบหน้ากันยังจะดีซะกว่า” แหลมว่า
สุวรรณกัดฟันกรอด “ใครว่าข้าไม่มีตำแหน่ง ตำแหน่งที่ข้าจะลงมันใหญ่จนพวกเอ็งต้องยกมือไหว้”
“ตำแหน่งอะไรห๊าไอ้วรรณ หรือว่าเอ็งจะบวช จะได้เป็นท่านสมภาร” กำจรบอก
“เป็นสมภารมีเมียไม่ได้ จะเป็นให้โง่ทำไม ข้าจะเป็นมักคนายก!” สุวรรณสวน
ดาวเรืองขำกลิ้ง “มักคนายก!!!! เอ็งไปหัดท่องนะโมให้ครบ 3 จบก่อนเถอะไป๊” สุวรรณหัวเราะเสียงดัง
“งั้นข้าจะเป็นกรรมการวัด!” สุวรรณบอก
“อย่างเอ็ง เป็นได้แค่กรรมเกิน ฟันธง!” ดาวเรืองหัวเราะเสียงดังกว่าเก่า
จินตวัฒน์ส่ายหน้าระอากับสองคนนี้จึงเดินนำออกไป ดาวเรืองกับกำจรเดินตามทิ้งให้สุวรรณเจ็บปวดใจ
“พี่วรรณต้องมีตำแหน่งให้ได้” แหลมบอก
“ตำแหน่งอะไรวะ เรียนก็ไม่จบ แถมคะแนนตอน ม.3 ก็ทุเรศสุดๆ” กรอดว่า
สุวรรณเบิ๊ดกะโหลกกรอดไปหนึ่งที แหลมซ้ำอีกครั้งจนกรอดหงอย
“ไอ้วรรณลูกผู้ใหญ่ผัน จะต้องกูศักดิ์ศรีคืนมาให้ได้ !!” สุวรรณมุ่งมั่น
จินตวัฒน์ยืนพูดอยู่ต่อหน้าทุกคนบนศาลาวัด
“นอกจากทำบุญ ปิดทองพระ ทำพิธีปลุกเสก ออกร้านค้า และมีการแสดงในตอนกลางคืนแล้ว ผมคิดว่าควรจะมีกิจกรรรมในตอนกลางวันด้วย”
พระครูจ้อยเอ่ยถาม “กิจกรรมอะไรล่ะโยม หรือจะให้ชาวบ้านช่วยกันขนทรายเข้าวัด”
จินตวัฒน์พูดต่อ “ช่วงสาย เราช่วยกันซ่อมถนน ส่วนช่วงบ่ายเราจะจัดการแข่งขันทำที่อาบน้ำสงฆ์เป็นไงครับ ของเดิมที่มีอยู่มันก็เก่า ใกล้จะพังแล้ว เราจะได้ทั้งบุญ ได้ทั้งความสนุกด้วย ดีมั้ยครับ”
“ใครมันจะสนุกด้วย” เทิ้มว่า
“คนดอนพัฒนาที่รักบ้านเกิดไงครับ อย่างเช่นกำนัน”
“มาวัดกันสักตั้ง ระหว่างดอนล้อมแรดเหนือกับดอนล้อมแรดใต้ เป็นไง” ดาวเรืองท้าทาย
“ไม่ต้องเดาว่าฝ่ายไหนจะชนะ คนดอนล้อมแรดเหนือของข้าแน่นอน” ผันคุย
“แต่เมื่อตะกี้ ลูกกุมารทองมากระซิบบอกข้าว่าคนดอนล้อมแรดใต้จะชนะ” หลวงตาคงบอก
“หรือจะเปิดศึกระหว่างผู้ใหญ่เก่ากับผู้ใหญ่แก่กันสักยกก่อน เพื่อเรียกน้ำย่อย” ดาวเรืองว่า
“อย่าเพิ่งเรียกน้ำย่อยเลย กลัวเลือดจะสาด เดี๋ยวอาสนะอาตมาจะเปื้อน ถ้าอยากจะสู้กันนัก ก็ไปสู้ตอนแข่งกันโน่น”
ผันกับหลวงตาคงขู่ฟ่อๆ ใส่กัน สุวรรณ กรอด และแหลมเดินกร่างเข้ามา
สุวรรณพูดเสียงกร้าว “หยุดประชุมกันก่อนทุกคน...ฉันมีเรื่องด่วนจะประกาศให้ทราบกันถ้วนหน้า” สุวรรณพูดเสียงดังฟังชัดยิ่งขึ้นไปอีก “ฉันจะเป็นกรรมการวัดแทนลุงแช่ม”
“อะไรของเอ็งวะไอ้วรรณ...อายเขา” ผันว่า
สุวรรณกับพระครูจ้อย “ว่ายังไงหลวงลุง จะยอมให้หลานได้พิสูจน์ตัวเองมั้ย”
“คนขี้เกียจเป็นกรรมการวัดไม่ได้” พระครูจ้อยว่า
“ตำแหน่งกรรมการวัดไม่เหมาะ ตำแหน่งหมาวัดน่าจะเหมาะนะพระครู เอาไว้เห่าไอ้พวกโจรใจหมาที่ชอบเข้ามาขโมยของวัด” ดาวเรืองว่า
ทั้งผัน ทั้งพระครูจ้อยสะดุ้งเฮือก สุวรรณโกรธจนปากสั่นกึกๆ
ดาวเรืองพูดต่อ “ประชุมครบถ้วนกระบวนความแล้วใช่มั้ยปลัด จะได้แยกย้ายกันไปทำมาหากินสักที”
ดาวเรืองพูดจบก็ลุกออกไป ทุกคนก็แยกย้ายกันไปคนละทิศ จินตวัฒน์หันไปมองหน้าสุวรรณที่โกรธจนหน้าแดงก่ำ
อ่านต่อหน้าที่ 3
ดาวเรือง ตอนที่ 5 (ต่อ)
จินตวัฒน์ ดาวเรือง และกำจรเดินออกจากที่ประชุม สุวรรณ กรอด และแหลมเดินตามหลังออกมาด้วยท่าทางฉุนจัด
“หยุดเดี๋ยวนี้นะไอ้เรือง!” สุวรรณเสียงกร้าว
“เจ้ากรรมนายเวรตามมาเล่นเอ็งอีกแล้วไอ้เรือง” กำจรบอก
“ไม่จบใช่มั้ยไอ้วรรณ” ดาวเรืองถาม
“พี่วรรณไม่จบกับเอ็งง่ายๆหรอกไอ้เรือง” แหลมบอก
“แต่ความรักมันถูกเปลี่ยนเป็นความแค้นไปแล้ว” กรอดว่า
“ต่อไปนี้ พี่วรรณจะตบจูบๆลูกเดียว” แหลมบอก
สุวรรณยิ้มอำมหิต เขาย่างสามขุมเข้ามาหาดาวเรือง กรอดกับแหลมเดินขนาบข้าง จินตวัฒน์เข้ามาขวางหน้าสุวรรณไว้
“คิดจะทำอะไรนายวรรณ จะรังแกผู้หญิงกลางวัดเลยเหรอ”
“เอ็งไม่เกี่ยวไอ้ปลัด ถอยไป นี่มันเรื่องระหว่างข้ากับนังแฟนไม่รักดี” สุวรรณบอก
“คุณปลัดครับ เพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาใช่มั้ยครับ” กำจรขัด
“ฉันมีหน้าที่ดูแลประชาชน ถ้าประชาชนได้รับความเดือดร้อน ฉันต้องเข้าไปดูแล” จินตวัฒน์บอก
“อย่ามาอ้างเลยวะ คิดจะงุ๊บงิ๊บไอ้เรืองก็บอกมาเฮอะ!” สุวรรณว่า
ดาวเรืองโกรธจนเลือดขึ้นหน้า เธอขยับตัวขึ้นมาเผชิญหน้ากับสุวรรณ
“จะเอายังไงวะไอ้ขี้แพ้” ดาวเรืองว่า
“ใครขี้แพ้วะไอ้เรือง” สุวรรณถาม
“ก็เอ็งนั่นแหละ เอ็งเคยแข่งอะไรแล้วชนะข้าบ้าง” ดาวเรืองถามกลับ
กรอดกับแหลมเห็นด้วย “เออจริง!!”
สุวรรณเบิ๊ดกะโหลกลูกน้องไปคนละที
“ป 1 ท้าแข่งเป่ากบก็แพ้ ป 2 แข่งกระโดดยางก็แพ้ ป 3 แข่งขี่จักรยานก็แพ้” ดาวเรืองร่ายยาว
สุวรรณแก้ตัว “ที่ข้าแพ้ เพราะข้าออมแรงให้หรอกโว้ย”
“ออมหรืออ่อน” ดาวเรืองว่า
“พูดยังงี้ มาลองกันอีกสักตั้งมั้ยล่ะ คราวนี้ข้าจะไม่ไว้หน้าเอ็งเลย”
“ว่ามา”
“ชกมวยมั้ยล่ะ ยุติธรรมดี” สุวรรณบอก
“ไม่ได้นะ ผู้หญิงกับผู้ชายจะแข่งชกมวยกันได้ยังไง” จินตวัฒน์ค้าน
“กลัวดิไอ้เรือง” สุวรรณท้าทาย
“ไม่มีปัญหา” ดาวเรืองบอก
จินตวัฒน์มองหน้าดาวเรืองอึ้งๆ
“ในงานวัด เอ็งกับข้ามาชกกันให้รู้ดำรู้แดง” สุวรรณบอก
“เตรียมตัวแพ้ได้เลยไอ้วรรณ” ดาวเรืองว่า
“เป็นไปไม่ได้แน่ การแข่งขันแบบนี้ไม่ยุติธรรม” จินตวัฒน์ค้าน
“นั่นสิไอ้วรรณ เอ็งจะชกผู้หญิงเหรอวะ” กำจรถาม
“ไม่เป็นไร เอาเป็นว่าไอ้เรืองรับคำท้า แต่ขอวางกติกาหนึ่งข้อ เอ็งชกมวยไทย ข้าชกมวยสากล” ดาวเรืองบอก
“ได้ งั้นฟังกติกาของข้าบ้างเว้ย ถ้าข้าชนะ ข้าต้องได้จูบเอ็ง” สุวรรณพูด
ทุกคนตกใจ “เฮ้ย!!”
ดาวเรืองหยุดคิดนิดหนึ่ง จินตวัฒน์หันมาส่งสายตาว่า ‘อย่า’ ดาวเรืองตอบอย่างมั่นใจ
“ได้”
ทุกคนตกใจ “ห๊า!!”
ดาวเรืองถามกลับ “แล้วถ้าเอ็งแพ้”
“ข้าจะยอมให้ฝ่ายชนะขี่คอรอบตลาดเลยเอ้า” สุวรรณบอก
“เอางั้นเลยเหรอพี่วรรณ” แหลมถาม
จินตวัฒน์เอ่ยออกมา “ฉันว่ากติกาทั้งสองข้อ ไม่ได้ทำให้ความยุติธรรมมันเพิ่มขึ้นเลย”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความยุติธรรม แต่เกี่ยวกับศักดิ์ศรี” ดาวเรืองบอก
“เตรียมแก้มนุ่มๆฟอกสบู่หอมๆไว้ให้พี่วรรณจูบไว้เลยนะน้องเรือง...ไปเว้ย ไปซ้อมกันดีกว่า”
สุวรรณ กรอด และแหลมหัวเราะกันอย่างมีความสุขเหมือนกับว่าตัวเองชนะแล้วในขณะที่เดินจากไป จินตวัฒน์จะหันกลับมาจะเทศนาดาวเรืองแต่ดาวเรืองรู้ทันรีบเดินหนีไปอีกทาง
“ผมให้ไอ้เรืองเป็นต่อ 2 : 1 คุณปลัดล่ะ” กำจรถาม
จินตวัฒน์ไม่ตอบ เขาเดินตามดาวเรืองไปที่จอดรถ โดยมีกำจรเดินรั้งท้าย
ดาวเรืองเดินจ้ำมาที่รถ จินตวัฒน์กับกำจรเดินตามหลังมา
“ฉันขอเตือนเธอในฐานะผู้ใหญ่คนหนึ่งนะดาวเรือง...ยกเลิกการแข่งขันซะ ถึงเธอจะเก่งแค่ไหน แต่เธอก็เป็นผู้หญิง ยังไงผู้หญิงก็สู้แรงผู้ชายไม่ได้” จินตวัฒน์บอก
“ฉันจะทำให้นายเห็นว่าผู้หญิงก็สามารถชกมวยชนะผู้ชายได้เหมือนกัน” ดาวเรืองว่า
“ลองกำหมัดตัวเองดูสิ หมัดแค่นี้ จะล้มคู่ต่อสู้ได้ยังไง”
กำจรมองซ้ายที ขวาทีดูทั้งคู่ทะเลาะกันข้ามหัวตัวเองไปมา
“ล้มไม่ได้ แต่ทำให้สลบได้ จะลองดูมั้ยล่ะ” ดาวเรืองถาม
“หัดฟังเหตุผลบ้างสิ ไม่ใช่สักแต่เถียงข้างๆคูๆ !!!”
“เอ่อ...ขอโทษนะครับ...คือยังเห็นใช่มั้ยครับ ว่าผมยังอยู่” กำจรถาม
จินตวัฒน์กับดาวเรืองชะงัก
“ถ้างั้น ขออนุญาตออกความเห็นหน่อยนะครับ ว่าคนที่คุณปลัดควรจะห่วง ไม่ใช่ไอ้เรืองหรอกครับ แต่เป็นไอ้วรรณต่างหาก” กำจรบอก
จินตวัฒน์มองหน้าดาวเรืองที่เลิกคิ้วกวนๆ ใส่
บานชื่นตกใจสุดขีด
“ไอ้เรือง!!! เอ็งยังสติดีอยู่รึเปล่า ไปรับคำท้าไอ้วรรณแบบนั้นได้ยังไง”
“ไม่ต้องห่วงหรอกแม่ คนอย่างไอ้เรือง ไม่เคยแพ้ไอ้วรรณอยู่แล้ว” ดาวเรืองคุยโว
“แต่นี่มันแข่งชกมวย เอ็งไม่มีทางชนะ”
“เว้นแต่ไอ้พี่วรรณมันจะไม่มีแขน มีขา” เพี้ยนเสริม
“ถึงมันจะมีสิบมือ สิบขา สิบแขน ข้าก็ไม่กลัวโว้ย...ฉันว่านะแม่ แทนที่แม่จะมานั่งตกใจให้เสียเวลา แม่ไปเปิดโต๊ะพนันมวยเลยดีกว่า”
บานชื่นว่า “ยังจะมาพูดเล่นอีก”
“พูดจริง งานนี้ เราเตรียมกระสอบใส่เงินได้เลย” ดาวเรืองบอก
เพี้ยนขัด “การพนันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย”
“แหมไอ้เพี้ยน เปิดเทอมแค่วันเดียว กลับมาดีทันตาเห็นเลยนะ”
“ก็ครูสอน พระครูจ้อยก็สอน” เพี้ยนบอก
“ก็ถ้าข้าไม่ทำอย่างนี้ แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาส่งเอ็งเรียนวะ”
เพี้ยนกลอกตาไปมา “งั้นให้ถือว่าทำผิดโดยไม่ตั้งใจ”
บานชื่นยังถอนใจไม่เลิก ดาวเรืองรู้ว่าแม่กลุ้ม
“เชื่อหัวไอ้เรืองเหอะแม่...ไอ้เรืองเคยทำให้แม่ผิดหวังมั้ย...ไม่เค๊ย!”
บานชื่นสูดยาดม ดาวเรืองฝันถึงชัยชนะและเงินที่กำลังจะไหลมา
ผันนั่งโต๊ะที่เหมือนโต๊ะไม้นักเรียนโดยกำลังรับแทงพนันมวย
ผันจดลงในสมุดโพย “ของเอ็งเท่าไหร่ไอ้ย้อย ร้อย สองร้อย สามร้อย ลงมาเลย ลงเยอะได้เยอะ ลงน้อยได้น้อย”
บรรยากาศเต็มไปด้วยความชุลมุน คนโน้นแทงสองร้อย คนนั้นแทงสามร้อย คนนี้แทงห้าร้อย ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน ‘ลงข้างไอ้วรรณ’
“ไอ้วรรณลูกข้านี่มันตัวเงินตัวทองแท้ๆ รู้จักสรรหากีฬามาแข่ง ยุติธรรมจริงๆ” ผันว่า
ชาวบ้านยังตะโกนแทงข้างสุวรรณกันระงมไปหมด
เช้าวันใหม่ น้ำหวานโยนหนังสือพิมพ์ใส่หน้าสุดาวดีที่นั่งอยู่หน้ากระจกในห้องแต่งตัว
น้ำหวานฉุนจัด “ทำอย่างนี้หมายความว่าไง”
ช่างทำผมเดินออกไปอย่างรู้หน้าที่ สุดาวดีหยิบหนังสือพิมพ์มาดูหัวข้อข่าว
“โรส สุดาวดี” นางแบบสาวสุดฮอต น็อคคู่แข่งคว้าตำแหน่งแบรนด์แอมบาสซาเดอร์คนล่าสุดของ Spark, Spake ไวน์คูลเลอร์ชื่อดัง”
“หมายความว่าไง ไม่น่าถาม โรสก็ทำงานสิคะ”
“แล้วทำไมพี่ไม่รู้” น้ำหวานถาม
“ก็พี่มัวแต่เทคแคร์พวกนายแบบผู้ชาย หายไปถ่ายละครที่เมืองนอกทีเป็นอาทิตย์ งานมันเข้ามาตอนที่พี่ไม่อยู่ โรสเลยเซ็นสัญญารับงานเอง ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่”
“แต่ในสัญญาของเราระบุชัดว่าพี่ต้องเป็นคนรับงานแทนโรสทุกอย่าง”
“ก็พี่น้ำหวานไม่อยู่ แล้วจะให้โรสทำยังไง”
“โทรศัพท์ก็มี ทำไมไม่โทรหาพี่”
“แล้วมันเรื่องอะไรที่โรสจะต้องมาเสียเงินค่าโทรทางไกลเพิ่มอีก ไอ้ที่ต้องจ่ายเปอร์เซ็นต์ให้พี่ก็มากพออยู่แล้ว”
“คิดจะแหกสัญญาใช่มั้ย” น้ำหวานฉุน
“ก็ถ้าพี่ไม่อยากดูแลโรส ก็ไม่เป็นไร โรสจ้างคนอื่นก็ได้”
“ฉันสร้างเธอได้ ฉันก็ทำลายเธอได้เหมือนกัน เตรียมหาทนายไว้ให้ดี ฉันฟ้องเธอแน่!”
สุดาวดีตาลุกวาวเพราะคาดไม่ถึงว่าเรื่องจะลงเอยแบบนี้
บรรยากาศงานวัดดอนล้อมแรดมีเสียงเชียร์ดังกระหึ่ม เสียงแตรวงดังไปทั่ว
หลวงตาคงถือโทรโข่งพูด “พ่อแม่พี่น้องชาวดอนล้อมแรดใต้ มาร่วมมือร่วมใจผนึกกำลังเอาชนะการแข่งขันให้ได้”
ผันถือโทรโข่งพูดต่อ “อย่าไปออมแรงให้พวกบ้านใต้ เราต้องไว้ลายชาวดอนล้อมแรดเหนือ”
การแข่งขันก่อปูนทำที่อาบน้ำสงฆ์ระหว่างทีมดอนล้อมแรดเหนือกับทีมดอนล้อมแรดใต้ท่ามกลางแตรวงบรรเลงเพลงครึกครื้นดำเนินต่อไป ชาวบ้านมาเชียร์เพียบ จินตวัฒน์กับพระครูจ้อยนั่งเป็นกรรมการอยู่ในเต็นท์
“ท่าทางจะไปได้ดีนะครับ” จินตวัฒน์บอก
“อาตมาไม่ขออะไร ขอให้งานเสร็จแล้วไม่ตีกันตายก็พอ”
ผู้ชายทั้งสองทีมช่วยกันก่ออิฐโบกปูนกันอย่างแข็งขัน
“งานของเราจะได้ทั้งความเนี๊ยบและความเร็ว เพราะไอ้แผนมันเป็นช่างที่สืบทอดมาจากตระกูลช่างตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ชัยชนะอยู่แค่เอื้อม” ผันบอก
หลวงตาคงพูดต่อ “เอื้อมแล้วเอื้อมอีกก็เอื้อมไม่ถึง ก็แค่กรุงรัตนโกสินทร์ล่ะพี่น้อง สู้ทีมดอนล้อมแรดใต้ของเราไม่ได้ มีนายช่างใหญ่ที่สืบทอดช่างสกุลราชสำนัก ตกทอดมาจากกรุงศรีอยุธยา”
“ของเราเก่ากว่าเพราะสาวขึ้นไปถึงกรุงสุโขทัย” ผันแทรก
หลวงตาคงพูดต่อ “ฟากทางเรามาจากอาณาจักรล้านนา หริภุญชัย ศรีวิชัย”
“ของข้าตามกันมาตั้งแต่สมัยละโว้นู่นเว้ย” ผันบอก
“น้อยไป เพราะฝั่ง ข้าสืบไปสืบมา...โอ๊ย...มาจากยุคทวารวดี ฟูนันโน่นแหนะ” หลวงตาคงเกทับ
พระครูจ้อยงง
“มันเชิญวิญญาณบรรพบุรุษมาแข่งกันเลยหรือนี่”
จินตวัฒน์หัวเราะขำ โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของเขามีสัญญาณโทรเข้าแต่เขาไม่ได้ยิน
สุดาวดีหันหลังให้น้ำหวาน เธอเดินไปเดินมาพร้อมกดโทรศัพท์หลายรอบแต่ก็ไม่มีคนรับสาย น้ำหวานกำลังเก็บแฟ้มงาน portfolio ใส่กระเป๋า
สุดาวดีขัดใจสุดๆ “จิ๋นนะจิ๋น มัวทำอะไรอยู่ ทำไมไม่รับสาย”
สุดาวดีหันไปหาน้ำหวานแล้วจิกใช้อย่างลืมตัว
“พี่น้ำหวาน! โทรหาทนายให้หน่อยสิ”
น้ำหวานแขวะกลับ “สะบัดบ๊อบใส่กัน แล้วยังจะมีหน้ามาใช้อีกเหรอ มีมือก็ทำเองสิยะ...หาทนายเจ๋งๆมาล่ะ เพราะฉันจะหาทนายที่เก่งที่สุดมาฟ้องเธอ!”
น้ำหวานสะบัดบ๊อบใส่แล้วเดินออกไป
สุดาวดีทำอะไรไม่ถูก แต่ก็คิดขึ้นมาได้ว่าจะขอความช่วยเหลือจากใครจึงรีบกดโทรออกทันที
“มาร์ก...ช่วยหาทนายให้หน่อยสิ...ด่วนมาก...ติดต่อได้เมื่อไหร่ โทรบอกโรสทันทีเลยนะ...ขอบคุณมาก”
สุดาวดีกดปิดโทรศัพท์ด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี
ดาวเรืองรับจานอาหารจากบานชื่นมาใส่ถาดแล้วเดินมาเสิร์ฟที่โต๊ะของคนงานขนซุง
“วันนี้มากินข้าวที่นี่ได้นะ”
“ตัดไม้เสร็จแล้ว เตรียมขนอย่างเดียว” คนขนซุงคนหนึ่งบอก
“นึกแล้วยังเสียดายไม่หาย น่าจะมีของหวานเหลือๆมาขายที่นี่บ้าง...แล้วจะขนไม้กันวันไหนวะ” ดาวเรืองถาม
“ก็ใกล้ๆนี่แหละ รอเจ้านายยืนยันอีกที”
ดาวเรืองพยักหน้าแล้วหันไปมองเทิ้มที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะริมสุด เทิ้มเลื่อนหนังสือพิมพ์ลงให้เห็นแต่ดวงตา เขาสบกับดาวเรืองอย่างรู้กัน
เทิ้มวางหนังสือพิมพ์แล้วเดินออกจากร้านไป ดาวเรืองเดินหายไปทางหลังร้านอย่างเนียนๆ เหลือแต่บานชื่นที่ผัดอาหารในกระทะอยู่
เทิ้มมีท่าทางเครียดขณะเดินเข้ามายืนตรงหน้าดาวเรือง
“มันต้องขนกันตอนงานวัดแน่” เทิ้มว่า
“พวกเวรเอ๊ย มันจะใช้งานบุญ ทำบาป ไอ้คนพวกนี้เมื่อไหร่นรกจะสูบไปให้หมดแผ่นดินสักที” ดาวเรืองบอก
“ข้าจะเช็คข่าวให้แน่ใจอีกที คราวนี้ล่ะ จะถอนรากถอนโคนมันทั้งยวง”
“ระวังตัวนะกำนัน มีอะไรให้ช่วยก็บอก”
เทิ้มพยักหน้า ดาวเรืองยังโกรธแค้นพวกหนักแผ่นดินไม่หาย
ดาวเรืองกับเพี้ยนเดินเข้ามาในบริเวณลานวัดที่มีการแข่งขันทำที่อาบน้ำสงฆ์ ดาวเรืองกับเพี้ยนแหวกฝูงชนเข้าไปดูก็เห็นงานก่ออิฐใกล้เสร็จแล้ว ผันกับหลวงตาคงยังคงแหกปากตะโกนใส่โทรโข่งเหมือนเดิม
“เอาเลยเว้ย อย่าให้เสียชื่อ อีกนิดเดียว ฮุย เล ฮุย ๆๆ”
“เหวยๆ ถ้าคนดอนล้อมแรดใต้ชนะ ข้าจะแจกนางกวัก ใครอยากได้เอาไปกวักเงินกวักทอง เอาไปเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ก็รีบเร่งมือกันหน่อย”
ลูกทีมหลวงตาคงตาโตหูผึ่ง จากที่ยืนล้าก็เปลี่ยนเป็นทำงานมือเป็นระวิง จินตวัฒน์ขยับมายืนด้านหลังดาวเรืองโดยที่ดาวเรืองไม่รู้ตัว
หลวงตาคงดีใจ “เสร็จแล้วโว้ย ในที่สุด ธรรมะก็ชนะอธรรม ข้าชนะไอ้ผันแล้วเว้ย”
“ปัดโธ่เว้ย นี่เอ็งเล่นของรึเปล่าวะไอ้คง” ผันว่า
ดาวเรืองส่ายหน้าด้วยความระอาแล้วเปรยกับเพี้ยน
“หลงตาคงดีแต่หลอกลวงชาวบ้าน สร้างเรื่องให้คนงมงายไปวันๆ เดี๋ยวเหอะ จะเปิดโปงให้หมดไส้หมดพุง”
“เปิดโปงยังไงเหรอ” เพี้ยนถาม
“ซ่อนอะไรไว้ ก็เปิดอันนั้น” ดาวเรืองบอก
“ตกลงหลงตาชนะจริงหรือเล่นของ”
“แกไม่ได้ชนะหรอก ชาวบ้านต่างหากที่ชนะ หลงตาคงเอ๊ย คงอยากจะชนะจนตัวสั่น ถึงกับลงทุนแจกของ” ดาวเรืองว่า
“แล้วเธอล่ะดาวเรือง ไปรับท้านายวรรณแบบนั้น เพราะอยากจะชนะจนตัวสั่นเหมือนกันล่ะสิ” จินตวัฒน์ถาม
ดาวเรืองหันขวับไปมอง จินตวัฒน์จ้องหน้าดาวเรืองดุ ๆ เหมือนครูฝ่ายปกครอง
สุดาวดีหันหลังให้น้ำหวาน เธอเดินไปเดินมาพร้อมกดโทรศัพท์หลายรอบแต่ก็ไม่มีคนรับสาย น้ำหวานกำลังเก็บแฟ้มงาน portfolio ใส่กระเป๋า
สุดาวดีขัดใจสุดๆ “จิ๋นนะจิ๋น มัวทำอะไรอยู่ ทำไมไม่รับสาย”
สุดาวดีหันไปหาน้ำหวานแล้วจิกใช้อย่างลืมตัว
“พี่น้ำหวาน! โทรหาทนายให้หน่อยสิ”
น้ำหวานแขวะกลับ “สะบัดบ๊อบใส่กัน แล้วยังจะมีหน้ามาใช้อีกเหรอ มีมือก็ทำเองสิยะ...หาทนายเจ๋งๆมาล่ะ เพราะฉันจะหาทนายที่เก่งที่สุดมาฟ้องเธอ!”
น้ำหวานสะบัดบ๊อบใส่แล้วเดินออกไป
สุดาวดีทำอะไรไม่ถูก แต่ก็คิดขึ้นมาได้ว่าจะขอความช่วยเหลือจากใครจึงรีบกดโทรออกทันที
“มาร์ก...ช่วยหาทนายให้หน่อยสิ...ด่วนมาก...ติดต่อได้เมื่อไหร่ โทรบอกโรสทันทีเลยนะ...ขอบคุณมาก”
สุดาวดีกดปิดโทรศัพท์ด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี
ดาวเรืองรับจานอาหารจากบานชื่นมาใส่ถาดแล้วเดินมาเสิร์ฟที่โต๊ะของคนงานขนซุง
“วันนี้มากินข้าวที่นี่ได้นะ”
“ตัดไม้เสร็จแล้ว เตรียมขนอย่างเดียว” คนขนซุงคนหนึ่งบอก
“นึกแล้วยังเสียดายไม่หาย น่าจะมีของหวานเหลือๆมาขายที่นี่บ้าง...แล้วจะขนไม้กันวันไหนวะ” ดาวเรืองถาม
“ก็ใกล้ๆนี่แหละ รอเจ้านายยืนยันอีกที”
ดาวเรืองพยักหน้าแล้วหันไปมองเทิ้มที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะริมสุด เทิ้มเลื่อนหนังสือพิมพ์ลงให้เห็นแต่ดวงตา เขาสบกับดาวเรืองอย่างรู้กัน
เทิ้มวางหนังสือพิมพ์แล้วเดินออกจากร้านไป ดาวเรืองเดินหายไปทางหลังร้านอย่างเนียนๆ เหลือแต่บานชื่นที่ผัดอาหารในกระทะอยู่
เทิ้มมีท่าทางเครียดขณะเดินเข้ามายืนตรงหน้าดาวเรือง
“มันต้องขนกันตอนงานวัดแน่” เทิ้มว่า
“พวกเวรเอ๊ย มันจะใช้งานบุญ ทำบาป ไอ้คนพวกนี้เมื่อไหร่นรกจะสูบไปให้หมดแผ่นดินสักที” ดาวเรืองบอก
“ข้าจะเช็คข่าวให้แน่ใจอีกที คราวนี้ล่ะ จะถอนรากถอนโคนมันทั้งยวง”
“ระวังตัวนะกำนัน มีอะไรให้ช่วยก็บอก”
เทิ้มพยักหน้า ดาวเรืองยังโกรธแค้นพวกหนักแผ่นดินไม่หาย
ดาวเรืองกับเพี้ยนเดินเข้ามาในบริเวณลานวัดที่มีการแข่งขันทำที่อาบน้ำสงฆ์ ดาวเรืองกับเพี้ยนแหวกฝูงชนเข้าไปดูก็เห็นงานก่ออิฐใกล้เสร็จแล้ว ผันกับหลวงตาคงยังคงแหกปากตะโกนใส่โทรโข่งเหมือนเดิม
“เอาเลยเว้ย อย่าให้เสียชื่อ อีกนิดเดียว ฮุย เล ฮุย ๆๆ”
“เหวยๆ ถ้าคนดอนล้อมแรดใต้ชนะ ข้าจะแจกนางกวัก ใครอยากได้เอาไปกวักเงินกวักทอง เอาไปเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ก็รีบเร่งมือกันหน่อย”
ลูกทีมหลวงตาคงตาโตหูผึ่ง จากที่ยืนล้าก็เปลี่ยนเป็นทำงานมือเป็นระวิง จินตวัฒน์ขยับมายืนด้านหลังดาวเรืองโดยที่ดาวเรืองไม่รู้ตัว
หลวงตาคงดีใจ “เสร็จแล้วโว้ย ในที่สุด ธรรมะก็ชนะอธรรม ข้าชนะไอ้ผันแล้วเว้ย”
“ปัดโธ่เว้ย นี่เอ็งเล่นของรึเปล่าวะไอ้คง” ผันว่า
ดาวเรืองส่ายหน้าด้วยความระอาแล้วเปรยกับเพี้ยน
“หลงตาคงดีแต่หลอกลวงชาวบ้าน สร้างเรื่องให้คนงมงายไปวันๆ เดี๋ยวเหอะ จะเปิดโปงให้หมดไส้หมดพุง”
“เปิดโปงยังไงเหรอ” เพี้ยนถาม
“ซ่อนอะไรไว้ ก็เปิดอันนั้น” ดาวเรืองบอก
“ตกลงหลงตาชนะจริงหรือเล่นของ”
“แกไม่ได้ชนะหรอก ชาวบ้านต่างหากที่ชนะ หลงตาคงเอ๊ย คงอยากจะชนะจนตัวสั่น ถึงกับลงทุนแจกของ” ดาวเรืองว่า
“แล้วเธอล่ะดาวเรือง ไปรับท้านายวรรณแบบนั้น เพราะอยากจะชนะจนตัวสั่นเหมือนกันล่ะสิ” จินตวัฒน์ถาม
ดาวเรืองหันขวับไปมอง จินตวัฒน์จ้องหน้าดาวเรืองดุ ๆ เหมือนครูฝ่ายปกครอง
พฤกษ์นั่งคอยอยู่ในร้านกาแฟ เขายกดูนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา สุดาวดีนั่งโทรศัพท์อยู่ด้านในร้าน ด้วยความหงุดหงิดเหมือนเคย
“มาร์ค ไหนล่ะทนายที่นัดไว้ ไม่เห็นมาสักที... เอางี้แล้วกัน มาร์คบอกเบอร์มา เดี๋ยวโรสตามเอง” สุดาวดีฟัง “โอเค” สุดาวดีกดมือถือตาม “ขอบคุณนะมาร์ค” สุดาวดีกดโทรออกแล้วรอฟังสัญญาณอย่างหงุดหงิด “จะเชื่อใจให้ทำคดีได้มั้ยเนี่ย แค่นี้ยังไม่รู้จักรักษาเวลา!”
พฤกษ์และสุดาวดีนั่งหันหลังให้กัน โดยพฤกษ์อยู่ที่สวนด้านนอก สุดาวดีนั่งอยู่ด้านใน พฤกษ์รับสาย
“สวัสดีครับ”
สุดาวดีใส่ไม่ยั้ง “คุณใช่มั้ยที่สำนักงานทนายความณัฐกิตติ์ส่งมา คุณอยู่ที่ไหนแล้ว ฉันมารอตั้ง 15 นาทีแล้วนะ!!
พฤกษ์งง “ผมก็รอคุณที่ร้านกาแฟแล้วนี่ครับ”
“รอ! คุณรอที่ร้านไหน!!”
“ก็ร้าน” พฤกษ์บอกชื่อร้าน “ในซอย.... ไม่ถูกเหรอครับ”
สุดาวดีนึกในใจว่าใช่แต่ไม่ยอมแพ้ “แล้วคุณรออยู่ตรงไหน ทำไมฉันไม่เห็น”
พฤกษ์มองไปรอบๆ “ผมรออยู่ที่สวนด้านนอกครับ”
สุดาวดีปรี๊ดแตกจึงยืนขึ้น “ฉันอยู่ด้านใน คุณไปนั่งทำอะไรข้างนอก!”
สุดาวดีหงุดหงิด เธอลุกจากโต๊ะเดินมาที่ประตูทางเข้าพร้อมๆ กับพฤกษ์ที่ลุกจากเก้าอี้จะเข้ามาในร้านพอดี ทั้งคู่เจอกันที่ประตูทางเข้าโดยเห็นหน้ากันทั้งที่โทรศัพท์ยังคาหู
“นายมาทำอะไรที่นี่!” สุดาวดีถาม
พฤกษ์ไม่สน ยังคงพูดโทรศัพท์ต่อไป “ตอนนี้ผมอยู่ที่หน้าประตู คุณอยู่ที่ไหนครับ”
สุดาวดีตอบกลับ “ฉันก็ยืนอยู่ที่หน้าประตูน่ะสิ”
สักครู่สุดาวดีก็ชะงักแล้วหันมามองพฤกษ์
พฤกษ์ฟังเสียงที่ลอดจากโทรศัพท์ก็รู้ว่าคุยอยู่กับสุดาวดี “คุณ!?” พฤกษ์ปรับอารมณ์ให้สงบลงทันที “คุณคือลูกความของอาจารย์ผมงั้นเหรอ”
สุดาวดีเหวอ “นาย!!...ตกลงนายทำมาหากินอะไรกันแน่เนี่ย”
อ่านต่อหน้าที่ 4
ดาวเรือง ตอนที่ 5 (ต่อ)
พฤกษ์กับสุดาวดีลงนั่ง
สุดาวดีบ่นอุบ “กรุงเทพฯ นี่มันแคบรึไงนะ ทำไมฉันต้องมาเจอนายอีกเนี่ย!”
พฤกษ์หยิบสมุดโน้ตกับปากกาออกมาพร้อมจด “ช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยครับว่าเกิดอะไรขึ้น อ้อ! แล้วคุณเอาสัญญาที่ทำไว้มาด้วยรึเปล่า”
สุดาวดีไม่ฟัง เธอยังคงบ่นต่อไป “มาร์คนะมาร์ค แนะนำใครมาก็ไม่รู้ เอาเมสเซนเจอร์มาคุย จะได้เรื่องเหรอเนี่ย”
พฤกษ์สุดทน “ผมเป็นทนายความฝึกหัด วันนี้มาเพื่อซักถามข้อเท็จจริง แล้วก็เก็บข้อมูลเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดส่งให้อาจารย์ ถ้าคุณไม่อยากให้ผมช่วยก็แค่โทรไปหาอาจารย์ผม ท่านจะได้ให้คนอื่นมาทำแทน”
พฤกษ์ลุกพรึ่บ
สุดาวดีตกใจ “เดี๋ยวก่อนสิ!”
กรอดกับแหลมหลบมุมอย่างลับๆ ล่อๆ เพราะกำลังสังเกตการณ์อะไรบางอย่าง เจ้าหน้าที่อำเภอทยอยเดินออกมากินข้าวเที่ยง โดยมีจินตวัฒน์กับกำจรเดินรั้งท้าย แหลมหันไปโบกมือส่งซิกให้สุวรรณเดินเข้ามา
สุวรรณวิ่งชกลมมาในชุดวอร์มเต็มยศ ที่หัวคลุมด้วยฮู้ดเหมือนนักมวยเก็บตัวไปโอลิมปิก สุวรรณมาหยุดตรงหน้าที่ว่าการอำเภอโดยรอจินตวัฒน์ไปพลาง เต้นฟุตเวิร์กไปพลางด้วยท่าทางฟิตเต็มที่
แหลมกับกรอดตะโกนคุยกับสุวรรณเสียงดังเพื่อให้จินตวัฒน์ได้ยิน
“โห... พี่วรรณพักบ้างเหอะ วิ่งรอบหมู่บ้านตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่นี่ กี่ชั่วโมงแล้วเนี่ย”
“นั่นสิ ไม่ต้องจริงจังนักก็ได้พี่ แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างไอ้เรือง ไม่มีทางพ้นมือพี่ได้ร็อก”
สุวรรณเหล่มองจินตวัฒน์ที่เดินเข้ามาใกล้แล้วทำเป็นไม่เห็น เขารีบลงไปตั้งท่าวิดพื้นทันที ตอนแรกสุวรรณทำเป็นวิดมือเดียวโชว์ออฟแต่ล้มแผละหน้าทิ่ม เลยต้องเปลี่ยนเป็นวิดพื้นสองมือตามปกติ
สุวรรณหยุดวิด “ไม่ได้โว้ย ข้าต้องการชัยชนะแบบขาวสะอาด จะได้จูบไอ้เรืองโชว์ชาวบ้านอย่างภาคภูมิใจ”
“ถ่ายรูปเก็บไว้ด้วยนะพี่” แหลมเสนอ
“นั่นแหละที่ข้าคิดไว้ ข้าว่าจะเอารูปจูบสนั่นโลกของข้ากับไอ้เรืองไปติดที่หอนาฬิกาหน้าตลาดด้วยเว้ยเฮ้ย” สุวรรณชายตาเย้ยจินตวัฒน์
“ท่าทางไอ้วรรณมันจะเอาจริง ดูมันตั้งใจจะจูบไอ้เรืองซะให้ได้” กำจรบอก
จินตวัฒน์แอบเครียด สุวรรณเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของจินตวัฒน์แล้วก็ยิ้มสะใจ
“เฮ้ย ไอ้กรอด เอาที่กระโดดเชือกมาดิ๊ ฝึกกำลังขาเพิ่มซะหน่อย จะได้ยืนคลุกวงในได้นานๆ”
กรอดส่งเชือกกระโดดให้สุวรรณ สุวรรณรับมากระโดดอย่างคล่องแคล่วและฟิตเปรี๊ยะ
“รีบไปกินข้าวกันเถอะกำจร ฉันมีนัดกับผู้ใหญ่วงศ์ตอนบ่ายโมงครึ่ง” จินตวัฒน์บอก
กำจรกับจินตวัฒน์เดินไป
“มันไปแล้ว พี่วรรณ” กรอดบอก
สุวรรณหยุดกระโดดแล้วยืนหอบแฮ่กๆ อย่างเข่าอ่อนด้วยสภาพที่เหนื่อยสุดๆ
“เอ็งสองตัว...พยุงข้ากลับบ้านที”
แหลมกับกรอดตรงเข้าประกบแล้วหิ้วปีกสุวรรณที่เข่าอ่อนออกไป
พฤกษ์เก็บสมุดโน้ตใส่เป้ สุดาวดีนั่งจ้องแบบเชิดๆ
“ขอย้ำนะ ทำยังไงก็ได้ที่ไม่ต้องให้เรื่องถึงศาล แต่ถ้าฝ่ายนั้นไม่ยอมความ นายก็ต้องทำให้ฉันชนะคดี”
“คุณเป็นฝ่ายผิดที่ละเมิดสัญญานะคุณโรส คุณต้องยอมรับตรงนี้ให้ได้ก่อน” พฤกษ์ว่า
สุดาวดีถลึงตาใส่พฤกษ์ทันควัน เธอกำลังอ้าปากจะเถียงแต่พฤกษ์พูดออกมาเสียก่อน
“เอาเป็นว่าผมจะพยายามทำให้คุณน้ำหวานยอมเจรจาประนีประนอม เรื่องจะได้ไม่ไปถึงชั้นศาล และถ้าจะต้องเสียค่าปรับ ผมก็จะพยายามทำให้คุณจ่ายน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ไม่ใช่ให้ทำเรื่องผิดกลายเป็นถูก”
“เอ๊ะ พูดยังไง! ถ้าฉันต้องเป็นฝ่ายผิด ฉันจะเสียเงินจ้างทนายทำไมห๊า”
“คุณจะโทรบอกอาจารย์ผมให้เปลี่ยนตัวผู้ช่วยมาทำงานนี้แทนก็ได้นะครับ”
พฤกษ์มองโรสด้วยสายตาจริงจังก่อนจะลุกขึ้น เขากำลังจะหันหลังไป แต่โรสรีบผุดลุกขึ้นทันที
สุดาวดีเสียงอ่อยลง “แล้วที่บอกว่าจะนัดคุยกับพี่น้ำหวานน่ะเมื่อไหร่ ขอเป็นเร็วที่สุดก็แล้วกัน”
ดาวเรืองยืนนับเงินอยู่ที่โต๊ะของชาติ มือขวาของกำพลซึ่งมานั่งกินข้าวกับคนขับรถซุง
“รับมาแบงก์ห้าร้อย ทอนสองร้อยสี่สิบ อะ นับก่อนว่าครบเปล่า ลุกไปแล้วจะมาบอกว่าทอนขาดไม่ได้นะ” ดาวเรืองบอก
เพี้ยนใส่ชุดนักเรียนหิ้วกระเป๋าวิ่งจากหน้าร้านตรงมาหาดาวเรือง
เพี้ยนยื่นกระดาษโน้ตพับทบให้แล้วโพล่ง “พี่เรือง จดหมายกำนันเทิ้ม”
ดาวเรืองสะอึก เธอชำเลืองมองโต๊ะชาติก็เห็นทั้งโต๊ะหันกลับมามองที่เธอเป็นตาเดียว ดาวเรืองคิดในใจว่าฉิบหายแล้ว
จินตวัฒน์ขับรถอีเฉื่อยมาที่หน้าร้าน ดาวเรืองหาทางเอาตัวรอดได้ทันที
ดาวเรืองคลี่กระดาษออกอ่าน “จดหมายกำนันเทิ้มที่ไหนวะ จดหมายคุณปลัดตะหาก”
เพี้ยนรับมุกไม่ทัน “จดหมายกำนันเทิ้มจริงๆ ฉันเจอแกที่ตลาดหลังเลิกเรียน แกยัดใส่มือ บอกให้ส่งถึงมือพี่เรืองให้ได้”
ดาวเรืองรู้สึกอยากตบกะโหลกเพี้ยนเหลือเกิน
“โวะ! ก็นี่มันลายมือคุณปลัดชัดๆ สงสัยคุณปลัดฝากกำนันเทิ้มมา เนี่ย...” ดาวเรืองทำเป็นอ่านข้อความ
ข้อความในจดหมายเขียนว่า “เจอกันที่บ้านข้า 6 โมงเย็น” แต่ดาวเรืองอ่านเป็น
“...วันนี้ฉันจะมาซ้อมมวยให้เธอ เตรียมตัวไว้ด้วย”
เพี้ยนยืนงง จินตวัฒน์ในชุดเสื้อยืดกางเกงวอร์มเดินลงจากรถแล้วเข้ามา
ดาวเรืองรีบบอก “นั่นไง! มาโน่นแล้ว” ดาวเรืองเดินไปโวยใส่จินตวัฒน์ “อะไรกันค้าคุณปลัด ไอ้เรืองยังไม่ได้เตรียมตัวเลย มาไวปานจรวดขนาดนี้ ทีหลังไม่ต้องพึ่งไอ้เพี้ยนส่งจดหมายก็ได้”
จินตวัฒน์งงแล้วทำท่าจะถาม แต่ดาวเรืองไม่เปิดโอกาสให้เขาพูด
“ปะ... ไหนๆ มาแล้วก็ไปซ้อมกันเลยละกัน ไอ้เพี้ยน..เอ็งเฝ้าร้านให้ดีนะเว้ย”
ดาวเรืองดึงแขนจินตวัฒน์พาไปนอกร้าน กลุ่มคนของกำพลมองตามอย่างระแวงสงสัย
ดาวเรืองดึงมือจินตวัฒน์ที่ยังงงๆ ออกมา ส่วนมือก็พับจดหมายเก็บใส่กระเป๋ากางเกง
“อะไรของเธอหา..ดาวเรือง แล้วจดหมายนั่นมันอะไร”
“เหอะน่า” ดาวเรืองแกล้งพูดเสียงดัง “เริ่มที่จ๊อกกิ้งก่อนดีมั้ยปลัด”
จินตวัฒน์พูดทันที “ฉันมาหาเธอก็เพราะเรื่องนี้แหละ ทำไมไม่รู้จักซ้อมบ้าง เธอรู้มั้ยว่าวันนี้นายวรรณเขาวิ่งออกกำลังกายไปถึงหน้าอำเภอ แถมยังประกาศว่าถ้าได้จูบเธอ จะถ่ายรูปไปติดที่หอนาฬิกาด้วยนะ จะเอาอย่างนั้นเหรอ”
ชาติกับบรรดาคนขับรถซุงเดินออกมาจากร้านทำให้เดินผ่านจินตวัฒน์กับดาวเรือง
ดาวเรืองพูดเสียงดัง “ก็พร้อมจะซ้อมแล้วนี่ไง” ดาวเรืองทำเป็นวิ่งซอยเท้าขมีขมัน “อยากจ๊อกกิ้งจะลงแดงตายอยู่แล้ว”
พวกของกำพลไปที่รถกระบะที่จอดอยู่แต่ยังมีท่าทางดูลังเลเหมือนจะจับผิดอะไร ดาวเรืองคว้าแขนจินตวัฒน์แล้ววิ่งผ่านหน้ารถของพวกกำพลไป กลุ่มของกำพลนั้นยังมองตามดาวเรืองไปอย่างสงสัย
ดาวเรืองยังคงวิ่งเอาๆ โดยวิ่งนำจินตวัฒน์มาเรื่อยๆ จนถึงทางแยก ดาวเรืองวิ่งไปบนถนนที่ทอดไปสู่บ้านดอนล้อมช้าง จินตวัฒน์มองตามไปอย่างงงๆ
“ดาวเรือง! จะไปทางนั้นทำไม นั่นมันทางไปดอนล้อมช้างไม่ใช่เหรอ”
“ก็เบื่อดอนล้อมแรดแล้วอะ วิ่งเล่นแถวนี้มาตั้งแต่เกิด อยากวิ่งไปดอนล้อมช้างบ้าง มีไรป๊ะ”
ดาวเรืองวิ่งต่อไป จินตวัฒน์จำต้องวิ่งตาม
กำนันเทิ้มยืนอยู่หน้าบ้าน เขามองออกไปที่ถนนอย่างกระสับกระส่ายเหมือนกำลังรออะไรสักอย่าง ดาวเรืองวิ่งมา เทิ้มหันมาเห็น
“อ้าว ไอ้เรือง ข้านึกว่าจะไม่...”
จินตวัฒน์วิ่งตามดาวเรืองมา เทิ้มชะงักไป
“วันนี้ฤกษ์ไม่ ดี ไม่ควรขยับทำอะไรนะกำนัน” ดาวเรืองใช้ตาบุ้ยใบ้ให้เทิ้มมองไปที่ถนน
รถกระบะของพวกกำพลแล่นผ่านมาแล้วชะลออยู่หน้าบ้านเทิ้มเหมือนรอดูสถานการณ์ เทิ้มนิ่งไปชั่วครู่แล้วพยักหน้าว่าเข้าใจความนัยที่ดาวเรืองส่งมา
จินตวัฒน์ยกมือไหว้ “สวัสดีครับกำ...”
ดาวเรืองสวนขึ้นมาทันที “ไปปลัด กลับได้แล้ว!”
“อะไรกัน เพิ่งวิ่งได้ครึ่งชั่วโมงเองนะ เธอต้องจ๊อกกิ้งอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง” จินตวัฒน์บอก
“ขามาครึ่งชั่วโมง ขากลับอีกครึ่งชั่วโมง ก็ครบชั่วโมงพอดี ไม่ถูกเหรอ”
ดาวเรืองวิ่งย้อนกลับทางเดิมหน้าตาเฉย จินตวัฒน์ยืนงงว่าจะเอายังไงต่อดี
จินตวัฒน์ไหว้กำนันเทิ้ม “เอ้อ งั้นลาล่ะครับกำนัน”
จินตวัฒน์วิ่งตามดาวเรืองไป สักครู่รถกระบะของพวกกำพลก็วิ่งหลุดไปอีกทาง เทิ้มมองตามรถกระบะไปอย่างเสียดายโอกาสที่จะได้ออกไปสืบอะไรให้ได้หลักฐานมากกว่านี้
ดาวเรืองวิ่งกลับเข้ามาในร้านแล้วลงนั่งที่เก้าอี้ก่อนจะหอบแฮ่กๆ จินตวัฒน์ตามมายืนมองดาวเรือง
“วิ่งมาเหนื่อยๆ ไม่ควรนั่งพักเลยนะ ต้องยืดเส้นยืดสายเพื่อให้กล้ามเนื้อพร้อมออกกำลังกายต่อ”
“โอ๊ย จะออกจะเข้าอะไรอีก ไม่เอาแล้ว เหนื่อย!!! ปลัดกลับไปได้แล้วไป!” ดาวเรืองไล่
“นี่เรายังไม่ได้เริ่มฝึกอะไรกันเลยนะ”
“ก็ฝึกวันละอย่างสิวะ วันนี้ฝึกกล้ามเนื้อขา พรุ่งนี้มือ มะรืนแขน มะเรื่องค่อยออกหมัด”
“เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน ถ้าฝึกวันละอย่างแบบที่เธอว่า เธอได้ถูกจูบโชว์แน่”
เห็นท่าทางขึงขังจริงจังของจินตวัฒน์แล้วดาวเรืองก็ถึงกับเซ็ง
ดาวเรืองสวมนวมแล้วเดินหน้าออกหมัดใส่จินตวัฒน์ซึ่งสวมเป้าล่อที่แขนแบบเนือยๆ จินตวัฒน์มองดุๆ
“ให้มันจริงจังกว่านี้ได้มั้ยดาวเรือง ออกหมัดให้แรง ให้ไว แบบนี้” จินตวัฒน์ทำให้ดู
ดาวเรืองทำตาม จินตวัฒน์คอยแนะนำและชมไปเรื่อยๆ ดาวเรืองเริ่มจริงจังขึ้น
กรอดกับแหลมโผล่หน้าจากพุ่มไม้มาแอบดูดาวเรือง เพี้ยนหิ้วกระติกน้ำเดินมาจากทางหน้าร้าน เพี้ยนเห็นทั้งกรอดกับแหลมแต่แกล้งทำเป็นไม่เห็น
“พี่เรือง พักกินน้ำก่อน”
ดาวเรืองผละจากจินตวัฒน์มาดื่มน้ำ
เพี้ยนกระซิบ “พี่เรือง พวกไอ้วรรณ” เพี้ยนหลิ่วตาไปทางกรอดกับแหลม
ดาวเรืองชำเลืองมองแบบเนียนๆ เธอเห็นสมุนทั้งสองของสุวรรณแอบดู ดาวเรืองพยักหน้าแล้วยิ้มกระหยิ่ม
จินตวัฒน์เรียก “มา! ดาวเรือง ซ้อมต่อ กำลังทำได้ดีเลย”
ดาวเรืองมีปฏิกิริยาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าทันที เธอทำเป็นเดินกระปลกกระเปลี้ยลากขามาหา
“พอเถอะปลัด ฉันไม่ไหวแล้ว” ดาวเรืองเอามือทาบอกแล้วไอโขลกๆ
จินตวัฒน์งง “เป็นอะไรไปน่ะ”
ดาวเรืองยืนตัวงอ ทั้งไอ ทั้งจาม “ไม่รู้สิ จู่ๆ ก็เวียนหัว เจ็บคอ ครั่นเนื้อครั่นตัว เหมือนจะเป็นไข้”
จินตวัฒน์ดูทีท่าแล้วไม่อยากจะเชื่อ
“สงสัยพี่เรืองตากน้ำค้างเฝ้าเป็ดทุกคืนแหงเลย ไปนั่งพักก่อนพี่” เพี้ยนรีบเข้าไปประคองแล้วแกล้งแหกปากตกใจ “เฮ้ย...ทำไมตัวร้อนจี๋ยังงี้ล่ะ”
เพี้ยนประคองดาวเรืองไปนั่งพักที่แคร่ จินตวัฒน์เดินตามไป กรอดกับแหลมชะเง้อมองคอยืดคอยาว
ดาวเรืองไอไปพูดไปเสียงดังลั่น “นั่นสิ จู่ๆ ก็ปวดเนื้อปวดตัว ปวดหัว ปวดขา ปวดหน้า ปวดไหล่ สงสัยข้าจะเป็นไข้หวัดใหญ่ว่ะไอ้เพี้ยน”
เพี้ยนทำเป็นตกใจ “ห๊า! ลองอีหรอบนี้พี่จะชกกับไอ้พี่วรรณไหวเหรอ”
“ไม่ไหวแล้วจะให้ข้าทำไง”
“ถอนตัวตอนนี้ยังทันนะพี่ ไม่งั้นพี่” เพี้ยนพูดเน้นๆ “แพ้มันแน่ๆ”
“ไม่ได้เว้ย ข้ารับปากมันไปแล้ว ยังไงก็ต้องขึ้นชกเพื่อศักดิ์ศรี ไม่ใช่แพ้บาย แบบนั้นมันน่าอายโว้ย...แค่กๆๆๆๆ คร่อกๆๆ”
กรอดกับแหลมได้ยินแล้วยิ้มร่า ทั้งสองกระหยิ่มใจก่อนจะค่อยๆ หลบออกไป จินตวัฒน์ได้ยินแล้วยิ่งเครียดเพราะคิดว่าดาวเรืองไม่รอดแน่
สุวรรณนอนบนเตียงอย่างสบายใจเฉิบ
กรอดพูด “หมดห่วงพี่วรรณ ไอ้เรืองมันป่วยกระเสาะกระแสะแบบนั้น จะเอาแรงที่ไหนมาสู้พี่”
“ตอนนี้ฉันว่าพี่ซ้อมจูบหมอนหนุน ซ้อมก่ายหมอนข้างไปพลางๆ ก็พอแล้ว” แหลมว่า
“พวกเอ็งแน่ใจนะ ว่าไอ้เรืองมันป่วยจริง” สุวรรณถามย้ำ
“เห็นมากับตาเลยพี่ มันเงี้ยะไอโขลกๆๆๆ จนตัวงอ ยืนแทบไม่อยู่ ยังกับคนเป็นวัณโรคเลยล่ะ”
สุวรรณได้ยินก็อดเป็นห่วงดาวเรืองไม่ได้
“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ ข้าไปเตือนให้มันไปหาหมอก่อนดีกว่า”
“ใจเย็นพี่! นี่ไม่ใช่เวลาที่พี่จะมาวอกแวก หรือเห็นใจคู่ต่อสู้นะ รอให้พี่ได้จูบมันก่อน ค่อยอุ้มมันไปหาหมอก็ยังไม่สาย” แหลมบอก
“ตอนนี้แค่ฝึกจูบฝึกกอดให้คล่องก็พอพี่”
สุวรรณได้ฟังแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มใจ
บานชื่นเดินจ้ำเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ไอ้เรือง เอ็งไม่สบายเหรอวะ”
ดาวเรืองกำลังเอาดอกดาวเรืองถวายพระพุทธแล้วยกมือไหว้ก่อนจะหันมาหาแม่ ส่วนเพี้ยนนั่งทำการบ้านอยู่ข้างๆ
“ใครมันคาบข่าวไปบอกแม่ล่ะ” ดาวเรืองถาม
“ก็พวกชาวบ้านที่ดอนล้อมควายมันลือกันให้แซด” บานชื่นบอก
“แม่ไปทำอะไรถึงดอนล้อมควาย” ดาวเรืองถามต่อ
“ข้าก็ไปรับแทงมวยน่ะสิ ถ้าเอ็งป่วยข้าก็แย่สิวะ ทุกวันนี้ที่เป็นหนี้เสี่ยก็เยอะอยู่แล้ว ถ้าแพ้พนันเที่ยวนี้ได้หมดตูดแน่ ไปยกเลิกดีมั้ยไอ้เรือง ข้าจะได้รีบเอาเงินไปคืนพวกที่แทงไว้แล้ว”
“ไม่ต้องแม่!!! ให้คนมันแทงข้างไอ้วรรณเยอะๆ ดีแล้ว” ดาวเรืองบอก
“จะบ้าเรอะ! ถ้าเอ็งแพ้เราไม่ต้องขายบ้านขายที่ตรงนี้เหรอ นี่มันสมบัติชิ้นสุดท้ายของเรานะโว้ย”
“ไม่แพ้หรอกป้าบาน พี่เรืองเขาแกล้งป่วยให้พวกมันตายใจต่างหาก” เพี้ยนบอก
บานชื่นอึ้งกับแผนการของลูกสาว “อ้าว!!”
“ยิ่งคนเทไปแทงข้างไอ้วรรณมากเท่าไหร่ เราก็จะได้เงินเข้ากระเป๋ามากเท่านั้น” ดาวเรืองบอก
บานชื่นยังไม่หายกังวล “ถึงเอ็งจะไม่ป่วยก็เหอะ แต่แรงผู้หญิงจะไปสู้แรงผู้ชายได้ยังไงวะ”
“เอาน่า...เชื่อหัวไอ้เรืองเหอะแม่!” ดาวเรืองว่า
สุวรรณคุยอยู่กับผันซึ่งนอนให้เมีย 7-8-9 นวดขานวดไหล่ให้อยู่บนเก้าอี้เอน
“ที่พ่อแอบแม่ไปแทงไว้หมื่นนึงน่ะ หนูว่าพ่อเทหมดหน้าตักไปเลยดีกว่า เชื่อดิ คราวนี้หนูชนะใสๆ”
“แค่นี้ก็เยอะแล้วนะ เดี๋ยวแม่เอ็งรู้ขึ้นมา ข้าโดนฟันหัวแบะ” ผันกำชับเมีย 7-8-9 “พวกเอ็งอย่าไปฟ้องแม่เวียงล่ะ”
เวียงเดินขึ้นเรือนมา โดยมีบุญปลอดกับบุญปลีกเดินตาม ทั้งสามแต่งตัวเช้งวับ ผันเห็นเวียงก็ตกใจ
“ไม่ต้องฟ้อง ฉันได้ยินเต็มสองหูเลยล่ะ ดอดไปเล่นพนันที่ไหน เท่าไหร่ บอกมา!” เวียงว่า
“แม่เวียง ไหนว่าไปกินเลี้ยง ทำไมกลับเร็วจัง” ผันเฉไฉ
“ไม่ต้องมาเฉไฉ บอกมาซะดีๆ ว่าที่ไหน เท่าไหร่ ไม่งั้นหัวแบะสมใจแน่...ว่าไง!!”
“คะ..คือ...เล่นพนันมวยข้างไอ้วรรณน่ะ ลงไป..เอ่อ..เอ่อ..หมะ..หมื่นนึงจ้ะ” ผันตอบ
“หมื่นนึง!!” เวียงตกใจ
บุญปลอดก็ตกใจ “คุณพระคุณเจ้า”
“หัวแบะแน่” บุญปลีกบอก
“ลงไปได้ยังไง หมื่นนึง!!”
ผันกลัวจนเยี่ยวแทบราด “คือ...”
เวียงพูดต่อ “ทำไมไม่เทไปสักสองหมื่นสามหมื่น นึกแล้วยังเจ็บใจไม่หาย สมัยสาวๆ ฉันประกวดนางงามแล้วแพ้นังบานชื่นตั้ง 2 ปีซ้อน ตกถึงรุ่นลูก ถ้าหนูวรรณจะชกมวยชนะลูกมันบ้าง ก็ถือว่าได้กู้หน้าให้แม่” เวียงหัวเราะร่วน “ไม่มีอะไรจะยุติธรรมไปกว่านี้แล้ว โฮะๆๆๆ ยุติธรรมจริงๆ”
ผันกับสุวรรณงงเพราะรับลูกไม่ทัน
บุญปลีกรีบประจบประแจง “หนูวรรณนี่เกิดมาเพื่อสร้างเกียรติสร้างชื่อให้ตระกูลขยันสอยของเราจริงๆ นะจ๊ะ”
“แต่ฉันว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรนะจ๊ะ ไม่อย่างนั้นก็จะเอาชนะกันไปไม่สิ้นสุด” บุญปลอดบอก “เอ่อ...ฉันเองก็มีเงินเก็บอยู่ห้าพัน ยังไงก็ฝากแทงข้างหนูวรรณด้วยนะจ๊ะพี่ผู้ใหญ่ คนครอบครัวเดียวกันก็ต้องเชียร์กัน ถูกไหมจ๊ะ”
ลานวัดดอนล้อมแรดคับคั่งไปด้วยชาวบ้านจากทั่วทุกสารทิศที่ต่างเดินมาพร้อมถาดอาหารใส่บาตร หลวงตาคงพูดผ่านเครื่องกระจายเสียงดังไปทั่วบริเวณงาน
“วันนี้ฤกษ์งามยามดี พ่อแม่พี่น้องญาติโยมทั้งหลายจึงได้หลั่งไหลมาทำบุญตักบาตรพร้อมกันที่วัดดอนล้อมแรดนี้”
บานชื่นส่งถาดของคาวกับโถข้าวให้เพี้ยนแล้วส่งถาดของหวานให้ดาวเรือง
“เร็ว ไอ้เรือง ไอ้เพี้ยน รีบเอาไปให้คุณนายฤดีให้ทันพระท่านรับบาตรนะเว้ย วิ่งได้วิ่งเลย”
ดาวเรืองกับเพี้ยนวิ่งประคองถาดอาหารทำบุญออกไป
ขบวนผู้มาทำบุญเข้าแถวเรียงหน้ากระดานยาว มีโต๊ะวางของปูผ้าขาวตั้งอยู่ข้างหน้า ไพศาลอยู่ที่หัวแถวเว้นว่างไป 2 ที่ ต่อจากนั้นเป็นแถวของแขกผู้ใหญ่ในอำเภอ ตามด้วยผันและครอบครัวที่มาโดยพร้อมเพรียงกัน ปิดท้ายด้วยชาวบ้านทั้งหลาย ไพศาลก้มลงไปมองข้างตัว
“ติดได้มั้ยคุณ พระจะมาแล้วนะ”
ฤดีลุกขึ้นยืนลองสวมรองเท้า
“เติมกาวตรงพื้นอีกนิดดีกว่าจิ๋น” ฤดีบ่นกับตัวเอง “จะมาเดินสะดุดอะไรตอนนี้ก็ไม่รู้”
จินตวัฒน์นั่งบีบกาวตราช้างที่เหมือนจะหมดเพื่อติดรองเท้าให้ฤดี แต่กาวเจ้ากรรมดันพุ่งปรี๊ดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจทำให้กาวกระเด็นมาโดนหลังมือขวาของเขาเป็นทางยาว จินตวัฒน์รีบหยอดกาวใส่ที่รองเท้าฤดี เพี้ยนวิ่งเข้ามาหาฤดีแล้วยื่นถาดของคาวให้
“นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้ว ขอบใจจ้ะ” ฤดีว่า
“เรียบร้อยแล้วครับน้าฤดี ผมไปล้างมือก่อนนะครับ” จินตวัฒน์บอก
ดาวเรืองวิ่งมา เสมอใจกับไสวถือถาดกับข้าวมาจากอีกทาง เสมอใจมัวแต่ชะเง้อหาสุวรรณโดยไม่ได้ดูตามาตาเรือจึงเดินไปตัดหน้าดาวเรืองซึ่งวิ่งห้อมาเต็มที่
เพี้ยนร้องบอก “พี่เรือง ระวัง!!”
ดาวเรืองเอี้ยวตัวหลบกะทันหัน เสมอใจตกใจ
“ว้าย ขอโทษ!”
ดาวเรืองเบิกตากว้าง เธอถลาเสียหลักจะล้มมือซ้ายปัดป่ายหาหลักยึดจนไปคว้ามือขวาของจินตวัฒน์ไว้ ขณะที่มือขวาของดาวเรืองพยายามเลี้ยงประคองขนมบนถาดไม่ให้ตก ดาวเรืองโล่งอก เธอหันกลับไปเห็นว่ามือซ้ายของตัวเองยึดมือขวาของจินตวัฒน์อยู่
ดาวเรืองพูดกับจินตวัฒน์ “ขอบใจ” ดาวเรืองตะโกนบอกฤดี “คุณนายคะ ขนมมาแล้วค่ะ” ดาวเรืองทรงตัวจะลุกขึ้นยืน
จินตวัฒน์มองดาวเรืองอึ้งๆ เพราะพูดไม่ออก ดาวเรืองดึงมือซ้ายตัวเองกลับ แต่ปรากฏว่ามือขวาของจินตวัฒน์ตามมาด้วย ดาวเรืองเบิกตากว้างเพราะทั้งงงทั้งตกใจ
จินตวัฒน์พูดเสียงเรียบ “มือฉันเลอะกาวตราช้าง”
ดาวเรืองเหวอ
หลวงตาคงประกาศ “ตอนนี้ 7 โมง 7 นาทีแล้ว ขอเชิญพวกเราพุทธศาสนิกชนผู้เปี่ยมศรัทธาเริ่มทำบุญใส่บาตรเพื่อความเป็นสิริมงคลพร้อมกันเทอญ สาธุ...”
ดาวเรืองส่งถาดขนมให้จินตวัฒน์ “รีบเอาไปให้คุณนายสิ”
จินตวัฒน์ใช้มือซ้ายรับถาดขนมวางลงตรงหน้าฤดี
พระครูจ้อยเดินอุ้มบาตรนำขบวนพระสงฆ์มาที่นายอำเภอ ฤดีกับนายอำเภอเริ่มใส่บาตร ดาวเรืองพยายามดึงมือตัวเองออกจากมือจินตวัฒน์แต่ก็ไร้ผล เพี้ยนมองดาวเรืองงงๆ
“ไปเหอะพี่เรือง ป้าบานรออยู่ทางโน้น” เพี้ยนชี้ไปกลางๆ แถว
บานชื่นกวักมือเรียกลูกสาว
พระครูจ้อยหยุดตรงหน้าจินตวัฒน์กับดาวเรืองที่ยังยื้อกันอยู่ จินตวัฒน์เริ่มเกรงใจพระครูจ้อย
จินตวัฒน์บอก “ดาวเรือง ฉันต้องใส่บาตร”
“มือซ้ายมีก็ใส่ไปสิ!!” ดาวเรืองว่า
จินตวัฒน์กระซิบกลับ “ใครเขาใช้มือซ้ายหยิบของใส่บาตรกันล่ะ”
พระครูจ้อยถาม “จะใส่หรือไม่ใส่ล่ะโยม คนรออีกเยอะ”
“ใส่ครับใส่”
จินตวัฒน์แกล้งดาวเรืองโดยใช้มือทั้งสองข้างของตัวเองซึ่งพ่วงมือซ้ายของดาวเรืองที่ติดกับมือขวาของจินตวัฒน์จับของขึ้นจบแล้วจัดแจงใส่บาตร ทำให้ดาวเรืองต้องใส่ด้วยเพราะมือติดกัน
ทุกคนจ้องมองมาที่จินตวัฒน์กับดาวเรืองเป็นตาเดียว ภาพที่ทุกคนเห็นคือดาวเรืองใส่บาตรร่วมกับจินตวัฒน์โดยที่มือดาวเรืองอยู่บนมือจินตวัฒน์เหมือนคู่บ่าวสาวที่ถือเคล็ดว่าผู้หญิงต้องจับทัพพีอยู่เหนือผู้ชาย จินตวัฒน์แอบยิ้มอย่างมีความสุขเล็กๆ ที่ได้แกล้งดาวเรือง
เพี้ยนกระซิบ “พี่เรือง ทำไมไปใส่บาตรร่วมขันกับปลัดแบบนี้ล่ะ”
ดาวเรืองถลึงตาใส่เพี้ยน เธออายแทบจะเอาหัวมุดไปใต้โต๊ะ
สุวรรณซึ่งยืนอยู่กลางแถวกับผัน เวียง และบรรดาเมียๆ ของผันตกใจจนแทบเสียจริต
“เฮ้ย!!! ไอ้ปลัด รู้ทั้งรู้ว่าไอ้เรืองเป็นว่าที่เมียข้า ยังกล้าหยามกันต่อหน้าพระหน้าเจ้า ไอ้เรือง เอ็งก็ชอบเหยียบหัวใจข้านัก!!! หนูไม่ยอม!!”
สุวรรณทำท่าจะกระโจนออกจากแถว
“เพิ่งออกจากคุกมาแค่อาทิตย์เดียว อย่าหาเรื่องกลับไปอยู่อีกเลยว่ะ” ผันเตือน
“อยู่นิ่งๆ แม่จ้าง 500” เวียงบอก
พระครูจ้อยเดินรับบาตรมาจนถึงครอบครัวของผัน สุวรรณใส่บาตรไปตามองดาวเรืองไปด้วยความขมขื่น
“ถือซะว่าวันนี้ไม่ใช่วันของพี่” กรอดบอก
“เอาไว้พรุ่งนี้ พี่ค่อยกอดจูบมันให้ชุ่มปอด” แหลมว่า
บานชื่นฉีกยิ้มเพราะเขินแทนลูก ในขณะที่เสมอใจแอบค้อนสุวรรณ
หลวงตาคงพูด “หลังเพล พระครูจ้อยจะขึ้นธรรมมาสน์เทศน์กัณฑ์ชูชก เพราะฉะนั้นพี่ป้าน้าอาทั้งหลายไม่ควรพลาดการสดับรับฟังสิ่งอันเป็นมงคลนี้... แล้วช่วงบ่ายห้ามลืมเด็ดขาด เราจะจัดให้มีพิธีอาบน้ำมันมนต์ศักดิ์สิทธิ์เหมือนทุกปี ใครพลาดปีนี้ ต้องรอจนถึงงานวัดปีหน้า บ่ายโมงสิบห้ามาเจอกันที่ปะรำพิธี”
ดาวเรืองหันไปพูดกับเพี้ยน “หลวงตาคงนี่มันมารศาสนาจริงๆ ไม่รู้จะมอมเมาชาวบ้านไปถึงไหน แบบนี้ต้องจัดการขั้นเด็ดขาด”
จินตวัฒน์แกล้งเปรยลอยๆ “จะทำบุญ ถ้าใจขุ่นมัว ต่อให้ทำให้ตาย ยังไงก็ไม่ได้บุญ”
ดาวเรืองถลึงตาใส่จินตวัฒน์ แต่จินตวัฒน์กลับพยักหน้าชวนดาวเรือง
“ไป”
ดาวเรืองงง “จะไปไหนก็ไปสิ เกี่ยวอะไรกับฉัน”
“ตัวน่ะไม่เกี่ยว แต่มือมันเกี่ยวกันอยู่เห็นมั้ย ไปเอาทินเนอร์เช็ดออก หรืออยากจะยืนตัวติดกันเป็นอิน-จันทั้งวันอย่างนี้ก็ตามใจ ฉันน่ะได้อยู่แล้ว”
ดาวเรืองมองมือตัวเองที่แปะติดอยู่กับมือจินตวัฒน์แล้วอยากจะร้องไห้
“จะยืนทำเบื๊อกอยู่ทำไม ก็รีบไปสิ” ดาวเรืองว่า
จินตวัฒน์แอบหัวเราะขำก่อนจะเดินนำดาวเรืองที่ทำหน้าหงิกออกมา
จบตอนที่ 5