นางมาร ตอนที่ 9
นวลนั่งร้องไห้ไปพยายามนั่งเลือกดูของป่าว่ายังมีชิ้นไหนพอใช้การได้อยู่บ้างไป พรานมีเดินเข้ามา พอเห็นอาการลูกก็รู้ว่ารู้สึกยังไง
“อย่าไปเสียเวลาเลยนวล ทิ้งไปหมดนั่นแหละ”
“ชิ้นนี้ยังพอใช้ได้อยู่นะพ่อ โดนไฟตรงปลายนี่ไปหน่อยเดียวเท่านั้น”
นวลชูของป่าชิ้นเล็กๆชิ้นหนึ่งให้พ่อดู พรานมีมองแล้วส่ายหน้า
“อย่าเอาของมีตำหนิไปขายเลยลูก แม้ลูกค้าจะไม่เห็นตำหนินั้นแล้วซื้อมันไป แต่มันก็เหมือนกับเราหลอกลวงเอาของไม่สมบูรณ์ไปขายนะลูก”
นวลคอตก น้ำตาไหลอีก
“มันเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นได้ยังไง”
“มันเกิดขึ้นได้ยังไงก็ช่างมันเถิด เพราะมันเกิดไปแล้วแก้ไขไม่ได้แล้ว มาคิดว่าเราจะทำยังไงกันต่อไปดีกว่า”
นวลมองหน้าพ่อ
ชุนนั่งเหม่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ เขานึกถึงตอนที่เห็นเฟื่องในสภาพร่างไร้วิญญาณอย่างเต็มตา เขาตะลึง แล้วก็ตอนที่เห็นเฟื่องปรากฏตัวขึ้นมาในสภาพผี...ชุนนั่งเศร้าใจ หยิบกำไลเฟื่องขึ้นมาดู นวลถือถาดกับข้าวเข้ามาหาเห็นเขานั่งเหม่อลอยเศร้าใจ แต่ตัวเองก็เพิ่งโดนเรื่องมาจึงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่มือทำแผลไว้แล้ว
“เอ้า...กินข้าวแล้วกินยาเสียนะชุน”
ชุนมองหน้านวลและเห็นพันแผลที่มือแล้วชะงัก
“เจ้าเป็นอะไรไปโดนอะไรมา ให้ข้าดูสิ”
ชุนหยิบมือเธอมาดู นวลรู้สึกดีที่เขาเป็นห่วง
“จู่ๆก็เกิดไฟไหม้ของป่า ข้าจะดับไฟมือข้าเลยพลาดไปโดนไฟนิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอก ขอบใจเจ้ามากนะที่เป็นห่วง”
ชุนฟังเห็นว่านวลไม่เป็นไรก็หันกลับไปคิดเรื่องเฟื่องต่อ
“ของป่าพวกนี้ข้ากับพ่อช่วยกันหามาหลายอาทิตย์ เตรียมจะเอาเข้าไปขายในเมืองตอนนี้ไหม้จนหมดสิ้นเลย”
ชุนรับฟังแต่ไม่มีอาการตอบรับ
“ชุน ข้าจะหากับข้าวกับปลาเตรียมไว้ให้เจ้าราว 2-3 วันนะ เพราะข้าจะต้องตามพ่อเข้าไปหาของป่ามาใหม่”
ชุนพยักหน้านวลจ้องหน้าเขาอย่างเอาจริงเอาจัง
“แต่เอ็งต้องสัญญากับข้าเรื่องหนึ่งก่อน”
ชุนยังไม่ตอบ
“ห้ามเอ็งคิดสั้น ฆ่าตัวตายนะ”
ชุนนิ่งไปนานเหมือนคิดอะไรก่อนจะตอบ
“เอาเป็นว่า...เอ็งกลับมาเรือนนี้เมื่อใด ก็จะยังคงได้พบข้าที่ยังมีลมหายใจอยู่ก็แล้วกัน”
นวลยิ้มดีใจ ในขณะที่จู่ๆผีเฟื่องโผล่มาแทบคลั่ง
“ไม่ ทำไมเจ้าทำอย่างนี้ชุน” ผีเฟื่องไม่โกรธชุนกลับโกรธนวลแทน “เป็นเพราะเอ็งคนเดียว เอ็งคาดคั้นให้ชุนตกปากรับคำเอ็ง เพราะเอ็งคนเดียว”
ผีเฟื่องกรีดร้องด้วยความแค้นใจ แต่ชุนกับนวลก็ไม่ได้ยิน
เช้าวันใหม่...นวลเดินตามหลังพรานมีเข้าป่าไปแต่ไม่วายเหลียวกลับมามองดูเห็นชุนที่อาการยังบาดเจ็บอยู่ค่อยๆออกมายืนส่งที่หน้ากระท่อม สีหน้ายังอิดโรยอยู่มาก นวลดีใจโบกมือให้
“ชุน ดูแลตัวเองดีๆนะ”
ชุนค่อยๆพยักหน้ารับ นวลยิ้มแล้วเดินไปกับพรานมี ชุนหน้าเศร้า
นวลขุดหาของป่าอยู่ที่มุมหนึ่ง รอบตัวมีอุปกรณ์การขุด พรานมีก็ขุดอยู่อีกที่มุมหนึ่ง
“โชคไม่ดีเลยนะพ่อ...ที่ช่วงนี้ฝนแล้ง พวกสมุนไพรเลยหายากกว่าเคย”
“หาได้เท่าไหร่ก็เท่านั้นละ อย่าหักโหมนะนวล อย่าลืมตัวว่าเอ็งยังเจ็บอยู่”
“จ้ะพ่อ...นี่ถ้าข้าไม่สะเพร่า ทำไฟไหม้...”
พรานมีตัดบททันที
“เลิกพูดเรื่องนี้ทีเถิดวะนังนวล เรื่องอะไรที่มันแล้วไปแล้ว ก็ปล่อยให้แล้วไป อย่าพิรี้พิไร ไม่เกิดประโยชน์อะไร สู้มานะบากบั่นหาเอาใหม่ อย่าย่อท้อ”
“จ้ะพ่อ”
นวลก็ยังรู้สึกผิดอยู่มากเพราะเข้าใจว่าที่ไฟไหม้ของป่าจนหมดนั้นเป็นเพราะตนเอง นวลขุดหาของป่าต่อ มีดที่เธอวางไว้กับพื้นใกล้ตัว จู่ๆก็ขยับทีละน้อย แล้วก็หมุนหันปลายแหลมไปทางนวล ผีเฟื่องเป็นผู้ที่พยายามจะรวบรวมพลังจับมีดนั้นให้พุ่งทำร้ายนวล แต่ก็ยังไม่ทันจะสำเร็จ นวลลุกไปขุดหาของป่าตรงที่อื่นเสียก่อน ผีเฟื่องจึงตาลุกวาวด้วยความโกรธและผิดหวังที่ยังทำอะไรนวลไม่ได้เลย
นวลนั่งหาของป่าอยู่ตามลำพัง ปาดเหงื่อเป็นระยะๆ เฟื่องนั่งจ้องนวลลงมาจากคบไม้เหนือหัวแต่นวลก็ไม่รู้ แล้วเธอก็จะลุกขึ้น แต่แล้วก็เกิดหน้ามืดขึ้นมากะทันหันจนล้มฟุบลง ผีเฟื่องที่อยู่บนคบไม้ตาลุกวาวดีใจ แล้วโดดลงจากคบไม้พุ่งเข้าใส่หายเข้าไปในร่างของนวลทันที ร่างนวลที่นอนฟุบหน้าอยู่สะอึกขึ้นนิดหนึ่งแล้วก็ลุกพรวดขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วเหมือนไม่ใช่คนที่เพิ่งเป็นลมอยู่หยกๆ นวลยิ้มสะใจเพราะผีเฟื่องเข้าสิง นวลลุกขึ้น เดินไปหยิบมีดขึ้นมาแล้วจะเชือดคอตัวเอง พลางยิ้มสีหน้ามุ่งมั่นมาก แต่ในวินาทีที่กำลังจะเริ่มเชือดคอตัวเองทันใดนั้นพรานมีก็เดินเข้ามาแตะบ่านวลอย่างกะทันหัน พรานมีไม่ทันเห็นว่านวลกำลังจะทำอะไรเพราะเดินเข้ามาทางข้างหลัง รัศมีจากพระที่พรานมีห้อยไว้ที่คอสว่างวาบขึ้น ทำให้วิญญาณเฟื่องหลุดกระเด็นออกจากร่างนวลอย่างกะทันหัน กรีดร้องเสียงดังแล้วหายไปเลย นวลฟุบสลบไปอีกครั้ง พรานมีตกใจ
“เฮ้ย นวล”
พรานมีเข้าดูอาการลูกสาวอย่างตกใจ
ชุนนอนลืมตาคิดถึงเฟื่องอยู่แล้วจู่ๆก็ได้ยินเหมือนเสียงเฟื่องเรียกแว่วๆ
“ชุน...ช่วยข้าด้วย”
ผีเฟื่องนอนซุกตัวอยู่ข้างที่นอนชุนนั่นเอง แต่ตามตัวออกสีแดงๆคล้ายคนที่ถูกความร้อนอย่างแรงเผามา ท่าทางกะปลกกะเปลี้ยไม่มีเรี่ยวแรง ชุนผุดลุกขึ้นทันที
“คุณหนูเฟื่อง”
ชุนได้ยินแต่เสียงมองหาไปรอบๆห้อง
“คุณหนูเฟื่อง คุณหนูเฟื่องอยู่ที่ไหน วิญญาณท่านอยู่ทีนี่ใช่ไหม”
แต่เสียงผีเฟื่องก็เงียบไปแล้ว ชุนเลยลุกขึ้นไปเดินรอบกระท่อมมองออกไปนอกหน้าต่าง ผีเฟื่องพยายามจะตะเกียกตะกายเข้ามากอดชุนแต่เข้าไม่ได้เพราะเขามีพระ ชุนเห็นพรานมีกำลังอุ้มนวลตรงกลับมาที่กระท่อมนี้อย่างรีบร้อน เขาตกใจแล้วรีบออกไปรับพรานมีกับนวลที่หน้ากระท่อมทันที ผีเฟื่องเห็นพรานมีอุ้มนวลเดินมาที่กระท่อมก็จ้องไปที่พรานมีกับนวลอย่างแค้นเคือง
ชุนออกมารับพรานมีกับนวล
“เกิดอะไรขึ้นกับนวลรึลุง”
พรานมียังไม่ตอบ เอาร่างนวลวางลงที่แคร่หน้ากระท่อม ชุนเข้ามาช่วยประคอง พรานมีวิ่งไปหยิบสมุนไพรเอามารอใต้จมูกลูกสาว สักครู่นวลก็รู้สึกตัวขึ้น สีหน้างงๆ
“พ่อ...”
นวลมองไปรอบๆ เห็นว่าตัวเองกลับมาบ้านแล้วก็ยิ่งงงหนักขึ้นไปอีก
“ข้ากลับมาบ้านได้ยังไงกันน่ะพ่อ ก็เมื่อครู่ข้ายังขุดหาของป่าอยู่เลย”
“เอ็งจำอะไรไม่ได้เลยรึนวล”
นวลส่ายหน้า หน้าตายังงงๆอยู่มาก
“ข้าว่าเอ็งเป็นลมแดดน่ะ”
ชุนเป็นห่วง
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าควรพักอยู่ที่นี่ ข้าจะออกไปช่วยท่านลุงมีหาของป่าเอง”
“ไม่ต้อง ทั้งเอ็งทั้งนังนวลน่ะ พักให้หายดีก่อนทั้งคู่นั่นละ”
“แต่...”
นวลจะแย้ง พรานมีรีบส่ายหน้าห้าม
“ไม่ต้องเถียงข้า ชีวิตสำคัญกว่า แล้วเอ็งก็หาของป่ามาให้ข้าได้พอประมาณแล้ว ข้าก็จะเอาเข้าไปขายในเมืองเท่าที่หาได้นั่นก่อน เอ็งหายดีแล้วค่อยเข้าไปหาของป่ากับข้าใหม่”
นวลพยักหน้ารับอย่างจำนน ชุนมองนวลอย่างเป็นห่วง
พรานมีเอาสายสิญจน์มาผูกที่ข้อมือให้นวล
“ขอให้เอ็งหายเจ็บหายไข้นะลูกนะ”
พรานมีให้นวลลงนอนพักผ่อน พอเขาเห็นลูกสาวหลับไปแล้วจึงเดินออกไปหาชุน แล้วพูดกับชุนโดยไม่มองหน้ามองแต่นวลที่หลับอยู่
“ข้าสงสารนังนวล มันดันไปรักคนที่เขาไม่ได้รักมัน คงเป็นกรรมของมัน”
“หมายความว่า นวลมันรักข้าจริงๆเหรอท่านลุง”
พรานมีพยักหน้า
“มันรักเอ็งตั้งแต่แรกแล้ว ข้าถึงให้เอ็งออกไปจากที่นี่ตั้งแต่คราวแรกไงล่ะ”
ชุนเศร้ามองหน้าพรานมี
“ข้าขอโทษท่านลุงจริงๆ นวลดีกับข้ามากแต่ข้าไม่อาจจะรักมันได้ คนที่ข้ารักมีอยู่คนเดียวเท่านั้น”
“ข้าเข้าใจเอ็ง แต่ยังไงก็ตามเอ็งก็ต้องตัดอกตัดใจกับแม่หญิงนั่น อย่าลืมตอนนี้นางได้ตายจากเอ็งไปแล้ว ส่วนตัวเอ็งก็ควรต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ เข้าใจนะชุน”
พรานมีพูดจบก็แตะไหล่ชุนเบาๆแล้วเดินออกไป ชุนมองตามนึกถึงเฟื่อง
ค่ำนั้น ชุนยังคงเศร้าอยู่
“มันก็คงเป็นกรรมของข้า ที่บังอาจไปรักกับคนที่ข้าไม่สมควรจะรัก” ชุนร้องไห้ออกมาในที่สุด “จึงทำให้แม่หญิงเฟื่องต้องเป็นเช่นนี้ ทำไมข้าไม่ตายไปพร้อมกับแม่หญิงเฟื่องเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปนะ ทำไม”
ทันใดนั้นมีมือๆหนึ่งเอื้อมมาแตะบ่าชุนเบาๆ เขาขวับไปมองเห็นเป็นนวล
“นวล...เจ้าลุกออกมาทำไม เจ้ายังไม่สบายอยู่นะ”
“ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ข้าห่วงเจ้านะชุน” นวลลงนั่งข้างเขา “ถึงอย่างไรแม่หญิงเฟื่องก็ตายไปแล้ว เราไม่อาจทำให้คนตายกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ได้ ไม่ว่าเราจะรัก หรืออาลัยอาวรณ์เขาแค่ไหนก็ตาม เพราะฉะนั้น...ข้าจึงคิดว่า...” เธอตัดสินใจจับมือเขา “เจ้าควรจะพยายามลืมเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นทั้งหมด แล้วก็ใช้ชีวิตเดินหน้าต่อไป...”
นวลมองหน้าชุน พยายามสื่อความในใจ เขามองเธอนิ่งหน้าเรียบเฉยไม่บอกอารมณ์ ผีเฟื่องยืนมองทั้งคู่อยู่อย่างโกรธเกรี้ยว
“กูบอกมึงแล้วใช่มั๊ยว่าอย่ามายุ่งกับผัวกู”
ผีเฟื่องพุ่งเข้าไปจะกระชากมือนวลที่จับมือชุนไว้ออก มือผีเฟื่องจับโดนข้อมือนวลข้างที่ผูกสายสิญจน์ไว้
ทันทีที่โดน สายสิญจน์ก็ส่องแสงวาบขึ้นมาจนผีเฟื่องผงะไป
พอผีเฟื่องตั้งตัวได้ใหม่ก็มองกลับไปที่นวลว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ได้ ผีเฟื่องเห็นสายสิญจน์ที่ข้อมือนวลก็หน้าเคียดแค้นมากที่ทำอะไรนวลตรงๆ ไม่ได้
ผีเฟื่องเห็นแมวดำตัวหนึ่งเดินผ่านมาพอดีก็พุ่งร่างหายไปในความมืดทันที...นวลยังพยายามจะพูดโน้มน้าวจิตใจชุนอีกครั้ง
“ชุน...ใช้ชีวิตเดินหน้าต่อไป...พร้อมกับข้านะ...นะ...”
ยังไม่ทันที่ชุนจะตอบอะไร แมวดำก็โดดเข้าใส่นวลอย่างดุร้าย นวลกรีดร้องด้วยความตกใจ ชุนได้สติเห็นท่าไม่ดี รีบโดดเข้าไปจับตัวแมวดำแล้วเหวี่ยงโยนออกไปไกลสุดแรง จนสร้อยพระที่คล้องคอเขาตกไม่มีใครเห็นพรานมีวิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้น”
นวลบอกด้วยเสียงยังตกใจอยู่
“แมวดำจ้ะพ่อ มันโดดเข้ามาข่วนข้า นี่ถ้าชุนไม่คว้าตัวมันโยนออกไป ข้าคงได้อีกหลายแผลทีเดียว”
พรานมีถอนใจโล่งอก
“โธ่...กะอีแค่แมว เอ้าๆ หายตกอกตกใจ กันแล้วก็แยกย้ายกันเข้านอนเถิดวะ พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมา...จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ไปด้วยกัน”
นวลกับชุนลุกขึ้นเดินกลับเข้าในกระท่อมพร้อมพรานมี แต่นวลยังไม่วายเหลียวกลับมามองหาแมวดำทางทิศที่ชุนโยนเหวี่ยงออกไปด้วยความหวาดระแวง นวลไม่เห็นแมวดำเลย มีแต่ความมืด เธอเดินกลับเข้ากระท่อมไป แมวดำหมอบนิ่งอยู่กับพื้นแล้วผีเฟื่องก็หลุดออกจากร่างแมว แมววิ่งแผล็วหายไปในความมืด ผีเฟื่องยังคงมองตามหลังนวลที่เพิ่งเดินลับเข้าไปในกระท่อม เห็นว่านวลมองชุนไม่ละสายตาเลย ผีเฟื่องตาลุกวาวด้วยความเคียดแค้นชิงชังนวล
“อีนวล กูเกลียดมึง มึงคิดจะแย่งผัวกู เพราะฉะนั้น...มึงต้องตาย”
ผีเฟื่องหน้าตาน่ากลัวสุดๆ
วันใหม่...พระยาอารักษ์นั่งกินเหล้าอย่างเครียดๆ อยู่ตามลำพัง ศรีเรือนเดินเข้ามาเห็น
“ทำไมกินเหล้าแต่หัววันอย่างนี้เล่าเจ้าคะคุณพี่”
พระยาอารักษ์เขวี้ยงจอกเหล้าออกไปอย่างอารมณ์เสียทันที
“ทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้แม่ศรีเรือน ทำไมนังเฟื่องมันต้องมาตายอย่างน่าอนาถอย่างนี้ด้วย”
พอพูดถึงเรื่องลูกตาย คุณหญิงศรีเรือนก็น้ำตาร่วงทันทีอยากจะบอกว่าเพราะท่านเจ้าคุณนั่นแหละ
“แล้วที่มันกลายเป็นผีกลับมาหลอกมาหลอนผู้คนอย่างนี้ ก็คงเป็นเพราะว่ามันต้องตายอย่างทรมานน่ะ...ฮึ่ย”
ศรีเรือนทนไม่ไหวจึงพูด
“ที่แม่เฟื่องต้องเป็นเช่นนี้ ก็เพราะแม่เฟื่องเลือกที่จะอยู่กับคนที่นางรักนะสิเจ้าคะ”
พระยาอารักษ์หันไปมองทันที ศรีเรือนกลัว
“คนที่รักเหรอ แล้วไง” พระยาอารักษ์ลุกขึ้น “มันอยู่ไหนไอ้คนที่แม่เฟื่องรักมันหนีไปแล้ว กลับปล่อยให้นังเฟื่องมันตายคนเดียว ฮึ...เป็นเพราะไอ้ลูกจีนนั่นทีเดียว ถ้ากูพบตัวมันที่ไหน กูจะแล่เนื้อเอาเกลือทาให้มันทรมานก่อนจะกุดหัวมัน”
ขาดคำพระยาอารักษ์ก็เกิดอาการแน่นหน้าอกแล้วเริ่มไอออกมาเอามือปิดปากไอ ศรีเรือนมองอย่างตกใจ
“คุณพี่เป็นอะไรไปเจ้าคะ”
พระยาอารักษ์ส่ายหน้าตอบไม่ไหว ไอหนักขึ้นแล้วพอเอามือออกจากปาก ศรีเรือนก็ยิ่งมีสีหน้าตื่นตกใจมากขึ้นไปอีก พระยาอารักษ์เห็นสีหน้าศรีเรือนก็เอะใจ เอามือข้างที่ปิดปากไออยู่เมื่อครู่แบออกดูเห็นที่มือตนเปื้อนเลือด ศรีเรือนตกใจมาก
“คุณพี่”
พระยาอารักษ์ตะลึง
ค่ำคืนนั้น ผีเฟื่องนั่งร้องไห้อยู่ที่หน้าผา ตรงจุดที่โดดลงไปกับชุน
“ชุน...ทำไมทิ้งข้าให้อยู่คนเดียวอย่างนี้...เจ้าลืมคำสาบานของเราเสียแล้วรึ ชุน...”
ชุนที่นอนหลับอยู่ ส่ายหน้าไปมาอย่างคนละเมอ
“คุณหนู...ข้าไม่มีวันลืมคำสาบานของเรา ข้าไม่มีวันลืม...”
“มาหาข้าสิชุน...ข้ารอเจ้าอยู่...กลับมาหาข้า...”
ชุนส่ายหน้าไปมาอยู่อีกสักครู่ก็สะดุ้งตื่นลุกพรวดขึ้น ที่คอชุนไม่มีสร้อยพระของนวลคล้องคอแล้วเพราะตกหล่นไปตอนจับแมวดำ
“คุณหนูเฟื่อง”
ชุนนั่งคิดอยู่สักพักตัดสินใจอะไรได้ ลุกเดินออกไป
ชุนเดินถือตะเกียงมาจนถึงหน้าผา ผีเฟื่องปรากฏตัวขึ้น
“ชุน...เจ้ากลับมาหาข้าจริงๆ”
แต่ชุนก็ไม่ได้ยินอะไร หมกมุ่นคิดถึงแต่ตอนที่โดดผาไปพร้อมกับเฟื่อง ชายหนุ่มนึกถึงตอนที่เฟื่องพาเขามายืนที่ริมหน้าผา
“แปลกนะชุน ข้าไม่ยักกลัวเลย...”
ชุนกอดเฟื่องไว้เป็นครั้งสุดท้าย แล้วทั้งคู่ก็จับมือกันเดินไปที่ริมผาอย่างไม่หวั่นเกรงต่อความตาย แล้วทั้งคู่ก็โดดลงสู่หน้าผานั้นไปด้วยกัน
ชุนนึกถึงอดีตแล้วพูดออกมา
“คุณหนูเฟื่อง...เวลานั้นข้าไม่เคยกลัวความตาย เวลานี้...ข้าก็ไม่กลัวความตายอีกเช่นกัน”
ผีเฟื่องดีใจ
“มาสิชุน ข้ารอเจ้าอยู่...”
ชุนเดินไปที่ริมผา มองลงไปด้านล่างอย่างคนละเมอ
“คุณหนู ข้ากำลังจะไปพบเจ้าแล้ว...”
ชุนจะกระโดดลงหน้าผาไปอีกครั้งแต่ยังไม่ทันจะกระโดด ก็มีมือๆหนึ่งเอาสร้อยพระมาคล้องคอเขาอย่างรวดเร็ว รัศมีจากสร้อยพระทำให้ผีเฟื่องกระเด็นออกไป แล้วหายไปเลย ส่วนชุนก็ทรุดฮวบลง พรานมีรับร่างเขาเอาไว้ได้ทันก่อนที่ล้มฟาดไป
เช้าวันใหม่...ชุนที่นอนอยู่ สะดุ้งตื่นขึ้นมางงๆ รู้สึกเหมือนเมื่อคืนเดินไปที่ผา ไม่แน่ใจว่าฝันหรือจริงเขาได้ยินเสียงเหมือนพรานมีกำลังทำงานอยู่ จึงลุกออกไปหาตามเสียงนั้น...พรานมีกำลังผ่าฟืนอยู่ ในขณะที่นวลกำลังทำอาหาร ชุนเดินท่าทางงงๆออกมาจากด้านใน นวลยิ้มแย้มทักทาย
“ตื่นแล้วเหรอชุน”
ชุนพยักหน้า เขายังงงๆอยู่
“ทำไมวันนี้ข้าตื่นสายเช่นนี้ก็ไม่รู้ หนำซ้ำเมื่อคืนข้ายังฝันแปลกๆอีกด้วย”
“ฝันว่าอะไรเหรอชุน”
“ข้าฝัน ว่าข้ากลับไปที่หน้าผาที่ข้าเคยไปกับแม่หญิงเฟื่องนั่นอีกครั้ง แล้ว...แล้ว...” เขาขมวดคิ้วยุ่ง พยายามคิด “ข้าก็จำความฝันต่อจากนั้นไม่ได้อีก มารู้สึกตัวอีกที...ก็สว่างนี่แล้ว”
นวลแอบเหลือบสบตากับพ่อ รู้กันว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่มีใครพูด ชุนเพิ่งรู้สึกตัวว่ามีอะไรที่คอก็เอามือจับดูมันคือสร้อยพระที่พรานมีเอามาคล้องไว้ให้เมื่อคืน ชุนงงมาก
“เอ๊ะ...สร้อยพระนี่ตอนแรกมันหล่นหายไปแล้วมันมาอยู่ที่ข้าได้ยังไงกันนี่”
พรานมีพูดขึ้น
“อ้อ...เมื่อคืนข้าเห็นเอ็งนอนกระสับกระส่ายนัก ข้าก็คิดว่าเอ็งคงจะนอนหลับฝันร้ายน่ะ พอดีข้าเจอสร้อยพระที่เอ็งทำตกไว้ ข้าก็เลยเอาสร้อยพระกลับมาคล้องคอไว้ให้ พอใส่เสร็จ เอ็งก็นอนนิ่งเลย”
ชุนแปลกใจ
“ทำไมข้าไม่รู้ตัวเลย”
พรานมีขำๆ
“ถ้ารู้ตัว จะเรียกว่านอนหลับรึวะ ไอ้ชุน”
นวลพลอยยิ้มไปด้วย พรานมีกำชับ
“ใส่ไว้อย่างนั้นละนะไอ้ชุน แล้วรับปากกับข้านะว่าจะไม่ถอดออกจากตัวและต้องรักษามันให้ดีอย่าให้ตกหล่นไปอีก”
“จ้ะลุง”
พรานมียิ้ม ผีเฟื่องยืนอยู่บนคบไม้หน้าบ้านกำลังจ้องพรานมีอยู่ด้วยแววตาวาวโรจน์อย่างโกรธจัด
“มึงขัดขวางกู เพราะฉะนั้น...มึงกับกู...ได้เห็นดีกัน”
เฟื่องอาฆาตพรานมีอย่างรุนแรง
พันขว้างแก้วยาลงพื้นอย่างหงุดหงิดโดยมีสิงห์และเพียร อยู่ใกล้ๆ เอาใจนาย ด้วงนั่งมองลูกชายอยู่ด้วย
“กูไม่กงไม่กินมันแล้ว”
“พ่อพัน แม้ว่าหมอหลวงจะบอกว่าอาการลูกดีขึ้น เกือบปกติแล้วแต่เจ้าก็คงยังต้องกินยาอยู่นะลูก”ด้วงปราม
“เพราะผีอีเฟื่องตัวเดียวที่มันทำให้เป็นเช่นนี้ ถ้าเกิดมันเฮี้ยนโผล่มาหลอกกลางวันแสกๆได้ มันจะไม่โผล่มาหลอกพวกเราได้อีกรึ”
ด้วงถอนใจ
“แม่ไม่นึกเลยว่าแม่เฟื่องจะต้องมาเป็นผีไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดแบบนี้ แล้วนี่เราจะทำยังไงดีละลูก”
พัน สิงห์ เพียร มองหน้ากัน พันหน้าเครียด
“ทำอย่างไรนะเหรอ ก็เอาหมอผีมาจัดการผีอีเฟื่องนะสิ”
ด้วงตกใจ
“ห๊า...หมอผี”
พันยิ้มสะใจขึ้นมาทันที
ศรีเรือนประคองพระยาอารักษ์ที่หน้าตาซีดเซียวกินน้ำ ศรีเรือนทั้งวิตกและกลุ้มใจ
“หมอยังหาสาเหตุที่คุณพี่ไอเป็นเลือดไม่ได้เลยเจ้าค่ะ”
“ข้าคงจะโกรธนังเฟื่องมากจนกระอักเป็นเลือดออกมาน่ะแม่ศรีเรือน แต่ถ้าข้าได้ฆ่าไอ้ลูกจีนนั่นสำเร็จเมื่อใด ข้าก็คงหายเป็นปกติไปเองละ”
ศรีเรือนยังกังวล
“แต่จู่ๆทำไมคุณพี่ถึงเป็นเช่นนี้ได้เจ้าคะ แข็งแรงอยู่ดีๆก็มาไอเป็นเลือด หรือว่า...หรือว่าลูกเฟื่องจะทำคุณพี่เจ้าคะ”
พระยาอารักษ์ชะงัก
“อีเฟื่องจะมาทำกูทำไม”
“เพราะคุณพี่อาฆาตผู้ชายที่ลูกรักสิเจ้าคะ ไม่ได้แล้ว คุณพี่ถอนคำพูดที่จะตามฆ่าลูกจีนนั่นเสียนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นอาจเกิดเรื่องร้ายกับคุณพี่ได้”
พระยาอารักษ์โมโหพุ่ง
“กูไม่ถอนคำพูดโว๊ย ถ้าอีนังลูกไม่รักดีมันจะเห็นผู้ชายดีกว่าพ่อแท้ๆของมัน ขนาดกลายเป็นผีไปแล้วยังกล้ากลับมาทำร้ายกู...ก็ให้มันรู้ไป แต่กูจะไม่มีวันให้อภัยไอ้ลูกจีนคนนั้นเด็ดขาด...ถ้ากูไม่ได้กุดหัวมันด้วยมือของกูเอง กูไม่มีวันตายตาหลับแน่”
พระยาอารักษ์เคียดแค้นมาก ในขณะที่ศรีเรือนวิตกสุดชีวิต สร้อยมาแอบดูอยู่หน้าเคียดแค้นเหมือนกัน
“กูก็ไม่มีวันให้อภัยมึงเหมือนกันไอ้เจ้าคุณกับอีศรีเรือน มึงหาว่ากูขโมยของของมึง จนกูถูกเฆี่ยนปางตาย เจ็บนี้กูจะไม่มีวันลืมหรอก”
สร้อยอาฆาต
พรานมีเตรียมจะไปหาขอป่า นวลถามขึ้น
“พ่อแน่ใจนะว่า...จะไม่ให้ข้าไปช่วยหาของป่ากับพ่อด้วยน่ะ”
พรานมีส่ายหน้า
“เอ็งอยู่ที่นี่กับไอ้ชุนมันเถอะ”
พรานมีพยักพเยิดไปที่ชุนที่เริ่มช่วยทำงานในบ้านแล้ว
“ข้าจะไปเก็บของป่าเพิ่มอีกแค่ 2-3 อย่าง จะรีบไป จะได้รีบกลับก่อนค่ำ”
นวลพยักหน้ารับ พรานมีออกไป
พรานมีนั่งหาของป่าอยู่อย่างขะมักเขม้น ผีเฟื่องยืนอยู่ไกลๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ ได้แต่จ้องอย่างประสงค์ร้าย แต่พรานมีไม่รู้ตัว แล้วผีเฟื่องก็หันไปเห็นอะไรบางอย่างจ้องสิ่งนั้นเขม็ง งูเห่าตัวหนึ่ง พอถูกผีเฟื่องจ้อง ก็ผงกหัวแล้วแผ่แม่เบี้ย ตาวาวเป็นสีแดงประหลาดขึ้นมาทันที แล้วก็เลื้อยตรงไปหาพรานมีอย่างรวดเร็ว...พรานมีนั่งหาของป่าอยู่อย่างเพลินๆได้ยินงูเลื้อยเข้ามาก็หันไปดู งูเห่ามาถึงตัวแล้วและแผ่แม่เบี้ยเต็มที่แล้วฉกลงมาที่ต้นแขนอย่างเร็ว พรานมีร้องลั่น
“โอ๊ย”
พรานมีล้มลงงูเห่าลดแม่เบี้ยลง แล้วเลื้อยจากไปอย่างรวดเร็ว พรานมีพยายามตั้งสติเต็มที่ ฉีกชายเสื้อตัวเองแล้วเอามัดเหนือแผล มัดเสร็จก็ทำอะไรต่อไม่ไหวในที่สุดก็นั่งพิงต้นไม้ หายใจรวยริน แล้วตาก็ค่อยๆหรี่ลงๆจนปิดไป ผีเฟื่องยืนดูพรานมีที่บาดเจ็บอยู่ไกลๆ แล้วหัวเราะอย่างสะใจ
พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว นวลชะเง้อมองไปที่หน้ากระท่อมอยู่บ่อยครั้งเพราะเป็นห่วงที่พ่อไม่กลับบ้านสักที ชุนที่นั่งทำงานอยู่มองนวล
“เดี๋ยวลุงมีก็คงกลับมาหรอกน่านวล”
“แต่ข้าเป็นห่วงพ่อยังไงก็ไม่รู้นะชุน ใจมันสั่นๆ”
นวลจับที่หัวใจตัวเอง แล้วตัดสินใจอย่างรวดเร็วเดินออกจากกระท่อมไป
“จะไปตามลุงมีเหรอนวล”
ชุนถามแต่นวลรีบออกไปแล้ว ชุนก็รู้สึกสังหรณ์ใจเช่นกัน จึงตัดสินใจตามนวลออกไป
“รอข้าด้วยนวล”
พูดจบชุนก็รีบตามนวลไปอย่างรวดเร็ว ใจก็เป็นห่วงพรานมีไม่แพ้นวลเช่นกัน
นวลกับชุนเดินเข้ามาในป่า ช่วยกันมองหาพรานมี ชุนเห็นก่อนเลยเรียกนวล
“นวล...”
ชุนชี้ให้ดู นวลมองตามเห็นพ่อนั่งพิงต้นไม้สลบอยู่
“พ่อ”
นวลพุ่งไปหาทันที ชุนตามไปติดๆ พอทั้งสองถึงตัวพรานมีนวลก็เขย่าตัวพ่อเบาๆ
“พ่อ...พ่อ...”
แต่พรานมีก็ไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวเลย นวลร้อนใจ แล้วเห็นว่าพ่อเอาผ้ามัดต้นแขนไว้ก็มองสำรวจที่แผลถูกงูกัด
“นี่มันแผลถูกงูกัดนี่ชุน โธ่...พ่อ...”
นวลตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเลย ชุนตัดสินใจแทน
“ใกล้จะมืดแล้ว ช่วยกันพาลุงมีกลับเรือนก่อนเถอะนวล”
นวลพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ทั้งสองช่วยกันแบกพรานมีกลับบ้านไป
ค่ำนั้น ชุนกับนวลช่วยกันเอาร่างพรานมีลงนอนเหยียดยาวให้สบาย นวลรีบวิ่งไปดูบรรดาห่อยาสมุนไพรรักษาแผลงูกัดอย่างร้อนรนรื้อหาของกระจาย แล้วก็ตะโกนอย่างหงุดหงิด
“โธ่...บ้าจริง มันหายไปไหนหมดนะ”
ชุนหันไปถาม
“อะไรรึ”
“ก็สมุนไพรแก้พิษงูน่ะสิชุน” แล้วเธอก็นึกออก “โธ่เอ้ย มันไหม้หมดตอนที่ไฟไหม้กองของป่าเมื่อวันก่อนไง ทำไงเนี่ย ไม่มีสมุนไพรแก้พิษงูแล้วข้าจะช่วยพ่อได้ยังไงกันล่ะนี่”
ชุนรีบบอกอย่างร้อนใจ
“กลับเข้าไปหาสมุนไพรที่ว่านี่ในป่าอีกทีได้มั๊ย หน้าตามันเป็นยังไงบอกมา ข้าจะเข้าไปหาให้เอง”
“มันไม่ใช่สมุนไพรที่หาพบได้ง่ายๆหรอกนะชุน แล้วนี่มันก็มืดแล้ว ยิ่งเจ้าไม่รู้จักสมุนไพรนี่ด้วย เข้าไปหายังไง...ก็หาไม่พบหรอก”
“อ้าว...แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะนวล”
นวลคิดๆ
“ข้าจะเข้าเมือง ข้ารู้จักหมอยาสมุนไพรในเมืองอยู่ คนเขาซื้อของป่าจากเราบ่อยๆเอาไปทำยา ข้าฝากเจ้าดูพ่อแทนข้าทีนะ”
ชุนพยักหน้ารับ นวลรีบออกไปอย่างร้อนใจ แต่ชุนทัก
“เดี๋ยว...ดูแลตัวเองดีๆด้วยนะนวล”
นวลหันมายิ้มดีใจ แล้วจึงรีบออกไป เดินผ่านผีเฟื่องโดยไม่รู้ตัว ผีเฟื่องมองตามไปอย่างชิงชัง แล้วชะงักเมื่อมองที่ข้อมือนวล เห็นสายสิญจน์ที่พรานมีผูกให้ยังอยู่ ผีเฟื่องเลยปล่อยนวลไป ไม่ตาม เพราะรู้ว่าทำอะไรนวลไม่ได้ ผีเฟื่องจึงอยู่กับชุนและมองชุนที่กำลังเช็ดตัวให้พรานมีอยู่อย่างตั้งใจ
สร้อยอยู่ในเรือนทาสกำลังสวดคาถา ล้อมตัวมีแต่เทียนจุดรอบ โต๊ะที่ตั้งมีธูป 1ดอกปักไว้ที่ข้าวสาร สร้อยสวด แล้วหยิบหุ่นดินปั้นชายแต่งตัวเหมือนพระยาอารักษ์ และหุ่นดินปั้นหญิงแต่งตัวเหมือนศรีเรือนขึ้นมา สร้อยทำการเอาเข็มปักลงไปที่พระยาอารักษ์ก่อน
พระยาอารักษ์จากที่นอนอยู่ลุกขึ้นมานั่งอาเจียนเป็นเลือด ศรีเรือนลุกขึ้นตาม
“คุณพี่ เป็นยังไงบ้างคะ”
สร้อยเริ่มลงมือหยิบดินปั้นศรีเรือนขึ้นมา แล้วเอาเข็มจิ้มลงไปที่ท้อง...ศรีเรือนที่ลุกขึ้นอยู่ อยู่ดีๆก็ปวดท้องขึ้นมา
“โอ๊ย”
พระยาอารักษ์หันไปถาม
“เป็นอะไรแม่ศรีเรือน”
“อยู่ดีๆก็ปวดท้องเจ้าคะ”
ศรีเรือนงงกับอาการตัวเอง...สร้อยหัวเราะสะใจ
“มึงสองคนผัวเมีย จะต้องทนทุกข์ทรมาน”
จู่ๆก็มีลมพัด เทียนดับลง สร้อยงง มองทางลมมาจากไหนหันไปกลับกลายเจอร่างผีเฟื่องยืนอยู่
“ห๊า”
“มึงทำอะไรพ่อ แม่กู อีสร้อย”
“กูทำอะไรนะเหรอ กูก็จะทำให้มันทุกข์ทรมานนะสิ ก็เหมือนที่กูทำมึงด้วยไงล่ะอีเฟื่อง”
ผีเฟื่องโกรธมาก
“อีสร้อย”
สร้อยไม่กลัว
“ทำไม กูนี่แหละ เป็นคนปลุกมึงขึ้นมา ความจริงมึงควรจะเป็นผีรับใช้กูด้วยซ้ำ และในเมื่อกูปลุกมึงได้กูก็เอามึงกลับไปได้”
ผีเฟื่องมองสร้อยแค้นๆ จนลมพัดแรง ประตูหน้าต่างเรือนทาสสร้อยเปิด ปิด ผึบผับๆ สร้อยขู่ทันที
“ถ้ามึงเข้ามา กูจะเอาหุ่นดินปั้นพ่อแม่มึงที่กูไปปลุกเสกมาแล้วหักให้ขาด ให้พ่อแม่มึงตายตอนนี้เลย”
สร้อยหยิบหุ่นดินขึ้นมาขู่ เฟื่องมองโกรธตวัดหัวซ้าย ขวา แล้วหุ่นดินก็กระเด็นจากมือสร้อยคนละทิศทางทันที สร้อยตกใจ ทันใดนั้นอยู่ดีๆทาสชายสองคน น่าตาดุดันก็เข้ามา
“เข้ามาได้ยังไงเนี่ย พวกมึงเข้ามาทำไม ออกไป” สร้อยตกใจ
ทาสชายไม่สนใจคำพูดสร้อยเพราะโดนสะกดจิต ตาเป็นสีแดง เดินเข้ามาหาสร้อยชกที่ท้องสร้อยตัวงอและทาสชายก็ดึงเสื้อผ้านุ่งของสร้อยออก จากนั่นก็ทำการขืนใจอย่างรุนแรง สร้อยทั้งโดนตบ โดนชก โดนบีบคอพร้อมข่มขืน หน้าตาทรมานมากแววตามองมาที่ผีเฟื่องที่ยืนมองด้วยความสะใจ
“อย่า...อย่าทำข้า...อย่า...”
นวลเดินเข้าเมืองมาอย่างรีบร้อน สิงห์กับเพียรที่เดินพาหมอผีจะไปทางเรือนพัน แล้วชะงักเมื่อเห็นผู้หญิงเดินผ่านหน้าไปแล้วจำได้ว่าเป็นนวล ทั้งสองหันมาพยักหน้าให้แก่กันอย่างรู้ใจกัน
“ไอ้เพียร มึงจำแม่หญิงนี่ได้ใช่ไหม ที่มันเคยมาช่วยไอ้จีนนั่น”
“จำได้สิ ข้าว่ามันอาจจะรู้ที่ซ่อนของไอ้จีนนั่นก็ได้ ต้องรีบไปบอกนาย”
เพียรจะไปสิงห์คว้าไว้
“เฮ้ย เอ็งไม่อยากสร้างผลงาน ให้นายตบรางวัลรึวะ”
เพียรคิดได้
“งานนี้คงได้หลาย” เพียรหันไปบอกหมอผี “พ่อหมอ พอดีพวกเราต้องมีธุระสำคัญตอนนี้ ฝากพ่อหมอช่วยล่วงหน้าไปก่อนที่ลานพิธี แล้วพวกข้าจะตามไป”
หมอผีพยักหน้ารับเพราะต้องทำพิธีตามเวลา
“เออ เร็วๆนะเว้ย”
หมอผีเดินออกไป สิงห์กับเพียรจึงมองทางที่นวลไป แล้วก็แอบเดินตามไปเงียบๆ โดยที่นวลไม่รู้ตัวเลย
นวลเดินมาหาบ้านหมอยาไม่ได้สนใจใคร เดินตามมาเพราะใจห่วงแต่ชีวิตพ่อ สิงห์กับเพียรหันมามองหน้ากัน
“เฝ้าดูมันไว้”
เพียรพยักหน้าตกลง ทั้งสิงห์และเพียรก็นั่งเฝ้าดูนวลต่อไป นวลพบบ้านหมอยาเคาะประตูเรือนหมอยาระรัวด้วยความร้อนใจ สักครู่หมอยาก็เปิดประตูเรือนออกมาพอเห็นเป็นนวลก็ตกใจ
“อ้าว...นังนวล มาเสียค่ำมืดอย่างนี้ มีอะไรรึเปล่า”
“พ่อแย่แล้วจ้ะลุง”
พระจันทร์ครึ่งเสี้ยว มีเมฆดำปกคลุม หมอผีจุดธูป 1 ดอก ทำพิธีสวดเริ่มการสื่อจิต มีพันคอยดู ส่วนนางด้วงยืนกลัวหัวหด สักพักธูปก็ดับลง หมอผีลืมตาขึ้นทันที
“เป็นยังไงบ้างพ่อหมอ” พันรีบถาม
“ข้าสื่อจิตวิญญาณแล้ว ตอนนี้วิญญาณมันยังวนเวียนอยู่”
ด้วงหันซ้ายขวา
“แล้วอยู่ไหนละจ๊ะท่าน อยู่แถวนี้รึป่าว”
“เปล่า อยู่กับชายคนหนึ่ง ดูท่าทางมันจะรักชายคนนี้มาก คอยอยู่ติดตามตลอด”
พันรู้ได้ทันที
“ไอ้จีนนั่น งั้นพ่อหมอรีบทำพิธีจัดการกับผีอีเฟื่องเลย”
“ได้ แต่ข้าบอกไว้ก่อนผีตัวนี้ แรงรักแรงอาฆาตมันมากเหลือ เราจะต้องขุดเอาศพมันแล้วถอดกะโหลกหน้าผากแล้วทำพิธีสะกดมันไว้”
ด้วงฟังแล้วกลัว พันก็กลัวแต่ต้องใจสู้ หมอผีหันมาถาม
“พร้อมไหม ถ้าชักช้าจะเสียการ ไปป่าช้ากันได้ เราจะทำพิธีที่นั่น”
“พร้อม...พ่อหมอ” พันหันไปดู “ว่าแต่ไอ้พวกสิงห์ เพียร มันหายหัวไปไหนไม่มาสักที ไอ้พวกนี้กลับมากูจะเอาตีนถีบหน้าให้หมดเลย”
พูดจบหมอผีก็เริ่มตั้งจิต แล้วเริ่มสวดคาถาภาวนา
พันกับด้วงมองด้วยความตื่นเต้น
ฟากสิงห์กับเพียรยังนั่งซุ่มแอบดูนวลอยู่ เห็นหมอยากำลังส่งห่อยาให้นวล
“เอ้า...ข้าเจียดยาให้เอ็งเรียบร้อยแล้ว มีทั้งยาพอกและยากินรีบเอากลับไปให้พ่อเอ็งเถอะ อย่าช้า”
“จ้ะ...ขอบใจลุงมากนะ”
นวลยกมือไหว้แล้วรับห่อยามาจากหมอยาเอาซุกลงย่าม แล้วรีบร้อนลงจากเรือนจะกลับกระท่อม พอหมอยาปิดประตูเรือน เพียรกับสิงห์ก็ตามติดนวลไป...เพียรกับสิงห์พุ่งเข้ามาจากข้างหลังของนวล เพียรพุ่งเข้าปิดปากไม่ให้นวลส่งเสียง นวลตาเหลือกด้วยความตกใจ ดิ้นสู้สุดฤทธิ์ สิงห์จึงชกเข้าที่ท้องนวลอย่างแรง นวลสะดุ้งเฮือกแล้วคอพับสลบไปทันที สองบ่าวจัดแจงอุ้มนวลแล้วแบกหายไปในความมืด
หมอผีที่กำลังสวดอยู่ เริ่มทำการเริ่มเดิน เคลื่อนขบวนพิธี สวดตลอด พันกำลังเดินตามไป จู่ๆด้วงก็เกิดกลัวขึ้นมา
“พ่อพัน แม่มานึกๆดูแล้ว มันน่ากลัวนะลูก แม่คงไม่กล้าไปเห็นศพแม่เฟื่อง แม่ขออยู่รอที่นี่ละกันนะลูก”
“อ้าวแม่ ทำไมทำเช่นนี้ล่ะ ข้าก็กลัวไม่ต่างกับแม่หรอก แม่จะปล่อยให้ข้าไปคนเดียวได้อย่างไร ในเมื่อไอ้ลูกน้องเวรสองคนนั่นมันหายหัวไปก็ไม่รู้”
สิงห์กับเพียรช่วยกันวางร่างของนวลวิ่งตามเข้ามา
“มาแล้วครับนาย”
พันกับด้วง หันมาเห็น
“นั่นพวกเอ็งหิ้วใครมาวะ”
สิงห์กับเพียร วางนวลลง หันให้ดูหน้า ก่อนที่สิงห์จะบอก
“แม่หญิงนี่ ที่มันรู้จักไอ้จีนนั่นยังไงครับนาย เราอาจจะรู้ที่ซ่อนตัวของมันได้นะขอรับ”
พันยิ้มคิดว่าใช่
“ดีมาก พวกเอ็งนี่เก่งนัก กลับไปกูจะตบรางวัลให้อย่างงาม”
ด้วงสงสัย
“แม่หญิงที่ไหนลูก เอาลูกเอาเต้าเขามาแบบนี้มันไม่ดีนะลูก”
หมอผีที่ร่ายสวดอยู่ เสียงพวกนี้ทำให้เสียสมาธิ จึงหันมาพูด
“จะทำพิธีต่อไหม ถ้าไม่ทำข้าจะล้มเลิกตอนนี้ การทำพิธีสื่อจิตต้องนิ่งและภาวนาตลอด ไม่งั้นอาจถูกเล่นงานได้”
ด้วงกลัว
“ทำต่อเถอะเจ้าคะ เอ้า ลูกพัน เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องอื่น เห็นบอกว่ายังไงต้องจัดการทำพิธีปราบผีแม่เฟื่องคืนนี้เท่านั้นนี่ลูก”
พันหันไปสั่งสมุน
“งั้นพวกเอ็งก็แบกนังนี่ไปด้วย เผื่อมันจะช่วยอะไรเราได้ ไป”
ด้วงไม่ไปด้วย
“จัดการให้ได้นะลูก แม่จะรออยู่ที่นี่นะ”
หมอผีเริ่มภาวนาคาถาต่อ แล้วเดินออกไป พัน สิงห์ เพียร อุ้มนวลที่นอนสลบอยู่ก็เดินตามออกไป ด้วงมองตามด้วยความเป็นห่วง
หมอผี พัน สิงห์ เพียรอุ้มนวล เข้ามาในป่าช้า เมื่อมาถึงหลุมศพเฟื่อง
“หลุมนี้แหละ” หมอผียิ้ม “ตอนนี้ข้าจะทำการเปิดธาตุทั้ง4”
เมื่อพบหลุมศพเฟื่องแล้วหมอผีก็เริ่มทำพิธีเปิดธาตุทั้ง 4 จากนั้นก็สั่ง
“เอ้า ไอ้สองคนเนี่ย มาขุดหลุมสิ และระหว่างข้าบริกรรมคาถาห้ามใครรบกวน ข้าต้องใช้สมาธิสูง”
พันรับคำ
“ได้เลย พ่อหมอ”
สิงห์กับเพียร วางนวลลง และหยิบอุปกรณ์ เริ่มทำการขุดหลุมศพ พันมองลุ้น หมอผีบริกรรมคาถาตลอด เมื่อขุดเจอเพียรหันมาบอก
“เจอศพแล้วพ่อหมอ”
หมอผีหัวเราะดังลั่น
“ดีมาก...เอาศพมันขึ้นมา”
สิงห์กลัวขนลุกขนพอง
“ข้ากลัว”
เพียรก็กลัวไม่แพ้กัน
“ข้าก็กลัวเหมือนกัน ใครจะกล้าหยิบศพมันวะ”
พันตวาด
“เฮ้ย พวกมึง ชักช้าทำไมวะ รีบทำตามที่พ่อหมอสั่งสิ”
สิงห์กับเพียรจำใจ
“ครับนาย”
ศพเฟื่องถูกยกขึ้นมาเน่าเฟะแล้ว แทบจำไม่ได้ว่าเป็นใคร สิงห์กับเพียรยกขึ้นมาแบบสะอิดสะเอียน หมอผียังทำบริกรรมคาถาอยู่ จนสิงห์กับเพียร เอาศพเฟื่องขึ้นมาวางไว้ แล้วหมอผีก็สวดจบ
“ข้าจะกำกับดวงวิญญาณของเอ็งให้สิ้นฤทธิ์สิ้นเดช เอ็งต้องมาเป็นข้าทาสของข้า”
พูดจบหมอผีก็หยิบสิ่วและค้อนออกมาจากกระเป๋า พันถามอย่างสงสัย
“พ่อหมอจะทำอะไรรึ”
“ข้าจะเอาจุดรวมวิญญาณของมันทำพิธี เรียกดวงจิตของดวงวิญญาณเข้ามาประจำที่กระโหนกหน้าผาก แล้วทำการสะกดจิตมัน พวกเอ็งคอยดูละกัน”
หมอผีนำสิ่วและค้อนแงะที่กะโหลกเฟื่อง ทุกคนมองลุ้นระทึก
ชุนนั่งเฝ้าดูอาการพรานมีอย่างเป็นห่วง ไม่ง่วง นอนไม่หลับเลย สักครู่เห็นพรานมีเริ่มได้สติ ชุนพุ่งเข้าหา
“ลุงมี...”
พรานมีมองไปรอบๆ ถามเสียงอ่อน
“ข้ากลับมาที่นี่ได้ยังไง”
“ข้ากับนวลเห็นลุงไม่กลับเรือนเสียที ก็เลยออกไปตาม เลยพบลุงไม่ได้สติอยู่ในป่าเพราะลุงถูกงูกัด”
พรานมีมองหานวล
“แล้วนี่นังนวลอยู่ที่ไหน”
“เข้าเมืองไปเอายา ยาที่นี่หมดท่านลุง”
“ระยะทางจากที่นี่เข้าเมืองไม่ใช่ใกล้ๆ ดึกป่านนี้มันจะเป็นยังไงบ้าง ข้าเป็นห่วงมัน”
แล้วพรานมีก็สะดุ้งเมื่อเกิดอาการปวดไปทั้งตัว เริ่มรู้ว่าพิษงูเริ่มแล่นไปทั่วตัวแล้ว ชุนตกใจ
“ท่านลุง...เป็นอะไรไป”
“พิษงูมันแล่นไปทั่วตัวข้าแล้วละไอ้ชุน”
“ลุงแข็งใจอีกหน่อยนะ เดี๋ยวนวลก็คงกลับมาแล้วละ”
พรานมีเริ่มไม่ไหว
“ข้าคงอยู่รอนังนวลมันไม่ไหวแล้วละ ข้ากำลังจะตาย”
“ท่านลุง อย่าพูดอย่างนี้ ท่านต้องรอด อดทนอีกนิดนึงนะลุง”
“ข้ารู้ตัวข้าดี ชุน...ก่อนข้าจะตาย เอ็งรับปากกับข้าสักเรื่องหนึ่งได้มั๊ย”
“เรื่องอะไรรึลุง”
“แต่งงานออกเรือนกับนังนวล”
ชุนตกใจ ผีเฟื่องปรากฏร่างขึ้นทันที สีหน้าดุดัน
“ไม่”
พรานมีเร่งเร้า
“รับปากข้าสิชุน ไม่งั้นข้าคงตายตาไม่หลับแน่”
“แต่ข้า...”
ยังไม่ทันที่ชุนจะตอบ จู่ๆผีเฟื่องก็ปวดที่หน้าผากขึ้นมาทันที ในหัวมีแต่เสียงโป๊กๆ
“ปวด ข้าปวดเหลือเกิน ใคร ใครทำข้า”
ผีเฟื่องจับหัวทุรนทุรายร้องครวญครางและจิตกำลังถูกเรียกไป ทันใดนั้นผีเฟื่องก็ถูกดูดไปทันที...พรานมีบีบคั้น
“เพื่อเห็นแก่ข้า ที่เคยช่วยชีวิตเอ็งเอาไว้ถึงสองครั้งสองครา รับปากกับข้าสิชุน เพราะเมื่อหมดข้า นังนวลมันก็จะไม่เหลือใครแล้ว มีแต่เอ็งเท่านั้นที่จะเป็นหลักในชีวิตให้มันได้ รับปากกับข้าสิชุน รับปากสิ”
ชุนจำใจ
“จ้ะลุง”
“ขอบใจนะไอ้ชุน...ขอบใจ...”
แล้วพรานมีก็สลบไป ชุนตกใจที่พรานมีนิ่งไป กลัวว่าจะตายรึป่าว จึงเอานิ้วมือไปแตะที่จมูก พรานมียังมีลมหายใจอยู่โรยริน
“ไม่ได้การละ ข้าต้องออกไปตามนวลซะแล้ว”
ชุนตัดสินใจออกไปตามนวล
นวลค่อยๆฟื้นขึ้นมามองไปรอบๆ เริ่มมองเห็นการทำพิธีอะไรบางอย่าง ภาพเริ่มชัดขึ้น เธอเห็นพันกับพวกทั้งสองที่ชกเธอ นวลจำได้ว่าเป็นพวกที่ทำร้ายชุนด้วย
“ข้าต้องโดนจับมาแน่ทำไงดี”
นวลเห็นพวกพัน และบ่าวทั้งสอง กำลังทำพิธี โดยมีหมอผีตอกหน้าศพอยู่ก็ตกใจ
“นี่พวกมันทำอะไรกันเนี่ย”
จู่ๆ ผีเฟื่องก็โผล่ล้มเข้ามา ครวญครางอย่างเจ็บปวด พวกพัน สิงห์ เพียร ตกใจ เข้าไปหลบอยู่หลังหมอผี นวลก็เห็นเช่นกันเธอตกใจ
“แม่หญิงเฟื่อง”
หมอผีรู้ว่าผีเฟื่องมาแล้วจึงหันไป และหมอผีก็หยิบชิ้นกะโหลกหน้าผากมาได้แล้ว
“มาแล้วเรอะ ฤทธิ์เดช มึงเยอะนักใช่ไหม ผีอย่างมึงต้องเจอหมอผีอย่างกู”
หมอผีเริ่มร่ายคาถา เอานิ้วจิ้มหมึกเขียนอักขระลงยันต์ที่กะโหลกหน้าผาก
“ไอ้หมอผี มึงตาย”
ผีเฟื่องพยายามฟืนตัวเองที่เจ็บปวด พุ่งหาหมอผี พวกพันกลัวมาก นวลมองด้วยความตะลึง เมื่อหมอผีเขียนจบ ผีเฟื่องก็กรีดร้องโหยหวน
“โอ้ย เจ็บเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน ทำไมถึงทำกับข้าอย่างนี้ โอ้ย”
พันเห็นผีเฟื่องเริ่มอ่อน จึงค่อยกร่างออกมาจากหมอผี
“อยากรักไอ้จีนนั่นมากจนมาตายโหง แล้วเป็นไงเป็นผีเร่ร่อนไม่มีหลักแหล่ง วันนี้ข้าจะหาที่อยู่ให้เจ้าเอง ในเมื่อเป็นเมียข้าไม่ได้ ก็มาเป็นผีรับใช้ข้าต่อไปละกัน”
ผีเฟื่องมองพันแค้น แต่ร่างเริ่มอ่อนแรง
“พี่พัน อย่าทำข้าเลย ข้ายอมแล้ว”
พัน สิงห์ เพียร หัวเราะชอบใจ สะใจที่ทำสำเร็จ หมอผีสั่งเสียงเข้ม
“เอ้าถ้างั้นเจ้าจงเข้ามาสิงอยูที่นี่”
หมอผียื่นกะโหลกหน้าผากไป ทันใดนั้น ผีเฟื่องก็หายตัวไป ทุกคนตกใจ งง มองหารอบๆกันใหญ่ พัน มองรอบๆ
“อ้าว มันไปไหนแล้วพ่อหมอ”
สิงห์กับเพียรตื่นกลัว หมอผีตวาด
“ออกมาเดี๋ยวนี้ เอ็งอยู่ที่ไหน อยากลองดีกับกูใช่ไหม”
หมอผีหลับตา เริ่มการสวดคาถาอีกครั้ง สักครู่ก็มีมือมาบีบคอ ผีเฟื่องโผล่พรวดออกมา ทุกคนวงแตกวิ่งหนีกระเจิง
“มึงนะสิ อยากลองดีกับกูใช่ไหม”
ผีเฟื่องโมโหพุ่งตัวไปหาหมอผีใกล้ๆแล้วจ้องไปที่ตา หมอผีตาเริ่มร้อน ร้องครวญครางทรมานดิ้นพล่านจนลูกตาแตก หมอผีเดินโซเซมองไม่เห็น ลงไปดิ้นทุรนทุราย นวลที่มองอยู่ตกใจ แล้วคิดหาทางหนี แล้ววิ่งออกไป
ผีเฟื่องหัวเราะสะใจ และกวาดสายตาหันไปทางที่พวกพันวิ่งเตลิดไปด้วยหน้าตาน่ากลัว
อ่านต่อตอนที่ 10
นางมาร ตอนที่ 10
เพียรกับสิงห์วิ่งหนีออกมาหัวซุกหัวซุน แล้วมาหลบใต้ต้นไม้
“เสียงมันเงียบไปแล้วว่ะ” สิงห์หันมองเห็นดาบที่มือเพียร “อ้าว นั่นเอ็งเอาดาบนายติดมือมาด้วยได้ยังไงวะ”
เพียรมอง
“เออ จริงว่ะ ข้าคงตกใจ”
เพียรมองดาบรู้ว่าโดนด่าแน่ แล้วจู่ๆเพียรก็สะดุ้ง ตาแดงวาบขึ้นมาแว่บหนึ่ง แล้วทำท่าว่าจะเดินกลับเข้าไปในป่าช้า สิงห์หันมาเห็นพอดีก็ร้องทัก
“อ้าวเฮ้ย...นั่นเอ็งจะเข้าไปทำวะไอ้เพียร ประเดี๋ยวก็ถูกผีหลอกเอาหรอก”
แต่เพียรยังเดินทื่อจะเข้าไปในป่าช้า
“ไอ้นี่...พูดไม่รู้เรื่องโว๊ย”
สิงห์พุ่งเข้าไปกระชากบ่าไว้ เพียรหันมามอง แล้วถีบสิงห์เปรี้ยง จนสิงห์กระเด็นออกไป สิงห์ชักโมโห
“เอ๊ะ... ไอ้เพียร มึงถีบกูทำไมวะ”
สิงห์พุ่งเข้าใส่เพียรอีกครั้ง และโดยที่สิงห์คาดไม่ถึง เพียรหันมากระซวกแทงสิงห์อย่างหน้าตาเฉยเลย สิงห์สะดุ้งสุดตัวตาเหลือกค้าง มองหน้าเพียรอย่างไม่เข้าใจว่าแทงมันทำไม สายตาของสิงห์ที่มองหน้าเพียรเห็นหน้าเฟื่องซ้อนขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนจะกลับเป็นหน้าเพียรดังเดิม สิงห์ตกใจสุดขีดแล้วก็ตาเหลือกลานค้างอยู่อย่างนั้นขณะที่ล้มลงแล้วสิ้นใจตาย เพียรเห็นสิงห์ตายแล้ว ก็ถือดาบเดินเข้าเข้าป่าในสภาพโดนสิงอยู่
พันกำลังวิ่งหันซ้าย หันขวา หมุนตัวไปรอบๆ ดูว่าผีเฟื่องจะโผล่มาไหม มองไม่เห็นอะไร แต่เมื่อหันมาอีก จู่ๆก็เห็นเพียรอยู่ข้างหลัง หน้าตานิ่งดูดุดัน
“เฮ้ย มึงโผล่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงเลยนะไอ้เพียร กูตกใจหมด”
เพียรไม่ตอบ พุ่งดาบในมือเข้าใส่พันหวังจะแทงให้ตายทันที พันหลบทัน
“มึงเป็นบ้าอะไรของมึงวะไอ้เพียร”
พันเห็นท่าไม่ดีเห็นเพียรพุ่งเข้ามาจะซ้ำ พันรีบคว้ามือแย่งดาบมาให้ได้ พันกับเพียรเลยสู้กันพักหนึ่ง เพียรเกิดเพลี่ยงพล้ำถูกพันแทงพรวดเข้ากลางท้องดาบทะลุออกหลัง เพียรตาเหลือกลาน พอพันชักดาบออก ยืนหอบด้วยความเหนื่อยแล้วในที่สุดเพียรก็ทรุดตัวล้มลงแล้วสิ้นใจตายอย่างน่าอนาถ พันชะงักอึ้ง
“ไอ้เพียร”
แล้วเพียรก็สะดุ้งเฮือกขึ้นมาอย่างฉับพลัน วิญญาณเฟื่องออกจากร่าง ผีเฟื่องหัวเราะสะใจมองมาที่พัน
“คนเลวอย่างพวกมึง สมควรตายแล้ว”
พันตาเหลือก
“เฮ้ย อีเฟื่อง”
ผีเฟื่องหัวเราะสะใจ เสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ พันตกใจที่เห็นผีเฟื่องยืนอยู่ตรงหน้า
นวลวิ่งหนีออกมา ใจก็กลัวเพราะเพิ่งเห็นผีเฟื่องปรากฏกายเป็นครั้งแรกรู้สึกว่าน่ากลัวมาก เป็นห่วงพ่อด้วย นวลรีบวิ่งเพื่อกลับไปให้ถึงบ้านอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนเธอวิ่งชนกับสิ่งหนึ่งเข้า นวลช็อค กลัวมาก แต่พอเงยหน้าขึ้นมองชัดๆค่อยเบาใจเพราะนั่นคือชุนนั่นเอง
ชุนกับนวลกลับมาที่กระท่อม นวลพุ่งเข้าไปหาพ่อ ที่ตอนนี้ฟุบหน้าซีด ปากซีดเหงื่อท่วมร่าง สภาพดูแล้วไม่น่าไหวแล้ว
“พ่อ...พ่อจ๋า นวลมาหาพ่อแล้วนะจ๊ะ”
พรานมีเริ่มรู้สึกตัว แต่อ่อนแรงเหลือเกิน แทบไม่มีแรงตอบนวล แต่ดูออกสิ่งหนึ่งคือดีใจที่ลูกสาวมา
“พ่อจ๋า พ่ออดทนอึดใจนึงนะ นี่ยาอยู่นี่แล้ว ข้าเอามาให้พ่อได้แล้ว” นวลร้องไห้ “ข้าจะไปต้มยาให้พ่อนะ”
“ไม่ต้องแล้ว พ่อคงกินไม่ทันแล้วลูก”
“ไม่จริง ชุน นายเอายานี้ไปจัดให้พ่อข้าที”
ชุนกำลังขยับ แต่พรานมีห้ามไว้
“ชุน เอ็งอยู่นี่แหละ ข้าอยากเห็นพวกเอ็งอยู่พร้อมหน้ากันตรงหน้าข้า”
“ข้าอยู่ตรงนี้แล้วลุงมี”
พรานมีจับมือนวลแล้วมองชุน
“ข้าฝากนังนวลกับเอ็งด้วยนะ เอ็งรับปากข้านะ ว่าจะดูแลนวลแทนข้า นวลคือแก้วตาดวงใจของข้า นวล ทำตัวดีๆนะลูก อย่ารั้นนักนะลูก ดูแลตัวเอง” พรานมีเริ่มพูดไม่ได้แล้ว “ดูแล ตัวเองดีๆนะลูก...อย่าลืมทำตามที่ข้าบอกนะชุน”
พรานมีพูดจบก็นิ่งไปเลยนวลกับชุนร้องออกมาพร้อมกัน
“พ่อ...”
“ลุงมี”
นวลพยามยามปลุกพ่อให้ตื่น แต่ตอนนี้พรานมีกลายเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้ว นวลกับชุนร้องไห้เสียใจ นวลกอดพ่อร้องไห้แทบขาดใจตาย
พันกระเด็นล้มลงมา ผีเฟื่องยิ้มสะใจ
“แม่เฟื่อง ข้ากลัวแล้ว อย่าทำอะไรข้าเลย เห็นแก่การที่เราเคยเป็นคู่หมั้นคู่หมายกันนะแม่เฟื่อง ข้าจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้นะ แม่เฟื่อง”
ผีเฟื่องพุ่งเข้ามาอย่างเร็ว เอาหน้ามาจ้องพันตรงหน้ามองหน้า พันหลับตาปี๋พอลืมตาขึ้นมา ก็ไม่เห็นผีเฟื่อง หายไป พันดีใจ
“ข้ารอดแล้ว”
พันขยับตัวจะวิ่งหนีไป แต่ก็เห็นงูเห่าอยู่ที่พื้น เลื้อยแผ่แม่เบี้ยจะกัด พันเอาดาบตะหวัดไปมา ด้วยความโมโห เขาแกว่งดาบไปมาในอากาศโดยที่ไม่มีงูเห่าสักตัว
“ตายซะเถอะ ไอ้งูบ้า”
พันไล่ฟันงู จนดาบหลุดมือ
“เฮ้ย”
พันเห็นงูเห่า กำลังพุ่งเข้าหาเขาตกใจหันถอยหลังหนีจนไม่ได้มองด้านหลังเลยว่ามีหลาวไม้แหลม ยื่นออกมาจากต้นไม้ พันถอยไปเสียบเข้าอย่างจังจนทะลุมาด้านหน้าเลือดสาด ตาที่พันจ้องงูอยู่เปลี่ยนจากงูเป็นหน้าผีเฟื่อง ตาพันเหลือกค้างตายพร้อมแววตาที่มองผีเฟื่อง
วันใหม่...เสียงกรีดร้องของด้วงที่ประสานกับเสียงกรีดร้องดังลั่นบ้าน ด้วงโผเข้ากอดศพพันที่บ่าวหามเอากลับมาเรือน มีผ้าขาวคลุมร่างอยู่ครึ่งตัวเช่นเดียวกับร่างของสิงห์กับเพียร ด้วงเขย่าร่างพันอย่างแรง
“พ่อพันลูกแม่ ลุกขึ้นมาพูดกับแม่สิลูก พูดกับแม่สิ นอนนิ่งอยู่ทำไม พูดสิ พูดกับแม่”
บ่าวหญิงพยายามปลอบ
“คุณหญิงเจ้าขา...คุณพันเธอสิ้นใจแล้วเจ้าค่ะ”
ด้วงตวาดทันที
“ไม่จริง...ลูกพันของกูยังไม่ตาย ลูกพันของกูแค่หลับไปเท่านั้น...ใช่มั๊ยลูก ตื่นขึ้นมาพูดกับแม่สิ...ลูกพัน”
ด้วงเฝ้าเขย่าร่างพันอยู่อย่างนั้น บ่าวอื่นๆได้แต่มองอย่างเวทนา แต่ไม่รู้จะทำอะไรได้
พระยาอารักษ์อ้วกออกมาเป็นเลือดใส่กระโถนที่ศรีเรือนถือรองไว้ให้ ศรีเรือนมองอย่างเป็นทุกข์มาก
“โธ่...ทำไมคุณพี่อาการไม่ทุเลาลงเลยเจ้าคะ จะกี่หมอกี่หมอก็รักษาอาการป่วยของคุณพี่ไม่ได้”
อุ่นงึมงำๆ
“แล้วนี่คุณพันก็มาตายโหงไปอีกคน”
“ทำไมถึงเป็นอย่างนี้นะ...” ทับทิมแปลกใจ
“ขอให้พ่อพันไปสู่ที่ชอบๆที่ชอบเถิด ทำไมนะ ตอนนี้มันมีแต่เรื่องเลวร้ายไปหมด” ศรีเรือนนึกทางแก้ได้ “คุณพี่ขา...พ่อพันก็มาตาย แม่ด้วงก็ได้ข่าวว่าเพ้อไม่ได้สติ แล้วคุณพี่ก็มาอาการแย่แบบนี้ น้องว่าคุณพี่เลิกอาฆาตลูกเฟื่องกับไอ้ลูกจีนคนนั้นเถิดเจ้าคะ บางทีมันอาจจะทำให้คุณพี่ดีขึ้นก็ได้นะเจ้าคะ”
พระยาอารักษ์คิดตาม ลังเลแล้วก็อ้วกพุ่งเป็นเลือดอีก ศรีเรือนยิ่งตกใจ
“คุณพี่”
บ่าวทุกคนเข้ามาดูแล พระยาอารักษ์อ้วกจนหมดแรงเสียงระโหย
“ข้าคิดว่าข้าน่าจะสิ้นบุญแล้ว แต่คนอย่างข้าต่อให้ต้องตายก็ไม่มีวันหายแค้นไอ้ลูกจีนนั่น”
ศรีเรือนหนักใจ
“โธ่ คุณพี่”
“มันคงเป็นบาปเป็นกรรมของข้าที่ทำเอาไว้เอง และข้าก็จะรับมันไว้อย่างนี้แหละ”
“คุณพี่ อย่ารั้นเลยนะเจ้าคะ ถ้าคุณพี่ไม่อยู่เป็นหัวหลัก น้องและบ่าวไพร่จะทำเช่นไร แม้กรรมที่คุณพี่ได้จงใจหรือไม่ได้จงใจทำ ก็ขอให้มันหมดสิ้นนะตรงนี้เถิดนะเจ้าคะ”
อุ่นแทรกขึ้นมา
“แม้ท่านเจ้าคุณจะทำบ่าวเช่นไร บ่าวก็ยังรักและภักดีต่อท่านนะเจ้าคะ”
ทับทิมเสริม
“อยู่เป็นร่มโพธิ์ ร่มไทรให้พวกเราด้วยเถิดเจ้าคะ”
พระยาอารักษ์เริ่มคิด และเริ่มปลง แล้วค่อยๆลุกขึ้น ไปคุกเข่าอยู่หน้าห้องพระ
“ข้าพระยาอารักษ์ ขอขอขมากับผู้ใดก็ตามที่ข้าได้ทำให้เจ็บทั้งกายเจ็บทั้งใจ หรือแม้แต่คร่าชีวิต ข้าขออโหสิกรรมด้วย”
สร้อยค่อยเดินเข้ามาดู ยืนฟัง
“และแม่เฟื่อง พ่อขอโทษ พ่อจะไม่อาฆาตลูกจีนนั่นอีกแล้ว ถ้าวิญญาณลูกอยู่ที่ใด จงรับรู้ด้วยเถิด”
ผีเฟื่อง ยืนอยู่แววตาอ่อนโยน รับรู้กับสิ่งที่พ่อพูด เดินเข้าไปแล้วนอนลงบนตักพ่อ ส่วนพระยาอารักษ์รับรู้และรู้สึกได้น้ำตาปริ่มออกมา ศรีเรือนมองสามีแล้วร้องไห้และรอวันข้างหน้าที่ไม่รู้ว่าจะหายหรือตายจากกัน โดยมีอุ่นกับทับทิม มองอย่างเป็นห่วงด้วย แต่ทุกคนต่างดีใจที่พระยาอารักษ์ได้ทำในสิ่งที่ควรจะทำ
ขณะที่สร้อยเดินเรื่อยเปื่อยกลับไป เพราะเวลานี้สร้อยเป็นบ้าไปแล้ว
ชุนกับนวลกำลังยืนมองการเผาศพพรานมีอยู่ที่วัด นวลร้องไห้ไม่หยุด
เมื่อการเผาศพพรานมีเสร็จสิ้นแล้ว นวลเก็บอัฐิที่เหลือบางส่วนของพรานมีเอาใส่โถ เพื่อเอากลับไปบูชาที่บ้าน เก็บไปก็ร้องไห้ไป ชุนเข้ามาช่วยเก็บด้วย มือนวลข้างที่ผูกสายสิญจน์เกี่ยวกับขอบเตาเผาเลยขาดร่วงลง...นวลยังคงเก็บอัฐิของพ่อต่อไปโดยไม่รู้ตัวว่าสายสิญจน์ขาดเสียแล้ว
เย็นนั้น พระอาทิตย์จะตกดิน นวลถือโถใส่อัฐิของพรานมีกลับเข้ามาในกระท่อม หน้าเศร้าสร้อย ชุนตามเข้ามาปลอบ
“ลุงมีไปดีแล้วละนวล”
นวลซบอกชุนร้องไห้
“ไม่มีพ่อแล้วข้าจะอยู่กับใครเล่าชุน ข้าไม่เหลือใครแล้ว”
“เอ็งยังเหลือข้าไงนวล ก่อนลุงมีจะสิ้นใจ แกฝากเอ็งไว้กับข้า”
“ถ้าเจ้าไม่เต็มใจก็ไม่ต้องลำบากใจ ทำเพื่อพ่อข้าหรอกนะ”
“นวล เจ้ามีบุญคุณกับข้ามาก ข้าเป็นหนี้ชีวิตเจ้ากับท่านลุง เพราะฉะนั้นข้าเป็นลูกผู้ชายพอที่จะทำให้”
“เจ้าแน่ใจนะ เพราะถ้าเจ้าทำไม่ได้ ก็ออกไปจากชีวิตข้าได้เลยตอนนี้ ข้าไม่ติดใจ”
ชุนไม่หันมามองเพียงแต่พูดว่า
“อีก 3 วันนับจากวันนี้ เจ้าแจ้งพ่อแก่ แม่แก่ได้เลย เจ้าจะเป็นเมียข้าที่ข้าจะต้องดูแลต่อไป”
ชุนพูดจบก็ออกไป นวลมองรู้ว่าเขาทำเพื่อพ่อ
สามวันต่อมา...นวลแต่งตัวสวยเป็นเจ้าสาวนั่งรอชุนอยู่ในบ้าน โดยมีคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านนั่งร่วมด้วยเพื่อเป็นสักขีพยาน มีโต๊ะยาวตั้งอยู่ บนโต๊ะมี ไก่ เหล้า เพื่อไว้ไหว้ สักพักชุนก็ก้าวเข้ามา ชุนใส่ชุดเจ้าบ่าวหน้านวลแล้วพยักหน้าจะบอกว่าเขาพร้อมแล้ว นวลบอกไม่ถูกว่าจะดีใจหรืออะไรดี เพราะรู้ว่าเขาทำเพื่อพ่อ ผู้เฒ่าหันมาบอก
“ได้เวลาแล้ว”
ผู้เฒ่าลุกขึ้นมาเอาชุนมานั่งข้างๆนวล เขากับเธอแอบมองหน้ากันรู้สึกแปลกๆ ผู้เฒ่าเริ่มทำการยื่นไข่ต้มให้ทั้งสอง เพื่อแลกกันกิน ต่อจากนั้น ผู้เฒ่าให้ชุนลุกขึ้น แล้วคุกเข่าให้นวล 2 ครั้ง ชุนทำตาม และผู้เฒ่าให้เหล้าชุนกับนวลคนละจอกเพื่อดื่ม ทั้งสองดื่ม
“คนที่อยู่ในพิธีจงเป็นพยาน สองคนนี้ได้ร่วมใช้ชีวิตต่อกัน ถ้าต่อไปพวกเขามีปัญหา ขอให้พวกเราจงอยู่แก้ปัญหาให้พวกเขาด้วยเถิด”
พอพูดจบ นวลที่ดื่มอยู่ก็พุ่งออกมา ช็อคเกร็ง เลือดออกมาทางปาก ทุกคนตกใจ ชุนตกใจมาก
“นวล เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
ผีเฟื่องโผล่มากลางพิธี พวกพ่อแก่แม่เฒ่าวิ่งกันเตลิดเปิดเปิง ไม่อยู่กันสักคน ชุนตกใจเห็นผีเฟื่องโผล่มา
“กูเตือนแล้วใช่มั๊ยว่าอย่ามายุ่งกับผัวกู”
ชุนตะลึง
“เฟื่อง”
“เจ้าผิดคำสาบานที่ให้ไว้กับข้า คำสาบานที่ให้ไว้แก่กัน เราจะต้องอยู่ร่วมกันทุกชาติไป”
“ข้าไม่เคยคิดผิดคำสาบานกับเจ้า ข้ายังรักและภักดีต่อเจ้าเสมอแต่ข้าก็ให้คำสัญญากับลุงมีเช่นกันคุณหนูเฟื่อง รอข้าอีกไม่นานข้าทำตามหน้าที่แล้วข้าจะตามท่านไป”
“ไม่ชุน เจ้าต้องมาอยู่กับข้า ไม่งั้นนังนี่ตาย”
เฟื่องพูดจบ นวลก็ตาเป็นสีแดงน่ากลัวและวิ่งออกกระท่อมไปทันที ชุนตกใจ
“นวล”
ชุนหันมาอีกที ผีเฟื่องหายไปแล้ว ชุนรู้เลยว่านวลตกอยู่ในอันตรายแล้วจึงรีบวิ่งตามออกไป
นวลวิ่งมาที่หน้าผา ใบหน้าซีดเซียว ร่างกายอ่อนแรง สักพักชุนวิ่งตามมา เห็นนวลไปยืนใกล้ริมผาก็ตกใจ
“ข้าขอโทษ แม่เฟื่อง ข้าขอโทษ ข้าจะไปอยู่กับเจ้า ข้าจะตายตามเจ้า เราสองคนจะรักกันทุกชาติทุกภพไป อย่าทำอะไรนวลเลย นางไม่เกี่ยวกับเรื่องของเรา”
ชุนพูดจบนวลก็ฟุบร่างล่วงลงไปทันที ผีเฟื่องจึงค่อยปรากฏร่างขึ้น
“มาสิชุน...ข้ารอเจ้าอยู่นานแล้ว”
ชุนเดินตรงไปหาผีเฟื่องยังริมหน้าผา หน้านิ่งมาก เขามองลงไปยังเบื้องล่างเห็นเบื้องล่าง คล้ายไม่มีที่สิ้นสุด ผีเฟื่องพูดขึ้น
“ความตายไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดหรอกชุน...ข้าผ่านมันมาแล้ว”
“ข้าไม่ได้กลัวความตาย ข้ายินยอมพร้อมใจที่จะตาย”
“ถ้าเช่นนั้นก็มาสิ...ถึงเวลาแล้วชุน”
ชุนมองหน้าผีเฟื่องแล้วขยับจะก้าวเท้าโดดลงหน้าผาไปอย่างที่เคยทำ แต่ทันใดนั้น ก็มีมือมาจับขาเขาไว้
“อย่า ชุน”
ชุนชะงัก มองลงไปเป็นนวลนั่นเอง
“ชุน ด้วยพลังแห่งบุญบารมีของข้า ขอเจ้าจงคิดได้ อย่าตายตามนางไป จงเลือกที่จะอยู่อย่างมีสติ ถ้าเจ้าทำได้ต่อให้นางทำอะไรก็ไม่สามารถทำเจ้าได้”
ชุนก้มลงไปประคองตัวนวลขึ้น
“ข้าเลือกทำแบบนี้ เพราะข้ารักแม่หญิงเฟื่อง และข้าก็ไม่ต้องการให้เจ้ามีอันตรายอีกต่อไป”
“ความรักที่แท้จริงไม่ต้องตายตามกันก็ได้ ต่อให้เจ้าต้องฆ่าตัวตายกับนาง เจ้าก็ต้องอยู่ในภพที่ไม่ได้ผุดได้เกิดแบบนั้น คิดดีๆนะชุน เชื่อข้าชุน”
ผีเฟื่องโมโหที่นวลเข้ามายุ่งอีก เลยจ้องไป นวลกระอักเลือดออกมาเป็นตัวหนอนเน่าๆออกมาด้วย
“อยากตายดีนักใช่ไหม อีนวล”
นวลเลือดกบปากบอกชุน
“พระในตัวเจ้าช่วยเจ้าได้”
ชุนมองสร้อยพระที่ห้อยคอ เขาเห็นท่าไม่ดี ตัดสินใจตอนที่ผีเฟื่องกำลังจะทำนวลอีก ชุนเลยเอาตัววิ่งเข้าไปกอด ผีเฟื่องผงะเมื่อถูกโดนตัวชุนเข้าอย่างจัง รัศมีของพระในคอเขาที่ห้อยไว้ทำเอาตัวผีเฟื่องแทบไหม้ นางปวดแสบปวดร้อนร้องครวญคราง ส่วนชุนเมื่อกอดผีเฟื่องเข้าไปร่างกายก็เริ่มอ่อนแรง ผีเฟื่องสลัดหลุดออกจากเขาผลักเอาตัวออกกระเด็นออกอย่างแรง จนชุนไปชนกับโคนต้นไม้อย่างแรง ผีเฟื่องเจ็บปวด ทรมาน
“ชุน เจ้าทำร้ายข้า ไม่ว่ายังไงก็ตามไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน ข้าจะรอเจ้ามาอยู่กับข้าให้ได้ แม้เจ้าไม่มา ข้าก็จะตามติดอาฆาตรักเจ้าไม่ให้เจ้าได้รักใครอีกเลย”
แล้วร่างผีเฟื่องก็หายไปพร้อมเสียงกรี๊ดดังกึกก้องหน้าผาแห่งนี้ ชุนกับนวลนอนคว่ำอยู่ที่พื้น ทั้งสองพยายามลุกคลานมาหากันแม้ร่างอ่อนแรงทั้งคู่มานอนข้างๆกัน
“อดทนไว้นะชุน อดทนไว้”
“เจ้าอย่างเพิ่งเป็นอะไรนะนวล ข้าอยู่นี่แล้ว”
“ขอบใจที่ยอมทำเพื่อพ่อข้า แต่งงานกับข้านะ”
พูดจบนวลก็เริ่มใกล้หมดลมหายใจ นวลกลั้นใจพูดคำอธิฐานสุดท้ายของเธอ
“ถ้าชาติหน้าหรือชาติใดมีจริง ขอให้เราได้เจอกัน ขอให้ข้าได้รักเจ้าเช่นนี้อีกและขอให้เจ้าได้...หันมารักข้าบ้างสักครั้ง”
ขาดคำนวลก็สิ้นลม ชุนตกใจ
“นวล”
นวลตายอยู่ข้างกายชุน โดยเขาก็สภาพอ่อนแรงย่ำแย่ ชุนสงสารทั้งเฟื่องและนวลที่ต้องเสียใจเพราะรักเขาทั้งคู่ ชุนค่อยๆชันตัวขึ้นมาพยายามลุก และอุ้มนวลขึ้น เขาอุ้มร่างไร้วิญญาณของนวลขึ้นมา แล้วเดินย้อนกลับไป ผีเฟื่องเรียกเขาดังก้อง
“ชุน!”
อ่านต่อตอนที่ 10 (ต่อ)
นางมาร ตอนที่ 10 (ต่อ)
ปัจจุบัน - ปี พ.ศ. 2556
ค่ำคืนหนึ่ง เต็นท์สองหลังตั้งอยู่กลางป่า...สิทธิ์ หรือสิงห์ในอดีตชาติ กำลังคลอเคลียกับหญิงสาว 2 คนอยู่ โดยมีเชตะวัน หรือเชต ซึ่งก็คือชุนในอดีตชาติ นั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ที่หน้าเต็นท์ เกาแขนขาแกรกๆเพราะถูกแมลงกัด สิทธิ์เดินโอบหญิงสาวเข้ามา
“เฮ้ย ไอ้เชต นั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ได้เว้ย ได้เวลาทำอะไรสนุกๆกันแล้วเว้ยเพื่อน”
สิทธิ์ผลักหญิงสาวคนหนึ่งให้เข้าไปหาเชตะวัน หญิงสาวเข้าไปโอบกอดยั่วยวน แต่เชตะวันก็เฉย แถมยังผลักหญิงสาวคนนั้นกลับมาหาสิทธิ์อีกด้วย
“สนุกกันตามสบายเถอะ ฉันไม่มีอารมณ์ ไอ้สิทธิ์ แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบมาเที่ยวป่าเที่ยวเขาอย่างนี้ ไม่เห็นมีอะไรดีเลย แมงก็เยอะ ยุงก็กัด นี่ถ้าฉันไม่แพ้พนันแกละก็ ฉันไม่มีวันมาที่นี่หรอกเว้ย”
“ช่วยไม่ได้นี่หว่า แกอยากแพ้พนันฉันเองทำไมล่ะเพื่อน สรุปว่า...” สิทธิ์มองหญิงสาวที่โอบอยู่ ท่าทางคึกคักมาก “แกสละสิทธิ์...ให้ฉัน ใช่มะ”
เชตะวันหน้าตาหงุดหงิดจัด
“เออ”
“สละสิทธิ์แล้ว ห้ามทวงคืนทีหลังนะเว้ย”
“เออ”
เชตะวันเสียงดัง อย่างอารมณ์เสียมากขึ้น สิทธิ์ไม่เดือดร้อนที่ถูกตะคอกกลับหัวเราะ แล้วโอบสองสาวพาเข้าเต็นท์ไป
“มาสนุกกับพี่กันดีกว่านะจ๊ะ ถึงจะสองคน แต่พี่ก็ไม่ยั่นหรอก...รู้มั๊ย”
ทั้งสามเข้าเต็นท์หลังเดียวกันไป เชตะวันนั่งเกาไม่เลิกด้วยความหงุดหงิด...อีกมุมลำกล้องปืนเก็บเสียงอันหนึ่งกำลังเล็งมาที่เชตะวัน นิ้วเตรียมจะเหนี่ยวไกปืน แต่ทันใดนั้นเชตะวันก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่มุมมืด มือปืนเจ็บใจที่เสียจังหวะการยิงไป มือปืนคว้าปืนแล้วแอบเดินตามไป
เชตะวันเดินไปปลดทุกข์ มือปืนตามเข้ามา ยกปืนขึ้นเล็ง นิ้วมือปืนเหนี่ยวไก เชตะวันเอี้ยวตัวตบยุงที่ขา กระสุนเฉี่ยวหัวไปนิดเดียว ต้นไม้ที่เขามายืนฉี่กระจุย เชตะวันร้อง เฮ้ย!! หันขวับไปมองเห็นมือปืนเล็งปืนมาที่เขาอีก เชตะวันออกวิ่งหนีทันที มือปืนตามไปไม่ลดละ
เชตะวันวิ่งหนีไม่คิดชีวิต มือปืนวิ่งไล่ยิงตามหลังมาอย่างไม่ยอมแพ้ กระสุนเฉี่ยวร่างของเขาไปข้างซ้ายที ขวาที อย่างน่าหวาดเสียว มือปืนวิ่งไล่ยิงมาข้างหลัง คราวนี้ยิงเฉี่ยวถูกแขนของเขา
“โอ๊ย”
เชตะวันล้มหน้าทิ่มไป มือปืนวิ่งตามเข้ามาประชิด ตาจ้องตากันแล้วมือปืนก็เอาปืนเล็งใส่หน้าเขา
“กูไม่ได้มีเรื่องแค้นเคืองอะไรกับมึง กูแค่รับคำสั่งมา อโหสิให้กูด้วย”
จังหวะที่มือปืนกำลังเหนี่ยวไกนั้น เชตะวันที่นอนหมดท่าอยู่ที่พื้นก็กำเศษดินปาใส่หน้ามือปืนสุดแรง เศษดินเข้าหน้ามือปืนเต็มๆ จนปืนเบี่ยงวิถีไป กระสุนจึงลั่นไปโดนกิ่งไม้หักลงมาใส่ตัวมันอีกที มือปืนร้องโอ๊ยล้มลง เชตะวันเห็นเป็นจังหวะดีกัดฟันกุมแขนที่ถูกยิงเฉี่ยว ลุกขึ้นหนีต่อไปจนถึงหน้าผา แล้วพบว่าตัวเองมาจนมุมอยู่ที่หน้าผา ไม่มีทางไปอีกแล้วและมองไปเห็นมือปืนกำลังวิ่งตามมาไกลๆ เขาไม่รู้จะทำยังไงตัดสินใจจะโกนขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วย...ใครก็ได้...ช่วยด้วย”
ผีเฟื่องที่กำลังหลับตาอยู่ ลืมตาโพลงขึ้นมาทันที ตื่นเต้นสุดขีด
“ชุน”
ผีเฟื่องพุ่งมาตามเสียงนั้น
เชตะวันยืนกุมแขนเลือดซึมเปื้อนมองหาทางหนี แต่ไม่รู้จะหนีไปไหนแล้ว ผีเฟื่องพุ่งเข้ามาใกล้ แล้วตาเบิกโพลงด้วยความตื่นเต้นและดีใจที่สุด
“ชุน...ชุนกลับมาหาข้าจริงๆด้วย”
แต่เชตะวันไม่รู้เรื่อง มองทะลุร่างของผีเฟื่องไปข้างหลัง มือปืนเดินย่างสามขุมเข้ามาพร้อมเล็งปืนใส่
“มึงจะฆ่ากูทำไม”
ผีเฟื่องมองเชตะวันอย่างงงๆ สงสัยว่าเขาถามเธออย่างนั้นทำไม แต่พอเห็นว่าเขามองทะลุไปข้างหลังเธอ ผีเฟื่องก็เหลียวมองตามแล้วก็เห็นมือปืนกำลังจะยิงเชตะวัน ผีเฟื่องโกรธ
“มึงจะทำร้ายชุนของข้ารึ”
ผีเฟื่องตัดสินใจแหงนขึ้นมองเหนือหัวมือปืนเห็นรังผึ้ง ทันใด รังผึ้งตกลงมาใส่หัวมือปืนพอดิบพอดี มันเอามือปัดผึ้งที่บินกรูออกมาต่อยเขา มือปืนวิ่งหนีผึ้งจนพลัดตกหน้าผาไป
“อ๊าก”
เชตะวันได้แต่ยืนมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับมือปืนอย่างงงๆ พอแน่ใจว่ามือปืนตกหน้าผาตายไปแล้วไม่สามารถทำร้ายเขาได้อีกแล้ว เขาก็ทรุดลงนั่งอย่างหมดแรง เลือดที่แผลที่แขนยังไหลอยู่ ผีเฟื่องขยับเข้ามาหาเขาอีกครั้ง
“ชุน...ข้าดีใจจริงๆที่ได้พบเจ้าอีกครั้ง เจ้ารู้มั๊ยว่าข้ารออยู่ที่หน้าผานั่นนานกว่า 200 ปีทีเดียว ข้าจะไม่ยอมพลัดพรากจากเจ้าไปไหนอีกแล้ว ชุน...”
เชตะวันอ่อนแรง สิทธิ์วิ่งเข้ามา
“เฮ้ย ไอ้เชต”
สิทธิ์เข้าประคองทันที ผีเฟื่องมองเห็นสิทธิ์เต็มตาก็ตะลึงเพราะรู้ว่าเป็นสิงห์เมื่อชาติก่อน สิทธิ์ไม่รู้ไม่เห็นผีเฟื่อง ประคองเชตะวันกลับไปที่เต้นท์อย่างเร่งด่วนทันที ผีเฟื่องได้สติจึงตามชุนกับสิทธิ์ไป
“จะเอาชุนของข้าไปไหน”
สิทธิ์ประคองเชตะวันเข้าไปนั่งในรถ สองสาววิ่งเก็บของเท่าที่จะเก็บได้มาที่รถ พอเห็นสภาพของเชตะวันก็วี๊ดว๊ายตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นกับคุณเชตคะนั่น ว๊าย เลือดออกเต็มเลย”
“ไอ้เชตไหวนะเว้ย”
“ฉันไหวอยู่ ถ้าจะไม่ไหวเพราะพวกแกถามฉันมากนี่แหละ”
“เอ๊า ทุกคน รีบขึ้นรถเร็วสิ”
สองสาวรีบโดดขึ้นนั่งรถ สิทธิ์รีบขึ้นขับรถแล้วตะบึงรถกลับเข้าเมืองเพื่อพาเชตะวันไปรักษาอย่างเร็วที่สุด เชตะวันสะลึมสะลือเพราะเสียเลือดมาก ผีเฟื่องเกาะอยู่บนหลังคารถตามมาด้วย
“ชุน...ไม่ว่าเจ้าจะไปอยู่ที่ไหน ข้าจะไปอยู่กับเจ้าด้วย ชุน...”
เชตะวันสลบไป ผีเฟื่องเกาะหลังคารถมาโดยที่ไม่มีใครในรถรู้เรื่องเลย
หน้าห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลในกรุงเทพ...สิทธิ์วิ่งตามรถเข็นที่พาเชตะวันเข้าห้องฉุกเฉินไปเขาตะโกนบอกเพื่อน
“ทำใจดีๆนะเพื่อน ฉันโทรบอกพ่อกับพี่ชายแกแล้วนะ”
อาทิตย์ก็คือพระยาอารักษ์ในอดีตชาติ และพายัพก็คือพันในอดีตชาติวิ่งเข้ามาด้วยความเป็นห่วง
“เกิดอะไรขึ้นสิทธิ์ ทำไมไอ้เชตถึงถูกยิงล่ะ ไปทำอีท่าไหนถึงโดนลูกปืนมาได้” อาทิตย์ถามอย่างเป็นห่วง
“เออ คุณพ่อครับตอนนี้ผมยังไม่รู้ว่าเลยครับ ว่าใครยิงมันและมันไปพลาดท่าโดนได้ยังไง เพราะพวกเราก็เที่ยวป่าเที่ยวเขาลึกขนาดนั้น มันก็ไม่น่าจะมีใครแถวนั้นนะครับ นอกจากมีคนจ้างสั่งมือปืนให้มายิงไอ้เชตนะครับพ่อ” สิทธิ์อธิบาย
พายัพหน้าเครียด
“แล้วเชตมีศัตรูกับใครรึเปล่าล่ะ เห็นชอบไปเกาะแกะผู้หญิงคนอื่น เจ้าของหญิงเขาคงสั่งมาเก็บนะสิ เฮ้อ...แล้วตอนนี้เชตเป็นยังไงบ้าง”
“ก็จากที่เห็นก็น่าจะแค่เฉี่ยวๆละครับพี่พายัพ แต่ยังไงก็คงต้องรอฟังผลจากหมออีกทีละครับ”
อาทิตย์ถอนใจ
“เฮ้อ...ไอ้ลูกเวรนี่ก็หาแต่เรื่องเดือดเนื้อร้อนใจมาให้ไม่รู้จักหยุดจักหย่อน มันเกิดมาเป็นมารชีวิตฉันจริงๆ...ฉันจะกลับละ” อาทิตย์สั่งสิทธิ์ “มีอะไรก็โทรไปบอกที่บ้านก็แล้วกัน”
สิทธิ์หน้าเหวอ
“อ้าว...แล้วพ่อจะไม่รอฟังผลอาการของเชตมันก่อนรึครับ”
“ไม่...มันไม่ตายหรอก” อาทิตย์หันไปบอกกับพายัพ “ส่วนแกก็กลับพร้อมฉันเลย ปล่อยไอ้สิทธิ์เพื่อนรักมันดูแลกันไป”
“ครับพ่อ” พายัพหันไปหาสิทธิ์ “ฝากเชตด้วยนะ”
อาทิตย์กับพายัพก็เดินกลับไปเลย สิทธิ์พูดไม่ออก
อาทิตย์กับพายัพเดินมาที่จอดรถซึ่งจอดติดกับคันของเชตะวัน ทั้งสองขึ้นรถ ปิดประตู เมื่ออยู่ในรถพายัพสตาร์รถ สตาร์ตยังไงก็ไม่ติด
“เอ...รถเป็นอะไรเนี่ย”
อาทิตย์หงุดหงิด
“ยังไงเนี่ย รถใหม่ขนาดนี้มีปัญหาได้ไง ลงไปเปิดดูกระโปรงหน้ารถสิ”
พายัพลงรถไปดู ส่วนอาทิตย์ก็นั่งรอในรถ เขาหันไปมองนอกหน้าต่างมองไปทางรถเชตะวัน คิดว่าตาฝาดเห็นคนแว่บๆ ผีเฟื่องนั่งอยู่ในรถอย่างน่ากลัว อาทิตย์ตกใจตั้งสติ
“ตาฝาดรึเปล่าเนี่ย”
อาทิตย์พยายามตัดสินใจหันไปดูอีกรอบ ค่อยๆหันไปดู ลุ้นว่าจะเห็นอีกรึเปล่าแต่ไม่มีอะไรแล้ว อาทิตย์ค่อยโล่ง แต่ต้องตกใจเมื่อเสียงฝากะโปรงหน้ารถปิดดัง ปัง! เพราะพายัพเช็คเรียบร้อยแล้ว
“เฮ้ย”
“มันก็ไม่เป็นอะไรนะพ่อ แบตเตอรี่ก็ไม่หมด ไดสตาร์ทก็ไม่น่ามีปัญหา เดี๋ยวลองอีกที”
พายัพเดินขึ้นรถมาสตาร์ทเครื่องอีก
“อ้าว เป็นอะไรพ่อ หน้าซีดเชียว หน้ายังกับเจอผี”
“แกพูดอะไรบ้าๆ ไอ้พายัพ ดึกๆดื่นๆ ฉันยิ่งกลัวอยู่”
พายัพแอบยิ้ม แล้วลองสตาร์รถใหม่ ค่อยๆทำ จนติด
“ติดแล้ว...สงสัยอากาศจะเย็นเกินไป ว่าแต่คืนนี้หนาวจริงๆนะพ่อ”
“เร็วๆ ไปได้แล้ว”
อาทิตย์รู้สึกแปลกๆ และยังติดใจกับภาพที่เห็นจนกลัวไปเลย อยากรีบออกไปจากที่นี่เร็วๆ
รถแล่นออกไป ผีเฟื่องที่นั่งอยู่ในรถนิ่ง ค่อยๆหันหน้ามา น้ำตาไหลออกมาเป็นเลือด
“เจ้าคุณพ่อ ขอลูกอยู่กับชุนก่อนนะเจ้าคะ แล้วลูกจะไปหา”
เนตรอัปสร หรือนวลในอดีตชาติ เดินกลับเข้าบ้านพร้อมทิพย์ หรือทับทิมในอดีตชาติ และปารมี เพื่อนสนิทอีกคน สามสาวเดินมาด้วยกันในชุดพยาบาล
“เธอสองคนโชคดีจังที่ได้บรรจุแล้ว แต่ฉัน...” เนตรอัปสรหน้าเศร้าและเซ็ง
เนตรอัปสรพูดไม่ออก ทิพย์เห็นใจเพื่อน
“ซวยไงนะโม...รู้จักใช่มั๊ย ซวยน่ะ”
“ไม่ต้องเน้นมากขนาดนั้นก็ได้ทิพย์ งั้นฉันคงต้องรีบหางานที่ใหม่ทำแล้ว”
ปารมีคิดๆ
“พรุ่งนี้ฉันจะลองไปคุยกับหัวหน้าดูนะ เผื่อว่าเขาจะเปลี่ยนใจ”
เนตรอัปสรส่ายหน้า
“ไม่มีประโยชน์หรอกปาน เขาก็จะพูดเหมือนเดิมแหละว่า...ไม่มีตำแหน่ง”
ปารมีปลอบ
“อย่าเพิ่งท้อนะ...นะโม”
เนตรอัปสรพยักหน้ารับ ยิ้มเศร้าๆ แล้วทันใดนั้นเธอก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อมีไอ้โม่งคนหนึ่งเอาปืนมาจี้ข้างหลังปารมี
“หยุด อย่าขยับ มีเงินเท่าไหร่ในกระเป๋าเอาออกมาให้หมด...ทั้งสามคนนั่นแหละ”
เนตรอัปสร ปารมี และทิพย์ ต่างลนลานค้นเงินออกมาส่งให้ไอ้โม่ง แต่ในจังหวะที่ไอ้โม่งเอื้อมมือมารับเงินจากปารมีกับทิพย์ เนตรอัปสรก็ฉวยจังหวะที่มันเผลอ เอากระเป๋าถือฟาดใส่มือมันจนปืนตกกระเด็นไป เนตรอัปสรตามไปฟาดกระเป๋าใส่โจรซ้ำอีก ปารมีกับทิพย์เข้าร่วมด้วย โจรยกมือขึ้นป้องหัวและหน้าแล้วร้องลั่น
“โอ๊ย นะโม ปาน ทิพย์ อย่าทำหมอ”
สามสาวชะงัก มองหน้ากันอย่างงงๆ แล้วยิ่งเหวอหนักเมื่อโจรถอดหมวกไอ้โม่งออกสามสาวตะลึง ร้องออกมาพร้อมกัน
“หมอก้อง”
หมอก้องยิ้มจ๋อยๆ
ปารมีกับทิพย์ประคองหมอก้องกันมาคนละข้าง เนตรอัปสรล้วงหยิบกุญแจบ้าน
“หมอนี่ก็เล่นอะไรไม่รู้จักโต มาเล่นแบบนี้ ไม่ถูก ยำ ก็บุญแล้ว” ปารมีเอ็ด
หมอก้องเสียงอ่อยๆ
“นี่ขนาดยังไม่ ยำ หมอนะ หมอยังหัวน่วมขนาดนี้เลย”
ทิพย์มองหน้า
“ก็ใช่สิคะหมอ แล้วหมอลองคิดสิ ถ้าหมอถูกยำจริงๆละก็ หมอจะเละขนาดไหน”
เนตรอัปสรไขประตูบ้านเปิดออก
“เข้าบ้านก่อนเถอะ จะได้ใส่ยาให้หมอ”
เนตรอัปสรเปิดไฟในบ้าน แต่ไฟไม่ติด คนอื่นเริ่มเลิ่กลั่ก เนตรอัปสรลองเปิดไฟอีกครั้งบ้านยังมืดเหมือนเดิมแล้วเธอก็นึกอะไรได้หันมายิ้มแหยๆให้เพื่อนๆ ทิพย์มองหน้าเพื่อน
“อย่าบอกนะว่าบ้านเธอ...”
เนตรอัปสรพยักหน้าจ๋อยๆ
“ถูกตัดไฟ”
คนอื่นๆอ้าปากอึ้งไปตามๆกัน
ทุกคนนั่งล้อมวงกินขนมด้วยกันท่ามกลางแสงเทียนเพียงหนึ่งแท่ง ทิพย์เอามือถือมาเปิดไฟส่องดูของกินอย่างทุลักทุเล เนตรอัปสรยิ้มแหยๆ
“ฉันต้องขอโทษด้วยนะที่ทำให้ทุกคนต้องลำบากน่ะ”
ทิพย์ค้อน
“ใครลำบาก ฉันไม่ได้ลำบากสักหน่อย”
ปารมีเริ่มเป็นห่วง
“ไฟถูกตัดแล้วติดเสาร์ อาทิตย์อย่างนี้ด้วย ไฟฟ้าเขาไม่มาต่อไฟให้เธอแน่ นะโม แล้วเธอจะอยู่ได้ยังไงเนี่ย”
เนตรอัปสรอึ้ง หมอก้องหันมาบอก
“นะโม มีอะไรให้หมอช่วยบอกนะ สำหรับนะโม หมอช่วยได้เสมอ”
ปารมีเห็นจึงรีบตัดบท เพราะแอบชอบหมอก้อง
“งั้นเธอไปอยู่หอพักฉันกับยายทิพย์ก่อนดีกว่า ถึงจะคับแคบหน่อยแต่ก็คงพออยู่ได้ละ”
“งั้นฉันรบกวนหน่อยนะปาน ทิพย์ ขอบคุณนะคะหมอก้อง นะโมคงต้องรีบหางานใหม่ทำโดยด่วนแล้วละ”
ทิพย์เห็นด้วย
“ถูกต้องละคร๊าบ ขืนคุณนะโมค้างค่าไฟอีก ก็คงต้องโดนตัดไฟอย่างงี้อีกนะจ๊ะ”
ทุกคนดูเหมือนมีความสุขที่เพื่อนสาวจะไปอยู่ด้วย เนตรอัปสรแอบกลุ้มใจเรื่องงาน
วันใหม่...สิทธิ์ขับรถพาเชตะวันกลับมาบ้าน เขาประตองเชตะวันลงรถ บวรหรือนายเบี้ยในอดีตชาติ กับอนงค์ หรืออุ่นในอดีตชาติวิ่งเข้ามารับ
“ต๊าย...คุณเชต คุณเชตเจ็บมากมั๊ยคะนั่น”
บวรซึ่งเป็นใบ้ วิ่งเข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้า สงสารเชตะวันที่ถูกยิง
“แหม...น้า คุณเชตไม่เป็นไรแล้วเห็นไหม” อนงค์หันมาค้อน
บวรดีใจมากที่เชตะวันไม่เป็นอะไร เพราะเขาทั้งรักและห่วง
“ขอบใจนะไอ้สิทธิ์ หลังจากนี้ฉันไม่มีวันไปเที่ยวป่าเขาที่ไหนอีกละ อยู่แต่ในเมืองอย่างเดิมดีกว่า” เชตวันบ่น
“ใจเสาะจริงเว้ย”
“เออ...ก็แกไม่ใช่คนที่ถูกยิงนี่หว่า”
อนงค์สงสัย
“ตกลง...คุณเชตถูกใครยิงมาคะเนี่ย”
เชตะวันแค้นใจขึ้นมาอีก แต่ยังไม่ทันจะตอบ พายัพกับอาทิตย์ก็เดินเข้ามา
“ถูกยิงในป่าอย่างงั้น ถ้าไม่ใช่พวกขนของเถื่อน ก็คงเป็นพวกขบวนค้ายานะสิ” พายัพพูดขึ้น
เชตะวันจ้องหน้าพายัพ
“แต่ผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นพวกนั้นผมคิดว่าน่าจะมีใครบางคน ส่งมือปืนไปเก็บผมมากกว่า”
พายัพหน้านิ่งเหมือนไม่มีอะไร อาทิตย์เข้ามา
“ใครจะเก็บแก”
“ก็คนที่จะได้ประโยชน์จากการตายของผมน่ะสิครับพ่อ”
“แกคิดมากไปรึเปล่าไอ้เชต ที่แกพูดแบบนี้ แกหมายถึงพี่แกเป็นคนสั่งเก็บแกอย่างนั่นเหรอ”
“ผมนึกแล้วว่าพ่อต้องพูดแบบนี้ เพราะพ่อน่ะรักพี่มากกว่าผม ที่สำคัญพ่อห่วงสมบัติของพ่อ มากกว่าห่วงผมมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
อาทิตย์ตบหน้าเชตะวัน
“นอกจากแกจะทำตัวไร้สาระไปวันๆ ไม่เคยทำอะไรให้ฉันภาคภูมิใจได้ เคยดูสภาพตัวเองไหมว่าเหมือนคนปกติเขารึเปล่า แกยังคิดร้ายกับพี่แท้ๆของแกอีก แกนี่มันเลวจริงๆ”
เชตะวันเสียใจกับสิ่งที่พ่อพูดแล้วเขาก็เดินปังๆขึ้นห้องไป บวรกับอนงค์ตามไป อาทิตย์ส่ายหน้าอย่างระอาใจ สิทธิ์ทำตัวไม่ถูกเลย ในขณะที่พายัพมองตามอย่างเจ็บใจแล้วพายัพก็เดินไปหลังบ้าน
พายัพถีบพงษ์ซึ่งก็คือเพียรในอดีตชาติกระเด็นไป เหมือนพฤติกรรมที่พันเคยทำกับเพียรในชาติที่แล้ว
“ไหนมึงว่ามือปืนที่มึงจ้าง...มันเก่งนักเก่งหนาไงวะ”
“ผมก็ไม่คิดว่ามันจะพลาดนี่ครับเจ้านาย”
“ดีสมน้ำหน้า ตกผาตายไปซะได้ก็ดี”
“แต่ผมแปลกใจนะครับนาย ทำไมคุณเชตรอดมาได้ แล้วทำไมไอ้บุ่นมือปืนของเราถึงพลัดตกผาตายไปได้ ปกติมันไม่เคยพลาดเลยนะครับนาย”
“ฮึ่ย ยิ่งพูดแล้วกูยิ่งเจ็บใจ อุตส่าห์มีโอกาสดีๆแล้วแม่งยังทำพลาดซะได้ ไอ้เชตมึงยังโชคดีอยู่ ยังไงกูไม่ปล่อยมึงไว้แน่”
พายัพ เจ็บใจสุดๆ ที่เก็บเชตะวันไม่ได้
อ่านต่อตอนที่ 11