ดาวเรือง ตอนที่ 2
บ้านดาวเรืองอยู่หลังร้านตั้งตระหง่าน โดดเด่นแต่เงียบสงัด เวียงดึงไพ่ที่บานชื่นเพิ่งแจกเสร็จขึ้นมาดูแล้วเปรยๆ ออกมา
“มีสาวๆที่ไหนเหลือบ้างมั้ยแม่ชื่น เอาไอ้ที่มันเลยสามสิบไปแล้วนะ”
“ปูนนั้นเขาไม่เรียกสาวแล้วมั้ง แม่เวียงจะหาไปทำไม” บานชื่นถาม
“หาไปให้พี่ผันน่ะสิ ครบสิบเมื่อไหร่จะได้หมดภาระฉันสักที”
“เออ..นี่ก็ใจกว้างยังกะมหาสมุทร มีแต่เขาไม่อยากให้ผัวมีเมียน้อย นี่กลับให้มีตั้งสิบ แล้วทำไมไม่เลือกไอ้ที่ยังสาว หน่วยก้านดีๆจะใช้สอยอะไรก็วิ่งไวปุ๊บปั๊บล่ะ”
“เรื่องอะไรจะเอาเด็กหน้าใสๆผิวตึงๆมาแข่งแขกับเรา ยังไงฉันก็ต้องเป็นที่หนึ่ง”
“ไม่เหลือแล้วล่ะจ้ะ รุ่นสุดท้ายพี่เวียงก็เพิ่งกวาดไป” บุญปลีกบอก
บุญปลอดที่ไม่ได้เล่นแต่มานั่งดูสาธยายเพิ่มเติม “แม่เบอร์ ๗-๘-๙ ไงจ้ะ”
ผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น “หาดีๆก็ยังพอมีอยู่นะ”
ทุกคนหันไปมองที่มาของเสียง ผู้หญิงคนนั้นเอาไพ่ที่ปิดหน้าลง ทำให้เห็นว่าคือ ไสว ที่กำลังยิ้มพยักพเยิดเหมือนจะเสนอตัวเองยังไงยังงั้น
เวียงเหล่ “แนะนำ หรือ เสนอตัวหา..นังไหว”
“ไอ้ประเภทสี่สิบต้นๆ แต่หน้าไปห้าสิบปลายๆก็ไม่ไหวนะพี่เวียง” บุญปลีกแขวะ
ไสวยิ้มระรื่นใส่ “แหม..แนะนำแค่เนี้ย ไฟรนขึ้นมาเชียว เรื่องอะไรข้าจะยอมเป็นน้อยใครให้เมียใหญ่ข่มเหง ในเมื่อข้าก็มีดีพอจะเป็นเบอร์๑กะเขาเหมือนกัน อุ๊ย..ดูสิมัวคุยเพลิน อย่างหาว่างั้นงี้เลยนะ ป๊อกอีกแล้วจ้ะ”
ไสวหงายไพ่ลงกับพื้นห้องที่ปูผ้าไว้สำหรับเล่นไพ่
บานชื่น เวียง และบุญปลีกวางไพ่ในมือตัวเองลงอย่างเซ็งๆ
จ่าแม่นวิ่งเหยาะๆ นำจินตวัฒน์กับกำจรเข้ามาหลบข้างพุ่มไม้หน้าบ้าน
จินตวัฒน์เอ่ยถาม “บ้านผู้ใหญ่ผันหรือครับ”
จ่าแม่นหันมาจุ๊ปาก “ชู่ว์..อย่าเอ็ดไปครับ บ้านไอ้เรืองมัน”
จินตวัฒน์เบาเสียงลง “ก่อเหตุแล้วกลับมากบดานที่นี่เหรอ”
“ไม่ใช่กบดานครับ แต่มันมาก่อเหตุเพิ่มที่นี่อีก” จ่าแม่นบอก
จินตวัฒน์อึ้ง “วันละสามคดีเลยเหรอ”
“นี่ยังน้อย บางวันมันก่อคดีทุกชั่วโมงเลยครับ คุณปลัดตามหลังผมไว้ให้ดีนะครับ ไม่งั้นเจอมันสวนกลับแน่ ไปครับ” จ่าแม่นบอก
จ่าแม่นชักปืนขึ้นกราดซ้ายขวาราวกับหน่วยอรินทราชเข้าจู่โจมเหล่าร้ายโดยท่าระวังภัยแสนเว่อร์ของจ่าแม่นทำเอาจินตวัฒน์อ้าปากหวอว่าต้องขนาดนี้เชียวเหรอ
กำจรรีบบอก “มันเว่อร์ยังงี้ตั้งแต่เป็นพลตำรวจแล้ว เอากับมันหน่อยครับ เดี๋ยวมันขาดความมั่นใจ”
กำจรประกบมือทำเป็นปืนพร้อมกับปั้นหน้าขึงขังทำท่าเลียนแบบจ่าแม่นก่อนจะวิ่งเหยาะๆนำจินตวัฒน์ไป
จินตวัฒน์ได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะวิ่งตาม
ไสวจั่วไพ่ขึ้นมาก่อนจะหงายไพ่แล้วเฮลั่น
ไสวหัวเราะเสียงห้าว “ป๊อกจ้า..ป๊อก 5 5 5 5 5”
บานชื่น เวียง และบุญปลีกทิ้งไพ่ในมือลงอย่างฉุนๆ โดยมีบุญปลอดนั่งมองตาปริบๆ
เวียงยัวะ “ซ่อนไพ่หรือเปล่าวะนังไหว ข้าจั่วจนแขนยานแล้วยังไม่ได้กินสักตา”
ไสวเยาะเล็กๆ “คนดวงดีขายขี้ก็รวย คนดวงซวยซื้อหวยก็ไม่โดน เคยได้ยินมั้ยแม่เวียงที่เขาว่า คนเราแข่งอะไรก็แข่งได้ แต่แข่งดวงพนันน่ะแข่งไม่ได้ 5 5 5”
“เย้ยกันอย่างนี้ มีตบ”
พูดจบบุญปลีกก็ง้างมือจะตบไสว
บุญปลอดคว้ามือบุญปลีกแล้วเตือน “โกรธคือโง่ โมโหคือบ้านะพี่ปลีก”
“จะเลิกเล่นก็ได้นะ ข้าจะได้หอบเงินกลับบ้าน 5 5 5” ไสวเย้ย
“เอ้าน่า..แม่เวียง ของยังงี้มีได้มีเสีย ลองเปลี่ยนที่ดูมั้ยล่ะ เผื่อจะนั่งทับเจ้าที่” บานชื่นเสนอ
“เออ..นั่นสิ” เวียงหันไปหาบุญปลีกกับบุญปลอด “เอ้า..เอ็งสองคนลุก..ลุก สลับที่กัน”
บานชื่น เวียง บุญปลีก และบุญปลอดเดินวนซ้ายเวียนขวาสลับที่กันไปมาหลายรอบ สุดท้ายก็ลงนั่งในตำแหน่งเดิมกันทุกคน
“สบายใจแล้วใช่มั้ย” ไสวถาม
“เทียวนี้มีเฮ” บานชื่นบอก
บานชื่นสับไพ่อย่างกระฉับกระเฉง แต่ครู่เดียวเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
บานชื่นตะโกนไปที่ประตู “ว่าไงไอ้เพี้ยน คนกำลังมือขึ้นมาเรียกขัดลาภทำไมวะ”
เสียงเคาะประตูยังดังต่อเนื่อง
“ไปเปิดประตูให้มันทีไป๊..นังปลอด” เวียงสั่ง
บุญปลอดเดินไปเปิดประตู ทันทีที่ประตูเปิดออกเธอก็ถึงกับหน้าซีดเผือดเพราะเห็นจ่าแม่นยืนยิ้มแฉ่งตามติดด้วยกำจรและจินตวัฒน์ บุญปลอดจะแหกปากร้องแต่จ่าแม่นจุ๊ปากให้เงียบ บุญปลอดพยักหน้าหงึกๆ แล้วรีบเอามือปิดปาก จ่าแม่นย่องเข้ามานั่งข้างบุญปลีก
“ไอ้เพี้ยนมันมาเรียกทำไม” บุญปลีกถาม
บุญปลีกหันมาเห็นจ่าแม่นก็ช็อกแล้วรีบคลานตัวลีบออกมา จ่าแม่นเอามือสะกิดเวียงที่นั่งข้างๆ
เวียงรำคาญ “อะไรวะนังปลีก สะกิดอยู่ได้” เวียงมองไพ่ในมือ “เฮ้ยย..ป๊อกเว้ยยย ปอ...”
เวียงหันมาเจอจ่าแม่นก็ถึงกับช็อกจนตาค้างทำให้คำว่า “ป๊อก” ที่จะพูดหลุดผ่านกระเดือกหายเข้าไปในคอ
“แหม..ทำเป็นช็อก ไม่เคยป๊อกก็ยังงี้แหละ 5 5 5 5” ไสวหัวเราะ
เวียงส่ายหน้าปรายตาไปที่จ่าแม่น ไสวมองตามแล้วเสียงหัวเราะก็ขาดกลางอากาศจนถึงขั้นใบ้รับประทานขึ้นมาทันที บานชื่นดันแบ็งค์๒๐ แบงค์๕๐และเหรียญ๑๐บาทอีก ๒-๓ เหรียญไปให้เวียง แล้วสับไพ่ต่ออย่างเมามัน
“เอ้า..ทีนี้ตาฉันบ้างล่ะ ไม่ป๊อกไม่เลิกเว้ยวันนี้” บานชื่นบอก
จ่าแม่นถาม “ทำอะไร”
“สับไพ่” บานชื่นตอบ
“ทำไมมาเล่นตรงนี้” จ่าแม่นถามต่อ
บานชื่นตอบทันที “แอบตำรวจ”
แล้วบานชื่นก็ชะงักกึกก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเห็นจ่าแม่นส่งยิ้มชวนสยิวให้
ขาไพ่ทุกคนพร้อมใจกันแหกปาก “ตำรวจ”
อารามตกใจบานชื่นจึงยกเท้าถีบจ่าแม่นจนกระเด็นก่อนจะโยนไพ่กระจาย แล้ววิ่งหนีออกไปพร้อมทุกคน
จ่าแม่นตะโกนไล่หลัง “จะหนีไปไหน”
จ่าแม่นวิ่งตามแก็งค์พนันออกไป โดยมีจินตวัฒน์กับกำจรวิ่งตาม
เวียง บุญปลีก บุญปลอด และบานชื่นวิ่งนำออกมา โดยมีจ่าแม่น จินตวัฒน์ กำจร วิ่งไล่ตามหลัง กลุ่มนักพนันกับเจ้าหน้าที่วิ่งไล่จับกันชุลมุนจากซ้ายไปขวา จากหน้าไปหลัง วิ่งทะแยงมุม วิ่งซิกแซกสลับฟันปลา วิ่งมาชนกันเอง พยุงกันลุกขึ้น แล้วก็วิ่งจับกันอีก ฯลฯ ในที่สุดผู้ถูกล่าและผู้ไล่ล่าก็วิ่งหนีกระเจิงไปกันละทิศละทาง
ดาวเรืองขี่มอเตอร์ไซด์โดยมีเพี้ยนซ้อนท้าย
“ฮ่าๆๆ สะใจไอ้เรืองจริงเว้ย หมามุ๋ยกำเดียว คันกันยกบ้าน” ดาวเรืองหัวเราะ
“ป่านนี้เกากันก้นแดงแล้วมั้งพี่เรือ”
ดาวเรืองกับเพี้ยนหัวเราะออกมาด้วยกัน
ทันใดนั้นเสมอใจก็ขี่มอเตอร์ไซด์สวนมาพอดี
เสมอใจตะโกนทั้งๆที่ขี่มอเตอร์ไซด์ “ไอ้เรือง! เกิดเรื่องแล้ว!!”
ดาวเรืองจอดมอเตอร์ไซด์อย่างงงๆ เสมอใจจอดมอเตอร์ไซค์เทียบด้วยหน้าตาตื่น
“เรื่องอะไรพี่เหมอ?”
ดาวเรืองถาม
บนโต๊ะที่มีผ้าปูสีขาว มีไพ่ของกลางเรียงเป็นตัวหนังสือสวยงามว่า “ไพ่” เลียนแบบการแถลงข่าวจับกุมยาบ้าตามข่าวในทีวี
บานชื่น เวียง บุญปลีก บุญปลอด และไสวยืนเรียงหน้ากระดานโดยปั้นหน้าโศกไปด้วย
เวียงโอดครวญ “ฉันเคยมีเรื่องกับใครที่ไหน ใครมันกลั่นแกล้งแจ้งจับฉันหา..จ่าแม่น บอกมาเดี๋ยวนี้เลย ฉันไม่ไปเอาเรื่องมันหรอก แค่อยากรู้แค่นั้นว่ามันเป็น..ใคร!!”
“รู้จักคนชื่อผู้ใหญ่ผันมั้ยน้าเวียง คนนั้นล่ะที่แจ้งจ่าแม่นให้มาจับ” กำจรบอก
ผัน สุวรรณ แหลม และกรอดที่ปะแป้งตรางูลายพร้อยทั้งตัวเดินเข้ามายืนประกาศลั่นกลางห้อง
ผันกระหยิ่ม “ไหน..ขอดูหน้าเจ้าของบ่อนที่วันๆไม่ทำอะไร นอกจากทำผิดกฎหมาย บั่นทอนศีลธรรม มอมเมาชาวบ้านให้มาเล่นไพ่ แล้วไอ้พวกที่มาเล่นก็ช่างไม่มีอะไรทำ ไม่รู้ไม่มีลูกผัวให้ดูแลกันรึไง”
ไสวซึ่งเสื้อผ้ายังชื้น ผมยังลีบลู่เสียทรง ขยับเข้ามายืนเท้าเอวอยู่ด้านหลังผู้ใหญ่ผัน
“เออ..ฉันมันไม่มีลูกไม่มีผัว แต่ไอ้ที่มีลูกมีผัวก็มี ผู้ใหญ่แหกตาดูบ้างสิ”
ผัน สุวรรณ แหลม และกรอดพลิกตัวหันหน้ามา เวียงซึ่งอยู่ด้านในสุดเดินเบียดทุกคนออกมายืนหน้าผัน
ผันงง “เอ้า..แม่เวียงมาทำไมที่นี่”
“ก็โดนจับมาสิวะ นี่..มันเรื่องอะไรของแกหาพี่ผัน คนจะพักผ่อนเฮฮากับเพื่อนฝูงนิดๆหน่อยๆ ดันไปเรียกตำรวจมาจับ ทีแกขนเงินไปตีไก่อยู่ในบ่อนเป็นวันๆ ฉันเคยบ่นอะไรมั้ย” เวียงว่า
ผันเสียงอ่อย “ก็..พี่จะรู้ได้ยังไงว่าแม่เวียงแวะไปจั่ว ก็แม่เวียงบอกไปธุระ ที่พี่แจ้งจับไอ้เรือง ก็เพราะมันเอาหมามุ่ยมาใส่โอ่งน้ำให้พี่กับไอ้พวกนี้อาบ เห็นมั้ยผื่นขึ้นเต็มตัวเหลือแต่ลูกตา”
พูดจบ ผัน สุวรรณ แหลม และกรอดก็เกาเป็นลิงเพราะแป้งที่ทาไว้หมดฤทธิ์ที่ทำให้เย็นสบายตัวพอดี
“ใส่ความลูกฉันอีกแล้ว รู้ได้ยังไงว่าไอ้เรืองมันเป็นคนทำ” บานชื่นถาม
“โอ๊ยย..แล้วจะทำยังไง ลูกผัวฉันก็ยังไม่มี ฉันไม่อยากติดคุก” ไสวบ่น
“ลูกสาวตัวดีหายหัวไปไหนล่ะพี่บาน ไหนคุยว่าจั่วจนเหนี่ยงยานก็ไม่ถูกจับไง มันหายไปไหนหา ไอ้เรืองน่ะ” บุญปลีกถาม
ดาวเรืองเดินเข้ามาพร้อมเสมอใจและเพี้ยน “ฉันอยู่นี่”
สุวรรณเสียงอ่อย “ไอ้เรือง”
บานชื่นโผเข้ามากอดลูก “เรือง..ลูกแม่”
ดาวเรืองพูดเสียงกร้าว “ใครหน้าไหน มันกล้ามาจับแม่ข้า”
สุวรรณ แหลม และกรอด ชี้มาที่ผู้ใหญ่ผันแล้วพูดพร้อมกัน “พ่อ / พ่อผู้ใหญ่”
ผันแก้ตัวน้ำขุ่นๆ “ข้าแจ้ง แต่ไม่ได้จับ”
“จ่าแม่น” ดาวเรืองหันไปหา
“ข้ารับแจ้ง แต่ไม่ได้เป็นคนจับ” จ่าแม่นบอก
ดาวเรืองหันไปอีก “น้าจร”
กำจรรีบแก้ตัว “ข้าจับน้าไหว ไม่ได้จับน้าบาน”
ดาวเรืองเสียงเข้ม “ถ้างั้นใครจับแม่บานของข้า”
จินตวัฒน์ขยับเข้ามาเผชิญหน้า “ฉันเอง”
ดาวเรืองโกรธจนหน้ากระดิก “ไหน หลักฐาน”
“อยู่ที่โต๊ะโน่นไง” จินตวัฒน์ชี้ไปที่ห้องทางด้านหลัง “ไปดูให้เห็นกับตา”
“กลัวตายล่ะ”
ดาวเรืองขยับตัวเดินไปที่ห้องเพราะรับคำท้าจินตวัฒน์ แต่แล้วจู่ๆเสมอใจก็เป็นลมล้มตึงแล้วเอามือขยุ้มที่ท้อง
เสมอใจครวญคราง “โอ๊ยย..ปวด..ช่วยด้วย ปวดท้อง ปวดด”
เสียงร้องของเสมอใจเบนความสนใจของทุกคนให้พุ่งมาที่เธอไม่เว้นแม้แต่จินตวัฒน์ ทุกคนเฮมาดูเสมอใจ ดาวเรืองขยิบตาให้เพี้ยน เพี้ยนรีบวิ่งเข้าไปในห้องของกลาง
เพี้ยนวิ่งหน้าตั้งเข้ามากวาดไพ่ใส่ถุงพลาสติกที่พับมาอย่างดีในกระเป๋า
ดาวเรืองเรียกความสนใจของทุกคนมาที่เสมอใจหนักขึ้นด้วยการทำน้ำเสียงตื่นเต้นร้อนรน
“ไส้ติ่งอักเสบ เครียดลงกระเพาะ ม้ามแลบ ไตวาย หรือ..” ดาวเรืองคิด
“หรือว่าท้อง เอ็งปวดท้องคลอดลูกรึเปล่านังเหมอ!!” สุวรรณถาม
“โธ่..ไอ้วรรณ!!! ไม่หล่อแล้วยังโง่อีก เหมอมันเคยมีผัวซะที่ไหน..หา” ดาวเรืองว่า
“เวรกรรม ป้าถูกจับหลานล้มป่วย จะมีใครซวยกว่านี้มั้ยเนี่ย” ไสวเปรย
ระหว่างที่ทุกคนกำลังมะรุมมะตุ้มเสมอใจ หางตาของจินตวัฒน์ก็เห็นอะไรแวบๆ ไวๆ ในห้อง เขาจึงหันไปมองก็เห็นเพี้ยนถือถุงพลาสติกกระโดดข้ามหน้าต่างห้องแสดงของกลางลงไปที่ระเบียงด้านนอกแล้ววิ่งหายไป
จินตวัฒน์เหล่มองดาวเรือง ดาวเรืองแอบหันไปมองเพี้ยน พอเห็นเพี้ยนหายไปจากห้องแล้วเธอก็หันมาหาเสมอใจ จินตวัฒน์รีบสลายตัวออกไปทางด้านหน้าสน.
ดาวเรืองส่งสัญญาณให้เสมอใจ “จะมัวมุงกันอยู่ทำไม รีบพานังเหมอไปส่งโรงพยาบาลสิวะ”
พอได้ยินสัญญาณลับที่ดาวเรืองส่งให้ เสมอใจก็ดีดตัวขึ้นนั่ง อาการเจ็บปวดทุรนทุรายเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้ง
เสมอใจยิ้มแฉ่ง “หายแล้วจ้ะ”
สุวรรณพูดไปเกาไป “อะไรของเอ็งวะนังเหมอ เมื่อกี้ยังดีดดิ้นจะเป็นจะตาย”
“มันไม่เจ็บไม่ตายก็ดีแล้ว เอ็งจะงงทำไมหา..ไอ้ลิงกัง!!” ดาวเรืองว่า
สุวรรณทำท่าขึงขัง “พูดอย่างงี้เดี๋ยวมี..จูบ”
ดาวเรืองยกขาขึ้นพร้อมตอกกลับ “ตาตุ่มแล้วกัน กำลังคันอยู่พอดี”
จ่าแม่นเข้ามายืนคั่นกลางแล้วพูดเย้ยปนกระหยิ่มยิ้มย่อง
“ก่อนจูบ รบกวนไปดูของกลางกันสักนิด จะได้จูบผ่านลูกกรงกันซึ้งๆ”
“ก็ไปสิ” ดาวเรืองบอก
จ่าแม่นเดินนำทุกคนกลับไปที่ห้องของกลางด้วยท่าทางอกผ่ายไหล่ผึ่งราวกับจอมพลนำทัพเข้าสู่สนามรบ แต่แล้วจอมพลก็หน้าหดกลายเป็นพลทหาร เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
“ไหน..ของกลาง” ดาวเรืองเอ่ยถาม
จ่าแม่นและทุกคนยืนมองโต๊ะที่เคยจัดเรียงไพ่ไว้อย่างสวยงามซึ่งบัดนี้กลายเป็นโต๊ะที่ว่างเปล่า ไม่มีไพ่สักใบเหลือทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า
โจทย์ ทั้งจำเลย รวมทั้งคนแจ้งและพยานพากันยืนอ้าปากหวอ จ่าแม่นหันขวับมามองดาวเรือง
ดาวเรืองส่งยิ้มหวานหยดก่อนจะยักคิ้วให้จ่าแม่น
เพี้ยนกระโดดจากระเบียงลงมา กลิ้งหลุนๆเป็นลูกขนุนไปกับพื้น ทำให้ถุงไพ่กระเด็นหลุดจากมือ
เพี้ยนร้องโอดโอย “โอ๊ย..อู๊ย”
เพี้ยนเอามือถูเนื้อตัวลดอาการเจ็บ สักครู่เขาจึงค่อยๆ ยันตัวขึ้นนั่งแล้วมองหาถุงพลาสติกใส่ไพ่
จินตวัฒน์ขยับเข้าถาม “หาอะไรเหรอเพี้ยน”
เพี้ยนเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นถุงที่ตัวเองหาอยู่ในมือจินตวัฒน์เรียบร้อยแล้ว
จินตวัฒน์ ดาวเรือง ผู้ใหญ่ผัน บานชื่น สุวรรณ เวียง บุญปลีก บุญปลอด ไสว และเพี้ยนลงมาจากสน. โดยมีจ่าแม่นและกำจรเดินตามมาด้วยหน้าตาจืดจ๋อย
ผันไม่อยากจะเชื่อ “เรื่องมันเป็นอย่างนี้ไปได้ยังไงวะ”
บานชื่นโวยใส่ “ทีหลังจะจับใครก็หาหลักฐานมามัดแน่นๆ ทั้งคนแจ้ง คนจับ มันเสียเวลาจั่ว..เอ๊ย..ทำมาหากินรู้รึเปล่า”
เวียงรีบพลิกลิ้น “ใช่ ฉันนั่งคุยกันอยู่ดีๆก็มาจับ ฉันจะฟ้องกลับแกจ่าแม่น”
บุญปลอดท่อง “มุสาวาทา เวรมณี”
กำจรพูดต่อ “สิกขาปะทังสมาทิยามิ สาธุ”
“ไม่ต้องทำเป็นมือถือสากปากถือศีลเลยไอ้จร ฉันจะฟ้องแกด้วย แกโอบกอดลวนลามฉัน รัดฉันแน่นยังกะงูหลามตอนที่พาฉันมาที่นี่” ไสวว่า
แหลมกับกรอดดูสารรูปไสวแล้วอุทานพร้อมกัน “จริงอะ!!”
“แหม..สาวใหญ่บ้านดอนล้อมแรด พลิกลิ้นกันเห็นๆเลยนะ ได้..ถ้างั้นฉันก็จะฟ้องกลับว่าผู้ใหญ่ผันแจ้งความเท็จ” จ่าแม่นว่า
“อ้าว..ทำไมมาลงที่ข้า” ผันถาม
“หนูห้ามแล้วใช่มั้ยว่าอย่าจับแฟนหนู พ่อก็ไม่เชื่อ เห็นมั้ยฟ้องกลับกันอีรุงตุงนัง” สุวรรณบอก
“ที่แท้..ผู้ใหญ่นี่เองที่เป็นตัวการ ไหนคุยออกลั่นทุ่งว่าถ้าไม่มีหลักฐานก็แจ้งจับใครไม่ได้ไง แล้วไหนล่ะ..หลักฐาน” ดาวเรืองเย้ย
จินตวัฒน์เดินเข้ามาพร้อมถุงไพ่ในมือ โดยมีเพี้ยนยืนยิ้มแหะๆอยู่ข้างๆ
จินตวัฒน์พูด “นี่ไง..ไพ่ ๒ สำรับ ครบเซ็ท”
ทุกคนหันมามองจินตวัฒน์เป็นตาเดียว
ดาวเรืองกัดฟันกรอดพร้อมกับจ้องหน้าจินตวัฒน์เขม็ง ขณะที่ยื่นเงินค่าปรับให้จ่าแม่น
จ่าแม่นยิ้มเย้ย “ข้าบอกเอ็งแล้วใช่มั้ยว่า ให้จ่ายค่าปรับมาซะดีๆ”
เวียงกลายเป็นลมเพลมพัด “ใช่ จ่ายไปซะตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องเดินขึ้นๆลงๆ ให้ปวดข้อปวดเข่าอย่างนี้”
บุญปลอดท่องออกมา “สรรพสิ่งย่อมเสื่อมไปตามเวลา”
“จะมาโปรดสัตว์อะไรตอนนี้หา..นังปลอด” บุญปลีกไม่พอใจ
“เอาน่า..แค่เสียหน้ากับเข่าเสื่อมนิดหน่อย จ่ายค่าปรับแล้วก็แล้วกัน” กำจรบอก
ดาวเรืองจ้องหน้าจินตวัฒน์ “วันพระไม่ได้มีหนเดียว”
“ใช่ ไว้วันพระคราวหน้าค่อยมาจั่วกันใหม่” บานชื่นบอก
สุวรรณยังคันคะเยอ “จะโกรธพ่อข้าก็โกรธไปนะไอ้เรือง แต่อย่าโกรธข้านะ ข้าทำใจไม่ได้”
“เอ็งก็เอาเครื่องปั่นไฟไปคืนวัดสิ” ดาวเรืองบอก
สุวรรณรับคำ “ก็ได้”
แหลมรีบสวนเสียงดัง “พี่วรรณไม่ได้ขโมย เอ็งจะให้เอาที่ไหนไปคืน”
“ก็เอ็งเอาไปตึ้งไว้ที่ไหน ก็ไปเอาคืนที่นั่นล่ะ” เพี้ยนว่า
“ข้าขอประกาศไว้ตรงนี้เลยนะว่า ถ้าไอ้พวกโจรห้าร้อยยังไม่เอาของกลางไปคืนวัดข้าจะทำให้พวกมันร้อนรนทุรนทุรายยิ่งกว่าเจอหมามุ่ยร้อยเท่าพันเท่า” ดาวเรืองบอก
ผันพูดหน้าตาย “ใครเจอหมามุ่ย ใครคัน”
จินตวัฒน์งง “อ้าว..ยังไงกันครับ ก็เมื่อกี้ผู้ใหญ่บอกเองว่าโดนหมามุ่ยมา”
ผัน สุวรรณ แหลมและกรอดพูดเสียงสูงพร้อมกัน “เปล๊า”
แต่ทั้งสี่ก็เก็บอาการคันไว้ไม่มิด ทั้งที่พยายามแต่ก็ยังเต้นหยุกหยิกไปมาไม่อยู่สุข
“อยากลองดีก็เอา คราวนี้จะเอาให้หนังพองน้ำเหลืองกระจายเลยคอยดู” ดาวเรืองขู่
“มันจะมากไปแล้วนะเว้ย แม่ชื่นทำไมไม่รู้จักสั่งสอนลูกตัวเองมั่ง” ผันว่า
“ทำไมจะไม่สอน ฉันสอนให้มันรู้ดีรู้ชั่วอยู่ทุกวัน ใครทำดีก็ยกย่อง ใครทำชั่วก็ต้องประจาน ผู้ใหญ่ไม่ได้ทำชั่วแล้วจะเดือดร้อนทำไม”
เวียงเข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ไอ้พวกขโมยของวัดนั่นต่างหากที่มันชั่วววว ถ้าพ่อแม่มันไม่สั่งสอนก็ให้ไอ้เรืองมันสั่งสอน ก็ถูกแล้วไง”
สุวรรณ แหลม และกรอดสะดุ้ง
“แต่เธอจะไปลงโทษใครโดยไม่มีหลักฐานไม่ได้นะ..ดาวเรือง” จินตวัฒน์บอก
“ฉันรู้แล้ว ถ้าไม่มีหลักฐานแล้วนายจะทำให้ฉันหมดตัวได้อย่างวันนี้เหรอ” ดาวเรืองถาม
ดาวเรืองส่งสายตาแข็งกร้าว แบบไม่เป็นมิตรให้จินตวัฒน์อย่างเปิดเผย
อ่านต่อหน้า 2
ดาวเรือง ตอนที่ 2 (ต่อ)
เสมอใจนั่งหน้าละเหี่ยที่บ้านดาวเรือง
“ขอโทษนะเรือง เหมอคิดว่าจะรอด แต่ก็ต้องมาจนมุมปลัดใหม่จนได้”
ไสวลงนั่งข้างเสมอใจ ในขณะที่บานชื่นชงโอเลี้ยง โดยมีดาวเรืองและเพี้ยนรับมาเสิร์ฟให้ทั้งคู่
“ข้าว่าแล้ว เอ็งถึกยังกะแรด เคยป่วยกะใครซะที่ไหน ไหงถึงลงไปชักดิ้นชักหงอยังงั้นได้” ไสวว่า
“ก็เรืองบอกว่าถ้าเหมอทำ คนจะเชื่อแล้วก็เบนความสนใจมาที่เหมอ” เสมอใจเล่า
“เออ...ฉลาดเป็นกรดเลยนะไอ้เรือง แต่ยังไงก็แพ้ปลัดใหม่อยู่ดี 5 5 5” ไสวหัวเราะร่า
“นั่นสิป้า หนูว่าหนูไวแล้วนะ แต่ไอ้ปลัดนั่น มันโผล่มาจากไหนไม่รู้ จู่ๆมายึดถุงไพ่ไปเฉยเลย” เพี้ยนบอก
“เที่ยวนี้ก็คงได้ปิดบ่อนไปนาน...เฮ้อ” บานชื่นเซ็ง
“แล้วปลัดใหม่นี่มันเป็นใคร ทำไมถึงมาช่วยไอ้จ่าแม่นจับเราล่ะ คนไม่เคยมีเรื่องกันมาก่อน ไม่ได้อกหักรักคุดเพราะแม่เอ็งอย่างจ่าแม่นสักหน่อย” ไสวบอก
“ฉันจะไปรู้มันเหรอ ฉันไม่ชอบหาเรื่องใครก่อนอยู่แล้ว แต่ถ้าใครมาหาเรื่องฉันก่อน ฉันก็จะกัดให้จมเขี้ยวเลย เชื่อหัวไอ้เรืองเหอะ”
ดาวเรืองย้ำประโยคสุดท้ายด้วยความเจ็บใจไม่ใช่กระหยิ่มยิ้มย่องเหมือนทุกครั้ง
จ่าแม่นหัวเราะลั่นจนเห็นลิ้นไก่กระพือไปมา
“ฮ่าๆๆ”
“ได้เงินค่าปรับไอ้เรืองแค่เนี่ย มีความสุขยังกะถูกหวย” กำจรแขวะ
“แหงล่ะ..กว่าจะจับมันได้ข้าต้องเหงื่อไหลไคลย้อยมากี่ปี จับทีไรมันหนีรอดไปได้ทุกที”
“ครั้งนี้ก็เกือบไป ถ้าคุณปลัดไม่โกยหลักฐานกลับมายันได้ ข้าว่าช๊วน” กำจรบอก
จ่าแม่นไม่พอใจ “แต่ถ้าข้าไม่เริ่มไปจับมันก่อน คุณปลัดก็ไม่มีหลักฐานมาเล่นงานมัน”
“แหม..ปัญหากำปั้นทุบดินยังกะไก่เกิดก่อนไข่ หรือไข่เกิดก่อนไก่ ก็ถ้าผู้ใหญ่ไม่แจ้งจ่าจับ แล้วจ่าจะไปจับมันเหรอ”
“ทำไมต้องขัดขวางความสุขของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ด้วยวะ” จ่าแม่นว่า
“เอาเป็นว่า เราสองคนช่วยกันทำงานดีกว่าจ่า” จินตวัฒน์สรุป
“พูดอย่างนี้ค่อยดูให้เกียรติกันหน่อย เราจะร่วมมือกัน จับไอ้เรืองกันต่อไปนะครับ” จ่าแม่นบอก
“ถ้าเขาทำผิดนะครับ และก็ไม่ใช่แค่ดาวเรืองคนเดียว ผมจะช่วยจ่าจับทุกคนที่ทำผิดกฎหมายครับ”
พูดจบจินตวัฒน์ก็มีสีหน้ามุ่งมั่น จ่าแม่นกับกำจรแอบเหล่แล้วคิดในใจว่าอุดมการณ์แรงกล้าแต่จะอยู่ได้สักกี่น้ำ
ณ ทุ่งดอกหญ้าล้อที่มีลมสะบัดไหว จินตวัฒน์กับกำจรเดินคุยกันมาตามทาง
“ตอนที่แก็งค์ผู้สูงอายุยังรุ่นๆ ผู้ใหญ่ผัน หลวงตาคง จ่าแม่น เคยแข่งกันจีบน้าบานชื่น แม่ของไอ้เรืองมันครับ แต่สุดท้ายก็แห้วรับประทานกันทุกคน เลยเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาจนทุกวันนี้” กำจรเล่า
“จะว่าไปถ้าผู้ใหญ่ทุกคนทำตัวให้น่าเคารพ เด็กอย่างดาวเรืองก็คงไม่กล้าก้าวร้าว” จินตวัฒน์บอก
“มันก็มีส่วนครับ ผู้ใหญ่ผันแกก็เป็นอย่างที่เห็น เรื่อยๆเฉื่อยๆ ว่าไงว่าตามกัน ไม่ทำอะไรจริงจังสักอย่างนอกจากเลี้ยงไก่ หลวงตาคงหลังจากอกหักก็หันมาทำให้คนหลงใหลศรัทธาด้วยการเป็นร่างทรง ส่วนจ่าแม่นนั่นสุดโต่งเลย พ่ายรักแล้วตามล้างตามเช็ดลูกเดียว”
“ถ้างั้นเรื่องที่ผู้ใหญ่ผันบอกว่าดาวเรืองเอาหมามุ่ยไปใส่ในตุ่มน้ำ ก็น่าจะไม่ใช่เรื่องจริง”
“โอ๊ยย..ผมว่าจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อกี้เราเจอมันแหวกดงหญ้าออกมาแถวๆนี้ จำได้มั้ยครับ”
จินตวัฒน์พยักหน้า
“นั่นล่ะครับ ลึกเข้าไปด้านในมันคือดงหมามุ่ย คุณปลัดคิดว่ามันเข้าไปปลูกหรือเข้าไปเก็บมาแกล้งคนล่ะครับ ไอ้เรืองมันแสบจะตาย”
“แต่ยังไง เขาก็ยังเด็ก”
กำจรแค่นหัวเราะ “ไอ้เรืองมันยังเด็ก..หึ..หึ..หึ”
ที่สตูดิโอถ่ายทำโฆษณาแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ทีมงานกำลังมะรุมมะตุ้มนางแบบคนหนึ่ง ทั้งผู้กำกับแสงที่เข้ามาวัดแสง ทั้งช่างแต่งหน้าช่างทำผมที่มาดูแล ทั้งเซ็ตผมปัดแก้ม ทั้งทีมงานเสื้อผ้าที่เข้ามาดูแลความเรียบร้อย ทุกคนล้อมหน้าล้อมหลังนางแบบคนนั้นอยู่พักใหญ่
ผู้ช่วยผู้กำกับตะโกนบอก “เอ้า!!! เคลียร์เฟรมจะถ่ายแล้ว”
ทุกคนค่อยๆสลายตัวออกมา ในขณะที่นางแบบบิดตัวหันหลังให้กล้องพอดี
ผู้ช่วยผู้กำกับตะโกนบอก “Sound !”
แผนกเสียงขานรับ “Sound Rolling !”
“Camera !!”
แผนกกล้องขานรับ “Set”
คนตี Slate พูดเสียงดัง “Shot 8 Take 2”
ผู้ช่วยผู้กำกับสั่ง “Action”
สุดาวดี นางแบบที่รวบผมหลวมๆ ในลักษณะเซ็กซี่เหมือนเพิ่งขึ้นจากอ่างอาบน้ำหันหน้ามาพูดกับกล้องพร้อมทั้งจิกตาโปรยเสน่ห์ใส่กล้องสุดฤทธิ์
“มาอาบความชุ่มชื่นให้กับชีวิตกับโรสสิคะ”
ผู้กำกับสั่ง “คัท!!! โอเค..อยู่”
สุดาวดีฉีกยิ้มหวานเดินมาหาผู้กำกับฯ ในขณะที่เธออยู่ในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำสีขาว
“เดี๋ยวถ่ายช้อตในอ่างอาบน้ำ พักได้เป็นชั่วโมงเลยโรส” ผู้กำกับบอก
“ค่ะ” สุดาวดีมองหาแล้วตะโกนเรียกเสียงหวาน “พี่น้ำหวานคะ”
น้ำหวานเดินอย่างคล่องแคล่วเข้ามา
สุดาวดีกระซิบถาม “โทรมารึยัง”
น้ำหวานตอบ “ยัง”
สุดาวดีชักสีหน้าเหมือนผิดหวังอย่างรุนแรงก่อนจะหันมาพูดห้วนๆ ใส่น้ำหวาน
“เป็นไปได้ยังไง!! พี่น้ำหวานเปิดเครื่องรึเปล่า”
“อู๊ยยย..พี่ก็เปิดมันทั้งวันทั้งคืน เคยปิดซะที่ไหน น้องโรสถือไว้เองมั้ยล่ะ”
“ถ้าโรสต้องถือเอง โรสจะจ้างพี่น้ำหวานทำไม อย่าลืมตามหมอนวดไปที่ห้องด้วยล่ะ”
พูดจบสุดาวดีก็สะบัดหน้าพรึ่ดเดินออกไปอย่างหงุดหงิด
น้ำหวานบ่นตามหลัง “เหวี่ยงอยู่ได้ แค่ผู้ชายไม่โทรหาแค่เนี้ย”
สักครู่เสียงไอโฟนของสุดาวดีก็ดังขึ้น น้ำหวานหยิบขึ้นมาดูแล้วไฟหน้าจอก็ดับวูบ
“อ้าว แบตหมดซะงั้น” น้ำหวานหย่อนไอโฟนใส่กระเป๋า
โทรศัพท์อีกเครื่องของน้ำหวานดังขึ้น น้ำหวานคุยโทรศัพท์เจ๊าะแจ๊ะโดยลืมโทรศัพท์อีกเครื่องไปเลย
จินตวัฒน์ซึ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินเช็ดผมที่เพิ่งสระมาหมาดๆไป รอให้ปลายสายรับโทรศัพท์ไป
“อาหารเย็นมาแล้วคร้าบบบ คุณปลัด” กำจรบอก
“ขอบใจ” จินตวัฒน์กดวางสายแล้วแอบถอนใจเล็กๆ
“โทรหาแฟนหรือครับ”
“รู้ได้ไง”
“ก็ตั้งแต่กลับมา ผมเห็นคุณปลัดตั้งหน้าตั้งตารอว่าเมื่อไหร่จะห้าโมง พอห้าโมงปุ๊บ ผมก็เห็นคุณปลัดหยิบโทรศัพท์ปั๊บ แล้วก็โทรๆๆๆๆ แบบนี้..ถ้าไม่ใช่แฟน ก็แม่ล่ะครับ”
จินตวัฒน์ชม “ฉลาด”
กำจรยิ้มหน้าบาน “ขอบคุณครับ”
“แต่ถ้าขยันด้วย บ้านเมืองจะเจริญกว่านี้”
กำจรหุบยิ้มเหงือกแห้งติดฟัน จินตวัฒน์แอบขำก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบแล้วเปลี่ยนเป็นไม่สบายใจ ที่สุดาวดีไม่รับสาย
พฤกษ์เดินถือช่อบูเกต์ซึ่งเป็นดอกกุหลาบอัดแน่นมีป้ายเล็กๆ เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า “ SORRY “ แนบมาด้วย พฤกษ์เดินมาทางหน้าห้องแต่งตัวแล้วมองซ้ายมองขวาเหมือนหาอะไรสักอย่าง สักครู่เขาก็มาหยุดยืนที่หน้าห้องซึ่งมีป้ายติดว่า “ คุณโรส ”
พฤกษ์เคาะประตู สักครู่ก็มีจากด้านในดังลอดออกมา “เข้ามา”
พฤกษ์เปิดประตูเข้าไป เขามองสำรวจห้องที่มีเตียงนอน เก้าอี้พักผ่อน โต๊ะทำงานเล็กๆ โต๊ะกินข้าวเล็กๆ ทุกอย่างตกแต่งอย่างดีราวกับห้องในโรงแรมหรู
สุดาวดีเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วถอดเสื้อคลุมอาบน้ำสีขาวโยนลงบนเก้าอี้ ก่อนจะเดินไปนอนคว่ำหน้าที่เตียง พฤกษ์ยืนตะลึงตาโตเมื่อเห็นหญิงสาวอยู่ในชุดเสื้อกล้ามรัดรูปโชว์สะดือตัวจิ๋วกับกางเกงขาสั้นที่คว้านโคนขาจนแทบจะเป็นกางเกงใน
สุดาวดีไม่ได้หันมามองอะไรแต่พูด “น้ำมันอยู่บนโต๊ะ หยิบมาเลย”
พฤกษ์ยืนเอ๋อ
สุดาวดีย้ำ “ไม่เห็นรึไง”
พฤกษ์หันไปเห็นน้ำมันอะโรม่ากลิ่น Country Rose วางอยู่ที่โต๊ะจึงวางช่อดอกไม้ แล้วหยิบขวดน้ำมันเดินมายื่นให้หญิงสาว
สุดาวดีปรายตามาเห็นมือที่ถือขวดน้ำมัน “นวดต้นคอก่อน เมื่อยจะตายอยู่แล้ว”
พฤกษ์พูด “ผม..นวดไม่เป็น”
สุดาวดีผงกหัวขึ้นมาเพราะงงว่าทำไมคนนวดแทนตัวเองว่า “ผม” เธอหันมามองคนที่ถือขวดน้ำมันในมือแล้วกรี๊ดลั่น
“กรี๊ดด” สุดาวดีวิ่งไปหยิบเสื้อมาคลุมตัว “แก..นาย..นายเข้ามาทำไม เข้ามาได้ยังไง”
“ผม..คือ..ผมมาจากร้านบะ..”
สุดาวดีสวนขึ้นมาทันที “ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ ฉันต้องการนวดกับหมอนวดผู้หญิง”
“ผมไม่ใช่หมอนวดครับ คือ..คุณจะ..”
“ไม่ใช่หมอนวดแล้วแกเข้ามาทำไม แกเป็นใคร คิดจะลวนลามแล้วถ่ายคลิปแบคเมลฉันเหรอ รู้จักฉันน้อยไปซะแล้ว”
“เดี๋ยวครับ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ผมแค่จะเอาดอก..”
สุดาวดีไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น “เห็นว่าฉันเป็นดาราดัง แล้วคิดจะขู่เรียกเงินฉันใช่มั้ย”
พฤกษ์อึ้ง “คุณเป็นดาราดัง”
“ไอ้บ้า! แกไม่เคยได้ยินชื่อสุดาวดีเลยรึไง!”
พฤกษ์ช็อก “สุดาวดี! เอ่อ..ผมขอโทษ ผมเข้าห้องผิด ขอโทษนะครับที่มารบกวน”
พฤกษรีบวิ่งไปหยิบช่อบูเกต์บนโต๊ะก่อนจะวิ่งออกไป
สุดาวดีตวาดแว้ดตามหลังไป “ฉันออกจะดัง ไม่รู้จักฉันได้ยังไงห๊า..ไอ้บ้า!”
สุดาวดีโกรธที่พฤกษ์ไม่รู้จักเธอ มากกว่าการที่ชายหนุ่มบุกเข้ามาในห้องเสียอีก
พฤกษ์วิ่งหอบดอกไม้หน้าตื่น ออกมาจากห้องจนมาถึงโถงด้านหน้า เขาถอนใจเฮือกก่อนจะหันไปเห็นครีเอทีฟ ๒-๓ คนนั่งคุยงานกันอยู่
พฤกษ์เดินเข้าไปหา “เอ่อ..ขอโทษนะครับ ผม..ไม่เจอคุณโรสน่ะครับ”
“อ้าว..ไม่ได้อยู่ในห้องเหรอ” ครีเอทีฟเหลือบเห็นน้ำหวานเดินมา “อ่ะ..นั่นไงมานั่นล่ะ..ไปหาคนนั้นเลยไป”
พฤกษ์หันไปมองน้ำหวาน “ขอบคุณมากครับ” แล้วเดินเข้าไปหา
น้ำหวานเห็นรูปร่างหน้าตาพฤกษ์อินเทรนด์เตะตาเลยส่งยิ้มแสดงความเป็นมิตรอย่างเหลือเฟือ
“ผม..เอาดอกไม้จากคุณจิ๋นมาให้คุณโรสครับ”
“อ้อ.. ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ไม่ทราบน้องทำงานอะไรอยู่ที่ไหน หรือว่ายังเรียนหนังสืออยู่คะ สนใจจะเข้าวงการเป็นนายแบบ ถ่ายโฆษณา เล่นหนังเล่นละครมั้ยคะ ถ้าสนใจ โทรหาพี่ได้ทุกเวลานะคะ”
น้ำหวานหยิบนามบัตรในกระเป๋ายื่นให้
“ผม..เอ่อ..ผมไม่มีความสามารถด้านนี้ครับ”
“มาลองเทสต์หน้ากล้องดูก่อนก็ได้”
“ไม่ดีกว่าครับ เดี๋ยวคุณโรสจะเสียเวลาเปล่า ขอบคุณมากนะครับที่ชวน ผมขอตัวก่อนนะครับคุณโรส” พฤกษ์เดินออกไปอย่างสุภาพ
น้ำหวานยิ้มตัวพอง “คุณโรส แหม..หล่ออินเทรนด์แล้วยังตาแหลมอีกต่างหาก”
น้ำหวานดีใจคิกคักที่ความใฝ่ฝันอยากจะสวยเซ็กอย่างสุดาวดีเพิ่งมีคนค้นพบวันนี้เอง
เวียงถลาเข้ามาพร้อมกับตีหน้ายักษ์แหกปากลั่น
“ไอ้หนูวรรณ!”
สุวรรณพุ่งเข้าไปกอดขาเวียง “จ้าแม่ อย่าตีหนูนะ หนูกลัวแล้วจ้า”
บุญปลอดท่อง “อทินนาทานาเวรมณี สิกขาประทัง สมาทิยามิ การลักทรัพย์ทำให้มือแสบมือพอง
คล้ายโดนถลกเนื้อเอาเกลือทา”
ผัน สุวรรณ แหลม และกรอดมองดูมือตัวเองที่แสบพองแล้วแหกปากร้องลั่น “อะ..จ๊ากกกก”
“ใครใช้ให้พวกเอ็งทำเรื่องโง่ๆอย่างนี้ห๊า !!” เวียงว่า
“อย่าทำอะไรหนูวรรณเลยนะพี่เวียง หนูวรรณยังเด็ก ยังไม่รู้ประสา” บุญปลีกร้องขอ
“เอ็งไปแบกออกจากวัดมาได้ยังไงทั้งใหญ่ทั้งหนักปานนั้น ทำไมไม่ขโมยไอ้ที่เบาๆกว่านั้นล่ะเว้ย” เวียงบอก
ทุกคนร้องพร้อมกัน “อ้าว”
ไสวเดินหิ้วตะกร้าใส่กล่องเทียนขี้ผึ้งขึ้นบ้านมาหลายกล่อง
บุญปลีกหันไปถาม “มาทำไมยะ”
“แวะเอาเทียนมาทำทานคนแถวนี้” ไสวบอก
“จะไปจุดธูปเทียนไหว้พระที่ไหนก็ไปก่อนเถอะไป๊ คนกำลังมีเรื่องวุ่นวาย ยังไม่มีอารมณ์ทำบุญเว้ย” เวียงไล่
“วุ่นวายก็เพราะโดนหมามุ่ยกันทั้งบ้านใช่มั้ยล่ะ” ไสวรู้ทัน
บุญปลอดพาซื่อ “ทำไมรู้ล่ะ”
“ข้าเป็นหมอสมุนไพรนะนังปลอด แค่ใช้หางตามองผาดๆแวบเดียวข้าก็รู้แล้วว่าไอ้ที่คันคะเยอ บวมพองกันอยู่นี่มันเป็นเพราะฤทธิ์จากขนหมามุ่ย ข้าถึงได้เอาเทียนขี้ผึ้งมาถอนพิษถอนขนมันให้นี่ไง เดี๋ยวจะหาว่าคนบ้านเดียวกันไม่มีน้ำใจ”
เวียงพูดจาลมเพลมพัดเหมือนเคย “แล้วก็ไม่บอกตั้งแต่แรก ถ้างั้น..เชิญๆๆ”
“แล้วข้าต้องทำยังไงวะนังไหว” ผันถาม
“ก็นอน แล้วเอาขี้ผึ้งรนไฟอ่อนๆกลิ้งไปมาตามตัว ขนหมามุ่ยมันก็จะหลุดตามขี้ผึ้งออกมา”
“เอ้า!!!งั้นก็รีบมานอนเรียงๆกันเข้า” เวียงบอก
ไสวสั่ง “ถอดเสื้อผ้าออกให้หมด”
ทุกคนตกใจ “ห๊า!!”
“ก็คันกันทั้งตัวไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่ถอนรากถอนโคนมันจนหมด ก็อย่างหวังว่าจะหายคัน เอ้า!!!แม่เวียง จัดการ”
“จะให้ข้านอนฝันร้ายทั้งคืนรึไง นังปลีก จัดการ” เวียงสั่ง
“ถึงฉันจะแก่นเซี้ยวเปรี้ยวซ่าแค่ไหน ฉันก็ไม่ก๋ากั่นถึงขั้นทนเห็นผู้ชาย ๔ คนแก้ผ้าพร้อมๆกันได้นะ นังปลอดแล้วกัน” บุญปลีกปัด
“ฉันตั้งจิตอธิษฐานไว้แล้วว่า ชาตินี้จะไม่ยอมให้ชายใดแตะเนื้อต้องตัว นอกจากพี่ผันคนเดียวเท่านั้น” บุญปลอดบอก
“แล้วที่เหลือใครจะทาวะ!” เวียงถาม
“เดือดร้อนสาวโสดอย่างข้าอีกแล้ว มานี่..ไม่มีใครทำ ข้าทำเอง เอ้า..ถอดเสื้อ” ไสวสั่ง
ผัน วรรณ แหลม กรอด รีบถอดเสื้ออย่างว่าง่ายเพราะคันจนไม่คิดจะอายฟ้าดินอีกต่อไปแล้ว
เวียง บุญปลีก บุญปลอดร้องออกมา “อุดจาด / อุบาทว์ / คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกด้วย”
ทั้ง ๓ เอามือปิดตาวิ่งป่าราบเข้าห้องไป
ไสวทำเมินแต่พอ ๓ หนุ่ม ๑ แก่เผลอก็แอบฮิฮะในใจ เพราะโอกาสทองที่จะได้เห็นผู้ชายแก้ผ้าพร้อมกัน ๔ คนไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆ
ถึงจะตึงบ้าง อ้วนบ้าง ฝ่อบ้าง เหี่ยวบ้างก็ช่างเถอะ ไสวคิดในใจ
เสียงโอดโอยดังลั่นออกมานอกหน้าต่าง เป็นเสียงผัน
“โอ๊ยย..เบามือหน่อยสิวะนังไหว เห็นข้าเป็นหม้อน้ำมนต์รึไง ถึงได้หยดเทียนใส่ข้าอยู่ได้”
“โอ๊ยยยย..ร้อนเว้ยร้อนนน น้าไหวว..ฉันจะเป็นปลาลวกจิ้มแจ่วอยู่แล้ววนะเว้ย” สุวรรณร้องตาม
แหลมร้องบ้าง “อู๊ยย..มันเปลวข้า..โอ๊ยย..ละลายหมดตัวแล้ววว ไอ้กรอดช่วยข้าด้วยย”
“ข้ารู้แล้วว่าตกนรกกระทะทองแดงมันเป็นยังไง ไอ้แหลม” กรอดคร่ำครวญ
“เอ็งรีบเลยนะไอ้วรรณ เอาอะไรของใครมาทางไหน รีบเอาไปคืนทางนั้นเลยนะ..ไปมันคืนนี้เลย โอ๊ยยยย..เอ็งจะเผาข้าเหรอนังไหว หนังจะไหม้อยู่แล้วนะเว้ยย” ผันว่า
ระหว่างที่เสียงโอดครวญดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย ดาวเรืองกับเพี้ยนกอดเสาหัวเราะกันจะเป็นจะตายอยู่ที่ใต้ถุนบ้าน
“ถึงขนาดจะเอาของไปคืนวัด มันคงเข็ดไปนานเลยนะพี่เรือง” เพี้ยนบอก
“แค่นี้ยังไม่พอเว้ย”
“ห๊า..ส่งป้าไหวไปรนไฟลวกพวกมันขนาดนั้นแล้วยังไม่พออีกเหรอ”
“เออ..เข็ดอย่างเดียวไม่พอ ต้องทำให้มันหลาบจำกันด้วย”
ดาวเรืองยิ้มเจ้าเล่ห์ ในขณะที่เสียงร้องครวญครางดังขึ้นเรื่อยๆ และดังต่อเนื่องไม่หยุดไม่หย่อน
แหลมกับกรอดช่วยกันหาบเครื่องปั่นไฟเข้ามาในวัด โดยมีสุวรรณเดินถือตะเกียงส่องนำทางอยู่ข้างๆ
“ที่ซวยซ้ำซวยซากอยู่เนี่ยก็เพราะไอ้น้ำมันพรายเฮงซวยของไอ้หลงตานี่คนเดียว” สุวรรณบ่น
“ยังไงพี่” กรอดถาม
“ก็เอ็งไม่เห็นเหรอว่ามันไม่ได้ผล มันทำให้ไอ้เรืองโกรธข้า”
“แล้วไงพี่” กรอดถามต่อ
“มันทำให้ข้าต้องขโมยเครื่องปั่นมาซื้อโทรศัพท์ง้อไอ้เรือง”
“แล้วไงพี่” กรอดถามอีก
“พวกเราก็โดนหมามุ่ยน่ะสิวะ..ไอ้โง่!! เอ็งจะมาถามหาสวรรค์วิมานอะไรตอนนี้ ห๊า..ไอ้กรอด กระดูกไหล่ข้าจะหักเป็นท่อนๆอยู่แล้ว”
“ฝากไว้ก่อนเถอะหลงตา กลับออกมาจากวัดเมื่อไหร่ เจอดีแน่..เอ้า..รีบไปสิวะ” สุวรรณเร่ง
สุวรรณ แหลม และกรอดเดินแบกเครื่องปั่นไฟผ่านเจดีย์ หลวงตาคงเดินออกมาจากเงามืดของเจดีย์แล้วยิ้ม
“หนอยไอ้วรรณ กล้ามาลบหลู่หลวงตาคง! หึๆๆ”
แหลมกับกรอดหาบเครื่องปั่นมาวางที่เดิมแล้วปาดเหงื่อ
“เรียบร้อย ไปพี่ ไปจัดการหลงตาคงกัน เอาให้มัน...”
แหลมยังพูดไม่ทันจบก็มีเสียงผู้ชายสวนขึ้น “...รู้สำนึกซะบ้าง”
แหลมพูดกับกรอด “เออ..พูดอย่างนี้ ค่อยดูฉลาดทันกันหน่อย”
“อะไร ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลย” กรอดหันไปพูดกับสุวรรณ “ไปเล่นงานมันเลยพี่ มันจะได้รู้ว่าพี่ใหญ่แค่ไหน”
ทันใดนั้นมือซีดเผือดแถมมีเลือดสดๆไหลตามง่ามมือก็เข้ามาสะกิดสุวรรณ
เสียงเด็กชายดังขึ้น “ใหญ่เท่าพ่อหนูมั้ย”
สุวรรณกระหยิ่มยิ้มแล้วหยอกกลับ “พ่อหนูใหญ่แค่ไหนล่ะ”
สุวรรณเหลียวมาเห็นมือที่เปื้อนเลือด “เลือด”
สุวรรณ แหลม กรอดหันมามองเจ้าของมือที่เปื้อนเลือดพร้อมกัน ก็เห็นเป็นเด็กผีหน้าขาวจั๊วะ ตาแดงก่ำเป็นนกกระปูดกำลังแสยะยิ้มที่เห็นฟันแหลมเป็นฟันปลาฉลามซึ่งโชกไปด้วยเลือด ผีเด็กตนนั้นกำลังชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้าเหมือนต้องการให้ทุกคนมองอะไรสักอย่าง
สุวรรณ แหลม และกรอดค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองตามมือเด็กผีจนคอตั้งบ่า แล้วทุกคนก็ตาเหลือกค้างเมื่อเห็นผีเปรตตัวสูงกว่า ๕ เมตรกำลังก้มหน้าที่มีตาถลน หัวเป็นหนังติดกะโหลกเต็มไปด้วยแผลเน่าเปื่อยพุพอง เนื้อตัวคลุมด้วยผ้าสีหม่นเหมือนผ้าห่อศพปล่อยชายทิ้งยาวลงมากรอมพื้น สักครู่ตาที่เหลือกถลนนั้นก็หล่นลงมาห้อยโตงเตง ๑ ข้างชนิดที่เกือบถึงหน้าทั้งสาม
สุวรรณ แหลม และกรอดแหกปากกรี๊ดลั่นแต๋วแตก
“ผะ..ผะ..ผีเปรต”
แล้วผมของทุกคนก็พร้อมใจกันตั้งเด่โดยไม่ได้นัดหมาย ก่อนที่ทั้งหมดจะวิ่งเปิดตูดหนีไปโดยไม่คิดชีวิต เมื่อทุกคนวิ่งกระเจิงออกไปหมดแล้ว ผี ๒ ตนก็หัวเราะลั่น ผีเปรตตัวพ่อรวบชายผ้าที่กรอมพื้นขึ้น เผยให้เห็นว่าด้านในผ้ามีบันไดสูงถึง ๓ เมตรซ่อนอยู่ ผีเปรตไต่ลงบันไดมาแล้วถอดหนังหัวกะโหลกที่ใช้คลุมหน้าออกเผยให้เห็นว่าภายใต้หนังอันหน้าสะพรึงกลัวนั้นคือหน้าของ ดาวเรืองที่กำลังขำแก็งค์ของสุวรรณจนท้องคัดท้องแข็ง
เพี้ยนในมาดของผีเด็กขำ “โกยแน่บ 5 5 5 5 ขำเว้ยยยย ไป..เสร็จภารกิจเราแล้วพี่เรือง”
ดาวเรืองพูด “ยัง”
“ห๊า”
“หัวตั้งไม่พอ ต้องล่อให้โกร๋น..สมกับความผิดที่มันทำกับวัดกับวา โอบหลังแล้วตามตลบหน้า ลุย”
พูดจบดาวเรืองชูกำปั้นกร้าวนำทัพแข็งขัน
อ่านต่อหน้า 3
ดาวเรือง ตอนที่ 2 (ต่อ)
ฟากจินตวัฒน์เดินถือตะเกียงมาตามทางกับกำจร กำจรมองไปข้างหน้าแล้วหันมาขอร้องจินตวัฒน์ ด้วยหน้าตาหวาดๆ อะไรสักอย่าง
“ไปเยี่ยมกำนันเทิ้มพรุ่งนี้ดีกว่าครับ มันดึกแล้ว แกอาจจะเข้านอนแล้วก็ได้”
“ดึกอะไร ยังไม่สองทุ่มเลย ไปวันนี้ล่ะ ทิ้งไว้หลายวัน แกจะว่าเราไม่มีน้ำใจอีกอย่างฉันก็อยากจะรู้ด้วยว่าใครยิงแก” จินตวัฒน์บอก
“แต่...”
“แต่อะไร เอาแบบไม่ต้องอ้อมนะ ขี้เกียจถามหลายที”
“คือ..ทางไปบ้านกำนัน มันต้องผ่านป่าช้าน่ะครับ มันเปล่าเปลี่ยววิเวกวิเหวโหว”
จินตวัฒน์แอบขำ “ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง ถ้างั้นนายกลับไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวฉันเดินไปเรื่อยๆก็ถึงเองล่ะ” จินตวัฒน์เดินนำไปก่อน
“นั่นไง..คิดว่าเราโง่ จะหลอกให้ไอ้จรโดนผีหลอกคนเดียวล่ะสิ ไม่มีวันซะล่ะ”
กำจรรีบสาวเท้าตามจินตวัฒน์ ในขณะที่จินตวัฒน์เหล่ตามองไปข้างหลังแล้วยิ้มขำกำจร
สุวรรณวิ่งผมตั้งนำทุกคนมาตามทางเดินข้างป่าช้า
แหลมตะโกนไล่หลัง “พี่วรรณรอด้วย”
สุวรรณเบรกเอี๊ยดเมื่อเห็นอะไรอยู่ตรงหน้า เขารีบหันกลับไปหาแหลมกับกรอด
กรอดวิ่งหอบตามมา “ในที่สุดพี่ก็ไม่ทิ้งพวกเรา”
“รวมกันเราอยู่ แยกกันเราหลอนนะพี่” แหลมบอก
สุวรรณขยับออกมายืนข้างแหลมเผยให้เห็นผี ๒ ตนที่เขายืนบังอยู่ทางด้านหลัง
“หนูพาแม่มารู้จักน้าๆจ้ะ” เพี้ยนที่แต่งเป็นผีพูด
ดาวเรืองสวมหน้ากากยางเป็นผีผู้หญิงผมยาวตัวขาวหน้าขาวจั๊วแต่ตาดำโบ๋เพิ่มความสยองพองขนด้วยแสงจากตะเกียงที่เธอยกขึ้นจ่อที่หน้าในขณะที่ยืนเคียงข้างผีไอ้เพี้ยน
สุวรรณ กรอด และแหลมร้องพร้อมกัน “อ๊าก !!”
ทั้งหมดสติแตกจะวิ่งหนีกันไปคนละทางแต่แล้วก็ชนกันจนล้มกลิ้ง ผีผู้หญิงดาวเรืองกับผีเด็กเพี้ยนเดินเข้ามายืนกังจ้าใกล้ๆ
สุวรรณ กรอด และแหลมร้องพร้อมกัน “อ๊าก !!”
กรอดกับแหลมจะวิ่ง แต่สุวรรณลุกขึ้นวิ่งไม่ไหว สุวรรณฉุดขาของแหลมกับกรอดไว้ ทำให้แหลมกับกรอดล้มหัวทิ่ม
“ขาฉันชา ! อุ้มฉันไปด้วย” สุวรรณสั่ง
แหลมรีบหิ้วแขนสุวรรณ ส่วนกรอดรีบหิ้วขา แหลมวิ่งไปทางซ้าย กรอดวิ่งไปทางขวา แหลมกับกรอดจึงดึงตัววรรณไปคนละทาง
“โว้ย !!! ไปทางเดียวกันสิ” สุวรรณโวยวาย
แหลมกับกรอดมองหน้าแล้วแหลมเลือกไปทางขวา กรอดไปทางซ้าย แหลมกับกรอดจึงดึงร่างสุวรรณไปคนละทางอีก
“โว้ย !!! ไปทางขวา” สุวรรณสั่ง
แหลมกับกรอดต่างวิ่งไปทางขวาของตัวเอง ทำให้แหลมกับกรอดดึงสุวรรณไปคนละทางอีก
“โว้ยยยย !! ปล่อย ! กูไปเอง”
แหลมกับกรอดปล่อยสุวรรณ สุวรรณมองผีอีกทีแล้ววิ่งหางจุกตูด แหลมกับกรอดรีบวิ่งตามสุวรรณ ผีดาวเรืองกับผีเพี้ยนมองพวกสุวรรณวิ่งหางจุกตูดแล้วหัวเราะสะใจ
ดาวเรืองเอาตะเกียงที่จ่อหน้าลงแล้วดึงหน้ากากยางออกพร้อมกับเพี้ยน แล้วทั้งสองก็หัวเราะลั่น
“เอายังไงต่อดีพี่” เพี้ยนถาม
“คนบาปอย่างพวกมัน โดนแค่นี้มันไม่สาสม ต้องเอาให้หัวโกร๋น” ดาวเรืองบอก
ดาวเรืองขำแล้วสวมหน้ากากยางก่อนจะพาเพี้ยนวิ่งตามไป
สุวรรณ แหลม และกรอดวิ่งป่าราบผมตั้งเด่มาทางหลังป่าช้า
แหลมชะลอฝีเท้าอย่างเหนื่อยหอบ “หยุดก่อนพี่ ฉันวิ่งไม่ไหวแล้ว”
สุวรรณกับกรอดหันไปมองทางด้านหลังว่าผีแม่ลูกจะตามมารึเปล่าพอไม่เห็น สุวรรณกับกรอดก็หยุดหายใจเหนื่อยหอบ
เสียงเย็นยะเยือกดังขึ้น “เหนื่อยเหรอ ?”
“เหนื่อยสิ! ถามโง่ๆไอ้กรอด” สุวรรณว่า
กรอดงง “ฉันยังไม่ได้ถามอะไรเลย” กรอดหันไปหาแหลม “แกถามเหรอวะ”
แหลมเหนื่อยหอบ “ถามอะไร แค่จะหายใจ ยังไม่ทันเลย”
“ถ้าพวกเอ็งไม่ได้ถาม..แล้วใครถามวะ” สุวรรณสงสัย
ทั้งสามหันมาดู แล้วก็ต้องตะลึงตัวชาวาบเมื่อเห็นผีหัวขาดยืนจังก้า
สุวรรณ กรอด และแหลมร้องพร้อมกัน “อ๊าก !!”
สุวรรณกระโดดขี่คอแหลม กรอดกระโดดขี่ทางด้านหน้าแหลม แหลมวิ่งแบกทั้งสุวรรณและกรอดอย่างไม่รู้สึกหนักออกไป ผีหัวขาดมองตามพวกสุวรรณที่วิ่งเปิดตูดไป
ผีดาวเรืองกับผีเพี้ยนวิ่งตามมาเห็นพวกสุวรรณวิ่งหนีไปอีกทางแล้วก็งงว่าวิ่งหนีอะไร
“มันวิ่งหนีอะไรกันวะ”
เพี้ยนหันไปมองทางผีหัวกะโหลกขาวตาลึกโบ๋ที่คลุมหัวและตัวด้วยผ้าดำ มือของผีขาวซีดและเต็มไปด้วยแผลเหวอะกำลังถือเคียวเปื้อนเลือด เพี้ยนชะงักแล้วทำหน้าจะร้องไห้ ผีหัวกะโหลกหันมาทางดาวเรืองและเพี้ยนแล้วก็นิ่งชะงักเพราะตกใจสุดขีดนึกว่าเห็นผีเหมือนกัน
“พะ..พะ..พี่เรือง” เพี้ยนกลัว
“เป็นอะไรของเอ็งวะ” ดาวเรืองถาม
เพี้ยนชี้ไปทางผีหัวกะโหลก
ดาวเรืองมองไปทางผีหัวกะโหลกแล้วก็ตกใจสุดขีด
ผีทั้งสามร้องพร้อมกัน “อ๊าก!!”
ทั้ง ๓ วิ่งกระเจิงออกไปสองทาง ดาวเรืองกับเพี้ยนไปด้วยกัน ส่วนผีกระโหลกวิ่งแยกไปอีกทาง
จินตวัฒน์กับกำจรที่กำลังเดินอยู่ชะงักกึกเมื่อได้ยินเสียงคนร้องตะโกนดังแว่วมา
จินตวัฒน์ชะงัก “นั่นเสียงอะไรน่ะ ?”
กำจรชะงักแล้วกระโดดกอดแขนจินตวัฒน์ “สะ..สะ..เสียงผีมาขอส่วนบุญ”
จินตวัฒน์พยายามฟังเสียง “ไม่ใช่ ! มันเสียงคนร้อง ..ไปดูกันดีกว่า”
จินตวัฒน์จูงกำจรเดินเข้าไปในป่าช้า แต่กำจรขืนตัวไม่ยอมไปด้วย
“มะ..มะ..ไม่เอา ! ผมกลัวผี”
“ผีที่ไหน ! ไม่มีหรอก”
ทันใดนั้น สุวรรณ แหลม และกรอดก็วิ่งแหกปากหน้าตาตื่นสวนออกมาจากป่าช้าแล้วเตลิดไปอีกทาง “ผีหลอกก !”
จินตวัฒน์กับกำจรมองตามพวกสุวรรณด้วยความตกใจและงง
กำจรกระโดดกอดแขนจินตวัฒน์ “คะ..คะ..คุณปลัดได้ยินไหม ไอ้วรรณมันบอกว่า..”
จินตวัฒน์กับกำจรหันกลับมาก็ชนเข้ากับดาวเรืองและเพี้ยน จินตวัฒน์ชนกับดาวเรืองโดยเขาเอื้อมมือไปดึงหน้ากากผีของดาวเรืองติดมือในขณะที่ล้มไป ส่วนเพี้ยนล้มทับกำจร กำจรเห็นเพี้ยนที่แต่งเป็นผีแล้วก็ช็อค
“ผะ..ผะ..ผะ..ผะ..ผะ..” ยังไม่ทันพูดคำว่าผี กำจรก็เป็นลมล้มตึงไปทันที
จินตวัฒน์มองหน้ากากผีในมือตัวเอง
ดาวเรืองอึ้ง “บรรลัยแล้ว”
ดาวเรืองรีบเอาผมลงมาปิดหน้าไว้ แล้วพุ่งไปแย่งหน้ากากผีจากมือจินตวัฒน์ ก่อนจะจูงเพี้ยนวิ่งหนี จินตวัฒน์ได้สติและรู้ว่านั่นไม่ใช่ผีจึงรีบพุ่งไปคว้าขาดาวเรืองไว้
“เดี๋ยวก่อน”
ดาวเรืองยื้อขากลับแต่จินตวัฒน์ก็ไม่ยอมปล่อย สุดท้ายดาวเรืองจึงตัดสินใจถีบชายหนุ่มจนกระเด็นแล้ววิ่งมาดึงแขนเพี้ยนออกไป
จินตวัฒน์ลุกขึ้นยืนก็พบว่าผีสาวกับผีเด็กหายตัวไปแล้ว เหลือไว้แต่รองเท้าผ้าใบข้างหนึ่งที่ติดอยู่ในมือของเขา
จินตวัฒน์เจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจที่จับตัวผีปลอมไม่ได้ “ใครวะ !”
ผีหัวกะโหลกวิ่งกระหืดกระหอบมานั่งที่บันไดกุฏิหลวงตาคงแล้วถอดเสื้อที่สวมคลุมหัวออกทำให้เห็นว่าเป็นหลวงตาคงเอง
“จะจัดการไอ้วรรณสักหน่อย ดันโดนหลอกซะเอง..กู”
เช้าวันใหม่ เวียง บุญปลีก บุญปลอดถือถาดใส่เครื่องคาวหวานเตรียมลงไปใส่บาตร แล้วทั้ง ๓ ก็ต้องกรี๊ดลั่นเมื่อเห็นสุวรรณ แหลม และกรอดนอนตาลอย รอบตาบวมคล้ำ หัวตั้งเด่เรียงอยู่ที่ระเบียง
“กรี๊ดด”
บุญปลอดเอามือทาบอก “คุณพระคุณเจ้าช่วย เพิ่งเห็นกันอยู่หลัดๆแท้ๆ”
เวียง บุญปลีก บุญปลอดวิ่งเข้าไปดูสุวรรณ
“หนูวรรณ!!!เป็นอะไรลูก ใครทำลูกข้าเป็นแบบนี้ พี่ผัน..พี่ผัน มานี่เร้ว” เวียงเรียก
ผันเดินงัวเงียออกมาจากห้อง
“มีอะไรแม่เวียง”
“หนูวรรณ..หนูวรรณ” บุญปลีกปล่อยโฮ
ผันจ้ำมาดูลูกแล้วก็หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง “ไอ้วรรณ” ผันพูดกับบุญปลอด “นังปลอด..ไปตามคนมาหามไอ้ ๓ คนนี่ไปวัด..เร็วเข้า”
บุญปลอดยกมือขึ้นไหว้ “อนิจจัง วัฏสังขารา”
เวียงแว้ดใส่ “ลูกข้ายังไม่ตายนะนังปลอด” เวียงเสียงอ่อยลง “แค่ใกล้ตายแค่นั้น” เวียงหันไปพูดกับผัน “พี่จะให้หามขึ้นเมรุเลยเหรอ”
“เปล่า พี่จะให้หลวงพี่จ้อยกับไอ้คงช่วยดูว่าพวกมันไปโดนอะไรมา นังปลีกไปตามนังไหวมาที เพื่อต้องเจียดยาอะไร” ผันสั่ง
บุญปลีกกับบุญปลอดหันไปมอง ๓ หนุ่มที่นอนตาค้างไม่วางตา
ผันโวยใส่ “เอ้า..รีบๆไปสิเว้ย เดี๋ยวก็ได้หามขึ้นเมรุจริงๆหรอก”
บุญปลีกกับบุญปลอดตกใจจนวิ่งมาชนกันเองทำให้ล้มก้นจ้ำเบ้าก่อนจะลนลานออกไป ผันกับเวียงมองลูกชายด้วยความเป็นห่วง ขณะที่สุวรรณ แหลม และกรอดยังนอนตาลอยไม่หาย
บานชื่นเอาไม้เสียบพริกพันด้วยสำลีจุ่มลงไปในทิงเจอร์ไอโอดินจนชุ่มแล้วทาลงที่ฝ่าเท้าดาวเรือง ทำให้ดาวเรืองร้องลั่นนน
“จ๊าก...แสบบบ..แม่เบา..เบา..อู๊ยยย..โอ๊ย”
“นี่ล่ะ..พระท่านว่ากรรมตามสนอง”บานชื่นว่า
“ฉันอุตส่าห์ไปอบรมสั่งสอนคนผิดให้มันกลับใจนะแม่”
“สอนเยอะไปมั้ยพี่เรือง หลอกไปหลอกมาเลยโดนหลอกซะเอง วิ่งกันป่าราบ” เพี้ยนบอก
“ก็แค่ฝึกจิตให้แข็งกับได้วิ่งออกกำลังกายนิดหน่อยแค่นั้น เกี่ยวกับเวรกรรมที่ไหน”
“แล้วไอ้เลือดที่ไหลซิปๆอยู่นี่ล่ะ” บานชื่นถาม
“ก็เพราะไอ้ปลัดนั่น ถ้ามันไม่มาดึงขาฉันไว้ รองเท้าฉันก็ไม่หลุด ตะ..เอ๊ย บาทาก็ไม่แตกแบบนี้ คู่เก่งด้วย วิ่งหนีไอ้จ่าแม่นรอดมาได้ทุกครั้งก็เพราะไอ้คู่นี้ ไม่รู้หลุดไปตอนไหน เพราะไอ้ปลัดขี้ไก่นั่นคนเดียว” ดาวเรืองว่า
บานชื่นเอาผ้าก็อชพันเท้าให้ “ข้าว่าเขาไม่ขี้ไก่นะ ดูฉลาดแล้วก็จริงจังกับงานหมือนกัน”
“แย่งไพ่ไอ้เพี้ยนได้ เขาไม่เรียกฉลาดนะแม่ เขาเรียกรังแกเด็ก ไปเว้ย”
“จะพากันไปไหนอีก” บานชื่นถาม
“ไปดูลาดเลา ตอนบ่ายต้องเอาเหล้าไปส่งเจ๊กฮวด”
“ระวังตัวให้ดีล่ะ” บานชื่นเตือน
“เชื่อหัวไอ้เรืองเหอะน่า”
ดาวเรืองทำท่าไม่ยี่หระใส่แม่ก่อนจะหยิบรองเท้าผ้าใบเน่าๆอีกข้างมาสวมเข้ากับคู่เดินแล้วเดินออกไปกับเพี้ยน
จินตวัฒน์นั่งที่โซฟาในบ้านพัก เขาหยิบรองเท้าผ้าใบของดาวเรืองขึ้นมาดู
“เล็กขนาดนี้ รองเท้าผู้หญิงแหง”
กำจรก้าวเข้ามายืนตรงหน้าจินตวัฒน์แล้วเอ่ยทัก
“สวัสดีครับคุณปลัด”
จินตวัฒน์เงยหน้าขึ้นมามอง “ตื่นแล้วเหรอ”
กำจรยืนหัวตั้งเด่เอามือแคะขี้ตาอย่างเมามัน
“ครับ ขอโทษด้วยนะครับที่ต้องนอนที่นี่ แถมยัง..” กำจรยิ้มแหยๆ “ตื่นสาย”
“เมื่อคืนนายนอนละเมอทั้งคืน หลับไม่สนิทก็ต้องตื่นสายเป็นธรรมดา”
“เลยเป็นภาระคุณปลัดเลย”
“นายไปเจออะไร ถึงได้สลบเหมือดอย่างนั้น”
กำจรทรุดตัวลงนั่งแล้วเบะปากจะร้องไห้ “หัวตั้งขนาดนี้ ผมจะเจออะไร นอกจากผีอี๋อี๋” กำจรคร่ำครวญ “ผมบอกคุณปลัดแล้วว่าอย่าไปๆ คุณปลัดก็ไม่เชื่อ เห็นมั้ยล่ะ เจอจนได้ ฮือ..ฮือ..ฮือ” กำจรเหลือบเห็นรองเท้าที่พื้น “อ้าว..รองเท้าไอ้เรืองมาอยู่นี่ได้ไง”
“ของดาวเรืองเหรอ นายแน่ใจนะ”
“แน่ใจสิครับ ใครมันจะอุตริเอาปากกาวาดรูปกระดูกไขว้กะโหลกไว้ที่รองเท้าอย่างมันล่ะ มันบอกทำสัญลักษณ์ไว้ ใครขโมยไปจะได้ตามไปตั๊นหน้าถูกคน”
“งั้นเหรอ”
จินตวัฒน์ยิ้มกริ่ม
ดาวเรืองเดินออกมาจากหลังร้านพร้อมเพี้ยน ในขณะที่บานชื่นเดินมากระซิบถามลูกขณะเหล่มองจินตวัฒน์ที่นั่งอยู่กับกำจร
บานชื่นกระซิบดาวเรือง “ปลัดเขาจะมาเอาเรื่องเอ็งรึเปล่าวะ ?”
“ฉันหลอกผีไอ้วรรณ ! แต่ปลัดเสล่อโผล่มาเอง ฉันไม่ผิด ! จะมาเอาเรื่องฉันได้ยังไง” ดาวเรืองบอก
ดาวเรืองเดินไปหยิบกระบวยเคาะหม้อน้ำร้อนเสียงดังปัง จินตวัฒน์และกำจรสะดุ้ง
“เอ้า!!!ใครจะเอาอะไรก็ว่ามา บอกไว้ก่อนนะว่าที่นี่ขายเงินสด ไม่ว่าจะชาวนา..ชาวสวน..แม่ค้า..ครู..หรือข้าราชการระดับสูง..ก็ต้องจ่ายสดงดเชื่อเบื่อทวง!!”
“กาแฟร้อน ๒” กำจรสั่ง
ดาวเรืองยื่นแก้วกาแฟร้อนให้เพี้ยน
“ไอ้เพี้ยน..เสิร์ฟแล้วเก็บตังค์มาเลย งดเชื่อเบื่อทวง!”
เพี้ยนรับพวงหิ้วกาแฟมาเสิร์ฟให้จินตวัฒน์กับกำจร
จินตวัฒน์ถาม “เท่าไหร่”
บานชื่น เพี้ยน และลูกค้าอื่นๆตอบอย่างเป็นมิตรพร้อมกันโดยบังเอิญ “๒๐ บาทจ้ะ”
ดาวเรืองสวนขึ้นมา “๔๐”
“จะ ๔๐ ได้ไงไอ้เรือง กาแฟร้านเอ็ง แก้วละ๑๐ สองแก้วก็ ๒๐ สิ” กำจรบอก
“ขึ้นราคาแล้ว เป็นแก้วละ ๒๐”
“อะไรของเอ็งนี่ไอ้เรือง คุณปลัดเขาอุตส่ามาเยี่ยมบ้าน เอ็งควรให้กินฟรีด้วยซ้ำ” บานชื่นบอก
“ปลัดก็คนธรรมดาอย่างเราแหละแม่ ไม่มีอภิสิทธิ์เหนือชาวบ้านคนอื่น” ดาวเรืองบอก
“แล้วทำไมขายแพงกว่าคนอื่น” จินตวัฒน์ถาม
“ก็บอกแล้วว่าขึ้นราคา” ดาวเรืองพูด
กำจรถามต่อ “ขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็ตั้งแต่ปลัดก้าวเท้าเข้ามานี่แหละ” ดาวเรืองบอก
“ขึ้นราคาแบบนี้ค้ากำไรเกินควร ผิดกฎหมาย” จินตวัฒน์บอก
“อ้อ..อยากกินแบบแก้วละ ๑๐ บาท..ก็ได้”
ดาวเรืองหยิบกาแฟของจินตวัฒน์และกำจรออกมาเทลงพื้นไปครึ่งนึง แล้วส่งกลับให้ ทุกคนหันมามองจินตวัฒน์เป็นตาเดียว จินตวัฒน์พยายามควบคุมอารมณ์ก่อนจะพูดขึ้น
“ปริมาณน้อยกว่ามาตรฐาน ถือว่าเอาเปรียบผู้บริโภค”
ดาวเรืองไม่หวั่น “ไม่ยาก”
ดาวเรืองเดินกลับไปเอากระบวยตักน้ำร้อนมาเติมใส่แก้วกาแฟให้ทั้งคู่จนแทบจะล้นแก้ว
“ได้ปริมาณตามมาตรฐานรึยัง”
เพี้ยนและลูกค้าทุกคนขำก๊าก ในขณะที่บานชื่นยิ้มเจื่อนๆให้จินตวัฒน์
“กาแฟ นม น้ำตาล ขึ้นราคา แล้วจะไม่ให้แม่ค้าขึ้นราคาได้ไง จะกินไม่กิน..ไม่กินจะได้เทให้หมากิน” ดาวเรืองว่า
บานชื่นปราม “ให้มันน้อยๆหน่อยไอ้เรือง พูดจาอะไรให้มันหอมหูหน่อย”
“ผมบอกแล้ว ว่าที่นี่มันเสื่อม ผมชงให้กินที่อำเภอก็ได้ มานั่งกินนี่ให้มันด่าทำไม๊” กำจรบอก
บุญปลีกขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านมาที่หน้าร้าน
บานชื่นตะโกนถาม “จะไปไหนกัน ไม่แวะจั่ว” บานชื่นเหล่จินตวัฒน์ “เอ๊ย..กินน้ำกินท่าก่อน”
บานชื่นเดินไป ดาวเรืองมองตาม
บุญปลีกชะลอรถที่หน้าร้าน บานชื่นเดินออกมา
“แวะไม่ได้แล้ว ฉันต้องรีบไปดูก่อนว่าหลวงตาคงอยู่ที่สำนักหรือเปล่า พอดีมีเรื่อง” บุญปลีกบอก
ดาวเรืองกับเพี้ยนหูผึ่งแล้วก็ตามออกมายืนฟัง
“อ้าว เป็นอะไรกันล่ะ” บานชื่นถาม
ดาวเรืองหันมายักคิ้วใส่เพี้ยน ในขณะที่จินตวัฒน์แอบมองทั้งคู่อยู่ทางด้านหลัง
หลวงตาคงซึ่งนุ่งขาวห่มขาวพันหัวด้วยผ้าขาวทัดดอกดาวเรืองที่ข้างหูกำลังนั่งสวดพึมพำตัวสั่น เพราะร่างทรงเจ้าแม่ถึดทือกำลังเข้าประทับ สุวรรณ แหลม และกรอดนั่งตาลอยอยู่ตรงหน้า
โดยมีเวียง ผัน บุญปลีก บุญปลอด ไสว และเสมอใจนั่งล้อมวงดูอยู่
พระครูจ้อยเดินเข้ามาพร้อมกับดาวเรืองและเพี้ยน ทั้ง ๓ ยืนดูอยู่ไม่ไกล จินตวัฒน์กับกำจรก็ตามเข้ามายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับดาวเรือง
สักครู่ หลวงตาคงก็พึมพำและนั่งตัวสั่นหนักขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่หลวงตาคงจะเบิกตาขมึงทึงขึ้นมาแล้วทำหน้าดุดันแถมน้ำเสียงยังน่าเกรงขาม
“มัน ๓ คน โดนสิ่งเร้นลับลงโทษ !!”
เวียงยกมือไหว้ปลกๆ “สิ่งเร้นลับอะไรเจ้าคะเจ้าแม่”
“วิญญาณเจ้าที่”
ผันไม่เชื่อเพราะไม่ถูกกับหลวงตาคง “เจ้าที่อะไรวะไอ้คง เอ๊ย เจ้าที่ที่ไหนครับเจ้าแม่”
“เจ้าปู่ทรงเคียว”
สุวรรณ แหลม และกรอดหันมามองหน้าแล้วพูดพร้อมกันอย่างแทบไม่เชื่อหูตัวเอง “ฮ้าา”
หลวงตาคงพูดต่อ “เจ้าแม่จูออน”
“เฮ้ยย”
“กุมารอ้วนพี”
“เป๊ะเลย มีไอ้ผีเด็กอ้วนนั่นด้วย”
ทั้งสามกอดกันกลม “กลัวแล้วจ้า อย่ามาหลอกมาหลอนลูกเลย”
ดาวเรืองก้าวเข้าไปหาสุวรรณ
“ไอ้เรือง เอ็งมาดูใจข้าเหรอ เอ็งเป็นห่วงข้าใช่มั้ย” สุวรรณถาม
“เปล่า ข้าแวะมาดู เผื่อเอ็งตายจะได้อโหสิกรรมให้ แต่เอ็งต้องสารภาพกับเจ้าแม่ก่อนว่าเอ็งทำผิดอะไร” ดาวเรืองบอก
“อย่าให้ถึงขั้นนั้นเลยนะเรือง ไอ้วรรณโดนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เล่นงานหนักขนาดนี้คงไม่กล้าทำอะไรไม่ดีอีกแล้วล่ะ” เสมอใจว่า
“การได้สติรู้สำนึก มีค่ามากกว่าคำพูดที่เปล่งออกมาโดยขาดสำนึกนะไอ้เรือง” พระครูจ้อยเตือนสติ
“ละ..แล้ว เจ้าแม่รู้มั้ยเจ้าคะว่าผี ๓ ตนนั่นมาจากไหน ละ..แล้วต้องการอะไร” ไสวถาม
หลวงตาคงพูดต่อ “เจ้าปู่ทรงเคียว ท่านจะมาตอนมีของหาย ท่านจะคอยเอาเคียวเกี่ยวมือไอ้พวกที่มันชอบขโมยของวัด”
กรอดหลุดปาก “แม่นยังกะตาเห็น”
สุวรรณกับแหลมรีบเอามือตบหัวกรอดพร้อมกัน
“ส่วนเจ้าแม่จูออนกะกุมารอ้วนพีนั่นเป็นแม่ลูกกัน สองตนนั้นเกลียดพวกขโมยของวัดที่สุด”
“ข้าว่าแล้ว มันถึงได้มาเป็นคู่ แล้วไอ้ผีเปรตนั่นล่ะหลงตา” สุวรรณถามต่อ
หลวงตาคงงงว่ายังมีผีอะไรอีกเลยเผลอหลุดคาแรคเตอร์เจ้าแม่ถืดทือกลายเป็นหลวงตาคงคนเดิม
“ผีเปรตที่ไหนอีกวะ”
ดาวเรืองจับไต๋ได้ “เจ้าแม่ออกจากร่างแล้วเหรอหลงตา”
หลวงตาคงนึกขึ้นได้แล้วก็ไม่รู้จะทำยังไงเลยเลยตามเลย “เออ สงสัยท่านจะเหนื่อย”
“นึกว่าตอบคำถามไม่ได้เลยหนีไปดื้อๆ” ดาวเรืองแขวะ
หลวงตาคงกระทืบเท้าชี้หน้าทำโกรธจัดกลบเกลื่อนเรื่องที่ตัวเองเผลอ
“ไอ้เรือง!!! เอ็งอย่าลบลู่เจ้าแม่นะเว้ยยยยย ท่านเห็นใครเดือดร้อนมาหาท่าน ท่านก็ลงมาช่วยเหลือมาตักเตือน ท่านมาสอนให้คนคิดดีทำดี ไอ้ ๓ คนนี้มันคิดดีทำดีได้เองเหรอ คนดีๆที่ไหนมันจะโดนผีหลอก จะมีก็แต่คนเลวๆทั้งนั้นล่ะที่โดนหลอกจนหัวตั้งเด่แบบเนี้ย”
ระหว่างที่ตะโกน หลวงตาคงออกลีลาจัดจนผ้าที่โพกหัวไว้หลุดผ่านหน้าลงมา เผยให้เห็นผมที่ตั้งเด่ของหลวงตาชี้เป็นสง่าแทนที่ ทุกคนเห็นผมหลวงตาคงแล้วถึงกับอ้าปากหวอ หลวงตาคงหน้าซีดไปแวบหนึ่งก่อนจะก้มลงเก็บผ้าที่ตกอยู่ที่พื้นขึ้นมาแล้วแก้เก้อด้วยการเอามือลูบผม
“ข้าไม่ได้โดนหลอกเว้ย ไม่ต้องมอง แค่เอ็นหัวมันยึดแค่นั้น”
หลวงตาคงไล่มองทุกคนที่มองมาที่ตนเอง เพราะยิ่งบอกไม่ให้มองทุกคนยิ่งพากันมอง
“ที่นี่มีทุกอย่างยันผี” จินตวัฒน์มองดาวเรืองแล้วส่ายหัว “แสบจริงๆ”
ดาวเรืองเดินหัวเราะท้องคัดท้องแข็งมากับเพี้ยน
“โอ๊ย..ขำเว้ย คราวนี้หลงตาคงคงต้องไปให้หมอสะกิดรากผม แล้วก็เย็บหน้าที่แตกเพล้งให้เข้าที่แล้วว่ะ สมน้ำหน้าชอบงมงายชาวบ้านดีนัก”
“แสดงว่าไอ้ผีเจ้าปู่ทรงเคียวก็หลงตาคงสินะ ทำไมพี่เรืองไม่แฉมันกลางวงเลยล่ะ” เพี้ยนถาม
“ขืนแฉ พวกนั้นก็รู้สิว่าข้าคือเจ้าแม่จูออน ส่วนเอ็งไอ้กุมารอ้วนพี 5 5 5”
ทั้งคู่หัวเราะงอหายกันอีกครั้ง สักครู่เสียงหัวเราะก็หายไปเมื่อทั้งคู่เห็นจินตวัฒน์กับกำจรนั่งอยู่บนรถที่เปิดกระจกจอดอยู่ตรงหน้า
“สวยดีนะรองเท้า เทรนด์ใหม่เหรอ” จินตวัฒน์ถาม
“คนมันสวยใส่อะไรก็สวยช่วยไม่ได้ ไม่หนักกบาลใครด้วย หรือกบาลใครหนัก” ดาวเรืองย้อน
จินตวัฒน์ข่มใจไม่ให้โกรธ “ไม่หนักกบาลใครหรอก ฉันแค่คิดว่าเธออาจจะสวยกว่านี้ก็ได้ถ้าได้ใส่รองเท้าที่เข้าคู่กันกับ..สายคล้องกุญแจนี่”
จินตวัฒน์หยิบรองเท้าและสายคล้องกุญแจรูปหัวกะโหลกไขว้ขึ้นมาโชว์ ก่อนจะเปิดประตูลงมายื่นให้ ดาวเรืองกับเพี้ยนหันมามองหน้ากันเพราะงงว่ามันมาอยู่กับปลัดได้ยังไง ก่อนจะยื่นมือไปรับของคืนมา แต่จินตวัฒน์ชักมือกลับ
“ผู้ใหญ่คืนของให้ต้องทำยังไงก่อน”
ดาวเรืองข่มใจยกมือไหว้แพล็บเป็นลิงหลอกเจ้า
กำจรนึกสนุกจึงตามลงมา “เฮ้ยยย..ไหว้ล่กๆเป็นลิงอย่างนี้เสียถึงแม่เอ็งนะเว้ย น้าบานเป็นถึงอดีตเทพีวัดดอน ไหว้รับสายสะพายทีย่อจนเข่างี้ติดพื้น”
“คนอย่างไอ้เรืองมีศักดิ์ศรีเว้ย จะยกมือไหว้ใครก็เพราะใจอยากไหว้ ไม่ใช่โดนใครบังคับ” ดาวเรืองบอก
ดาวเรืองเดินหนีไปทันที เพี้ยนเดินตาม แล้วหญิงสาวก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงจินตวัฒน์ไล่ตามหลัง
“เธอไม่แน่จริง!”
ดาวเรืองหันขวับกลับมาหาจินตวัฒน์
จินตวัฒน์พูดต่อ “การไหว้เป็นมารยาทเป็นวัฒนธรรมที่ดีงามของคนไทย ไม่ใช่สัญลักษณ์ที่จะเอามาประกาศศักดิ์ศรีว่าใครแน่กว่าใคร ฉันเก็บของเธอได้ ฉันแสดงน้ำใจด้วยการเอามาคืน เธอก็ควรจะแสดงให้เห็นว่าเธอเป็นคนมีวัฒนธรรมมีมารยาทไม่ใช่เหรอ”
ดาวเรืองยกมือไหว้งามกว่าเดิมแต่ก็ยังคงล่กๆ อยู่ จินตวัฒน์ส่งรองเท้ากับที่คล้องกุญแจให้
ดาวเรืองคว้าหมับ “อย่าคิดว่าเป็นบุญคุณอะไรนะ”
“คุณปลัดเขาเอาของมาคืน ก็เพราะต้องการจะรักษาหน้าเอ็งนะเว้ยไอ้เรือง” กำจรบอก
“หน้าพี่เรืองใสยังกะตูดเด็ก ไม่ได้เป็นสิวฝ้ากลากเกลื้อนนี่หว่า จะรักษาทำไมวะ” เพี้ยนท้วง
“อ้าว..ไอ้นี่ ก็เอ็ง๒คนไม่ใช่เหรอ ที่แต่งผีไปหลอกพวกไอ้วรรณมัน” กำจรว่า
“ทำไมคิดว่าเป็นฉัน ทำไมไม่คิดว่าเป็นไอ้คนที่มาขโมยรองเท้าฉันไป แล้วไปก่อเรื่อง” ดาวเรืองถาม
“ผีตัวนั้นมันใส่รองเท้าเหมือนกัน ๒ ข้าง เธออย่าแถนะว่าขโมยมันเอารองเท้าเธอไป ๒ ข้าง แล้ววิ่งเอากลับมาคืนข้างหนึ่งน่ะ”
ดาวเรืองจนด้วยเหตุผลแต่ก็ยังแถ “สำรวจสำมโนรองเท้าเนี่ย หน้าที่ปลัดเหรอ”
“ฉันต้องการเป็นเพื่อนกับเธอนะ” จินตวัฒน์บอก
“ไม่ต้องการเป็นเพื่อนกับข้าราชการเว้ย ไม่ชอบพวกหน้าไหว้หลังหลอก ปากบอกไม่กินน้ำร้อนน้ำชา แต่แอบซดไวน์โฮกๆใต้โต๊ะขวดละเป็นแสน” ดาวเรืองว่า
“ข้าราชการดีๆก็มีเยอะ ทำไมไม่มองบ้าง” จินตวัฒน์ถาม
“จะบอกว่ายืนอยู่ตรงนี้คนหนึ่งงั้นสิ” ดาวเรืองเหยียด “อยู่นี่ให้ถึง ๒ อาทิตย์ก่อนเถอะ แล้วค่อยมาโม้”
ดาวเรืองยิ้มเย้ยใส่จินตวัฒน์ก่อนจะเดินออกไปกับเพี้ยน กำจรส่ายหน้า ในขณะที่จินตวัฒน์ถอนใจเฮือก
อ่านต่อหน้า 4
ดาวเรือง ตอนที่ 2 (ต่อ)
ไสวเจียดยาพร้อมอธิบายสรรพคุณให้สุวรรณ แหลม กรอด เวียง ผัน บุญปลีก และบุญปลอดฟัง
“ใบบัวบก ต้มคั่นน้ำกินแก้อ่อนเพลียเมื่อยล้า บำรุงธาตุ เป็นยาเย็น ช่วยฟื้นฟูสภาพ บำรุงเสียง”
เสมอใจพูดต่อ “ใบขี้เหล็กนี่ให้เลือกแต่ใบอ่อน แช่ใส่เหล้าขาวพอท่วมยา แช่ไว้ 7 วัน จะได้ยาดองเหล้าขี้เหล็ก กินครั้งละ1-2 ช้อนชาก่อนนอน จะช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ”
“แล้วอาการของหนูวรรณกับไอ้สองตัวนี่ จะหายเป็นปลิดทิ้งรึเปล่า” เวียงถาม
“ไอ้อาการตาโหล อ่อนเพลียน่ะหายแน่ แต่สันดานที่เสียมาก่อนหน้านี้ ข้าว่ากินยาอะไรก็ไม่หาย นอกจากพ่อแม่ต้องจับมันยัดเข้าไปในท้องแล้วเบ่งออกมาอบรมกันใหม่ 5 5 5” ไสวหัวเราะลั่น
“นังไหว ปากกรรไกรอย่างนี้ถึงได้ไม่มีผัว” ผันว่า
“ก็ผู้ชายบ้านดอนมันตาต่ำ เลยไม่มีใครรู้ว่าผู้หญิงที่มีครบตั้งกะสากกะเบือยันเรือรบอย่างฉัน มันเด็ดสะระตี่แค่ไหน อย่างลองเป็นคนแรกมั้ยล่ะผู้ใหญ่”
บุญปลีกฉุน “โอ๊ย..ทนไม่ไหวแล้ว”
บุญปลีกปราดเข้าไปจะตบไสว เสมอใจกับบุญปลอดเข้ามาห้าม
“อย่าจ้ะน้าปลีก”
บูญปลีกขึ้นเสียง “ถอยไป!!”
บุญปลีกเหวี่ยงเสมอใจจนกระเด็นไปนั่งตักสุวรรณ แล้วผลักบุญปลอดลงไปนั่งตรงกลางระหว่างตักแหลมกับกรอดก่อนจะเข้าไปยื้อตบกับไสว
ผันตวาดลั่น “เฮ้ย..หยุด!!”
ทั้งสองยังคงแยกเขี้ยวยื้อแขนกันไปมา
เวียงเดินเข้าไปขวางกลางแล้วพูดเสียงเข้ม “หยุด..นังปลีก”
บุญปลีกมีอาการเหมือนถูกป้อนโปรแกรมหยุดได้ทันใด
“ไปหาเรื่องแม่ไหวทำไม เดี๋ยวแม่ไหวหงุดหงิดไม่มาต้มยาให้หนูวรรณ แล้วใครจะทำ เอ็งงั้นเหรอ” เวียงพูดกับไสว “เอาเป็นว่าเลิกแล้วต่อกันนะนัง..เอ๊ย แม่ไหว”
ไสวค้อนควัก “ก็ได้ นี่เห็นแก่แม่เวียงหรอกนะ”
กระจกห้องคอนโดเห็นวิวยอดตึกหรูของกรุงเทพฯ สุดาวดีนอนหลับนิ่งอยู่บนเตียง สักครู่เธอก็ทำหน้ามุ่ยเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง สุดาวดีเอามือควานหาโทรศัพท์ที่โต๊ะข้างเตียงแล้วรับสายอย่างงัวเงีย
สุดาวดีพูดทั้งที่ตายังหลับอยู่ “ฮัลโหล มีอะไรพี่น้ำหวาน..รู้แล้ว กี่โมงนะ แล้วนี่กี่โมงแล้วล่ะ”
สุดาวดีเบิกตาโตแล้วเด้งขึ้นมานั่งทันที
“๑๑ โมง แล้วทำไมเพิ่งโทรปลุก งานมีบ่ายสอง มาโทรปลุกตอนนี้แล้วโรสจะอาบน้ำแต่งตัวทันได้ยังไง แล้วพี่น้ำหวานจะมารับโรสกี่โมง ห๊า..ไปเจอกันที่งาน..ทำไมล่ะ”
น้ำหวานกินมะม่วงจิ้มน้ำปลาหวานคาชุดนอนแล้วหยีตาเพราะความเปรี้ยวซี้ดดก่อนจะพูดโทรศัพท์
“พี่ปวดท้องน่ะ เลยจะรีบแวะไปหาหมอก่อน ขากลับจะได้มีแรงขับรถไปส่งน้องโรส ถ้าไม่ไปก็กลัวว่าจะปวดจนไปดูแลน้องโรสไม่ได้” น้ำหวานกัดไปอีกคำแล้วเปรี้ยวปากจนต้องหลุดซี้ดออกมา “ซู้ด ซี๊ด”
สุดาวดีได้ยินเสียงซี๊ดแล้วคิดว่าน้ำหวานปวดท้องหนัก “จะปวดซี๊ดอะไรขนาดนี้อะ..ก็ได้ จะรีบไปตรวจอะไรที่ไหนก็รีบๆเข้า เจอกันที่งานแล้วกัน”
สุดาวดีกดวางสายแล้วเห็นมิสคอลล์ขึ้นที่หน้าจอ พอกดดูเห็นเป็นเบอร์จินตวัฒน์โทรเข้ามา ๑๒ สาย สุดาวดีดีใจหน้าบานแต่แล้วความเจ็บใจก็เบียดแซงขึ้นมา เธอกดไปหาน้ำหวานอีกครั้งทันที
น้ำหวานกำลังเอามะม่วงช้อนกุ้งแห้งเข้าปากแล้วก็ขัดใจที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น “ใครวะ” พอเห็นเบอร์น้ำหวานก็เปลี่ยนเป็นรับสายเสียงหวานทันที “ขา..น้องโรส”
“เมื่อวานจิ๋นโทรหาโรสเป็นสิบๆเที่ยว ทำไมพี่น้ำหวานไม่บอก”
น้ำหวานกุ้งแห้งแทบติดคอ “เอ่อ..คือ..พี่เห็นน้องโรสกำลังมีสมาธิกับงาน อีกอย่างผู้กำกับก็เร่งถ่าย ตอนเลิกกองพี่ก็ว่าจะบอก แต่น้องโรสขึ้นรถแล้วหลับนิ่งไปเลย พี่เห็นเพลียขนาดนั้น พี่ก็ไม่กล้าปลุกน่ะสิ อย่างอนเลยนะเดี๋ยวเจอกัน โอเคน้า”
น้ำหวานกดปิดโทรศัพท์แล้วเบะปาก
สุดาวดีกดโทรศัพท์หาจินตวัฒน์แล้วยิ้มหน้าบานรอสาย สักครู่ก็มีเสียงตอบกลับว่า “ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก”
สุดาวีบ่น “กันดารอะไรนักหนาเนี่ย สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี เฮ้อออ!”
สุดาวดีปิดโทรศัพท์แล้วหันมามองนาฬิกาที่ข้างฝาซึ่งบอกเวลาใกล้เที่ยง
“ว้าย จะเที่ยงแล้ว”
สุดาวดีรีบวิ่งเข้าห้องน้ำแทบไม่ทัน
นายอำเภอไพศาลแนะนำจินตวัฒน์ให้รู้จักกับปลัดคนอื่นๆ
“นี่คุณเนวิน อยู่ฝ่ายความมั่นคง”
เนวินที่ดูมีอายุและสุขภาพทรุดโทรมไอค็อกแค็ก เขาดูไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าที่จะไปดูแลความมั่นคงส่วนใดได้
ไพศาลแนะนำต่อ “คุณชูวิทย์ ฝ่ายการปกครอง”
ชูวิทย์เป็นผู้ชายตัวเล็กๆ ที่ดูไม่น่าจะปกครองใครได้เลย
“แล้วนี่คุณจิรศักดิ์ ฝ่ายสำนักงาน”
จิรศักดิ์ดูขี้เกียจ ง่วงนอนและตาปรือตลอดเวลา
“คุณสมศรี ฝ่ายงานทะเบียนและบัตร”
สมศรีที่เซ็ตกระบัง แต่งหน้าเป๊ะส่งยิ้มให้จินตวัฒน์
“นี่ปลัดจินตวัฒน์ วิโสภา หัวหน้าฝ่ายบริหารงานปกครองที่เพิ่งย้ายมาประจำที่นี่”
จินตวัฒน์ยกมือไหว้ทุกคนด้วยท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใส “สวัสดีครับ”
ผู้อาวุโสทั้ง ๔ ยกมือรับไหว้จินตวัฒน์
ปลัดสายงานต่างๆ เดินออกจากห้องนายอำเภอ ปิดท้ายด้วยไพศาลและจินตวัฒน์
“ก็อย่างที่รู้ว่าเรามันอำเภอเล็กๆ เลยไม่ค่อยมีเจ้าหน้าที่มากนัก รวมๆกันแล้วไม่กี่สิบคน” ไพศาลบอก
“เจ้าหน้าที่น้อยอย่างนี้ ก็ทำงานหนักกันแย่สิครับ” จินตวัฒน์เป็นห่วง
ไพศาลอึกอัก “ก็...”
ไพศาลหันไปมองลูกน้องแผนกต่างๆ ทำให้จินตวัฒน์มองตามไปเห็นเจ้าหน้าที่ผู้หญิงทาเล็บ แต่งหน้ากำลังเม้าท์มอยกัน เจ้าหน้าที่ผู้ชายนั่งหลับบ้าง อ่านหนังสือพิมพ์บ้าง คุยป้อหัวล้อต่อกระซิกกับเจ้าหน้าที่ผู้หญิงบ้าง แทบไม่มีใครทำงานกันจริงๆจังๆ
จินตวัฒน์มองที่นั่งรอของประชาชนที่จะมาติดต่อราชการก็ไม่มีใครมาใช้บริการเลย
“ก็...อย่างว่านะ เราก็อยากทำงาน แต่...มันไม่ค่อยมีงานให้เราทำ” ไพศาลบอก
จินตวัฒน์กับกำจรเดินออกมาที่ที่จอดรถว่าการอำเภอ
จินตวัฒน์แปลกใจ “แล้วคนไปไหนกันหมด ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าคนทั้งอำเภอ จะไม่มีใครมีเรื่องเดือดร้อน หรือเรื่องที่ต้องทำเอกสารราชการน่ะ”
“เรื่องเดือดร้อนน่ะมันมีกันทุกคนแหละครับ แต่มันขึ้นกับว่าเขาจะมาหาเรา หรือไปหาคนอื่น” กำจรบอก
จินตวัฒน์งง “คนอื่น...ใคร”
รถกระบะคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดข้างๆจินตวัฒน์ ชายฉกรรจ์สองคนถือกระเช้าผลไม้ลงมา
“เสี่ยให้ผมเอามาให้ครับ”
จินตวัฒน์มองกระเช้าผลไม้อย่างงงๆ “เสี่ย...ใครครับ”
ชายอีกคนล้วงซองจดหมายจากในกระเป๋าเสื้อยื่นให้จินตวัฒน์ จินตวัฒน์รับซองมาเปิดก็เห็นการ์ดเล็กๆอยู่ในซอง ข้อความในการ์ดเขียนว่า “ยินดีต้อนรับสู่อำเภอดอนพัฒนา หวังว่าคุณปลัดจะถูกใจกับของขวัญนี่นะครับ... กำพล”
จินตวัฒน์เปิดซองดู กำจรแอบมองก็เห็นเช็คสอดอยู่ในซองมูลค่า ๑ แสนบาท จินตวัฒน์เก็บการ์ดไว้แล้วเอาเช็คเก็บใส่ซองเหมือนเดิมก่อนจะคืนให้ชายคนนั้น
“ผมขอรับแต่กระเช้าผลไม้แล้วกันนะครับ ส่วนอย่างอื่นรบกวนเอากลับไปคืนเสี่ยด้วยนะครับ”
ชายคนที่หนึ่งมองหน้าชายคนที่สองอย่างงงๆ แต่ก็รับซองจากจินตวัฒน์แล้วขึ้นรถออกไป
จินตวัฒน์ถามกำจร “กำพลนี่ใครน่ะ”
ลูกน้องเสี่ยกำพลวางซองเช็คเงินสดที่กำพลมอบให้จินตวัฒน์ลงบนโต๊ะ กำพลที่ยืนหันหลังพูดอย่างไม่พอใจ
“จองหอง!”
“เสี่ยจะให้ผมทำยังไงต่อไปครับ”
กำพลหันหน้ามา
“ยังไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ! ปล่อยให้มันโชว์พาวเวอร์ไปก่อน เชื่อเถอะ ไม่นานมันก็ต้องวิ่งมาเรา”
“แต่ผมว่าไอ้นี่..ท่าทางมันจะเอาเรื่องนะเสี่ย”
กำพลยิ้มเยาะ “ก็ถ้ามันอยากโดนเหมือนไอ้เทิ้มก็เอา”
กำพลแสยะยิ้มเหี้ยมเกรี้ยม
เทิ้มใส่เสื้อกล้ามที่ต้นแขนของเขามีผ้าก็อชพันอยู่เอ่ยถาม
“มาทำไม”
จินตวัฒน์กับกำจรนั่งอึ้งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ผม..มาเยี่ยมครับ กำนันเป็นยังไงบ้างครับ” จินตวัฒน์ถาม
“ก็เห็นอยู่ว่ายังไม่ตาย”
กำจรกระซิบถามจินตวัฒน์ “มาให้ถูกด่าทำไมเนี่ย”
“กำนันไปแจ้งความรึยังครับ”
กำจรเปรยใส่จินตวัฒน์ “นี่ก็อยากเจออีกดอกซะจริง”
“แจ้งทำไม แจ้งไปก็ไม่มีใครจับมัน” เทิ้มว่า
“แสดงว่ากำนันรู้ตัวคนร้าย มันเป็นใครครับ”
“พูดไปใครเขาได้หาว่าข้าบ้า หาหลักฐานมัดตัวมันได้เมื่อไหร่ค่อยพูด พูดให้ดังทีเดียว ดีกว่าแหกปากตะโกนเป็นร้อยที แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น” เทิ้มไล่จินตวัฒน์ “มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลย ข้าไม่ตายง่ายๆหรอก”
จินตวัฒน์สบตากำจรก่อนจะยกมือไหว้กำนันเทิ้มแล้วพากันเดินออกมา
เทิ้มตะโกนตามหลัง “จะเข้าเมืองกันรึเปล่า”
“ครับ ผมจะเข้าไปรายงานตัวที่อำเภอ แล้วจะทำงานเลย” จินตวัฒน์บอก
“งั้นข้าขอติดรถไปด้วย หมอให้เข้าไปล้างแผลทุกวัน มอเตอร์ไซด์ก็เป็นอะไรไม่รู้ สตาร์ทเท่าไหร่ก็ไม่ติด”
จินตวัฒน์ยิ้ม “ยินดีครับกำนัน”
“รอเดี๋ยวนะ” เทิ้มกลับเข้าไปแต่งตัวในห้อง
“ยอมไปไหนด้วยอย่างนี้ แสดงว่าไม่เกลียดแต่เล่นตัวครับคุณปลัด” กำจรว่า
จินตวัฒน์ยิ้มพลางคิดในใจว่าบ้านนี้ช่างมีแต่คนแปลกๆ ทุกวัยตั้งแต่เด็กยันแก่
กำจรขับรถ คนที่นั่งข้างๆ กำจรคือจินตวัฒน์ ส่วนด้านหลังคือเทิ้ม กำจรขับรถมาด้วยความเร็วพอสมควร
จินตวัฒน์หันไปหาเทิ้ม “เปลี่ยนมานั่งข้างหน้ามั้ยครับ แผลจะได้ไม่กระเทือนมาก”
“นั่งเงียบๆ แล้วน้ำลายมันจะบูดรึไง” เทิ้มสวน
จินตวัฒน์หน้าเจื่อนก่อนจะหันกลับมา
กำจรกระซิบ “คนแบบนี้ แม้แต่เราหายใจยังผิดเลยครับ”
จินตวัฒน์เบิกตาโพลงแล้วร้องเตือนกำจรลั่นเมื่อเห็นรถคันหนึ่งพุ่งออกมาจากทางแยกด้วยความเร็วสูง
“นายจร..ระวัง!!”
กำจรเห็นรถที่พุ่งออกมาจากถนนด้านซ้ายจึงรีบหักขวา แต่รถคันที่มาทางซ้ายก็พุ่งตามมาแล้วเบรกเอี๊ยด
รถคันที่โผล่มาทางซ้ายเกือบจะพุ่งเข้าชนด้านที่จินตวัฒน์นั่งโดยห่างกันแค่ไม่ถึงกระเบียดนิ้ว
กำจรเปิดประตูรถแล้วพุ่งลงมาด้วยความโกรธ
“ขับรถประสาอะไรวะ!!”
จ่าแม่นรีบเปิดประตูรถลงมาจากรถ พร้อมๆกับจินตวัฒน์และเทิ้มที่ลงจากรถด้วย
“อ้าว..จ่าแม่นจะรีบไปไหน” กำจรถาม
“โทษทีว่ะ ข้าต้องรีบไปจับคนร้าย เดี๋ยวค่อยมาเจรจาค่าเสียหายนะ” จ่าแม่นบอก
“จะไปจับอะไรที่ไหน” กำจรถาม
“เหล้าเถื่อน เที่ยวนี้ล็อตใหญ่ด้วย”
กำจรพูดกับจินตวัฒน์ “ถ้าจะใหญ่จริงนะครับ ไม่งั้นคงไม่เอากระบะมาด้วย”
“มันเป็นผู้ผลิตรายใหญ่จะเรียกว่าใหญ่ที่สุดในประเทศเลยก็ได้ เที่ยวนี้ยังไงก็หลายร้อยขวด เลยต้องเอารถมาขนของกลางกันหน่อย” จ่าแม่นบอก
“แล้วจะจับจะขนยังไง จ่าไม่ได้เอาลูกน้องมาช่วยเลยเหรอ” จินตวัฒน์ถาม
“ไม่จำเป็นครับ”
“นายจรไปส่งกำนันล้างแผลก่อน ฉันจะไปช่วยจ่าแม่นจับคนร้ายเอง” จินตวัฒน์บอก
“แผลแค่นี้ไกลหัวใจ ข้าเป็นกำนันนะเว้ย จะไปจับคนผิดมาลงโทษทั้งที ถ้าไม่ไปก็เสียชื่อกำนันเทิ้มสิวะ” เทิ้มว่า
จินตวัฒน์สรุป “ถ้างั้นผมไปกับจ่าแม่น กำนันไปกับนายจร”
ทั้ง ๒ ฝ่ายจะแยกย้ายกันขึ้นรถ แต่แล้วเสียงโทรศัพท์จินตวัฒน์ก็ดังขึ้น จินตวัฒน์เห็นเบอร์ที่หน้าจอแล้วจำต้องกดรับสาย
“ฮัลโหล”
สุดาวดีในชุดสวยยั่วน้ำลายกำลังนั่งไขว่ห้างใส่รองเท้าส้นแหลมเปี๊ยบพลางพูดโทรศัพท์ไป โดยมีช่อบูเกต์ดอกกุหลาบของจินตวัฒน์วางอยู่บนตัก
สุดาวดีพูดเสียงหวาน “ดอกไม้น่ารักมากค่ะจิ๋น นี่ถ้าไม่ส่งมาง้อ โรสไม่พูดด้วยเด็ดขาด”
“เมื่อวานผมโทรหาโรสหลายครั้ง แต่โรสไม่รับสาย” จินตวัฒน์บอก
“งานยุ่งทั้งวันค่ะ เลิกเกือบตี๑ แล้วก็เพิ่งมาเห็นดอกไม้กับมิสคอลล์จิ๋นเมื่อกี้นี้เอง ตกลงจิ๋นไปอยู่ที่ไหนกันแน่ ที่หมู่บ้านดอนๆแรดๆอะไรนั่นจริงเหรอ”
“ครับ”
จินตวัฒน์แอบเหล่มองด้านหลังก็เห็นจ่าแม่น กำจร และเทิ้มยืนทำหน้าเพลียล้อมหลังเขาอยู่
เทิ้มว่าแดก “มัวแต่คุยกับแฟน เดี๋ยวผู้ร้ายมันได้ไหวตัวขนของกลางหนีหมดหรอก”
“โรส คือ..ผมมีงานด่วนต้องรีบไปจัดการ” จินตวัฒน์บอก
สุดาวดีวีนแตก “อะไรกัน จิ๋นไปทำงานโดยไม่บอกไม่ลาโรสสักคำ ไปถึงโน่นแล้วก็ไม่รีบโทรหาโรส แล้วนี่ยังจะมาวางสายอีก ไม่ได้นะ โรสไม่ยอม!”
จินตวัฒน์อึดอัด “ทำงานเสร็จแล้วผมจะรีบโทรหานะครับ”
“จิ๋น..จิ๋น..จิ๋นน”
สุดาวดีกดปิดโทรศัพท์อย่างขัดใจก่อนจะเหวี่ยงช่อบูเก้ต์ลงพื้น เธอสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนจะลุกเดินออกมา แต่สุดท้ายก็ต้องก้มลงไปเก็บช่อดอกไม้ขึ้นมาถือไว้ในมือเมื่อนึกถึงหน้าคนให้
พฤกษ์ขนดอกไม้สดเข้ามาในร้านบ้านดอกไม้ จันทราซึ่งกำลังจัดดอกไม้ในแจกันให้ลูกค้าหันมาทัก
“อ้าว..นึกว่าไปเรียนแล้ว”
“อาจารย์งดคลาสครับ แต่ผมนัดเพื่อนๆติวตอนบ่ายสาม” พฤกษ์บอก
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น จันทรากดรับสาย
“ตาจิ๋น เป็นยังไงบ้างลูก อ้าว..จะรีบไปไหน..อ๋อ..ได้จ้ะ เดี๋ยวแม่จัดการให้นะ” จันทราหันไปหาพฤกษ์ “พฤกษ์ เดี๋ยวช่วยเอาดอกไม้ไปส่งให้ทีนะ”
“ครับ...ได้ครับ”
ดาวเรืองเอาเสียมคุ้ยดินที่ขุดลงไปลึกจนเห็นลังไม้ที่ซ่อนอยู่ก้นหลุมซึ่งมีฝากระดานปิดทับ
ดาวเรืองยกแขนปาดเหงื่อ “เปิดดูซิไอ้เพี้ยน เหลือกี่ขวดวะ”
เพี้ยนออกแรงยกฝากระดานขึ้นแล้วนับ “๑๒ ขวดพี่เรือง”
“ไม่พอว่ะ ไม่เป็นไร คืนนี้ค่อยมาต้มใหม่ ที่เหลือนี่เอาไปส่งเจ๊กฮวดก่อน”
ทั้งคู่ช่วยกันลำเลียงขวดเหล้าขาวขึ้นมา สักครู่ดาวเรืองก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม
“รถอะไรวะ เอ็งไปดูซิ”
เพี้ยนรีบวิ่งออกไป ดาวเรืองมองตามไปแล้วขมวดคิ้ว
รถตำรวจของจ่าแม่นแล่นนำเข้ามาจอด ตามติดด้วยรถของกำจรที่ตามเข้ามาแต่กว่าจะจอดได้ก็ส่งเสียงครางกระหึ่มจนแผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น ชิ้นส่วนต่างๆของรถแทบจะหลุดเป็นชิ้นๆ
จ่าแม่นลงจากรถตำรวจพร้อมจินตวัฒน์ กำจรลงมาจากรถพร้อมกำนันเทิ้ม เพี้ยนแหวกต้นมันสำปะหลังโผล่หน้าออกมาดูแล้วก็ตกใจแทบร้องจ๊าก
จ่าแม่นชักปืนออกมาทำท่าขึงขัง “อาวุธ..พร้อม!!”
จินตวัฒน์ เทิ้มหยิบปืนที่ติดออกมาขึ้นกระชับในมือแน่น
“ข้าไม่มีปืน จะไม่โดนไอ้โจรห้าร้อยนั่นจ่อยิงหัวเอาเหรอวะ” กำจรถาม
“เอ็งก็อยู่รั้งท้ายสิวะ ไอ้โจรกลุ่มนี้กองกำลังมันไม่มากก็จริง แต่มันไวยิ่งกว่าปรอท” จ่าแม่นขึงขัง “ลุย!”
ทั้งหมดต่อแถวตอนแล้วย่อตัวดาหน้าเข้าหา เพี้ยนเบิกตาโพลงก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในไร่
เพี้ยนวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาดาวเรืองที่เดิมแต่ดาวเรืองไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว เพราะกำลังไปยืนเอาเสียมขุดดินอยู่อีกหลุม
“พี่เรือง!!เร็วเข้า!!”
ดาวเรืองงง “อะไรวะไอ้เพี้ยน”
เพี้ยนทั้งหอบ ทั้งเหนื่อย ทั้งกลัว “มะ..มะ..มัน..”
จ่าแม่นวิ่งถือปืนนำทุกคนดาหน้าเข้ามาหาดาวเรือง
“มันจะบอกว่า..ตำรวจมาไง” จ่มแม่นพูด
ดาวเรืองซึ่งยังถือเสียมในมือยืนหน้าซีดเผือด
“โธ่..ไอ้จ่าแม่น ข้าก็เกร็งจนขี้แข็งไปหมด นึกว่าจะเจอกองกำลังติดอาวุธครบมือที่แท้ก็ไอ้เรืองกับเสียมอันหนึ่งเนี่ยนะ” กำจรว่า
“ไหนเอ็งว่าเป็นขบวนการขนเหล้าเถื่อนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไง” เทิ้มถาม
“ก็มันนี่ล่ะกำนัน ส่งวันละยี่สิบสามสิบขวดทุกวัน ปีหนึ่งมันไม่เป็นหมื่นๆขวดเหรอ จับได้คาหนังคาเขาเลยนะทีนี้”
ดาวเรืองไม่ยอมจนมุม “จับอะไร”
“ก็เอ็งขุดอะไรล่ะ”
“หาของเก่าบรรพบุรุษ” ดาวเรืองแถ
“ใช้ศัพท์สูงซะด้วย”
จ่าแม่นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์
“หมู่จ้อยเหรอ เอ็งเข้าไปเรียนผู้กำกับเลยนะว่า ข้า..จ่าแม่น เก่งหมุด เจอคนร้ายแล้วและกำลังจะตรวจค้นของกลาง เอ็งโทรตามนสพ. วิทยุ ทีวี ตามไก่ ภาษิตหรือไม่ก็สรยุทธ ให้สรยุทธชวนน้องไบร์ทมาด้วย ข้าอยากเจอตัวจริงมานานแล้ว จะได้ถ่ายรูปคู่ซะเลย แค่นี้นะ เดี๋ยวเจอกัน” จ่าแม่นวางสาย
ทุกคนทำหน้าเอือมระอาใส่จ่าแม่น
จ่าแม่นพูดกับดาวเรือง “เอาเสียมมา”
เพี้ยนเข้ามายืนกั้น “จะเอาไปทำไม”
“ก็ขุดหาของเก่าบรรพบุรุษไอ้เรืองมันไง”
“นี่มันที่ดินของประชาชนนะเว้ย บุกรุกรังแกประชาชนอย่างนี้ได้ไงวะ” ดาวเรืองว่า
“เขาเรียกพิสูจน์หลักฐานเว้ย อย่าขัดขืนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เอาเสียมมา”
ดาวเรืองยื้อเสียมไม่ยอมให้จ่าแม่น โดยมีเพี้ยนช่วยยื้ออีกแรง
“คนที่เขาบริสุทธิ์ใจจริง เขาไม่ขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่หรอกนะ” จินตวัฒน์บอก
ดาวเรืองแค้นใจ เธอกัดฟันกรอดก่อนจะยอมโยนเสียมลงกับพื้น
“แล้วอย่าสะเออะยัดข้อหาให้ประชาชนล่ะ” ดาวเรืองว่า
“เอ็งถอยไป ข้าจะขุดตรงที่เอ็งยืน” จ่าแม่นบอก
เพี้ยนหน้าซีดและร้อนรน “พี่เรือง”
ดาวเรืองเอ่ยถาม “ที่อื่นมีตั้งแยะทำไมไม่ไปขุดวะ มาจำเพาะเจาะจงอะไรตรงนี้”
“พิรุธเพียบ ตรงนี้มันสำคัญก็เพราะเอ็งปักหลักเฝ้าไม่ยอมห่างน่ะสิเว้ย ถอยไป!!”
ดาวเรืองจำยอม “ขุดแล้วกลบเก็บให้ดีนะเว้ย ไม่กลบไม่เก็บมีชก”
จ่าแม่นยิ้มเย้ยดาวเรืองก่อนลงมือขุด
จินตวัฒน์เข้ามาถาม “ผมช่วยมั้ยจ่า”
“ไม่ต้องหรอกครับ รบกวนแค่ถ่ายรูปเป็นหลักฐานให้ผมแค่นั้นพอ โทรศัพท์ปลัดถ่ายรูปได้ใช่มั้ยครับ”
จินตวัฒน์พยักหน้า จ่าแม่นออกแรงขุดจนเสียมไปกระทบกับฝาไม้กระดาน
“นั่นไง เอ็งเอาเหล้าเก็บไว้ในนี้แล้วใช้กระดานปิดปากหลุมไว้ใช่มั้ย”
ทุกคนหันมามองดาวเรือง ดาวเรืองกับเพี้ยนพร้อมใจกันหน้าถอดสี
“คิดจะตบตาคนอย่างจ่าแม่นรึวะ ทุกคนถอยไป คุณปลัดถ่ายเลยครับ”
จ่าแม่นออกแรงงัดเต็มแรงแต่ก็ยังอุตส่าห์หันมายิ้มให้กล้อง ในที่สุดฝากระดานเก่าคร่ำคร่าก็กระเด็นออกมา จ่าแม่นเสียศูนย์และเซล้มลงจนหน้าจิ้มเข้าไปในหลุมที่ฝากระเด็นออกมาแล้ว ดาวเรืองซึ่งยืนอยู่ด้านหลังจินตวัฒน์กระซิบจินตวัฒน์
“ถ่ายใกล้ๆสิ อย่างนี้จะเห็นอะไร”
ว่าแล้วเธอก็ผลักจินตวัฒน์จนหน้าทิ่มไปจ่อที่ปากบ่อเหมือนจ่าแม่น จินตวัฒน์กับจ่าแม่นเบิกตาโพลงเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
จ่าแม่นตะโกนลั่น “ขะขะขะ..ขี้..อี้อี้”
เสี้ยววินาทีต่อมา จ่าแม่นก็คลานออกมาอ้วกแตกอ้วกแตน ในขณะที่จินตวัฒน์หันขวับมามองดาวเรืองก่อนจะลุกขึ้นมาแบบทั้งโกรธทั้งอายที่เสียรู้ดาวเรือง
เทิ้มกับกำจรเอามืออุดจมูกแทบไม่ทัน ในขณะที่ดาวเรืองกับเพี้ยนหัวเราะเอวคดเอวงอ
“บอกแล้วว่าเป็นที่เก็บของเก่าบรรพบุรุษก็ไม่เชื่อ เป็นไง..ของเก่าแม่บาน กลิ่นมะนาวหอมเย็นชื่นใจดีมั้ยค้าคุณปลัด คุณจ่า” ดาวเรืองกวน
แล้วดาวเรืองกับเพี้ยนก็พากันเต้นยักย้ายส่ายสะโพก แถมกระพือปีกเป็นนกร่อนใส่หน้าจินตวัฒน์กับจ่าแม่น
“โกรงๆๆ.. นกกิ้งโครงมาเกาะหลังคา จับแมวไปแจวเรือจับเสือไปไถนา ตำรวจมาไล่จับของ เอ้าว่า ตำรวจมาไล่จับของ เลยได้แต่ทองมีกลิ่นเหม็นมา เอ้า..โกรงๆๆ”
เทิ้มกับกำจรอดขำไม่ได้ เมื่อเห็นท่าเต้นประกอบเพลงของทั้งคู่ที่จงใจจะยั่วจ่าแม่นจนเส้นเลือดปูดตาโปน ดาวเรืองขยับปีกร่อนโฉบมาทางจินตวัฒน์แล้วยักคิ้วใส่อย่างก๋ากั่น
จินตวัฒน์มองตามดาวเรืองที่เต้นเป็นลิงทโมนแล้วเหนื่อยใจ ว่าจะแสบไปไหน ฮึยัยทอมบอย!!
อ่านตอนที่ 3