สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายรณพีร์ ตอนที่ 9
วันต่อมา ยายนอนอยู่ มีนภาคอยบีบนวดให้ บุหลันซ่อมผ้าไปด้วย ชนะมานั่งเล่าเรื่องให้ทุกคนฟัง บุหลันถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“เขาพูดต่อหน้าหม่อมหลวงคนนั้นหรือ”
“เขาตั้งใจพูดต่อหน้าเลยล่ะ คนทั้งกองถ่ายได้ยินกันหมดยายหม่อมหลวงหน้าหวานๆ สวยๆ โกรธน่าดู กรี้ดอาละวาดกลางกองถ่ายเลย”
ทั้งหมดครุ่นคิด นภาสงสัย
“คุณชายพีร์ ไม่ได้รัก ไม่ได้มีเยื่อใยผู้หญิงคนนั้น เลยเหรอ”
“ไม่เลย ไม่ได้รัก ใครๆก็ดูออก เขาพูดรักยายขวัญเสร็จ ก็เดินหนีไปเลย”
ยายเข้าใจ
“แม่ว่ามีเหตุผล คุณชายรณพีร์ต้องถูกผู้ใหญ่บังคับจับคลุมถุงชนกับหม่อมหลวงหน้าหวานนั่นแน่ๆ”
ทุกคนพยักหน้ากัน มองรณพีร์ดีขึ้นว่ามีความจริงใจ
ในร้านอาหารจีนของไฉไล...วิไลรัมภาเล่าเรื่องให้พิมพรรณฟัง ไฉไลนั่งอยู่ด้วย
“ยายผู้หญิงไม่มีระดับคนนั้น พี่ชายพีร์ก็หลงนังนั่นหัวปักหัวปำมันน่าหลงใหลตรงไหน”
“แล้วคุณชายพีร์ยังคืนแหวนช่อต่อหน้าคนอื่นเลยหรือคะ” พิมพรรณถามอย่างสงสัย
วิไลรัมภาแค้นๆ
“อย่าคิดนะว่าฉันจะยอมแพ้นังนั่น”
วิไลรัมภาขว้างกระเป๋า
“ว้าย...” ไฉไลตกใจวิ่งไปเก็บมองๆกระเป๋า “เดี๋ยวกระเป๋าพังหมดคะ เพิ่งซื้อมาวานนี้เอง แพงด้วย”
“นี่ไฉไล พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง แค่ให้ออกเงินไปก่อน เศษเงินแค่นั้นยังมีหน้ามาทวงฉันอีก ทำไมมันมีค่ามากนักรึไง”
วิไลรัมภากระชากกระเป๋าจากไฉไล ตีกระเป๋าลงโต๊ะอย่างบ้าคลั่ง พิมพรรณกับไฉไล มองหน้ากัน เวลาร้ายรัมภาร้ายสุดๆ ไฉไลหน้าเสีย พิมพรรณแตะไหล่ปลอบไฉไล
ในห้องเรียน...ครูแจกสมุดพกอยู่ เด็กที่ถูกขานชื่อ ออกมารับสมุดพกทีละคน
“ชนินทร...นันทวัน...”
ครูเหลือสมุดพกในมือสามเล่ม
“เอาล่ะ เหลือสามคนยังไม่ได้ผลสอบ ใครเอ่ยออกมายืนหน้าห้อง”
สลักจิต ประณตและเด็กหญิงอีกคนออกมายืน
“นักเรียนสามคนนี้ทำผลสอบได้ดีที่สุดในห้อง มีที่หนึ่งที่สองที่สามตามลำดับ ครูจะประกาศ คนสอบได้ที่สามก่อนนะคะ ด.ช.ประณตค่ะ”
ปรณตยกมือไหว้รับสมุดพกแล้วออกไป เพื่อนในห้องปรบมือ เหลือวิมลและสลักจิต ยืนกันสองคน ประณตยิ้ม
“คนที่สอบได้ที่สองคือ ด.ญ.วิมล ค่ะ”
วิมลดีใจเดินมารับสมุดพก เพื่อนปรบมือ
“และคนที่สอบได้ที่หนึ่งตลอดกาล ก็คือ ด.ญ.สลักจิตค่ะ”
เพื่อนปรบมือ
“กลับไปนั่งโต๊ะได้แล้วค่ะ”
ประณตไล่นันทวันคนที่เคยได้ที่สามออกจากโต๊ะ แล้วตัวเองได้นั่งข้างสลักจิต
ประณตนั่งทานข้าวกลางวันชะเง้อชะแง้ไปทางหนึ่ง สลักจิตเข้ามานั่งจากอีกข้าง
“นี่รางวัลของเธอ เธอเก่งจริงๆจากเกือบที่โหล่ตอนนี้มาได้ที่ 3 แล้วนะ”
สลักจิตเอาอมยิ้มมาวางในปิ่นโต ประณตหยิบอมยิ้มใส่กระเป๋าเสื้อ
“เราได้เธอเป็นกำลังใจ”
“ไม่ใช่ซะหน่อย เพราะเธออยากเป็นนักบินต่างหาก”
“เราเป็นนักบิน เธอเป็นพยาบาลทหารอากาศ เราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป”
ประณตกับสลักจิตนั่งทานข้าวกลางวัน เขาหยิบขนมตาลแบ่งให้เธอ
ประณตกระวนกระวายคอยรณพีร์อยู่หน้าบ้านว่าจะมามั้ย บุหลันเดินถือของเข้ามาในบ้าน
“แม่ วันนี้พี่เอ้อ คุณชายพีร์ ไม่ได้มาหรือ”
“ถ้ามาก็เห็นแล้วน่ะซิถามแปลก ยายขวัญใจแข็งจะตายวันก่อนจอดรถรอทั้งคืน ยายขวัญยังไม่ลงมาคุยด้วยซักคำ ไม่ต้องมาก็ดีเหมือนกัน”
บุหลันเดินขึ้นบ้านไป แดงถือจานมันแกวมา
“มันแกวไหมพี่”
“ฉันจะไปหาพี่พีร์ แดง ถ้าใครถาม บอกว่าฉันไปเตะบอลกับเพื่อน จะกลับค่ำๆนะ”
ประณตวิ่งออกไป
“ลูกพี่ ๆ”
แดงกลุ้ม ยืนเกาหัวยิกๆ
เพียงขวัญลงบันไดมาถามแดงที่ยืนอยู่
“ประณตไปไหนล่ะแดง วิ่งอ้าวออกไปอย่างงั้น”
“เขาไปๆ เอ่อ...เขาบอกจะไปหาพี่พีร์”
เพียงขวัญตกใจ เธอรีบวิ่งออกไปจากบ้านทันที
เพียงขวัญรอกระวนกระวายอยู่หน้าบ้าน สามล้อวิ่งเข้ามา
“พี่หมึกๆ ไปดอนเมืองด่วนเลยจ๊ะ”
คนขับรถพยักหน้ารับ เพียงขวัญขึ้นรถทันที
รณพีร์นั่งเซ็งอยู่ ขันติกับกำพลมาทัก
“วันนี้พี่พีร์อยู่กองบินแฮะ ไปโลลิต้ากันไหมพี่” ขันติชวน
รณพีร์เซ็ง ไม่โต้ตอบ ทำเหมือนทั้งสองคนไม่มีตัวตน รณพีร์ลุกเดินออกไป ขันติกับกำพลงง นี่จะไม่คุยอะไรกันเลยหรือ
รณพีร์เดินออกมาที่มอเตอร์ไซค์ เพียงขวัญรีบพุ่งเข้ามาถาม
“คุณพีร์ ประณต...ประณตอยู่ไหน”
“คุณประณตไม่เห็นมาที่นี่นะครับ”
ขณะเดียวกันนั้นมีเสียงประกาศดังมา
“เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำที่ถนนหน้าฐานทัพ มีเด็กนักเรียนได้รับบาดเจ็บ หน่วยฉุกเฉินขอให้มาพร้อมกันที่ ประตู 4”
ทั้งสองสบตากัน
“รีบไปกันเถอะครับ”
ทั้งสองออกไปด้วยกัน ด้วยรถมอไซค์ของรณพีร์
รถพยาบาล ไทยมุง รถตำรวจ กำลังรุมดู อุบัติเหตุรถปิคอัพตกถนน ไม่เห็นคนเจ็บ รณพีร์กับเพียงขวัญมาจอดรถห่างไป เพียงขวัญออกอาการกลัวสุดใจ ไม่รู้ว่าถ้าเดินต่อไป จะเห็นประณตในสภาพไหน
“ไปครับ”
เพียงขวัญคว้ามือจับรณพีร์ เขาตกใจมองมือที่จับตน
“ถ้าเด็กคนนั้นคือประณต ฉันจะทำยังไงคะ”
“ใจเย็นๆครับ อาจจะไม่ใช่ประณตก็ได้”
มือ รณพีร์จับมือเพียงขวัญแน่น แล้วเดินจับมือกันไปแสดงความผูกพันของทั้งคู่ที่ลึกๆแล้วผูกพันกันมาก รณพีร์กับเพียงขวัญแหวกฝูงชนเข้าไป เห็นเด็กผู้หญิงพันแผลแล้วอยู่บนเปล เพียงขวัญถอนหายใจ เซลง รณพีร์เอามือโอบกอดไว้ เด็กหญิงและคนขับที่เป็นพ่อ ยังมีสติดีอยู่ อยู่บนรถเข็น ขึ้นไปรถพยาบาลแล้วทั้งคู่ รถกำลังจะออกไป รณพีร์ถาม ทหารที่คอยมาช่วย ยืนอยู่แถวนั้น
“เด็กคนนั้นเป็นอะไรมากไหม”
“เด็กขาหักครับ หัวแตก”
เพียงขวัญสงสาร
“โธ่หนู คงจะเจ็บมาก ขอให้คุณพระคุ้มครองให้หายเร็วๆ”
ขณะเดียวกันมีวิทยุเข้ามา ทหารฟังวิทยุแล้วเดินมารายงานรณพีร์
“หมวดพีร์ครับ มีเด็กมาหาครับ จ่าละมัยดูแลอยู่ที่ลานฝึกครับ”
รณพีร์ยิ้มกับเพียงขวัญ
ประณตนั่งข้างลานฝึกกับจ่าละมัย สนใจมองทหารที่กำลังฝึกอยู่ เพียงขวัญเข้ามา
“ประณต”
ประณตชะงัก
“พี่ขวัญ”
เพียงขวัญโวย เขย่าตัวประณต
“ทำไมทำกับพี่แบบนี้ ไหนบอกจะไม่มาที่นี่แล้วไง ไหนสัญญาแล้วไง”
“ผมคิดถึงพี่ เอ้อ...คุณชายพีร์ ใครๆในบ้านบอกว่าพี่พีร์กับพี่ขวัญทะเลาะกัน ผมกลัวว่าคุณชายพีร์จะไม่มาที่บ้านอีก”
รณพีร์ดุ
“พี่ขอออกคำสั่ง นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ประณตหนีออกจากบ้านมาที่นี่ ถ้ามีอีกครั้ง พี่จะไม่พูดด้วย”
ประณตตกใจ
“คุณชายพีร์โกรธผมหรือ”
“เมื่อกี้มีอุบัติเหตุ พี่ขวัญหน้าตกใจมาก ไหนจะคุณยาย แม่ป้าที่บ้าน ถ้าเด็กคนนั้นเป็นประณต พวกเราจะเป็นยังไง สัญญาสิว่าจะไม่หนีมาที่นี่คนเดียวอีก”
จ่าละมัยยิ้มๆให้กับภาพนั้น ประณตจ๋อยๆ
“ครับ สัญญา...ผมขอโทษครับพี่ขวัญ ขอโทษครับคุณชาย”
เพียงขวัญโล่งใจ
“งั้นก็กลับกันเถอะ พี่เอารถมารับแล้ว”
จ่าละมัยขัดขึ้น
“เอ้าเดี๋ยวสิครับ ตอนที่ผมมาเจอ ผมเห็นเขานั่งดูทหารฝึกอยู่ เขาสนใจมาก ผมเลยรับปากเขาว่าจะพาไปดูให้ทั่วๆขออนุญาตพาเขาไปดูการฝึกทหารได้ไหมครับหมวด ได้ไหมครับคุณเพียงขวัญ”
ประณตดีใจ
“ผมอยากเป็นทหารอากาศ ผมก็สอบได้ที่ 3 แล้วนะครับ”
รณพีร์ยิ้มดีใจ
“จริงเหรอครับคุณประณต”
เพียงขวัญดีใจกับประณต
“จริงเหรอประณต สอบได้ที่ 3 เหรอ ยังเหลือภาคปลายอีกภาคนะ”
“ครับ ผมอยากขออนุญาต ไหนๆจะได้มาเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ก็ดูให้ทั่วๆก่อนนะครับ นะพี่ขวัญนะ แป๊บเดียวเอง”
จ่าละมัยกับรณพีร์ มองเพียงขวัญ หญิงสาวจำใจพยักหน้า
“แค่ชั่วโมงเดียว พี่ไม่อยากกลับมืดนะ...”
ประณตยิ้มดีใจ
ทหารกำลังฝึกการรบ ตัวเลอะเปรอะโคลน ลอดลวดหนามสกปรก รณพีร์กับเพียงขวัญและจ่าละมัย พาประณตมาดู
“คุณชายพีร์ ต้องทำแบบนี้ด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“พูดเหมือนเดิมเถอะ ขอร้อง...พี่ก็ฝึกเหมือนเขา ไม่มีข้อยกเว้น”
“หล่อๆเป็นเจ้าชาย ก็ต้องทำหรือครับ”
จ่าละมัยพูดขึ้น
“ทำไมทหารต้องแต่งตัว ตัดผมเหมือนกันรู้ไหม”
ประณตส่ายหน้า
“ไม่รู้ครับ”
“ยศถาบรรดาศักดิ์ รวย จน เป็นคนจังหวัดไหน อำเภอไหน ต้องลืมให้หมด มาอยู่ตรงนี้ ต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน”
“ต้องสามัคคีกันใช่ไหมฮะ”
“เสือมีเขี้ยว หมีมีกรงเล็บ มนุษย์น่ะไม่มีอะไรเลยนะ เกิดมาอ่อนแอที่สุดแต่มนุษย์มีนี่ สติปัญญา แล้วก็มีกันและกัน ต้องสามัคคีกัน”
ประณตพยักหน้าเริ่มเข้าใจ
จ่าละมัยทหารสอนวิธีการหุงหาอาหาร ทหารล้อมวงฟัง มีการก่อไฟ หุงข้าว ทหารเริ่มทานข้าวกัน ประณตหันมาถามจ่าละมัย
“เขากินข้าวกันอย่างงี้เหรอครับเนี่ย ไม่มีให้กินสบายอย่างนี้หรอก”
“ในสงครามแย่กว่านี้อีก ใช้มือกินข้าวกับเกลือ กินในใบตอง”
ประณตหันไปหารณพีร์
“พี่พีร์ก็กินอย่างงี้หรือครับ”
“กินสิ พี่ต้องลาดตระเวน ต้องไปสงครามเหมือนคนอื่น”
จ่าละมัยตักข้าวให้
“ลองชิมดูไหม”
ประณตมองๆ เพียงขวัญเดินแยกออกมา รณพีร์เดินตามมาคุย
“ที่วัง มีแต่อาหารชาววัง ผักต้องสลัก นั่งเคี่ยวแกง เป็นวันๆ ตอนมาเป็นนักเรียนทหารเดือนแรก ผมกินไม่ได้เลย ผอมหัวโต ย่าอ่อนโวยวาย ส่งอาหารมาให้ทั้งโรงเรียน ผลก็คืออาจารย์ว่าผมอย่ามาเป็นทหารเลย”
“มาบอกฉันทำไม”
“ผมก็เหมือนลูกผู้ชายคนอื่นๆ ผมเป็นทหารมีหน้าที่รับใช้และปกป้องประเทชาติ ที่ผมพูดก็แค่อยากให้คุณรู้ความรู้สึกจริงๆของผม ว่าที่จริงแล้วผมไม่ได้สูงศักดิ์อะไรเลย”
เพียงขวัญอึ้งเงียบ
ทั้งหมดเดินเล่นกันในกองบิน ที่ป้อมมีทหารถือปืน เฝ้าป้อมอยู่ ประณตชี้ไปที่ป้อม
“พี่พีร์เป็นนักบิน ไม่ต้องเข้าเวรยามอย่างนี้หรอกใช่ไหมฮะ”
“ผู้หมวดต้องลาดตระเวนเดินข้ามเขา ต้องโดดร่ม ร่มเกี่ยวกันก็มี ต้องซ้อมบิน ถ้าพลาดนะประณต ถึงตายก็มีนะ นักบินทุกคนต้องเป็นอย่างนั้น ประณตพร้อมไหมล่ะ” จ่าละมัยบอก
ประณตอึ้ง
“โห”
รณพีร์ เดินคุยกับเพียงขวัญ ได้ยินกันสองคน
“ถ้าคุณบอกว่าคุณเป็นลูกเมียน้อย เพราะเลือกเกิดไม่ได้ ผมก็เลือกเกิดไม่ได้เหมือนกัน คุณกำลังโกรธ ในสิ่งที่ผมเลือกไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
“ฉันไม่ได้โกรธคุณ ฉันโกรธตัวเอง”
“คุณขวัญครับที่กองบิน ผมให้เพื่อนเรียกชื่อผมเฉยๆ ไม่มีคำว่าคุณชาย เพราะผมมีความสุขมาก ที่เขาทำตัวกับผมตามปรกติ ผมจงใจไม่บอกคุณอยู่นานเพราะ ผมอยากเป็นแค่นายพีร์ นายพีร์กับผู้หญิงของเขากับผู้หญิงที่เขารักจริงๆ”
รณพีร์มองเพียงขวัญ ขอให้เชื่อเขา เพียงขวัญนิ่งไป คิดๆ
ค่ำนั้น รถสามล้อจอดคอยอยู่ เพียงขวัญคอยอยู่ที่รถ ประณตกับรณพีร์เดินคุยกัน
“ถ้าอยากเป็นเพื่อนกับสลักจิต ผมต้องอดทนใช่ไหมครับพี่พีร์”
“ใช่ ความเป็นเพื่อนสำคัญมาก ชีวิตข้างหน้าต้องเจออะไรอีกมากมาย” รณพีร์มองเพียงขวัญ “ความเป็นเพื่อน ความไว้ใจ ความเชื่อใจที่เรามีให้กันสำคัญที่สุด...” เขาหันกลับมามองประณต “ถ้าคุณประณตเห็นว่าสลักจิต เป็นคนสำคัญขนาดนั้นก็ต้องสู้นะครับ”
ประณตพยักหน้า เข้าใจแล้ว
“พี่ก็จะสู้เหมือนกัน ไม่ยอมแพ้หรอก สู้ๆ”
รณพีร์ กำหมัดกันสองคนกับประณต แล้วเขาก็หันไปมองเพียงขวัญ หญิงสาวมองตอบ ใจเย็นลงเรื่อยๆ และใจอ่อนลงทีละนิด
อ่านต่อหน้า 2
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายรณพีร์ ตอนที่ 9 (ต่อ)
เพียงขวัญเดินเข้ามาพร้อมกับประณต พบสมาชิกในครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า
“โฮ้ยกลับกันมาซะดึก กำลังจะออกไปตาม”
ประณตมองหน้าแดงสงสัยว่าพูดอะไรไปบ้าง แดงนิ่งๆ เพียงขวัญออกรับแทน
“ขวัญพาประณตไปเที่ยวเองคะ เห็นเขาสนุกก็เลยลืมเวลาเลยกลับค่ำไปหน่อย อ้อ...วันนี้ประณตเขามีข่าวดีด้วยนะค่ะ”
ประณตยิ้มขอบคุณเพียงขวัญ ขอบคุณแดงที่ไม่บอกว่าหนีไปกองบิน ยายหันมาถาม
“ข่าวดีอะไร ลูก”
“ผมสอบได้ที่ 3 ครับ”
บุหลันรู้เพราะประณตบอกแม่ก่อนออกไปกองบิน
“จากเกือบๆที่โหล่เนี่ยนะ พยายามจนสอบได้ที่สามเลยเหรอเนี่ย เยี่ยมมากประณต” นภาชื่นชม
“เก่งจริงๆหลานยาย มาหายายลูก”
ประณตคลานมาหา ยายลูบหัว
“เห็นขยันอ่านหนังสือ ในที่สุดก็สำเร็จ ขอให้รักษาความดีไว้ โตขึ้นเป็นเจ้าคนนายคนนะ”
ประณตกราบยาย
“แม่เขาเหนื่อยมาทั้งชีวิตเพื่ออยากจะเห็นประณตเรียนดีๆมีอนาคต ไปกราบขอบคุณแม่เขาสิลูก”
ประณตเข้าไปกราบขอบคุณบุหลันที่ตัก บุหลันกอด
“เก่งมากลูก เก่งมาก เก่งที่สุดเลย แล้วไปเที่ยวไหนมาเป็นห่วงแทบตายรู้ไหม อึม แอบซื้อดินสอที่ร้านสลักจิตมาอีกหรือเปล่าเนี่ย”
“เปล่าครับแม่”
แม่ลูกกอดกัน เพียงขวัญและคนอื่นปลื้มใจไปด้วย
นภาหลับแล้ว เพียงขวัญนอนคิด จะเอายังไงดีกับรณพีร์ จะยอมดีกับเขาได้หรือยัง คำพูดของเขายังดังก้องในหัว
‘ผมจะแต่งงานกับเพียงขวัญเท่านั้น’
‘เพียงขวัญ คุณจะโกรธจะเกลียดผมยังไงก็ได้ แต่คุณห้ามไม่ให้ผมรักคุณ ไม่ได้หรอก ผมรักคุณ ไม่ใช่เพราะว่าผมเป็น เรืออากาศโท ม.ร.ว.รณพีร์ จุฑาเทพ แต่ผมรักคุณด้วยหัวใจของนายพีร์ ผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่ง’
‘รัมภา...พี่ไม่ได้รักรัมภา พี่เห็นรัมภาเป็นน้องสาวของพี่มาตลอดเวลา ผู้หญิงที่พี่รักและจะแต่งงานด้วย คือเพียงขวัญคนนี้คนเดียวเท่านั้น’
เพียงขวัญ หยิบแหวนช่อ ที่ซ่อนอยู่ใต้หมอนมาดูครุ่นคิด
วันใหม่...อัทธ์ซ้อมมวยเสร็จ จันท์กระพ้อเอาน้ำใส่ขันมาให้ อัทธ์ดื่มน้ำ
“ชื่นใจจริงๆ”
“จะอยู่กินข้าวด้วยกันมั้ย ฉันจะได้ทำเผื่อ”
“ขอรบกวนอีกทุกมื้อเลยได้ไหมครับ”
“ไปถามคนนู้นดูสิ”
หญิงสาวพยักพเยิดไปทางพ่อ
“เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้ว ไปเที่ยวกันนะครับ”
“คุณจะพาฉันไปไหน”
“ไปดูหนังกันไหมครับ วันนี้ที่กรุงเกษมเขาฉายหนังแอคชั่น ด้วยนะ”
“ไปๆ เราอยากดูหนังแอคชั่น”
ทั้งสองหัวเราะกันคิกคัก ปุ้มปุ้ยนั่งส่องพระอยู่ไม่ไกลนัก แต่แอบมองด้วยหางตา
เมื่อทานอาหารเสร็จ จันท์กระพ้อลุกออกไปเก็บจาน อัทธ์มองตาม ปุ้มปุ้ยหันมาหาอัทธ์
“จันท์มันน่ารักนะ คุณคิดอย่างงั้นรึเปล่า”
อัทธ์ตอบออกมาอย่างลูกผู้ชาย
“คิดครับ”
ปุ้มปุ้ยหน้านิ่งต่อ
“ที่มาเรียนมวยนี่ ก็เพราะอยากจีบยายจันท์ มันใช่มั้ย”
“ใช่ครับ”
ปุ้มปุ้ยหัวเราะหึๆ หยิบมีดปลายแหลมในกระจาดผัก อัทธ์กลืนน้ำลายหน้าซีด วางช้อน ไม่ต้องกงต้องกินมันละ ปุ้มปุ้ยหน้านิ่งต่อ อัทธ์พยายามอธิบาย
“เอ้อคือ...ผมมาที่นี่ ได้เรียนชกมวย ได้อยู่ใกล้ชิดกับจันท์ แล้วยังอยู่ในสายตาผู้ใหญ่ด้วย ไม่คิดว่าจะน่าเกลียดอะไร”
“แว่วๆ ว่าจะชวนกันไปไหนนะ เมื่อกี้”
“แค่ไปดูหนังกันเฉยๆครับ” อัทธ์มองมีด “แต่ถ้าพ่อไม่อนุญาต ไม่ไปกันก็ได้ครับ”
“ก็ไม่ได้ห้ามอะไร แต่อย่ากลับค่ำนักล่ะ มันดูไม่งามไอ้จันท์มันเป็นสาวเป็นแส้”
ปุ้มปุ้ยขยับมีดในมือฝานมะเขือจิ้มน้ำพริก
“อึม… โคตรอร่อยเลย ระวังเม็ดแก่ๆนะเดี๋ยวไส้ติ่งอักเสบ”
ปุ้มปุ้ยนั่งกินต่ออย่างอร่อย
เพียงขวัญเดินเข้ามาในสำนักงานบริษัททำไม้อย่างงงๆ ไม่รู้ว่าเป็นบริษัทของอดุลย์ในกรุงเทพ เธอเอาจดหมายให้เสมียน ที่นั่งอยู่
“บริษัทนี้ ที่ส่งจดหมายไปเรียกดิฉันมาสัมภาษณ์งาน วันนี้ค่ะ”
“คุณเพียงขวัญใช่ไหมคะ”
เพียงขวัญพยักหน้า
“ท่านรออยู่แล้ว เชิญทางนี้ค่ะ”
เสมียนเดินนำไป
เสมียนเดินนำเพียงขวัญเข้ามาในห้อง เพียงขวัญชะงักทันที เมื่อเห็นอดุลย์นั่งอยู่กับผู้หญิงสองคน
“คุณอดุลย์”
“อ้าวขวัญ ลูก นี่บริษัทขายไม้ของพ่อเอง”
“คุณ...หลอกฉันมา”
เพียงขวัญหน้าบึ้ง อดุลย์แนะนำ
“นี่ อารีย์ เป็นน้องสาวพ่อ เป็นอาของลูก”
อนงค์น้องสาวอีกคนของอดุลย์ยิ้มให้
“เพิ่งได้เห็นตัวจริงก็วันนี้เองเป็นดารา...ใช่ไหมคะ น่าตาน่ารักน่าเอ็นดูจริงๆเลยจ๊ะ”
เพียงขวัญยกมือไหว้สองสาว อัทธ์เปิดประตูเข้าห้องมา
“อ้าว...อัทธ์มาพอดี”
เพียงขวัญหันมองพี่ชาย
“พี่อัทธ์”
อัทธ์เลื่อนเก้าอี้ให้เธอนั่งลงด้วยกัน
“ที่พ่อตามทุกคนมาวันนี้ เพื่อให้รับรู้พินัยกรรมของพ่อ พ่อมีลูกแค่สองคน ทรัพย์สินทั้งหมดของพ่อ จะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน อย่างละครึ่ง ครึ่งหนึ่งเป็นของนายอัทธ์ อีกครึ่งหนึ่งให้เป็นของลูก”
อารีย์ยิ้มน้อยๆ
“หนูก็จะได้ถือหุ้นในบริษัทนี้ ครึ่งหนึ่ง”
อนงค์ยื่นซองเอกสารให้พร้อมสมุดบัญชี เพียงขวัญไม่รับหันไปบอกอดุลย์
“คุณนึกอยากทำอะไรก็ทำ ไม่เคยสนใจความอ่านของดิฉัน ไม่เคยถามฉันสักคำ ดิฉันคงรับไม่ได้”
“ลูกจะเป็นเจ้าของบริษัทนี้ ครึ่งหนึ่งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย”
อารีย์แทรกขึ้น
“หนูจะรับหรือไม่รับมันไว้ ทุกอย่างก็เป็นไปตามพินัยกรรม”
เพียงขวัญอึ้ง
นภานั่งฟังเพียงขวัญเล่า
“แล้วน้องสาวคุณอดุลย์เขาไม่ได้ว่าอะไรรึ ที่คุณอดุลย์ทำอย่างงี้”
เพียงขวัญส่ายหน้า
“เขาคงคุยกันแล้ว คุณอดุลย์คงรู้สึกผิดและอยากใช้เงินชดเชยทุกอย่างให้เราสองคน”
“แล้วขวัญคิดยังไง”
“ถึงคุณอนงค์จะเมตตากับขวัญ แต่เวลาที่ขวัญไปรับเงิน แต่พวกเสมียน ก็มองขวัญูเป็นลูกเมียน้อยอยู่ดี ขวัญูหนีสายตาแบบนี้มาทั้งชีวิต”
“บางครั้งเงินก็ซื้อศักดิ์ศรีคนไม่ได เรื่องนี้แม่ไม่ขอออกความเห็น เป็นความรับผิดชอบของคนเป็นพ่อที่มีต่อลูก แม่ไม่มีสิทธิ์ยุ่ง ขวัญูค่อยๆคิดก็แล้วกัน ว่าจะเอายังไง”
เพียงขวัญนิ่งคิด
ประณตกับสลักจิตชักธงชาติขึ้นสู่ยอดเสาด้วยกัน ประณตเหล่มองสลักจิตอายๆ...ทั้งสองนั่งเรียนในห้องเรียน ตั้งใจเรียน ประณตแอบเหล่มองสลักจิตอย่างชื่นชม...ทั้งสองกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน
เทวพันธ์และวิไลรัมภา เล่าเรื่องที่รณพีร์พูดในกองถ่ายให้หม่อมเอียด ย่าอ่อนฟัง เทวพันธ์คราวนี้ออกตัวโมโหมากกว่าทุกครั้ง วิไลรัมภาเศร้านั่งน้ำตาอาบแก้ม ก้มหน้าไม่พูดจาดูน่าสงสาร
“คุณชายพีร์ทำแบบนี้ไม่ถูก ไปประกาศต่อหน้าคนอื่นแบบนั้น ทั้งๆที่รัมภาก็อยู่ตรงนั้นด้วย ทำแบบนี้มันหักหน้ากันชัดๆ”
หม่อมเอียดอึ้งๆ
“ชายพีร์ชอบผู้หญิงคนนั้นมากขนาดนี้เลยรึ”
เทวพันธ์โมโหมาก โวยเสียงดัง
“ผมเห็นสภาพรัมภาแล้ว หัวใจคนเป็นพ่อมันเจ็บจริงๆ”
เทวพันธ์จับหัวลูกสาวที่ร้องไห้น้ำตาริน
“รัมภาเปลี่ยนตัวเอง ตามใจคุณชายพีร์ทุกอย่าง เขายังทำกับเราได้ลงคอ นี่ขนาดได้ฤกษ์แต่งงานแล้วนะ”
ย่าอ่อนมาดมั่น
“ยังไงการแต่งงานต้องเป็นไปตามฤกษ์ที่เราตั้งไว้แน่นอนค่ะ ใช่ไหมคะคุณพี่”
เทวพันธ์สวน
“อย่าหลอกกันอีกเลยครับ รัมภาเป็นของมีค่าของเทวพรหม ผมจะไม่ยอมให้ลูกต้องเสียใจไปมากกว่านี้อีก ไม่แต่งก็ไม่ต้องแต่ง” เทวพันธิ์มองไปที่รูปท่านชาย “ขอให้ดวงวิญญาณของท่านวิช จงรู้ไว้ ลูกหลานของท่านไม่เคยสนใจในคำสั่งเสียของท่านเลย”
เทวพันธ์ดึงมือลูกสาวให้ยืนขึ้น วิไลรัมภาร้องไห้ ลุกตามพ่อ จะออกไปจากวัง หม่อมเอียดจึงเรียกไว้
“ฉันจะออกหน้าคุยกับชายพีร์เอง ยังไงชายพีร์ก็ต้องแต่งกับหนูรัมภา”
โปรดติดตามตอนต่อไป
ค่ำนั้น จ่าละมัยทำงานอยู่ รณพีร์เดินหน้ามุ่ย ท่าทางกลุ้มๆ มาหา
“เป็นยังไงครับหมวดสถานการณ์หัวใจคลี่คลายรึคับขัน ประการใดบ้างครับ”
“วันที่ประณตมาหาผม เพียงขวัญเขามาตามประณต เราไม่เข้าใจกันอยู่ แต่พอมีเรื่องไม่สบายใจ เขาก็เผลอจับมือผม เหมือนมีผมเป็นที่พึ่งอยู่ในใจ ซึ่งผมก็อยากให้เป็นอย่างงั้นจริงๆ”
“คุณขวัญกับหมวดผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะ ผมว่าลึกๆแล้วคุณขวัญคงไว้ใจหมวดมาก”
“ผมก็รู้สึกอย่างนั้น แต่เขาใจแข็ง เจ้าทิฐิ ผมเลยไม่แน่ใจ”
“มันก็ต้องอย่างงั้นแหละครับหมวด จะให้คุณขวัญพูดตรงๆว่าฉันรักคุณ รณพีร์มาก เชื่อใจคุณรณพีร์ทุกอย่าง พูดอย่างงี้ทุกวันมันก็ไม่สนุกซิครับ เผลอๆ หมวดจะเบื่อคุณขวัญเอาด้วยซ้ำ”
“ไม่จริง ผมไม่มีวันเบื่อเพียงขวัญของผมเด็ดขาด”
รณพีร์มีกำลังใจมากขึ้น
“พูดอย่างงี้แล้วต้องยิ้มครับ ยิ้มอย่างมั่นใจ อย่าทำหน้าเคร่งขรึมอึมครึม ดูแล้วมันไม่หนักแน่นครับหมวด”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น จันท์กระพ้อรับสาย
“สวัสดีคะ ค่ายมวย ส.สามเสนค่ะ”
รณพีร์โทรศัพท์อยู่ที่กองบิน
“ผมมีเรื่องจะขอร้อง คุณจันท์”
“คุณพีร์ อุ้ย...คุณชายพีร์ ขอร้องเรื่องอะไรเหรอคะ”
“ผมมีเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตจะบอกกับขวัญครับ”
“ได้คะคุณชายพีร์ พรุ่งนี้เช้าขวัญกับจันท์จะ...”
รณพีร์ยิ้มฟัง
วันใหม่ เพียงขวัญมาถ่ายแบบกับนิตยสารผู้หญิง ในสวนสาธารณะ งานใกล้เสร็จแล้ว จันท์กระพ้อนั่งรออย่างลุกลี้ลุกลน ดูนาฬิกา เพียงขวัญเปลี่ยนชุดเตรียมกลับบ้าน ช่างภาพยิ้มแย้มบอก
“วันนี้ เสร็จแล้วครับ ขอบคุณมากนะขวัญ เดี๋ยวหนังสือออกน้าจะส่งไปให้ที่บ้าน”
ทีมงานเก็บของกลับ เพียงขวัญเดินมานั่งกับจันท์กระพ้อ
“ตายแล้วขวัญ ฉันนัดพ่อไว้ ไปก่อนนะเดี๋ยวเสื้อผ้าฉันเก็บกลับให้นะ”
จันท์กระพ้อวิ่งหอบของตุปัดตุเป๋หายไป เพียงขวัญนั่งอยู่ รณพีร์ขับมอเตอร์ไซค์เข้ามา จอดหยิบดอกไม้ เดินมาหา
“เพียงขวัญ แต่งงานกับผมเถอะนะครับ”
เพียงขวัญตกใจไม่ทันตั้งตัง ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี
“ผมจะให้ผู้ใหญ่ของผมมาสู่ขอคุณ”
“ผู้ใหญ่ของคุณเขาหมั้นหมายคุณไว้กับวิไลรัมภาแล้ว อย่าลืมสิคะ”
“ชีวิตเป็นของผม ผมมีเงินเดือน มีบ้านพักนายทหาร ผมเลี้ยงดูคุณได้”
“มันไม่ง่ายอย่างงั้นหรอกคะ คุณชายพีร์ ในเมื่อผู้ใหญ่ของคุณไม่เคย ยอมรับดิฉันเลย”
“ผมขอยืนยันอีกครั้ง ผมจะแต่งงานกับคุณเท่านั้น ถ้าหม่อมท่านไม่ยอม ผมจะออกจากวังจุฑาเทพ”
เพียงขวัญมีแววซาบซึ้งอึ้งไปอีกรอบ แต่ยังไม่วางใจ
“คิดดีๆนะคะ การแต่งงานไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคนเท่านั้น”
“ผมไม่สนใจใครทั้งนั้น ขอแค่คุณรักผมก็พอ...หรือว่าคุณไม่ได้รักผมเพียงขวัญ”
เพียงขวัญอึ้งไป เพราะในใจเธอรักเขาสุดใจ
“ฉัน...”
รณพีร์จูบเพียงขวัญ
วังจุฑาเทพ...รณพีร์ยืนหน้าตามุ่งมั่น มองหม่อมเอียดกับย่าอ่อนไปมา ทั้งคู่หน้าเสียสบตากันไปมาเช่นกัน
“ดื้อนักนะเดี๋ยวนี้ถือว่าโตเป็นนายทหารเป็นผู้ใหญ่แล้ว นึกอยากทำอะไรก็ทำ ไม่สนใจหัวหงอกที่นั่งตรงนี้แล้วใช่ไหม” ย่าอ่อนไม่พอใจ
หม่อมเอียดต่อว่า
“จะพูดจะทำอะไร ทำไมไม่นึกถึงหัวจิตหัวใจของหนูวิไลรัมภาบ้าง”
รณพีร์กราบลงที่พื้น กราบย่าทั้งสองคน
“ผมกราบขอโทษที่ทำให้หม่อมย่าและคุณย่าไม่สบายใจ แต่ผมตัดสินใจแล้ว ผมจะแต่งงานกับเพียงขวัญ”
“แล้วถ้าฉันบอกว่าไม่ให้แต่งล่ะ” หม่อมเอียดเสียงแข็ง
“ผมก็ไม่แต่งกับวิไลรัมภาอยู่ดี ผมจะไม่อยู่ที่นี่ ผมจะไปใช้ชิวิตอยู่กับเพียงขวัญข้างนอกวังจุฑาเทพ”
หม่อมเอียดโกรธมาก
“ชายพีร์...มันจะมากไปแล้วนะ คำสั่งของท่านพ่อไม่มีความหมายอะไรเลยรึ”
ย่าอ่อนดุเสียงเข้ม
“ไปจุดธูปไหว้ท่านพ่อเดี๋ยวนี้ ไปนั่งที่หน้าโกศ ไปบอกท่านสิ ว่าจะดื้อกับท่าน ชายพีร์กล้าไหมล่ะ”
รณพีร์ขยับลุกเดินหนี หม่อมเอียดมีสีหน้าตัดสินใจบางอย่าง คิดแผนได้แล้ว
“ถ้าอยากแต่งกับเพียงขวัญนัก...ก็ตามใจ”
ย่าอ่อนตกใจงง
“คุณพี่”
รณพีร์ตกใจมองหม่อมเอียด ย่าอ่อนรีบแย้ง
“คุณพี่ทำอย่างงั้น ไม่ได้นะคะ แล้ว...”
“ฉันมีทางเลือกอื่นรึ”
หม่อมเอียดคิดแผนอะไรได้
“ฉันจะไปพูดกับเขาให้”
“ท่านย่ากรุณาผมกับขวัญมาก ผมไม่รู้จะพูดอะไรอีกแล้วครับ ขอบคุณครับ”
รณพีร์ยิ้มออกมาทันที ดีใจ เข้าไปกอดหม่อมเอียด แต่ย่าอ่อนตกใจ
“คุณพี่...แล้วทางหนูรัมภาล่ะคะ”
หม่อมเอียดพูดกับรณพีร์
“ที่ถูกผู้ใหญ่กับผู้ใหญ่ต้องคุยกัน ฉันจะคุยกับผู้ใหญ่ของเพียงขวัญเอง”
รณพีร์ยิ้มออกมา เข้าใจผิด คิดไปเองว่าเขาจะคุยเรื่องสู่ขอ
หม่อมเอียดนั่งครุ่นคิดอยู่ ย่าอ่อนร้อนใจเดินมานั่งคุยด้วย
“คุณพี่...นี่มันอะไรกันคะ ทำไมจู่ๆถึงยอมล่ะคะ แล้วทางหนูรัมภาล่ะคะ”
“ฉันรู้จักนายพีร์ เขาจะออกจากวังจุฑาเทพ เพื่อไปแต่งงานกับเพียงขวัญอย่างที่เขาว่าจริงๆ”
ย่าอ่อนคิดตามพยักหน้า
“ยิ่งขวาง เหมือนยิ่งยุ มีทางเดียว เพียงขวัญต้องปฏิเสธความรักของ ชายพีร์เท่านั้น”
ย่าอ่อนคิดตาม
เช้าวันใหม่...สมศรีกับแจ๋วมาพบเพียงขวัญกับนภาที่บ้าน แจ๋ว ยื่นตะกร้าขนมไทยให้ ทั้งสองคนยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะ”
“ขนมชาววัง กับผ้าไหมมัดหมี่จากอำเภอปักธงชัยค่ะ ดิฉันชื่อสมศรี เป็นต้นห้องของหม่อมเอียด วังจุฑาเทพ”
นภางง เพียงขวัญบอกแม่
“หม่อมเอียด เป็น ท่านย่าของคุณชายรณพีร์จ๊ะแม่”
“วันนี้ ท่านให้ดิฉันมาเชิญคุณแม่และคุณเพียงขวัญ ไปคุยกับท่านหน่อยนะคะ”
สองสาวมองหน้ากันงงๆ เพียงขวัญสงสัย
“คุณชายรณพีร์ทราบเรื่องไหมคะ”
“ทราบค่ะ”
นภามองหน้ากันกับเพียงขวัญ จะไปดีหรือไม่ไปดี
วันใหม่...เพียงขวัญ นภา บุหลัน เพิ่งมาถึง เดินเข้ามาในร้านอาหาร หม่อมเอียด ย่าอ่อน วิไลรัมภา รออยู่แล้ว ในห้องส่วนตัว เพียงขวัญยกมือไหว้คนแรก แล้วแนะนำ
“ท่านหม่อมเอียด และคุณอ่อนน้องสาวค่ะ และนี่หม่อมวิไลรัมภา เทวพรหม”
นภาและบุหลันยกมือไหว้ทั้งสองท่าน สองท่านดูใจดียิ้มแย้มเหมือนไม่มีเรื่องอะไรกันมาก่อน เพียงขวัญแนะนำฝ่ายตนต่อ
“นภา แม่ของดิฉัน และนี่ก็ น้าบุหลัน น้องสาวแม่ค่ะ”
ย่าอ่อนเชื้อเชิญ
“นั่งสิ”
“ตามสบายเถอะนะ ฉันไม่ได้เจ้ายศเจ้าอย่างอะไรหรอก”
หม่อมเอียดยิ้ม มองเพียงขวัญ
“ยิ่งมองยิ่งสวย สมกับเป็นนางเอกดาวรุ่งดวงใหม่ของเมืองไทย”
เพียงขวัญไหว้
“ขอบคุณค่ะ”
ย่าอ่อนมองหน้า
“ชายพีร์ยืนยันว่าจะแต่งงานกับหนู หนูคุยกับชายพีร์ว่ายังไง”
“หนูทราบมาว่า คุณชายรณพีร์มีคู่หมั้นแล้ว หนูยังไม่ได้ตอบรับคะ”
“หนูเป็นคนคิดรอบคอบน่านับถือ ถ้าผู้ใหญ่ไม่เห็นด้วย หนูคงรู้ว่ามีแต่ปัญหา เลยตอบชายพีร์ไปแบบนั้น ใช่มั้ย”
หม่อมเอียดพอใจ
“ขอบใจหนูมาก ที่เข้าใจเรา”
นภากับบุหลันมองหน้ากัน เขาจะเอาไงกับเรานะ
“คุณเรียกเรามาวันนี้ ไม่ทราบว่า ต้องการอะไรคะ” นภาถามขึ้น
“อยากเรียกมาทำความเข้าใจเรื่องสะใภ้ของจุฑาเทพน่ะ”
ย่าอ่อนเริ่มเล่า
“คุณชายจุฑาเทพมีด้วยกันห้าคน คุณชายใหญ่ ม.ร.ว.ธราธร กำลังจะมีงานแต่งงานกับ ม.ล. ระวีรำไพ หนูมะปราง เรียนจบปริญญาโทจากต่างประเทศ ได้รับการบรรจุเป็นอาจารย์ และกำลังจะก่อตั้งภาควิชาสื่อสารมวลชนขึ้นเป็นครั้งแรก ในประเทศไทย...คนที่สอง คุณชายปวรรุจแต่งงานกับหม่อมเจ้าหญิงวรรณรสา ตอนนี้ชายรุจเป็นเลขานุการโท ประจำที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ม.จ.หญิงวรรณรสา มาจากราชสกุลที่เข้มข้นด้วยระเบียบประเพณี เธอออกงานสังคมเคียงข้างสามี และเป็นหน้าตาของประเทศไทย ได้อย่างสง่างาม...คุณชายคนที่สาม ม.ร.ว.นายแพทย์พุฒิภัทรแต่งงานกับ กรองแก้วอดีตนางสาวสยาม ตอนนี้เธอเป็นแม่บ้านแม่เรือน และเป็นผู้ที่จะดูแลวังจุฑาเทพรุ่นต่อไป...คุณชายคนที่สี่ คุณชายรัชชานนท์ แต่งงานกับ เจ้าสร้อยฟ้า เจ้าหญิงแห่งเวียงพูคำ”
บุหลันพึมพำ
“ที่แท้วันนี้ก็เรียกมาอวดอ้างบารมีของศรีสะใภ้”
“ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่เธอต้องรู้ไว้ ท่านชายวิชชากร ท่านพ่อของคุณชายทั้ง 5 สิ้นชีพิตักษัยเพราะอุบัติเหตุ พร้อมกับภรรยาเมื่อยี่สิบปีก่อน ทิ้งเด็กชายทั้งห้าให้เราสองคนดูแล”
หม่อมเอียดเสริม
“ท่านวิชเป็นลูกชายคนเดียว ฉันคิดแต่ว่า หากเขายังมีชีวิตอยู่เขาอยากทำอะไร ฉันจะทำแทนเขา เพื่อให้เขาหลับอย่างเป็นสุข”
“คุณชายเทวพันธ์ พ่อของหนูวิไลรัมภาเคยช่วยชีวิตท่านชายวิช ท่านวิชจึงสัญญาว่าจะให้ลูกชายคนหนึ่งแต่งงานกับ กุลสตรีจากเทวพรหม”
“พี่ชายของชายพีร์มีคู่ไปหมดแล้ว หากชายพีร์ปฏิเสธวิไลรัมภา เท่ากับเราหมดโอกาสทำตามที่สั่งเสีย”
วิไลรัมภาสะอื้น ย่าอ่อนพูดต่อ
“จุฑาเทพ จะกลายเป็นอกตัญญู วิญญาณของท่านวิช คงไม่เป็นสุข ถ้าเธอรักชายพีร์จริง เธอคงไม่อยากทำให้เขาเป็นคนอกตัญญูต่อพ่อ จริงไหม”
เพียงขวัญอึ้งไป เช่นเดียวกับนภาและบุหลัน หม่อมเอียดมองหน้าเพียงขวัญ
“วันนั้นเธอร้องไห้เห็นแล้วก็สงสาร ฉันไม่อยากให้เธอผิดหวัง โดยไม่ได้รับอะไรตอบแทน ฉันอยากให้เธอรับสิ่งนี้ไป”
หม่อมเอียดเอาซองให้ เพียงขวัญ
“ฉันพนันได้ ทั้งชีวิตเธอไม่เคยจับเงินก้อนใหญ่ขนาดนี้”
หม่อมเอียดกับย่าอ่อนยิ้มกระหยิ่มมั่นใจ เพียงขวัญวางคืนซองเงินให้โดยไม่ลังเล
“ดิฉันคงรับเงินนี้ไม่ได้หรอก”
หม่อมเอียดกับย่าอ่อนผิดคาดตกใจ เพียงขวัญ นภา บุหลันลุกขึ้น
“อย่ามาทำเป็นทิฐิหน่อยเลย เงินนี้เปลี่ยนชีวิตเธอได้นะ” ย่าอ่อนมองหยัน
เพียงขวัญจ้องหน้าตอบ
“ดิฉันเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านทั้งสองต้องการจะบอก ดิฉันแล้ว ดิฉัน กับแม่กับน้าขอกราบลาคะ”
นภา เพียงขวัญและบุหลันออกไป
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายรณพีร์ ตอนที่ 9 (ต่อ)
หม่อมเอียดกับย่าอ่อนขัดใจมาก หยิบเงินลุกตามไป
“รับเงินนี่ไป แล้วปฏิเสธชายพีร์ซะ” หม่อมเอียดเรียกไว้
เพียงขวัญหันมาเผชิญหน้า
“ดิฉันขอยืนยัน ดิฉันไม่ต้องการเงินนี้”
ย่าอ่อนเบ้หน้าหยามหยัน
“เธอหวังในเงินก้อนใหญ่กว่าใช่ไหม เธอรู้อยู่แล้ว ยังไงเขาต้องแต่งกับเธอ เธอก็เลยแกล้งไม่รับเงิน เธอจะทำให้ชายพีร์คลั่งเพราะเธออีกใช่ไหม”
บุหลันสวนขึ้นอย่างเหลืออด
“เอ๊ะ คุณ...พูดไม่รู้เรื่องหรือ เราไม่ใช่เจ้าหญิงเจ้าชายอย่างคุณก็จริง แต่เราก็มีศักดิ์ศรี ไม่ใช่คุณมีเงินแล้วจะสั่งใครก็ได้นะ”
นภาเสริม
“แต่งงานกับใครสักคน ก็เหมือนแต่งงานกับครอบครัวเขา เจอคนอย่างพวกคุณ อย่างคุณชายเจ้าหญิง เจ็ดแปดคนนั่น ฟังดูไม่เห็นน่าจะมีความสุข ฉันว่ายายขวัญคิดถูกแล้ว”
เพียงขวัญจริงจังมุ่งมั่น
“ดิฉันรักคุณพีร์ ในฐานะผู้ชายธรรมดาๆ ไม่เคยคิดเรื่องฐานันดร และเงินทองพวกนั้นสักนิด และที่สำคัญที่สุด ดิฉันจะไม่ยอมให้คุณชายรณพีร์ต้องเสื่อมเสียเกียรติ สัจจะ และความกตัญญูเพราะดิฉันเพียงคนเดียว”
ย่าอ่อนไม่วางใจ
“เธอจะทำยังไง แล้วฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่า เธอจะทำได้อย่างที่พูด”
“ดิฉันไม่มียศถาบรรดาศักดิ์อะไร แต่ท่านเชื่อคำพูดของดิฉันได้ด้วยเกียรติ ของผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ดิฉันให้สัญญาค่ะ”
เพียงขวัญปวดร้าวเมื่อพูดเรื่องนี้ แต่ก็ยังเข้มแข็ง หม่อมเอียดกับย่าอ่อนมองหน้าเพียงขวัญไม่แน่ใจ เพียงขวัญสู้ตายืนยันว่ายังไงเธอก็จะทำให้
ค่ำนั้น เพียงขวัญอยู่ในชุดนอนแล้ว นั่งมองแหวนช่อ ที่ไม่ได้ใส่ อยู่ในกล่องเก็บไว้ ไม่ตั้งใจใส่ นภาเดินมาหา
“แม่ดีใจ ภูมิใจ ที่ขวัญตัดสินใจแบบนี้...เข้มแข็งเอาไว้นะลูก”
เพียงขวัญพยักหน้า
“เขาบอกว่า เขาจะแต่งงานกับขวัญ และดูแลขวัญด้วยเงินเดือนทหาร ที่มีของเขา เขายอมถึงขนาดจะออกจากวังจุฑาเทพ แต่ขวัญทนเห็นเขา ตกต่ำเพราะขวัญไม่ได้หรอกค่ะ”
เพียงขวัญน้ำตาไหลทั้งสองมองแหวนในกล่องด้วยกัน เธอปิดฝากล่อง อย่างพยายามตัดใจจากรณพีร์
เช้าวันใหม่...รณพีร์ใส่ชุดทหารเดินยิ้มแย้มเข้ามาหอมแก้มอ่อนที่โต๊ะทานข้าว กำลังจะทานของเช้า
“ไม่ทราบว่าหม่อมย่า...นัดหมายวันที่จะไปคุยกับผู้ใหญ่บ้าน เพียงขวัญรึยังครับ”
“คุยกันเรียบร้อยแล้ว เมื่อวานนี้” เอียดตอบเรียบนิ่ง
“เขาว่าอย่างไรบ้างครับ”
รณพีร์มองย่าทั้งสองคน หม่อมเอียดทำเป็นถอนใจ
“เขาตอบปฏิเสธชายพีร์อย่างไม่มีเยื่อใย”
รณพีร์ช็อค ลุกวิ่งออกจากโต๊ะ
อัทธ์มาถึงเดินมาเจอเพียงขวัญนั่งเศร้าในห้องนอน รู้แล้วว่าต้องมาทำอะไรเพราะคุยกันไปก่อนแล้ว
“ขวัญแน่ใจแล้วหรือ การกระทำบางอย่างถ้าเราตัดสินใจทำมันลงไปเราแก้ไขไม่ได้นะ”
“แน่ใจแล้วค่ะ”
ขณะเดียวกัน รณพีร์ขับรถเข้าบ้านจอดรถหน้าบ้านอย่างร้อนรน
“งั้นก็ไปกันเถอะจัดการให้มันจบๆไป”
เพียงขวัญพยักหน้าที่แสนเศร้าลุกขึ้นเดินนำอัทธ์ลงบันไดมา
จันท์กระพ้อขี่จักรยานมาหาเพียงขวัญ เธอถือกระเป๋าเครื่องสำอางมาคืน...รณพีร์เดินเข้าบ้าน เพียงขวัญเดินลงมา
“ขวัญ” รณพีร์เห็นยิ้มให้
อัทธ์เดินตามลงมา เพียงขวัญยื่นมือให้อัทธ์จับ รณพีร์มองหน้า อัทธ์อ้ำอึ้ง เพียงขวัญตัดใจ
“ฉันมีเรื่องต้องบอกคุณ...ขวัญกับคุณอัทธ์ เรากำลังจะแต่งงานกัน ขวัญพยายามแล้วแต่ขวัญตัดใจจากคุณอัทธ์ไม่ได้จริงๆ สำหรับที่ผ่านมาสิ่งที่คุณทำเพื่อขวัญ ขวัญไม่มีวันลืม ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะ ขอบคุณจริงๆคะ”
รณพีร์ช็อก
“เกิดอะไรขึ้น ขวัญ คุณทำอย่างงี้ทำไม”
อัทธ์สงสารเหมือนกัน แต่ก็ต้องเล่นตามบทไปเพื่อน้องสาว
“ผมต้องขอโทษด้วยครับ ผมหวังว่าคุณจะแสดงความยินดีกับเรา ทั้งสองคน ผมกับเพียงขวัญ เรารักกันมาก่อนที่ขวัญ จะรู้จักกับคุณซะอีก ขอให้เรื่องเราจบลงแค่นี้เถอะครับ”
รณพีร์เดินออกไป อย่างเศร้าหมอง เขาเดินผ่านจันท์กระพ้อที่ได้ยินทั้งหมดแล้วอยู่มุมหนึ่ง จันท์กระพ้อมองอัทธ์ เศร้ามาก
เพียงขวัญกับอัทธ์ยังยืนจับมือตรงนั้นไม่มีใครเห็นจันท์กระพ้อ
รณพีร์เดินมาขึ้นรถ ส่วนจันท์กระพ้อวางของไว้ แล้วเดินเศร้าออกไปจากบ้าน โดยไม่มีใครรู้ว่าเธอมา...อัทธ์ยังคงจับมือไว้
“ไม่ต้องเข้มแข็งตลอดเวลาก็ได้ เขาไปแล้วล่ะ เขาไปแล้ว น้องขวัญ”
เท่านั้นแหล่ะทำนบน้ำตาก็พังครืน เพียงขวัญหันมากอดอัทธ์ร้องไห้อย่างหนัก
เช้าวันใหม่...อัทธ์เพิ่งมาถึงค่ายมวย นักมวยวอร์มร่างกายอยู่หันมาทักทาย จันท์กระพ้อนั่งเช็ดนวมอยู่แถวนั้น
“วันนี้มาแต่หัววันเลยนะครับ”
จันท์กระพ้อเห็นอัทธ์แล้ว มีปฏิกิริยาทันที หน้าเศร้าขึ้นมา
“ช่วงนี้ทำงานที่กรุงเทพครับพี่” อัทธ์ตอบนักมวยแล้วเดินไปหาจันทร์
“จันท์วันนี้ตอนเย็น คุณไปไหนหรือเปล่า”
“ถามทำไมคะ” จันทร์กระพ้อตอบเสียงแข็ง
อัทธ์เขินๆหน่อย
“เอ้อ คือ คุณพ่อผมอยู่บ้าน ผมอยากแนะนำคุณ ให้คุณพ่อผมรู้จัก”
“แนะนำฉันเนี่ยนะ เพื่ออะไรกันคะ”
อัทธ์ยิ่งเขินหนัก
“ก็...ก็...คุณเป็นเพื่อนที่ผมสนิท ผมก็เลย…”
จันท์กระพ้อชิงถาม
“คุณพ่อคุณรู้จักเพียงขวัญไหมคะ”
อัทธ์งงๆ
“ครับ รู้จักกันดี”
จันท์กระพ้อต่อยอัทธ์เปรี้ยง
“เอาเป็นว่า ฉันไม่อยู่ค่ะ ฉันจะไปต่างจังหวัด”
จันท์กระพ้อทิ้งของที่กำลังทำอยู่ทันที หมดความอดทนแล้ว ไปดีกว่าเราเธอเดินเข้าห้อง อัทธ์มองตาม ตกใจ
จันท์กระพ้อเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า ร้องให้ ก่อนออกจากห้องหยิบดอกไม้แห้งมาด้วยความโมโห อัทธ์ร้อนใจเดินตามถาม
“เก็บเสื้อผ้าจะไปไหนเหรอครับ”
“ยังมีหน้ามาถามอีก”
จันท์กระพ้อตีอัทธ์ด้วยดอกไม้แห้ง ปุ้มปุ้ยโผล่หน้ามา เสียงดัง ไม่รู้เรื่องอะไร
“เฮ่ย ไอ้จันท์ ทำอะไรของแก”
จันท์กระพ้อนิ่ง หันไปมองอัทธ์
“พ่อไม่ต้องห่วงฉันหรอก ฉันทำน้ำพริกใส่โถไว้วันก่อนตั้งเยอะ ขาดเหลืออะไร ก็ทำกินกันเองก็แล้วกัน รึไม่ก็ให้นักมวยมันทำให้กิน ฉันไม่อยู่แล้ว ฉันเบื่อ อยู่แต่พระนคร”
จันท์กระพ้อเดินหนีไป อัทธ์ขยับตาม เธอชี้หน้าเขา
“ไม่ต้องเสนอหน้าตามมาอีกนะ”
จันท์กระพ้อออกไป อัทธ์งงหันมาหาปุ้มปุ้ย
“พ่อครับ จันท์เขาเป็นอะไร อยู่ดีๆเค้าก็เก็บเสื้อผ้าออกจากบ้าน จะไปจากพระนคร แล้วผมจะไปตามหาเขาที่ไหนล่ะพ่อ”
ปุ้มปุ้ยเดินเข้ามาโอบไหล่
“ใจเย็นๆ ไอ้ทิด มันจะไปไหนได้ มันก็ไปได้ที่เดียว...”
รณพีร์นั่งเศร้า เหม่ออยู่คนเดียวอยู่มุมหนึ่งในวังจุฑาเทพ หม่อมเอียดเดินนำย่าอ่อน กับช่างเสื้อคนเดิมและวิไลรัมภาเข้ามาหา
“คุณเพ็ญเขาจะมาวัดตัวชายพีร์ ตัดชุดเจ้าบ่าว” หม่อมเอียดเข้ามาบอก
รณพีร์อยู่ในโลกส่วนตัวเหมือนไม่สนใจอะไร ซังกะตาย ย่าอ่อนดุ
“อย่ามาทำอ้อยอิ่ง ลุกขึ้น ให้ช่างเขาวัดตัว เร็ว”
รณพีร์ลุกขึ้น ทุกคนลุ้น เขามองหน้าทุกคนแล้วเดินออกไปเลย
“พี่พีร์”
วิไลรัมภาจะตาม หม่อมเอียดยกมือขึ้นไม่ให้วิไลรัมภาพูดต่อ
“การแต่งงานระหว่างชายพีร์กับวิไลรัมภายังไงก็ต้องเกิดขึ้น” หม่อมเอียดหันไปหาช่างเสื้อ “คุณเพ็ญ คุณตัดชุดเจ้าบ่าวโดยไม่ต้องวัดตัวได้ไหม”
“ก็เอ้อ...ก็พอได้ค่ะ”
“งั้นจัดการเลย คุณเลือกเอาตามที่เห็นเหมาะสม”
“ได้ค่ะ”
รณพีร์ถอนใจเดินต่อ ออกไปจากตรงนั้นซะเฉยๆ หม่อมเอียดครุ่นคิด
“หรือว่าเด็กเพียงขวัญนั่นจะทำตามที่พูดให้เราแล้ว”
วิไลรัมภากับย่าอ่อน หันมามองหม่อมเอียด
หม่อมเอียดกับย่าอ่อนและวิไลรัมภา นั่งทานน้ำชายามบ่าย แจ๋วดูแล มีการ์ดแต่งงาน เอกสารรายชื่อวางอยู่
“เท่าที่ดูรายชื่อ งานของชายพีร์ ไปๆมาๆ แขกก็ไม่ได้น้อยกว่าของคุณชายใหญ่เลยนะคะ คุณพี่” ย่าอ่อนหันมาบอก
“ก็ใช่น่ะซิ เพื่อนชายพีร์ที่โรงเรียนเตรียมทหารมีตั้งสามเหล่าทัพ ไหนจะ ตำรวจอีก”
“เพื่อนๆรัมภาตื่นเต้นกันใหญ่เลยคะ อยากจะเห็นพิธีลอดซุ้มกระบี่ของ พี่ชายพีร์กับรัมภาจะแย่แล้วคะหม่อมย่า”
วิไลรัมภามีความสุขมาก
ค่ำนั้นเทวพันธ์ หัวเราะร่าเมื่อรู้เรื่องจากวิไลรัมภา มารตีนั่งห่างออกไป
“ชายพีร์ ไม่พูดอะไรเลยหรือลูก”
“ค่ะ ย่าเอียด ย่าอ่อนสั่งตัดชุดแต่งงานก็เงียบ ไม่พยศ ไม่เถียง ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เมื่อก่อนไม่ใช่อย่างนี้ จะพูดปฏิเสธเลยทุกครั้ง”
“เอาอย่างนี้ดีกว่า พรุ่งนี้พ่อจะโทรไปให้หนังสือพิมพ์ออกข่าวให้ ลงข่าวแต่งงานให้เห็นๆกันเลย ชายพีร์ดิ้นไม่หลุดแน่”
มารตีแทรกขึ้น
“สำเร็จ ในที่สุดก็สำเร็จ น้องต้องเข้าวังจุฑาเทพ เข้าไปจัดการแก้แค้นชายภัทรกับนังกรองแก้วให้พี่”
วิไลรัมภายิ้มร้าย
“ได้สิคะพี่มารตี”
เทวพันธ์โล่งใจ
“วังนี้ กับหนี้สินของพ่อ หนูจะจัดการให้พ่อใช่ไหมลูก”
“หนูเป็นสะใภ้วังจุฑาเทพนะคะ จะปล่อยให้พ่อ ให้พี่ลำบาก เป็นไปได้ยังไงคะ”
เทวพันธ์ ยิ้มพอใจกอดลูกสาว วิไลรัมภาแววตาโรจน์โอกาสที่จะเถลิงอำนาจกำลังจะมาถึง
รณพีร์ ธราธร พุฒิภัทร และรัชชานนท์นั่งคุยกันในห้องใต้โดม สามพี่ชายดูจะเดือดร้อน รณพีร์เนือยนิ่ง เป็นอาการอกหักแบบเฉยเมย ไม่กินเหล้า ไม่เหวี่ยงวีน ชาด้านไปเฉยๆ ธราธรหนักใจ
“ถ้าอย่างงี้ก็เข้าทางท่านย่าของเราล่ะซิ ที่คุณขวัญมาเลิกรากับชายพีร์ตอนนี้”
“ผมแค่เบื่อๆ เหนื่อยๆ” รณพีร์พูดเรียบนิ่ง
“เป็นไง ทะเลาะกับคุณขวัญหรือ” พุฒิภัทรถาม
“เปล่า ผมยังงงๆอยู่เลย อยู่ๆเขาเลือกนายอัทธ์ ลูกพ่อเลี้ยงอดุลย์ เขาไม่ได้เลือกผม ส่วนผมมาคิดๆดู ในเมื่อไม่มีเขา ผมคงรักใครไม่ได้อีก ผมคงไม่มีวาสนาเหมือนพี่ๆ”
ธราธรปลอบ
“ใจเย็นๆชายพีร์ ค่อยๆคิดก่อน”
“ทุกอย่างมันจบแล้วล่ะพี่ มันไม่มีอะไรเหลือแล้ว”
รัชชานนท์ เตือนสติน้อง
“ชายพีร์ ตอนนี้น้อง...ดูไม่เหมือนชายพีร์ที่พี่รู้จักเลยนะ เข้มแข็งหน่อยซิ”
สามคุณชายมองคุณชายคนเล็ก รู้สึกเหมือนกัน มีอะไรบางอย่างผิดปรกติไป
วิไลรัมภาหวีผมหน้ากระจก แล้วยิ้มฝัน มีความสุขเงาสะท้อนในกระจก เป็นรณพีร์ในชุดเจ้าบ่าวเดินมาเอาแก้มแนบรักกัน กับวิไลรัมภาที่ตอนนี้ใส่ชุดเจ้าสาว วิไลรัมภากระหยิ่มในภาพฝันของตนเอง
“ในที่สุดเจ้าหญิงก็ต้องคู่กับเจ้าชาย ในที่สุดพี่ชายพีร์ก็ต้องเป็นของ น้องรัมภา”
เช้าวันใหม่...เพียงขวัญนั่งทำความสะอาดเครื่องรำ ประณตเดินกลับจากตลาด ถือหนังสือพิมพ์หน้าเครียดมา
“พี่ขวัญ...มีข่าวพี่พีร์ลงหนังสือพิมพ์ด้วย เดี๋ยวผมอ่านให้ฟัง...สิ้นปีนี้ วังจุฑาเทพจะมีงานใหญ่ถึงสองงาน งานมงคลสมรส คุณชายใหญ่ ม.ร.ว ธราธร จุฑาเทพและม.ล ระวีรำไพ จากนั้นสองสัปดาห์ จะเป็นงานมงคลสมรส คุณชายคนสุดท้อง ม.ร.ว รณพีร์ จุฑาเทพ และม.ล วิไลรัมภา เทวพรหม”
เพียงขวัญนิ่งอึ้งหน้าซีด ประณตไม่เข้าใจ
“พี่พีร์รักพี่ขวัญจะตาย พี่พีร์จะไปแต่งงานกับคนอื่นได้ยังไงครับ”
บุหลันเดินตามมา กลัวประณตโวยวายพยายามเบี่ยงเบนความสนใจ
“ตาณต กลับไปทำการบ้าน อ่านหนังสือของตัวเองดีกว่านะลูก”
เพียงขวัญได้แต่นั่งเศร้า
รณพีร์นั่งทานอาหารร่วมกับพี่ชาย และพี่สะใภ้ เขาเห็นระวีรำไพรวบช้อนเร็วกว่าคนอื่นก็มองอย่างแปลกใจ
“อิ่มแล้วเหรอครับ น้องมะปราง ข้าวยังเหลือตั้งหลายคำ”
“มันตื้อๆน่ะคะ เลยทานไม่ค่อยลง”
ธราธรยิ้ม
“ช่วงนี้ต้องตระเวนไปแจกการ์ดแต่งงานผู้หลักผู้ใหญ่แทบทุกวัน คงเหนื่อยน่ะ”
ระวีรำไพแตะมือธราธร
“แต่พอได้คิดว่า การแต่งงานเป็นงานครั้งเดียวในชีวิตก็มีกำลังใจ หายเหนื่อยขึ้นเยอะเลยคะ”
ธราธรจับมือระวีรำไพ รณพีร์อารมณ์นี้ไม่อยากเห็นเดินหนี ได้แต่นั่งฟังเงียบๆ กรองแก้วตักข้าวเติมให้พุฒิภัทร
“เติมข้าวหน่อยนะคะ บ่ายนี้มีเวรผ่าตัด ตั้งสามเคส มื้อเย็นจะได้รับประทานตรงตามเวลารึเปล่าก็ไม่รู้”
พุฒิภัทรหอมแก้มกรองแก้ว
“แค่นี้คงอิ่มไปถึงพรุ่งนี้แล้วล่ะครับ”
กรองแก้วหยิกเบาๆ แล้วก็มองคนอื่นๆในโต๊ะ
“ไม่อายคนอื่นบ้างเหรอค่ะ”
ทั้งหมดกินไปคุยไป มีความสุข รณพีร์มองพี่ๆ คิดถึงเพียงขวัญ
แจ๋วเก็บสำรับข้าว รณพีร์เดินเข้ามา รัชชานนท์กับสร้อยทำงานอยู่ นั่งอยู่ท่ามกลางกองเอกสาร จดหมายและหนังสือพิมพ์ไทย และอังกฤษ วิทยุสื่อสาร เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองเวียงพูคำ
“สถานการณ์ตึงเครียดไปถึงไหนแล้วครับพี่ชายเล็ก” รณพีร์เข้าไปถาม
“กองกำลังเจ้าวีระวงศ์เคลื่อนอาวุธหนักเข้าไปเยอะมาก ดูเอกสารนี่สิ จากหน่วยข่าวกรอง”
รณพีร์อ่าน
“ที่ฐานทัพก็สั่งให้เตรียมพร้อมทั้งกำลังพล และอาวุธแล้วล่ะครับ คงถึงเวลาได้รบกันจริงๆแล้ว”
สร้อยฟ้าเครียด
“คงหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บล้มตายไม่ได้แล้ว ผู้นำช่วงชิงอำนาจกัน แต่ชาวบ้านต้องมาเดือดร้อน”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น รัชชานนท์รับสาย
“สวัสดีครับ ผมรัชชานนท์ จุฑาเทพรับสายครับ” รัชชานนท์นิ่งฟัง “ครับ ขอบคุณครับ”
รัชชานนท์วางสายแล้วหันมาบอก
“ผู้บังคับการตำรวจสันติบาลโทรมา ช่วงนี้ขอให้เจ้าสร้อยอย่าออก ไปไหนมาไหน ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ทางการเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย”
“ไม่มีใครทำอะไรสร้อยหรอกค่ะ”
“พูดอย่างนี้จะดื้อใช่ไหม ขอร้องล่ะ อย่าเพิ่งดื้อเวลานี้นะ คิดบ้างสิ ถ้าเจ้าเป็นอะไรไป พี่จะอยู่ยังไง”
รัชชานนท์ดึงสร้อยฟ้าเข้ามากอด สายตาบ่งบอกความรักลึกซึ้ง สร้อยผลักรัชชานนท์ออก
“กลัวชายพีร์ อิจฉาล่ะซิ”
“ไม่หรอกครับ แต่เห็นพี่ๆมีความรักกันมีความสุขกัน ผมก็ยิ่งคิดถึงเพียงขวัญ”
กล้องถ่ายหนังเดินฟิล์ม กำลังถ่ายทำฉากในป่าใต้เขาไกรลาส มีแคร่ฤษีตั้งอยู่ เพียงขวัญที่แสดงเป็นกินรีมาหาฤษี นั่งคุยกัน
“ท่านฤษี ข้าพเจ้าถูกขับออกจากพระนคร ข้าพเจ้าแสร้งรำบูชาไฟแล้วใส่ปีกหางหนีมา”
“มนุษย์ใจต่ำ ทำร้ายเจ้าด้วยคิดริษยา”
“นี่ผ้ากำพลและธำมรงค์ จงมอบคืนแก่สามีที่จะตามมา บอกพระสุธนว่า ชาตินี้เราคงไม่มีวาสนา”
“นางมโนราห์ เจ้าตัดรักพระสุธนได้จริงรึ”
“ปุโรหิตว่า หากไม่มีมโนราห์ พระสุธนจะชนะสงคราม เพื่อพระองค์แล้วข้าพเจ้าขออยู่อย่างโดดเดี่ยวตลอดชีวิต ดีกว่าที่พระองค์ไปสู่ความตกต่ำ”
เพียงขวัญ น้ำตารินออกมาดูน่าสงสาร เล่นดีมาก ชนะกับศักดา แม้แต่ช่างไฟก็พลอยอินไปด้วย ประไพศรีกับเสอึ้งกลืนน้ำลาย ชนะน้ำตาคลอ เพราะอินกว่าคนอื่นอยู่แล้ว
“เพราะข้าพเจ้ามอบรักแท้แก่พระองค์ ข้าพเจ้าจึงยอมได้ทุกอย่าง”
เพียงขวัญร้องไห้ไม่ยอมหยุด ชนะสั่ง
“คัท”
ทุกคนนิ่งอึ้งมองเพียงขวัญสงสาร ไม่มีใครในกองกล้าขยับ เสียงร้องไห้ยังดังก้อง ชนะเดินเข้าไปหา กอดหลานไว้
“ขวัญ ไม่เป็นไรนะลูก ไม่เป็นไร”
เพียงขวัญพยักหน้ายิ่งร้องไห้หนัก
จันท์กระพ้ออยู่ที่โรงเรียนบนดอยกาญจนบุรี เธอสอนหนังสือเด็กอยู่ในห้องเรียน อยู่ๆเด็กก็เงียบกันทั้งห้อง จันท์กระพ้อหันไปมองก็ต้องตกใจ
“เฮ้ย...คุณอัทธ์”
อัทธ์ยิ้มให้
ส่วนจันท์กระพ้ออยู่ที่โรงเรียนบนดอยกาญจนบุรี เธอสอนหนังสือเด็กอยู่ในห้องเรียน อยู่ๆเด็กก็เงียบกันทั้งห้อง จันท์กระพ้อหันไปมองก็ต้องตกใจ
“เฮ้ย...คุณอัทธ์”
อัทธ์ยิ้มให้
เด็กๆเลิกเรียนแล้ว จันท์กระพ้อแนะนำป้าปูกับอัทธ์ ป้าแก้วกำลังเก็บหนังสือเข้าชั้น
“นี่ป้าปู พี่สาวพ่อปุ้มปุ้ย ป้าแท้ๆฉัน นี่เพื่อนหนูค่ะมาทำไมก็ไม่รู้”
“ผมมาช่วยจันท์เขาสอนหนังสือ คิดว่าผมเป็นลูกเป็นหลาน ใช้งานผมได้ทุกอย่างเลยนะครับ เป็นภารโรงก็ได้นะครับ”
อัทธ์รับหนังสือไปจัดการวางให้ ป้าแก้วหันมาบอกจันทร์กระพ้อ
“ตามสบายนะ ไปเปิดบ้านตรงลำธารให้เพื่อน พาเขาไปตักน้ำด้วยนะ ไม่ได้เตรียมเอาไว้ เดี๋ยวไม่มีน้ำใช้”
จันท์กระพ้อเดินนำหน้ามา อัทธ์เดินตามมาคุย
“ใครบอกคุณว่าฉันอยู่ที่นี่”
“พ่อคุณ”
“พ่อ นะ พ่อ...แล้วตามฉันมาทำไม”
“ผมคิดถึงคุณ”
จันท์โวยใส่ทั้งน้ำตา
“ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ คุณเห็นฉันเป็นของเล่น...เป็นตัวตลกหรือ ฉันไม่สวย ฉันไม่หวาน ฉันไม่เก่ง ฉันไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่ฉันไม่ใช่ตัวตลกนะ เลิกล้อเล่นกับฉันแบบนี้เสียทีได้ไหม”
“ฟังผมก่อน”
อัทธ์จับแขน จันท์กระพ้อสะบัด
“อย่ามายุ่งกับฉัน คุณกำลังจะแต่งงานกับขวัญ ฉันได้ยินหมดแล้ว”
อัทธ์ตัดสินใจบอกความจริง
“ผมกับขวัญเป็นพี่น้องกัน”
จันท์กระจะโวยต่อแล้งชะงัก
“หาอะไรนะ”
“ผมกับขวัญเป็นพี่น้องกัน พี่น้องกันแต่งงานกันไม่ได้”
จันท์กระพ้อเซๆลงไปนั่งมึนๆ ทำไมมาไม้นี้ อัทธ์ขำ
“ที่คุณเห็นวันนั้นคือการแสดง ขวัญเขาอยากให้คุณชายรณพีร์ ตัดใจจากเขา เขาก็เลยขอให้ผมช่วย”
“แล้วทำไมไม่มีใครบอกฉัน”
“มันเป็นข้อตกลงระหว่างผมกับขวัญน่ะ ถ้าผมบอกใครๆว่า ผมเป็นพี่ชายขวัญ ก็ต้องมีคนถามว่าพี่แบบไหน ผมก็ต้องอธิบายว่าพี่คนละแม่ เขาก็ต้องอีกถามว่าใครเป็นลูกเมียหลวง ใครเป็นลูกเมียน้อย ผมกับขวัญก็เลยไม่บอกใครว่าเราเป็นพี่น้องกัน ผมนึกว่าขวัญจะบอกคุณแล้ว นึกว่ารู้แล้ว ขวัญเขาไม่ยอมรับว่าผมเป็นพี่ ทำยังไงก็ไม่ยอมเรียกพี่ ทุกวันนี้เขาไม่ยอมรับพ่อ ไม่ยอมรับผม”
“เวียนหัว ฟังแล้วจะเป็นลม”
อัทธ์หัวเราะแล้วเอามือไปจับมือจันท์กระพ้อทั้งสองข้างมาหอมอย่างอ่อนโยน หมุนตัวเธอมากอดจากข้างหลัง
“หน้าคุณซีดจริงด้วย อากาศคงเย็น อุ่นขึ้นไหมครับ”
จันท์กระพ้อสะบัดหนี
“พอๆฉันไม่ได้เป็นอะไร”
อัทธ์กับจันท์กระพ้อเดินถือกระป๋องน้ำมีคานแบกมาคนละชุด มาตักน้ำที่ลำธาร เด็กชาวเขาเดินถือกระบอกน้ำตาม ทั้งหมดไปช่วยกันตักน้ำ
เย็นนั้น จันท์กระพ้อนั่งชมวิว อัทธ์เดินถือช่อดอกกล้วยไม้ป่ามานั่งข้างๆ ยื่นให้
“ดอกไม้อีกแล้ว ทำไมชอบให้ดอกไม้ฉันนักนะ”
“ผมชอบคุณ คุณสวย น่ารัก เห็นแล้วสดชื่น ชื่นใจเหมือนได้ดมดอกไม้”
จันท์เอาหมัดอุดปากอัทธ์
“ผมตามมาเพราะคิดถึง อยู่พระนครไม่มีคุณ ผมก็เหมือนไม่มีใครในโลก”
ชายหนุ่มเอาดอกไม้ทัดหูให้หญิงสาว
รณพีร์กับเพียงขวัญ ต่างก็ยอมรับว่าคงจะแยกจากกันตลอดกาล แต่สองคนปลับไม่มีความเศร้าให้ใครเห็น มีแต่ความเย็นชา ไม่มีความสดใสไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีก
รณพีร์เก็บโมบายด์นกไว้ในตู้ ด้านบนสุด แล้วปิดประตูตู้ลง
ขณะที่เพียงขวัญเปิดกล่องแหวนช่อชัยพฤกษ์ดูอีกครั้ง แล้วปิดลง ใส่ในลิ้นชักล็อคกุญแจ
รณพีร์ขับเครื่องบินลาดตระเวน ชายแดนเห็นค่ายทหารกบฏวีระวงศ์ ค่ายต่างๆ มีทหาร มีอาวุธหนักมากมาย
ฟากเพียงขวัญนั่งเย็บผ้ากับประณต ไม่ได้เหม่อ แต่เศร้า...
รณพีร์ รายงานผู้การวาดรูปผังของค่ายให้ดู มี ยอดยศ ขันติ กำพล ฟังอยู่ครบ
ส่วนที่กองถ่ายกินรี เพียงขวัญแต่งตัว ประไพศรีเอาขนมมาให้ เสเดินผ่านมาคุยด้วย ทุกคนมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
อ่านต่อหน้าหน้า 4
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายรณพีร์ ตอนที่ 9 (ต่อ)
อยู่มาวันหนึ่ง เทวพันธ์มาที่วังจุฑาเทพ ธราธรเดินออกมาต้อนรับ ยกมือไหว้ทักทาย
“สวัสดีครับ น้องรัมภากลับไปแล้วนี่ครับ รถที่วังไปส่งแล้ว คลาดกันหรือเปล่าครับ”
“ลุงมาหาคุณชายใหญ่น่ะ”
“อ้อครับ ว่ามาเลยครับ”
“ช่วงนี้ลุงต้องไปช่วยวิไลรัมภาแจกการ์ดแต่งงาน พอดีรถของลุงเก่ามาก”
ธราธรเข้าใจ
“อ้อ เอารถของที่วังไปก็ได้ครับ จะเอาคันไหนก็เอาไปได้เลยครับ”
“ลุงอยากได้คันใหม่น่ะ ลุงขอยืมเงินจากคุณชายก่อนได้ไหม”
ธราธรชะงัก
“ซื้อคันใหม่หรือครับ”
“ต่อไป รัมภาต้องมาเป็นลูกหลานบ้านนี้ เราสองวังจะกลายเป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าลุงใช้รถเก่า ไม่มีรถใหม่ๆ เกรงจะทำให้วังจุฑาเทพเสื่อมเสีย แต่ไอ้ครั้นจะซื้อเองก็แบกภาระไม่ไหว”
ธราธรถอนใจ เทวพันธ์เคยยืมเงินบ่อยแล้ว ชินแล้ว
“เข้าใจแล้วครับ ผมจะเซ็นเช็คให้ รอสักครู่ครับ”
“ขอบใจมาก แล้วลุงจะรีบหาเงินมาคืนนะ”
ธราธรเล่าเรื่องให้พุฒิภัทรกับรัชชานนท์ฟัง
“พูดเหมือนเดิม ยืมกี่ครั้ง เคยคืนที่ไหน ป่านนี้กี่แสนแล้วนะอีกหน่อยก็ถึงล้าน คุณลุงคงบอกว่า อยากได้วังใหม่ เสื้อผ้าใหม่ เพื่อให้สมเกียรติที่ดองกับจุฑาเทพ ท่านต้องพูดแบบนี้แน่” รัชชานนท์เซ็งๆ
พุฒิภัทรเหนื่อยใจ
“บุญคุณที่ท่านพ่อติดหนี้เขา จะต้องทดแทนกันอีกเท่าไหร่ถึงจะพอนะ”
ธราธรหน้าเครียด
“ชายพีร์ต้องแต่งงานกับวิไลรัมภาจริงหรือนี่”
สามคุณชายต่างพากันกลุ้มใจ
เจ้าของร้านเสื้อนั่งรออยู่ในห้องรับแขกในบ้านพิมพรรณ ครู่หนึ่งพิมพรรณเดินมาหา ร้อนใจเพราะรู้จากโทรศัพท์ ไฉไลอยู่ด้วยเดินออกมาด้วยกัน
“คุณบอกว่าชุดเจ้าสาวมีปัญหาหรือคะ” พิมพรรณถาม
“ไม่ใช่ปัญหาจากทางเราค่ะ เอ้อ...”
วิไลรัมภาเพิ่งมาถึงเดินเข้ามาหา
“รัมภาอยากได้แบบชุดของคุณพิมน่ะค่ะ”
พิมพรรณชะงัก
“อะไรนะคะ”
“รัมภาไม่ชอบดีไซน์ชุดของร้านเดือนเพ็ญที่หม่อมย่าหามา มันเชย รัมภาไปเห็นชุดของพิมที่ร้านพี่สุ รัมภาอยากได้ดีไซน์แบบของพิม ได้มั้ยคะ”
วิไลรัมภายิ้มอ่อนหวานเหมือนแค่ขอเสื้อตัวหนึ่ง พิมพรรณกับไฉไล ตกใจว้าวุ่น
“งานแต่งงานของคุณพิมใกล้แล้วนะคะ หาแบบใหม่ตอนนี้จะทันหรือคะ” ไฉไลขัดขึ้น
“งานแต่งของรัมภาใหญ่มากนะคะ มีคนมางานมากกว่าของพิมหลายเท่า แขกแต่ละคนก็มาจากราชสกุลทั้งนั้น รัมภาเครียดจนนอนไม่หลับ เห็นใจรัมภาเถอะนะพิม ยกให้รัมภาเถอะนะ”
พิมพรรณพูดไม่ออก หน้าเครียด มองหน้าวิไลรัมภาที่อ้อนวอนจริงจัง เลยจำใจต้องพูดออกมา
“เอ้อ ค่ะ”
ยอดยศ พิมพรรณ ไฉไล นั่งคุยกันที่บ้านพักทหารทั้งสามนั่งคุยกัน เรื่องวิไลรัมภาอย่างเคร่งเครียด
“อยู่ดีๆ คุณรัมภามาขอแบบชุดพิมไปหรือ พิลึกคนจริง” ยอดยศไม่ค่อยพอใจ
“พิมกลุ้มใจจัง เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว”
ไฉไลไม่ชอบใจ
“งานของคุณพิมเร็วๆนี้ แต่งานของคุณรัมภาตั้งสิ้นปีจู่ๆ ก็มาเอาไปแบบนี้ที่ จริงมันไม่ถูกนะ”
“แล้วเขาให้เหตุผลว่าอะไร” ยอดยศถามอย่างไม่เข้าใจ
“เขาบอกว่างานเขาใหญ่กว่า มีแขกสำคัญมากกว่าค่ะ” พิมพรรณเสียงเครียด
ไฉไลโกรธแทนพิมพรรณ
“ก็ไม่ถูกต้องอยู่ดี งานเขาใหญ่กว่าแล้วไง งานเราก็สำคัญเหมือนกัน ช่างมีเยอะแยะ ทำไมต้องมาแย่งของเพื่อนไปด้วย ไม่เข้าใจเลย”
ยอดยศในใจโกรธ แต่ไม่อยากพูด
“ไฉไลพูดถูกแล้ว ช่างมีเยอะแยะ แทนที่จะนั่งกลุ้มอยู่อย่างนี้ ไปหาชุดใหม่กันเถอะ”
“ไม่ต้องห่วงคะ ไฉไลจะไปเป็นเพื่อนคุณพิมเองค่ะ”
“ขอบคุณครับไฉไล ที่สำคัญนะคุณสวยที่สุดสำหรับผมอยู่แล้ว ใส่ชุดไหนก็เหมือนกัน”
พิมพรรณค่อยสบายใจขึ้น พยักหน้า ยอดยศไม่ชอบวิไลรัมภาเลย
เช้าวันใหม่...จันท์กระพ้อเดินเอาปิ่นโตมาให้ อัทธ์เดินออกมา
“เดี๋ยวสิครับคุณจะกลับกรุงเทพเมื่อไหร่ ผมอยากชวน คุณไปหาพ่อ ไปทานข้าวกับท่าน”
“ทำไมต้องกินข้าวกับพ่อคุณด้วย”
“ผมอยากแนะนำคุณให้คุณพ่อรู้จัก ในฐานะผู้หญิงที่ผมรัก”
“นัดพ่อคุณมากินก๋วยเตี๋ยวเป็ดหน้าค่ายมวยก็ได้นี่คะ จะได้ชวนพ่อฉันไปกินด้วย”
“คุณทำเป็นพูดเล่น ผมยังไม่เคยพาผู้หญิงคนไหน ไปให้คุณพ่อรู้จักสักคน ตื่นเต้นนะเนี่ย”
จันท์กระพ้อมีเรื่องกลุ้มๆอยู่ในใจ
“คุณอัทธ์ ฟังฉันดีๆนะ เราสองคนจะไปกันได้จริงๆหรือ เราสองคน ต่างกันมาก คุณเรียนจบนอก ฉันจบแค่นาฏศิลป์คุณมีพ่อเป็นเศรษฐี ฉันมีพ่อเป็นนักมวย ฉันให้เวลาคุณตัดสินใจใหม่ได้นะ”
“ผมตัดสินใจแล้ว ผมจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ผมรัก ผมจะแต่งงานกับคุณ” อัทธ์บอกด้วยน้ำเสียงมั่นคง
ค่ำนั้น...รัชชานนท์กับสร้อยฟ้าเข้านอนแล้ว แจ๋วมาเคาะประตูห้อง ทั้งสองวิ่งลงบันไดมา...วิทยุจบเพลง ก็มีคนมาประกาศ
“รายงานล่าสุดเข้ามาที่สถานทูต ตอนนี้ได้เกิดการปะทะกันแล้ว ที่ชายแดนติดกับเวียงพูคำชาวบ้านฝั่งไทย ได้ยินเสียงปืนชัดเจน คาดว่า ทหารจากเวียงพูคำได้เข้าโจมตีกองกำลังกบฏเจ้าวีระวงศ์แล้ว”
สร้อยฟ้าห่วงประชาชน หน้าตากังวลใจมาก
“ปะทะกันแล้ว”
รัชชานนท์จับมือสร้อยฟ้าไว้ฟังข่าวไปเรื่อยๆ
ในห้องทำงานผู้บัญชาการ...ผู้การแนะนำเจ้าหลวงกับผู้บัญชาการ ยื่นเอกสารให้
“นี่ท่านเจ้าหลวงรังสิมันต์ แห่งเวียงภูคำ ท่านเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับ นายเรืออากาศรณพีร์ จุฑาเทพ”
“กระผมมาหาท่านในฐานะ นายทหารแห่งเวียงภูคำ ในฐานะของพันธมิตรร่วมรบกับประเทศท่าน สถานการณ์ของเวียงภูคำ ขณะนี้กำลังเพลี่ยงพล้ำ ต่อกองกำลังกบฏ กระผมจึงมาเรียนขอความช่วยเหลือ กองกำลังสนับสนุนทางอากาศจากประเทศของท่านขอรับ”
ผู้บัญชาการเซ็นเอกสารและลงตราประทับ
บริเวณเต็นท์บัญชาการในค่ายกบฏวีระวงศ์...เจ้าวีระวงศ์อยู่ในอาการมึนๆประชุมกับทหารระดับสูง
“เมื่อสามวันก่อนค่ายเราเห็นหน่วยลาดตระเวนทางอากาศของมันมาป้วนเปี้ยนแถวนี้ มันอาจจะเห็นค่ายเราแล้วก็ได้ ถ้ามันเข้ามาในระยะกระสุน ก็สอยมันให้ร่วงให้หมด”
ปืนปตอ.ยิงใส่เครื่องบินยอดยศกับรณพีร์ บนฟ้า ที่พุ่งเข้ามา...ที่บังเกอร์ด้านล่างทหารเตรียมอาวุธเข้าบังเกอร์ เครื่องบินยอดยศทยานอยู่บนท้องฟ้า ยอดยศวิทยุบอก
“starfire blue 2 กำลังรอรับคำสั่ง”
เครื่องบินลำที่สองเป็นของ รณพีร์ เขาตอบวิทยุ
“starfire blue 1 เข้าโจมตีตามพิกัดที่ตั้งไว้”
รณพีร์กดปุ่มยิงปืน เครื่องบินของรณพีร์เข้าโจมตีค่าย ยิงปืนกลใส่ค่าย เปรี้ยงๆ ยอดยศกดปุ่มเช่นกัน
เครื่องบินของยอดยศ ทิ้งระเบิดโจมตีค่ายดุเดือด
รณพีร์และยอดยศ กลับมาจาการบินโจมตี ทั้งสองเดินเข้ามาในห้อง ซึ่งผู้การกำลังคุยกับนักบินคนอื่นอยู่ สถานการณ์เข้าสู่ช่วงสงครามมีทหารวุ่นวายไปมาในกองบินมากกว่าปกติ ทุกคนมีงานต้องทำ
“คุณสองคนทำได้ดีมาก วันนี้”
ผู้การจับมือทั้งสองคนแสดงความยินดี ให้กำลังใจ
รณพีร์กับยอดยศตอบพร้อมกัน
“ขอบคุณครับ”
“เหนื่อยหน่อยนะช่วงนี้ ไปพักผ่อนได้แล้ว อย่าดื่มมากนัก สถานการณ์เลวร้ายลงได้ทุกเมื่อ”
ทั้งสองรับคำพร้อมกัน
“ครับผม”
ทหารคนหนึ่งเข้ามา
“เชิญผู้การที่ศูนย์วิทยุครับ”
ผู้การถูกตามตัวไป
ที่บ้านพักนายทหารของยอดยศ...สองหนุ่ม นั่งลงพักผ่อนดื่มเครื่องดื่ม ยอดยศหันไปถาม
“นายเป็นยังไงบ้าง หมู่นี้เงียบจนผิดปกติ เพื่อนๆเริ่มห่วงกันแล้ว”
“ห่วงอะไรวะ”
“ไอ้พีร์คนเก่า ยิ้ม หัวเราะบ่อยกว่านี้ เอาเถอะน่า ตัดใจจากคุณขวัญได้แล้ว เพื่อตัวแกเองนะเว้ย”
“ความรักทำให้มีความสุขมาก แต่เมื่อผิดหวัง เราก็ทุกข์มากกว่าเดิม มากกว่าตอนที่เรายังไม่รู้จักความรักเสียอีก”
“แกกับคุณเพียงขวัญรักกัน ฉันรู้สึกได้”
“นี่คงเป็นรักครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของฉันแล้ว เขากำลังจะแต่งงาน อย่าไปพูดถึงเขาอีกเลย”
“ฉันเข้าใจว่ะ ตอนที่เขาบอกเลิกฉัน เขาก็ทำฉันเจ็บแทบตายเหมือนกัน”
“ไอ้ยอด ฉันขอโทษว่ะ เรื่องที่แกพูดถึงเป็นแค่การแสดง ฉันก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย”
“แกว่าอะไรนะ”
“เพียงขวัญไม่เคยดูถูกใคร เขาจงใจดูถูกแก แกล้งทำตัวแย่ๆให้แกกับ คุณพิมเห็น วันนั้นฉันก็อยู่ด้วย ฉันกับคุณขวัญก็เลยคิดแผนนี้ขึ้นมา เพราะฉันบอกเขาว่าแกกำลังอกหัก และกำลังจะหมดอนาคต”
“นี่แกรวมหัวกับคุณขวัญหลอกฉันหรือ”
“ตอนนั้นมันไม่มีทางเลือกอื่นนี่หว่า แกเหลวแหลกไม่เลิก เขาเป็นคนต้น คิดว่าให้ใช้ไม้แข็ง ไม่น่าเชื่อ ไม่งั้นแกจะรู้เหรอว่า คุณพิมเขารักแก เป็นห่วงแกแค่ไหน ถึงได้ออกตัวปกป้องแกได้ขนาดนั้น”
“แล้วทำไมแกไม่บอกความจริง”
“เขาไม่ยอม เขาอยากให้แกแต่งงานไปก่อน เขาเป็นแบบนั้นแหละ เขาไม่กลัวที่แกจะเข้าใจเขาผิด ขนาดคนที่กองถ่ายดูถูกเขาเขาก็ไม่โกรธ ฉันรักเขาตรงนี้ หัวใจที่แข็งแกร่ง แบบของเขานั่นแหละ”
ยอดยศเข้าใจเพียงขวัญมากขึ้น และเห็นใจความรักของทั้งคู่เป็นอย่างมาก
ยอดยศ พิมพรรณ ไฉไล นั่งคุยกันเรื่องเพียงขวัญ
“คุณเพียงขวัญ ทำการแสดงหลอกเราหรือคะ” พิมพรรณแปลกใจ
“ผมถึงบอกไง เพียงขวัญเป็นคนดี ไม่งั้นชายพีร์ จะชอบเขาได้ยังไง”
“เอาล่ะค่ะ ถ้าเพียงขวัญเป็นคนดีจริง แล้วเราจะช่วยเธอได้ยังไงคะ เราจะสนับสนุนให้เขาแต่งงานกับคุณชายพีร์ได้ยังไงกัน เราทำอย่างนั้น ไม่ได้อยู่ดี เพราะยังไงคุณรัมภาก็เป็นเพื่อนเราอยู่ดี”
ไฉไลโพล่งออกมา
“แล้วคุณวิไลรัมภานับเราเป็นเพื่อนไหมคะ”
ยอดยศหน้าตาจริงจัง
“ผมว่าไฉไลพูดน่าคิดนะ”
พิมพรรณครุ่นคิด
วันใหม่...เพียงขวัญเดินซื้อของอยู่หน้าร้านบุญชัย ประณตช่วยถือของ เครื่องบินรบจากฐานทัพอากาศบินผ่านหัวไป ประณตชี้
“เครื่องบิน...พี่ขวัญเครื่องบิน”
บุญชัยที่ยืนอยู่หน้าร้านพูดขึ้น
“วิทยุบอกที่ชายแดน มีสงคราม เครื่องบินรบบินกันให้ว่อนตั้งแต่เช้า”
“พี่พีร์ขึ้นบินด้วยใช่ไหมฮะ พี่พีร์จะเป็นอะไรไหมครับ”
ประณตถาม สีหน้าเพียงขวัญกังวลอย่างเห็นได้ชัด
อ่านต่อตอนที่ 10