xs
xsm
sm
md
lg

ดาวเรือง ตอนที่ 3

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ดาวเรือง ตอนที่ 3 
จ่าแม่นนอนหายใจระรวยอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล ที่จมูกของเขาติดท่อ Cannula ให้อ๊อกซิเจน จินตวัฒน์ กำจร และเทิ้มยืนด้วยกัน โดยมีผู้กำกับสันติสุขกับนายอำเภอไพศาลยืนมองอยู่อีกฝั่ง
“ดีนะที่ผมไม่บ้าจี้เชิญนักข่าวมา ไม่งั้นคงได้เอาหน้ามุดส้วมกันหมดทั้งโรงพัก” สันติสุขว่า
“แล้วนี่คุณหมอว่ายังไงบ้างล่ะปลัด” ไพศาลถาม
“ไม่เป็นอะไรมากครับ แค่หน้ามืด หายใจไม่ออก หมอเลยต้องให้อ๊อกซิเจนช่วย ได้นอนพักสักหน่อย อาการก็จะดีขึ้นครับ” จินตวัฒน์บอก
“ไอ้เรืองนี่มันแสบจริงๆ” กำจรว่า
“ตกลงไม่พบของกลางอะไร” สันติสุขถาม
เทิ้มโพล่งขึ้น “ก็ไอ้จ่าแม่นมันเหม็นขี้จนลมชัก เราก็เลยรีบพามาหาหมอ” เทิ้มประชด “ไม่ทันได้มองหรอกครับว่าไอ้เรืองมันทัดเหล้าไว้ที่หู หรือซ่อนไว้ที่ไหน”
“ตกลงดาวเรืองต้มเหล้าขายจริงๆหรือครับ ถ้าจริงทำไมจับไม่ได้สักทีล่ะครับ” จินตวัฒน์สงสัย
ทุกคนอึ้งกับคำถามตรงไปตรงมาของจินตวัฒน์

ดาวเรืองกับเพี้ยนช่วยกันยกลังเหล้าขึ้นท้ายรถกระบะเก่าๆ คนรับของโกยฟางลงมาปิดทับลังที่เรียงเป็นตับเพื่อพรางตาตำรวจ
“เฮียบอกให้ไปเอาเงินที่ตลาดนะ จะจ่ายงวดต้นเดือนให้ด้วย” คนรับของบอก
ดาวเรืองยิ้มและพยักหน้ารับรู้ คนรับของขับรถกระบะที่ดูเหมือนบรรทุกฟางอย่างเดียวออกไป
“คิดแล้วยังขาสั่นไม่หาย ตอนที่ไอ้จ่าแม่นมันจะขุดหลุมน่ะพี่เรือง ดีนะที่มันคิดว่าหลุมที่พี่ยืนอยู่เป็นหลุมฝังเหล้า” เพี้ยนว่า
“เราอยากให้มันขุดตรงไหน เราก็ยืนตรงนั้นแล้วก็ทำให้มันมีพิรุธเยอะๆเข้าไว้” ดาวเรืองสอน
“มันเลยหลงกลพี่เรือง ทั้งๆที่หลุมฝังเหล้ามันก็อยู่ตรงที่พวกมันยืนกันนั่นแหละ” เพี้ยนหัวเราะ “จะจับเหล้า ดันมาเจอปุ๋ยหมักของป้าบาน จ่าแม่นมันคงเลิกตามพี่ไปนานล่ะทีนี้”
ดาวเรืองหัวเราะ “รวมทั้งไอ้ปลัดนั่นด้วย”
ทั้งสองเฮฮา


จินตวัฒน์ สันติสุข ไพศาล เทิ้ม และกำจร เดินคุยกันมาตามทาง
“ไอ้ที่จับมันไม่ได้ก็เพราะมันไม่อยู่ให้เราจับน่ะสิปลัด บางทีตัวอยู่ของกลางไม่อยู่ บางทีของกลางอยู่แต่ตัวมันไม่อยู่” สันติสุขเล่า
“มันเปลี่ยนที่ต้มเหล้าตลอด เดี๋ยวในป่า เดี๋ยวบนเขา ขนาดในน้ำ มั๊นก็ยังอุตส่าห์ลงไปต้ม” ไพศาลเสริม
จินตวัฒน์งง “ยังไงครับ”
“มันก็ขนของไปต้มในแพแล้วก็ล่องแม่น้ำไปเรื่อยๆน่ะสิ” สันติสุขบอก
“แสบจริงๆ แต่ยังไงกฎหมายก็ต้องเป็นกฎหมาย เราจะยอมให้ใครทำผิดไม่ได้ ถึงดาวเรืองจะเป็นผู้หญิงยังไม่บรรลุนิติภาวะก็เถอะ” จินตวัฒน์มุ่งมั่น
“ที่ปลัดพูดก็ถูก แต่กฎบางอย่างเรามีความจำเป็นต้องเอามาปรับใช้ให้เหมาะสม เถรตรงมากไปเราก็อยู่กับคนในชุมชนไม่ได้” สันติสุขบอก
“เลยต้องอยู่กันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ใครทำผิดใครคอรัปชั่นถ้ามันแบ่งปันลูกน้องถือว่าเป็นคนดีมีน้ำใจ คดโกงประเทศชาติแต่บริหารจัดการดี เรียกว่ามีวิสัยทัศน์” เทิ้มแขวะ
“นั่นก็เกินไป ผมแค่ต้องการให้ปลัดดูว่าคนในชุมชนมีนิสัยมีความเป็นอยู่ยังไง ถ้าเขาทำอะไรผิดแต่มันเป็นวิถีชีวิตของเขา เราจะเข้าไปช่วยยังไงให้มันถูก ยุคนี้เป็นยุคของสงครามแย่งประชาชน เราต้องเข้าถึงและดึงประชาชนมาเป็นแนวร่วมกับเราให้ได้ ไม่ใช่ด้วยเงินแต่ต้องด้วยใจ” สันติสุขบอก
“ดึงใจไอ้เรืองก่อนดีมั้ยครับ ดึงใจมันได้ก็ดึงใจคนทั้งอำเภอได้” กำจรเสนอ
เทิ้มเปรย “สนใจแต่เรื่องเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ไอ้คนที่มันใหญ่คับฟ้าจริงๆ ไม่พากันมอง”
เทิ้มโยนปริศนาทิ้งท้ายไว้โครมเบ้อเริ่มก่อนจะเดินออกไป

สุดาวดีดูนาฬิกาข้อมือแล้วก็บ่น
“โอ๊ย..ตายแล้ว ทันมั้ยเนี่ย”
สุดาวดีรีบเหยียบคันเร่งทำให้รถออกตัวแรงและเร็วมาก

มอเตอร์ไซด์สีชมพูแปร๋นคันหนึ่งแล่นออกมาจากซอย พฤกษ์สวมหมวกกันน็อคสีดำขี่มา ด้านหลังรถมีกล่องโฟมเก็บความเย็นวางอยู่บนชั้นวางท้ายเบาะ พฤกษ์ทะยานมอเตอร์ไซด์ออกมาอย่างรีบเร่ง

สุดาวดีขับรถมาเจอสภาพถนนที่เต็มไปด้วยรถติดแหงก เธอมองนาฬิกาอีกครั้งแล้วตัดสินใจถอยรถกลับไปที่หน้าซอยย่อยซึ่งเพิ่งขับผ่านมาเพราะกะจะเลี้ยวลัดตัดเข้าซอย จังหวะที่สุดาวดีจะเลี้ยวซ้ายเข้าซอย มอเตอร์ไซด์สีชมพูของพฤกษ์ก็แล่นมาทางซ้ายเพราะจะเลี้ยวซ้ายเข้าซอยเหมือนกัน ทั้งคู่ตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าซอยพร้อมกันด้วยความเร็วพอกันทำให้รถทั้งคู่เบียดและจูบกัน
ทั้งคู่ร้อง “เฮ้ย”
“โอ๊ย..ยิ่งรีบๆอยู่ ซวยอะไรอย่างนี้!” สุดาวดีบ่น
พฤกษ์จอดรถแล้วรีบลงมาดูความเสียหาย สุดาวดีที่ใส่แว่นกันแดด Chole ปิดไปครึ่งหน้าเปิดประตูลงมาจากรถแล้ววีนใส่
“แซงเข้ามาได้ยังไง คนจะเลี้ยวเข้าซอยมองไม่เห็นเหรอ”
พฤกษ์ซึ่งยืนดูสภาพรถโดยหันหลังให้สุดาวดีถอดหมวกกันน็อคออกแล้วพูดอย่างสุภาพ
“คือ ผมไม่ทราบจริงๆว่า...”
พฤกษ์หันมาหาสุดาวดี เขาชะงักยืนมองสุดาวดีอย่างพินิจพิจารณาว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
สุดาวดีเองก็ชะงักแล้วถอดแว่นออกมาจ้องหน้าพฤกษ์เพราะรู้สึกว่าหน้าคุ้นๆ ก่อนจะนึกออกพร้อมกัน
“คุณ / นาย!!”
“เวรกรรมอะไรของฉันถึงได้มาเจอนายอีกเนี่ย เจอทีไรหาเรื่องมาให้หงุดหงิดทุกที” สุดาวดีว่า พฤกษ์พูดอย่างสุภาพ “ผมก็ไม่ได้อยากทำให้คุณหงุดหงิดนะครับ แต่คุณไม่ได้เปิดไฟเลี้ยว ผมเลยไม่ทราบจริงๆว่าคุณจะเลี้ยวเข้าซอย”
สุดาวดีอึ้งเพราะลืมเปิดไฟเลี้ยวจริงๆ แต่ก็ยังแถ “ก็ทำไมไม่ใช้เซ้นส์บ้างล่ะ เรื่องบางเรื่องมันใช้
เซ้นส์ได้นะ ถ้ามีคอมม่อนเซ้นส์”
“คุณจะให้ใช้คอมม่อนเซ้นส์ขับรถในกรุงเทพฯเนี่ยนะ ผมว่าถ้ารถไม่ชนกัน คนขับก็คงฆ่ากันตาย ขนาดมีกฎหมายบังคับใช้อย่างนี้ ยังชนกันยิงกันไม่เว้นแต่ละวัน”
“ไม่ต้องมาทำหัวหมอกับฉันเลย ฉันต้องรีบไปทำงาน นายจะจ่ายค่าเสียหายฉันยังไงก็ว่ามา”
พฤกษ์มองสุดาวดีทั่วตัวทั้งซ้าย ขวา หน้า และหลัง “คุณเจ็บตรงไหนเหรอครับ”
“ฉันหมายถึงรถ..ไอ้บ้า!!”
“เอาเป็นว่าคุณถ่ายรูปไว้แล้วไปแจ้งความก่อนนะครับ ถ้าผมผิดผมยินดีชดใช้ค่าเสียหายให้ รีบถ่ายเลยครับ ผมต้องรีบไปส่งของเหมือนกัน”
สุดาวดีโวย “จะให้ฉันเสียเวลาไปหาตำรวจเพราะรอยแมวข่วนแค่นี้เนี่ยนะ นายรู้มั้ยว่าฉันทำงานได้นาทีละเท่าไหร่”
“นั่นสิครับ ดาราดังอย่างคุณคงไม่อยากขึ้นหน้า๑ เพราะรอยเท่าแมวข่วนแค่นี้”
สุดาวดีเสียหน้า แต่ก็ยังแถอีก “ฉันไม่อยากเอาเรื่องแมสเซ็นเจอร์อย่างนายต่างหาก กว่าจะได้เงินแต่ละเดือน บิดจนหน้าบาน เชอะ!” สุดาวดีเดินไปที่รถ
พฤกษ์สรุป “เป็นอันว่าเลิกแล้วต่อกัน”
สุดาวดีหมั่นไส้ “เออ”
สุดาวดีเดินสะบัดตูดขึ้นรถ ในขณะที่พฤกษ์ยิ้มแล้วส่ายหน้าก่อนจะกลับไปขยับมอเตอร์ไซด์ออก


สุดาวดีนั่งในรถ เธอกำลังจะขยับเลี้ยวซ้าย แต่หางตาหันไปเห็นไฟน้ำมันกระพริบเตือนว่าน้ำมันใกล้หมด
“อย่าบอกว่ามาหมดเอาตอนนี้นะ” สุดาวดีมองนาฬิกา “โอ๊ย..ทำไงดี”
สุดาวดีเลี้ยวรถเข้ามาจอดในซอย เธอคว้ากระเป๋าแล้วล็อคประตูก่อนจะมองซ้ายมองขวาหามอเตอร์ไซด์รับจ้าง พฤกษ์ขี่มอเตอร์ไซด์เลี้ยวเข้ามา สุดาวดีหันมาเห็นก็วิ่งมาโบกรถให้จอด
“จอด..นายแมสเซนเจอร์!!!หยุด”
พฤกษ์จอดรถ “เปลี่ยนใจจะเอาเรื่องเหรอครับ”
“เปล่า แต่นายทำฉันเดือดร้อน”
พฤกษ์งง
“พาฉันไปส่งที่สยามเดี๋ยวนี้เลย ฉันมีงานที่นั่น มัวแต่ทะเลาะกับนาย ฉันไปไม่ทันแล้วเห็นมั้ย นายต้องรับผิดชอบ”
สุดาวดีกระโดดขึ้นมาซ้อนมอเตอร์ไซด์พฤกษ์ พฤกษ์งง

จินตวัฒน์เดินคุยมากับไพศาล โดยมีกำจรเดินตามติด
“ผมคิดว่าการพัฒนาท้องถิ่นควรจะเริ่มที่คนก่อน ผมพุ่งเป้าไปที่กลุ่มวัยรุ่น วัยทำงาน เพราะเป็นวัยที่น่าจะพูดให้คนรุ่นเก่าเข้าใจและช่วยปลูกฝังเด็กรุ่นใหม่ได้”
“ก็ดีนะ แล้วปลัดวางแผนรึยังว่าเราจะเดินหน้ายังไง” ไพศาลถาม
“ผมจะคิดโครงงานแล้วเปิดอบรมอาสาสมัครเป็นรุ่นๆ เป็นเรื่องๆไป คิดว่าจะเริ่มที่บ้านดอนล้อมแรดก่อนครับ”
“ทำไมเลือกที่นั่นล่ะ ยากสุดเลยนะ” ไพศาลถาม
“ผมอยากเริ่มจากที่ที่คิดว่ายากที่สุดก่อน ถ้าสำเร็จ..ที่อื่นก็ไม่น่ามีปัญหา”
“ก็ลองดูนะ แล้วจะเริ่มที่เรื่องอะไรก่อนล่ะ”
“เท่าที่ดู ผมคิดว่าชาวบ้านยังดูแลเรื่องดินไม่ถูกต้อง ก็เลยอยากทำเรื่องปุ๋ยชีวภาพแก้ปัญหาดินเสื่อม แล้วก็ลดต้นทุนเรื่องปุ๋ยเคมีราคาแพงกับสารตกค้างน่ะครับ”
“เรื่องนั้นเลิกคิดไปเลย เขาทำกันหลายครั้งแล้ว ทั้งสาธิตทั้งแจกฟรี ยังไม่มีใครสนใจ ชาวบ้านเขาเชื่อกันแล้วว่าปุ๋ยเคมีดีกว่า”
“แต่มันไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้องนะครับ”
“เรื่องความเชื่อ มันเปลี่ยนกันยาก มันก็เหมือนที่เชื่อว่ามีผีปอบ แต่ปลัดไม่เชื่อนั่นแหละ ไปพูด..ไปบอกยังไง เขาฟังนะ..แต่ไม่ทำ”
“แต่ผมอยากลองครับ ผมคิดว่าผมสามารถให้ความรู้จนชาวบ้านเปลี่ยนความคิดได้ ผมจะไปคุยกับผู้ใหญ่ผัน ผมเชื่อว่าผู้ใหญ่คงชอบที่จะได้พัฒนาความเป็นอยู่ของลูกบ้านให้ดีขึ้น”
“แหม..ไฟแรงจริงพ่อคุณ” ไพศาลว่า
จินตวัฒน์ยิ้มเพราะรู้สึกอยากทำงานชิ้นแรกเต็มแก่

เสมอใจยกถาดใส่น้ำใบบัวบก ๓ แก้วเดินมายื่นให้สุวรรณ แหลม และกรอดที่นั่งและนอนเอกเขนกอยู่ ในมือของสุวรรณมีโทรศัพท์มือถือ
“น้ำใบบัวบกจ้ะ” เสมอใจบอก
“เอ็งจะให้ข้ากินวันละกี่แก้ววะ ขี้เยี่ยวจะเป็นสีเขียวอยู่แล้วนะเว้ย” สุวรรณว่า
“ก็เอ็งอยากฟื้นตัวไปหาเรืองมันเร็วๆมั้ยล่ะ ถ้าอยากไปเอ็งก็ต้องกิน”
“เอ็งไม่ใช่ไอ้เรือง ไม่ต้องมาสั่งข้า” สุวรรณตอกกลับ
เสมอใจหน้าหดเหลือ ๒ นิ้วเพราะสุวรรณไม่สนใจทั้งเธอและน้ำใบบัวบกที่อุตส่าห์ยกมาให้
สุวรรณหันมาหาแหลมกับกรอด “ทำไมไอ้เรืองมันไม่รับสายข้าสักทีวะ”
“สงสัยมันยังงอน” กรอดสรุป
“หรือไม่ก็เล่นตัว อยากให้พี่โทรง้อเรื่อยๆ” แหลมแสดงความคิดเห็น
“หรือไม่ก็ทิ้ง” สุวรรณสะดุ้งโหยง “หรือมันทิ้งโทรศัพท์ข้าไปแล้ววะ เฮ้ย!! ข้าตกทุกข์ได้ยากเพราะไอ้โทรศัพท์นั่นมาตั้งเท่าไหร่ มันจะมาทิ้งขว้างง่ายๆไม่ได้นะเว้ย ข้าไม่ยอมๆ”
สุวรรณลงไปนอนดีดดิ้นโวยวายเป็นเด็กน้อย โดยมีแหลมกับกรอดคอยลูบหัวและตบตูดปลอบใจ เสมอใจมองสุวรรณอย่างเห็นใจก่อนจะเดินเลี่ยงออกไป

เสมอใจเดินมาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าที่แอบซ่อนไว้มุมหนึ่งขึ้นมาดูก็เห็นว่าสุวรรณโทรเข้ามาเป็น Miss Call 80 กว่าสาย เสมอใจถอนใจเฮือกก่อนจะตัดสินใจกดโทรศัพท์

เสียงข้อความเข้าที่โทรศัพท์ดังขึ้นเป็นระยะ สุวรรณซึ่งยังนอนชักดิ้นชักงออยู่กับแหลมกับกรอดชะงัก
“ใครส่งข้อความมาวะ” สุวรรณสงสัย
“หรือจะเป็นไอ้เรือง” กรอดว่า
สุวรรณเขกหัวกรอด “ไอ้โง่เอ๊ยย จะเป็นมันได้ไงวะ สองตามันเคยแลข้าเหรอ คงมีใครส่งข้อความผิดๆมาให้ข้า เอ็งดูซิ”
กรอดเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มาดูเบอร์แล้วพยายามอ่านสุดฤทธิ์
“ออ..ไอ..ไอ..ไม้เอก..ไอ่..ไม้โท..ไอ้ / รอ..เอือ..งอ..เรือง..ไอ้เรือง”
สุวรรณกับแหลมหันมาหากรอดพร้อมกัน “ไอ้เรือง”
“ไหน” สุวรรณคว้าโทรศัพท์มาดู “เฮ้ยยย ไอ้เรืองมันส่งข้อความถึงข้าจริงๆเว้ย” สุวรรณอ่านข้อความ “คิดถึงแสนคิดถึง เฝ้ารำพึงคะนึงหา คิดถึงทุกเวลา แต่ไม่กล้าเปิดเผยตัว” ถ้ารักข้าจริง ขอให้เอ็งเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แม้แต่หมา ๒ ตัวที่อยู่ข้างๆก็ห้ามบอก”
กรอดถาม “มันว่าใครเป็นหมาวะ”
“ก็เอ็งกับข้าน่ะสิไอ้โง่!!!! ที่แท้พวกผู้หญิงก็เป็นอย่างนี้เอง กัดกันตั้งแต่เด็กพอคิดอยากจะเป็นผัวเมียกันก็ดันอาย” แหลมว่า
“น่ารักน่าเอ็นดูจริงเว้ยไอ้เรือง เอาวะ คุยกันเงียบๆอย่างนี้ก็ได้ ดูลึกลับซับซ้อนดี” สุวรรณดีใจ
เสมอใจโผล่ออกมายิ้มปลื้มที่เห็นรอยยิ้มของสุวรรณ สักครู่เสียงสัญญาณตี๊ดๆๆๆๆ ก็ดังขึ้นอีกระลอก
“เฮ้ยยยย..มาอีกแล้วเว้ย” สุวรรณอ่าน “ไม่ต้องรักเท่าฟ้า แต่ขอให้รักเท่าเดิม..โอ๊ะ..โอ๊ย”
สุวรรณทำท่าเหมือนถูกศรรักปักอกลงไปนอนกองอยู่กับพื้น
แหลมกับกรอดประสานเสียง “ไม่ต้องมีเพิ่มเติม แต่รักไม่น้อยลงไป”
สุวรรณแหกปากร้องตามแหลมกับกรอด
“ไม่ต้องรักจนชั่วนิรันดร์ ตราบที่ฉันนั้นยังหายจายยยยยย ขอให้เหมือนเดิม ขอให้เหมือนเดิม โอ๊ยยย..ไม่ไหวแล้ววว ไปเว้ย..ไปหาไอ้เรือง”
สุวรรณ แหลม และกรอดประสานเสียงร้องวนท่อนเดิมอีกรอบก่อนจะเดินออกไป เสมอใจยิ้มหดเมื่อคิดได้ว่าตัวเองเป็นแค่เงาของดาวเรืองเท่านั้น


ผันยืนทำหน้าเซ็งกับจินตวัฒน์และกำจร
“ปลัดจะให้ผมบอกชาวบ้านให้ไปฟังคุณปลัดสอนทำปุ๋ยคอกเหรอ ?” ผันถามย้ำ
จินตวัฒน์พูด “ปุ๋ยชีวภาพครับ”
“มันก็เหมือนๆกันนั่นแหละ ก่อนไปบอกชาวบ้านน่ะ คุณปลัดประชุมกับกรรมการหมู่บ้านรึยัง” ผันถาม
“ผมนัดประชุมพรุ่งนี้ครับ แต่คิดว่าคงไม่น่ามีปัญหา เลยอยากมาขอให้ผู้ใหญ่ประกาศบอกชาวบ้านไว้ก่อน ว่าผมจะเปิดอบรมทำปุ๋ยฟรี” จินตวัฒน์บอก
“อูย เชื่อผมเถอะว่าชาวบ้านไม่สนใจหรอก เขาทำกันมาเยอะแล้ว เอาขี้วัวขี้ควายมาหมักๆกับขยะ มันเสียเวลา วันๆชาวบ้านต้องทำมาหากินนะคุณปลัด”
“เช่น ตีไก่อย่างผู้ใหญ่ เป็นต้น” กำจรแขวะ
ผันมองดุกำจร กำจรยิ้มแหย
“มันไม่เสียเวลาอะไรเลยครับ ถ้าทำได้ ชาวบ้านจะประหยัดเงินค่าปุ๋ยไปเยอะมาก”
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังมาจากในบ่อน ผันหันไปสนใจที่บ่อนไก่มากกว่า
“เอาอย่างนี้..เดี๋ยวผมจะไปบอกชาวบ้านให้ ไปล่ะ”
ผันรีบวิ่งเข้าบ่อนไก่แล้วหันมามองจินตวัฒน์ก่อนจะพึมพำ
“ฉันคงช่วยหรอก ลำพังขายปุ๋ยเแข่งกับไอ้เรือง ก็สู้กันจะแย่ ขืนชาวบ้านรู้ว่ามีปุ๋ยทำฟรีได้ ฉันก็เสียรายได้สิ เหอะ” ผันเดินเข้าบ่อนไป
“ผมว่ามันจะไม่ได้เรื่องมั้งคุณปลัด ขนาดผู้นำยังไม่ใส่ใจ แล้วลูกบ้านจะสนใจเหรอ” กำจรว่า
จินตวัฒน์เชื่อมั่น “สนใจสิ ! มันต้องมีคนเห็นด้วยกับฉันสักคนสิน่า”

จินตวัฒน์กับกำจรนั่งคุยกับพระครูจ้อยบนศาลาการเปรียญ
“คุณปลัดจะใช้วัดเป็นศูนย์กลางอบรมชาวบ้านเหรอ ? เอาเลย.. อาตมายินดี”
จินตวัฒน์หันไปยิ้มให้กำจร “เห็นไหม ? ฉันบอกแล้วว่าต้องมีสักคนที่เห็นด้วยกับฉัน”
“แต่อาตมาว่าปลัดคิดดีๆอีกทีไหม” พระครูจ้อยท้วง
จินตวัฒน์งง “อ้าว..”
กำจรขำ
“อาตมาเห็นจะทำกันมาเยอะแล้ว พอได้งบประมาณก็หยุดกันไป เสียเวลาเปล่าๆ”
“ไม่ต้องห่วงครับ คราวนี้ผมจะทำโครงการให้สำเร็จ ขอแค่หลวงพ่อช่วยบอกต่อชาวบ้านให้มาร่วมอบรมเยอะๆ” จินตวัฒน์บอก
“อาตมาบอกให้ได้ แต่ชาวบ้านจะเชื่อรึเปล่า อาตมาไม่รับปากนะ”
“แต่ผมเชื่อว่าชาวบ้านเชื่อและเคารพหลวงพ่ออยู่แล้ว”
“คุณปลัดเข้าใจผิดแล้ว ชาวบ้านไม่ได้เชื่ออาตมาหรอก ที่ชาวบ้านมีต่ออาตมาคือความศรัทธา แต่ถ้าอยากให้ชาวบ้านเชื่อ.. คุณปลัดต้องไปหาอีกคนนึง”
จิตนวัฒน์ถาม “ใครครับ”
พระครูจ้อยหันไปมองทางกุฏิหลวงตาคง จินตวัฒน์กับกำจรมองตาม

จินตวัฒน์กับกำจรยืนคุยกับหลวงตาคงหน้ากุฏิ
“อูย ถ้าคุณปลัดอยากให้ฉันช่วยบอกชาวบ้านน่ะได้ เพราะฉันเองก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการหมู่บ้าน แต่จะให้ชาวบ้านเชื่อเลย ฉันทำไม่ได้หรอก ฉันไม่เคยทำให้ชาวบ้านเชื่อฉันได้” หลวงตาคงบอก
ทันใดนั้นเวียง บุญปลีก และบุญปลอดก็เดินเถียงกันเสียงดังเข้ามา
“หลวงตาคงช่วยฉันด้วย ! เมื่อคืนฉันฝันไม่ดี ฝันว่าโดนตุ๊กแกกินตับ มันแปลว่าอะไร ถามเจ้าแม่ถืดทือให้ฉันที” เวียงว่า
“เชื่อฉันสิแม่ ฝันอย่างนั้นต้องมีเรื่องร้าย” บุญปลีกสรุป
“แต่ฉันว่าไม่มีอะไรหรอก แค่ตอนแม่นอนแล้วคิดฟุ้งซ่าน เลยฝันเพ้อเจ้อ” บุญปลอดบอก
“นี่แกว่าแม่เพ้อเจ้อเหรอนังปลอด ! แม่แค่กินเยอะ ! พูดมาก ! สอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านตลอด ! ไปด่าชาวบ้านไม่เว้นวัน ! เลยกลัวเค้ามาแหกอกจนเก็บมาฝันต่างหากเว้ย”
“ใช่ !” เวียงชะงักแล้วคิด “เฮ้ย ! แกหลอกด่าฉันเหรอนังปลีก”
“พูดโต้งๆอย่างนี้ ไม่เรียกว่าหลอกด่าจ้ะแม่ เรียกว่าด่าซึ่งๆหน้า” บุญปลอดบอก
“ฉันไม่ได้ด่าแม่นะเว้ยนังปลอด ! ถ้าด่าต้องพูดว่า..นังแก่เหนียงยาน”
“การด่านั้น ไม่จำเป็นต้องพูดคำรุนแรง แค่พูดว่า..แม่เวียงไร้เสน่ห์จนผัวไม่เอา..ก็ ถือว่าด่าจ้ะ”
“หยุด ! ฉันสรุปให้” เวียงจับหัวของบุญปลีกกับบุญปลอดมาชนกัน “แกด่าฉันทั้งคู่” เวียงหันไปพูดกับหลวงตาคง “ตกลงฝันฉันแปลว่าอะไร ?”
หลวงตาคงหลับตานิ่ง “แย่แล้ว ! แม่เวียงท่าทางจะมีเรื่อง ต้องให้เจ้าแม่บอกว่าต้องสะเดาะเคราะห์ยังไงบ้าง”
หลวงตาคงรีบเดินขึ้นกุฏิ เวียง บุญปลีก และบุญปลอดรีบเดินตาม
“แหม บอกว่าไม่มีใครเชื่อ แล้วที่วิ่งดุ๊บๆตามนี่ เรียกว่าอะไร” กำจรถามจินตวัฒน์ “คุณปลัดจะเอายังไงต่อครับ”
“บอกผู้ใหญ่หมดแล้ว ที นี้ก็เหลือเด็กที่ไม่ใช่เด็ก” จินตวัฒน์บอก
กำจรงง “เด็กที่ไม่ใช่เด็ก” กำจรคิด “นี่คุณปลัดอย่าบอกนะครับว่าจะไปขอให้ไอ้เรืองช่วย !..ผมว่าลุ้นหมาให้ออกลูกเป็นแมวยังง่ายกว่านะครับ”
จินตวัฒน์ยิ้มอย่างมุ่งมาดว่าตัวเองต้องทำได้

พฤกษ์ขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านหน้าศูนย์การค้าดัง โดยมีสุดาวดีนั่งซ้อนท้ายเข้าไปในที่จอดรถ พฤกษ์ขับรถเข้ามาจอด สุดาวดีรีบลงจากรถแล้วถอดหมวกยื่นให้พฤกษ์ เสร็จแล้วเธอก็ก้มหัวลงก่อนจะเหวี่ยงตัวขึ้นมาแล้วเอาสองมือสยายผม พร้อมทั้งก้มลงส่องที่กระจกข้างรถพฤกษ์เพื่อดูหน้าตาและทรงผมในเหลี่ยมมุมต่างๆ
พฤกษ์ยืนมองเอ๋อๆ เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนมาขยับก้ม เงย หมุนซ้าย หมุนขวาให้เขาเห็นมาก่อน
“ผมฉันดูดีรึยัง ยิ้มเป็นไง” สุดาวดีถาม
สุดาวดีจิกยิ้มเหมือนกำลังถ่ายรูปลงนิตยสารให้พฤกษ์ดู
“มีอะไรติดฟันรึเปล่า มีเหงื่อมั้ย ต้องตบแป้งเพิ่มตรงไหนบ้าง”
พฤกษ์ยิ้ม “คุณดูดีแล้วครับ”
สุดาวดีอารมณ์ดี เธอควานหากระเป๋าเงินในกระเป๋าสะพายก่อนจะหยิบเงินยื่นให้พฤกษ์หนึ่งพัน
“ฉันให้นายหมดนี่ อุตส่าห์ซิ่งจนทันเวลา”
“ผมไม่รับครับ”
“ทำไม หรือว่า น้อยไป”
“ผมต้องมาที่นี่อยู่แล้ว ไม่ใช่ต้องออกนอกเส้นทางไปส่งคุณที่ไหน ถ้าคุณจะให้อะไร ขอแค่คำขอบคุณก็พอ”
“ขอบคุณเลยเหรอ ขอบใจแล้วกัน หวังว่าเราคงไม่ต้องมาเจอกันอีกนะ”
สุดาวดีหยิบแว่น CHOLE ขึ้นมาใส่แล้วเก็กยิ้มให้พฤกษ์เล็กน้อย ก่อนจะหันไปชนรถที่จอดอยู่ข้างๆ จนเซ พฤกษ์แอบขำ สุดาวดีบังคับตัวเองให้เดินอย่างหงส์เหินออกไปอย่างมึนๆ โดยไม่หันกลับมามองพฤกษ์อีก พฤกษ์หยิบช่อดอกไม้ที่อยู่ในกล่องกันลมท้ายรถออกมา
 
อ่านต่อหน้าที่ 2

ดาวเรือง ตอนที่ 3 (ต่อ)

น้ำหวานยืนรอโรสอย่างกระวนกระวาย
“หายไปไหนเนี่ย ? โทรไปก็ไม่รับ ! โชว์ใกล้จะเริ่มแล้วด้วย โอ้ยยยย หงุดหงิดแล้วนะ เว้ย ! ถ้าเจอนะ แม่จะด่าให้สักที”
สุดาวดีเดินเข้ามา
“ด่าใคร”
น้ำหวานสะดุ้งแล้วรีบแถ
“ด่าไอ้เจ้าของงานน่ะสิคะ ไม่รู้จะรีบอะไรนักหนา ไม่รู้รึไงว่ากรุงเทพรถมันติด น้องโรสเลยมาช้าใช่ไหมคะ ?”
“ไม่ใช่เพราะรถติดหรอก แต่มันมีเรื่องมากกว่านั้น ช่างเถอะ ไว้ค่อยคุย”
สุดาวดีเดินนำน้ำหวานไปที่ลิฟท์ พฤกษ์วิ่งเข้ามาพร้อมตะโกนเรียกชื่อ “โรส”
“คุณโรสครับ”
สุดาวดีชะงักแล้วหันไปมองพฤกษ์ที่เดินถือช่อดอกไม้เข้ามา ในขณะที่น้ำหวานยืนด้านหลังโรส
น้ำหวานยิ้มให้พฤกษ์ “อุ้ย ! น้องนั่นเอง”
“มีคนส่งดอกไม้ให้คุณน่ะครับ” พฤกษ์บอก
สุดาวดีมองดอกไม้แล้วยิ้ม พร้อมทำมือยื่นไปเตรียมรับช่อดอกไม้ พฤกษ์เดินถือช่อดอกไม้แล้วเดินผ่านสุดาวดีไปหาน้ำหวาน
“นี่ครับ”
น้ำหวานชะงักมองสุดาวดีที่ทำหน้าเตรียมพ่นไฟ “เอ่อ..อ่า..อุ้ย”
สุดาวดีโวยวาย “ฉันต่างหากที่ชื่อโรส”
พฤกษ์มองสุดาวดีงงๆ “อ้าว..” พฤกษ์หันมองน้ำหวาน “ตกลงใครชื่อคุณโรสกันแน่ครับ”
น้ำหวานชี้ไปทางสุดาวดี “คนโน้น”
“อ้าว ..ขอโทษครับ ผมรู้แต่ว่า คุณชื่อ สุดาวดี”
“ไปอยู่ไหนมาห๊า สุดาวดี กับ โรส คือคนคนเดียวกัน !ดังขนาดนี้ไม่รู้จักได้ไง” สุดาวดีว่า
“อาจจะเพราะคุณดังไม่จริงก็ได้นะครับ คุณโรส สุดาวดี” พฤกษ์บอก
พฤกษ์เดินออกไปทันที
สุดาวดีโมโห “นี่นายหาว่าฉันไม่ดังเหรอ ! กลับมาคุยให้รู้เรื่องก่อนนะ” สุดาวดีจะเดินตามพฤกษ์
น้ำหวานจับตัวสุดาวดีไว้ “รีบไปทำงานก่อนเถอะค่ะคุณน้อง แล้วค่อยตามผู้ชายทีหลัง”
สุดาวดีจ้องน้ำหวานอย่างโกรธๆ “ใครตามผู้ชาย ! คนอย่างโรส ! มีแต่ผู้ชายตามย่ะ”
สุดาวดีหันไปมองพฤกษ์อย่างหงุดหงิดแล้วเดินไปที่ลิฟท์ น้ำหวานทำปากงุบงิบนินทาสุดาวดีแล้วรีบวิ่งตามไปขึ้นลิฟท์


กำจรขับรถมาจอดหน้าร้านดาวเรือง จินตวัฒน์ลงจากรถแล้วจะเดินเข้าร้าน แต่กำจรรีบวิ่งมาขวาง
“คุณปลัดจะให้ผมสตาร์ทรถรอเลยไหมครับ เผื่อไอ้เรืองไล่ตะเพิด เราจะได้บึ่งรถหนีทัน”
“เรามาดี ทำดีกับชุมชน ทำไมดาวเรืองต้องตะเพิดเราด้วย” จินตวัฒน์ถาม
“ก็คุณปลัดเพิ่งจะไปตามจับไอ้เรืองมันแหม็บๆ คนอย่างไอ้เรือง ถ้าประกาศว่าอยู่คนละข้างกับมัน มันไม่เอาไว้นะครับ”
“เชื่อฉันเถอะว่าดาวเรืองก็แค่เด็กธรรมดา เพียงแต่ห้าวแล้วก็กล้าพูดกล้าทำกว่าคนอื่น ที่สำคัญดาวเรืองฉลาด ถ้ารู้จักใช้ ดาวเรืองจะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาชุมชนมาก”
“ผมยอมท้ากินขี้หมาเลย ไอ้เรืองไม่มีวันยอมให้ปลัดใช้มันหรอก”
จินตวัฒน์ยิ้มๆก่อนจะเดินเข้าร้านไป แต่ไม่เห็นดาวเรืองมีแต่เพียงบานชื่นที่อยู่ร้าน บานชื่นเห็นจินตวัฒน์เดินเข้ามาก็รีบกุลีกุจอไปต้อนรับ
“เชิญค่ะคุณปลัด จะกินอะไรดีคะ สั่งได้เลยนะคะ”
“ผมไม่ได้มากินข้าวหรอกครับ แต่ผมอยากมาคุยกับคุณน้าเรื่องดาวเรือง” จินตวัฒน์บอก
“นี่ไอ้เรืองไปก่อเรื่องอะไรอีกเหรอคะ ?”
“เปล่าๆครับ คือผมอยากเปิดอบรมชาวบ้านเรื่องการทำปุ๋ยชีวภาพ แต่ผมยังไม่รู้จักชาวบ้านที่นี่มากพอ เลยต้องมาพึ่งบารมีคุณน้าให้ช่วยไปประชุมกรรมการหมู่บ้านและชักชวนชาวบ้านให้มาร่วมอบรมกันเยอะๆน่ะครับ”
บานชื่นยิ้มหน้าบาน “พึ่งบารมีเลยเหรอ!”
“ครับ ผมมาอยู่นี่แค่ไม่กี่วันก็รู้แล้วว่าทุกคนที่นี่เกรงใจคุณน้ากันทั้งนั้น อย่างนี้ไม่เรียกว่ามีบารมีได้ยังไงล่ะครับ”
บานชื่นหน้าบาน “เหรอจ้ะ แหม..น้าก็เพิ่งรู้ตัวนะเนี่ย ไปจ้ะ พรุ่งนี้น้าไปแน่”
“ผมอยากจะให้เด็กที่เป็นเยาวชนมีส่วนร่วมในโครงงานนี้ด้วย ก็เลยอยากจะให้คุณน้าชวนดาวเรืองไปด้วยกัน ไม่รู้ว่าเขาจะยอมไปมั้ย ยังไงคงต้องพึ่งบารมีคุณน้าด้วยนะครับ”
บานชื่นหน้าบานขึ้นไปอีก “พึ่งถูกคนแล้วล่ะค่า”
“โห..เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือไอ้เรืองยังมีน้าบานชื่น เหนือน้าบานชื่นยังมีคุณปลัด” กำจรชื่นชม

ตกกลางคืน สุดาวดีใส่ชุดคลุมหลังจากเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เธอเดินไปหยิบรีโมททีวีแล้วเหลือบมองช่อดอกไม้ สุดาวดีวางรีโมทแล้วไปหยิบมือถือมาโทรหาจินตวัฒน์
“ฮัลโหล” สุดาวดีประชด “ว่างคุยกับประชาชนตัวเล็กไหมคะคุณปลัด ? ..โรสจะบอกว่าดอกไม้น่ารักดี แต่ถ้าเปลี่ยนดอกไม้เป็นจิ๋น โรสจะรู้สึกดีกว่านี้”
จินตวัฒน์ยืนอยู่ที่ระเบียงบ้านพักขณะพูดโทรศัพท์
“เรื่องวันนี้ผมขอโทษจริงๆนะโรส โรสอย่าโกรธผมเลยนะ ผมติดงานด่วนจริงๆ”
“ไม่โกรธแต่งอน” สุดาวดีบอก
“แล้วทำยังไงถึงจะหายงอน”
“ก็กลับมาอยู่ใกล้ๆโรส”
“ผมเพิ่งมาอยู่นี่นะโรส ผมอยากพัฒนาที่นี่ อยากเห็นคนที่นี่อยู่ดีกินดีก่อน”
สุดาวดีเริ่มไม่พอใจ “แล้วโรสล่ะ ทำไมจิ๋นถึงเห็นตาสีตาสาพวกนั้นดีกว่าโรส”
“ผมเป็นข้าราชการนะโรส ผมกินเงินเดือนที่ได้จากภาษีของประชาชน ผมต้องทำงานตอบแทนประชาชน”
สุดาวดีพูดหน้านิ่ง “ก็ได้โรสจะตามใจจิ๋น”
จินตวัฒน์ดีใจ “ขอบคุณมากนะโรสที่เข้าใจ”
“โรสจะให้เวลาจิ๋น สามเดือน ให้จิ๋นได้ทำงานที่ตัวเองรัก หลังจากนั้นโรสต้องการคำตอบ ระหว่างโรสกับงาน จิ๋นเลือกที่จะอยู่ข้างไหนมากกว่ากัน”
พูดจบสุดาวดีก็กดวางสายโทรศัพท์ทันที
“โรส..โรส..โรส!!” จินตวัฒน์ต่อโทรศัพท์หาสุดาวดีอีกที
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นหลายครั้ง แต่สุดาวดีกดปิดเครื่อง จินตวัฒน์ยืนถอนใจเซ็งสุดขีดเมื่อได้ยินเสียง “ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก” สุดาวดียิ้มอย่างรู้สึกเป็นต่อเพราะมั่นใจว่าสุดท้ายจินตวัฒน์ก็ต้องกลับมา


วันต่อมา ดาวเรืองยื่นแผ่นกระดาษที่จดรายการยาวเหยียดให้เสมอใจ
“ตามนี้เลย”
เสมอใจก้มดูโพยพอเห็นรายชื่อสมุนไพรต่างๆก็รู้ว่าดาวเรืองจะเอาไปต้มเหล้า
“จะต้มอีกเหรอ ได้ยินพวกชาวบ้านเล่าว่า เมื่อวานตำรวจตามไล่จับถึงที่เลยไม่ใช่เหรอ”
“แล้วมันเล่ารึเปล่าล่ะว่า สุดท้ายใครหน้าแหก” ดาวเรืองว่า
สุวรรณ แหลม และกรอดพกหวีเสยผมอันโตขยับเข้ามาร้องและเต้นเลียนแบบติ๊กชีโร่ แหลม กรอดเป็นแดนเซอร์แบคอัพข้างหลัง
“ฟ้ายังมีหม่น ฝนยังมีวันแล้ง สลากยังมีกินแบ่ง หากจะแบ่งใจนี้ไม่มีทาง”
“หมาขี้เรื้อนที่ไหนมาหอนแถวนี้วะ” ดาวเรืองว่า
“ก็หอนใส่กันทั้งคืน ขอโทษด้วยนะที่ข้าหลับคาโทรศัพท์ไปก่อนน่ะ โทรศัพท์ที่ข้าให้ล่ะไอ้เรือง”
เสมอใจร้อนรนและเริ่มยืนไม่ติดเพราะกลัวความลับแตก
“เดี๋ยวลองไปคุ้ยขยะดูก่อนนะ” เพี้ยนบอก
“ป่านนี้ย่อยเป็นปุ๋ยหมดแล้วมั้งไอ้เพี้ยน..ไป..อย่าตามมานะเว้ย ถ้าตาม แม่จะเตะผ่าหมากให้ช่วงล่างใช้การไม่ได้เลย” ดาวเรืองว่า
ดาวเรืองเดินออกไปกับเพี้ยน
กรอดมองตามอึ้งๆ “ทำไมมันไม่สนพี่วรรณเลยว่ะ”
“นั่นสิ ไม่จี๋จ๋าเหมือนตอนส่งข้อความมาเลยอะ” แหลมบอก
เสมอใจกลัวความแตกจึงรีบพูดสกัด “มันคงไม่อยากให้คนอื่นรู้มั้ง”
สุวรรณโลกสดใสขึ้นมาทันที “เออว่ะ..มันสั่งไม่ให้ข้าบอกความลับเอ็ง ๒ คน” สุวรรณหยุดคิดไปสักพักแล้วหันมาถามเสมอใจ “แล้วเอ็งรู้ความลับข้ากับไอ้เรืองได้ไง มันบอกเอ็งเหรอ”
“ปะ..เปล่า เดาเอา เรืองมันก็ผู้หญิง ทำไมข้าจะเดาใจผู้หญิงด้วยกันไม่ออกล่ะ” เสมอใจแก้ตัว
สุวรรณพยักหน้าหงึกๆ โดยไม่ได้สงสัยอะไรอีก ในขณะที่เสมอใจถอนใจโล่งอกที่รอดไปได้หวุดหวิด


ผันแต่งตัวเตรียมไปฟังจินตวัฒน์พูดเรื่องปุ๋ยด้วยความหงุดหงิด เวียงแต่งตัวเสร็จแล้วเดินมาตรวจความเรียบร้อยให้ผัน
“ทำไมทำหน้าเป็นหมาเหม็นขี้อย่างนั้นล่ะพี่ผัน”
“เบื่อไอ้ปลัดน่ะสิ ! นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยกำพลจะไปร่วมฟังประชุมด้วย พี่ไม่มีวันจากไอ้โต้งไปแน่ วันนี้มีไฟท์สำคัญซะด้วย”
“อ้าว นี่เสี่ยกำพลไปด้วยเหรอ ?”
“ใช่ ! เมื่อวานพี่โทรไปบอกเสี่ยว่าไอ้ปลัดมันจะทำปุ๋ยชีวภาพแข่งกับปุ๋ยของเสี่ยแทนที่เสี่ยจะรำคาญ เสี่ยกลับเห็นเป็นเรื่องดี แถมยังจะมาฟังไอ้ปลัดวันนี้ด้วย”
เวียงคิด “เสี่ยมีแผนอะไรรึเปล่า ?”
“แม่เวียงอย่าว่าเสี่ยกำพลอย่างนั้นนะ เสี่ยเป็นคนดี ไม่มีแผนอะไรกับใคร อย่าลืมสิว่าที่บ้านเรามีกินมีใช้ก็เพราะเสี่ยช่วยเหลือทั้งนั้น” ผันบอก
“ฉันก็แค่สงสัย ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”

ดาวเรืองกลับเข้าบ้านมาเห็นบานชื่นกำลังออกจากบ้านจะไปประชุม
“ไอ้เรือง มาเร็ว รีบไปประชุม จวนได้เวลาแล้ว”
ดาวเรืองงง “ประชุมอะไร”
“อ้าว..ที่ข้าบอกเอ็งเมื่อคืนไง เรื่องที่เขาอุตส่าห์มาเชิญเราไปประชุมคณะกรรมการหมู่บ้านน่ะ เอ็งไม่ได้ยินเหรอ”
“ได้ยิน แต่ฟังหูซ้ายทะลุหูขวาออกไปแล้ว แม่ก็ไปเชื่อมันทำไม๊ มันอ้างงานบังหน้าเพื่อมาดูลาดเลาที่บ้าน หรือไม่ก็มาสืบน่ะสิว่า ฉันไปทำอะไรที่ไหนบ้าง”
“ไม่มั้ง”
“แม่ล่ะก็..ซื่ออออ ให้มันหลอกใช้”
บานชื่นเท้าเอวชี้หน้าด่าเพราะของขึ้น “อ้าว..ไอ้ลูกเวร เอาขี้เถายัดปากตอนนี้ทันมั้ย”
“แต่ก็น่าสงสัยอย่างที่พี่เรืองว่านะป้าบาน ตั้งแต่ไอ้ปลัดมันมาอยู่นี่ พี่เรืองงานเข้าตลอด” เพี้ยนบอก
“ก็ลองไปฟังเขาก่อน ถ้าเขาไม่ตั้งใจจริง เขาจะเทียวมาชวนทำไมวะตั้งสองสามหน เมื่อกี้ก็แวะมา”
“แส่ดีนัก เตือนดีๆแล้วไม่ฟัง เดี๋ยวจัดให้” ดาวเรืองว่า


คณะกรรมการหมู่บ้านทุกคนมานั่งร่วมโต๊ะกันยกเว้นกำพลและผัน
“พี่ผันไปไหนเนี่ย ?” เวียงถาม
ดาวเรืองแทรกขึ้น “ไปหาเมียใหม่รึเปล่า”
“นั่นสิ เห็นบ่นว่าได้เบอร์สิบ ไม่รู้ผู้ชายมันไม่รู้จักพอ หรือไอ้ที่มีอยู่มันเสื่อมจนไม่อยากไซร้ก็ไม่รู้เนอะ ฮ่าๆๆ” บานชื่นบอก ไสวหัวเราะเสียงดังสะใจ
“หัวเราะเสียงดังไปรึเปล่านังไหว” เวียงฉุน
“ก็แม่บานพูดถูกใจฉันมาก ฉันก็เลยหัวเราะเสียงดังมาก”
เสมอใจปราม “ไม่เอาน่าป้าไหว”
“แล้วตกลงผู้ใหญ่ผันไปไหน ถ้าช้านัก อาตมาจะให้คุณปลัดเปิดการประชุมก่อนนะ” พระครูจ้อยบอก
ทันใดนั้นเสียงผันก็ดังขึ้น
“เชิญครับเสี่ย..เชิญทางนี้เลยครับ”
ทุกคนหันไปมองเห็นผันเดินนำกำพลเข้ามา
กำพลยกมือไหว้ทุกคน “สวัสดีครับทุกคน ขอโทษทีที่ผมมาสายไปหน่อย สวัสดีครับคุณปลัด ได้ยินชื่ออยู่ เพิ่งจะเจอตัววันนี้เอง ยังหนุ่มอยู่เลยนะ”
“ผมขอขอบคุณอีกครั้งสำหรับกระเช้าผลไม้นั้น ส่วนอย่างอื่น ลูกน้องเสี่ยคงบอกแล้วว่าผมไม่รับ”
กำพลมองจินตวัฒน์ที่จงใจประกาศจุดยืนของตัวเองต่อหน้าทุกคน “ครับ และผมก็ดีใจที่ผมลองใจคนไม่ผิด”
“ลองใจ ?” จินตวัฒน์ยิ้ม “ผมดีใจนะครับว่านั่นเป็นแค่ของลองใจ ไม่ใช่ของจริง”
บานชื่นกระซิบถามดาวเรือง “เขาคุยกันเรื่องอะไรวะ”
“แม่อยากรู้.. ฉันถามให้เอาไหม” ดาวเรืองจะอ้าปากถาม แต่บานชื่นปิดปากเอาไว้ทัน
กำพลมองกำนันเทิ้ม “อ้าว..กำนันก็มาด้วยเหรอ ? ได้ข่าวว่าเจ็บอยู่ นึกว่าจะนอนรักษาตัวอยู่บ้าน”
“แผลแค่นั้นสิวๆ ไอ้พวกที่ทำมันกระจอก ! ไร้ฝีมือ ! จะเก็บคนทั้งที ทำได้แค่ยิงเฉียดๆ” เทิ้มคุยทับ
หลวงตาคงถอนใจด้วยความเอือมระอา “ปากดีจริงๆ อย่างนี้ไงถึงโดนยิงเป็นประเพณี”
“เอ้า ! ยังไงล่ะคุณปลัด ! นัดมาประชุม แล้วจะพูดอะไรก็ว่ามาสิ” ดาวเรืองเร่ง
“ใจเย็นๆสิไอ้เรือง ให้เวลาคุณปลัดเตรียมตัวหน่อย คนเพิ่งทำงาน คงตื่นเต้นอยู่” กำพลว่า
ทุกคนในห้องประชุมหัวเราะ จินตวัฒน์ลุกขึ้นแล้วเปิดแฟ้มอ่าน
“ก่อนอื่นผมขอขอบคุณทุกคนที่เสียสละเวลามาประชุม เรื่องที่ผมจะคุยวันนี้ ผมวางแผนไว้ว่าจะใช้ลานวัดเป็นที่ทำการสาธิตและอบรมการทำปุ๋ยชีวภาพกับชาวบ้าน”
ผันพูดแทรก “เชื่อผมเถอะว่าไม่มีใครสนใจหรอก”
“ก็ไม่แน่นะพี่ผัน ฉันยังสนใจเลย” เวียงบอก
ผันทำหน้าเซ็ง บานชื่นหัวเราะ
“มาจากบ้านเดียวกันรึเปล่าเนี่ย ผัวเมียคู่นี้” บานชื่นแขวะ
“ผมทำแผนงบประมาณมาให้ทุกคนแล้ว มันไม่เยอะเลย เพราะวัตถุดิบที่ใช้ เป็นของเหลือใช้ทั้งนั้น” จินตวัฒน์บอก
“ถึงคุณปลัดจะบอกว่าใช้งบไม่มาก มันก็ถือว่าเป็นเงินอยู่ดีนะ อย่าหาว่าผมจุกจิกเลยนะ แต่ผมเป็นตัวแทนดูแลเงินแทนลูกบ้าน จะใช้จ่ายอะไรก็ต้องตรวจสอบรอบคอบหน่อย” ผันบอก
“แล้วที่เอาเงินไปซื้อเมล็ดพืชแล้วได้ของเน่าหมด นั่นตรวจสอบรอบคอบมากเลยเนอะ” บานชื่นว่า
“ฮ่าๆๆๆ สะใจเว้ย เห็นไอ้เรืองร้าย เจอแม่ไอ้เรืองร้ายกว่าโว้ย” ดาวเรืองข่ม
“เอ่อ นั่นไม่ใช่ความผิดฉันนะจ้ะแม่บานชื่น หลวงตาคงมันหาที่เก็บไม่ดีเอง” ผันโบ้ย
“เฮ้ย ! โยนความผิดกันซึ่งๆหน้าเลยเหรอ ?! เมล็ดนั่นมันเน่าก่อนจะมาถึงมือฉันอีก พูดไม่เข้าหู เดี๋ยวเสกหนังหมูติดคอเสียนี่” หลวงตาคงขู่
จินตวัฒน์พยายามจะห้าม “เอ่อ..”
“ไม่กลัวเว้ย ! เห็นขู่มาหลายครั้ง เคยทำได้สักครั้งไหม ! ไอ้หมอผีเก๊” ผันด่า
จินตวัฒน์พยายามจะห้าม “เอ่อ..ทุกคน หยุดก่อนครับ”
กำพลตบโต๊ะ “หยุด !”

ทุกคนเงียบกริบแล้วมองไปที่กำพล กำพลทำหน้านิ่งแล้วหันมายิ้มให้ทุกคนก่อนพูด
“ใครจะสนับสนุนโครงการของคุณปลัดหรือไม่ ฉันไม่สน แต่ฉันสนับสนุน”
ผันพูดแทรก “แต่เสี่ยครับ..”
“ฉันก็สนับสนุน” บานชื่นรีบบอก
พระครูจ้อยพูด “อาตมาด้วย”
“ฉันด้วย” ไสวยกมือ
หลวงตาคงทำท่าพยักหน้าเหมือนได้ยินใครกระซิบข้างหู “เจ้าแม่บอกว่าเห็นด้วย”
เวียง บุญปลีกและบุญปลอดมองหลวงตาคงแล้วสุมหัวกระซิบกันแล้วหันมาพูดกับผัน
“เราเห็นด้วยกับเจ้าแม่”
ผันมองทุกคนอย่างเซ็งๆ แล้วมองดาวเรือง
“ไอ้เรืองว่ายังไง ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ”
ผันเชื่อว่าดาวเรืองต้องบอกไม่เห็นด้วยแน่ๆ จึงพูดเช่นนั้น จินตวัฒน์มองดาวเรืองว่าจะว่ายังไง
“ฉันเห็นด้วย” ดาวเรืองพูด
ผันงง “อ้าว !!”
ดาวเรืองพูดโอเว่อร์ “เรื่องดีๆอย่างนี้ ไอ้เรืองสนับสนุนอยู่แล้ว คุณปลัดบอกมาจะให้ไอ้เรืองทำอะไร ไอ้เรืองช่วยเต็มที่”
จินตวัฒน์ดีใจ “ขอบใจมากนะ”
ดาวเรืองยิ้มเป็นมิตรแบบโอเว่อร์ กำพลมองดาวเรืองแล้วก็รู้ว่าดาวเรืองกำลังคิดวางแผนป่วนแน่นอน


กำพลเดินมาขึ้นรถโดยมีผันเดินตามมาด้วย
“ทำไมเสี่ยยอมไอ้ปลัดนั่นล่ะครับ ถ้าเกิดชาวบ้านติดใจขึ้นมา ปุ๋ยเคมีเราก็ขายไม่ออกนะครับ”
“ผู้ใหญ่พูดเหมือนไม่รู้จักลูกบ้านตัวเอง ชาวบ้านรักความสบายกันจะตาย ไม่มีใครลุกขึ้นมาบ้าไปกับปลัดนั่นหรอก”
“แต่ถ้าไอ้ปลัดนั่นยุชาวบ้านได้ล่ะครับ”
“เชื่อเถอะว่าไม่มีวันนั้น เราอยู่ในฐานะพระเอก เราต้องรู้จักวางตัวในที่ที่เหมาะสม ปล่อยให้ตัวร้ายมันจัดการทำลายทุกอย่างไป”
ผันงง “เสี่ยหมายถึงใครครับ ?”
กำพลหัวเราะ “ผู้ใหญ่นี่ไม่รู้จักลูกบ้านตัวเองจริงๆ”
กำพลเดินขึ้นรถไป
ผันคิด “ใครจะขัดขวางงานไอ้ปลัดวะ”


ผันเดินกลับเข้าบ้านมากับเวียง บุญปลีก และบุญปลอด สุวรรณนั่งกดดูข้อความในโทรศัพท์ด้วยท่าทางฝันหวานอยู่ที่มุมหนึ่ง
ผันบ่น “ไอ้ปลัดนี่มาไม่ทันไร ทำเป็นไฟแรง เดือดร้อนพวกเราหนักเลยที่นี่”
“ก็ดีแล้วนี่ จะได้ทำงานซะบ้าง แถวนี้มีแต่พวกงานกลางแดดไม่ยุ่ง มุ่งกางมุ้งอย่างเดียว” เวียงหันมาเห็นสุวรรณก็เลยเอ็ด “ไอ้นี่ก็อีกคน กิน นอน ขี้ เยี่ยวแล้วก็โทรศัพท์ ออกไปทำประโยชน์เหมือนลูกคนอื่นบ้างได้มั้ย”
“แม่จะให้หนูไปทำอะไร หนูออกไปแม่ก็ด่าว่าไปทำชาวบ้านเดือดร้อน” สุวรรณบอก
“ก็เอ็งเที่ยวไปเตะหมา ถีบแมว ขโมยไก่เขาไม่เว้นแต่ละวันนี่เว้ย พรุ่งนี้เอ็งเอารถไปป่าวประกาศให้ทุกรู้เลยนะว่า วันมะรืนจะมีอบรมทำปุ๋ยที่วัด”
“ไม่เอา ขี้เกียจ”
“ไปหน่อยเถอะว่ะ เห็นแก่หน้าข้าบ้าง” ผันขอ
สุวรรณยืนกราน “ไม่ๆๆๆๆ”
“งั้นก็เห็นแก่หน้าแม่” เวียงขอ
“ไม่ๆๆๆๆ”
บุญปลีกพูด “แต่ไอ้เรืองมันไปด้วยนะ”
“ไม่ๆๆๆๆ” สุวรรณรู้สึกตัว “ไม่..ไม่ไปไม่ได้แล้ว”
“เห็นผู้หญิงอื่นดีกว่าแม่ในไส้ นิสัยเหมือนพ่อมันไม่มีผิด” เวียงว่า
สุวรรณเข้ามากอดอ้อน “อย่างอน งอนแล้วหน้าเหี่ยวนมยาน”
เวียงยิ้มยืดอกตึงทำตาแป๋วแหววขึ้นมาทันที


เช้าวันใหม่ รถกระบะคันหนึ่งติดเครื่องขยายเสียงแล่นมาตามถนนผ่ากลางหมู่บ้าน ชาวบ้านเดินออกมายืนฟังหน้าบ้านบ้าง เกาะรั้วฟังบ้าง นั่งและนอนฟังบ้าง
แหลมเป็นคนขับรถคันนั้นโดยมีกรอดนั่งข้างๆ ดาวเรืองป่าวประกาศออกไมโครโฟนปาวๆ ด้วยท่าทางจริงจังราวกับส.สกำลังหาเสียงอยู่ที่ท้ายกระบะ โดยมีสุวรรณ เสมอใจและเพี้ยนยืนเชียร์อยู่ข้างๆ
“กราบสวัสดี พ่อแม่พี่น้องปู่ย่าตายายลุงป้าน้าอาที่รักและเคารพทั้งหลาย ฉัน..ไอ้เรืองลูกแม่บานขอประกาศเชิญชวนให้ทุกคนมาร่วมอบรมการทำปุ๋ยชีวภาพ และอาหารเป็ดไก่สูตรประหยัดเข้ายุคเศรษฐกิจพอเพียงของปลัดจินตวัฒน์แห่งอำเภอดอนพัฒนา ปลัดท่านกรุณายกให้บ้านดอนล้อมแรดของเราเป็นหมู่บ้านต้นแบบ เพราะฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะต้องผนึกกำลัง ร่วมแรงร่วมใจออกมาพัฒนาหมู่บ้านของเรา พรุ่งนี้แปดโมงเช้า เชิญทุกคนมาร่วมเปิดงานและชมการสาธิตที่ลานวัดดอนล้อมแรดโดยพร้อมเพรียงกัน”
ระหว่างที่รถเคลื่อนผ่านมาตามถนน ดาวเรืองก็พูดมาเรื่อยๆ พระครูจ้อย หลวงตาคง บานชื่น ไสว ผัน และเวียงชะเง้อมองไปที่รถที่กำลังเคลื่อนเข้ามา
หลวงตาคงเอ่ยชม “ไอ้เรืองนี่มันคิดดีทำดีกับเขาก็เป็นนะ”
บานชื่นรีบบอก “ก็แม่มันสอนมาดี”
“แต่เที่ยวนี้มัน..ดีไปมั้ย” ผันว่า
พระครูจ้อยแอบด่าน้องชาย “ก็พอกับลูกโยมล่ะนะ”
รถเคลื่อนเข้ามาใกล้กลุ่มนี้ ในจังหวะที่ดาวเรืองพูดจบพอดี
ดาวเรืองสั่ง “เอ้า..มิวสิค!!”
ดาวเรืองส่งไมโครโฟนให้สุวรรณแล้วเปิดเพลง สุวรรณทั้งร้องทั้งดิ้นแบบจัดเต็ม โดยมีดาวเรือง กับเพี้ยนดิ้นประกบเป็นไส้เดือนคลุกขี้เถ้าอยู่ข้างๆ ในขณะที่เสมอใจได้แต่ยืนมองเพราะอาย
“ไอ้หนูวรรณนี่มันหล่อเหมือนพ่อ จิ้มลิ้มเหมือนแม่จริงจริ๊ง” เวียงชมลูกตัวเอง
“นังเหมอก็หว๊านหวาน กิริยางามเหมือนป้ามันไม่มีผิด” ไสวชมหลานตัวเอง
พระครูจ้อย หลวงตาคง และผันหันมามองสองสาวที่เห่อลูกหลานอย่างเซ็งๆ

อ่านต่อหน้าที่ 3


ดาวเรือง ตอนที่ 3 (ต่อ)
จินตวัฒน์ยืนสุมหัวแจงงานให้กำจร และเจ้าหน้าที่ในอำเภอ ๒-๓ คน
“พวกมูลสัตว์ ขยะสดที่เป็นเศษอาหาร เศษผักผลไม้ เศษกิ่งไม้ใบไม้แห้ง สมนึกรับไปจัดการแล้วกันนะ”
สมนึกรีบอย่างขอไปที “ครับ”
“บรรจง ไปหาแกลบเผา รำละเอียด แล้วก็หยวกกล้วยให้ผม ส่วนนายจรไปที่กรมพัฒนาที่ดินที่จังหวัด บอกเขาว่ามารับ “ไบโอนิค เอฟ 60”
กำจรหูหนาตาเล่อ “ห๊า..อะไรนะครับ”
จินตวัฒน์พูดอีกครั้ง “ไบโอนิค เอฟ 60”
“ไบ..โอ..นิค..เอ..เอ่อ..ของ่ายๆได้มั้ย” กำจรบอก
จินตวัฒน์แอบขำ “ท่อง A ถึง Z ได้”
กำจรตอบเสียงหนักแน่น “เป๊ะ”
“งั้นบอกเขาว่ามารับ อีเอ็ม”
“โธ่..มีชื่อเล่นก็ไม่บอกตั้งแต่แรก”
กำจรเดินท่องอีเอ็ม..อีเอ็ม..อีเอ็ม.. ในขณะที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขากดรับสายก่อนจะเดินไป
จินตวัฒน์หันกลับมาที่กลุ่มเจ้าหน้าที่และกำลังจะคุยงานต่อ แต่แล้วกำจรก็วิ่งตาเหลือกเข้ามา
“แย่แล้วคร้าบ”
จินตวัฒน์คิดว่ากำจรลืม “อีเอ็ม สองคำ จำไม่ได้รึไง”
“ไม่ใช่เรื่อง อีเอ็ม แต่เป็น ไอ้เรือง ครับ เพื่อนผมโทรมาบอกว่ามันยกขบวนมาที่ตลาด ตอนนี้คุณปลัดดังไปทั้งอำเภอแล้วครับ”
จินตวัฒน์งง “ดัง..เรื่องอะไรอีก”


กำจรเดินนำจินตวัฒน์และไพศาลแหวกผู้คนที่ยืนออออกมาที่ฟุตบาท ทุกคนมุงดูรถกระบะผู้ใหญ่ผันที่เปิดเครื่องเสียงกระหึ่มขับผ่าเข้ามากลางตลาด สุวรรณซึ่งยืนอยู่ท้ายกระบะกับดาวเรือง เสมอใจและเพี้ยนกำลังร้องเพลงและเต้นอย่างเมามัน ดาวเรืองหันมาเห็นจินตวัฒน์ก็รีบดึงไมโครโฟนจากมือสุวรรณมาประกาศกับทุกคนเสียงดังฟังชัด
“ชาวดอนล้อมแรดขอเชิญชวนพี่น้องที่ดอนพัฒนา ให้มารวมตัวทำกิจกรรมร่วมกันที่ลานวัดดอนล้อมแรดในวันพรุ่งนี้ แปดโมงตรง หลงตาคงแจกเหรียญมหามงคลรุ่นปลุกเสกแล้วปลุกเสกอีกให้ทุกคนที่ไปร่วมงาน” ดาวเรืองสบตาจินตวัฒน์ “ใครไม่ไปดูผลงานปลัดใหม่แล้วจะไสเจีย..เสียใจ”
ดาวเรืองยักคิ้วให้จินตวัฒน์อีกครั้งก่อนที่รถจะเคลื่อนห่างออกไป
“มันจะดีไปไหน น่าสงสัยนะเนี่ย” กำจรว่า
“น้าบานชื่นคงจะกล่อมจนยอมมาถึงนี่” จินตวัฒน์บอก
จินตวัฒน์มองตามดาวเรืองไปอย่างไม่แน่ใจว่าดาวเรืองมาช่วยเพราะโดนแม่บังคับหรือเพราะอะไรกันแน่

กำจรถือถ้วยกาแฟลงมาจากบ้านแล้วเดินมายื่นให้จินตวัฒน์ซึ่งกำลังนอนอ่านเอกสารเรื่องปุ๋ยและอาหารเป็ด ไก่อยู่ที่เปลญวนที่ผูกไว้กับต้นไม้สำหรับนั่งรับลมริมน้ำ
“กาแฟร้อนหลังมื้อเย็นครับคุณปลัด”
“ขอบใจนะ” จินตวัฒน์รับกาแฟมาจิบแล้วก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารในมือต่อ
กำจรแซว “เตรียมเอ็นฯเหรอครับ”
“ทบทวนความจำ จะได้ไม่พลาด”
กำจรพยักหน้าหงึกๆ แล้วเหลือบเห็นเด็กหญิงหน้าตาน่าเอ็นดูคนหนึ่งเดินถือขนมครกใส่จานใบตองเข้ามา
“อ้าว มะเฟืองมาทำไมจ้ะ” กำจรทัก
มะเฟืองพูดเสียงอ่อนหวาน “แม่ให้เอาขนมครกมาให้คุณปลัดชิมค่ะ แม่เห็นคุณปลัดที่ตลาดแล้วแม่ศรัทธาค่ะ”
จินตวัฒน์ยิ้มแก้มปริก่อนจะรับขนมครกมา “ขอบใจมากนะ” จินตวัฒน์หยิบขนมครกขึ้นชิม “อื้ม..อร่อย”
“ถ้าอร่อยต้องกินให้หมดเลยนะคะ แม่หนูจะได้ดีใจ หนูกลับก่อนนะคะ”
มะเฟืองยกมือไหว้งามหยดก่อนจะวิ่งออกไป
“มายังไม่ทันถึงอาทิตย์ ได้เป็นขวัญใจคนดอนพัฒนาแล้วนะครับเนี่ย” กำจรบอก
จินตวัฒน์ยื่นขนมครกให้กำจร “กินด้วยกันสิ”
“ไม่ล่ะครับ ผมว่าจะแวะไปหาเหล้า เอ๊ย ของหวานในตลาดกระแทกปากสักหน่อย แล้วจะกลับมาค้างที่นี่ คุณปลัดจะเอาอะไรมั้ยครับ เดี๋ยวผมซื้อมาฝาก”
“ไม่ล่ะ รีบไปรีบกลับก็แล้วกัน พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”
กำจรตอบอย่างแข็งขัน “ครับ”
กำจรเดินทำท่าเปรี้ยวปากออกไป จินตวัฒน์นั่งกินขนมครกไปอ่านเอกสารที่อยู่ในมือไป


มะเฟืองยิ้มอ่อนหวานยืนพูดประโยคเดียว กิริยาเดียวกับที่พูดกับจินตวัฒน์เมื่อครู่นี้อยู่ที่สนามเด็กเล่น
“แม่ให้เอาขนมครกมาให้คุณปลัดชิมค่ะ แม่เห็นคุณปลัดที่ตลาดแล้วแม่ศรัทธาค่ะ”
ดาวเรืองกับเพี้ยนที่นั่งฟังอยู่ขำก๊าก
“เอ็งพูดคะขา มืออ่อนตีนอ่อนได้ขนาดนี้เลยเหรอนังมะเฟือง” ดาวเรืองถาม
มะเฟืองกลายร่างจากแม่พลอยสี่แผ่นดินในวัยเด็กกลายเป็นดาวเรืองขนาดมินิในบัดดล
“โห่..ทำไมจะไม่ได้ล่ะพี่เรือง ไม่งั้นไอ้ปลัดมันจะเชื่อแล้วกินเอาๆเหรอ”
“โม้เปล่าวะ กินหมดเปล่า” เพี้ยนถาม
“ทำไมจะไม่หมด ข้าแอบดูอยู่ ถ้ากินใบตองได้ก็คงกินเข้าไปด้วยแล้ว”
ดาวเรืองขำก๊ากแล้วล้วงเงินในกระเป๋าส่งให้มะเฟือง ๒๐ บาท “ดีมาก เอ้า..ค่าจ้าง”
มะเฟืองยื่นมือออกมาคว้าหมับ แต่ดาวเรืองชักมือกลับ
“ผู้ใหญ่ให้ของต้องทำยังไงก่อน” ดาวเรืองถาม
“ประโยคนี้คุ้นๆว่าพี่เรืองเคยโดนปลัดสอนมานะ” เพี้ยนว่า
ดาวเรืองฉุกคิดขึ้นมาได้เลยเสยกะโหลกเพี้ยนแก้หน้าแตก
มะเฟืองยกมือไหว้แบบลวกๆ “เอ้า..ไหว้แล้วไง” ดาวเรืองยื่นเงินให้ “มีอะไรเรียกใช้ได้อีกนะพี่”
มะเฟืองมองเงินในมือแล้วยิ้มร่าก่อนจะวิ่งเป็นลิงออกไป
“หลับเป็นตายแน่..คุณปลัด” เพี้ยนว่า
“จะเหลือเร้อ”
ดาวเรืองยิ้มกริ่มเจ้าเล่ห์

จินตวัฒน์กดตั้งนาฬิกาปลุกที่โทรศัพท์ตอนตี ๕.๔๕ แล้วก็หาวหวอดก่อนจะล้มตึงลงบนที่นอนแล้วหลับเป็นตาย

กำจรเดินมึนๆเซๆเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์มาตามทาง ดาวเรืองกับเพี้ยนก้าวเข้ามา
กำจรหรี่ตามอง แล้วขยี้ตา “เอ็ง ๒ คนมาทำอะไรแถวนี้”
“กำลังหาคนลองชิมสูตรใหม่” ดาวเรืองบอก
กำจรมองแล้วชะงักทันที
“เพิ่งต้มมาใหม่ แร๊งงงแบบจุดไฟติดพรึบๆเลย เอ..หรือจะเป็นน้าจรดีพี่เรือง” เพี้ยนทำเป็นถาม
กำจรกลืนน้ำลาย
ดาวเรืองแกล้งยั่ว “โอ๊ย น้าจรเขากินไม่ได้หรอก พรุ่งนี้เค้ามีอบรมปุ๋ยกับคุณปลัดแต่เช้า”
กำจรตอบทันที “กิน!”
ดาวเรืองกับเพี้ยนตอบพร้อมกัน “ฮื่อ”
ดาวเรืองพูดต่อ “ถึงกินก็กินแค่แก้วสองแก้ว”
กำจรตอบทันที “ทั้งขวด”
ดาวเรืองกับเพี้ยนตอบพร้อมกัน “ฮื่อ”
“ตกใจทำไม พวกเอ็งก็รู้ว่าข้าเป็นคนมีความรับผิดชอบ กินเยอะขนาดไหน ข้าก็ตื่นไหว”
กำจรมองขวดเหล้าในมือดาวเรือง ดาวเรืองกับเพี้ยนสบตากันแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์

ดาวเรืองกับเพี้ยนเดินสะบัดแขนขาเหมือนจะล้าแต่กลับมีหน้าระรื่นในขณะกลับเข้าบ้าน
“มันคงหลับเป็นตายนะพี่ ขนาดตอกโป๊กๆตั้งหลายโป๊ก มันยังไม่รู้ตัวเลย”
“เออ..ไอ้น้าจรก็ตัวหนักชิปเป๋ง อ้วกแตกอีกต่างหาก” ดาวเรืองว่า
เพี้ยนนึกขึ้นได้ “เฮ้ย..แล้วเรื่องนาฬิกาปลุก”
“มันตั้งปลุกที่โทรศัพท์ ข้าจัดการแล้ว”
เพี้ยนชม “รอบคอบ”
“พรุ่งนี้ค่อยไปแอบดูมัน มันส์แน่!”
ทั้งลูกพี่ลูกน้องหัวเราะฉลองชัยล่วงหน้า
บานชื่นยื่นหน้าเข้ามา
“หัวเราะอะไรกัน” บานชื่นมองอย่างจับผิด “หรือไปก่อเรื่องอะไรกันอีก”
“โห แม่...แม่ไปสนิทกับอีตาปลัดมากไปหรือเปล่าเนี่ย ติดนิสัยจับผิดมาด้วยแล้วนะ ฉันก็ทำอะไรดีๆเป็นนะแม่ เมื่อกี้ฉันแค่หัวเราะดีใจที่ได้ไปช่วยประกาศให้ชาวบ้านมาทำปุ๋ยวันพรุ่งนี้”
บานชื่นมองอย่างจับผิด “เหรอ...แน่นะ”
ดาวเรืองกับเพี้ยนพยักหน้า
“เออ คิดได้อย่างนั้นก็ดี คุณปลัดเขาคิดดีทำดี เอ็งช่วยเขาก็พลอยได้ดีไปด้วย”
บานชื่นเดินเข้าบ้านไป ดาวเรืองกับเพี้ยนโล่งอก
“เกือบโดนจับได้แล้วไหมล่ะพี่เรือง ไม่งั้นโดนป้าบานด่าเละแน่”
“ไม่ใช่เราสองคนหรอกที่จะโดนด่า ไอ้ปลัดต่างหากที่จะโดนด่า...พรุ่งนี้” ดาวเรืองมั่นใจ
ดาวเรืองกับเพี้ยนหัวเราะกันคิกคัก

เช้าวันใหม่ ป้ายผ้าขึงกางหราขนาดใหญ่ยักษ์เขียนว่า “ งานอบรมปุ๋ยหมักชีวภาพและอาหารสัตว์ครั้งที่ ๑ “ จัดโดยอำเภอดอนพัฒนา นายอำเภอไพศาลและภรรยาเป็นประธานเปิดงาน
เทิ้มเดินเข้าไปหาพระครูจ้อยที่เดินตรวจความเรียบร้อยบริเวณงาน โดยมีชาวบ้าน ๕ คน
ช่วยกันลำเลียงส่วนผสมปุ๋ยและอาหารสัตว์ขึ้นวางบนโต๊ะ กลางลานมีกระบะขนาดใหญ่สำหรับคลุกส่วนผสมต่างๆวางพร้อมอยู่แล้ว
เทิ้มยกมือไหว้ “นมัสการครับหลวงพ่อ มีอะไรให้ผมช่วยมั้ยครับ”
“ไม่มีหรอก เมื่อวานก็ช่วยกันเตรียมหมดแล้วนี่นะ เหลือแต่พวกส่วนผสมที่พวกโยมทยอยขนมานี่ล่ะ คุณปลัดกับนายอำเภอจะมากี่โมง กำนันรู้มั้ย” พระครูจ้อยถาม
“คงมาตอนอีก ๕ นาทีเปิดงานน่ะครับ ตัดริ้บบิ้นฉับพูดเปิดงานเสร็จก็กลับ ปล่อยให้เจ้าปลัดไก่อ่อนสอนชาวบ้านไป” เทิ้มบอก
พระครูจ้อยถอนใจอย่างปลงๆ กับทัศนคติของกำนันเทิ้ม
“วันนี้ฤกษ์งามยามดี อย่าปล่อยให้อคติมาครอบใจให้ขุ่นมัวแต่เช้าเลยนะ”
เทศนาเสร็จพระครูจ้อยก็เดินไปคุยกับชาวบ้าน ทิ้งให้เทิ้มยืนหน้าม้านอยู่คนเดียว

จินตวัฒน์ขยับตัวงัวเงียตื่น โทรศัพท์ยังหล่นอยู่ข้างตัว เขาค่อยๆลุกขึ้นเห็นห้องสว่างแล้วก็แปลกใจ จินตวัฒน์คว้าโทรศัพท์ที่ตั้งปลุกขึ้นมาดูแล้วก็แปลกใจหนักเมื่อเห็นหน้าจอดำมืด
“แบตหมด เมื่อคืนชาร์ทเต็มแล้วนี่”
จินตวัฒน์กดเปิดเครื่อง สักครู่ไฟหน้าจอก็ทำงาน แบตเต็มแต่ที่มุมบนของจอโทรศัพท์บอกเวลา ๗.๓๐ น.
“เจ็ดโมงครึ่ง เฮ้ย!!”
จินตวัฒน์กระเด้งขึ้นมาจากเตียงแล้ววิ่งไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่ตากอยู่มุมห้องวิ่งเข้าห้องน้ำไป

หลวงตาคงเดินมุ่งหน้ามาที่ลานวัดจนมาเจอแก็งค์ผันกับเมียทั้ง๖ กลางทาง
“แม่เจ้าโว้ย จะตั้งทีมฟุตบอลกันรึไงวะ” หลวงตาคงแซว
ผันไม่พอใจ “อิจฉาล่ะสิ”
“ข้าไม่ได้มักมากเหมือนเอ็งนี่”
ผันพูดเสียงดัง “พูดอย่างงี้ อยากมีเรื่องรึไงวะ!”
เวียงห้ามปราม “หยุดดด..อย่าทะเลาะกันเพื่อแย่งฉันอีกเลยนะ ขอร้อง”เวียงพูดกับคง “ถึงฉันจะเคยเป็นแฟนคลับหลวงพี่ แต่ตอนนี้ฉันมีลูกผัวแล้ว พี่ผันก็เหมือนกัน ลูกโตจนหมาเลียตูดไม่ถึง แล้วยังจะมาหึงเมียอยู่ได้”
ผันปฏิเสธเสียงดัง “ใครหึง พี่ไม่ได้หึง หรือเอ็งหึง”
หลวงตาคงรีบปฏิเสธ “ข้าไม่ได้เป็นผัวเมียเอ็งนี่ ข้าจะไปหึงให้ศีลเสื่อมทำไม”
บุญปลอดสรุป “ตกลงไม่มีใครหึง”
ทุกคนยกเว้นเวียง พร้อมใจกันประสานเสียง “ถูก!”
เวียงหน้าแตก “จะมาแหกปากหาสวรรค์วิมานอะไรตรงนี้ อยากขึ้นสวรรค์ก็ไปช่วยงานเขาตรงโน้น”
เวียงเดินสะบัดตูดนำทุกคนมุ่งไปหาพระครูจ้อยและเทิ้มที่ยืนคุยอยู่กับชาวบ้านไกลๆ


จินตวัฒน์นุ่งผ้าเช็ดตัววิ่งหอบชุดนอนในสภาพตัวเปียกหัวเปียกออกมาจากห้องน้ำ แล้ววิ่งมาเปิดตู้ หยิบเสื้อผ้าออกจากตู้ก่อนจะวางลงบนเตียง ดาวเรืองเอาตาแนบรอยแตกที่เป็นร่องเล็กๆที่ผนังห้องแอบดู
เพี้ยนสะกิดแล้วกระซิบถาม “เป็นไงพี่”
ดาวเรืองหันมาตอบพร้อมหัวเราะคิกคัก “ลนลานยิ่งกว่าหนูถีบจักรอีกว่ะ”
จินตวัฒน์ดึงผ้าเช็ดตัวที่นุ่งอยู่ขึ้นมาเช็ดตัวแล้วโยนผ้าลงบนเตียง ดาวเรืองเอาหน้ามาแนบดูที่รูโหว่อีกครั้ง ลูกตาดาวเรืองกำลังโฟกัสอะไรบางอย่าง ครู่เดียวตาของดาวเรืองก็เบิกโพลงยิ่งกว่าใส่บิ๊กอาย เมื่อเห็นร่างจินตวัฒน์เปลือยเปล่า จินตวัฒน์กำลังยงโย้ยงหยกใส่กางเกงโดยหันหน้าไปทางดาวเรือง
ดาวเรืองพลิกตัวกลับมาทำท่าจะแหกปากด่าดีที่เอามือปิดปากตัวเองไว้ทัน
“เป็นอะไรพี่เรือง โมโหอะไร ทำไมหน้าแดงปากสั่น” เพี้ยนถาม
ดาวเรืองสบถ “ซวยแต่เช้า!”
“ไหน ดูบ้าง”
ดาวเรืองบีบเสียง “ไม่ต้อง ประตูน่ะล็อกแน่น แต่เอ็งแน่ใจนะว่าหน้าต่างไม่มีปัญหา”
“อิโธ่..ไปดูให้เห็นกับตาเลยไป”
เพี้ยนดึงมือดาวเรืองออกมา หน้าประตูบ้านมีแม่กุญแจคล้องและล็อกปิดไว้แน่นหนา


จินตวัฒน์ซึ่งสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ววิ่งมาหวีผมก่อนจะวิ่งไปที่ประตูแล้วปลดกลอน เขาขยับจะเปิดประตูออกแต่ก็เปิดไม่ได้ จินตวัฒน์ชะงักแล้วหันไปมองรอบๆ ห้อง เขาเพิ่งสังเกตว่าหน้าต่างปิดงับเข้ามาหมดทุกบาน ชายหนุ่มไปไล่เปิดดูก็พบว่ามันเปิดออกไม่ได้เพราะถูกล็อกจากด้านนอก
“เกิดอะไรขึ้นวะ” จินตวัฒน์ตะโกนพร้อมเขย่าหน้าต่าง “นายจร..นายจร !”
ดาวเรืองกับเพี้ยนยืนกอดอกดูหน้าต่างทุกบานที่ถูกปิดตายด้วยไม้ที่ตรึงด้วยตะปูพาดตามแนวขวาง แม้จะเขยื้อนเพราะแรงทุบจากคนที่อยู่ข้างใน แต่ก็ไม่อาจทำให้ไม้ที่ตอกปิดตายกระเด็นหลุดออกมาได้
“เป็นไงพี่” เพี้ยนถาม
“เจ๋ง” ดาวเรืองตะโกนบอกคนข้างใน “อยู่เป็นนกน้อยในกรงทองสักวันนะค้าคุณปลัด”
จินตวัฒน์อึ้งที่ได้ยินเสียงดาวเรือง วินาทีต่อมาเขาก็พอจะเดาออกว่าอะไรเป็นอะไร
“เดี๋ยวคงมีใครมาเชิญให้กลับกรุงเทพฯแล้ว บ๊ายบาย”
ดาวเรืองส่งจูบผ่านหน้าต่างไปให้จินตวัฒน์ ก่อนจะเดินผิวปากออกมา
“ดาวเรือง!!! ไปเปิดประตูเดี๋ยวนี้เลยนะ ได้ยินมั้ย ดาวเรือง!” จินตวัฒน์ตะโกน

ผัน เวียง หลวงตาคง บุญปลีก บุญปลอด พระครูจ้อย กำนันเทิ้ม เมียเบอร์ ๖-๘ ของผู้ใหญ่ผันยืนจับกลุ่มอยู่ด้วยกัน ชาวบ้านทยอยเข้างานจนหนาตา ขบวนแตรวงเป่านำทีมไพศาล ฤดี ไสว เสมอใจ เดินเข้ามาในงาน ชาวบ้านพากันยกมือไหว้
“นั่นไงแม่เวียง นายอำเภอกับคุณนายมาแล้ว” ผันบอก
ผันจูงเวียงขยับเดินหน้าออกมารับขบวนของไพศาล เทิ้มดูนาฬิกาแล้วกระซิบพระครูจ้อย
“มันอย่างที่ผมว่ามั้ยล่ะ ๕ นาทีก่อนเปิดงาน..เป๊ะ”
กลุ่มของไพศาลเดินรับไหว้ชาวบ้านมาตลอดทาง ทำให้ไสว เสมอใจพลอยรับไหว้ทุกคนไปด้วย ผันกับเวียงยกมือไหว้ทั้งกลุ่ม
“สวัสดีครับ / ค่ะ”
“วันนี้คุณนายดูสวยสง่าจริงๆนะคะ” เวียงชม
ฤดีหน้าบาน “ขอบใจจ้ะ ฝีมือไสวเขาน่ะ ทั้งหน้าทั้งผม”
ไสวยืดอกใส่เวียง “วันหลังแต่งให้มั้ยแม่เวียง จะได้สวยสง่าน้องๆคุณนาย”
เวียงเชิดใส่ไสวเล็กๆ
ไพศาลเดินไปไหว้พระครูจ้อยแล้วมองหาจินตวัฒน์ในกลุ่มพระครูจ้อย จังหวะเดียวกันกับที่พระครูจ้อย เทิ้ม คง บุญปลีก บุญปลอดก็มองหาจินตวัฒน์ในกลุ่มไพศาล
แล้วทั้ง ๒ กลุ่มก็พูดขึ้นพร้อมกัน
“ปลัดล่ะครับ / คะ”
ทั้งกลุ่มที่อยู่ที่วัดและกลุ่มที่เพิ่งมาถึงต่างมองหน้ากันไปมาพร้อมกับคำถามที่ผุดขึ้นในใจว่าปลัดอยู่ไหน

จินตวัฒน์กระโดดถีบประตูซ้ำแล้วซ้ำอีก บานพับประตูมีสนิมขึ้นเขรอะก็มีน็อตบางตัวหลุดออกมา
จินตวัฒน์กัดฟันแน่น “ยายเด็กแสบเอ๊ย”


ดาวเรืองกับเพี้ยนเดินคุยกันหน้าระรื่น
“งานนี้โดนเด้งไปที่อื่นแหง” ดาวเรืองมั่นใจ
เพี้ยนชะงักกึก “แต่..ถ้ามันพังประตูออกมาได้ล่ะพี่เรือง”
“พังออกมาได้ แต่มันมาถึงงานไม่ได้หรอก เชื่อหัวไอ้เรืองเหอะ”
ดาวเรืองเดินพูดไปส่ายไหล่เป็นนักเลงโตไปอย่างมั่นใจสุดๆ


จินตวัฒน์วิ่งมาถีบประตูสุดแรงเกิด บานพับประตูพัง น็อตหลุดกระเด็น พร้อมประตูที่ฟาดลงกับพื้น จินตวัฒน์ก้าวออกมายืนเก๊กเป็นซุปเปอร์แมนที่หน้าประตู สักครู่เขาก็วิ่งไปที่บันได
จินตวัฒน์วิ่งลงบันไดมาขั้น ๑ - ๒ พอก้าวลงมาถึงขั้นที่ ๓ ที่บันไดถูกเลื่อยแล้ววางไว้หมิ่นๆ ก็พังครืนลงมา พร้อมกับจินตวัฒน์ที่เสียหลักล้มก้นกระแทกพื้นถัดบันไดขั้นที่ ๓-๔-๕-๖ ลงมาจนถึงขั้นสุดท้าย
จินตวัฒน์กัดฟันกรอด “ดาวเรือง”


ไพศาล ฤดี เวียง พระครูจ้อย หลวงตาคง บุญปลีก บุญปลอด ไสว และเสมอใจพากันยืนไม่ติดเพราะชาวบ้านที่มาเข้ารับการอบรมหลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศ ผันยืนรอโทรศัพท์หน้าเครียด
ไพศาลดูนาฬิกาข้อมือ “นี่มันแปดโมงกว่าแล้ว ทำไมปลัดยังไม่โผล่หัวมาอีก ผู้ใหญ่ว่าไง ติดมั้ย”
“ติดแต่ไม่มีใครรับสายครับ ส่วนไอ้จรติดต่อไม่ได้เลยครับ” ผันบอก
ฤดีเครียด “แล้วจะทำยังไงล่ะเนี่ย”
ทุกคนหันไปมองชาวบ้านที่พากันชะเง้อคอมองว่าเมื่อไหร่จะเปิดงานสักทีแล้วก็ยิ่งฝ่อ สักครู่ก็มีเสียงดังโหวกเหวกลั่นมาจากทางด้านหลังแถวของชาวบ้านที่ยืนออ
“เอ้า!!!หลีก..หลีก..ขอทางหน่อย”
สุวรรณ แหลม และกรอดเดินแหวกผู้คนเพื่อเปิดทางให้ใครบางคนที่ตามมาทางด้านหลัง
“ไอ้หนูวรรณ เอ็งพาปลัดมาเหรอลูก”
ทุกคนยิ้มโล่งอก แตรวงเริ่มบรรเลง
“เปล่า หนูมากับแฟน” สุวรรณตอบ
แตรวงหยุดเล่นทันที
“เจอไอ้เรืองที่หน้าวัดพอดี บุพเพฯมั้ยล่ะแม่” สุวรรณถาม
ดาวเรืองกับเพี้ยนเดินเข้ามา ดาวเรืองยิ้มหวานแล้วกวาดตามองก่อนจะทำเสียงแปลกใจดังสุดฤทธิ์
“อ้าว..ยังไม่เริ่มอีกเหรอ สายแล้วนะ แล้วปลัดล่ะ หายไปไหน”
ชาวบ้านได้ยินเสียงดาวเรืองถนัดถนี่ก็เริ่มอึ้งแล้วหันมามองกันเลิ่กลั่ก ดาวเรืองทำหน้าแอ๊บแบ๊วเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้นก่อนจะแอบหันมายิ้มสะใจกับเพี้ยน


จินตวัฒน์พยายามเดินโขยกเขยกมาที่รถกำจรที่จอดอยู่
จินตวัฒน์มองหากำจรแล้วตะโกนเรียก “นายจร!!! นายจร!!”
เสียงกำจรพูดอย่างอ่อนระโหยโรยแรง “อยู่..นี่”
จินตวัฒน์มองหาแล้วพบว่ากำจรนอนสลบอยู่ที่ท้ายกระบะรถตัวเอง
“ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้นายจร ฉันต้องรีบไป”
กำจรพูดเสียงอ้อแอ้ “ไปหนาย ขออีกสักกรึ่บสองกรึ่บได้มั้ยยยย ไอ้เรือง”
“ดาวเรือง” กลิ่นเหล้าที่หึ่งมาปะทะจมูกทำให้จินตวัฒน์ลำดับเหตุการณ์ได้ทันทีว่าดาวเรืองตั้งใจมอมเหล้ากำจร “เอากุญแจรถมานายจร ฉันขับเอง”
“ได้ๆๆ”
กำจรลุกขึ้นนั่งทำท่าจะหยิบกุญแจรถในกระเป๋ากางเกง แต่แล้วก็หงายหลังล้มตึงลงไป จินตวัฒน์ไม่รอช้าเอามือตบกระเป๋ากางเกงกำจรแล้วล้วงกุญแจรถออกมา
จินตวัฒน์เริ่มใจชื้น เขารีบเอากุญแจไขประตูรถระหว่างที่กำลังจะก้าวขึ้นไปนั่ง หางตาของเขาก็เหลือบเห็นล้อทั้ง ๒ ถูกเจาะลมออกจนยางฟีบแบน
จินตวัฒน์วิ่งอ้อมไปดูอีกฝั่งก็พบว่าล้อทั้งสองที่อยู่อีกด้านก็ถูกเจาะจนแบนติดพื้นเช่นกัน
จินตวัฒน์คำรามลั่น “ดาวเรือง!”


จินตวัฒน์วิ่งกระเผลกออกมาที่หน้าบ้านแล้วมองซ้ายมองขวาจนเห็นลุงคนหนึ่งยืนฉี่อยู่ข้างพงหญ้ารกๆ ข้างๆลุงมีมอเตอร์ไซด์รุ่นเก่ามากจอดอยู่
จินตวัฒน์รีบวิ่งไปหาแล้วถามอย่างร้อนรน “เสร็จรึยังครับลุง”
ลุงหันมาทำให้จินตวัฒน์เห็นว่าเป็นคนเดียวกับที่เคยขี่รถมาส่งเขา
ลุงยิ้มดีใจ “เสร็จแล้วๆ เออ..มาพอดี”
จินตวัฒน์ไม่ทันสะดุดกับคำพูดของลุง
“จำลุงได้มั้ย ลุงเคยไปส่งคุณปลัดที่วัดวันที่คุณปลัดมาถึงวันแรกไง” ลุงบอก
“ครับ วันนี้ผมก็ต้องรบกวนลุงให้ไปส่งที่วัดอีกแล้วครับ” จินตวัฒน์ควักเงินจากกระเป๋ายื่นให้ ๓๐๐ “รบกวนด้วยนะครับ”
ลุงหน้าเด้งเหมือนเพิ่งไปฉีดโบท๊อกซ์มา ๓ เข็มทันที

ดาวเรือง ตอนที่ 3 (ต่อ)
กลุ่มชาวบ้านยืนออกันอย่างกระสับกระส่ายเพราะเริ่มไม่พอใจอย่างแรง
ผันปิดโทรศัพท์ “เกษตรอำเภอไปประชุมที่อรัญฯกันหมด ไม่มีใครมาได้เลยครับ”
ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา “เอ้า!!!จะเอายังไงนายอำเภอ เรียกให้พวกเรามายืนเฉยๆเหรอ จะทำอะไร ทำไมไม่ทำสักที!!”
กลุ่มผู้จัดงานยืนกันไม่ติด ผันยืนคุยโทรศัพท์
ไพศาลเหงื่อแตกเหงื่อแตน “ทำยังไงดีวะเนี่ย!”
“คบเด็กสร้างบ้านก็อย่างนี้ล่ะ” เทิ้มว่า
ดาวเรืองพูดอย่างเจ้าเล่ห์ “ตัดริ้บบิ้นเปิดงาน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน”
ไสวยืนซับเหงื่อที่แตกพลั่กให้ฤดี ฤดีหันมาพูดอย่างร้อนใจ
“ตัดเสร็จแล้ว ถ้าตาจิ๋นยังไม่มาล่ะ ไม่ต้องเต้นกำรำเคียวให้ชาวบ้านดูเหรอ”
“มันมีทางเลือกอื่นมั้ยล่ะ หรือนายอำเภอจะออกไปประกาศให้ทุกคนกลับบ้าน” ดาวเรืองถาม
“ไอ้ปลัดนี่มันดีแต่พูดจริงๆ” สุวรรณว่า
“ถ้างั้นคงต้องทำอย่างไอ้เรืองว่า ขายผ้าเอาหน้ารอดไปก่อน” หลวงตาคงบอก
“ถ้าตัดริ้บบิ้นแล้วยังไม่มา นายอำเภอก็พูดเปิดงานถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็มาเองแหละ ที่สำคัญเราต้องเชื่อมั่นว่า ปลัดจะมา ตกลงมั้ย” ดาวเรืองพูด
“ถึงขั้นนี้แล้ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะวะ” ผันบอก
ดาวเรืองยิ้มแล้วเดินออกไปยืนพูดที่ไมโครโฟน
“สวัสดีจ้าพ่อแม่พี่น้องลุงป้าน้าอาที่เคารพรักทุกท่าน ก่อนอื่นทางคณะผู้จัดงานต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งที่ทำให้ทุกท่านต้องรอนาน ทั้งนี้เป็นเพราะหลงตา เอ๊ย หลวงตาคงได้ยืนจับยามสามตาดูแล้ว พบว่าเวลาแปดนาฬิกาสี่สิบเก้านาทีสิบหกวินาที เป็นเวลาอภิมหามงคล ที่เทวดาจากทั่วสารทิศจะมาสถิตอยู่ ณ บ้านดอนล้อมแรดแห่งนี้ ดังนั้นเพื่อความเป็นสิริมงคลเราจึงจำเป็นต้องรอ จน ณ บัดนี้ก็ถึงเวลานั้นแล้ว ขอเชิญนายอำเภอและภริยาตัดริ้บบิ้นและกล่าวเปิดงานเลยจ้ะ”
แตรวงบรรเลง ชาวบ้านพากันปรบมือ ไพศาลและฤดีเดินยิ้มแป้นออกไปตัดริ้บบิ้น ทุกคนปรบมือกรูเกรียวอีกครั้ง ดาวเรืองหัวเราะหึ หึ


ลุงขี่มอเตอร์ไซต์โบราณมาอย่างเนือยๆ โดยมีจินตวัฒน์นั่งซ้อนท้าย
ลุงมองหา ๒ ข้างทาง “เห็นต้นไม้ที่มันมีลูกศรสีแดงๆป้ายมั้ย คุณปลัด”
จินตวัฒน์ไม่เข้าใจว่าลุงถามทำไม แต่ก็ช่วยมองหาให้อย่างงงๆ
“นั่นไงครับ” จินตวัฒน์ยกมือชี้ “ซ้ายมือข้างหน้านั่นไง ต้นไม้ที่มีสีแดงป้าย”
ลุงยิ้มดีใจที่เจอสักที “เออ..เจอสักที ขอบใจนะ”
ว่าแล้วลุงก็บิดพุ่งตรงไปที่ต้นไม้ต้นนั้น จินตวัฒน์แหกปากตะโกน
“ลุง!!ต้นไม้!!!ลุง!!”
จินตวัฒน์กับลุงร้องออกมา “เฮ้ย!”
มอเตอร์ไซด์ล้มอยู่ที่พื้น ส่วนคนทั้งสองกลิ้งหัวคะมำตกลงไปที่นาซึ่งมีปลักขี้โคลนข้างทาง
จินตวัฒน์เจ็บไม่มากแต่กางเกงกับเสื้อเปื้อนโคลนไปหมด “ลุง..คุณลุง เป็นยังไงบ้าง”
จินตวัฒน์เข้าไปประคองลุงที่ค่อยๆลุกขึ้นนั่งเอง
“โอ๊ย..กระดูกกระเดี้ยวข้าหักมั้ยเนี้ย ไม่คุ้มค่าจ้าง๓๐๐ ที่เอ็งให้มาเล๊ย”
จินตวัฒน์หงอยเพราะนึกว่าลุงบ่นตัวเขา
ลุงบ่นต่อ “ไอ้เรืองนะไอ้เรือง”
จินตวัฒน์ชะงักกึกเมื่อรู้ว่าดาวเรืองวางแผนทุกอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อทำลายชื่อเสียงและเกียรติภูมิของเขา
จินตวัฒน์กัดฟันกรอด “ดาวเรือง!”


ไพศาลพูดไปเอาผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อไปไม่ต่างจากฤดีที่เหงื่อกาฬแตกพลั่ก
“โครงการของเราจะเริ่มจากการทำปุ๋ยชีวภาพ ต่อด้วยอาหารเป็ดไก่แบบที่ทำเองได้ง่ายๆ แล้วหลังจากนั้นระ..”
ชาวบ้านพากันโห่เพราะไม่พอใจ
ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนขึ้น “พูดวนไปมาแบบนี้ ๕ เที่ยวแล้วนะนายอำเภอ พอแล้ว รู้แล้ว ให้ปลัดมาลงมือเลยดีกว่า ปลัดอยู่ไหน ทำไมยังไม่โผล่หัวมา”
ไพศาลกับฤดีหันมามองหน้ากัน เหงื่อของทั้งสองแตกกระสานซ่านเซ็น
ดาวเรืองขยับเข้ามากระซิบไพศาล “ไอ้เรืองเอง” ดาวเรืองพูดใส่ไมโครโฟน “ยังไม่มา แต่มาแน่”
ชาวบ้านคนหนึ่งถาม “เอ็งรู้ได้ยังไง”
ดาวเรืองรีบใส่ไฟ “อ้าว..ลงทุนเป็นตัวตั้งตัวตีจัดงาน แถมเชิญคนมาทั้งอำเภอขนาดนี้ ถ้าไม่โผล่หัวมาก็ไม่ต้องนับถือกันอีกต่อไปแล้ว จริงปะ นายอำเภอกำนัน ผู้ใหญ่ เมียผู้ใหญ่ ลูกชายผู้ใหญ่ ป้าไหว พี่เหมอ ขอเสียงหน่อยว่า จริงป๊ะ”
ทุกคนที่ถูกเอ่ยนามพยักหน้าเอ๋อๆ และยิ้มเจื่อนๆใส่กัน
ดาวเรืองพูดต่อ “เห็นมั้ย ผู้หลักผู้ใหญ่ยืนยันกันระงม เพราะฉะนั้น..ปลัดมาแน่ แค่รอฤกษ์หลงตาคงแค่นั้น”
หลวงตาคงพึมพำ “กูนึกว่ากูรอดแล้ว ไอ้เรืองนะไอ้เรือง”
เพี้ยนเปรย “โจทย์เก่าโจทย์ใหม่ โดนกันหมดเลยวุ้ย”
ดาวเรืองยิ้มและมีแววตาเป็นประกาย

จินตวัฒน์เดินกัดฟันดุ่ยๆมาตามทางทั้งเจ็บตัว เจ็บตูดและเลอะโคลนแต่ยังไงก็ต้องไปถึงจุดหมายปลายทางให้ได้
“คิดว่าฉันจะยอมแพ้เด็กเจ้าเล่ห์อย่างเธอเหรอ..ไม่มีทาง!”
บานชื่นขี่มอเตอร์ไซด์ซาเล้งมาโดยมีหม้อที่ถ่ายเอาแกงและกับข้าวออกไปแล้ววางอยู่บนซาเล้ง ๓-๔ ใบ
“อ้าว..ปลัด มาทำอะไรอยู่นี่ ยังไม่ไปงานอีกเหรอ” บานชื่นทัก
จินตวัฒน์ถอนใจเฮือกเพราะอยากจะสาธยายสรรพคุณดาวเรืองให้ฟังแต่ก็ป่วยการ
“เรื่องมันยาวครับ”
“รถลงไปปลักขี้เลนข้างทางล่ะสิ เนื้อตัวถึงได้เลอะโคลนอย่างนี้” บานชื่นเดา
จินตวัฒน์ชะงักว่าทำไมบานชื่นเดาถูกหรือว่าดาวเรืองส่งแม่มาเป็นด่านสกัดปิดท้าย
บานชื่นอาสา “เอ้า..ขึ้นมาเลย น้าจะไปช่วยงานที่วัด ไม่ได้ไปแต่เช้าเพราะมีคนมาสั่งกับข้าวไปเลี้ยงพระ”
จินตวัฒน์เช็คพิรุธ “ไม่ต้องให้ผมช่วยดูต้นไม้ข้างทาง”
บานชื่นงง “ดูทำไม เห็นอยู่ทุกวัน”
“รถอยู่ในสภาพดี อะไหล่ครบ ยางล้อไม่แบน เบรคไม่ขาด น๊อตไม่หลุดนะครับ”
บานชื่นงง “ขับมาก็ไม่เห็นเป็นไรนี่”
“ถ้างั้นเพื่อความปลอดภัย ผมขออนุญาตขับเองได้มั้ยครับ”
“ดี น้าจะได้นั่งสบาย”
จินตวัฒน์ยิ้มโล่งอก

ดาวเรืองยังพูดไฮปาร์คอยู่เหมือนเดิม โดยมีไพศาล ฤดี ผัน และเทิ้มเข้าไปยืนเรียงแถวอยู่ถัดไปด้วย
“ถ้าทุกคนชอบโครงการแบบนี้ กำนันกับผู้ใหญ่เขาก็จะจับมือกัน จัดโครงการดีๆแบบนี้มาอบรมกันอีก”
ผันกับเทิ้มยิ้มแหยๆให้ชาวบ้าน
“อ้าว คราวนี้..ถึงคิวหลงตาคง” ดาวเรืองโยน
หลวงตาคงสะดุ้งโหยง “ให้ข้าทำอะไรอีก”
“อ้าว..ก็ขึ้นมาทำพิธีเรียกตัวปลัดมานี่น่ะสิ ถ้าจอมขมังเวทย์ร่ายมนต์เรียกแล้วยังไม่มา ก็แสดงว่าปลัดคนนี้มันโหลยโท่ย เหลาะแหละ ไม่น่าเชื่อถือ จริงมั้ยพวกเรา”
ชาวบ้านพากันตะโกน “จริง!”
หลวงตาคงเดินเช็ดเหงื่อมายืนที่หน้าไมโครโฟน ก่อนจะหันไปมุบมิบด่าดาวเรือง
“ไอ้เรือง ไอ้เวร!!”
ดาวเรืองขำ แล้วทำไม่รู้ไม่ชี้พูดใส่ไมโครโฟน “ เอ้า..บริกรรมคาถาได้แล้ว หลงตา”
หลวงตาคงพนมมือหลับตาพึมพำเหมือนสวดคาถา แต่จริงๆงึมงำด่าดาวเรือง
หลวงตาคงบ่น “บรรลัยแน่กู งานนี้”
“ถ้าหลงตาศักดิ์สิทธิ์จริง ปลัดต้องมา ถ้าไม่มาแสดงว่าหลงตามนต์เสื่อม และไอ้ปลัดที่ไม่มีความรับผิดชอบอย่างนั้นก็ไม่สมควรจะอยู่ที่นี่เพื่อดูแลพวกเรา จริงมั้ย”
ชาวบ้านเฮตาม “จริงงงง!”
ดาวเรืองพูดต่อ “เอ้า..งั้นช่วยกันนับหน่อย หนึ่ง..สอง..สาม”
ชาวบ้านพากันตะโกนนับตามดาวเรือง โดยมีสุวรรณ แหลม และกรอดช่วยเป็นต้นเสียง
ดาวเรืองตะโกนลั่น “มา..ไม่มา..มา..ไม่มา..มา..ไม่มา”
ชาวบ้านประสานเสียงแทรกขึ้นมา “มา!”
ดาวเรืองกับเพี้ยนชะงักกึกเมื่อเห็นกลุ่มชาวบ้านหันไปมองทางด้านหลังแล้วเปิดทางให้จินตวัฒน์ขี่
ซาเล้งหน้าตั้งเข้ามาจอดตรงหน้าดาวเรือง แตรวงบรรเลงเพลงต้อนรับครึกครื้นนน แต่อะไรก็ไม่ขัดใจดาวเรืองเท่ากับการเห็นแม่ตัวเองนั่งเป็นแม่ย่านางบนซาเล้งคู่มากับจินตวัฒน์ด้วย
จินตวัฒน์มองดาวเรืองขมึงก่อนจะยกมือไหว้ไพศาล ฤดี ผัน เทิ้ม หลวงตาคงที่ยืนโล่งอกทางด้านหลังแล้วหันมายกมือไหว้ชาวบ้านทุกคนพร้อมกับพูดที่ไมโครโฟน
“สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องทุกท่าน ก่อนอื่นผมต้องขอโทษทุกท่านด้วยนะครับที่ทำให้ต้องรอนาน บังเอิญมีเหตุขัดข้องบางอย่างที่ทำให้ผมต้องเสียเวลาจัดการ แต่ผมอยากจะบอกทุกท่านว่า ไม่ว่าจะเกิดเหตุอะไรหรือมีอุปสรรคมากมายแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำให้ผมถอดใจจากงานนี้ได้ ผมเลือกมาอยู่ที่นี่เพราะต้องการพัฒนาที่นี่ นี่คืองานแรกของผม ความตั้งใจแรกของผม ยังไงผมก็ต้องมา”
ชาวบ้านชอบใจปรบมือกันกรูเกรียว
“เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราจะเริ่มการอบรมเดี๋ยวนี้เลยครับ”
ชาวบ้านปรบมือให้ระลอกใหญ่ แตรวงบรรเลงเพลงเปิดงานอีกครั้ง จินตวัฒน์ชายตามองดาวเรือง ดาวเรืองเชิดหน้าทำไม่รู้ไม่ชี้แต่แอบกัดฟันกรอด


จินตวัฒน์นำทุกคนเดินเข้ามาที่ลานเอนกประสงค์ซึ่งใช้วางส่วนผสมต่างๆ ที่กลางลานมีผืนผ้าใบขนาดใหญ่ซึ่งใช้เป็นที่ผสมวัสดุปูอยู่
“การกำจัดขยะด้วยการนำมาทำปุ๋ยชีวภาพเป็นการกำจัดที่ตรงจุดและได้ประโยชน์ อย่างมาก ก่อนที่เราจะลงมือทำไปพร้อมๆกัน ผมขออนุญาตแนะนำผู้ช่วยของผมก่อนนะครับ ขอเสียงปรบมือต้อนรับ ดาวเรือง”
ดาวเรืองซึ่งยืนทำท่าเซ็งอยู่กับเพี้ยนชะงักกึก
แหลมหันไปถามสุวรรณ “เขาไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่อะพี่”
กรอดงง “นั่นดิ”
สุวรรณมองปลัดเพราะไม่พอใจที่มาวุ่นวายกับดาวเรือง ดาวเรืองอยากกระโดดเตะก้านคอปลัดให้หักคาที่


เวลาต่อมา ดาวเรืองอาบน้ำอยู่คนละห้องกับเพี้ยน
“ขัดให้เกลี้ยงเลยนะไอ้เพี้ยน ถ้ากลิ่นขี้ยังติดตัวเอ็งอยู่ล่ะก็ ข้าจะไล่ให้ไปนอนกับควาย”
เพี้ยนส่งเสียงถาม “ไหนพี่เรืองว่าไอ้ปลัดมันจะไม่มาไง”
“ก็ป้าบานของเอ็งน่ะสิไปรับมันมาได้ พูดแล้วยังเจ็บใจไม่หาย ไอ้ปลัดขี้เป็ด จะเอาคืนให้เข็ดเลย คอยดู”
“ยังเหม็นกันไม่พออีกเหรอพี่ ห่างๆมันบ้างก็ดีนะ”
ดาวเรืองตอบเสียงกร้าว “ไม่!!”
จินตวัฒน์ขยับเข้ามาที่หน้าห้องน้ำ “ก็ดี อย่างน้อยวันนี้ฉันก็ไม่ยอมให้เธอห่างไปไหนแน่”
ดาวเรืองตะโกนด่ากลับ “โรคจิตเหรอ มาแอบดูผู้หญิงอาบน้ำ”
จินตวัฒน์สวน “ทอมบอยอย่างเธอมีอะไรให้ฉันดู”
ดาวเรืองสะอึก
“ฉันแค่แวะมาบอกว่าเรื่องเธอกับฉันมันยังไม่จบ เธอต้องไปจัดการเรื่องที่เธอก่อไว้”
ดาวเรืองทำไม่รู้ไม่ชี้ “อะไร”
“ไปงัดไม้ที่หน้าต่างออก แล้วซ่อมประตูกับบันไดให้เสร็จภายในคืนนี้” จินตวัฒน์สั่ง
“ประตูหน้าต่างบ้านตัวเองจะมาใช้คนอื่นได้ไง ไม่ไปเว้ย!!” ดาวเรืองบอก
“ถ้าฉันพูดแล้วเธอไม่เข้าใจ ฉันคงต้องพึ่งน้าบานชื่น แม่เธอคงอยากรู้ว่าเธอก่อวีรกรรมอะไรไว้บ้าง”
ดาวเรืองเงียบไป
“จะไปไม่ไป” จินตวัฒน์เห็นดาวเรืองไม่ตอบเลยถามย้ำถาม “ว่าไง”
ดาวเรืองกับเพี้ยนโผล่ขึ้นมาจากช่องเหนือประตูห้องน้ำ แล้วยกถังน้ำที่หิ้วติดมือมาเทโครมใส่จินตวัฒน์
ดาวเรืองสะบัดผมทำท่าสะดิ้งเหมือนกระเทย “ว่าไงว่ากันสิค่า..คุณปาหลัด”
ดาวเรืองกับเพี้ยนขำกลิ้ง ในขณะที่จินตวัฒน์เปียกโชกไปทั้งตัว

สุวรรณ เสมอใจ ผัน เวียง บุญปลีก บุญปลอด แหลม และกรอดอาบน้ำเสร็จก็ปะแป้งลายพร้อย กรอดนวดแขนขาให้สุวรรณอยู่ที่มุมหนึ่ง เสมอใจเข้ามายกมือไหว้ผันและบรรดาเมียๆทุกคน
“อะไรน่ะนังเหมอ” ผันถาม
“เหมอเอาน้ำมันนวดคลายกล้ามเนื้อมาให้ ใช้ดีนะจ๊ะ เหมอทำเอง”
“เออ..นังเหมอนี่เก่งนะ ทำยาก็ได้ ทำขนมก็ได้ ทำกับข้าวก็ได้” ผันชม
เวียงเสียงเข้ม “แต่ทำเมีย ไม่ได้”
“โอ๊ย แม่เวียงก็..คิดอะไรอย่างนั้น พี่แค่พูดให้ไอ้วรรณมันฟัง ผู้หญิงทั้งดีทั้งเก่งอย่างนี้ มันน่าจะมองมั่ง อีกอย่างพี่ก็ไม่เอาลูกหลานมาทำเมียหรอก”
เสมอใจยิ้มทำตาแป๋วแหววใส่สุวรรณ
“เหรอออ...แล้วนังเมียเบอร์เจ็ดหลานใคร” เวียงถาม
บุญปลีกตอบ “หลานตาเริญ”
เวียงถามต่อ “เบอร์แปด”
บุญปลอดตอบ “หลานยายจุก”
เวียงถามอีก “เบอร์เก้า”
บุญปลีกตอบ “หลานตานง”
ผันยิ้มแหยๆ
“นี่พ่อ ไอ้เรื่องทำยา ทำขนม ทำกับข้าวผู้หญิงที่ไหนก็ทำได้ แต่จะมีใครเล่นไฮโลว์ ถั่ว โป ไพ่ แถมต้มเหล้าเก่งอย่างไอ้เรืองมั่ง” สุวรรณถาม
“นี่ข้อดีของคนที่จะมาเป็นเมียหนูวรรณเหรอ” บุญปลอดถาม
“ถูก หนูแอบมองมันตั้งแต่ป.1” สุวรรณบอก
“ปิ๊งมันตอน ป.2” กรอดพูดต่อ
“แอบเปิดกระโปรงมันตอน ป.3” แหลมเล่า
“อยากจูบมันตอน ป.4” สุวรรณบอก
กรอดพูดต่อ “ถูกมันถีบประจำตอน ป.5”
“อยากได้มันเป็นเมียตอน ป.6” แหลมเล่า
“มันคือผู้หญิงที่หนูใฝ่ฝันจะเอามาเป็นเมียทุกลมหายใจ” สุวรรณประกาศกร้าว “หนูจะไม่ยอมเสียตัวให้ใครนอกจากไอ้เรืองคนเดียว!”
บรรดาพ่อแม่และสมุนต่างพากันถอนใจ เสมอใจน้ำตาคลอเพราะรู้สึกช้ำชอกหัวใจเหลือเกิน


ดาวเรืองกับเพี้ยนช่วยกันเอาค้อนถอนตะปูที่ตรึงอยู่กับไม้ซึ่งใช้ปิดหน้าต่างบ้านพักปลัดออก
“ถ้ารู้ว่าต้องมางัดออกเองแบบนี้ ตอกไว้หลวมๆก็ดี” เพี้ยนว่า
“อย่าบ่นเลยวะ เก็บแรงไว้เอาคืนดีกว่า” ดาวเรืองบอก


จินตวัฒน์สรุปงานอบรมปุ๋ยชีวภาพที่เพิ่งเสร็จไป โดยที่กำจรผลุบๆโผล่ๆที่หน้าห้อง
จินตวัฒน์หันมาเห็น “สร่างแล้วเหรอนายจร”
กำจรยิ้มแหะๆ แล้วเดินเข้ามายกมือไหว้ท่วมหัว “ผม..เอ่อ..ขอโทษครับคุณปลัด ผมผิดไปแล้ว เพราะไอ้เรืองครับ ไอ้เรืองมันล่อลวงผม”
“แต่ถ้านายจรใจแข็งพอไม่หลงไปกับคำล่อลวง มันก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก” จินตวัฒน์บอก กำจรจ๋อย “ฉันจะทำทัณฑ์บนนาย ฐานละเลยต่อหน้าที่”
กำจรยอมจำนน “จะเอายังไงก็ได้ครับ แต่อย่าถึงขั้นทำเรื่องไล่ผมออกเลยนะครับ”
จินตวัฒน์ถอนใจ
กำจรประจบ “เออ..ผมเอารถคุณปลัดออกมาจากอู่แล้วนะครับ”
จินตวัฒน์ยิ้มขึ้นมาได้เมื่อรู้จะมีรถใช้สักที


กำจรเดินคุยมากับจินตวัฒน์ โดยมีดาวเรืองกับเพี้ยนเดินตามมาห่างๆ รถจินตวัฒน์จอดนิ่งอยู่ด้านหลัง
“อ้าว..ถ้ายังไม่ได้ซ่อมแล้วเอากลับมาทำไม” จินตวัฒน์ถาม
“อะไหล่มันยังไม่มา แล้วงานที่อู่มันเยอะ รถไม่มีที่จอด เจ้าของอู่มันเลยให้ผมลากรถคุณปลัดมาจอดที่นี่ก่อน” กำจรเล่า
จินตวัฒน์พยักหน้ารับรู้ “ขอบใจนะ”
กำจรยิ้มดีใจแล้ววิ่งตรงไปที่บ้านพัก
จินตวัฒน์หันมาถาม “จะไปไหน”
“ชงกาแฟมาให้ปลัดครับ”
ดาวเรืองหมั่นไส้ “เลียกันเข้าไป”
จินตวัฒน์มองรถตัวเองแล้วถอนใจ “แทนที่จะได้ใช้งาน จอดทิ้งไว้เฉยๆอย่างนี้ มันจะมี ประโยชน์อะไร”
สักครู่จินตวัฒน์ก็ชะงักเมื่อหันไปมองกำจรที่กำลังวิ่งขึ้นบันได
“นายจร ระวัง!”
สิ้นเสียงจินตวัฒน์ กำจรก็ก้าวขึ้นไปยืนบนบันไดขั้นที่ ๓ ที่วางพาดไว้หมิ่นๆ แล้วล้มก้นกระแทกถัดบันไดขั้นอื่นๆลงมานั่งกองอยู่กับพื้นเป็นครั้งที่ ๒ กำจรร้องโอดโอย ดาวเรืองกับเพี้ยนขำก๊าก
จินตวัฒน์ดุ “ยังจะมาหัวเราะกันอีก รีบไปซ่อมให้เหมือนเดิมเลยนะ”
จินตวัฒน์รีบวิ่งไปดูกำจร
ดาวเรืองชักสีหน้าไม่พอใจแล้วตะโกนด่าตามหลัง “ไอ้ปลัดบ้าอำนาจ!”

ไสวกำลังเอาสมุนไพรสาวสองพันปีทาหน้า โดยมีเสมอใจนั่งถอนใจอยู่อีกมุม
“ป้าไหว เคยมีความรักบ้างมั้ย” เสมอใจถาม
ไสวเหล่มองหลาน “แก่ เอ๊ย..อยู่มาจนป่านนี้แล้ว ไม่เคยมีได้ไงวะ”
เสมอใจขยับมานั่งใกล้ๆ อย่างสนใจ “ป้าเล่าให้เหมอฟังบ้างสิ ความรักของป้าเป็นยังไง”
“เฮ้ออ เอาแบบสั้นๆนะ รักครั้งแรกของข้าเกิดตอนอายุ๑๗ ข้าแอบไปรักเขาข้างเดียว พออายุ ๑๘ พ่อนังจุกมาชอบข้า แต่ข้าเล่นตัวมันก็เลยไปได้กับนังเจียด อายุ๑๙ พี่เชิดยกขันหมากมาขอข้า แต่รถก็คว่ำตายซะก่อน พอข้าอายุ ๒๐ ก็คบกับไอ้ไม้ ๒๑ ไอ้เมือง ๒๒ พี่แม้น ๒๓ พี่มั่น ๒๔ พี่หมาย ๒๕ น้ามิ่ง.. น้ามิ่งนี่เป็นพ่อไอ้ไม้ ไอ้เมือง พี่แม้น พี่มั่น พี่หมาย อีกที”
“ห๊า..ป้าไหวเป็นนางพญาเทครัวเหรอ”
ไสวกระหยิ่ม “ไม่ใช่แค่ครัวตัว “มอ” นะเว้ย ครัวตัว “ยอ” ก็ยกโขยงมาจีบข้าด้วย ไอ้ยอด พี่ยศ พี่แย้ม พี่ยิ่ง น้าเยื้อน ตาหยด ตาหยาด ตาหยอด ตาหยิบ ตา...”
เสมอใจตาเหลือก “โอ๊ยย..พอ..พอแล้วป้า โผล่มาเกือบ ๒ โหล แล้วทำไมป้าเลือกใครทำผัวไม่ได้สักคน”
“ก็มันไม่มีใครสมบูรณ์พร้อมนี่หว่า เดี๋ยวคนนี้ปากเหม็น คนนั้นตดเน่า คนนู้นนอนกรน อีกคนจั๊กกะแร้หืน คนที่สมบูรณ์พร้อมเขาก็ไม่รักข้า”
“คนที่เป็นรักครั้งแรกของป้าใช่มั้ย”
“เออ..เขาชอบเพื่อนข้าแล้วก็แต่งงานกันไป โอ๊ย..ตอนนั้นข้าจะตายให้ได้ ไม่มีความเจ็บปวดอะไรเท่ากับการไปแอบรักใครข้างเดียวหรอก เอ็งจำไว้เลย”
เสมอใจกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ

ตกกลางดึก เสมอใจยืนพิงกรอบหน้าต่างอยู่ลำพัง
“ถึงเจ็บก็ยอม ขอแค่ความสุขเล็กๆน้อยๆวันนี้ พรุ่งนี้จะเป็นยังไงก็ช่าง”
เสมอใจกดพิมพ์ข้อความที่โทรศัพท์ส่งไปหาใครบางคนที่อยู่ไกลออกไป

สุวรรณนั่งที่กรอบหน้าต่างห้องนอนโดยอ่านข้อความในโทรศัพท์อย่างมีความสุข
“ฝากลมเย็นบอกเธอว่าคิดถึง ฝากฟ้าที่หวานซึ้งบอกเธอว่าห่วงหา ฝากหมอนกล่อมเธอนอนยามนิทรา ฝากดวงดาราให้เธอหลับฝันดี” สุวรรณเขิน “โอ๊ยยๆๆ” สุวรรณเพ้อทันที “รักกันเงียบๆเบาๆแค่นี้ ข้าก็โคตรจะสุขแล้วว่ะ ข้ารักเอ็งนะ..ไอ้เรือง”
สุวรรณกดส่งข้อความไปหาอย่างอินสุดๆ

ดาวเรืองแหกปากตะโกนลั่น
“ข้าเกลียดมัน!”
เพี้ยนซึ่งกำลังล้มตัวลงนอนสะดุ้งโหยงมาลุกขึ้นนั่ง บานชื่นเปิดประตูห้องนอนออกมาได้ยินพอดี
“ใครวะ” บานชื่นถาม
“ก็ไอ้ปลัดจอมบงการนั่นสิแม่”
“ระวัง เกลียดอะไรจะได้อย่างนั้น” บานชื่นบอก
“ไม่มั้งป้าบาน อย่างไอ้พี่วรรณ พี่เรืองเขาก็เกลียดมันมาเป็นปีเป็นชาติ ยังไม่เห็นโอกาสว่าจะมาได้กันตอนไหน” เพี้ยนบอก
“นั่นเขาไม่เรียกเกลียด แค่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมากกว่า แม่เคยเจอกับตัวเองแล้ว เกลียดเขาดีนัก สุดท้ายก็เจอเลย”
“ใครอ่ะแม่?”
“พ่อเอ็งไง”
ดาวเรืองชะงัก
“ตอนแม่เป็นเทพี ผู้ใหญ่ผัน หลวงตาคง จ่าแม่นรุมจีบแม่กันทั้งนั้น จู่ๆอีตาพนาก็มาจากไหนก็ไม่รู้ ท่าทางยียวนกวนประสาท พูดอะไรก็ไม่ถูกหูแม่ แล้วเป็นไง...กลายเป็นผัว มีลูกยืนหัวโด่อยู่เนี่ย”
“โอ๊ย ประวัติศาสตร์ไม่มีวันซ้ำรอยหรอกแม่...พ่อน่ะเป็นผู้ชายที่ใจดีที่สุดในโลก ไอ้คนขี้เก๊ก แก่วิชาการอย่างปลัดนั่น ฉันไม่เอามาทำผะ..เอ๊ย พันธุ์หรอก ชิ๊!” ดาวเรืองว่า
บานชื่นพึมพำตามหลัง “สมัยหนุ่มๆ พ่อเอ็งก็ขี้เก๊กแก่วิชาการอย่างนี้แหละ”
บานชื่นส่ายหน้าแล้วเดินออกไป ดาวเรืองส่ายหน้าอย่างมั่นใจว่าเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด

จบตอนที่ 3 

กำลังโหลดความคิดเห็น