3 ทหารเสือสาว ฟ้ากระจ่างดาว ตอนที่ 4
ขณะเดียวกัน ตรงมุมหนึ่งในสวนกล้วยไม้ ชายคนหนึ่งและเพื่อนฝรั่งเดินคุยกันมา ผ่านหน้าผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ทำเป็นนั่งพักเหนื่อยดื่มน้ำอยู่ ที่แท้ชายคนนั้นคือตำรวจนอกเครื่องแบบ ซึ่งรับเวรตามต่อจากหิรัณย์ จับตามองตามสองฝรั่งไป ก่อนจะลุกเดินตามไปห่างๆ
เวลาต่อมา บนโต๊ะอาหารบ้านครูอรุณ สันติ ข้าวเม่า ข้าวตอก ดอกไม้ ทานข้าวกลางวันกันเสร็จเรียบร้อย สันติลุกนำไปหยิบรถแข่งที่มีคณาซื้อให้ติดตัวไปด้วย
"ไปเล่นรถกันข้าวตอก"
ข้าวตอกลุกตามทันที
เดี๋ยว กลางวันนี้เวรเราสองคนล้างจาน เอาจานไปล้างก่อนค่อยไปเล่น"ข้าวเม่าบอก
ข้าวตอกเชื่อฟังพี่ชายตั้งท่าจะหยิบจานไปล้าง สันติไม่ยอมทำ
"ทำไมต้องทำด้วย ให้ดอกไม้ล้างไปสิ เราจะออกไปเล่น"
ดอกไม้ลุกขึ้นโวย
"ดอกไม้ช่วยแม่ล้างเมื่อคืนแล้ว"
"แล้วเมื่อเช้าพี่ก็ล้าง กลางวันเป็นเวรติกับข้าวตอกต้องล้างบ้าง"
สันติทำหน้าตากวน
"ติเป็นแขกบ้านนี้ ไม่ต้องล้าง"
ข้าวเม่าลุกขึ้นยืน จ้องหน้า
"เป็นแขกก็ต้องทำ เพราะแขกก็กินข้าวเหมือนกัน ทำจานเลอะเหมือนกัน ไปเลย ยกจานไปล้างในครัวก่อน ถึงจะออกไปเล่นได้" ข้าวเม่าเสียงออกคำสั่ง
สันติสีหน้าเอาเรื่อง จ้องหน้าข้าวเม่า
"ไปช่วยกันล้างแป๊บเดียวเองติ จานแค่นี้เอง" ข้าวตอกบอก
"ไม่ล้าง ทำไมต้องมาบังคับกันด้วย ผู้ชายไม่ทำงานอะไรแบบนี้หรอก ให้ดอกไม้ทำสิ"
"ดอกไม้ล้างไปแล้ว"
"บ้านนี้มีกฎระเบียบ จะอยู่ด้วยกันก็ต้องเคารพกฎ ต้องช่วยเหลือกัน" ข้าวเม่าบอก
สันติทำหน้าตากวนประสาท ไม่สนใจจะเดินไป ข้าวเม่าตรงเข้ากระชากไหล่เอาไว้
"บอกว่าให้ล้างจานก่อนไงล่ะ"
สันติพูดเสียงดัง เกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที
"ไม่ล้าง ไม่ใช่หน้าที่ พวกผู้หญิงเท่านั้นที่ต้องทำงานบ้าน"
"ผู้ชายผู้หญิงก็ต้องทำงานบ้านเหมือนกัน" ข้าวเม่าบอก
"ไม่เหมือน ผู้หญิงเท่านั้นต้องทำ ไปทำสิดอกไม้"
สันติเดินไปผลักไหล่ดอกไม้จนเซไป
"อย่ามาผลักน้องเรานะ" ข้าวเม่าพูดด้วยอารมณ์โกรธ
"ก็ให้มันไปล้างจานสิ จะปล่อยให้มันมานั่งๆ นอนๆ สบายทำไม ไม่ใช่อีตัวดาวเด่นซะหน่อย จะได้นอนกระดิกตีนสบายๆ"
ข้าวเม่าและข้าวตอกอึ้งกับคำพูดหยาบคายของสันติ ส่วนดอกไม้งงๆ ไม่เข้าใจความหมายนักข้าวตอกโกรธมากเหมือนกัน
"แกว่าดอกไม้ยังงี้ได้ไง"
"ทำไมล่ะ ผู้หญิงทุกคนก็เป็นอีตัวทั้งนั้นแหละ โตขึ้นก็ขาย"
สันติยังพูดไปจบประโยค ข้าวตอกก็พุ่งเข้าใส่สันติทันที ข้าวเม่าเข้ารุมสกรัมด้วยความหมั่นไส้จนรถแข่งที่สันติถืออยู่กระเด็นออกมา ดอกไม้ร้องกรีดเสียงร้องตกใจที่เห็นภาพความรุนแรงชกต่อยของเด็ก
จังหวะเดียวกับที่คูรวีณาและครูอรุณเดินกลับขึ้นบ้านมาทันเวลาพอดี ทั้งสองคนตกใจมากที่เห็นความชุลมุนของกลุ่มเด็ก
"หยุดเดี๋ยวนี้"
ครูอรุณดุเสียงดัง สีหน้าตาโกรธจัด
ผ่านเวลาเล็กน้อย ข้าวเม่า ข้าวตอก สันตินั่งขัดสมาธิ เรียงเป็นแถวอยู่หน้าหิ้งพระในห้องพระใหญ่
ดอกไม้นั่งจับมือแม่อยู่ที่มุมห้อง
"ข้าวเม่าจะต้องนั่งสมาธิ 5 ชั่วโมงห้ามออกไปไหน ทบทวนความผิดของตัวเองที่ไม่ห้ามปรามน้องทั้งที่ตัวเองเป็นพี่ใหญ่ แล้วยังผสมโรงด้วยอีก เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี เข้าใจมั้ย"
"ครับพ่อ"
สันติตาเบิกโพลง ถ้าตัวเองต้องนั่งนานขนาดนั้น ... ไม่ได้แน่ ครูอรุณเดินมาที่ข้าวตอก
"ข้าวตอก เรานั่งสมาธิทบทวนความผิดไป 3 ชั่วโมงเพราะเราเป็นต้นเรื่อง ลงมือก่อน ทั้งที่ควรคุยด้วยเหตุผล แต่กลับใช้กำลังเข้าตัดสินเป็นการกระทำที่ไม่สมควร"
ข้าวตอกหันจ้องหน้าสันติ
"แต่ผมไม่ผิดนะครับพ่อ ผมไม่ได้เป็นคนก่อเรื่อง ผมช่วยดอกไม้นะครับ"
วีณาบอก
"แม่ดีใจที่ลูกรักและพยายามปกป้องน้อง แต่วิธีการของลูกมันไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นอย่าเถียงคุณพ่อ นั่งสมาธิทบทวนความผิดของตัวเองไป"
ข้าวตอกหน้าตาไม่พอใจ แต่เงียบไป เหล่มองสันติด้วยสีหน้าแววตาเจ็บใจ สันติขบกรามแน่น รอการมาของครูอรุณ
"ส่วนสันติ นั่งสมาธิไป 2 ชั่วโมงทบทวนความผิดที่พูดจาไม่สุภาพ ดูถูกเด็กผู้หญิง ไม่ทำงานตามหน้าที่รับผิดชอบ"
สันติไม่เห็นด้วยเถียงขึ้นมาทันที
"ผมไม่ใช่ลูกครู ครูไม่มีสิทธิ์มาขังผม"
"ครูไม่ได้ขัง ครูให้เรานั่งสมาธิ คิดทบทวนกับสิ่งที่ทำลงไปให้รู้ว่าตัวผิด แล้วจะไม่ทำซ้ำอีก"
"ผมไม่เคยนั่งสมาธิ"
"ก็เคยซะแต่วันนี้ล่ะ ถ้าใครลุกออกจากห้องพระก่อนเวลาอดข้าวเย็น"
ครูอรุณพยักหน้าให้วีณาและดอกไม้ พากันออกไปจากห้องพระ
ข้าวเม่า ข้าวตอกนั่งหลับตานั่งสมาธิไป สันติขบฟันแน่น เจ็บแค้นใจมาก เหล่มองสองพี่น้องอย่างไม่พอใจ สันติไม่มีสมาธิพอจะนิ่งได้ แต่ก็ไม่กล้าออกจากห้อง ได้แต่นั่งสติแตก การลงโทษแบบนี้ใช้ไม่ได้ผลกับเด็กแบบสันติ
เวลาเย็น ภายในห้องพักพ่วงโรงแรม จ่าโจเปิดประตูห้องพักให้หิรัณย์และมีคณากลับเข้ามา
"รูปที่ผมส่งผ่านมือถือมาใช้ได้มั้ย"
"หมวดดาวส่งไปเช็กกับฝ่ายข้อมูลเราแล้วครับ" จ่าโจบอก
มีคณารีบแกะเมมโมรี่การ์ดออกจากกล้องถ่ายรูปส่งให้จ่าโจ
"รูปที่ถ่ายมาได้เพิ่มเติมค่ะ น่าจะชัดกว่า"
"ขอบคุณครับ" จ่าโจรับมาส่งให้จ่าชาญ
จ่าชาญเอาไปเสียบเข้าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เปิดดู... วิมลินเดินมาจากห้องพ่วงพร้อมกดตัดสายจากปลายทาง
"เด็กใหม่ที่สารวัตรเจอวันนี้ชื่อนอร์เบิร์ต ซิมป์ หมอนี่จะจัดหาอะไรให้สุภาพบุรุษก็ได้ เค้ามีชื่อเสียงด้านนี้อยู่แล้ว"
หิรัณย์พยักหน้ารับทราบ
"ใช่คนเดียวกับที่ผมสงสัยจริงๆด้วย"
"งั้นรูปพวกนี้ก็ไม่ต้องใช้แล้วสิครับ"
ทุกคนหันไปดูที่โน้ตบุ๊กที่กำลังขึ้นสไลด์โชว์รูปที่แอบถ่ายของสุภาพบุรุษกับนอร์เบิร์ต ภาพเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนมาถึงภาพสวีตของทั้งหิรัณย์กับมีคณา
มีคณาเห็นแล้วก็แอบเขินขยับแว่นกระชับดั้งไปมา วิมลินแซวหน้านิ่ง
"รูปสวยดีนะ"
หิรัณย์ได้แต่ปั้นยิ้มตอบไป
"เชื่อเลยนะครับว่าเป็นคู่รักข้าวใหม่ปลามัน" จ่าโจบอก
มีคณาเขินมากจนอยากหายตัวไปจากที่ตรงนั้น
"ขอตัวเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ" มีคณาอยู่ไม่ไหวแล้วรีบเดินก้มหน้างุดไปเข้าห้องน้ำในบัดดลที่ห้องของเธอ
วิมลินยิ้มกระเซ้าหิรัณย์ก่อนเดินออกไปจากห้องพัก จ่าโจกับจ่าชาญดูรูปแล้วยิ้มๆ
"ไม่ต้องใช้แล้ว ปิดๆ เอาคืนมาเลย" หิรัณย์เขินเหมือนกัน เข้าไปจัดการกดปิด ดึงเมมโมรี่การ์ดออกมา
บ้านครูอรุณตอนหัวค่ำ ข้าวตอกหน้าบึ้งตึงไม่ยิ้มแย้ม เก็บผ้าห่มกับหมอนจะย้ายไปนอนห้องอื่น
สันตินั่งเล่มเกมหน้าทีวีอยู่ก็เหล่มอง สันติพูดลอยๆ
"จะไปนอนไหน"
"ห้องแม่"
"ลูกแหง่" สันติเล่นเกมไปอย่างไม่แคร์
ข้าวตอกเก็บของออกไปจากห้อง แต่ไม่วายทิ้งระเบิดให้สันติได้สยองเล่น
"อยู่คนเดียวระวังผีหลอก"
สันติหยุดกึก ตาวาว สีหน้ากลัวๆ มองไปรอบๆ ห้อง ใจคอไม่ค่อยดีขึ้นมาเหมือนกัน
มีคณานั่งดูข่าวทีวีอยู่ในห้องพัก เธอดูกระวนกระวายใจดูนาฬิกาข้อมือไปมา เพื่อรอสุภาพบุรุษเคลื่อนไหว วิมลินเดินกลับเข้าห้องพักมา
"สารวัตรล่ะ"
หิรัณย์เดินเข้าห้องพ่วงมาตามเสียง
"มีอะไรครับ"
"ขอเชิญคู่ฮันนีมูนลงไปทานข้าวกันได้แล้ว"
หิรัณย์ยิ้มๆ ขณะที่มีคณาดูเขินๆ
"คืนนี้ห้องเรือนตาวันจัดขันโตก ที่นี่เค้ามีชื่อนะ มีการแสดงรำๆ ฟ้อนๆ ด้วย บางทีสุภาพบุรุษกลับมาเร็วอาจจะแวะไปทานอาหารที่นี่" วิมลินบอก
"ทำไมถึงคิดว่าสุภาพบุรุษจะต้องแวะมาทานร้านนี้ด้วยคะ"
"เค้าชอบที่นี่ มาทีไรต้องมาทานทุกที เห็นว่าสนใจนางรำคนนึงอยู่"
"รู้ลึกดีจังเลยนะครับ"
"แน่นอนค่ะ ถ้าเจอสุภาพบุรุษจริงๆ ช่วยแสดงให้สวีตสมกับเป็นคู่ฮันนีมูนด้วยนะคะ อย่าไปทำอะไรให้มันสงสัยได้ล่ะ"
วิมลินสีหน้านิ่งเดินไปหาจ่าทั้งสองอีกห้อง หิรัณย์มองไปทางมีคณา
"ผมหิวแล้ว เราลงไปทานกันเถอะครับ"
หิรัณย์ตั้งแขนให้ควงหน้าตาย มีคณาหน้าบึ้งดุใส่ก่อนลุกเดินไปฉวยกระเป๋าสะพายเดินนำออกไปจากห้องพักก่อน หิรัณย์ เดินตามออกไปติดๆ
ครูอรุณและครูวีณานอนคุยกันบนเตียงในห้องนอน ข้าวตอกนอนปูเบาะหลับอยู่ปลายเตียง วีณาชักไม่สบายใจ
"ทำไมหลานมี่เค้าเป็นยังงี้ก็ไม่รู้นะคุณ พูดออกมาได้ยังไงว่า ผู้หญิงโตขึ้นก็ต้องไปทำอาชีพพิเศษกันหมด ทำไมมีความคิดแบบนั้นได้ มี่ก็น่าจะสอนหลานให้ดีกว่านี้หน่อย"
"อย่าไปโทษมี่เลยคุณ มี่เพิ่งรับเด็กมาอุปการะ มันอยู่ที่สภาพแวดล้อมกับการเลี้ยงดูของตัวเด็กเองมากกว่า เค้าโตมากับความเชื่อแปลกๆ"
"แปลกยังไงคะ"
"มี่เล่าให้ฟังว่าหมู่บ้านที่สันติอยู่ มองเรื่องขายตัวเป็นเรื่องปกติ ลูกบ้านไหนทำถือว่าเป็นลูกกตัญญู ใครไม่ทำจะถูกมองว่าเนรคุณ เด็กเลยฝังใจมาแบบนั้น"
วีณาลุกขึ้นนั่ง ตกใจมาก
"ยังมีความคิดแบบนี้หลงเหลืออยู่อีกเหรอคะ ฉันนึกว่ามันหมดไปแล้วซะอีก ไอ้หมู่บ้านตกขาวตกเขียวอะไรเนี่ย"
"น้อยลงแต่ก็ยังมีอยู่ รู้มั้ยหมู่บ้านของสันติเนี่ย มีนักข่าวบางคนตั้งชื่อให้ว่าหมู่บ้านเยอรมัน ส่งลูกสาวไปขายส่งเงินกลับมาให้พ่อแม่ตั้งครึ่งค่อนหมู่บ้าน แม่สันติเองก็ถูกส่งไปขายเหมือนกัน"
"ตายจริง" วีณาถอนใจออกมาอย่างหนักใจแทน
"เราก็ต้องอดทนกับเด็กหน่อยล่ะ เด็กก็คือเด็กนะคุณ สันตินี่ท่าทางไม่เลว ถ้าสอนดีๆ แนะนำดีๆ โตขึ้นก็จะเข้าใจเองว่า อะไรที่ถูกต้องเหมาะสม ถ้าจะเปลี่ยนความคิดความเชื่อที่มีมานานก็ต้องเริ่มต้นจากคนรุ่นใหม่นี่ล่ะ"
"คืนนี้ฉันคงนอนไม่หลับแล้วล่ะคุณ" วีณาถอนใจส่ายหน้าลุกเดินหน้าเครียดไปเข้าห้องน้ำ
ครูอรุณข่มตาหลับไป ข้าวตอกที่นอนเอียงข้างทำเป็นหลับ แต่จริงๆ แอบฟังทุกคำสนทนา ข้าวตอกแอบยิ้มมุมปากสะใจที่รู้ความจริงว่า แม่สันติที่แท้ก็ขายตัว
ห้องอาหารขันโตก นางรำมาฟ้อนรำสร้างบรรยากาศการทานอาหาร หิรัณย์และมีคณาทานอาหารอิ่มแล้วกำลังนั่งคุยกันไป
"ที่จริงครอบครัวก็ไม่ได้สนับสนุนให้ผมทำงานนี้หรอกครับ แต่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร ออกแนวเป็นห่วงมากกว่า โดยเฉพาะคุณแม่ แม่บ้านก็งี้แหละครับทุ่มเททั้งชีวิตให้ครอบครัว ในหัวก็มีแต่เรื่องลูก"
มีคณารับฟังนิ่งๆ จิบน้ำไป ไม่ได้ซักไซ้อะไร
"คุณแม่เค้าอยากให้ผมทำธุรกิจเหมือนพี่ชายคนโต แต่ผมไม่ชอบ ส่วนคุณพ่อเค้าเป็นวิศวกรก็อยากให้มีลูกซักคนเจริญรอยตาม โชคดีมีน้องสาวคนเล็กชอบทางนั้น ผมก็เลยถูกตัดหางปล่อยวัด"
หิรัณย์พูดเองขำเอง มีคณาปั้นยิ้มพูดดักคอ
"เล่าประวัติส่วนตัวมาซะยืดยาวขนาดนี้เพราะอยากให้ฉันเปิดเผยเรื่องตัวเองมั่งใช่มั้ยคะ"
หิรัณย์ชะงักไป
"ฉันไม่ชอบเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟัง แล้วคุณก็ไม่จำเป็นต้องรู้ด้วย เพราะจบงานทำข่าวสกู๊ปนี้ ฉันก็คงกลับไปทำข่าวตามแนวถนัดเหมือนเดิม"
หิรัณย์ได้แต่ยิ้มแหยไปมา โชคดีที่โทรศัพท์มือถือดังขัดจังหวะขึ้นมา หิรัณย์กดรับสาย ฟังปลายสายแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนเครียดขรึมไป หลังกดตัดสายแล้วก็บอกต่อมีคณาด้วยสีหน้าจริงจัง แววตาขี้เล่น ขี้คุยหายไป
"ได้เวลาทำงานแล้วรีบตามผมมาครับ"
หิรัณย์ลุกนำ เดินเร็วออกไปทันที มีคณาฉวยกระเป๋ามาสะพายเฉียงบ่ารีบเดินตามไปติดๆ สีหน้าขึงขังพร้อมทำงาน
ตกตอนกลางคืน วิมลินและตำรวจนอกเครื่องแบบกระจายกันหาที่ดักซุ่มสุภาพบุรุษอยู่ที่หน้าผับเล็กๆ นอกเมือง หิรัณย์นำมีคณามาหลบอีกมุมโดยมีตำรวจนอกเครื่องแบบอีก 2 นายตามมาด้วย
บริเวณหน้าผับเงียบ มีแต่รถจอดอยู่ ไม่มีคน แต่เสียงเพลงสนุกสนานยังดังต่อเนื่องออกมาจากผับด้านใน รถกระบะคันหนึ่งขับเข้ามายังบริเวณลานจอดพร้อมปิดไฟหน้ารถแล้วหาที่จอด
วิมลิน หิรัณย์และตำรวจนอกเครื่องแบบทุกนาย ซุ่มจับตามองอย่างระวัง มีคณาที่หลบอยู่หลังหิรัณย์ อดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้
ชั่วอึดใจ..สุภาพบุรุษเดินออกมาจากผับ หันมองซ้ายขวาก่อนเดินตรงไปที่รถกระบะคันนั้น
มีคณาจับตามองไปที่สุภาพบุรุษ...เห็นกำลังคุยตกลงอะไรกับคนในรถ ไม่นานนัก ผู้ชายในรถ 3 คน
ก็ลงมา ถือกระเป๋าผ้าขนาดย่อมคนละใบติดตัวมาด้วย แล้วเดินตรงไปที่ผับ
หิรัณย์กระซิบบอกมีคณา
"คงจะเอาของไปสับกันที่หลังร้าน เดี๋ยวเรารอซักพักให้แน่ใจว่า ของเปลี่ยนมือแล้วค่อยเข้าทำการจับกุม"
"ค่ะ"
มีคณาจับตามมองสุภาพบุรุษที่เดินนำชายฉกรรจ์ 3 คนไปทางหน้าผับ
ไม่คาดคิดทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือในมือสุภาพบุรุษก็ดังขึ้น
"หนี" สุภาพบุรุษโพล่งด้วยความตกใจ
วงแตกทันที สุภาพบุรุษและ3 คนร้ายต่างแตกกระจายไปคนละทิศละทาง วิมลินสั่งเสียงเข้มทันที
"ลุย"
หมวดดาว จ่าโจ และตำรวจนอกเครื่องแบบอีกนาย วิ่งไล่สุภาพบุรุษกับคนร้ายคนหนึ่งไปอีกด้านของผับ
หิรัณย์ และตำรวจนอกเครื่องแบบออกจากที่ซ่อนไล่ตามคนร้ายอีก 2 คนไปอีกด้านของผับ
มีคณาวิ่งตามหิรัณย์ออกไปพร้อมกดชัตเตอร์เก็บภาพเหตุการณ์เอาไว้ แต่ขณะนั้นเองมีคณาก็เหลือบตามองไปบนดาดฟ้าผับ
เธอเห็น นอร์เบิร์ต ที่เรียกกันในทีมว่า "เด็กใหม่" ซุ่มหลบดูลาดเลาอยู่บนดาดฟ้าและกำลังจะหลบหนีกลับลงไป มีคณาอึ้งๆไป หิรัณย์กระชากเธอให้ไปหลบหลังรถคันหนึ่ง
"ระวัง"
คนร้ายยิงปืนสวนกลับมา เสียงดังสนั่น มีคณาตกใจยกมือขึ้นอุดหู หน้าแหยๆไป
"คุณหลบอยู่ตรงนี้ก่อน"
หิรัณย์หามุมมองออกไป กระชับปืนก่อนยิงสวนไปแล้ววิ่งออกจากที่ซ่อน เธอจะตามเขาไป แต่ขณะนั้นเองผู้คนก็วิ่งแตกตื่นอกมาจากผับ เธอหันไปมองแล้วรีบยกกล้องขึ้นถ่ายภาพรัว
ไม่คาดคิด นอร์เบิร์ตวิ่งปะปนออกมาพร้อมกับผู้คนมาเที่ยว แต่ด้วยความเป็นฝรั่งเลยโดดเด่น
มีคณาถ่ายภาพเอาไว้ได้ เขารีบยกมือขึ้นบังหน้าแล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถขับออกไป มีคณาถ่ายภาพตามท้ายรถไป
หิรัณย์และตำรวจนอกเครื่องแบบวิ่งไล่ล่าคนร้าย 2 คนที่วิ่งเตลิดหนีไปทางทุ่งข้างผับ คนร้ายยิงสกัดการไล่ลามาแบบมั่วๆ จนเหล่าตำรวจต้องหมอบหลบ
วิมลินวิ่งไล่กวดสุภาพบุรุษที่วิ่งหนีไม่คิดชีวิตไปทางหลังผับ หมวดสาวตัดสินใจยิ่งขู่ สุภาพบุรุษหน้าซีดตัวสั่นยกมือยอมแพ้ง่ายๆ เธอเข้าไปล็อกตัวใส่กุญแจมือ
เสียงยิงปืนตอบโต้กันดังมาก คนร้ายหน้าตาตื่นกลัวยิงมั่วพร้อมพยายามวิ่งหนี ตำรวจนอกเครื่องแบบโชคร้ายโดนกระสุนเข้าได้รับบาดเจ็บ คนร้ายจะยิงจ่าโจซ้ำแต่กระสุนหมดซะก่อน ต้องวิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต จ่าโจวิ่งกวดตาม ก่อนจะโดดถีบคนร้ายจนล้มคว่ำไป แล้วโถมตัวโดดเข้าใส่ ใช้เข่ากดลงกลางหลังคนร้าย กดล็อกเอาไว้พร้อมเอาปืนจี้ขู่...จับคนร้ายได้สำเร็จ
บริเวณทุ่งข้างผับ หิรัณย์และตำรวจนอกเครื่องแบบวิ่งไล่ล่าคนร้าย 2 คนอย่างไม่ลดละ คนร้ายทิ้งถุงของกลางเพื่อหนีเอาตัวรอดให้เร็วที่สุด หิรัณย์ยิงโดนขาคนร้ายคนหนึ่งล้มลง คนร้ายอีกคนยิงโต้ตอบกลับมาทันที หิรัณย์หลบได้หวุดหวิด คนร้ายรายนั้นหนีรอดไปได้
คนร้ายที่โดนยิงยกมือยอมแพ้ก่อนโดนตำรวจนอกเครื่องแบบอีกนายเข้าจับกุม
วิมลินยืนคุมจ่าโจและตำรวจนอกเครื่องแบบที่กำลังจับตัวสุภาพบุรุษและคนร้าย1คน
เข้ารถไป มีคณาคอยถ่ายรูปอยู่ไปมา สุภาพบุรุษและคนร้ายก้มหน้างุดหลบกล้อง
"ก่อนจะเอารูปอะไรไปลงขอทางเราเช็กก่อนนะ"
"ฉันทราบค่ะ ทีมงานของหมวดต้องปิดบังหน้าตาไว้เป็นความลับ"
"รู้ก็ดี"
หิรัณย์ช่วยตำรวจนอกเครื่องแบบอีกนายหิ้วปีกคนร้ายที่โดนยิงขาออกมา หิรัณย์บอกวิมลิน
"รอดไปได้หนึ่ง ส่งคนตามไปแล้ว"
จ่าโจมาช่วยตำรวจหิ้วปีกคนร้ายแทนหิรัณย์ มีคณาหันไปถ่ายภาพคนร้ายไว้ คนร้ายทำหน้าดุด่าใส่เธอก่อนถูกคุมตัวไปขึ้นรถอีกคัน
"ทางนี้จับตัวสุภาพบุรุษได้ คนของเราโดนยิงบาดเจ็บเล็กน้อย...สงสัยมันจะวางสายไว้ในร้าน ถึงได้รู้ตัว เดี๋ยวต้องสอบปากคำเจ้าของร้าน"
"“เด็กใหม่ของพวกคุณเป็นคนส่งสัญญาณค่ะ"
หิรัณย์และวิมลินหันมองมีคณา
"ฉันเห็นเค้าอยู่บนดาดฟ้า แล้วหนีปนออกมากับนักเที่ยวช่วงชุลมุน"
วิมลินมีสีหน้าเสียดาย
"แล้วทำไมไม่รีบบอก จะได้จับให้ได้คาหนังคาเขา หลุดไปได้ยังงี้ เดี๋ยวมันก็อ้างได้ ว่าจำคนผิด ที่มืด แสงไม่สว่างพอ สารพัดจะอ้าง"
มีคณาสีหน้ามั่นใจ
"อ้างยากค่ะ เพราะฉันไม่ใช่แค่เห็น แต่ถ่ายภาพเอาไว้ได้ด้วย"
หิรัณย์ยิ้มพอใจที่มีคณาสร้างผลงาน
"ฉันถ่ายภาพเค้าไว้ได้หลายใบ ตั้งแต่ออกจากผับจนขึ้นรถขับออกไปเลย ถ้าจะปฏิเสธว่า ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์คงยากค่ะ"
มีคณายิ้มมั่นใจ ส่งกล้องในมือให้วิมลินที่เริ่มยิ้มออก
"แล้วก็ไม่บอกแต่แรก"
วิมลินรับกล้องไปเช็กรูปอย่างอารมณ์ดีขึ้น หิรัณย์หันมายิ้มชื่นชมให้มีคณาเธอดีใจที่ได้ทำหน้าที่ที่เป็นประโยชน์กับทีม
ผ่านเวลาเล็กน้อย รถคันหนึ่งกำลังขับเร็วไปตามถนนหนทาง ตำรวจนอกเครื่องแบบขับรถ มีจ่าโจนั่งข้างหน้า..หิรัณย์และมีคณานั่งเบาะหลัง
"เป็นไงครับ กลัวรึเปล่า"
"ตอนได้ยินเสียงปืนครั้งแรกก็กลัวแหละค่ะ แต่พอนึกได้ว่านี่คืองานที่ต้องทำ ทุกวินาทีมีค่า จะปล่อยให้ผ่านไปเฉยๆไม่ได้ ก็เลยลืมความกลัวไปได้บ้าง มาตอนนั่งรถนี่แหละค่ะชักสั่น เพิ่งนึกได้ว่าผ่านอะไรมาบ้าง" มีคณายอมรับ
หิรัณย์ขำๆ สีหน้าชื่นชม
"ผมไม่เห็นคุณสั่น คุณรับมือกับทุกอย่างได้ดีออก"
"ก็ฉันไม่อยากสั่นให้คุณกับหมวดดาวเห็นนี่คะ เสียฟอร์มหมด"
"คุณไม่ต้องกลัวเสียฟอร์มกับพวกเราหรอก หมวดดาวเค้าชื่นชมคุณนะ"
มีคณาแปลกใจ
"หมวดดาวเนี่ยนะคะชื่นชมฉัน"
"ใช่"
มีคณาไม่อยากเชื่อ
"ไปถามหมวดเค้ามาแล้วเหรอคะ"
"ไม่เห็นต้องถามเลย มีคนไม่กี่คนหรอกนะครับที่วิ่งอยู่ในดงกระสุน แล้วยังถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานสำคัญให้ตำรวจได้อีก ถึงผู้หมวดไม่พูด แต่ท่าทางเธอนับถือใจคุณมากเลยนะครับ"
มีคณาแอบปลื้ม
"ฉันเองก็นับถือเธอค่ะ เธอลบภาพตำรวจหญิงในความคิดฉันไปหมดเลย"
"ที่คุณคิดไว้ เป็นยังไงเหรอครับ"
"ก็นึกว่าจะหนักไปทางทำงานเอกสาร ตามสืบอะไรนิดๆหน่อยๆ ไม่คิดว่าจะลุยเข้าจับคนร้ายเหมือนตำรวจผู้ชาย แต่หมวดดาวเธอทำจริง ไม่กลัวตาย หมวดดาวเป็นตำรวจหญิงที่น่าทึ่งมากเลยนะคะ" มีคณาพูดสีหน้าชื่นชม
จ่าโจนั่งหน้าหันมาพูดแย้ง
"แล้วตำรวจชายไม่น่าทึ่งบ้างเหรอครับคุณมี่"
หิรัณย์ยิ้มๆ มองมีคณารอฟังคำตอบ มีคณายิ้มแย้มให้จ่าโจ
"งานวันนี้เปลี่ยนความรู้สึกของฉันที่มีกับตำรวจไปเยอะเลยล่ะค่ะ"
หิรัณย์ยิ้มกระเซ้ามีคณา
"ตอบไม่ตรงคำถามว่ามั้ยจ่า"
"นั่นสิครับ"
"ถึงโรงแรมที่พักเด็กใหม่แล้วครับ"
ทันทีที่รถจอด หิรัณย์และจ่าโจเปลี่ยนท่าทีสบายๆ อย่างฉับพลันกระชับปืนขึงขังลงจากรถพร้อมทำงานทันที มีคณางงๆ ปรับตัวตามไม่ทันเล็กน้อย รีบคว้ากระเป๋าสะพายตามออกไปอย่างเร็ว
มีคณาตามเข้ามาที่ล็อบบี้โรงแรม 3 ดาวแห่งหนึ่งเห็นหิรัณย์และหมวดดาว จ่าโจและนายตำรวจนอกเครื่องแบบอีก 2-3 นายยืนคุยกับพนักงานต้อนรับที่เคาน์เตอร์
อึดใจหิรัณย์เดินกลับมาหามีคณาพร้อมตำรวจนอกเครื่องแบบ 2 นาย
"เด็กใหม่เพิ่งขึ้นไปที่ห้องพัก เราจะกระจายกำลังขึ้นไปจับกุม คุณมี่มากับผมครับ"
"ค่ะ"
หิรัณย์เดินนำไปทางบันไดหนีไฟ มีคณารีบเดินตามเขาไปติดๆ นายตำรวจนอกเครื่องแบบอีก 2 นายตามประกบหลังไปทันที
วิมลินกับตำรวจนอกเครื่องแบบ เดินเร็วไปขึ้นลิฟท์ พนักงานโรงแรมหน้าตาตื่นกลัวรีบเดินตามเข้าไป
"ชั้นไหนคะ"
"ชั้น 4 ครับ ห้อง407"
หมวดดาวยืนเชิดหน้านิ่งอยู่กลางลิฟท์ ประตูลิฟท์ปิดลง
หิรัณย์กระชับปืน เตรียมพร้อมวิ่งขึ้นบันไดไปอย่างเร็ว มีคณาอยู่กลางต้องทนอึดวิ่งตามให้ทัน เพราะตำรวจนอกเครื่องแบบอีก 2 นายก็วิ่งไล่จี้ตามหลังมาติดๆ เธอรวมแรงวิ่งตามหิรัณย์ ไม่อยากเป็นตัวถ่วง
บริเวณหน้าห้องพักเด็กใหม่ วิมลินเคาะประตูห้อง 407 แต่ไม่มีเสียงตอบมาจากด้านใน หมวดดาวเคาะประตูห้องอีกครั้ง เหมือนเดิมยังไม่มีเสียงตอบ ตำรวจนอกเครื่องแบบกระชับปืนหลบอยู่ด้านข้างประตู เตรียมพร้อม
วิมลินพยักหน้าให้เจ้าหน้าที่โรงแรม พนักงานเคาะประตูห้อง ก่อนพูดเสียงดัง
"คุณนอร์เบิร์ตครับ ผมอาทร เจ้าหน้าที่ต้อนรับครับ"
ยังไม่มีเสียงตอบอีก
หิรัณย์พามีคณาและตำรวจอีก 2 นายตามมาสบทบ
"บันไดหนีไฟเคลียร์ ไม่มีใคร" หิรัณย์บอกวิมลิน
วิมลินเสียงดุสั่งอาทร
"ไขกุญแจห้องเลย"
"ครับ" อาทรหยิบกุญแจสำรองมือไม้สั่นมาไข ตำรวจทุกคนระวังพร้อมอยู่ด้านข้างประตู
มีคณาหลบไปไม่ให้เกะกะ ทุกคนจับตาไปเจ้าหน้าที่โรงแรมที่กำลังไขกุญแจประตูห้องพักอยู่
บรรยากาศเงียบกริบ มีคณาแทบกลั้นหายใจเลย ทันทีที่มีเสียงคลิ๊กปลดล็อก หิรัณย์ก็ถีบประตูโครมเข้าไปพร้อมตั้งการ์ดปืน ตำรวจกรูตามกันเข้าไป ไม่มีใครอยู่ในห้อง เด็กใหม่เก็บข้าวของสำคัญๆ เกลี้ยงเผ่นแน่บออกไปแล้ว คงเหลือของใช้ไม่จำเป็นเล็กๆ น้อยๆ ไว้เท่านั้น
ตำรวจแยกย้ายกันค้นไปทั่วห้อง... อาทรรีบไปเปิดตู้เย็นเช็กของตามความเคยชินก่อน วิมลินเจ็บใจ
"ไอ้นี่มันนกรู้จริงๆ"
"มันคงยังหนีไปไหนได้ไม่ไกล กระจายกำลังกันออกตามเถอะ"
"ค่ะสารวัตร"
สิ้นคำ ทุกคนก็กรูกันออกไปจากห้องทันที
มีคณายังตั้งตัวไม่ทันเล็กน้อยแต่ก็ดีขึ้น เธอตั้งท่าจะตามหิรัณย์ไป แต่พนักงานโรงแรมเรียกขัดไว้ซะก่อน
"เดี๋ยวครับคุณตำรวจ"
มีคณาชะงักหันมอง
"ลูกค้าหนีไปยังงี้ ผมจะทำยังไงครับ เค้าดื่มเครื่องดื่มในตู้เย็นเกลี้ยงเลยครับ ผมจะยึดของใช้ที่เหลือของลูกค้าไว้ได้มั้ยครับ"
มีคณายิ้มแหยๆ เล็กน้อยบอก
"คงไม่ได้มังคะ เดี๋ยวตำรวจคงมาเก็บไว้เป็นหลักฐาน"
อาทรสีหน้ากลุ้มๆ
"แล้วผมจะทำยังไงดีล่ะครับ"
"แล้วปกติทำยังไงล่ะคะ"
"ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ผมเพิ่งมาทำงานได้อาทิตย์เดียวเอง ถ้าผู้จัดการทราบเรื่อง ผมถูกด่าแน่ๆ"
"ก็บอกเค้าไปว่า ไม่ใช่ความผิดของคุณ อย่าห่วงเลยนะคะ มันเรื่องสุดวิสัย...แล้วนี่ฉันจะไปได้รึยังคะ ฉันจะรีบไปทำข่าว"
"อ้าว นี่คุณไม่ใช่ตำรวจหรอกเหรอครับ"
"ไม่ใช่ค่ะ ต้องคุณผู้หญิงสวยๆ คนเมื่อกี้"
"ผมก็ว่าแล้ว คุณไม่ค่อยมีรัศมีตำรวจเลย"
มีคณาฉีกยิ้มให้ แล้วรีบวิ่งออกไปจากห้อง กลัวตามหิรัณย์ไม่ทัน
"ขอบคุณค่ะ"
3 ทหารเสือสาว ฟ้ากระจ่างดาว ตอนที่ 4 (ต่อ)
มีคณาวิ่งออกมาหน้าห้องมองซ้ายที ขวาที ไม่มีวี่แววหิรัณย์ วิมลินและทีมตำรวจเลย
"เสร็จกันเลย"
มีคณาตัดสินใจลงทางบันไดหนีไฟที่เคยมา บริเวณบันไดหนีไฟ เธอต้องชะงักเมื่อเห็นพนักงานทำความสะอาดเดินผลุบเข้าไปในประตูอีกบาน ซึ่งอยู่ข้างๆ บันไดหนีไฟ ที่ประตูเขียนข้อความแปะไว้ว่า ห้ามผ่าน เฉพาะพนักงานเท่านั้น มีคณาฉุกใจคิดขึ้นมา เปลี่ยนใจ อยากไปสำรวจที่นี่ก่อนเพราะ เด็กใหม่อาจจะหลบอยู่ในนี้ก็ได้
อาทรเดินหน้าเครียดๆ ตามมาทางนี้พอดี มีคณารีบซัก
"นี่ประตูไปไหนคะ"
"ทางเข้าออกพนักงานครับ"
"ออกไปไหนคะ"
"ออกไปจากโรงแรมน่ะสิครับ ถึงโรงแรมเราจะเล็กแต่มีคุณภาพนะครับ เราไม่อนุญาตให้พนักงานใช้ลิฟท์หรือบันไดร่วมกับแขก เราเลยมีลิฟท์กับบันไดเล็กๆ แยกให้พนักงานใช้เป็นสัดส่วนครับ เขียนข่าวอย่าลืมพูดข้อดีของโรงแรมด้วยนะครับ เผื่อผู้จัดการจะหายโกรธผมมั่ง"
มีคณาฉุกคิด รีบบอก กลัวอันตรายเหมือนกัน
"คุณช่วยไปตามตำรวจเมื่อกี้... บอกว่ามีทางออกพนักงานอยู่ตรงนี้ได้มั้ยคะ"
"ได้ครับ"
"เร็ว ๆ เลยนะคะ"
มีคณาตัดสินใจเข้าประตูทางออกพนักงานไป อาทรรีบวิ่งกลับไปทางลิฟท์
มีคณาเข้าไปในห้องด้านใน มีลักษณะเป็นห้องเก็บของ มุมห้องมีพวกผ้าเช็ดตัวขนาดต่างๆ
วางอยู่ ถัดไปก็ผ้าปูเตียง ผ้าห่มที่ใช้ในห้องพักโรงแรม
เธอหันไปมองทางลิฟท์ตัวเล็กๆ โชว์บอกว่าอยู่ชั้นล่าง แม่บ้านคนเมื่อกี้คงเพิ่งลงไป
เธอมองไปทางบันไดเล็กๆ ที่อยู่ถัดไป
ไม่คาดคิดมีคณาได้ยินเสียงเปิดปิดประตูดังมาจากข้างล่าง เธอลืมความกลัว รีบลงบันไดลงไปสำรวจทันที
มีคณาวิ่งลงบันไดมาถึงห้องเก็บของชั้นล่าง เธอกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง เป็นกองผ้าขนหนู ผ้าปูที่นอน ใช้แล้วเตรียมส่งซัก ก่อนจะเหลือบเห็นชายเสื้อหรือกางเกงสีเข้ม พ้นมาจากหลังกองผ้าในรถเข็น
มีคณาเดินเข้าไปใกล้ๆ
"หยุด อย่าเข้ามา ผมมีปืน" นอร์เบิร์ตเสียงเข้มพูดไทยไม่ชัดนักบอก
มีคณาหยุดกึกไป
"ยกมือขึ้น"
มีคณายอมทำตามคำขู่ ยกมือขึ้นเหนือหัวช้าๆ นอร์เบิร์ตออกมาจากที่ซ่อน ดูกลัวและตื่นเต้นไม่แพ้เธอ มือหนึ่งล้วงกระเป๋าแจ็คเก็ตผ้าบาง ในกระเป๋ามีอะไรบางอย่างตุงขึ้นมาเหมือนซ่อนปืน มีด หรือไม่มีอะไรเลยในนั้น แค่มือเปล่าแต่เค้าแกล้งทำเป็นขู่ แต่มีคณาก็ไม่อยากเสี่ยง ยกมือขึ้นเหนือหัว พยายามตั้งสติให้ได้
"ฉันไม่มีอาวุธ ฉันทำร้ายคุณไม่ได้หรอก"
มีคณาพยายามเกลี้ยกล่อม
"ฉันว่าคุณวางอาวุธดีกว่า ตำรวจอยู่เต็มโรงแรมไปหมด คุณหนีไม่รอดหรอก"
นอร์เบิร์ตแววตาหลุกหลิก หวาดระแวง
"ผมไม่ได้ทำอะไรผิด"
"ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิดแล้วคุณจะหนีตำรวจทำไม สู้วางอาวุธแล้วคุยกับตำรวจดีๆ ไม่ดีกว่าเหรอคะ"
"ผมไม่โง่ ผมอยู่เมืองไทยมาหลายปี ถ้าผมยอมให้จับ ผมจะโดนยัดข้อหา"
"คุณเข้าใจผิดแล้วฉันก็ไม่ใช่ตำรวจ ฉันเป็นนักข่าว"
นอร์เบิร์ตคิดตามแล้วจำได้
"จำได้แล้ว คุณถ่ายรูปผมไว้ เอากล้องมาเลย"
นอร์เบิร์ตเดินเข้าหา เธอถอยหนีแบบหาจังหวะก่อนจับสังเกตที่ตุงๆ อยู่ในเสื้อแจ็คเก็ต มันโย้เย้ ขนาดไม่คงที่ ต้องไม่ใช่อาวุธจริงแน่ๆ
นอร์เบิร์ตจะเข้ามาคว้ากระเป๋าสะพายจากมีคณา เธออาศัยเคยเรียนวิชาการต่อสู้มา จึงเบี่ยงตัวหลบจับแขนนอร์เบิร์ตแล้วกระแทกเข่าเข้ากลางเป้าเด็กใหม่ก่อนเต็มแรงเกิด
นอร์เบิร์ตหน้าบูดเบี้ยว เจ็บจุกจนทรุดฮวบกุมกล่องดวงใจ ร้องไม่ออก!!
มีคณารีบถอดกระเป๋าสะพายใช้ช่วงสายล็อคคอซ้ำอีก
เสียงวิ่งลงบันไดดังโครมครามดังนำมา หิรัณย์และตำรวจนอกเครื่องแบบวิ่งลงบันไดมาช่วย
มีคณา
"สารวัตร ช่วยด้วยค่ะ"
ตำรวจนอกเครื่องแบบรีบไปจับตัวนอร์เบิร์ตล็อกกุญแจข้อมือ เธอรีบดึงกระเป๋าสะพายคืนกลับมา
หิรัณย์รีบเข้าไปหาเธอด้วยความเป็นห่วง
"เค้าทำอะไรคุณรึเปล่า"
"เค้าจะเค้ามาแย่งกล้อง ฉันเลยป้องกันตัว"
หิรัณย์หันมองสภาพนอร์เบิร์ตที่ยังจุกไม่หาย ขณะโดนตำรวจนอกเครื่องแบบคุมตัวออกไป
หิรัณย์ยิ้มๆบอก
"ท่าทางจะเจอชุดใหญ่"
มีคณาฝืนยิ้ม จัดเสื้อผ้าตัวเองไปมาเล็กน้อย
"ฝีมือคุณไม่เลวนะ เตะผ่าหมากตรงเป้าเป๊ะ หนักซะด้วย เห็นสภาพเด็กใหม่แล้วผมจุกแทน" หิรัณห์ยิ้มๆ มีคณายิ้มเขินๆ
"จริงๆ ใช้หัวเข่ากระแทกค่ะ ฉันยกเท้าไม่ค่อยสูง ครูที่สอนเลยแนะให้ใช้หัวเข่าอัดเข้าไปแรงๆ"
"คุณเรียนศิลปะป้องกันตัวด้วยเรอะ"
มีคณาและหิรัณย์หันไปมอง เห็นวิมลินเดินกอดอกหน้านิ่งลงบันไดมาหาทั้งสองคน
หมวดสาวกระเซ้าหน้าตาย
"ดีนะที่คุณไม่ได้ใช้ท่านี้เล่นงานสารวัตรตอนเจอกันครั้งแรก"
หิรัณย์เหล่ๆ มองวิมลิน
"ตอนนั้นยังไม่ได้จังหวะค่ะ กำลังโกรธด้วย"
"คุณต้องไปเรียนยูโด ถึงถูกจับไพล่หลังก็ยังพอมีจังหวะทุ่มคนจับได้ ถ้าสนใจนะ ฉันมีครูสอนที่เก่งมากจะแนะนำให้"
มีคณาดีใจรีบรับ
"สนใจสิคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะหมวด"
หิรัณย์กระแอม
"สาวๆจะคุยกันเรื่องหาทางซ้อมผู้ชายอีกนานมั้ยครับ ผมว่าจัดการส่งตัวผู้ต้องสงสัยไปโรงพักก่อนไม่ดีกว่าเหรอครับ"
วิมลินค้อนใส่หิรัณย์เล็กน้อยก่อนหันมาพูดกับมีคณา
"งานคราวนี้ของเรา คุณมีส่วนในความสำเร็จมากนะ ขอบคุณมากที่ทุ่มเทเต็มที่กับพวกเรา"
มีคณายิ้มกว้างปลาบปลื้มใจมาก
"ขอบคุณค่ะ"
วิมลินยิ้มน้อยมากๆ ให้มีคณาก่อนจะหมุนตัวไปเดินขึ้นบันไดแล้ววิ่งกลับขึ้นไปอย่างกระฉับกระเฉง
หิรัณย์ยิ้มชื่นชมให้มีคณา
"หมวดดาวเค้ายอมรับในความสามารถคุณแล้วนะ ดีใจด้วยครับ"
มีคณายิ้มออกมาอย่างชื่นใจหายเหนื่อย
หน้าโรงแรมที่พักของมีคณาตอนสายวันรุ่งขึ้น วิมลินคุยล่ำลากับหิรัณย์และมีคณาที่ล็อบบี้
"เรามีปัญหาเรื่องเที่ยวบินเล็กน้อย สารวัตรกับคุณมีคณาคงต้องรอกลับเที่ยวค่ำแทน"
"ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับ"
"ถ้าไม่มีทางเลือก ยังไงก็ได้ค่ะ"
วิมลินหน้านิ่ง สบตากับหิรัณย์
"แล้วเจอกันที่กรุงเทพค่ะ"
มีคณาแอบถอนใจ
"ขอโทรศัพท์เดี๋ยวนะคะ"
มีคณาหยิบโทรศัพท์มือถือมากดโทรออก แล้วเดินเลี่ยงไปคุย หิรัณย์เหล่มองตามมีคณาไปเล็กน้อย ก่อนพูดกระซิบกับวิมลิน
"ขอบคุณมากนะหมวดที่ช่วยเปิดโอกาสให้ผม"
วิมลินทำไม่รู้ไม่ชี้ยักไหล่แล้วเดินออกไป หิรัณย์มองไปที่มีคณา ยิ้มแย้มดีใจที่จะมีโอกาสได้อยู่กับตามลำพังยาวขึ้นอีกหน่อย
เวลากลางวัน มีคณานั่งพิมพ์ต้นฉบับในโน้ตบุ๊กในห้องพักโรงแรมอย่างมีสมาธิ หิรัณย์นอนพักอยู่บนเตียงในห้องพักพ่วงเปิดประตูอ้าเอาไว้และแอบมองมาทางมีคณาตลอด... หิรัณย์แอบอมยิ้ม
มีคณารู้สึกได้ว่า ถูกแอบมองอยู่ จึงหยุดพิมพ์ หันมอง...หิรัณย์หลบสายตาไม่ทัน รีบฉีกยิ้มให้
"ขยันจังเลยนะครับ"
"ดีกว่าเสียเวลาเปล่าค่ะ"
"ไม่อยากออกไปเที่ยวเหรอครับ"
"อยากทำงานมากกว่าค่ะ"
หิรัณย์รีบยื่นข้อเสนอ เพื่อจะได้ออกไปข้างนอกกันบ้าง
"งั้นเดี๋ยวเราออกไปทานกลางวันร้านใกล้ๆ โรงแรมก็แล้วกันนะครับ"
หิรัณย์ยิ้มแย้มรอคำตอบรับ
"สั่งขึ้นมาทานบนห้องดีกว่าค่ะ ฉันหัวกำลังแล่น"
หิรัณย์ยิ้มเจื่อนลงเล็กน้อย เสียดาย แต่ไม่อยากให้มีคณาเสียงาน
"ก็ตามใจครับ"
มีคณาหันไปพิมพ์งานต่ออีกนิดก่อนหยุดหันมามองทางหิรัณย์ที่ยังคงนอนยิ้มมองมาทางเธอ มีคณาเดินลุกเดินหน้านิ่ง จะมาปิดประตูห้องพ่วง
"อย่าปิดเลยครับ ผมเหงา" หิรัณย์สีหน้าอ้อนๆ เล็กน้อย
มีคณาเหยียดปากหมั่นไส้ เดินกลับไปหยิบโน้ตบุ๊กไปนั่งทำงานมุมอื่นแทน หิรัณย์ขยับที่นอนไปหา มุมที่มองเห็นมีคณาได้อีก เธอกวาดตามองเช็กไปมาเล็กน้อย เห็นหิรัณย์มองชิ่งกระจกมาที่ตนอยู่ เธอขยับแว่นกระชับดั้งเขินๆ เล็กน้อย ก่อนจะปรับมุมทำงานให้หันหลังให้หิรัณย์แทน แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
เวลาต่อเนื่องมา ข้าวเม่ากำลังช่วยแม่จัดโต๊ะอาหารกลางวัน ครูอรุณนั่งกอดดอกไม้ดูข่าวทีวีอยู่ที่โซฟา ข้าวตอกหน้าตาตื่นเล็กน้อยวิ่งเข้าบ้านมารายงานพ่อกับแม่
"สันติไม่ได้เล่นอยู่หน้าบ้านครับพ่อ"
อรุณและวีณามีสีหน้าสงสัยปนห่วง
"ดูทั่วแล้วแน่นะข้าวตอก"
"ครับพ่อ"
"ไม่ได้เล่นเกมอยู่ในห้องนอนแน่นะ"
"ไม่มีครับ"
"สันติหนีออกจากบ้านแน่ๆ เลยค่ะคุณพ่อ" ดอกไม้บอก
ทั้งวีณาและอรุณหันมาสบตากัน
"เราช่วยกันไปตามหาก่อนดีมั้ยครับแม่" ข้าวเม่าบอก
วีณาพยักหน้ารับ สีหน้าเครียดๆ
"ข้าวตอกอยู่กับดอกไม้ที่บ้านนี่แหละ"
วีณา อรุณและข้าวเม่า พากันเดินออกไปจากบ้านตามหาสันติ
สันติสีหน้าเซ็งๆ หนีบเอารถแข่งปีนรั้วบ้านมีคณาเข้ามาไปนั่งที่มุมโรงรถ พลางบ่นพึมพำ
"เมื่อไหร่จะกลับซะทีวะ"
สันติเอารถบังคับขึ้นมามอง
สันติสีหน้ากังวลพูดกับรถแข่ง
"ถ้าป้าแก่มันตายตอนทำข่าว จะทำไง ฉันต้องอยู่บ้านครูใหญ่ไปตลอดชีวิตเลยเรอะ"
สันติมีสีหน้าใช้ความคิด สันติพูดพึมพำ
"เย็นนี้ไม่กลับ กูหนีแน่"
สันติแล่นรถแข่งไปข้างหน้า รถกำลังแล่นไปตามแรงส่งตรงไปหน้ารั้วบ้าน ครูอรุณที่เดินตามหามาหยุดมองอยู่หน้ารั้วบ้านมีคณาพอดี
ครูอรุณมีสีหน้าขรึมๆ ดุๆ สันติถอนใจออกมา เซ็งสุดชีวิต
เวลาบ่าย หิรัณย์ยิ้มพริ้มเผลอนอนหลับไป มารู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ก็ตกใจว่า เผลอผล๋อยหลับไปตอนไหน ภายในห้องพ่วง มีคณาไม่อยู่แล้ว ข้าวของเกลี้ยงใส่กระเป๋าขนาดย่อมกองไว้มุมห้อง
หิรัณย์หยิบมือถือมาโทรหาพร้อมเดินกลับมาห้องพักตนแต่พบว่ามีคณาปิดมือถือไปซะแล้ว
หิรัณย์เห็นถาดอาหารวางอยู่ที่โต๊ะกลางโซฟาในห้องพัก..อาหารถูกครอบฝาไว้อย่างดี มีกระดาษเขียนโน้ตพับ สอดใต้ถาดไว้ เขารีบเดินมานั่งหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอ่าน
"สั่งอาหารกลางวันไว้ให้นะคะ ไม่รู้ว่าถูกใจรึเปล่า แต่เห็นคุยว่าเป็นคนทานง่าย ก็เลยสั่งอาหารง่ายๆให้"
หิรัณย์เปิดฝาครอบจานอาหารออกดู ... กระเพราราดข้าว โปะไข่ดาว...หิรัณย์ยิ้มๆ
ฝ่ายมีคณากำลังเลือกซื้อของฝากของอยู่ที่ร้านขายของที่ระลึก
"ฉันเขียนงานเสร็จเลยออกมาเที่ยว เห็นคุณหลับอยู่ กรนเบาๆ เลยไม่กล้าปลุก"
หิรัณย์แอบอายเล็กน้อย
" เย็นๆ เจอกันค่ะ"
หิรัณย์สีหน้าเสียดายมาก วางกระดาษลง นึกเจ็บใจตัวเอง ก่นด่าตัวเอง
"หลับได้ไงเนี่ย โอกาสทองหมดกันเลย" หิรัณย์ยกมือสองข้างเคาะกะโหลกตัวเอง
เวลาเย็น มีคณาเดินถือถุงใส่ของฝากกลับเข้ามาที่ล็อบบี้โรงแรม หิรัณย์จู่โจมเข้าหาทันที
"ทำไมกลับเอาป่านนี้ล่ะครับ"
มีคณาตกใจเล็กน้อย
"ก็ยังทันเวลาขึ้นเครื่องนี่คะ"
"ผมกะจะพาคุณไปเลี้ยงข้าวขอบคุณซะหน่อย"
"ไม่จำเป็นหรอกค่ะ"
หิรัณย์ดูนาฬิกาข้อมือ
"จำเป็นสิครับ ก็ยังทันนะ แต่ต้องวิ่งขึ้นเครื่องนิดหน่อย ไปครับ"
"เดี๋ยวค่ะ ของฉันอยู่ข้างบน"
"ผมขนมาใส่รถ รอออกเดินทางเป็นชั่วโมงแล้วครับ ไปครับ"
หิรัณย์จับแขนมีคณาลากออกไปจากล็อบบี้ทันที มีคณาตัวปลิวไปตามแรงลากกระชับแว่นเข้าดั้งเล็กน้อย
เวลาเย็น มีคณาและหิรัณย์นั่งชื่นชมบรรยากาศแม่น้ำยามเย็นอยู่ที่ร้านอาหารบรรยากาศดีติดแม่น้ำ เธอกำลังใช้โทรศัพท์มือถือในโหมดวีดีโอถ่ายวิวทิวทัศน์เอาไว้
"สวยคุ้มค่าที่ต้องรีบมั้ยครับ"
มีคณายิ้มๆบอก
"ค่ะ"
พนักงานเอาเมนูอาหารมาให้ หิรัณย์ ๆ รับมาเปิดอ่านไป มีคณาแอบแพนมือถือมาถ่ายหิรัณย์เก็บเข้าคลิปไปด้วย หิรัณย์เหลือบตาขึ้นมอง
"ทานอะไรดีครับ"
มีคณาตกใจรีบลดโทรศัพท์มือถือลงพร้อมกดหยุดการทำงาน
มีคณาปั้นยิ้มบอก
"อะไรที่ไม่ต้องรอนานน่ะค่ะ จะได้ไม่ต้องวิ่งเร็วมาก"
" ได้เลยครับ"
ขณะที่หิรัณย์สั่งอาหารกับบริกร มีคณากำลังกดโทรศัพท์โทรหาครูวีณาอยู่
"สวัสดีค่ะครู มี่เองนะคะ... วันนี้มี่กลับช้านิดนึงนะคะ ได้เที่ยวบินกลับค่ำๆ น่ะค่ะ คงถึงมืดหน่อย...
บอกสันติว่ามี่กลับแน่นอน ไม่ต้องห่วงค่ะ...ค่ะครู มี่เกรงใจครูจังเลย ขอบคุณมากนะคะ"
มีคณากดตัดสายพร้อมถอนใจออกมา
"ขอโทษนะครับ สันตินี่น้องชายคุณเหรอ ดูคุณเป็นห่วงจังเลย โทรเช็กบ่อยมาก"
มีคณาเงียบ หิรัณย์เกรงใจ กลัวเสียมารยาท
"เอ่อ ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรนะครับ ขอโทษที"
"หลานชายมี่น่ะค่ะ"
หิรัณย์รับฟังอย่างดีใจที่มีคณายอมเปิดเผยเรื่องส่วนตัวกับเขาเป็นครั้งแรก
"ย้ายมาจากต่างจังหวัด มี่เพิ่งรับอุปการะ ไม่รู้ว่าจะทำได้ตลอดรอดฝั่งรึเปล่า" มีคณาสีหน้าหนักใจ
"เด็กสมัยนี้เข้าใจยากนะครับ"
"มากค่ะ มี่หนักใจอยู่ทุกวัน"
"หลานชายกี่ขวบแล้วครับ"
"10 ย่าง 11 ค่ะ แต่ดูโตกว่าอายุ พูดยาก ไม่ค่อยเชื่อฟัง"
"อาจจะเพราะคุณเป็นผู้หญิงก็ได้"
มีคณาฟังแล้วคิดตาม
"ก็เป็นไปได้ค่ะ"
หิรัณย์จ้องตามีคณา
"ถ้ามีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้ก็บอกนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ"
ทั้งคู่ต่างสบตาพูดจากใจ
"ถึงภารกิจร่วมกันของเราจะจบไปแล้ว แต่เราก็ไม่ใช่คนที่ไม่เคยรู้จักกันอีกแล้วนะครับ ความเป็นเพื่อนของเราคงไม่จบไปพร้อมกับอาหารมื้อนี้นะครับคุณมี่" หิรัณย์ส่งสายตาอ้อนวอน
มีคณาทนสู้สายตาหิรัณย์ไม่ไหว เธอต้องละสายตามองไปที่แม่น้ำแทน เขากำลังจะเลื่อนมือมากุมมือเธอไว้ เช่นเดียวกับหนุ่มสาวโต๊ะใกล้ๆ ที่ชายหนุ่มกำลังจับมือหญิงสาวชมวิวกัน
เสียงความคิดของหิรัณย์เตือนตัวเองไว้
"กับคนนี้เร็วไปหน่อย พี่รันอย่าใจร้อน"
หิรัณย์ยิ้มๆ มีความหวังหันไปมองวิวแม่น้ำตามมีคณาไป สองคนชมวิวแม่น้ำสวยงามยามเย็น หันคุยกันไปมา ดูอบอุ่นมีความสุข ความสัมพันธ์ของทั้งคู่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ แม้จะช้ามากก็ตาม
แท็กซี่มาจอดที่หน้าบ้านมีคณาตอนกลางคืน คนขับจะลงไปช่วยหยิบกระเป๋าให้มีคณา
"ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง"
มีคณาหน้านิ่งๆ เดินนำลงจากรถไปก่อน หิรัณย์รีบตามลงไปช่วยขนกระเป๋า
"ในที่สุดผมก็ได้มาเห็นบ้านคุณมี่จนได้"
มีคณาหน้านิ่ง
"เล็กดีมั้ยคะ"
"เล็กใหญ่ไม่สำคัญหรอกครับ ขอแค่เป็นบ้านของเรา อยู่แล้วมีความสุขก็พอ"
มีคณาตัดบท
"ขอบคุณนะคะที่มาส่ง"
มีคณารับกระเป๋าเดินทางขนาดย่อมมาวางข้างตัว
"เดี๋ยวงานหน้าผมส่งข่าวใหม่ เผื่อคุณมี่สนใจไปทำข่าวกับทีมเราอีก" หิรัณย์ยิ้มแย้มให้
"ไม่รบกวนแล้วล่ะค่ะ ฉันคงกลับไปทำข่าวแนวถนัดแล้วล่ะ"
หิรัณย์ยิ้มเจื่อนไป มีคณาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ปิดเครื่องถอดซิมออกมาแล้วส่งคืน
"เอามือถือคุณคืนไปดีกว่าค่ะ"
หิรัณย์ใจหายวูบ
"ผมให้คุณแล้ว"
"ฉันยอมรับไว้เพราะเราต้องทำงานเป็นทีม แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว ขอบคุณมากนะคะ" มีคณาส่งมือถือคืน หิรัณย์ยื่นมือไปจับมือเธอให้กุมมือถือเอาไว้
"เหลืออะไรไว้ให้นึกถึงผมบ้างเถอะนะครับ"
มีคณาชะงักไป ใจวูบวาบชอบกล
"อย่าเพิ่งหักดิบกันเลยครับคุณมี่ ผมเป็นคนลืมอะไรยากซะด้วย"
มีคณาเขินๆ ดึงมือที่กำมือถือออกมา ไม่สู้ตา รีบตัดบท
"แท็กซี่เค้ารอนานแล้วค่ะ"
มีคณายกมือไหว้ หิรัณย์รับไหว้แทบไม่ทัน เธอรีบเดินไปที่รั้วบ้าน ก้มหน้าก้มตาไขกุญแจรั้ว ไม่หันได้หันไปมองหิรัณย์อีก
แท็กซี่ขับออกไป หิรัณย์หันมองมีคณาจนเหลียวหลัง
มีคณาไขประตูรั้ว เอากระเป๋าเดินทางเข้าไปเก็บในบ้าน รอจังหวะแท็กซี่ขับพ้นซอยไป เธอรีบร้อนกลับออกมา ล็อกรั้วแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปบ้านครูอรุณทันที
ผ่านเวลาเล็กน้อย มีคณาสีหน้าเครียด คุยกับครูอรุณและครูวีณาอยู่ที่โถงบ้านครูอรุณ
"มี่ไม่พอใจครูรึเปล่าที่ลงโทษสันติแบบนั้น" อรุณถาม
"มี่จะไม่พอใจครูได้ยังไงล่ะคะ แล้วนั่งสมาธิก็ไม่ใช่การลงโทษซะหน่อย เป็นสิ่งที่ควรทำให้ได้ทุกวันด้วยซ้ำไป"
"แต่สันติเค้าคิดว่า นี่คือการลงโทษกักบริเวณน่ะสิมี่" วีณาบอก
มีคณาถอนใจออกมาอย่างหนักใจในตัวหลานชาย ก่อนจะยกมือไหว้ครูทั้งสองพร้อมพูด
"มี่ขอโทษจริงๆนะคะ เอาความวุ่นวายมาให้ครูถึงบ้านแท้ๆ เลย"
วีณาจับมือมีคณาที่พนมให้ลดลงมา
"ไม่ต้องรู้สึกผิดเลยนะมี่ นี่มันเป็นหน้าที่ของครูที่ต้องอบรมสั่งสอนเด็กให้เป็นคนดีอยู่แล้ว"
วีณายิ้มใจดีให้มีคณาสบายใจ มีคณามองหน้าครูทั้งสองอย่างซาบซึ้งใจ
"ขอบคุณมากค่ะครู เดี๋ยวมี่จะกลับไปจัดการสันติซะอีกรอบ"
"อย่าเลยมี่ เค้าคิดว่าโดนลงโทษไปแล้ว เดี๋ยวจะต่อต้านไปกันใหญ่" อรุณบอก
ครูวีณาจับแขนมีคณา แววตาเห็นใจ
"เรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลา เด็กถูกปลูกฝังผิดๆ มาตลอดชีวิต ต้องใจเย็นๆ นะมี่"
มีคณาได้แต่ถอนใจยาวออกมาอีกครั้งอย่างหนักใจ
เวลาต่อเนื่องมา สันตินั่งกระดิกเท้าดูทีวีรออยู่ที่โถงบ้าน มีคณาเดินหน้าเคร่งขรึมกลับเข้าบ้านมา
สันติหันไปมอง
"จะด่าอะไรก็รีบด่ามา จะได้ขึ้นนอน"
"ป้าเสียใจจนพูดไม่ออก" มีคณาจะเดินเลี่ยงขึ้นบ้าน
สันติลุกขึ้นพูดยืนยัน
"ติไม่ได้ทำอะไรผิด"
มีคณาหันมาจ้องหน้า
"ไปว่าน้องดอกไม้เค้าแรงขนาดนั้น ยังพูดมาได้ว่าไม่ได้ทำอะไรผิด ป้าบอกเลยนะติ ที่นี่ไม่ใช่หมู่บ้านของติ เรื่องขายลูกสาวกิน คนที่นี่ไม่ทำกัน มันบาป มันผิดศีลธรรม ติโตขนาดนี้แล้ว ถ้ายังแยกไม่ออกอีกว่าอะไรควร ไม่ควร วันนึงตัวตินั่นล่ะที่จะต้องเดือดร้อนที่สุด"
มีคณาเดินขึ้นบ้านไปอย่างไม่เหลียวแล สันติเหยียดปากหน้ากวนๆ มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด
ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น มีคณาในชุดไปทำงานกำลังตากผ้าที่ซักแล้วอยู่ที่ราวตากผ้าหน้าบ้าน สันติในชุดนักเรียนหน้าหงิกหน้างอกำลังเอาเสื้อผ้าตัวเองออกจากเครื่องซักผ้าใส่ตะกร้าเดินหน้าหงิกถือออกมาตากที่หน้าบ้าน มีคณาหางตามอง
"มีเครื่องซักผ้าสะดวกสบายขนาดนี้ ผู้ชายก็ทำได้ไม่เห็นต้องเกี่ยงให้เป็นหน้าที่ผู้หญิงเลย"
สันติหน้าหงิกงอเอาตะกร้าผ้าที่ซักแล้วมาตั้งข้างมีคณา แล้วจะเดินกลับไปเข้าบ้าน
"เดี๋ยว จะไปไหน"
"ไปหยิบกระเป๋า จะไปโรงเรียนน่ะสิ"
"ตากผ้าของเราก่อน ป้าไม่ตากให้หรอกนะ"
สันติเหล่มองมีคณาด้วยสีหน้าไม่พอใจ มีคณาเก็บตะกร้าผ้าของตัวเองจะเดินเข้าบ้าน แล้วหันขวับกลับมาบอก
"เย็นนี้ติกลับมาก็เก็บผ้าซะให้หมด ของป้าไม่ต้องพับก็ได้ แค่เก็บใส่ตะกร้าไว้เฉยๆ ส่วนเสื้อผ้าติที่รีดเองได้ก็รีดไปเลย ไม่ต้องรอ"
สันติหน้าหงิกก้มหยิบเสื้อผ้ามาสะบัดแรงๆ ระบายอารมณ์ ก่อนจะตากผ้าไป มีคณาจับตามองสันติ
"รู้จักช่วยงาน แบ่งเบาภาระให้ป้าแบบนี้ก็ดีแล้ว ป้าจะได้ล้มเลิกความคิด ที่จะเอาติไปฝากเลี้ยงไว้บ้านครูใหญ่เป็นการถาวรซะ"
สันติหยุดกึก หน้าตาตกใจปนกลัว รีบปรับท่าทีเป็นตากผ้านิ่งๆ ไม่แสดงอารมณ์กระฟัดกะเฟียดเหมือนเมื่อครู่ มีคณาแอบอมยิ้มแล้วเดินกลับเข้าบ้านไป พอคล้อยหลัง สันติก็สะบัดผ้าแรงๆ ก่อนตาก ขมุบขมิบปากก่นด่าไป
"ฝากไว้ก่อนเถอะอีป้าแก่แร้งทึ้ง"
สันติหนีบผ้าไปอย่างหงุดหงิดไม่อยากทำ
เวลาสาย ไชยวัฒน์กำลังกดดูรูปที่มีคณาจากจอคอมพิวเตอร์ สีหน้าถูกใจมาก
"ต้องข่าวยังงี้สิถึงจะสนุก"
มีคณายิ้มปลื้มไปมา
"ต่อไปคุณก็ทำข่าวแบบนี้แซมๆ บ้างก็แล้วกัน"
มีคณาหน้าแหยไปเล็กน้อย
"จะดีเหรอคะบอกอ"
"ทำไมจะไม่ดีล่ะ เห็นภาพที่มี่ถ่ายมาแล้ว ผมก็มั่นใจว่าคุณต้องเขียนข่าวออกมาได้มันมากๆ...แล้วสารวัตรเองเค้าก็เต็มใจช่วยอยู่แล้วนี่"
มีคณาฝืนยิ้ม ขยับแว่นกระชับเข้าดั้ง
"มี่เกรงใจเค้าน่ะค่ะบอกอ"
"เกรงใจอะไร เราไม่ได้ทำให้เค้าเสียงานซะหน่อย ได้โปรโมตผลงานหน่วยงานออกสื่อฟรีๆ ใครจะไม่ชอบ มี่ก็เลือกงานที่ไม่อันตรายก็เป็นอันใช้ได้"
มีคณาเห็นบ.ก.กำลังแรง ก็ไม่กล้าขัด จำใจรับปากไป
"ก็สลับๆ กันไปก็ได้ค่ะบอกอ"
ไชยวัฒน์ยิ้มพอใจ
"น่ารักที่สุด พยายามโทรหาสารวัตรเค้ามั่ง อย่าให้เสียคอนเน็กชั่นไปล่ะ"
มีคณาฝืนยิ้มแหยๆ จนไชยวัฒน์อดกระเซ้าหัวเราะไม่ได้
"แต่ผมได้กลิ่นดอกส้มหอมตลบกองบอกอทุกเช้ายังงี้ ความสัมพันธ์คงแน่นแฟ้นอีกนาน" มีคณาเขินจนทนนั่งอยู่ต่อไม่ไหว
"มี่ไปทำงานต่อก่อนนะคะ"
"เอ้อ เดี๋ยว...รู้เรื่องมัทถูกยิงที่หน้าออฟฟิศรึยัง"
"รู้จากวารีเมื่อเช้าแล้วค่ะ น่าโมโหจริงๆเลย เมื่อเช้าก็ต่อว่าไปแล้ว เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมไม่โทรบอกกันเลย"
"เพื่อนคงเห็นว่ามี่ไปออกงานภาคสนามจับคนร้ายอยู่ ก็เลยไม่อยากให้ไม่สบายใจแหละ"
มีคณาถอนใจออกมา
"ดีนะคะที่มัทไม่เป็นอะไรมาก แล้วจับตัวคนร้ายได้รึยังคะ"
"ยังเลย แต่เค้าว่าคนร้ายทำงานพลาดนะ เป้าหมายน่าจะเป็นเจ้าพ่อเกาะยานกของวารีซะมากกว่า"
มีคณาพยักหน้ารับทราบ ค่อนข้างจะเห็นด้วย
"เดี๋ยวมี่เคลียร์งานส่งบอกอเสร็จ บ่ายๆ ขอแวะไปเยี่ยมมัทที่บ้านหน่อยนะคะ"
"ได้ๆ ฝากบอกมัทด้วยนะ ว่าผมคิดถึงมาก อยากเห็นต้นฉบับใจจะขาดอยู่แล้ว"
"บอกอใจร้าย" มีคณาแอบทิ้งค้อนให้แล้วลุกออกไปจากห้อง
โรงเรียนวัดช่างหมื่นตอนสาย นักเรียนแยกย้ายกันเข้าห้องเรียนหลังทำกิจกรรมยามเช้าหน้าเสาธงกันเสร็จ สันติเข้าห้องน้ำเสร็จ ออกมาล้างมือล้างหน้าที่หน้ากระจกในห้องน้ำ ขณะกำลังจะเดินออกมาจากห้องน้ำก็เจอข้าวตอกและกลุ่มเด็กนักเรียนชายหลายคนรวมๆ กลุ่ม ทำหน้าตากวนๆ ดักรออยู่
ทั้งหมดพอเห็นหน้าสันติก็หัวเราะชอบใจกัน สันติเหล่ๆ มอง ไม่อยากมีเรื่อง เคยเจอประสบการณ์แบบนี้ตอนโรงเรียนเก่าแล้ว สันติเลือกที่จะเดินเลี่ยงไป
แต่ข้าวเม่าและเพื่อนๆ ไม่หยุดเดินตามแล้วพูดจาแซวกวนประสาทใส่
"ไม่กลัวแม่ถูกตำรวจจับเหรอสันติ" ข้าวตอกว่า
เพื่อนๆ ต่างหัวเราะชอบใจ สันติหยุดเดิน หันจ้องหน้า
"ทำไมต้องกลัว"
"อย่านึกว่าพวกเราไม่รู้นะว่าแม่แกทำงานอะไร"
เพื่อนคนที่ 1บอก
"น่าอายว่ะ"
สันติหน้าตาโกรธขึ้นมา จ้องข้าวตอก
"แกรู้อะไร"
"ก็รู้แม่แกเป็นผู้หญิงขายตัวน่ะสิ"
เพื่อนๆ ต่างหัวเราะเยาะกัน
"นอนกับผู้ชายทุกคนที่มีเงินจ่าย น่าเกลียด" ข้าวเม่าทำสีหน้า ท่าทางรังเกียจใส่
สันติกระโดดเข้าขย้ำข้าวตอก เพื่อนๆ เข้าไปกระชากสันติออกมาแล้วตั้งท่าจะรุม ก่อนเห็นความรุนแรง ครูอรุณและเหล่าครูที่เดินคุยกันมาเห็นพอดี...เหล่าครูตกใจมากกับภาพที่เห็น
"หยุดเดี๋ยวนี้ แยกกันเลย"
บรรดาครูต้องเข้าไปช่วยจับเด็กๆ ที่รุมสกรัมสันติแยกออกมา เป็นบรรยากาศชุลมุนวุ่นวายมากในโรงเรียนวัดช่างหมื่นเวลานั้น
3 ทหารเสือสาว ฟ้ากระจ่างดาว ตอนที่ 4 (ต่อ)
มีคณาเดินกลับมาทิ้งตัวนั่งที่โต๊ะทำงาน เหลือบตามองดอกส้มที่เสียบอยู่ในแจกัน เธอค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบแจกันเล็กๆ มาดมกลิ่นดอกส้มใกล้ๆ โทรศัพท์มือถือดังขัดขึ้นมาพอดี
มีคณาสะดุ้งเล็กน้อยเหลือบตาดูเบอร์โชว์ หยิบมือถือมารับสาย
"กำลังจะโทรหาคุณอยู่พอดี"
หิรัณย์คุยโทรศัพท์มือถือยิ้มแย้มอยู่ที่ทำงาน
"เราใจตรงกันเหรอครับเนี่ย"
"ฉันอยากจะขอบคุณเรื่องดอกส้มน่ะค่ะ ที่จริงไม่ต้องส่งมาให้ฉันทุกวันก็ได้ ฉันเกรงใจ ไม่อยากให้สารวัตรลำบาก"
"คุณชอบรึเปล่าล่ะ"
" ชอบค่ะ ดอกส้มของสารวัตรหอมจนสาวๆ แถวนี้ติดใจกันทุกคน"
หิรัณย์คุยมือถือ สีหน้าจริงจัง
"สาวอื่นผมไม่สน สนแต่สาวที่ผมกำลังคุยด้วยอยู่ตอนนี้ ถ้าคุณชอบ เรื่องหาดอกส้มแค่นี้ ไม่ใช่เรื่องลำบากเลยครับ"
มีคณาลึกๆก็วูบวาบหวั่นไหวไปกับหิรัณย์ ชนิดที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับผู้ชายคนไหนมาก่อน แต่ความเกลียดชังเพศตรงข้ามก็ยังเกาะกินใจ มีคณาได้แต่นิ่งมากกว่าจะมีความรู้สึกใดแสดงออกมา
"คุณมี่"
มีคณาสะดุ้งเล็กน้อย คุยมือถือ
"คะ"
หิรัณย์สีหน้าสงสัย
"ผมพูดอะไรผิดไปรึเปล่า หรือว่า ผมพูดอะไรไปแล้วทำให้คุณมี่ไม่พอใจ"
มีคณาหน้านิ่งๆ คุยมือถือ
"เปล่าค่ะ"
หิรัณย์สีหน้าเข้าใจและยอมรับ คุยมือถือ
"งั้นก็อย่างเดียว ผมพูดไม่ผิด แต่คุณยังไม่พร้อมจะรับฟังตอนนี้"
มีคณารู้สึกว้าวุ่นใจเหมือนกัน พยายามเรียบเรียงคำเพื่ออธิบายเพื่อรักษาน้ำใจของอีกฝ่าย
"สารวัตรคะ"
"ไม่เป็นไรครับ"
มีคณาชะงักไปรับฟังอย่างตั้งใจ หิรัณย์คุยมือถือพูดอารมณ์ดี เข้าใจโลก
"วันนี้คุณยังไม่พร้อม วันข้างหน้าคุณอาจจะพร้อม ผมเป็นคนใจเย็นครับ ผมรอได้" หิรัณห์ยิ้มแย้มออกมาแม้ปลายสายจะไม่เห็น มีคณาได้ยินแบบนี้ค่อยยิ้มออก
หิรัณย์ น้ำเสียงสดใส ตัดบท เพื่อไม่ให้อึดอัดกัน
"ผมว่าเราเข้าเรื่องดีกว่า ที่ผมโทรมาวันนี้ เพราะมีเรื่องจะรบกวนคุณ"
"สารวัตรมีอะไรให้ฉันช่วย บอกมาได้เลยค่ะ"
"ผมอยากได้ภาพถ่ายทั้งหมดที่คุณถ่ายเอาไว้ เด็กใหม่ไม่ยอมรับสารภาพง่ายๆ เราคงต้องอัดหลักฐานเต็มที่ ทั้งรูปที่หมอนั่นอยู่กับสุภาพบุรุษ แล้วก็ตอนอยู่ในที่เกิดเหตุตอนเราล้อมจับ"
" ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันส่งทางอีเมลไปให้"
" ขอบคุณมากครับ"
มีคณาสีหน้าซึ้งใจ คุยมือถือ
"ขอบคุณสารวัตรเช่นกันค่ะ ทั้งเรื่องดอกไม้ แล้วก็..."
มีคณาเสียงอ่อยลงเล็กน้อยบอก
"...เรื่องที่เข้าใจฉัน"
"ด้วยความยินดีครับผม"
หิรัณห์ยิ้มกว้างสบายใจ มีความหวัง มีคณากดตัดสายไปดูผ่อนคลายขึ้น เหลือบตามองไปที่ดอกส้มในแจกันเล็กๆ อีกครั้ง ก่อนจะยิ้มบางๆ ออกมา
เวลาบ่าย มีคณาถือกระเช้าผลไม้ยืนกดกริ่งหน้าบ้านมัทนา พลางชะเง้อมองหาเพื่อนรัก มัทนาเดินมาจากทางสนาม
"พี่มี่"
มัทนาดีใจรีบมาเปิดประตูรั้วให้
มีคณาสีหน้าเป็นห่วง
"เป็นยังไงมั่งเรา"
มัทนาเบ่งกล้ามโชว์
"ทหารเสือสาวซะอย่าง"
"ย่ะ" มีคณาเหยียดปากหมั่นไส้อย่างเอ็นดู
เขตต์ตวันเดินตามมาพร้อมยิ้มแย้มเป็นมิตรให้ มีคณารีบยกมือไหว้ อดีตพระเอกหนุ่มรับไหว้ มัทนาแนะนำ
"คุณตวันคะ นี่พี่มี่ ที่มัทเล่าให้ฟังไงคะ"
มีคณายิ้มให้เขตต์ตวันก่อนกระเซ้ามัทนาพอให้ได้ยินกันแค่สองคน
"พี่มาขัดจังหวะรึเปล่าเนี่ย"
มัทนาเขินปนอายหยิกแขนมีคณาเบาๆ เขตต์ตวันอมยิ้มเอ็นดูมัทนา
เขตต์ตวันช่วยถือผลไม้นำเข้าบ้านมาก่อนพร้อมชวนคุย
"คุณวารีเพิ่งกลับไปซักพักนี่เองครับ เสียดายผมเลยไม่ได้เจอพร้อมหน้ากันทั้งก๊วน"
"ดีแล้วล่ะค่ะ คุณตวันอาจจะทนรำคาญไม่ไหว"
เขตต์ตวันยิ้มๆ เดินเอาผลไม้ของฝากไปวางที่โต๊ะอาหาร มัทนาจูงมือมีคณาพาเดินมานั่งคุยที่โซฟา
"แล้วทำไมไม่มาพร้อมกันล่ะคะพี่มี่"
"วารีชวนแล้วล่ะ แต่พี่ต้องเคลียร์งานให้บอกอก่อน"
มีคณาเหล่มองไปเขตต์ตวันที่กำลังเดินไปที่ตู้เย็นรินน้ำมาให้
"ตกลงเปิดตัวแฟนกับที่บ้านแล้วเหรอจ๊ะ"
มัทนาตกใจ นึกไม่ถึงว่า มีคณาจะแซวแรง เลยมีอาการเขิน ก่อนแขวะกลับ
"ตั้งแต่มีแฟนเป็นตำรวจ ปากร้ายขึ้นเยอะนะคะ"
มีคณาเป็นฝ่ายเขินบ้างๆ ตีตักมัทนาเบาๆ เขตต์ตวันเดินถือถาดใส่น้ำและของว่างมาเสิร์ฟแขกเหมือนเจ้าของบ้านไม่มีผิด มีคณาแกล้งอมยิ้มแซวๆ มัทนาหยิกแขนเพื่อน มีคณาหยิกตักมัทนาคืน ฝ่ายเขตต์ตวันชำเลืองมองสองสาวอย่างงงๆ เล็กน้อย ได้แต่ยิ้มๆ
มัทนาเดินจูงมือมีคณาออกมาส่งที่หน้ารั้วบ้าน
"บอกบอกอด้วยนะคะ ว่าต้นฉบับได้ตามกำหนดแน่นอน ต่อให้มัทตายก็จะไปเข้าฝันส่งงานค่ะ"
มีคณาตีแขนมัทนา ตำหนิเบาๆ
"พูดจาอะไรยังงี้ เดี๋ยวเถอะ"
มัทนายิ้มแหยๆไป
"พี่กลับละ พักผ่อนเยอะๆ ล่ะ"
"ค่ะพี่มี่"
เขตต์ตวันเดินตามออกมา
"ให้ผมขับรถออกไปส่งนะครับ"
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณอยู่เป็นเพื่อนมัทดีกว่า เดี๋ยวมี่เดินไปขึ้นรถเมล์หน้าปากซอยได้ค่ะ แค่นี้เอง มี่มาบ้านมัทบ่อยค่ะ"
"ให้ผมขับไปส่งที่หน้าปากซอยก็ได้ครับ"
"ขึ้นรถไปเลยค่ะพี่มี่ จะเดินทำไมให้ร้อน"
มัทนาดันมีคณาไปขึ้นรถด้านหน้า
เขตต์ตวันพูดสั่งมัทนา กำชับด้วยความเป็นห่วง
"มัทกลับเข้าไปอยู่ในบ้านเลย ล็อกประตูให้เรียบร้อย ผมยังไม่กลับมา ห้ามออกมาเด็ดขาด"
มัทนาท่าอย่างเด็กรั้นประชดเล็กๆ
"เจ้าค่ะ"
มีคณาชำเลืองมองอมยิ้มพอใจที่เขตต์ตวันดูห่วงใยมัทนามาก
เขตต์ตวันขับรถมาจอดที่หน้าปากซอย มีคณายกมือไหว้ก่อนลงจากรถ
"ขอบคุณค่ะ"
"มีอะไรอยากถามผมมั้ยครับ"
มีคณาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนหันมองหน้า เธอกระชับแว่นเล็กน้อย ก่อนยิงคำถาม
"คุณชอบมัทจริงๆเหรอ"
อดีตพระเอกหนุ่มอึ้งไปก่อนจะยิ้มๆบอก
"ยิงหมัดเดียวเข้าเป้าเลยนะครับ"
มีคณายิ้มฝืนอย่างเกรงใจ รู้สึกเสียมารยาทเหมือนกันที่ถามอย่างนั้น
"ที่จริงมันก็เรื่องส่วนตัวของคุณ ไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไรค่ะ"
มีคณาลงจากรถนำไป เขตต์ตวันรีบตามลงมา
"ผมอยากตอบครับ"
มีคณาหันมองหน้าเขตต์ตวัน
"ตอนนี้คงไม่ใช่แค่ชอบแล้วล่ะครับ น่าจะเป็นรักและห่วงมากกว่า"
มีคณาอายแทน เผลอหน้าแดง อมยิ้มเขินๆ กระชับแว่นเข้าดั้งตามสไตล์
"ฉันดีใจนะคะที่ได้ยินแบบนี้"
"อย่าบอกมัทนะครับ ไว้ผมบอกเค้าด้วยตัวเองดีกว่า"
"ได้ค่ะ ถือว่าเป็นความลับระหว่างเราสองคน"
"ขอบคุณครับ"
"ยังไงก็ฝากน้องด้วย มัทเค้าใสๆ มองโลกในแง่ดี อย่าทำให้มัทเสียใจนะคะ"
เขตต์ตวันพยักหน้ารับ มีคณาพูดหน้านิ่ง จ้องหน้าเขตต์ตวัน
"ฉันกับวารีจับตามองคุณอยู่ คุณน่าจะรู้จักฤทธิ์นักข่าวดี เราตามจิกคุณไม่เลิกแน่ คุณหนีไม่พ้นหรอกค่ะ"
มีคณายิ้มเย็นๆขัดกับคำพูดข่มขู่ ก่อนเดินจากไป เขตต์ตวันอึ้งปนงงก่อนจะขำๆ และพึมพำออกมา
"เชื่อแล้วว่าก๊วนเดียวกัน แสบพอกันเลย"
อดีตพระเอกหนุ่มยิ้มๆส่ายหน้าก่อนจะกลับขึ้นรถไป
เวลาเย็น มีคณาเดินกลับมาถึงหน้ารั้วบ้าน มองไปเห็นเสื้อผ้ายังตากอยู่เต็มราวก็บ่นอย่างไม่พอใจ
"ใช้อะไรไม่ได้เรื่องเลย"
มีคณาเข้าบ้านมาเก็บเสื้อผ้าเองพร้อมถอนใจแรงๆ อย่างเหนื่อยใจ
เธอเอาเสื้อผ้าที่เก็บมากองไว้ที่โซฟา ก่อนเรียกหาหลานชาย
"สันติ"
บ้านเงียบกริบ เธอเดินไปตะโกนที่บันได
"สันติ อยู่ข้างบนรึเปล่า"
ไม่มีเสียงตอบเช่นเคย มีคณาหน้าหงิก โกรธมาก เดินขึ้นชั้นบนไปทันทีเพื่อทุบประตูห้องหลานดังโครมๆ
"เปิดประตูห้องเดี๋ยวนี้เลยนะ" มีคณาเสียงแข็ง ออกคำสั่ง
มีคณาหมุนลูกบิดประตูปรากฏว่าเปิดเข้าไปได้ ทันทีที่เธอเห็นสภาพห้องเกือบจะเป็นลม ห้องสกปรก เละเทะเหลือรับ ที่นอนไม่เก็บ กางเกงในทิ้งไว้กับพื้น จานอาหารกินเหลือก็ทิ้งเอาไว้ เธอถอนใจพรวดออกมา ทนดูสภาพต่อไปไม่ไหว ถอยออกมาจากห้อง ปิดประตูกระแทกโครม!
สันติหนีบรถแข่งที่มีคณาซื้อให้เข้าที่รักแร้ติดตัวมาเปิดตู้เย็นกินน้ำ มีคณาเห็นหลังอยู่ไวๆจึงรีบเดินลงบันไดมา ด้วยสีหน้าโกรธเคือง
"ออกไปไหนมาติ"
สันติชะงักหยุดกึก ขณะเปิดตู้เย็นกำลังจะรินน้ำ มีคณาเดินลงบันไดมาหา
"ป้าบอกแล้วใช่มั้ยว่า กลับมาบ้านให้เก็บผ้าให้เรียบร้อย ทำไมเป็นเด็กติดเล่นขนาดนี้"
สันติหันกลับมามองมีคณาด้วยสีหน้าเซ็ง เบ้าตาสันติช้ำโดยรอบ ปากเจ่อบวม
มีคณาตกใจมากถาม
"ตายแล้วติ นี่ไปทำอะไรมา"
"โดนชก" สันติตอบเสียงห้วน
"ชกกับใคร"
สันติตอบอย่างท้าทาย
"กับคน หมามันทำยังงี้ไม่ได้หรอก"
มีคณากำมือแน่นด้วยความโกรธ ตั้งสติทุกครั้งที่ต้องพูดกับเด็กผีนี่
"ป้ารู้อยู่แล้วว่าชกกับคนแน่ๆ แต่ไปชกกับใครมา ไปหาเรื่องใครเค้าอีก"
แล้วมีคณาก็ฉุกคิด
"อย่าบอกนะว่าไปมีเรื่องกับข้าวตอกอีกแล้ว"
"ก็ไอ้เปรตนั่นแหละที่ต่อยติ ติไม่ได้ไปหาเรื่องมันก่อน"
"ติ ป้าเตือนแล้วใช่มั้ยว่า ไม่ให้พูดจาคำหยาบ"
สันติสวนทันที
"ทำไมติจะด่าคนเลวๆ อย่างมันไม่ได้ ไอ้ข้าวตอกมันยุเพื่อนติให้เกลียดติ"
"เค้ายุยังไง"
สันติกัดฟันแน่นสะกดความโกรธเกลียดแทบไม่อยู่
"มันว่าแม่ติเป็นกะหรี่"
มีคณาผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะถอนใจออกมา เธอได้โอกาสสอน พยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบ
"ติไม่ชอบใช่มั้ยที่ถูกเพื่อนว่าเอาแบบนั้น"
สันติยังนิ่งไม่ตอบ
"เพราะฉะนั้นติก็ไม่ควรไปว่าคนอื่นเค้าแบบนั้นเหมือนกัน"
สันติจ้องหน้า ถามอย่างเอาเรื่อง
"แล้วเรื่องที่มันรุมกันล้อติล่ะ ป้าจะให้ติทำเฉยๆ ไม่ได้หรอกนะ"
"แล้วติลองเฉยรึยังล่ะ พวกเค้าอยากล้อได้ก็ปล่อยให้ล้อไป คนล้อจะสะใจเมื่อเราโกรธ ถ้าเราไม่โกรธเค้าก็หมดสนุก เลิกล้อไปเองแหละ"
"แค่พูดก็ง่ายน่ะสิ ป้าไม่รู้อะไร มันไม่เลิกหรอก ไอ้พวกหมาๆ นั่นมันไม่มีทางเลิกล้อหรอก"
"แล้วติจะให้ป้าทำยังไง บอกครูให้เตือนเพื่อนเอามั้ย"
"ไอ้หมาวัดพวกนั้นมันได้ด่าว่าติขี้ฟ้อง หลบหลังกระโปรงผู้หญิงน่ะสิ"
"ไอ้โน่นก็ไม่เอา ไอ้นี่ก็ไม่ได้ แล้วติจะแก้ปัญหายังไง ชกต่อยกับทุกคนที่มาล้อติงั้นเรอะ"
สันติถอนใจพรวดออกมา
"อย่าลืมสิว่าที่ติต้องมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพเพราะอะไร ติไปมีปัญหากับเพื่อนที่โรงเรียนเก่าจนอยู่ไม่ได้ไม่ใช่เหรอ แล้วนี่จะต้องให้มีปัญหาจนต้องย้ายโรงเรียนอีกรึไง"
สันติหน้าเครียดปนเซ็งเดินหนีไปทางโซฟารับแขก กระแทกตัวนั่ง วางรถแข่งลงที่โต๊ะกลางโซฟา
"ถ้าต้องย้ายอีก ป้าพนันได้เลย ว่าไม่มีโรงเรียนไหนอยากรับนักเรียนมีประวัติเกเร ชกต่อยเข้าเรียนหรอก"
สันติสีหน้าแววตาเจ็บช้ำ ตะคอกใส่เสียงดัง
"แล้วป้าจะให้ติทนให้มันล้อไปจนเรียนจบเลยรึไง"
มีคณาเผลอหลุดความรู้สึกตัวเองปนออกมา
"ติก็ไม่เคยเดือดร้อน อยู่แล้วนี่ว่า แม่ติอาติทำงานอะไร"
สันติหยุดกึก จ้องหน้าป้าเขม็ง มีคณาใส่ยาวเป็นชุดอย่างระบายความอัดอั้นในใจ
"ขอแค่มีเงินส่งมาให้พ่อติ ปู่ติกิน อยู่สบาย มีเงินใช้ มีบ้านหลังโตๆ แข่งกับบ้านอื่น ติก็พอใจแล้วไม่ใช่เรอะ แล้วติจะมาสนอะไรกับแค่คำล้อเลียนของเพื่อนๆ"
สันติโกรธ ตาแข็ง ลุกพรวด พูดเสียงดังลั่นบ้าน
"ป้าสะใจมากใช่มั้ยที่เห็นติถูกเพื่อนล้อ ถูกพวกมันรุมชก ป้าสะใจใช่มั้ย"
มีคณาจ๋อยไปเหมือนกันที่เผลอใส่ความรู้สึกชิงชังส่วนตัวเข้าไป
"เปล่า ป้าไม่ได้สะใจ" มีคณาเสียงอ่อย
สันติเดินปาดมาหา จ้องหน้า ด้วยแววตาเจ็บช้ำ
"โกหก หลอกกูไม่ได้หรอกนังป้าตอแหล"
มีคณาเหลืออด สะบัดมือตบหน้าหลานเข้าฉาดใหญ่ สันติหน้าหันไปตามแรงตบ มีคณาชะงักไป หน้าเสีย รู้สึกผิดที่คุมอารมณ์ไม่อยู่
"ติ ป้าขอโทษ ป้าไม่ได้ตั้งใจ"
สันติหันขวับมาจ้องหน้าด้วยความโกรธ
"ปู่พูดไว้ไม่มีผิด ป้าอกตัญญู ไม่เคยสนใจใคร นอกจากตัวเอง"
สันติพูดทิ้งท้ายก่อนเดินปึง ปังจะเดินขึ้นบันไดชั้นบน
มีคณาของขึ้นขวับอีกครั้ง เดินกวดตามพูดเสียงดังไปขวางหน้า
"ใช่ ป้ามันอกตัญญู แล้วเคยคิดมั้ยว่า ถ้าไม่ได้อีคนอกตัญญูคนนี้ ปู่ติพ่อติจะเป็นยังไง ป้าทายได้เลย ถ้าไม่อยู่วัด ก็คงอยู่ข้างถนน ขอทานเค้ากินไปวันๆ ถามตัวเองดูนะติ ว่าไอ้เงินที่ติใช้จ่ายอยู่ทุกวัน ข้าวที่กิน
เข้าไปทุกคำ หลังคาคลุมหัวนอน แล้วก็ ไอ้รถแข่งที่รักนักรักหนา ใครเป็นคนหามาให้ ไม่ใช่ป้าอกตัญญูคนนี้หรอกเรอะ"
สันติเถียงไม่ขึ้น พาลใส่ ก่อนเดินผุนผันไปขึ้นบ้าน
"เออ ถ้าย่าไม่พามา กูก็ไม่อยู่ไอ้บ้านเฮงซวยนี่หรอก"
มีคณาพูดไล่หลังไป
"เหมือนกัน ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจแม่ ฉันก็ไม่อยากอยู่ร่วมบ้านกับเด็กนรกอย่างแกหรอก"
สันติหันมาจ้องหน้าด่าป้าทางสายตา ก่อนวิ่งกระทืบเท้าปึงปังขึ้นบ้านไป ชั่วอึดใจ เสียงประตูปิดกระแทกดังโครมใหญ่ ชนิดบ้านแทบพัง
มีคณาแทบจะคุมสติไม่อยู่ เดินตรงไปหยิบรถแข่งที่เธอซื้อให้สันติขึ้นมาจากโต๊ะกลางโซฟา อยากจะปากระแทกลงพื้นให้แตกแล้วเหยียบซ้ำให้พังกระจาย แต่ยั้งเอาไว้ทัน เธอโยนรถแข่งไปที่โซฟาอีกตัว ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนั่งกระแทกโซฟา พิงศีรษะหงายไปพร้อมยกสองมือขึ้นกุมหัว เหนื่อยใจกับหลานคนนี้เหลือเกิน
บ้านหิรัณย์ตอนหัวค่ำ หิรัณย์ในชุดอยู่กับบ้านสบายๆ เขาอมยิ้มอารมณ์ดีที่หน้าจอโน้ตบุ๊ก ... ชื่นชม
กับถ่ายคู่ของเขากับมีคณาที่ฟอร์มเป็นคู่รักให้ “เด็กใหม่” ถ่ายให้ที่สวนกล้วยไม้
วันทนีย์ น้องสาวหิรัณย์เดินย่องมาแอบดูอยู่ทางด้านหลัง ฝ่ายพี่ชายยังไม่รู้ตัว กดดูรูปต่อๆไป จนน้องสาวยื่นหน้าเข้ามาถามอย่างอยากรู้
"ใครเหรอคะพี่รัน"
หิรัณย์สะดุ้งโหยง รีบพับโน้ตบุ๊กแทบไม่ทัน
"ทำไมต้องตกใจขนาดนี้ด้วยคะ"
"ก็เล่นมาเงียบๆ แบบนี้ ใครจะไม่ตกใจล่ะ"
วันทนีย์ยิ้มๆ เดินมานั่งข้างๆพี่ชาย
"สาวแว่นคนเนี้ยเหรอที่พี่รันแอบปลื้มอยู่"
หิรัณย์มีเขิน
"ยุ่งเรื่องผู้ใหญ่น่า"
น้องสาวจ้องหน้าพี่ชาย
"น่ารักดีนะคะ พัฒนาไปถึงไหนแล้วคะ"
หิรัณย์เขินที่จะพูดเรื่องนี้
"ไม่รู้"
น้องสาวแย่งโน้ตบุ๊กไป หิรัณย์ลุกตาม
"วัน เอาคืนพี่มาเลย"
วันทนีย์เปิดโน้ตบุ๊คขึ้นดู หิรัณย์จะตามไปแย่งคืน
"เอามานี่"
วันทนีย์กอดโน้ตบุ๊กวิ่งหนีขึ้นบ้านจะเอาไปให้แม่ดู พร้อมตะโกนลั่น
"คุณแม่ พี่รันมีแฟนแล้ว สวยด้วย"
"วัน..." หิรัณย์ตะโกนเรียกพลางถอนใจ ส่ายหน้า ยิ้มๆ
เช้าวันรุ่งขึ้น มีคณารีบร้อนลงจากชั้นบน เพราะไม่อยากเจอหน้าหลานชายให้รำคาญใจ
มีคณาหยิบเงินออกจากกระเป๋า ตอนแรกกะจะให้ยี่สิบเศษๆ แต่ก็ตัดใจหยิบให้สามสิบบาท วางกระแทกลงโต๊ะกลางโซฟา
เสียงปิดประตูห้องนอนโครมดังจากข้างนอน มีคณาถอนใจส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ รีบเดินหนีออกไปจากบ้านอย่างเร็ว ขี้เกียจเสียอารมณ์แต่เช้า
สันติวิ่งลงบันไดบ้านมา มองหาป้าเล็กน้อย ก่อนเดินมาหยิบเงินค่าขนมที่โซฟา มองไปหน้าบ้านก็ไม่เห็นมีคณาแล้ว
สันติยักไหล่ไม่แคร์ ไม่เจอก็ดี
เวลาสาย มีคณากำลังเดินคุยกับสุนันทา เจ้าหน้าที่มูลนิธิออกมาจากตึก
"บอกตามตรง พี่ก็ไม่ค่อยแน่ใจซักเท่าไหร่นะคะน้องมี่" สุนันทาสีหน้าหนักใจบอก
"อ้าว ทำไมล่ะคะ แม่เค้ามารับตัวกลับไปทั้งสองคนแล้วนี่คะ"
"ก็ใช่ค่ะ พอข่าวที่น้องมี่เขียนตีพิมพ์ออกไป ก็มีคนสงสาร บริจาคเข้ามาพอสมควร เด็กก็พอมีเงินติดตัวบ้าง แม่เค้าสัญญาว่าจะไม่ขายเด็กมาทำงานอีก แต่ถ้าเงินบริจาคที่เด็กได้รับไปหมด พี่ก็กลัวว่าจะกลับเข้าอีกหรอบเดิม"
"นี่แม่เค้าคงไม่รู้ตัวนะคะว่ากำลังทำผิดพ.ร.บ.ค้ามนุษย์อยู่ โทษหนักนะคะ"
"รู้ก็คงไม่กล้าทำหรอกค่ะ"
"สงสัยมี่ต้องเขียนข่าวชำแหละความผิดตามพ.ร.บ.นี้ให้เห็นจะๆ ซักทีแล้ว" มีคณาถอนใจ
"แต่น้องมี่ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ ทางมูลนิธิจะตามไปเยี่ยมที่บ้านเค้าเรื่อยๆ แม่เค้าจะได้รู้ว่าเราจับตาดูอยู่"
"ก็ดีค่ะ เพราะการแก้ปัญหาไม่ใช่อยู่ที่เราส่งเด็กกลับบ้านได้ แต่มันอยู่ที่ต้องทำให้เค้าเลี้ยงตัวเองได้ที่บ้านเกิด"
"ใช่ค่ะ ทางเราก็พยายามทำอยู่ แต่ปัญหามันเยอะ เกิดขึ้นทุกวัน ตามแก้ไม่หวาดไม่ไหว ก็ต้องขอความช่วยเหลือ น้องมี่กับสื่อนี่แหละค่ะช่วยเผยแพร่"
"ด้วยความเต็มใจค่ะ พวกพี่คงเหนื่อยกันมากเลยนะคะ"
สุนันทายิ้มแย้ม
"เหนื่อยแต่ก็เต็มใจเหมือนกันจ้ะ พอได้เห็นเด็กกับผู้หญิงหลุดพ้นจากวังวนนี้ไปได้ มันก็สุขนะคะน้องมี่"
มีคณายิ้มแย้มเห็นด้วย
"ใช่ค่ะ"
"ตัวพี่น่ะขออย่างเดียว ขอแค่สังคมไม่นิ่งดูดาย หรือ ทำเมินกับปัญหาของเด็กกับผู้หญิง ยื่นมือเข้ามาช่วยนิดๆ หน่อยๆ หรือคอยสอดส่อง แล้วรายงานให้ตำรวจหรือทางเรารู้ พี่ก็พอใจแล้ว"
มีคณายิ้มแย้มชื่นชม สุนันทาหน้าเครียดๆ ขึ้นมา
"พรุ่งนี้ประมาณบ่าย 2 น้องมี่ว่างมั้ยคะ ไปที่สนามบินดอนเมืองด้วยกันหน่อยสิ"
"มีอะไรเหรอคะ"
"เราช่วยเด็กสาวที่ถูกหลอกไปขายซ่องทางใต้ได้ 32 คน"
มีคณาตกใจมาก
"32 คน"
"ค่ะ ส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยรุ่นถูกหลอกไปขายแทบทั้งนั้น ถ้าไปได้ พี่อยากให้ไปด้วยกันนะคะ"
มีคณาสีหน้าเศร้าใจมาก
"มี่ต้องไปช่วยพี่บัวทำข่าวแน่นอนค่ะ"
สุนันทาจับมือมีคณา ยิ้มอย่างมีกำลังใจ
"ขอบใจมากจ้ะน้องมี่"
มีคณายิ้มให้สุนันทา ก่อนจะถอนใจออกมาอย่างหนักใจที่ยังมีเด็กสาวตกเป็นเหยื่อวงจรอุบาทว์นี้ไม่จบไม่สิ้น
บรรยากาศร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อของเจ๊นิด ตอนกลางวัน มีลูกค้าพอสมควร เจ๊นิดรีบยกก๋วยเตี๋ยวไปเสิร์ฟมีคณาและสาระวารีที่โต๊ะหนึ่ง
"มาแล้ว ๆ"
"วันนี้มาเสิร์ฟด้วยตัวเองเลยนะเจ๊ อยากรู้เรื่องอะไรล่ะ" สาระวารีถาม
เจ๊นิดวางชามก๋วยเตี๋ยว
"แหม หนูวารีนี่รู้ทันเจ๊ตลอด วันนี้แถมลูกชิ้นพิเศษให้คนละลูก"
สาระวารียกมือไหว้พูดประชด
"ตายแล้ว ต้องเอาไปทำกรอบพลาสติกห้อยคอมั้ยคะเจ๊"
มีคณาสีหน้าดุๆ ตีขาเพื่อน ปรามไว้ เจ๊นิดหยิกแก้ม
"แหม หนูวารีก็ฉอเลาะ ผีเจาะปากมาพูด"
สาระวารีเหล่ๆมอง
"อ้าวเจ๊ เดี๋ยวก็ไม่เล่าซะเลย"
เจ๊นิดลากเก้าอี้มานั่ง หน้าตาอยากเม้าท์มาก
"ใจเย็นๆ เจ๊ล้อเล่นน่า เจ๊ได้ข่าวว่าหนูมัทถูกยิง เป็นยังไงมั่ง แล้วใครมันมายิงหนูมัทได้ลงคอ จับตัวได้รึยัง"
"มาเป็นชุดเลยนะเจ๊ สงสัยจะอัดอั้นมาก"
"วันเกิดเรื่อง เจ๊ไม่ได้ไปดูเหตุการณ์เหรอคะ" มีคณาถาม
เจ๊นิดเล่าอย่างออกรส
"ไปอะไรล่ะหนูมี่ พอเจ๊ได้ยินเสียงปืนดังปัง เจ๊นะไฟธาตุเกือบแตก เจ๊รีบฉวยตะกร้าเงินไปซ่อนในห้องน้ำ กลัวพวกอาศัยช่วงชุลมุนมาขโมยเงินเจ๊ อู๊ย เจ๊โกยอ้าวไม่คิดชีวิต ลูกชิ้นกระจายเด้งๆไปทั่วร้านเจ๊ยังไม่เก็บ ปล่อยให้หมามันกินเล๊ย"
"วันนั้นช่างเป็นบุญของหมาจริงๆเลย" สาระวารีบอก
เจ๊นิดเพลิน ตอบไปอย่างลืมตัวว่าเค้าประชด "ใช่..."
เจ๊นิดนึกขึ้นได้รีบถามต่อ
"เอ้อ...มีข่าวลือว่า เขตต์ตวันเป็นคนสั่งเก็บหนูมัทเพราะเอาข่าว เค้ามาแฉ จริงรึเปล่า"
"เป็นไปไม่ได้หรอกเจ๊ เค้าสวีตกันจะตายว่ามั้ยมี่"
"อืม..ห่วงใยกันยังกะอะไร" มีคณาบอก
"ไอ๊หยา... ไม่เอาแล้ว เปลี่ยนหน้าเป็นข่าวบันเทิงดีกว่า คู่นี้ไปแอบปิ๊งปั๊งกันตอนไหนจ๊ะ เหมือนในหนังเลยเน๊อะ พระเอกซุปตาร์ กับนักข่าวบันเทิงจอมเปิ่น" เจ๊นิดตื่นเต้นหัวเราะคิกคัก ชอบใจ
มีคณากระเซ้าเพื่อน
"เรื่องเจ้าพ่อมาเฟียกับนักข่าวเศรษฐกิจขาวีน ก็สวีตไม่แพ้กันนะเจ๊ อยากฟังเปล่า"
สาระวารีชี้หน้ามีคณา เจ๊นิดแซวหน้าตายสวนทันที
"แต่เจ๊อยากฟังเรื่องตำรวจลับกะนักข่าวอาชญากรรมหน้าแว่นมากกว่าจ้ะน้องมี่"
สาระวารีกรี๊ดสะใจสองมือตบโต๊ะรัว ก่อนจะยกสองมือไปแปะกับเจ๊นิดหัวเราะชอบใจถูกคอกัน
มีคณาเขินสุดๆ โดนแซวกลับซะไปไม่ถูก ได้แต่ขยับแว่นกระชับดั้งไปมา
มีคณามาพบไชยวัฒน์ที่ห้องทำงาน เวลาบ่ายๆ
"พรุ่งนี้บ่ายๆ ถ้าบอกอไม่มีงานด่วนอะไร มี่ขอไปทำข่าวเด็กสาวที่ถูกส่งตัวกลับมาจากทางใต้นะคะ"
"ไม่เบื่อบ้างเหรอมี่ ทำแต่ข่าวน่าปวดหัวยังงี้"
"เบื่อไม่ได้หรอกค่ะบอกอ ถึงจะปวดหัว หรือปวดใจแค่ไหนมี่ก็ต้องทำ แล้วก็คงทำไปจนกว่าบอกอจะไม่ให้ลงข่าวประเภทนี้ล่ะค่ะ"
"ทำไมผมจะไม่ให้ลงล่ะ ข่าวพวกนี้มันช็อกสังคมจะตายไป หนังสือพิมพ์ไม่ใช่แค่หมาเฝ้าบ้านนะมี่ เราต้องเป็นหมาล่าเนื้อด้วย ไล่ล่าเอาปัญหาสังคมคาบมาให้เห็นกันจะจะ ผู้คนจะได้ตื่นตัว จะได้รู้ว่ามันกำลังมีอะไรเกิดขึ้น"
มีคณายิ้มแย้ม
"ฟังยังงี้ค่อยใจชื้นหน่อย"
"มี่ชอบทำข่าวแบบนี้ก็ทำไปเถอะ ผมไม่หวงเนื้อที่กระดาษหรอก ถ้าข่าวคุณช่วยให้สังคมตื่นตัว ช่วยให้คนอ่านรับรู้เรื่องราว ระวังตัวมากขึ้น หรือ ระวังลูกหลานมากขึ้น แค่นี้ก็ถือว่าเราได้ทำหน้าที่ของเราได้ดีที่สุดแล้ว"
"ขอบคุณค่ะบอกอที่เข้าใจมี่ แต่ขอแก้ข่าวนิดนะคะ งานข่าวแบบนี้มี่ไม่ชอบทำหรอกนะคะ เกลียดด้วยซ้ำไป"
ไชยวัฒน์หน้าแปลกใจเล็กน้อย
"บอกอจะงงมั้ยคะ ถ้ามี่จะบอกว่ามี่เกลียดข่าวแบบนี้ แต่รักที่จะนำเสนอมัน" มีคณาพูดยิ้มๆ
"งง...แต่ก็พอจะเข้าใจได้อยู่นะ เอาเถอะ อยากทำก็ทำไป ผมสนับสนุนเต็มที่อยู่แล้ว ทั้งคุณ ทั้งมัท ทั้งวารี สามสาวสามแรงแข็งขัน คือความภาคภูมิใจของสยามสารเลยนะ ผมชื่นชมจากใจจริง"
ไชยวัฒน์ภาคภูมิใจ ยิ้มชื่นชมจากใจจริง
มีคณายิ้มปลาบปลื้มแทนเพื่อนๆด้วย
"ขอบคุณค่ะบอกอ"
ผ่านเวลาเล็กน้อย สาระวารีนั่งพิมพ์งานอยู่ที่โต๊ะทำงานอย่างขะมักเขม้น มีคณาเดินสีหน้าใช้ความคิดเรื่องงานผ่านหน้าโต๊ะของเพื่อนไป สาระวารีเหลือบตาขึ้นมอง
"มี่"
มีคณาหยุดกึก หันมอง สาระวารีกระเซ้า
"ใจลอยไปถึงหน่วยปราบปรามยาเสพติดรึยังยะ"
"ฉันคิดเรื่องงานอยู่ย่ะ"
"อยากเห็นหน้าเจ้าพ่อเกาะยานกใช่มั้ย ลงไปข้างล่างเลย คุณษมามาแล้ว"
"อ้าว ไหนว่าจะมาเย็นไงล่ะ"
สาระวารีเหยียดปากหมั่นไส้
"เค้าว่างมาก"
มีคณายิ้มๆอยากเจอ
"เธอจะลงไปเจอเค้าเลยมั้ย จะได้แนะนำให้ฉันรู้จัก"
"ลง แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ให้รอไปก่อนเถอะ เดี๋ยวจะคิดว่าตัวสำคัญนักหนา"
สาระวารีเบะปากหมั่นไส้
สาระวารีเดินนำหน้าเริ่ดมาที่ล็อบบี้สยามสาร มีคณาบ่นกระเซ้าเดินตามหลังแทบไม่ทัน
"รีบเดินซะตัวปลิว ให้เค้ารอตรงไหน"
สาระวารีหยุดเดินหันมอง
"ว่าอะไรนะ"
" เปล่า" มีคณาหน้าตาย ขยับแว่นกระชับดั้งเล็กน้อย
ษมาที่นั่งอ่านสยามสารรออยู่ เหลือบตาเห็นสาระวารีก็รีบลุกขึ้นยืน ยิ้มแย้มรอรับ มีคณายกมือไหว้
ษมารับไหว้ยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร
"คุณมี่ มีคณาใช่มั้ยครับ"
"ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณษมา" มีคณาบอก
"มาคราวนี้ผมโชคดีจังเลย ได้เจอทั้งคุณทั้งคุณมัทนา ถือว่าครบก๊วนของวารีเลย"
ษมายิ้มแย้มพอใจ สาระวารีเหยียดปากอย่างหมั่นไส้ใส่
"ค่ะ แต่วันนี้หวังว่าคุณคงไม่ต้องดึงฉันหลบกระสุนอีกคนนะคะ"
ษมาขำๆ
"ไม่หรอกครับ วันนี้รปภ.ทำงานกันเป๊ะมาก ตรวจรถเข้าออก แลกบัตรกันจริงจัง แล้วผมก็ดูแล้ว ไม่มีอะไรผิดสังเกต"
"เชื่อเค้าเถอะมี่ คุณษมาเค้าเชี่ยวเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ชั่วโมงบินสูง ประสบการณ์ถูกลอบสังหารเพียบ" สาระวารีแดกดัน
ษมาหน้านิ่ง ตอบกลับสาระวารี
"อยู่ใกล้ๆ ผมแบบนี้ อีกหน่อยคุณก็ชำนาญไปเองแหละ"
สาระวารีเหยียดปากหมั่นไส้ ก่อนขยับไปยืนห่างๆ
"งั้นไม่รบกวนแล้วนะคะ ฉันต้องออกไปทำข่าวข้างนอกต่อ"
"ตามสบายครับ"
มีคณายกมือไหว้ ษมารีบรับไหว้ เธอมองหน้าษมา และพยายามนึกๆ
"มี่คุ้นๆ หน้าคุณจังเลย"
"ใช่ ผมก็รู้สึกเหมือนกัน เหมือนเราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อน"
"ลอนดอนมั้ง คนนึงอยู่เกาะ คนนึงอยู่ดอย จะไปเคยเจอกันตอนไหนไม่ทราบ...จะไปทำข่าวก็รีบไปเลยแก" สาระวารีแดกแล้วดันมีคณาออกไป
"หึงเหรอ"
สาระวารีเจ็บใจปนเขินโพล่งเรียก
"อีป้าแว่น"
สาระวารีวิ่งดันมีคณาไปเร็วๆ จนออกไปจากตึก ษมามองตามสองสาวไปขำๆ ก่อนจะมองตามมีคณาไป มีสีหน้าคิดๆ ยังคาใจว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อน
มีคณาเดินถือเอกสารแฟ้มข่าวเข้ารั้วบ้านมาตอนหัวค่ำ... พลางคิดเรื่องงานใจลอยๆ เข้ามาที่โถงบ้าน สันติกำลังแอบโทรศัพท์ไปคุยกับบานเช้าที่ต่างจังหวัด พอเห็นมีคณาเดินเข้าโถงบ้านมาก็ตกใจรีบปิดการสนทนา
"แค่นี้นะ" หลานชายตัวแสบวางหูโทรศัพท์ไปอย่างเร็ว
"คุยกับใคร"
"เปล่า" สันติตอบแล้วรีบลุกหนีไปทันที
"ก็ได้ยินอยู่"
"มีคนโทรผิด"
มีคณาเดินไปหยิบหูโทรศัพท์ขึ้นมาเช็ก
"คุยกับคนโทรผิดซะหูร้อนเลย"
สันติพอถูกจับได้ก็เริ่มพาล
"คุยโทรศัพท์ผิดตรงไหน"
"ไม่ผิดหรอก แต่ทำไมต้องหลบๆซ่อนๆ ด้วย มีความลับอะไรนักหนา หรือว่านัดแนะทำเรื่องไม่ดีโทรแทงบอลรึเปล่า สารภาพมาซะดีๆ นะ" มีคณาคาดคั้นเอาจริง
"อีป้าขี้งก โทรศัพท์แค่นี้ก็ทำเป็นเรื่องใหญ่เดี๋ยวจ่ายค่าโทรเองก็ได้วะ" สันติโวยเสียงดัง
"ติไม่ต้องมาเบี่ยงเบนประเด็นเลยนะ โทรคุยกับใคร สารภาพกับป้ามาซะดีๆ"
สันติไม่ตอบ แต่ทำอารมณ์เสียใส่ซะงั้น
"จะอะไรกันนักหนาวะ ทำโน่นก็ไม่ได้ ทำนี่ก็ไม่ได้ อะไรๆก็ของมึง กูแตะต้องอะไรไม่ได้เลย"
มีคณาเสียงดัง โกรธจัด อารมณ์แรงประมาณเหลืออดสุดๆ หมดความอดทนแล้ว
"สันติ ป้าบอกแล้วใช่มั้ยว่าอยู่บ้านนี้ห้ามพูดคำหยาบคาย"
ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ สันติเองก็ถึงองศาเดือด หลังจากต่างฝ่ายต่างปรับตัวเข้าหากันด้วยความตึงเครียด
มานาน... สันติตรงเข้าคว้าโทรศัพท์บ้านแล้วจับทุ่มลงพื้นแตกกระจาย มีคณาตกใจปนโกรธที่สุดนึกไม่ถึง
"ห้ามกูดีนัก กูไม่ใช้ก็ได้"
มีคณาปรอทแตกเหวี่ยงกระเป๋าสะพายไปทาง แฟ้มเอกสารไปทาง แล้วตรงเข้าฟาดสันติไม่ยั้งมือ ฟาดแขนฟาดขาสุดแรงเกิดอย่างบันดาลโทสะ ลืมตัว สันติโกรธ เจ็บ และ เงื้อมือจะทุบตีมีคณาคืนมั่ง เธอเห็นหลานคิดจะสู้ก็รีบตวาดเสียงดัง
"เอาซี่ ชกป้าเลย"
สันติชะงัก เงื้อมือค้างไว้ มีคณาจ้องหน้าตะคอก ผลักไหล่
"ถ้าแกต่อยฉัน ฉันก็จะต่อยแกคืน พอกันที ฉันจะไม่ทนกับแกอีกต่อไปแล้ว ไอ้หลานไม่รักดี เอาเลย ทำลายข้าวของ ทำร้ายร่างกายฉันเลยสิ ฉันจะเอาแกเข้าคุกให้ดู ใครหน้าไหนก็ช่วยแกไม่ได้หรอก ถ้าแกอยากติดคุกหัวโตก็เอาเลย"
สันติทำอะไรไม่ได้ น้ำตาไหลออกมาด้วยความอัดอั้นและหวาดกลัว มีคณาอึ้งไปเหมือนกัน อารมณ์ร้อนๆ ลดวูบลงอย่างตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน หลานชายพูดทั้งน้ำตา
"อีคนหลอกลวงเนี่ยเหรอะจะทำข่าวเพื่อช่วยเหลือเด็ก ถุย แกนั่นแหละ อีแก่ใจร้าย ทำทารุณเด็กทั้งกายทั้งใจ"
สันติวิ่งปึงปังขึ้นบ้านไป มีคณาเหมือนโดนตบด้วยของแข็ง ร้อนไปทั้งหน้าเหมือนเธอได้ทำสิ่งที่เธอเกลียดชังมาตลอดชีวิตด้วยมือของเธอเอง น้ำตาไหลซึม ยืนนิ่งงันเหมือนถูกสาป รู้สึกแย่กับตัวเองมากๆที่ทำเรื่องแบบนี้ลงไปได้
มีคณานั่งน้ำตาคลอพิมพ์งาน ไม่มีสมาธิ แรงกระแทกแป้นคอมพิวเตอร์แรงๆ อย่างใส่อารมณ์ จนอารมณ์ระเบิดถึงขีดสุด ตัดสินใจปิดพับโน้ตบุ๊กลงทันที เสียงด่าของสันติ ยังก้องอยู่ในหัวมีคณา
"อีคนหลอกลวง เนี่ยเหรอะจะทำข่าวเพื่อช่วยเหลือเด็ก ถุย แกนั่นแหละ อีแก่ใจร้าย ทำทารุณเด็กทั้งกายทั้งใจ"
มีคณาน้ำตาไหล สีหน้าเครียด พยายามสูดหายใจลึก พยายามลืมเรื่องดังกล่าว เก็บข้าวของเตรียมออกไปทำข่าวต่อ เธอยกหูต่อสายภายในไปหาไชยวัฒน์
"บอกอคะ มี่จะออกไปทำข่าวที่ดอนเมืองแล้วนะคะ จะฝากประเด็นคำถามอะไรรึเปล่าคะ ขอบคุณค่ะที่
ไว้ใจ ค่ะ..."
มีคณามองดอกส้มในแจกัน แล้วยกแจกันเล็กขึ้นมาดมกลิ่นหอม ค่อยๆรู้สึกสบายใจขึ้นหน่อย เธอตัดสินใจเด็ดดอกส้มมาปักที่รังดุมเสื้อ กลิ่นหอมของดอกส้มบรรเทาความเครียดให้กับเธอ
เวลาบ่าย มุมหนึ่งของสนามบินดอนเมือง มีคณาเดินเข้ามามองหาสุนันทาอยู่
"สวัสดีครับคุณมี่"
มีคณาสะดุ้งสุดตัวหันมามองด้านหลัง หิรัณย์เดินยิ้มแย้มเข้ามาหา เธอรู้สึกแปลกใจที่พบเขาที่นี่
"สารวัตร มาได้ยังไงคะเนี่ย"
"ขับรถมาครับ" หิรัณย์พูดหน้าตาย
มีคณาอดชักสีหน้า
"อย่าเพิ่งโกรธสิครับ พอดีผมมาส่งลูกน้องไปหาข่าว เจอกับคุณบัวเข้าพอดี เลยรู้เรื่องเด็กสาวถูกล่อลวงกำลังจะเดินทางกลับมากรุงเทพ คิดว่าคุณอาจจะมาทำข่าว ก็เลยดักรอ" หิรัณย์ส่งสายตาหวาน มองหน้ามีคณา
มีคณาอดรู้สึกเขินๆ ขึ้นมาไม่ได้ เขาตาเป็นประกายเมื่อเลื่อนสายตามาเจอดอกส้มที่กลัดไว้กับรังดุมเสื้อของเธอ เธอใจหายวูบ เธอวางหน้าไม่ถูก รู้สึกเสียฟอร์มที่เขาเห็นดอกส้มที่ตนพกมาด้วย
"แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ"
มีคณาเขินแทบแทรกแผ่นดินหนี ขยับแว่นกระชับดั้ง เดินก้มหน้าก้มตานำไปก่อนเลยและแอบแกะดอกส้มออกจากรังดุมไปซะ
หิรัณย์ยิ้มแย้มปลื้มใจ รีบเดินตามไปทันที
span style="color: #ffffff; background-color: #33cccc;">ติดตามตอนที่ 5