วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 7
ฉินเจียงเปิดประตูห้องเข้ามา แล้วชะงักที่ห้องเปิดไฟสว่าง เสียงเพลงดังเจื้อยแจ้ว ซูหลิงร้องเพลงจีนของเติ้ง ลี่ จวิน พลางกำลังจัดของบางอย่างอยู่อย่างเพลิดเพลิน ฉินเจียงเดินเข้าไป ซูหลิงหันมายิ้มทัก
“ว่างแล้วหรือคะ นึกว่าจะไม่กลับมานอนที่นี่ซะอีก”
“ทำอะไร ดึกป่านนี้ ทำไมยังไม่นอน”
“ดูสิคะ พวกนี้คือภาพปักโบราณ ชั้นเริ่มรื้อออกมาจากลังเก่าของพ่อ ยังสมบูรณ์ทุกชิ้น ไม่ถูกแมงกินเลยซักนิด ชั้นจะเอาใส่กรอบ มาแต่งร้านแอนที้คของชั้น แล้วคุณล่ะคะ ไปทำอะไรมา หน้าตาดำคล้ำเป็นมันเชียว”
“สังเกตเห็นเหมือนกันหรือ ชั้นไปทำงานหนักมาก เหนื่อยมาก”
ซูหลิงวางมือ ลุกมาดู
“ไปทำอะไรมาคะ คุณไม่ได้ไปมาเก๊าหรือ นึกว่าคุณไปที่บ่อนแล้วเลยเพลินเสียอีก”
“คุณก็เห็นผมเป็นคนเหลวไหลตลอดเวลานั่นแหละ ใช่ไหม”
“ไม่ใช่นะคะ”
“เทียบกะไอ้จ้าวซัน ที่มันให้เงินคุณมาเปิดร้านแอนที้ค ผมคงไม่เอาไหน งี่เง่า ต่ำตมสุดๆ ล่ะสิ”
“เอาอีกแล้ว ไม่มีใครว่าอะไรคุณซักนิด มีแต่คุณที่ว่าตัวเอง”
“แต่ต่อไปนี้ ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป รู้ไหม ซูหลิง ผมกำลังจะกลายเป็นคนสำคัญ ยิ่งใหญ่กว่าจ้าวซัน รวยกว่ามัน เพราะผมพบอาชีพใหม่ ที่ดีกว่าเป็นไท้เผ่งฉินเย่ว์กรุปมากนัก”
“อาชีพอะไรคะ”
“คุณคงรู้สินะ ว่ามีพวกผู้ก่อการร้ายมากมาย อยู่ในประเทศต่างๆ พวกที่ต้องต่อสู้กับรัฐบาลของตัวเองบ้าง กับเผ่าพันธุ์ หรือคนที่ต่างศาสนากับตัวเองบ้าง คนพวกนี้ต้องการอาวุธดีๆ เพื่อจะไปสู้กัน”
“คุณ...จะขายอาวุธ ให้คนไปฆ่ากัน”
“ตราบใด ที่มนุษย์มันยังช่วงชิงอำนาจ แก่งแย่งทรัพยากร โง่เง่ามัวเมาในลัทธิหรือรับใช้ความเชื่อ ความศรัทธาต่างๆ ที่ทำให้พวกมันต้องฆ่ากัน ผมจะไม่มีวันจน”
“แต่ว่า มันบาปนะ จ้าวฉินเจียง”
“บาปยังไง คนบางกลุ่มเค้าก็ฆ่ากันเพื่อพระเจ้าของเค้า ผมก็เท่ากับได้ช่วยให้ทุกกลุ่มได้สู้เพื่อนพระเจ้าของทุกศาสนาเลยไง ผมได้บุญนะ ฮะๆๆ”
“ฉินเจียง คุณรู้ตัวไหมว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่”
“คุณไม่ต้องกลัวหรอกน่า คนเรามันไม่ชอบสันติภาพหรอก ถ้าโลกมีสันติภาพ ผมถึงจะตกงาน เพราะฉะนั้นธุรกิจนี้ ไม่มีวันเจ๊งแน่ เพราะโลกไม่มีวันมีสันติภาพอย่างแน่นอน จนกว่ามันจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ นั่นแหละ”
ซูหลิงหน้าซีด สลด มองฉินเจียงสยอง
บริษัท ซื่อฉวนแฟชั่น จำกัด เป็นโรงงานผลิตสิ่งทอ ขณะนั้นคนงาน 3-4 คนกำลังช่วยกันขนลังขนาดใหญ่ ลำเลียงเข้าใส่ท้ายรถตู้คอนเทนเนอร์ขนาดเล็ก เจิ้นจงกำลังถือคลิปบอร์ดคอยนับจำนวนและตรวจเช็คของอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“มัวแต่ชักช้า เสร็จแล้วก็ปิดประตูให้สนิทล่ะ”
คนงานปิดประตูตู้คอนเทนเนอร์ดังปัง ล็อคแน่นหนา
“พี่เจิ้นจงซะอย่าง เหยียบแป๊ปเดียว เดี๋ยวก็ถึงท่าเรือแล้ว”
“เฮ้ยย พูดไป พี่ขับไม่เกินหกสิบ”
ทุกคนหัวเราะกัน เจิ้นจงกระโดดขึ้นรถไป โยนคลิปบอร์ดไว้ข้างตัว สตาร์ทรถ เจิ้นจงเหยียบคันเร่งออกตัวไปอย่างแรง ฝุ่นตลบอยู่ด้านหลัง คนงานปัดฝุ่นควันที่คลุ้งอยู่กันพัลวัน เจิ้นจงมองกระจกหลังยิ้มๆ
รถบรรทุกที่มีตราของบริษัทซื่อฉวนแฟชั่น แล่นผ่าความมืดไปอย่างรวดเร็ว ภายในรถเจิ้นจงกำลังร้องเพลงจ้าวพ่อเซี่ยงไฮ้ เสียงดังอยู่ในรถอย่างอารมณ์ดี
“ง๊อย เน๊ ฮั่น เน๊ อัน ฟ้าง ชิง เฟา ซุย ต่าย โง้ว...ไอ๊หย๊า...”
สายตาเจิ้นจงเห็นมอเตอร์ไซค์ล้มและคนนอนขวางทางอยู่ เจิ้นจงเบรกตัวโก่ง รีบเปิดประตูรถ ชั่งใจครู่นึง กระโดดลงไปดู
“เฮ้ย” เจิ้นจงควักปืนระวังตัวเช่นกัน “ตายหรือเปล่าวะน่ะ”
ทันใดนั้นก็มีไอ้โม่งชุดดำสามคนเดินเข้ามาประกบ
“เจิ้นจง แห่งซื่อฉวนแฟชั่น ที่เพิ่งขายกิจการไปอยู่ใต้ปีกของคุณชายจ้าวซันใช่ไหม”
เจิ้นจงหันไป หน้าเหวอสุดขีด
เช้าวันรุ่งขึ้นที่โรงพยาบาล จ้าวซันลืมตาขึ้น พร้อมอาการผวาลุก
“ศิขรนโรดม” เหม่ยอิงที่นอนฟุบที่เก้าอี้ข้างๆ สะดุ้งลุก จ้าวซันมองมาแล้วอึ้ง “เหม่ยอิง”
“พี่ชายฟื้นแล้ว ดีใจจังเลย” เหม่ยอิงลุกวิ่งมา แล้วกอดแขนจ้าวซันแน่นน้ำตาซึม “พี่ชายคะ เหม่ยอิงตกใจหมดเลย พี่ชายสลบไป 1 วัน 1 คืนเลยนะคะ เหม่ยอิงนั่งเฝ้าพี่ชายอยู่ตลอดเวลาเลยค่ะ เหม่ยอิงกลัวม้าก...มาก...ว่าพี่ชายจะเป็นอะไรสาหัสหรือเปล่า แต่หมอก็ยืนยัน ว่าไม่เป็นไร”
จ้าวซันมองเหม่ยอิง งง มองรอบๆ ตั้งสติ แล้วนึกได้
“บราลี...บราลีล่ะ”
เหม่ยอิงผงะ อึ้ง ผละออกมา
“พี่ชาย อะไรกันคะเนี่ย ไปถามถึงเค้าทำไม เค้าสนใจพี่ชายซะที่ไหน”
“บราลีเป็นยังไงบ้าง เจ็บมากหรือเปล่า” จ้าวซันจะลุกจากเตียง “ยังอยู่ในโรงพยาบาลนี้หรือเปล่า หรือว่าบราลีเป็นอะไร” จ้าวซันใจไม่ดี กลัวบราลีตาย
“ยัยบรีเค้าไม่เป็นไรเลยค่ะ แค่ฟกช้ำดำเขียว แขนถลอกนิดๆ หน่อยๆ กระมั้ง พี่ชายไม่ต้องเรียกหาเค้าเสียงหลงขนาดนั้นหรอกค่ะ พอเค้าลุกได้ เขาก็เปิดก้นกลับบ้านไป ไม่เห็นจะสนใจไยดีเลยซักนิด ชวนกะยัยซายหมุยของเราไปเที่ยวกันเพลินแล้ว งานรับเสด็จ เค้าก็วางมือ ทิ้งไปหมดทุกอย่างเลยค่ะ”
“รับเสด็จ องค์ชายรัชทายาทคีรีรัฐ จริงสิ องค์ชายล่ะ”
“เรียบร้อยค่ะพี่ชาย ทั้งรับเสด็จ งานทรงบรรยายเรื่องราวของคีรีรัฐต่างๆ ให้สมาคมพ่อค้าฮ่องกงฟัง พี่ชายสบายใจได้”
“จริงหรือ แล้วใครถวายการต้อนรับทั้งหมด”
“จะใครซะอีกล่ะคะ ก็น้องเอง น้องคนเดียวเลย แล้วพอเสร็จงานน้องก็รีบพุ่งมานอนเฝ้าพี่ชาย นอนค้างที่นี่ อยู่เคียงข้างพี่ชาย น้องสามารถทำงานแทนพี่ชาย ช่วยพี่ชาย และดูแลเอาใจใส่พี่ชาย น้องทำได้ทุกอย่างนะคะ พี่ชายขา”
“ขอบใจน้องมาก”
“พี่ชายไม่ต้องขอบใจหรอกค่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพี่ชาย คือความสุขและความเต็มใจของน้องเอง พี่ชายวางใจและวางมือทุกอย่างได้ ในยามพี่ชายเจ็บป่วย พี่ชายไม่ต้องพะวงอะไรทั้งนั้น ตราบใดที่พี่ชายยังมีเหม่ยอิงคนนี้ให้พี่พิงหลัง” จ้าวซันอึ้ง
“แล้วตอนนี้ ใครพาองค์ชายเสด็จไปเที่ยวชมที่ต่างๆ ตามกำหนดการล่ะ”
“องค์ชายประชวรค่า”
“อะไรนะ ศิขรเป็นอะไร” จ้าวซันลุกจากเตียงพรวด แล้วหน้ามืด ทรุดลง เหม่ยอิงโดดประคอง
“พี่ชาย พี่ชายยังอ่อนแอมากนะคะ พี่ชายไม่ไหวหรอกค่ะ ปล่อยวางซะบ้างเถอะ”
“ศิขรนโรดมประชวรเป็นอะไร ใครทำอะไรองค์ชาย”
“แหม...ไม่มีใครทำอะไรหรอกค่ะ ทรงป่วยเป็นไข้ สงสัยจะผิดอากาศ ตอนนี้บ้านเราเย็นๆ นิดหน่อยแล้วนี่คะ สงสัยประเทศของพระองค์อาจจะร้อนมั้ง หรือไม่ก็เพิ่งไปเจออากาศร้อนตับแตกที่เมืองไทยมา มาเจออากาศฮ่องกง เลยไข้ขึ้นซะงั้น” เหม่ยอิงหัวเราะเบาๆ “ดีออกค่ะ พี่ชายจะได้ไม่ต้องเหนื่อย พี่ชายใจเย็นนะคะ พักก่อนนะคะ”
มีเสียงเคาะประตู หมอและพยาบาลเข้ามา
“คุณหมอขา พี่ชายฟื้นแล้วค่ะ แล้วดูสิคะ พอได้สติก็จะไปทำงานท่าเดียว คุณหมอช่วยห้ามทีสิคะ”
เหม่ยอิงฉอเลาะ
ที่บ้านหลินจื้อเหม่ย บราลีตักซุปใส่หม้อสำหรับหิ้วมีหลินจื้อเหม่ยยืนตักซดถ้วยเล็กอยู่ข้างๆ
“อร่อยมากๆ เลย บรี ฝีมือเราสองคนนี้เริ่ดมากๆ ถ้าคุณชายฟื้นขึ้นมา ได้กินแล้วต้องหายช้ำใน มีเรี่ยวแรง หายอย่างรวดเร็วแน่ๆ”
ทันใด ผิงอัน อาม่าเข้ามา
“ฮาโหลๆๆ บ้านนี้มีใครอยู่หรือเปล่า” บราลีหันไป “โอ้โห พี่ต้มน้ำแกงให้พี่ชายด้วยมือตัวเองเลยเหรอ พี่บรี พี่ชายรู้ ต้องดีใจมากๆ แล้วกินจนหมดหม้อแน่ๆ รีบไปเร็วๆ รีบไป ก่อนที่น้ำแกงจะเย็นเร้ว”
ผิงอันเร่งเป็นการใหญ่
ไม่นานนักผิงอันกับอาม่าพาบราลีมาที่บ้านสี่ฤดู บราลีเดินถือหม้อหิ้วตามผิงอันและอาม่าขึ้นบันไดมา
“ที่จริงเขาก็ไม่ให้กลับนะคะ แต่คุณชายแหละดื้อ พอฟื้นก็ไม่ยอมอยู่แล้วล่ะโรงพยาบาล ห่วงนั่นห่วงนี่เต็มไปหมดจะกลับบ้านท่าเดียว” อาม่าบอก
“ที่แน่ๆ คนที่พี่ชายห่วงที่สุดก็คือพี่บรี”
ทั้งสามโผล่หน้าเข้าไปในห้องที่เปิดประตูอ้าทิ้งไว้ แล้วต่างผงะเมื่อเห็นจ้าวซันซึ่งอยู่ในชุดนอน ที่นั่งเอนๆ ที่เตียง กำลังแย่งโทรศัพท์กับอากง
“ไม่ๆๆ อากงไม่ให้คุณชายติดต่อกับใครทั้งนั้น คุณชายต้องพักผ่อน ไม่ต้องไปรับทราบอะไรทั้งนั้น ขาดคุณชายไปซะคน โลกมันก็คงต้องหมุนต่อไปเองได้”
จ้าวซันหันหลังให้ประตู แต่อากงหันหน้ามาจึงเห็นพวกบราลีพอดี
“แต่...องค์ชายศิขรนโรดม”
“องค์ชายที่ไหนก็ช่าง อากงไม่สน แต่คุณชายคือองค์ชายของอากง อากงขอโขกศีรษะกะพื้น คารวะเป็นพันๆหนให้คุณชายพักผ่อน เข้าใจไหม อย่าให้อากงต้องดุเหมือนเป็นเด็กหน่อยเลย เอ้า...คุณผู้หญิงครับ ช่วยมาห้ามไว้ที อากงจะริบโทรศัพท์คุณชายแล้ว”
จ้าวซันหันมา บราลี จ้าวซัน เห็นกัน ต่างดีใจ
“เมย...ม่านฟ้า เอ้อ...บราลี”
บราลียืนอึ้ง อากง ผิงอัน อาม่า พยักหน้ากันแล้วอากงก็รวบโทรศัพท์ไปเก็บ แล้วถอยออกไปจากห้อง บราลี
เดินเข้าไปหาจ้าวซัน มองหน้าแบบประหม่า
“ทั้งหมดนั่น คือ...ชื่อของชั้น หรือคะ”
“เอ่อ” จ้าวซันลูบผมท้ายทอยตัวเองไปมาแก้เก้อ “ผม...ยังมึนๆ อยู่เลย คุณล่ะ บรี เป็นอะไรมากหรือเปล่า เจ็บตรงไหนบ้าง ผมต้องขอโทษที่ขับรถไม่ดี”
“คุณฟื้นแล้วก็ดีแล้ว ชั้นก็แค่ฟกช้ำดำเขียวนิดหน่อยเอง”
“ไม่มีอะไรแตกหักนะ กระดูกหรือศีรษะกระแทกหรือเปล่า”
บราลีวางหม้อลง
“ไม่มีค่ะ ตรงนี้เจ็บนิดเดียว” บราลีจับที่ไหล่ตัวเอง
“ไหน ขอดูหน่อย”
บราลีเข้าไปใกล้ แล้วเปิดต้นแขนให้ดู มีรอยช้ำเขียวที่ต้นแขน จ้าวซันเอานิ้วแตะเบาๆ
“ต้องเจ็บมากแน่ๆ เลย”
“น้อยกว่าคุณนะคะ” จ้าวซันมองหน้า ตื้นตัน ดึงบราลีมากอดเบาๆ “จ้าวซัน” บราลีน้ำตาไหล
“ผมนึกว่า ผมคงตายไปแล้ว”
บราลีร้องไห้ กอดตอบ
“คุณต้องไม่ตาย คุณต้องไม่เป็นอะไร” ทั้งสองกอดกันนิ่งๆ ซักพัก บราลีดึงตัวออกมา “คุณอย่าเพิ่งทำงานนะคะ ทำอย่างที่อากงคนนั้นบอก ปล่อยให้โลกมันหมุนไปของมันเองบ้าง” บราลียิ้มเอาใจ ประจบเหมือนเด็กๆ “ขาดคุณซักคน โลกมันก็เดินไปข้างหน้าของมันได้..นะคะ พักการแบกโลกไว้ซักวันก็ยังดี” บราลีหันไป กุลีกุจอหยิบหม้อหิวมาอวด “ชั้นทำต้มน้ำแกงกับหลินจื้อเหม่ย คุณอยากลองชิมไหมคะ”
จ้าวซันยิ้มกว้าง
อีกด้านหนึ่งที่โรงแรม ที่ Front Desk พนักงานพนักงานต้อนรับ 2-3 คน กำลังทำงานเช็คอินลูกค้า มิถิลาใส่หมวกแก็ป ดึงลงมาปิดตา ลับๆ ล่อๆ กล้าๆ กลัวๆ หันซ้ายหันขวา รอจังหวะไม่มีคนแล้วจึงรีบเดินไปที่เคาน์เตอร์
“May I help you, mister?”
“เอ่อ.. คือ.. telephone” พนักงานทำท่าทางประกอบ “back.. my home.. Where?”
พนักงานทำท่าอธิบาย ชี้ไปทางห้องบริการอินเตอร์เนตที่อยู่ไปทางด้านหลัง มิถิลาหันไปมอง ยิ้มให้พนักงาน พยักหน้าขอบคุณ แล้วเดินออกมาอย่างหลบๆ ซ่อนๆ
มิถิลาเดินมาถึงห้องบริการอินเตอร์เนต มีคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่สองเครื่อง ไม่มีคนใช้ มิถิลารีบเข้าไปนั่ง ภาพโปรแกรมคอมพิวเตอร์กำลังแสดงให้เห็นว่ากำลังติดต่ออยู่ มิถิลาลุ้น หันซ้ายหันขวา
“ช้าจริง ช้าจริง”
ภาพพระนางสิริวารตีใส่ head set ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ปรากฏขึ้น
ที่ห้องทรงงานเจ้าชายมาทยาธร คีรีรัฐ พระนางสิริวารตีกำลังนั่งอยู่หน้าโน้ตบุ๊ค
“มิถิลา ทำไมเจ้าไม่ติดต่อมาเลย รู้ไหมเราร้อนใจมากแค่ไหน ตกลงเกิดอะไรขึ้น”
มิถิลาก้มลงไปที่ไมโครโฟน พยายามพูดให้เบาที่สุดและก็คอยหันดูอยู่ที่ประตูตลอดเวลา ขณะนั้นศิขรนโรดมเดินออกมาจากลิฟต์ ในชุดมีผ้าพันคอและหมวกมิดชิด ศิขรนโรดมชะเง้อมองหามิถิลาที่ล็อบบี้ ไม่เจอใคร
“พระนาง เย็นพระทัยก่อนเพคะ ตอนนี้องค์รัชทายาทปลอดภัยดี แต่ยังทรงมีไข้เล็กน้อย”
ศิขรนโรดมเดินไปถามที่พนักงานต้อนรับคนเดิม พนักงานทำท่าอธิบาย ชี้ไปทางห้องบริการอินเตอร์เนตที่อยู่ไปทางด้านหลัง ศิขรนโรดมเดินไปทางห้องอินเตอร์เนต
“ส่งทหารไปอารักขาตั้ง 7-8 คน เปล่าประโยชน์จริงๆ แล้วคนที่มาช่วยเขาเป็นใคร”
“องค์ชายเสด็จจะลงมาทำไมเล่าพะยะค่ะ”
ราชิดเดินมาพร้อมกับทหารคีรีรัฐสองคนเจอศิขรนโรดมที่ตรงทางเดินหน้าห้อง มิถิลาได้ยิน ก็ตกใจหันกลับไปชะเง้อดู
“พระนาง หม่อมฉันต้องไปแล้ว ขอทูลลา จะรีบติดต่อกลับมาอีกครั้งนะเพคะ”
ภาพพระนางสิริวารตีในจอคอมพิวเตอร์ดับลง
“ถ้าไม่ทรงพักผ่อนพระวรกาย แล้วทำให้กำหนดการต้องเลื่อนออกไปอีก กระหม่อมว่าไม่สมควรแน่”
มิถิลาดึงหมวกแก็ปปิดหน้า และค่อยๆ ทำตัวเล็กย่องออกจากห้อง หลบศิขรนโรดมและราชิด
“เราก็แค่อยากออกมาเดินสูดอากาศข้างนอกบ้าง”
ภาพมิถิลาค้างบนอยู่บนจอคอมพิวเตอร์ที่ฝั่งคีรีรัฐ พระนางสิริวารตี ขยับเม้าท์ไปมา
“อย่าเพิ่งสิ เดี๋ยวก่อน มิถิลาๆ”
อสุนีที่จะถือเอกสารเอาเข้ามาให้ ทันได้ยินชื่อมิถิลา หยุดชะงัก ฟังอย่างสงสัย
อสุนีเดินวุ่นวาย ตัดสินใจ เอายังไงดีอยู่หน้าห้องทรงงาน สิริวารตีเดินออกมาเห็นอสุนีก็ชะงัก
“อสุนี! เจ้ามานานหรือยัง”
“กระหม่อมมาดูแลความเรียบร้อยของห้องทรงงานของเจ้าหลวง แทนท่านพ่อของกระหม่อม”
“เห็นว่าลางานหลายวันไม่ใช่หรือ” อสุนีก้มหน้า
“กระหม่อมเสียใจ ที่ไม่ได้ตามเสด็จฮ่องกง”
“ไม่เห็นจะต้องเสียใจเลย อยู่ที่นี่รู้รักษาตัวรอด เป็นยอดดีอยู่แล้วนี่”
“หม่อมฉันคิดถึงมิถิลา น้องสาว ไม่ได้เจอกันหลายวัน น้องสาวหม่อมฉันตามเสด็จพระเทวีมาที่นี่หรือพะย่ะค่ะ”
“เปล่านี่ มิถิลาก็ช่วยพระนมทำงานอยู่ที่ฝ่ายใน ทำไมเจ้าจึงคิดว่ามิถิลามาที่นี่”
“กระหม่อมได้ยิน พระกระแสรับสั่งเรียก...มิถิลา”
“เรียกที่ไหนกัน เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”
“แต่ หม่อมฉันได้ยินจริงๆ”
“เจ้าจับผิดข้างั้นหรือ บุตรจอมพลราชิด”
“มิบังอาจพะย่ะค่ะ”
“หึ เอาสิ ไม่เชื่อก็เข้าไปดู ข้าคงซ่อนน้องสาวเจ้าไว้ที่ไหนกระมัง”
จัตุรัสผ่านมา มองๆ เข้ามาบังคม
“พระเทวี ทรงพระเจริญพะย่ะค่ะ”
“ขอบใจ”
“อสุนีทำอะไรให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทหรือพะย่ะค่ะ”
สิริวารตีจ้องหน้าอสุนี ว่าจะฟ้องหรือไม่
ที่ฮ่องกง ราชิดและพวกควบคุมตัวศิขรนโรดมพามาที่สวนของโรงแรม
“ทรงอยากสูดอากาศไม่ใช่เหรอ ฝ่าบาท เอาเลยพะย่ะค่ะ ทรงพระสำราญให้เต็มที่ ไม่มีตรงไหนสดชื่นเท่าสวนนี้อีกแล้ว บนนี้คือภูเขา เบื้องล่างลึกลงไปคือทะเล งดงามที่สุด”
มิถิลาวิ่งตาลีตาเหลือก ตามออกมา
“ฝ่าบาท” ทุกคนหันไป “ท่าน...ท่านราชิด จะพาเสด็จไปไหน” มิถิลาถามอย่างระแวง
“ก็แค่ พาเสด็จมาชมสวนยามดึกให้สมกับที่ทรงประสงค์ ทำไมเจ้าต้องตกใจขนาดนั้น ไอ้เด็กหน้าโง่”
มิถิลาจ้องหน้าราชิด เจ็บปวด ราชิดถลึงตาใส่ ดุดัน
ส่วนที่คีรีรัฐ จัตุรัส พระเทวีสิริวารตีและอสุนี ต่างมองหน้ากันหันไปมา ดูชั้นเชิง วัดใจกัน อสุนียิ้มสุขุม
“คือ...ไม่มีอะไรครับท่านจัตุรัส พระเทวีรับสั่งให้กระผมเข้าไปทำความสะอาดห้องทรงงานหน่อย ทำไมปล่อยให้ฝุ่นเยอะนัก เท่านั้นเอง”
“อะไรกัน หลานมีหน้าที่ กวาดถูห้องทรงงานมาแต่เมื่อไหร่”
“อ๋อ คือพระเทวีเสด็จมาตรวจตราดู แล้วพอดี...แล้วหลานก็ผ่านมาพอดี ก็เลย...”
สิริวารตีมองอสุนีอย่างพอใจ
“เราก็แค่บ่น ไม่ได้ดุว่าโกรธเคืองอะไรอสุนีเลย ทำไม บุตรท่านราชิดนี่ เราแตะต้องไม่ได้เลยหรือ ท่านจัตุรัส”
“ไม่ใช่เช่นนั้นพะย่ะค่ะ”
“ไม่ใช่เช่นนั้นก็ดีแล้ว อสุนี งั้น อยู่ว่างๆ ก็ไปเช็ดโต๊ะ แล้วก็จัดของบนนั้นให้ทีสิ ว่าไง เราใช้งานเจ้าได้ใช่ไหม”
“ทันทีพะย่ะคะ” อสุนีบังคม แล้วรีบเข้าไป สิริวารตีมองจัตุรัสอย่างท้าทาย จัตุรัสก้มหน้า ระวังตัว
ที่ฮ่องกง ราชิดมองมิถิลาอย่างไม่ไว้ใจ มิถิลารู้ตัว รีบก้มหน้า
“ทรงประชวรอยู่ ข้างนอกนี้แดดก็แรง ลมก็แรง”
“เจ้าทำให้ข้าคิดถึงลูกชายที่สุด อสุนีมันช่างรักและห่วงใยองค์ชายเช่นนี้ไม่มีผิด องค์ชายตาแหลมจริงๆ ที่เลือกข้าราชบริพารคู่พระทัย ไม่เคยพลาดเลย”
“งั้น ท่านราชิดก็ไม่ต้องห่วง ปล่อยข้าไว้กับเจ้านี่ตามลำพังเถอะ”
โกศินโผล่มา ดีใจ รีบก้าวมุ่งตรงมาบังคมศิขรนโรดม
“องค์ชายรัชทายามทรงพระสำราญดีแล้ว แสดงว่าพร้อมที่จะปฏิบัติพระราชกิจแล้วสิ”
“ยัง...ยังครับ ต้องทรงพักต่ออีกสองสามวัน” มิถิลารีบบอก
“งั้นเหรอ” โกศินสบตาราชิด “แต่ เราไม่ควรจะอยู่ที่ฮ่องกงนี่นานขนาดนั้นนะ”
“จริงสิ”
“กลัวอะไร มิถิลา เราพร้อมออกงานแล้ว เมื่อไหร่ล่ะ พรุ่งนี้เลยไหม”
“แต่ว่า ยังไม่ทรงแข็งแรงเลย”
“เราไหวน่า”
“แต่หม่อมฉันว่า...”
“เราไหว เชื่อเราสิ มิน”
“หุบปากไปเลย ไอ้หน้าโง่ ถ้าตรัสว่าทรงไหวก็แปลว่าทรงไหว ดีแล้ว งั้นกระหม่อมจะรีบแจ้งทางฮ่องกงเลย ว่าขอให้หมายกำหนดการวันพรุ่งนี้ เป็นไปดังเดิม”
“ดี...รีบไปดำเนินการเลย” ราชิดบอก
“ได้เลยครับท่าน” โกศินรีบออกไป
มิถิลาทำหน้ากังวล ศิขรนโรดมมองหน้าเป็นเชิงถามว่ามีอะไร
ที่บ้านสี่ฤดู จ้าวซันดื่มน้ำแกงเสร็จ บราลีมองแล้วยิ้มอย่างดีใจ
“อร่อยมาก เดี๋ยวนี้คุณทำอาหารแบบจีนเก่งขนาดนี้เชียว”
“อย่าหาว่าขี้คุยนะคะ จื้อเหม่ยน่ะ แค่เป็นคนบอกสูตรเท่านั้น แต่ชั้นทำเองประมาณ 80%”
“โอ้โห ไม่ขี้คุยเลย”
บราลีหัวเราะสดใส เอาผ้าเช็ดปากมาส่งให้ จ้าวซันรับไปเช็ดปาก บราลีส่งถ้วยชาให้
“คราวนี้ ก็รับประทานยาค่ะ” บราลีหันไปจัดยาให้ จ้าวซันยิ้มอ่อนโยน
“คุณทำให้ผมอยากจะป่วยไม่หายซะแล้ว”
“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะคะ ชั้นไม่ชอบเห็นคุณไม่สบายนะ”
“แต่ถ้าแลกกับ...ให้คุณทำตัวน่ารัก แล้วมาดูแลผมแบบนี้ ผมยอมเจ็บหนักแค่ไหนก็ได้” จ้าวซันกินยา ดื่มน้ำตาม
“แหม ชั้นไม่ใช่เป็นคนร้ายกาจน่าเกลียดอะไรมากขนาดนั้นนะคะ คุณสบายดี ปกติ ชั้นก็ทำตัวดีๆ กับคุณได้เหมือนกัน”
“จริงเหรอ”
“จริงสิคะ”
“สัญญานะ”
“สัญญาอะไร”
จ้าวซันยื่นมือมา มองหน้า สบตา พยักหน้าเร่งเร้า บราลีสบตา แล้วยิ้มๆ วางมือบนมือจ้าวซัน จ้าวซันจับมือสัญญา
“ผมหายป่วยคราวนี้ คุณต้องเชื่อฟังผม ผมบอกอะไร คุณก็ต้องทำตามทุกอย่าง ห้ามมีเงื่อนไข ห้ามบิดพลิ้ว ห้ามขี้โกง ห้ามปฎิเสธ”
“ไม่เห็นจะยุติธรรมเลย คุณเล่นร่างสัญญาแบบนี้ คู่สัญญาเสียเปรียบตาย”
ทั้งสองมองหน้ากัน ขำๆ แล้วหัวเราะอย่างมีความสุข มือยังอยู่ในมือกัน ทันใดมีเสียงโครมคราม แล้วประตูเปิดออก
“คุณเหม่ยอิง บอกว่าให้คุณชายพักผ่อนเถอะครับ”
อากงบอก เหม่ยอิงเข้ามาเห็นภาพสองคนจับมือหันเต็มตา
“พี่ชายใหญ่” บราลีค่อยๆ ดึงมือจากจ้าวซัน แล้วลุกขึ้นช้าๆ “อากง ไอ้แก่จอมลวงโลก นี่หรือพักผ่อน”
“คุณเหม่ยอิง”
“เหม่ยอิง พี่ก็พักผ่อนอยู่จริงๆ ทำไมต้องดุผู้ใหญ่แบบนั้น”
“แหม คุณนี่มันคิวเป๊ะจริงๆ นะ พี่ชายใหญ่ค้างคืนโรงพยาบาล สลบไสลไม่ได้สติ น้ำใจจะไปเยี่ยม หรือผลัดกันเฝ้า.ซักนิดก็ไม่มี ชั้นต้องค้างคืนดูแลพี่ชายใหญ่อยู่คนเดียว แต่พอพี่ใหญ่ได้สติ กลับมาบ้าน กลับรีบมาเอาหน้าแต่วันฉลาดจริงๆ เลย”
เหม่ยอิงใส่เป็นชุด บราลีอึ้งซีด อยากจะเถียง แต่เงียบไว้ดีกว่า จ้าวซันมองหน้าบราลี อย่างเกรงใจ แต่กลัวว่าถ้าตัวเองว่าเหม่ยอิงต่อหน้า ก็จะทำให้เหม่ยอิงโกรธเกลียดบราลีมากขึ้น
“เอ้อ จ้าวซันคะ ชั้นกลับก่อนดีกว่า” บราลีเก็บหมอหิ้ว
“ขอบใจนะ บรี แล้วผมโทรหา”
“ชั้นโทร.มาก็ได้ค่ะ ไม่เป็นไร ไปก่อนนะคะ คุณเหม่ยอิง”
บราลีรีบออกไป จ้าวซันมองตามไปด้วยสีหน้าสลด
เหม่ยอิงมองตามบราลีไป แล้วหันมามองหน้าจ้าวซัน ด้วยความแค้นใจ สะบัดหน้าหนี แต่ยืนนิ่งไม่ไปไหน
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 7 (ต่อ)
บราลีเดินถือหม้อหูหิ้วเดินลิ่วๆ ออกมา ผิงอันวิ่งตาม มีอาม่าตาม 2 สาวมาห่างๆ
“พี่บรีๆ อย่าไปสนใจพี่เหม่ยอิงเลยนะคะ เค้าก็เป็นแบบนี้แหละ กับหนู กับแม่ กับทุกคน เขาไม่อยากให้ใครเข้าใกล้พี่ชายใหญ่ นอกจากตัวเค้าคนเดียว”
“คุณชายจ้าวซันก็เกรงใจเขามากนะ”
“พี่ชายใหญ่ไม่อยากให้เป็นเรื่องมากกว่าค่ะ บางทีก็เลยต้องๆ ยอมๆ กันไป บ้านจะได้สงบๆ”
“งั้นเหรอ งั้นคงยอมไปหลายอย่างแล้วสิ” บราลีอดประชดไม่ได้
“ณหึงคุณเหม่ยอิงหรือคะ” อาม่ามองแล้วถามขึ้นมา
“ชั้นไม่ได้หึงนะคะ”
“พี่หึง” ผิงอันยืนยัน
“ไม่จริง”
“ถ้าพี่บรีหึง แปลว่าพี่บรีรักพี่ชาย”
“ไม่ ไม่ใช่นะ”
ผิงอันกระโดดอย่างดีใจ
“พี่บรีรักพี่ชายๆๆ”
บราลีหน้าแดง โกรธและอาย รีบกระโดดมาปิดปาก
“หยุดนะ พอแล้ว”
แม่สี่เดินเข้ามา
“มิสภีมะมนตรีคะ”
ทุกคนชะงัก หันไป บราลียกมือไหว้
“คุณแม่”
“แม่ใหญ่ จ้าวไทไท บอกให้คุณไปพบท่านหน่อย”
“อะไรนะคะ จ้าวไทไท...ให้...ดิฉัน ไปหาท่าน หรือคะ”
“ค่ะ เชิญค่ะ”
ทุกคนอึ้ง งงๆ
บราลีก้าวเข้าไปในห้องจ้าวไทไทอย่างนึกกลัว ตัวลีบ ผิงอัน แม่สี่ตามมา
“ใครขึ้นมาบอกแม่ใหญ่หรือจ๊ะแม่ ว่าบรีมา”
ผิงอันกระซิบถามแม่สี่ แม่สี่กระซิบตอบ
“เปล่าเลย แม่กำลังนวดท่านอยู่ดีๆ ท่านก็พูดขึ้นมาเอง ว่าให้ไปตามผู้หญิงที่จ้าวซันรักคนนั้นมาพบท่านหน่อย”
“ว้าย ขนลุก”
บราลีเดินไปในห้อง แล้วชะงัก บนเตียงไทไทนอนอยู่ เหมือนจะหลับ บราลีหันกลับมา มองคนอื่นแบบงงๆ เอาไงดี
“ซายหมุย เข้ามาช่วยแม่นั่งหน่อย” ไทไทบอกผิงอัน
“ค่ะๆๆ แม่ใหญ่”
ผิงอันรีบเข้ามาประคอง ไทไทนั่งพิงเบาะ หันมามองบราลี บราลียืนอยู่ที่ตำแหน่งที่แสงตกลงมากระทบที่กลางห้อง ดูผุดผ่องอย่างประหลาด บราลีก้มตัวลงไหว้อย่างอ่อนน้อม ไทไทเพ่งมองแล้วชี้ตรงหน้า
“เจ้าหญิงแสนสวย เข้ามาตรงนี้”
บราลีหันไปมองผิงอัน งงๆ
“พี่บรี แม่ใหญ่เรียกพี่ว่าเจ้าหญิงแสนสวย”
“เจ้าหญิงแสนสวยเหรอ” บราลีทำหน้าเอ๋อๆ
“ใช่ค่ะ โอ๊ย...หนูขนลุกอีกแล้ว แม่ใหญ่ให้พี่มาหาใกล้ๆ ค่ะ”
บราลีมองหน้า ไทไทพยักหน้าคอนเฟิร์ม บราลีเข้าไป แล้วนั่งลงคุกเข่า
“ซายหมุย ให้แม่ไป ใกล้ๆ เจ้าหญิง”
“ค่ะ”
ผิงอันประคองไทไทให้ขยับไปริมเตียง ไทไทยื่นมือมาสั่นๆ บราลีมอง ลุ้นๆ ว่าจะทำไร ไทไทยื่นมือมาวางบนหัวบราลี
“อย่ากลัว เจ้าหญิง จะไม่มีใครหรืออะไร มาทำอันตรายเจ้าหญิงได้ เจ้าหญิงเป็นผู้มีบุญบารมี ศัตรูหมู่พาลจะพ่ายแพ้ไปเอง”
“แม่ใหญ่บอกว่าพี่บรีไม่ต้องกลัว จะไม่มีใครหรืออะไรจะมาทำร้ายพี่ได้ พี่เป็นคนมีบุญ ใครที่คิดร้ายจะพ่ายแพ้พี่”
บราลีก้มหน้า ขนลุกซู่
“ขอบ...ขอบพระคุณค่ะ”
“เจ้าหญิงต้องประทับเคียงข้างองค์ชายเสมอ องค์ชายจะปลอดภัยเมื่อมีเจ้าหญิงอยู่ด้วย”
“แปลกจัง ท่านบอกว่าให้พี่ประทับเคียงองค์ชาย องค์ชายที่ไหนอีกล่ะ”
“ต่อไปคนตระกูลจ้าว จะไม่เหลือใคร ขอให้เจ้าหญิงกับองค์ชายช่วยดูแลซายหมุยด้วย”
“โอ๊ย...น่ากลัวจังเลย” ผิงอันบอกออกมา
“ทำไมแม่ใหญ่พูดแบบนี้ล่ะคะ” แม่สี่บอกอย่างตกใจ
“อะไรเหรอ” บราลีถามอย่างงงๆ
“ท่านบอกว่า ตระกูลจ้าวจะไม่เหลือใคร ให้พี่บรีกับ...กับองค์ชาย ช่วยดูแลหนูด้วย ฮือ...สงสัยท่านจะเพ้อไปน่ะค่ะ พี่บรี”
บราลีช้อนตา มองหน้าจ้าวไทไท จ้าวไทไทมองตอบ ดวงตากระจ่าง แจ่มจ้า ไม่ได้มีเค้าว่าป่วยหรือเพ้อเลย
บราลีอึ้ง
ที่ห้องนอนจ้าวซัน จ้าวซันนอนหลับตานิ่ง เหม่ยอิงนั่งข้างเตียง เอาผ้าห่มให้แล้วลูบหน้า ลูบผมจ้าวซันไปมา
สักพักมีเสียงเคาะเบาๆ ประตูเปิด อากงก้าวเข้ามา เหม่ยอิงสะดุ้ง รีบลุก
“เชิญคุณหนูใหญ่ไปพักผ่อนเถอะครับ ผมจะดูแลคุณชายเอง”
“ชั้นดูพี่ใหญ่ได้ ชั้นไม่ต้องการพักผ่อน อากงนั่นแหละมีอะไรต้องทำก็ไปทำซะ”
“สิ่งที่ผมต้องทำ คืออยู่กับคุณชายนี่แหละครับ เกิดท่านอยากจะ...ปัสสาวะหรือล้างหน้าเช็ดตัว ผมว่า...ผมสมควรจะเป็นคนจัดการให้ท่านมากกว่าคุณหนูใหญ่นะครับ”
“ดี...งั้นก็ทำหน้าที่ของแกให้ดีก็แล้วกัน” เหม่ยอิงเดินฟึดฟัดออกไป
อากงมองตาม จนเหม่ยอิงออกไปแล้วรีบปิดประตู อากงหันกลับมาแล้วสะดุ้ง เพราะจ้าวซันนั่งอยู่บนเตียงแล้ว
“ขอบใจจริงๆ อากง”
“คุณชายครับ” อากงรีบเดินมา ลดเสียง “อากงไม่อยากบอกเรื่องนี้กะคุณชายเลย แต่สงสัยว่าหากปิดบังต่อไป คงจะไม่สมควร”
“อะไร” เจ้าซันฉงน
อากงมีท่าทีซีเรียส
ไม่นานต่อมาที่ระเบียงชั้นบนข้างห้องนอน จ้าวซันยืนคุยอยู่กับเต๋อเป่า และอากง
“รถซื่อฉวนถูกปล้นเมื่อคืน แล้ว...มีใคร เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ตอนนี้รู้แต่เพียงว่าคนขับรถที่ชื่อ เจิ้นจง หายตัวไป สายของเรากำลังตามหาเบาะแสอยู่”
“ถ้าส่งของไม่ทันคราวนี้เราเสียหายหนักแน่”
“คุณชายว่าเป็นฝีมือใคร”
จ้าวซันและเต๋อเป่าหันมามองหน้ากัน เหมือนจะรู้ว่าต่างฝ่ายต่างคิดเหมือนกัน
“อากงว่า คงไม่ใช่คนอื่นคนไกลแน่ๆ” อากงเดินเข้าห้องไป
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือจ้าวซันในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น
“ผู้กองเหลียง” จ้าวซันกดรับ “ครับ ใช่...อะไรนะครับ...ผมไปเดี๋ยวนี้แหละ” เต๋อเป่ามองลุ้น ทำหน้าอยากรู้ว่าคุยอะไรกัน “พบศพที่ต้องสงสัย แต่ยังไม่แน่ใจ ไป”
จ้าวซันบอกเต๋อเป่า อากงกลับออกมา ถือเสื้อแจ็คเก็ตมาส่งให้ จ้าวซันสวมทับทันที ทั้งคู่วิ่งลงไปทางบันไดด้านหลัง
ป่าละเมาะข้างทาง รถตำรวจฮ่องกงสองคัน เปิดสัญญาณไฟของรถตำรวจไว้บนหลังคา แต่ไม่เปิดเสียง รอบๆ โดนกั้นไว้ด้วยเทปสีเหลือง บนพื้นมีศพถูกคลุมไว้ด้วยพลาสติกสีขาว ตำรวจกำลังถ่ายรูปและจดบันทึก รถของจ้าวซันแล่นมา อาหลี่เป็นคนขับ เมื่อรถจอดทั้งสามคนก็ลงมาจากรถอย่างรวดเร็ว จ้าวซันเดินนำมาหาผู้กองเหลียง
“คุณชายหายดีแล้ว” ผู้กองเหลียงถาม
“ก็อย่างที่เห็น”
จ้าวซันเดินไปที่ศพ จะดึงผ้าพลาสติกเปิดออก อเล็กซ์เข้ามาแตะมือเป็นเชิงห้ามไว้
“อย่าดูเลยครับ คนร้ายทำลายหน้าศพเละจนจำไม่ได้ ไม่มีหลักฐานอะไรติดตัวเลยด้วย”
“ขอผมดูหน่อย”
เต๋อเป่าคว้าแขนศพออกมา เลิกเสื้อขึ้นดูเห็นเป็นรอยสักรูปจ้าวพ่อเซี่ยงไฮ้ตรงต้นแขน
“เจิ้นจงไม่ผิดแน่” เต๋อเป่าบอก
ผู้กองเหลียงเข้ามาดู
“ใช่... ผมยืนยันให้อีกคน” อาหลี่บอก
จ้าวซันค่อยๆ ลุกขึ้นยืน สีหน้ากลุ้มใจ
“ผมรู้ว่าจะหาเบาะแสได้ที่ไหน ตามผมมา”
เต๋อเป่านำไปที่รถ อาหลี่วิ่งตามไป จ้าวซันหันมาทางผู้กองเหลียงและอเล็กซ์ พยักหน้าให้เหมือนจะขอบคุณ แล้วหันหลังเดินจากไป
“เป็นไปได้ไหมว่าเขาวางแผนปล้นตัวเองเพื่อจะเอาเงินประกัน”
ผู้กองเหลียงมองจ้าวซันเดินไปจนลับตา
ผิงอันจูงบราลีเข้ามาในครัวพร้อมแม่สี่ มีอาม่าตักอาหารจากกระทะมาวาง
“เชิญค่ะๆๆ นั่งเลยนะคะคุณ”
“มากินข้าวกันเถอะ พี่บรี ไม่ต้องกลัวพี่เหม่ยอิงนะ ในห้องครัวแบบนี้ เขาไม่โผล่เข้ามาหรอก “ บราลีหน้าสลดลง
“แม่สี่คะ ผิงอัน ฉันว่าฉันกลับบ้านดีกว่าค่ะ เดี๋ยวพวกคุณจะต้องหมางใจกัน เพราะคนนอกอย่างชั้น”
“คุณไม่ใช่คนนอก จ้าวไทไทฝากพวกเราไว้กับคุณ”
“จ้าวไทไท ท่านอาจจะหลงๆ ไป เพราะชราแล้วก็ป่วยนะคะ”
“ไม่จริง คุณบรี จ้าวไทไทไม่ใช่คนธรรมดา”
“ใครๆ ก็รู้ ว่าแม่ใหญ่ เป็นแม่มด” ผิงอันกระซิบบอกบราลี
“อะไรนะ”
“จริงๆ นะ แล้วที่แม่ใหญ่พูดเมื่อกี๊ มันก็น่ากลัวที่สุดด้วย”
“ใช่ แม่ใหญ่บอกว่าตระกูลจ้าวจะไม่เหลือใคร”
“หา...คุณนายใหญ่พูดอย่างนั้นหรือคะ” อาม่าทำเสียงตกใจ
“พูดเมื่อกี๊เลยอาม่า ชัดๆ จะๆ”
อาม่ามือตีนอ่อน ทรุดลงกับพื้น ร้องไห้โฮออกมา
“ถ้าแม่ใหญ่พูดอะไร มันจะต้องเป็นความจริงทุกๆ อย่าง อาม่าเห็นมามากแล้วๆ ฮือๆๆ น่ากลัว น่ากลัวเหลือเกิน จะเกิดอะไรขึ้นกับบ้านนี้หรือคะ อาม่ากลัวๆๆ”
ทุกคนอึ้ง บราลีหน้าซีด
เต๋อเป่าเดินนำจ้าวซันและอาหลี่มาที่ตรอกโรงน้ำชา ภายในตรอกดูแออัดและเต็มไปด้วยคนจน หลายคนนั่งจิบน้ำชา สูบยาเส้นดูเบลอๆ ทุกคนมองมาที่จ้าวซันกับพวกเป็นตาเดียว
“เจิ้นจงมันมีพี่น้องร่วมสาบานชื่อเสี่ยวจู ทั้งคู่มาจากจีนแผ่นดินใหญ่เมื่อสามสิบกว่าปีมาแล้ว เสี่ยวจู เป็นคนคุมคิวรถบรรทุกของสื้อฉวน”
“มีแต่พวกขี้ยาทั้งนั้นเลย”
มีคนแต่งตัวมอซ่อเดินมาชน จนอาหลี่เกือบหลบไม่ทัน ด้านหลังมีหัวขโมยย่องตามจ้าวซันมา ถือมีดพับมาพยายามจะกรีดกระเป๋า จ้าวซันเห็นด้วยหางตาแล้ว เมื่อหัวขโมยลงมือ จ้าวซันหันกลับไปทันที ใช้ท่ามวยคีรีรัฐหักข้อมือ จนหัวขโมยต้องทิ้งมีดพับลง
“โอ๊ย...ปล่อย ช่วยด้วย มีคนจะทำร้ายข้า” เต๋อเป่าเข้ามาผลักหัวขโมย ล้มลงไป “อูยย...”
“คุณชายไม่เป็นไรใช่ไหม รีบไปกันเถอะ”
“จำเอาไว้ ไอ้พวกคนเลว ไม่ตายดีแน่”
จ้าวซันเดินไป อดหันกลับมามองไม่ได้ ขโมยคนนั้นยังจ้องอยู่ด้วยแววตาอาฆาต
“ถึงแล้ว”
ทั้งสามคนมาหยุดยืนอยู่หน้าร้านน้ำชาเก่าๆ ดูอับๆ ทึมๆ
เต๋อเป่านำสองคนเข้าไปในร้านน้ำชา มีผู้หญิงแก่ๆ ออกมาต้อนรับ
“เอาอะไร”
“เสี่ยวจูอยู่ไหม”
“ข้างบนโน่น” หญิงแก่ชี้ไปที่บันไดเล็กๆ สำหรับขึ้นไปชั้นสอง “เสี่ยวจูๆ มาหากันอยู่ได้” หญิงแก่บ่นเบาๆ
จ้าวซันฟังไม่ถนัด หันกลับไปมอง เต๋อเป่าเดินนำขึ้นไป
“ที่นี่คงเป็นโรงฝิ่นเก่าใช่ไหม” จ้าวซันถามขึ้นมา
“ใช่ครับ ทั้งตรอกเลย แต่ตอนนี้ไม่มีฝิ่นแล้ว มีแต่กัญชา ยาไอซ์ ยาอี ป็อปเปอร์”
“ไม่น่าเชื่อว่าที่ฮ่องกงจะมีที่แบบนี้ด้วย”
“ผมว่ามันก็มีทุกประเทศแหละครับ แต่ว่าน่าแปลก ทำไมมันปล่อยให้เดินเข้ามาง่ายดายอย่างงี้ล่ะ” เต๋อเป่ามองหน้าจ้าวซัน ทั้งคู่เริ่มเอะใจ เต๋อเป่ารีบวิ่งตรงไปยังห้องเสี่ยวจู “คุณชาย”
จ้าวซันและอหลี่วิ่งตามาดู ภาพตรงหน้าคือเสี่ยวจูนอนคอพับจมกองเลือดอยู่ ทั้งสามคนมองหน้ากัน อึ้ง
จ้าวซัน เต๋อเป่า อาหลี่ กำลังเดินลงบันไดมา
“หมาต๋าๆๆ หมาต๋ามาเว้ยย”
ทั้งสามคนมองหน้ากัน เสียงผู้คนวิ่งกันพล่าน
“หรือว่า...”
หัวขโมยคนเดิมวิ่งเข้ามาทางจ้าวซันและพรรคพวก
“นี่ๆๆ คนนี้ฆ่า คนนี้มันฆ่า”
ผู้กองเหลียง อเล็กซ์ อาหมง หมวดจาง เดินเข้ามาเป็นหน้ากระดาน เต๋อเป่าตวาดไล่หัวขโมย
“เฮ้ย พูดจาอะไรเหลวไหล”
“ผมเห็นจริงๆ คนนี้ๆ” หัวขโมยชี้มาที่จ้าวซัน เต๋อเป่าวิ่งไล่เตะขโมย ขโมยวิ่งหนีหัวเราะสะใจ
“ว่าแล้ว ต้องเจอกันอีกที่นี่”
“สงสัยเราจะคว้าน้ำเหลวกันหมด เสี่ยวจูตายแล้ว”
“ผมไม่แปลกใจ”
“เพราะทางเราก็สืบพบมาว่า คนเฝ้าประตูโรงยาข้างบนก็เพิ่งถูกฆ่าตายอยู่ด้านหลัง”
“ทางตำรวจจะว่ายังไงคดีนี้”
“คงยังสรุปอะไรไม่ได้ตอนนี้ แต่พยานคนเดียวที่เรามีเขาบอกว่าคุณเป็นคนทำ”
จ้าวซันมองไปที่หัวขโมยที่กลับมายืนอยู่อีกฝั่งของถนน กำลังเต้นแร้งเต้นกา เยาะเย้ย
ที่สถานีตำรวจ ผู้กองเหลียงเดินไปมารอบๆ จ้าวซัน อเล็กซ์นั่งเท่ๆ อยู่ตรงข้าม
“พวกผมเพิ่งเข้าไป แล้วก็เดินออกมา ไม่ได้แตะต้องอะไรทั้งนั้น”
“คุณชายไปทำอะไรที่นั่น”
“ไม่เอาน่า ผู้กอง ผมก็เหมือนคุณ ไปตามหาเสี่ยวจู ญาติเจิ้นจง คนขับรถที่ถูกปล้นฆ่า แต่ไปไม่ทัน เขาโดนฆ่าปิดปากไปซะก่อน”
“ใครล่ะ ที่เป็นคนฆ่า”
“นั่นสิ”
“ผมตอบให้ก็ได้ คนที่ปล้นซื่อฉวนไง”
“ผมก็ว่างั้น ถ้าทางตำรวจรู้ว่าใคร ตำรวจก็จับสิครับ ผมเป็นผู้เสียหายนะครับ สินค้าผมถูกปล้น คอนเทนเนอร์ที่มีเสื้อผ้าแฟชั่นซีซั่นใหม่โดนเอาคอนเทนเนอร์เปล่าๆ มาสับเปลี่ยน คนขับรถผมถูกฆ่าตาย”
“แล้วทำไมเสี่ยวจูต้องตายด้วยอีกคน”
“เดาว่า เพราะเสี่ยวจู เป็นคนคุมคิวปล่อยรถบรรทุกของซื่อฉวน ที่อาจจะขายตารางเวลารถให้ใคร จนคนมา
ดักได้ตรงตามเวลาที่จุดนั้น”
“คุณชายดูเหมือนจะรู้ทุกอย่างก่อนตำรวจ 1 ก้าวเสมอ แต่ทำไมคนระดับคุณชายถึงพลาดให้รถขนของของบริษัทสื้อฉวนโดนปล้นได้”
“นั่นสิครับ แย่จัง ทำไมผมไม่เปอร์เฟ็คท์วะ ผมควรจะไม่พลาดอะไรเลยสิ เซ็งเป็นบ้า”
“คุณชายอย่ามาเล่นตลก”
“อ้าว...ผมดูเหมือนตลกเหรอ ผมนึกว่าผมดูเครียดๆ ซะอีก”
อเล็กซ์ลุกพรวด ชี้หน้า
“จ้าวซัน อย่านึกว่าตัวเองเก่งนักเลย ผมมีพยานและหลักฐานครบเมื่อไหร่ คุณจมธรณีแน่”
จ้าวซันนั่งเอนพิงพนัก มองอเล็กซ์อย่างดูแคลน ยียวน
“มารยาททรามมาก นอกจากนั้นก็ยังปัญญาทรามอีกด้วย แบบนี้น่ะเหรอจะเล่นงานผมได้ ฝันไปเถอะ”
อเล็กซ์พุ่งเข้ามาอย่างใจร้อน
“ไอ้คุณชายจ้าวซัน”
ผู้กองเหลียงรีบโดดมาขวางแทบไม่ทัน
“เฮ้ยๆๆ อเล็กซ์ ใจเย็นหน่อย”
พอดีหญิงแก่ หมวดจาง อาหมงเดินเข้ามาพอดี หญิงแก่เดินถอดวิกผมขาวออกมาพลาง เผยให้เห็นว่าเป็นหญิงสาวคนนึง
“ทำไมไม่มีใครบอกคุณอเล็กซ์ ว่าไอ้หมูอ้วนมันตายไปก่อนพวกเราไปถึงแป๊บนึงแล้ว และพอเรารู้ว่าจ้าวซันจะมา ดิฉันถึงปลอมตัวเพื่อดูปฎิกริยาของเค้า”
“อะไรนะ”
“หมายความว่า...”
“พอคุณแยกจากผมไปนิดเดียว สายของเราที่ไปที่ร้านน้ำชาเพื่อตามหาไอ้หมูอ้วนก็รายงานกลับมาบอกผมว่าไปพบว่ามันตายอยู่ก่อนแล้ว ผมเลยให้แมรี่ไปดักรอคุณ พร้อมกล้อง และไมโครโฟน ที่เราติดเป็นระยะๆ ไปตามรายทางในโรงน้ำชา เพื่อเก็บภาพและเสียงคุณ” ผู้กองเหลียงบอก ตำรวขหญิงที่แต่งแก่ เอากล้องปากกาออกมา ชูให้ดู
“แต่ภาพที่ได้ และเสียงที่บันทึกไว้ กลับแสดงว่า จ้าวซันเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก” หมวดจางบอก
“และภาษากายตอนเค้าเห็นศพไอ้เสี่ยวจู ก็คือความตกใจ นึกไม่ถึง”
อาหมงเอาคอมพ์ตั้ง แล้วเปิดภาพที่โชว์ในคลิป คือภาพจ้าวซันตอนเห็นเสี่ยวจูตายอยู่ในห้อง
“ดี...ดีมาก สะใจใช่ไหม ที่เห็นคนจากกองพิสูจน์หลักฐานหน้าแตกต่อหน้าผู้ต้องสงสัยแบบนี้” อเล็กซ์เดินปังๆออกไป
จ้าวซันสบตาผู้กองเหลียง แล้วส่ายหัว พร้อมกับทอดถอนใจ
ที่บริษัทซื่อฉวน คนงานกำลังเร่งผลิตและตัดเย็บเสื้อผ้ากันขะมักเขม้น ทุกคนดูหน้าดำคร่ำเครียด จ้าวซันเดินเข้ามาในโรงงาน พร้อมเต๋อเป่า เห็นพวกคนงานที่อยู่ด้านหน้าเริ่มซุบซิบกัน และทยอยวางมือ
จ้าวซันเดินขึ้นไปที่ห้องส่งเสียงตามสายที่เป็นชั้นลอย ผนังกระจก ทุกคนเดินมารวมตัวกันข้างล่างตรงหน้า
“ทุกคนคงรู้ว่าสถานการณ์ของบริษัทสื้อฉวนของพวกเราตอนนี้เป็นอย่างไร ขณะที่พวกเรากำลังช่วยกันกอบกู้สถานะของบริษัท ด้วยการทำงานล็อตล่าสุด ส่งไปให้ลูกค้ารายใหม่ที่ออสเตรเลียให้ทัน แต่แล้วเรากลับถูกปล้น คนของเราถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหด ผมขอให้เราทุกคนร่วมแรงร่วมใจ และพยายามทำให้ถึงที่สุด เราจะส่งของให้ทันตามกำหนด มิเช่นนั้นเราจะถูกปรับ และเสียความเชื่อถืออย่างรุนแรง ผมยินดีที่จะจ่ายค่าล่วงเวลาให้ทุกคน แต่สิ่งที่ผมอยากจะขอ คือสปิริต จิตใจรักองค์กรซื่อฉวนแฟชั่น พวกเรา...สู้ไม่สู้”
คนงานในบริษัทรู้สึกฮึกเหิม
“สู้”
“ของ lot นี้จะถูกส่งไปทางเครื่องบิน เรายอมขาดทุนเสียยังจะดีกว่าเสียคำพูด เพื่อรักษาชื่อเสียงของเราไว้ ผมขอทุ่มเทเต็มที่ เพื่อภาพลักษณ์ในระยะยาวของเรา พวกเรา สู้ไม่สู้”
“สู้ๆๆๆ”
คนงานปรบมือ โห่ร้องเห็นด้วย เหม่ยอิงเดินเข้ามา โปรยยิ้มให้ทุกคนอย่างหวานเชื่อมแล้วเดินขึ้นบันไดอย่างสง่า ไปหาจ้าวซันที่ห้องนั้น
“พี่ชายใหญ่คะ เหม่ยอิงขออาสาค่ะ”
จ้าวซันมองงงๆ
“ขณะที่พี่ใหญ่ยังเจ็บจากอุบัติเหตุ แล้วก็ยังมีงานอีกมากมายให้ต้องรับผิดชอบ แต่กลับต้องมาเจองานแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ซื่อฉวนอีก เหม่ยอิงสงสารพี่จริงๆ เหม่ยอิงขออาสามาเป็นคนดูแลงานนี้แทนพี่อย่างเต็มตัวเถอะนะคะ ขอเหม่ยอิงพูดกับพี่น้องคนงานของเราหน่อยนะคะ”
จ้าวซันขยับให้ เหม่ยอิงชะโงกหน้าไปที่ไมค์ เคาะเบาๆ
“ฮัลโหลๆ พี่น้องทุกคนคะ สำรับคืนนี้เหม่ยอิงจัดโจ๊กร้อนๆ มาให้ทุกคนได้กินกัน ขอเชิญตามสาบาย ไม่ต้องเกรงใจเลยนะคะ ทางนั้นเลยค่ะ”
ทุกคนหันไป คนของเหม่ยอิงเข็นรถเข็นเข้ามา มีหม้อโจ๊กใหญ่ เหนือเตาอุ่น พร้อมชามเป็นตั้ง ควันฉุย คนงานดีใจ
“พวกเรา ตบมือให้คุณหนูใหญ่จ้าวเหม่ยอิงหน่อย”
“ขอบใจมาก น้องสาวที่รักของพี่”
จ้าวซันบอกอย่างซาบซึ้ง เหม่ยอิงยิ้มหวาน
รถตู้ของบ้านจ้าวซันมาจอดส่งบราลีที่หน้าบ้านหลินจื้อเหม่ย คนรถวิ่งลงมาเปิดประตู บราลีลงมาพร้อมหม้อหิวใบนั้น ผิงอันที่หน้าซีดๆ ตามลงมา
“ขอบใจที่มาส่งนะ ผิงอัน”
ผิงอันเข้ามากอดบราลีแน่น
“พี่บรี พี่บรีอย่าทิ้งพวกหนู อย่าทิ้งพี่ใหญ่นะ พี่ชายใหญ่เป็นคนดี พี่บรีอย่าสงสัยพี่ใหญ่นะคะ ไว้ใจเค้า ให้โอกาสเค้า หนูไม่เคยเห็นพี่ใหญ่มองผู้หญิงคนไหนเหมือนมองพี่บรี ไม่เคยเห็นพี่ใหญ่มีความสุข เท่าเวลาช่วงนี้ช่วงที่ได้รู้จักพี่บรี” บราลีหน้แดง
“เป็นเด็กเป็นเล็ก อย่ามาทำตัวเป็นแม่สื่อแม่ชักนะ”
“พี่บรี หนูไม่ได้เป็นแม่สื่อ หนูรักพี่ใหญ่ หนูเห็นพี่ใหญ่ทำงานหนัก เห็นพี่ใหญ่เหงา เห็นพี่ใหญ่เศร้ามามากแล้ว แล้วนี่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับบ้านตระกูลจ้าว แล้วพี่ใหญ่จะต้องเจอกับอะไรอีก ถ้าพี่บรีหนีหายไปอีกคน พี่ใหญ่จะต้องแย่แน่ๆ พี่ใหญ่คงจะไม่เหลืออะไรอีกแล้ว พี่เข้าใจไหมคะ”
บราลีอึ้ง แล้วกอดตอบ ลูบหลังผิงอันไปมา
“อย่าห่วงนะ ผิงอัน พี่ไม่ไปไหนหรอก ทำใจให้สบายนะ ไป กลับไปนอน หลับให้สบาย เป็นเด็กเป็นเล็ก อย่าหัดคิดมาก”
บราลีส่งผิงอันขึ้นรถ รถตู้แล่นออกไป ทันใดมีเสียงร้องออกมาจากในบ้าน บราลีตกใจ หันไป
“บรีๆ แย่แล้ว ขโมยเข้าบ้าน”
หลินจื้อเหม่ยวิ่งออกมา
บราลีพยายามโทรศัพท์ถึงพ่อ อยู่ในห้องนอนบราลี หลินจื้อเหม่ย ที่อยู่ในสภาพถูกรื้อจนเละ
“ติดต่อไม่ได้ พ่อชั้นไม่ยอมรับโทรศัพท์เลย ทำไมล่ะ”
“แบบนี้มันไม่ใช่ขโมยธรรมดา เพราะมันไม่เอาอะไรไปเลย นอกจากรื้อ เหมือนค้นหาอะไรบางอย่าง”
บราลีเดินมาดูที่โต๊ะเขียนหนังสือ
“ค้นแต่ของๆ ชั้นด้วย ไม่ใช่ของเธอ โชคดีนะ ที่พาสปอร์ต กับบัตรเครดิตการ์ดต่างๆ ชั้นพกไว้ในกระเป๋าติดตัวตลอดๆ”
“ต้องมีคนมาเฝ้าสังเกตการณ์เธอที่บ้านนี้แหงๆ คิดดูสิ ทันทีที่พี่สาวชั้นพาหลานๆ ไปเมืองจีนปั๊บ มันก็รู้ว่าไม่มีคนอยู่บ้าน บุกเข้ามาค้นหลักฐานเกี่ยวกะตัวเธอทันที”
“มันจะเอาไปทำอะไร”
เสียงฝีเท้าคนเดินขึ้นบ้านมา สองสาวชะงัก
“ใครมาน่ะ” บราลีวิ่งไป หยิบเก้าอี้มา ดักรอข้างประตู เตรียมฟาด “เอาซี้ ชั้นก็สู้คนนะ”
“อย่า...”
หลินจื้อเหม่ยวิ่งมาดึงตัวบราลีสุดฤทธิ์ ผู้ที่โผล่มา คือจ้าวซัน
“จ้าวซัน” บราลีอึ้ง
จ้าวซันมองดูสภาพห้องรอบๆ แล้วหันไปหาหลินจื้อเหม่ย
“คุณจื้อเหม่ย มันเข้ามาทางไหน”
“ทางดาดฟ้าค่ะ ประตูดาดฟ้าโดนงัดเข้ามา”
จ้าวซันร้อนใจ รีบวิ่งขึ้นไป
“เค้ามาได้ยังไง เค้าป่วย แต่เธอก็ไปจิกเค้ามางั้นเหรอ” หลินจื้อเหม่ยจ๋อยๆ
“เค้าให้ชั้นรายงานเค้าทุกอย่างนี่ บรี...เรื่องสำคัญแบบนี้ ไม่บอกไม่ได้”
บราลีมองเพื่อนอย่างตำหนิ
อ่านต่อหน้า 3
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 7 (ต่อ)
จ้าวซันยืนดูสภาพลูกบิดประตูดาดฟ้า แล้วเดินสำรวจไปรอบๆ บราลีเดินตามเข้ามา
“มันเป็นใคร พวกไหน ต้องการอะไรกันอีก” จ้าวซันหันมามองหน้า เครียดๆ เหนื่อยๆ
“จ้าวซันคะ เวลานี้คุณควรจะนอนอยู่บนเตียงไม่ใช่เหรอ”
จ้าวซันหันมายิ้มให้
“ไม่ต้องห่วง ผมไปมาหลายแห่งแล้ว สบายมาก”
“ไม่จริงเลย ดูหน้าคุณซิ จะไม่มีสีเลือดแล้วนะคะ”
“ก่อนอื่นนะ คุณไม่ควรอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว”
“อะไรนะ”
“นอกจากตำรวจ ไอ้เจ้าผู้กองเหลียง สงสัยจะมีผู้ร้ายตามคุณด้วย”
“ทำไมต้องตามชั้น ชั้นไม่ใช่คนสำคัญอะไรที่ผู้ร้ายที่ไหนจะสนใจ”
“อาจจะ เป็นความผิดของผมก็ได้ ตอนนี้ทุกๆ อย่างรอบตัวผม มันผิดพลาดไปหมด คุณเกือบตายเพราะนั่งรถไปกับผม แล้วมันจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก”
หลินจื้อเหม่ยเดินเข้ามา ร้อนใจ
“คุณไม่ให้ชั้นบอกตำรวจจริงๆ หรือคะ จ้าวซัน”
“อย่า ตำรวจชักจะเข้ามายุ่งกะผมมากไปแล้ว จื้อเหม่ย” จ้าวซันหมดแรง ยืนพิงผนังด้านนึง
“หรือว่า คุณจะส่งบรีกลับเมืองไทย”
“สงสัยต้องเป็นอย่างนั้นแล้วล่ะ ผมคงต้องให้ใครมารับบรีไป”
“พ่อชั้นหรือคะ พ่อชั้น ทำงานให้คุณอยู่ไม่ใช่หรือคะ ทำไมชั้นติดต่อพ่อไม่ได้เลย”
“แผนทุกอย่าง คงจะต้องเปลี่ยน”
“แผน...แผนอะไรคะ”
“แผน...งาน...รับเสด็จ...ผม...ผม” จ้าวซันโงนเงน แล้วอยู่ๆ เซ หลินจื้อเหม่ยร้องออกมาด้วยความตกใจ
บราลี และหลินจื้อเหม่ย รีบเข้าไปช่วยกันรับตัวจ้าวซันไว้
สองสาวช่วยกันประคองปีกจ้าวซันคนละข้าง ให้ค่อยๆ ก้าวลงบันไดมาถึงชั้นล่าง
“จื้อเหม่ย ชั้นว่าเราโทรเรียกแอมบูล้านซ์เถอะ”
“รถพยาบาลเหรอ เอาของโรงพยาบาลที่เขาเพิ่งออกมานี่เลยก็แล้วกันนะ”
“อย่า...ไม่...อย่าเรียกรถพยาบาล อย่า...บอกใครทั้งนั้น”
“อะไรกันนี่ เวลานี้...คุณนะคะ ที่ทำตัวเป็นเด็กดื้อ ไม่ใช่ชั้น”
“ทางนี้ๆๆ” หลินจื้อเหม่ยนำทางไปที่โซฟา สองสาวค่อยๆ หย่อนตัวให้จ้าวซันนั่งลง “เธอนั่งลงก่อนบรี ชิดไปทางนั้นเลย เออๆๆ นั่นแหละ จ้าวซันคะ นอนลงไปเลยค่ะ”
หลินจื้อเหม่ยมากำกับท่าทางจนบราลีนั่งลงแล้วจับให้จ้าวซันนอนตักบราลีพอดี
“เอ่อ...เดี๋ยว ชั้นไปหาหมอนมาดีกว่า”
“ไม่ต้องๆ ผม...ไม่นอน ผม...ไหว” จ้าวซันจะลุก หลินจื้อเหม่ย กดไหล่จ้าวซันไว้ ให้นอนลงไปที่ตักบราลี ดุๆ
“ค่ะๆ คุณไหว ชั้นรู้ว่าจ้าวซันเก่งที่สุด แข็งแกร่งที่สุด แต่ตอนนี้ทำตัวขนานพื้นไว้ก่อนนะคะ อย่าเพิ่งลุกวิ่งไปรอบๆ เดี๋ยวชั้นไปหาน้ำดื่มมาให้ เธอดูแลเขาดีๆ นะบรี ให้นอนนิ่งๆ ล่ะ”
บราลีอึ้ง เพราะจ้าวซันนอนตักตัวเองเต็มๆ ส่วนหลินจื้อเหม่ยวิ่งหายไปในครัว จ้าวซันมองหน้าบราลี
“อือ...จื้อเหม่ยนี่ รอบคอบดีจริงๆ ถ้าให้นอนอย่างนี้ ผมก็ไม่ลุกไปไหนแล้วล่ะ”
“ยังจะมาทำตลกอีก จ้าวซัน คุณยังไม่หายนะคะ คุณไม่สมควรจะออกมาจากโรงพยาบาลด้วยซ้ำ”
“โอเค งั้น ให้ผมนอนที่นี่นะ” จ้าวซันทำหน้าอ้อนๆ
“จ้าวซัน คุณเวียนศีรษะหรือคะ บ้านหมุนหรือเปล่า” บราลีจับหน้าผาก แก้มจ้าวซัน “ตัวก็ไม่ร้อนนะ แล้วคุณเอายาอะไรติดตัวมาหรือเปล่า”
“เปล่า แต่ผมมียาใจแล้ว” จ้าวซันยิ้ม จับมือบราลีมากุมบนอก
“ทำบ๊องไปได้”
จ้าวซันพริ้มตาลง มือยังกุมมือบราลี
“อย่าทิ้งผมไปอีกนะบรี เป็นเทพประจำตัวผม ช่วยพิทักษ์ปกป้องผมด้วย”
บราลีอึ้ง ขนลุกนึกถึงคำพูดของจ้าวไทไทก่อนหน้านี้
“เจ้าหญิง ต้องประทับเคียงข้างองค์ชายเสมอ องค์ชายจะปลอดภัย เมื่อมีเจ้าหญิงอยู่ด้วย”
“แปลกจัง ท่านบอกว่า ให้พี่ประทับเคียงองค์ชาย องค์ชายที่ไหนอีกล่ะ”
“ต่อไป คนตระกูลจ้าว จะไม่เหลือใคร ขอให้เจ้าหญิงกับองค์ชาย ช่วยดูแลซายหมุยด้วย”
บราลีรู้สึกขนลุก อบอุ่นซาบซ่านแปลกๆ ก้มลงมองดูหน้าจ้าวซัน จ้าวซันลืมตาขึ้นมามอง ยิ้มอย่างอ่อนเพลียอีกครั้ง แล้วหลับตาลง มือยังกุมมือบราลีอยู่
หลินจื้อเหม่ยมาแอบดูอยู่ที่ประตูครัว ยิ้มคิกคักเบาๆ แล้วหลบกลับไป บราลีดูแลจ้าวซันที่หลับพักบนตัก ผ่อนคลายลง ยินยอมอย่างเต็มใจ
ช่วงเวลากลางคืนที่หน้าผาริมทะเล ทะเลเป็นสีดำ มองเห็นประภาคารอยู่ไกลออกไป ลมแรง เหม่ยอิงยืนมองทะเลอยู่ ลมพัดผ้าพันคอพลิ้วไสว สักพักมีมอเตอร์ไซค์ขับตีโค้งอย่างรวดเร็วเข้ามาจอดข้างหลัง ไม่ห่างจากเหม่ยอิงนัก
เกาเฟยที่ใส่ชุดดำทั้งตัว ดับเครื่องรถมอเตอร์ไซค์ แต่ไม่ยอมถอดหมวกกันน็อค ก้าวลงจากรถเดินตรงมาหาเหม่ยอิง
เกาเฟยเปิดหน้ากากหมวกกันน็อคด้านหน้าออกออก เผยให้เห็นแค่ครึ่งหน้า เหม่ยอิงยื่นแผ่นพับเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าสะพายส่งให้
“ไปหาของที่ตามที่ฉันสั่งมาในนี้ จะไปกว้านซื้อมาที่ไหนก็ได้ แต่ห้ามผิดไปจากนี้แม้แต่นิดเดียว”
เกาเฟยเปิดดู มันคือตัวอย่างผ้าหลายชิ้น
“ตัวอย่างผ้า”
“เอามา อย่างละ5พับ ตามที่เขียนสั่งไว้แล้วก็แล้วกัน”
“ผ้าพวกนี้คุณหนูจะเอาไป”
“ไม่ต้องถาม แล้วฉินเจียงมันได้เงินค่าอาวุธหรือยัง”
“งวดแรกน่าโอนเข้าวันนี้ครับ ส่วนงวดสุดท้ายน่าจะเป็นวันที่องค์ชายเสด็จกลับ”
“และมันก็จะเป็นวันสุดท้ายของไท้เผ่งด้วยเหมือนกัน หึหึ” เหม่ยอิงหันกลับไปยิ้มอย่างเยือกเย็น หัวเราะในคอเบาๆ “เสี้ยมให้เขาสองคนสู้กันเอง เราแค่นอนรอรับผลประโยชน์อย่างเดียว”
เกาเฟยมองเหม่ยอิงอย่างหวาดๆ แต่ก็ทึ่งในความสามารถ
เกาเฟยขึ้นไปขี่มอเตอร์ไซค์แล้วขับตีโค้งอ้อมเหลี่ยมเขามา สายตาหันไปเหลือบมองพงไม้ที่อยู่ข้างทางแล้วยิ้ม
เกาเฟยเอาหน้ากากหมวกกันน็อคลงปิดหน้า แล้วรีบขับผ่านไปอย่างรวดเร็ว เต๋อเป่าที่ซุ่มอยู่พร้อมกับมอเตอร์ไซค์ รีบใส่หมวกกันน็อค แล้วกระโดดขึ้นรถขับตาม
เกาเฟยขับรถมาตามถนนริมหาด มีรถมอเตอร์ไซค์อีกคันแล่นตามมาข้างหลัง เห็นเป็นดวงไฟหน้ารถเข้ามาใกล้ เกาเฟยหันไปมองแล้วเร่งเครื่องห่างออกไป เต๋อเป่าบิดคันเร่งตาม
“จะหนีไปไหนพ้น”
เต๋อเป่าขับไล่ขึ้นมา จับแฮนด์มอเตอร์ไซค์แล้วยกล้อหน้าขึ้น ขับเข้ามาจนเกือบจะถึงเกาเฟย เกาเฟยหันไปยกเท้าขึ้นจะถีบรถเต๋อเป่า เต๋อเป่าบิดหลบเล็กน้อย เกาเฟยพลาด เกาเฟยเห็นท่าไม่ดีรีบหักรถเลี้ยวลงชายหาด เต๋อเป่าหักรถตามลงไป ไล่มาอย่างกระชั้นชิด
“แน่จริงอย่างหนีสิเว้ย”
รถมอเตอร์ไซค์สองคันขับไล่กันมาตามชายหาด เกาเฟยหันไปมองข้างหลัง หันกลับมาอีกทีเห็นเก้าอี้ของยามรักษาการณ์ชายฝั่งขวางอยู่ตรงหน้า เกาเฟยรีบหักรถหลบทำให้เสียหลักล้มสไลด์ไปข้างทาง ทรายกระจายเป็นวงกว้าง
เต๋อเป่าสไลด์รถ และกระโดดลงหมายจะตามไปซ้ำ
เกาเฟยวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ถอดหมวกกันน็อคออก โยนใส่หน้าเต๋อเป่า เต๋อเป่าปัดทิ้ง จนวิ่งมาทันเกาเฟย
ทั้งคู่ปะมวยกันอย่างมีชั้นเชิงบนชายหาด ไล่จนไปถึงในทะเล เกาเฟยดูจะฝีมืออ่อนด้อยกว่านิดหน่อย เห็นทีว่าจะสู้ไม่ได้ อาศัยทีเผลอแตะน้ำทะเลเข้าตาเต๋อเป่า เต๋อเป่าหยุด รีบเอามือขยี้ตาด้วยความแสบ
“ดี สม”
เกาเฟยรีบวิ่งขึ้นฝั่ง เต๋อเป่าวิ่งตาม
“คิดว่าจะหนีพ้นเหรอ ไอ้สุนัขรับใช้”
เต๋อเป่าวิ่งตามมาอย่างรวดเร็วแล้วกระโดดถีบหลังเกาเฟยอย่างสุดแรง เกาเฟยเสียหลัง ล้มลงไปหัวทิ่มกับกองขยะบนชายหาด เกาเฟยเหลือบไปเห็นลังไม้ผุๆ อันหนึ่งที่มีตะปูตอกอยู่ด้วยจึงรีบคว้ามา
“สุนัขรับใช้เหรอ มันก็เหมือนๆ กันแหละเว้ย”
เกาเฟยถือไม้ขึ้นมาเดินย่างสามขุมเข้าไปหาเต๋อเป่า เต๋อเป่าหันรีหันขวางเห็นท่าไม่ดี จะวิ่งหนี แต่ไม่ทัน เกาเฟยฟาดไม้ลงสลับซ้ายขวาอย่างรวดเร็ว เต๋อเป่าได้แต่ตั้งรับ และเสียหลักล้มลง จังหวะที่เต๋อเป่าล้มลงไป เกาเฟยเงื้อไม้ที่มีตะปูตัวใหญ่ปักอยู่จะ เล็งว่าจะฟาดไปที่กกหู เต๋อเป่ากำทรายไว้ในมือ แล้วซัดเข้าไปที่หน้าเกาเฟย พร้อมกับพลิกตัวหลบ เกาเฟยหยุด รีบเอามือขยี้ตาด้วยความแสบ
“ดี สม”
เต๋อเป่ากำลังก้มลงไปหยิบไม้ที่ตกอยู่กับพื้นขึ้นมา เกาเฟยรีบเอามือออกจากตาแล้วกระโดดถีบเต๋อเป่าล้มลงเสียหลัก เต๋อเป่าจะลุกขึ้น เป็นจังหวะเดียวกับที่เกาเฟยหยิบปืนออกมาจากเอว แล้วยกขึ้นมา ชี้ไปที่หน้าเต๋อเป่า
เต๋อเป่ายกมือทั้งสองข้างขึ้นระดับศีรษะ เดินนำหน้าเกาเฟยที่ยกปืนเล็งไว้ตามหลังมา
“ดีมาก ว่าง่ายๆ อย่างนี้สิ”
เต๋อเป่าเสียทีไม่รู้จะทำยังไง เหลือบมองซ้ายขวา ไม่มีตัวช่วยอะไร เกาเฟยเดินมาที่รถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง จับยกขึ้น
“คราวนี้ก็หันมาได้แล้ว ช้าๆ อย่าตุกติก” เต๋อเป่าหันมาช้าๆ “มือขวาของคุณชายจ้าวซันสมควรจะตายยังไงถึงจะสมเกียรติดีนะ”
“ไม่ต้องพูดมาก จะฆ่าก็ฆ่า”
“ปากดี เหมือนนายของมันไม่มีผิด ถุย”
เต๋อเป่าตัดสินใจพุ่งเข้าใส่ ยอมแลก เกาเฟยยิงตอบทันที เต๋อเป่าหน้าซีดเผือด ล้มตัวหลบไปข้างๆ ปรากฏกระสุนปืนด้าน ยิงไม่ออก เกาเฟยหน้าเสีย ลองอีกที ก็ยิงไม่ออกอีก เกาเฟยโยนปืนทิ้ง รีบขึ้นไปสตาร์ทรถแต่สตาร์ทไม่ติด เต๋อเป่าได้ที ลุกขึ้นหมายวิ่งเข้ามาซ้ำแล้วจู่ๆ เสียงปืนดังจากข้างบน มีรถตู้จอดอยู่บนถนนเลียบหาด ทั้งสองคนหันไปมอง เกาเฟยจำรถได้ รีบวิ่งขึ้นไปที่รถตู้
“ฝากไว้ก่อน”
เกาเฟยขึ้นไปที่รถตู้ รถตู้แล่นออกไป เต๋อเป่ามองตามจนลับตา สงสัยหนัก
ที่บ้านหลินจื้อเหม่ย จ้าวซันนั่งเอนๆ อยู่ มีภูสินทรนั่งที่นั่งตรงข้าม พูดจากันกระซิบกระซาบ บราลีอยู่ที่ครัว ช่วยหลินจื้อเหม่ยเตรียมถ้วย เครื่องปรุงชาแบบฝรั่ง แอบมองห่วงๆ หลินจื้อเหม่ยทำชาเสร็จ มายกถาดชาที่บราลีเตรียมไว้ ออกไปเสิร์ฟ
จ้าวซัน ภูสินทร นั่งคุยกันกระซิบกระซาบ ภูสินทรจับเนื้อตัวจ้าวซันอย่างเป็นห่วง เหมือนเห็นเป็นเด็กตัวน้อยๆ ตลอด
“ฝ่าบาท พระฉวีซีดมาก ยังทรงเจ็บป่วยอยู่ไม่น้อย แต่กลับต้องออกมาแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยพระองค์เอง” ภูสินทรส่ายหน้า หนักใจ “แล้วยังไม่ทราบอีกหรือพะย่ะค่ะ ว่าคนที่กระทำการให้เสมือนรถของพระองค์ประสบอุบัติเหตุคือใครกันแน่”
ที่หน้าบ้าน อาหลี่เดินไปเดินมา สอดส่ายสายตา ทำหน้าที่
“ก็คง เป็นน้องชายของเราอีกคนกระมัง ฉินเจียง เขาเกลียดเราเหลือเกิน แต่ช่างมันเถอะ เราอยากไปจะไปพบน้องชายแท้ๆ ของเรามากกว่า”
“ไม่ควรทรงเสี่ยงก่อนจะถึงเวลา หม่อมฉันเกรงพวกมันจะไหวตัวทัน แต่เวลานี้ กระหม่อมมีห่วงเรื่องนึง”
“อะไร”
ภูสินทรมองไปทางครัว กลัวบราลีได้ยิน
“สุริยะตามประกบโกศินท่าไหนไม่รู้ แต่ตัวเองกลับหายไป ติดต่อไม่ได้ กระหม่อมเกรงว่าจะมีอันตรายอะไรหรือเปล่า สุริยะประมาทมาก เขารู้จักพวกไอ้ราชิดน้อยเกินไป”
“ถ้าพวกมันทำอะไรสุริยะ เราก็คงผิดต่อม่านฟ้าอีก”
จ้าวซันชะโงกไปทางครัว บราลีโผล่มาดูพอดี ภูสินทรแอบมองบราลีนิดๆ แล้วหันกลับมา
“เมย...ดูเป็นเด็กผู้หญิงอเมริกันมาก ถ้าพบที่อื่น กระหม่อมคงไม่มีสิทธิ์จะจดจำได้เลย”
“เขาก็ไม่อเมริกันมากนะ เขาเป็นคนไทยมากกว่า เป็นเด็กผู้หญิงที่เป็นตัวของตัวเอง ดูแลตัวเองได้ดี หยิ่งและถือตัวพอสมควร แล้วค่อนข้างซื่อ มองโลกในแง่ดี” ภูสินทรยิ้มเอ็นดู
“กระหม่อมเอาของสำหรับเขามาด้วย ฝ่าบาทจะประทานเลยไหม”
“เดี๋ยวคงต้องดูจังหวะก่อน”
บราลีแอบดู แล้วหดหน้ากลับมา
“คนนั้นต้องพูดถึงชั้นแน่ๆ ไม่รู้ว่านินทาอะไรกันสิ กระซิบกระซาบภาษาแปลกๆ สงสัยจะเป็นภาษาคีรีรัฐ”
“จ้าวซันก็เป็นจ้าวซันวันยังค่ำ ในที่สุดเขาก็ไม่ยอมนอนหลับ ต้องลุกขึ้นมาบงการทุกอย่าง ฉันว่าเผลอๆ คืนนี้เขาคงไม่ได้นอนแน่ๆ”
“บ้านเธอเลยกลายเป็นออฟฟิศโมไบล์ของเค้าไปเลย”
หลินจื้อเหม่ยหัวเราะ
“ไม่เป็นไรหรอกจ้า”
ทันใดเสียงโทรศัพท์จ้าวซันดัง จ้าวซันเอามาดู แล้วชะงัก
“เทเรซ่า” จ้าวซันกดรับ “มีอะไร...” ตาจ้าวซันมีแววตื่นเต้นขึ้นมา “จริงเหรอ...งั้นเหรอ ดี ตกลงๆๆ” จ้าวซันกดวาง หันมาสบตาภูสินทร “ท่านนายพลราชิดประสานมา ว่าพรุ่งนี้ศิขรนโรดม พร้อมที่จะทรงทำทุกกิจกรรมตามหมายกำหนดการณ์เดิมทุกอย่างแล้ว”
ภูสินทรตื่นเต้นขึ้นมาด้วย
“ว่าแล้ว พวกมันไม่ยอมเสียเวลา ที่จะเดินทางกลับคีรีรัฐเกินกำหนดแน่ๆ”
ที่หน้าบ้าน อาหลี่ตกใจเมื่อเห็นเต๋อเป่า เต๋าเป่ารีบร้อนรีบร้อนเข้ามาหาจ้าวซัน หน้าตาท่าทางสะบักสะบอม
จ้าวซันมอง ตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“นี่แกไปโดนหมาที่ไหนฟัดมา”
“ไอ้หมาเกาเฟยตัวเดิมนั่นแหละครับ ตกลงผมก็ยังไม่รู้ ว่ามันไปพบใคร ผมได้แต่รอมันอยู่ห่างๆ เพราะตรงนั้นเป็นที่โล่ง ตามมันเข้าไปใกล้กว่านั้นไม่ได้ แต่ผมจะลองหาทางอีกที คุณชายไม่ต้องห่วง คราวหน้า ผมจะต้องรู้ให้ได้ ว่าเกาเฟยไปพบใคร นอกจากไท้เผ่งนายมันแล้ว มันยังรับใช้ใครอีก”
จ้าวซันหันมาสบตาภูสินทร ปลงๆ ขำๆ หัวเราะแก้เครียด
“เห็นไหม ว่าเราต้องรับศึกหลายทางเหลือเกิน”
จ้าวซันหัวเราะเยาะตัวเอง จิบชา ทุกคนสบตากัน ห่วงจ้าวซันมากมาย
ในครัว บราลี หลินจื้อเหม่ย ได้ยินเสียงหัวเราะ โผล่ไปดู แล้วหันมาสบตากัน ส่ายหัว ประมาณอะไรของคนพวกนี้นะ มีอะไรให้ขำเหรอ
คืนเดียวกันนั้น เหม่ยอิงเดินเร็วๆ เข้าบ้านมา แล้วก็สะดุ้งทั้งตัวเมื่อเจอผิงอันนั่งหลับอยู่ที่ขั้นบันได เหม่ยอิง
เข้ามาเขย่าตัวผิงอัน
“ผิงอันๆ ตื่นๆ อะไรกัน มานั่งหลับทำไมตรงนี้”
ผิงอันเงยมา โดดกอดเหม่ยอิงทันที น้ำตาไหล
“พี่ไปไหนมาคะ ดึกป่านนี้ พี่ไปทำอะไร”
เหม่ยอิงงง ผลักผิงอันออก
“ทำไม ชั้นก็มีธุระของชั้น มันกงการอะไรของแก แล้วร้องไห้ทำบ้าอะไร”
“หนูกลัว ทีหลัง พี่เหม่ยอิงอย่าออกไปไหนดึกๆ คนเดียวอีกนะคะ”
“อะไรนะ”
“หนูห่วงพี่ค่ะ”
เหม่ยอิงอึ้งไปนิด ใจอ่อนลง
“เธอน่ะเหรอ ห่วงชั้น”
“หนูไม่อยากให้พี่เหม่ยอิงเป็นอะไร”
“บ้า ชั้นน่ะเหรอจะเป็นอะไร ห่วงตัวเองดีกว่ามั้ง ผิงอัน”
“พี่อย่าประมาทนะคะ” เหม่ยอิงสะดุ้ง
“หา...นี่ เธอ..เธอหมายความว่ายังไง”
“พี่ชอบไปไหนคนเดียว ขับรถขับรา มืดๆ ค่ำๆ อันตรายมีมากมายค่ะ” เหม่ยอิงโล่งอก
“อ๋อ...งั้น พี่ก็ขอบใจเธอนะ ไป...ไปนอนเถอะ นี่เธอมานั่งรอพี่จริงๆ เหรอ” เหม่ยอิงโอบบ่าน้อง พาเดินขึ้นบ้าน
“ค่ะ เที่ยงคืนแล้วพี่ไม่กลับบ้าน หนูก็ไม่สบายใจ หนูกลัวจะมีอะไรเกิดขึ้นกับครอบครัวเรา ตระกูลเรากำลังจะมีเคราะห์ร้ายนะคะ พี่”
“บ้า เธอเอาอะไรมาพูด ไปฟังใครมา เหลวไหล”
ผิงอันจะบอก แล้วเลยอึ้ง เปลี่ยนใจไม่บอก
“หนูพูดไป พี่เหม่ยอิงก็จะโกรธ”
“ชั้นไม่โกรธอะไรง่ายๆ หรอก เธอน่ะ มันเห็นชั้นเป็นยักษ์เป็นมารตลอด เธอไม่รู้หรอกว่าฉันรักเธอแค่ไหน จำใส่กะโหลกกลวงๆ ไว้นะ ว่าชั้นทำทุกอย่างเพราะเธอ เพราะแม่ของเรา พวกเราจะได้ลิ้มรสของอำนาจ ความสำเร็จ แล้วไม่ต้องตกเป็นขี้ข้าใคร ให้เค้าจิกใช้อีก รู้ไหม”
“แต่แม่ใหญ่...”
“อีนังแม่ใหญ่น่ะ ตัวดีเลย มันนั่นแหละ จะต้องโดนดีเป็นคนแรก ถ้าพี่ทำสำเร็จ แม่สี่ของเราจะยิ่งใหญ่ที่สุด ในบ้านสี่ฤดู แล้วผิงอันอยากจะได้ไปเรียนประเทศไหน อยากกลับมาแล้วทำอะไร หรือแม้แต่เธอไม่อยากกลับฮ่องกง ไม่อยากทำงานทำการ แต่อยากเที่ยวสนุกไปเรื่อยๆ รอบโลก เธอก็จะได้ตามต้องการ นะน้องนะ” เหม่ยอิงลูบหัวผิงอัน ยิ้มให้อย่างใจดีซะเหลือเกิน
ผิงอัน อึ้ง จ๋อย ยิ้มแหยๆ รู้สึกสังหรณ์ใจประหลาด
เช้าวันรุ่งขึ้นที่บ้านครูเฒ่าที่คีรีรัฐ ใต้แสงตะวันรุ่ง ครูเฒ่ากำลังต้มชาร้อนอยู่ ควันกรุ่น บรรยากาศหนาวเย็นทันใดทหารสามคน และอสุนี เดินกันเข้ามา ครูเฒ่าหันหลังให้ พูดลอยๆ
“ทหาร ไม่ได้มีหน้าที่แค่ป้องกันประเทศแต่เพียงอย่างเดียว” ทั้งสี่นายสะดุ้ง “อสุนี วันนี้มีเวลามาเยี่ยมครูได้นะ พากันมาเยอะเชียว” ครูเฒ่าหันหน้ามา “สงสัย ครูต้องชงชาเพิ่มแล้วกระมัง”
พวกทหารคำนับครูเฒ่า
“กระผมอยากจะ ถามอะไรครูหน่อยน่ะครับ” ครูเฒ่ายิ้ม
“งั้นหรือ จะถามเดี๋ยวนี้หรือจะเชิญครูไปคุยที่ไหนล่ะ” พวกทหารอึ้งๆ “อสุนี เธอไม่ได้ตามเสด็จเพราะป่วยไม่ใช่หรือวันนี้หายดีแล้วหรือไง”
“ทุกคน ออกไปก่อน”
ทหารมองหน้ากัน อสุนีมองแบบเด็ดขาด
“ขอร้องล่ะ เพื่อนๆ เรื่องที่เราอยากจะปรึกษาครู มันเป็นปัญหาอาการป่วยของเรา ที่มันเป็นเรื่องน่าอายจริงๆ”
ทหารทยอยเดินออกจากห้องไป เหลือเพียงอสุนีหน้าเครียดอสุนีลดเสียงลง “ครูครับ องค์ชายไม่ทรงส่งข่าวอะไรกลับมาถึงผมบ้างเลย มันผิดปกติเกินไป” ครูเฒ่าหันไปชงชาต่อ อสุนีวิ่งไปดักหน้าครูเฒ่า คุกเข่าลง กราบเท้า “ครูครับ ครู ผมไม่ได้เป็นพวกเดียวกับพ่อของผม”
“อสุนี”
อสุนีจับที่เท้าครูเฒ่า เงยขึ้น พูดพอได้ยินสองคน
“ผมสาบานได้ หากผมคิดคดทรยศต่อองค์รัชทายาทศิขรนโรดม ขอให้ผมพินาศหายนะ ตายอย่างทรมานด้วยคมหอกคมดาบ”
“พอแล้ว อสุนี หากคนพวกนั้นได้ยิน จะเป็นภัยกับตัวเจ้าเอง”
“สามคนนั้น นายพลจัตุรัสส่งมา ให้ประกบผมตลอดเวลา แสดงให้เห็นว่าพวกเขาก็ระแวงผมอยู่เช่นกัน แต่เวลานี้ ผมคิดถึงองค์ชายมาก แล้วก็ห่วงใยท่านที่สุด ผมควรทำอย่างไรดี”
อสุนีมองหน้าครูเฒ่า รอฟังคำตอบหรือคำว่ากล่าว ครูเฒ่ากลับหันหลังไปชงชาแล้วพูดเสียงดัง ตั้งใจให้พวกข้างนอกได้ยิน
“เธอป่วยมากนะ อสุนี ต้องรีบไปพบนายแพทย์ซะ แล้วควรลางานต่อ ไปพักฟื้นในที่ๆ อากาศสะอาด เช่นบนเขาสูง อากาศเย็นๆ แต่อย่าลืมว่าครูรอการบ้านอยู่ ถ้าอาการดีขึ้นแล้วก็ทำการบ้านมาส่งครูด้วยล่”ะ
พวกทหารทั้งสามแอบฟังอยู่หน้าห้อง อสุนียิ้มดีใจสุดๆ
ที่ฮ่องกง ในร้านสปาของโรงแรม ศิขรนโรดมที่ตัดผม ทำผมเรียบร้อย มองดูเงาตัวเอง มิถิลายืนสงบ รักษาการณ์อยู่กับพวกทหาร พนักงานทำผมเอาผ้าคลุมออกให้ศิขรนโรดม แล้วถวายคำนับ ศิขรนโรดมลุก แล้วมิถิลาเข้าไป ศิขรนโรดมแบมือ มิถิลาส่งกระเป๋าตังค์ให้ ศิขรนโรดมหยิบเงินฮ่องกงออกมา แล้วส่งให้ช่าง เป็นทิปที่จำนวนมากพอควร
ทหารเดินนำออกมา ศิขรนโรดมและมิถิลาตามมา ศิขรนโรดมมองดูเงาตัวเองเวลาเดินผ่านกระจก ลูบๆ ตีนผมด้านหลัง
“หล่อแล้วพะย่ะค่ะ” มิถิลาบอกอย่างอดไม่ได้ ศิขรนโรดมหันมาเหล่ “ท่าทางจะโปรดมาก เห็นให้ทิปช่างชาวฮ่องกงไปเยอะ คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้าย ที่จะได้ออกงานให้ชาวต่างชาติชมพระบารมี ต้องทรงพระศิริโฉมเป็นพิเศษ”
“เจ้าอยากแต่งตัวสวยๆ บ้างล่ะสิ” มิถิลาอึ้งๆ
“อะไรนะ ฝ่าบาท”
พอดีเดินมาถึงหน้าร้านแฟชั่น มีหุ่นโชว์สวยใส่ชุดราตรียาวผ้าไหมสวยหรู ศิขรนโรดมหยุดยืน ชี้ให้ดู
“เอาชุดนี้ไหม ข้าจะซื้อให้”
“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่ขำเลยนะ” มิถิลาโกรธ ศิขรนโรดมหัวเราะ
“แล้วถ้าเราได้กลับถึงคีรีรัฐจากปลอดภัย เจ้าจะทำยังไง มิน องครักษ์มินจะหายตัวไปจากข้า ตราบนิจนิรันดร์หรือ” ศิขรนโรดมมองอย่างมีนัยยะแปลกๆ แล้วเดินนำไป มิถิลาอึ้ง
ศิขรนโรดมเดินเข้ามาในห้องพัก มิถิลาตามเข้ามา ทหารอื่นหยุดอยู่ข้างหน้าห้อง มิถิลาหันไปปิดประตูแล้วรีบเดินมา ศิขรนโรดมกำลังเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบชุดออกมา
“คืนนี้ เราสวมชุดไหนดี ขาว หรือดำ”
“ที่ฝ่าบาทรับสั่ง เมื่อครู่ ทรงหมายความว่าอะไรพะย่ะค่ะ” มิถิลาถามอย่างเอาเรื่อง
ศิขรนั่งลงที่เตียง กอดอก มองตรงมา
“มิน...องครักษ์มิน คืนสุดท้ายแล้ว เราอย่าเสแสร้งต่อกันอีกเลย แม่คุณ”
“ฝ่าบาท” มิถิลาหน้าซีด
“ใครส่งเจ้ามาล่ะ มิถิลา จะว่าเป็นบิดาเจ้าก็ไม่น่าจะใช่ แล้วที่เจ้าแสดงออกต่อข้า มันคือความจริงใจ หรือจะหลอกให้ข้าตายใจ เพื่อจะได้ตายสนิทในที่สุด”
“องค์ชายรัชทายาท”
มิถิลาทรุดลงนั่งกับพื้น ศิขรนโรดมมองตรงมา แววตาจริงจัง
อ่านต่อหน้า 4
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 7 (ต่อ)
เช้าวันรุ่งขึ้นที่บ้านหลินจื้อเหม่ย บราลีย่องๆ ลงบันไดมา แล้วยิ้มขำๆ ที่มีเสียงกรนเบาๆ ดัง จ้าวซันหลับอยู่ที่โซฟามีผ้าห่มปิดอก
อีกด้านนึง อาหลี่นอนในถุงนอน กรนคร่อก เฝ้าหน้าประตูอย่างซื่อสัตย์ บราลีเดินมาดูจ้าวซัน จ้าวซันหลับ หน้าตามีเครางอกบางๆ บราลีใจอ่อนเวทนา นั่งคุกเข่าลงดูใกล้ๆ จ้าวซันหลับสนิท บราลีมองๆ แล้วรู้สึกรัก เอ็นดู สงสาร จับผ้าห่มมาคลี่คลุมให้ทั่วตัวขึ้น แล้วลูบๆ ที่ชายผ้าเบาๆ ก่อนจะลุก เดินย่องๆ ออกไป
บราลีเดินหิ้วถุงน้ำเต้าหู้มามาตามถนนจนมาถึงหน้าบ้าน ขณะนั้นอาหลี่กำลังเช็ดรถจ้าวซันอยู่ บราลียกถุงขึ้นน้ำเต้าหู้
“หลี่คะ มากินอาหารเช้าก่อนสิ”
“ตามสบายครับ ผมเรียบร้อยแล้ว”
บราลีทำหน้าไม่เห็นด้วย เปิดประตูเลื่อนหน้าบ้าน ก้าวเข้าไป
บราลีก้าวเข้ามาในบ้านแล้วชะงัก เมื่อเห็นที่โซฟาว่างเปล่า มีผ้าห่มพับๆ เรียบร้อย วางอยู่ บราลีก้าวเข้าไปด้านใน ที่กระจกหน้าห้องน้ำ จ้าวซันที่ใส่เสื้อยืดคอกลมตัวในกับกางเกงตัวเดิม ยืนโกนหนวดด้วยที่โกนหนวดไฟฟ้าอยู่
“คุณรีบตื่นทำไมคะ มีงานที่ต้องรีบไปทำอีกแล้วเหรอ”
“จื้อเหม่ยไปทำงานแล้ว ผมก็ไม่ควรนอนกินบ้านกินเมืองนะ”
“คุณสบายดีแล้วหรือคะ” บราลีถามพร้อมกับเข้ามายืนข้างๆ จ้าวซันมองถุงในมือ
“ไปซื้ออะไรมา”
“อาหารเช้าของคุณไง”
บราลีเดินไปในครัว จัดอาหารจากถุงลงถ้วย จ้าวซันมองด้วยแววตาอ่อนโยน รู้สึกเศร้าปนซึ้ง แล้วอดใจไม่อยู่ เข้าไปกอดเอวบราลีจากข้างหลัง บราลีสะดุ้ง ยืนตัวแข็ง
“จ้าวซัน ทำอะไร”
“ทำไม เราไม่เกิดมาเป็นชาวบ้านธรรมดา ใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาทั่วไป เกิด เติบโตในห้องแถวในซอยเล็กๆ ก็ได้ ฐานะไม่ต้องดีมาก ตอนเด็กๆ ก็เดินไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนปากซอย เรียนไม่ต้องสูง พออ่านออกเขียนได้ แล้วก็พอโตมา ทำอาชีพพ่อค้าแม่ขาย แล้วก็แต่งงาน อยู่ด้วยกัน เป็นครอบครัวที่เรียบง่าย ไม่ต้องมีเงินทองเยอะแยะอะไรเลย แต่มีความสุขมากๆ” พูดๆไป ก็น้ำตาชักคลอๆ แนบหน้ากับข้างแก้มบราลี
“บางที ชีวิตที่เรียบง่าย ที่ใครๆ เขาก็มีกัน กลับเป็นของเกินเอื้อม สำหรับคนบางคน”
“บรี” จ้าวซันจับตัวบราลีหมุนมาเผชิญหน้า “คุณก็อยากอยู่แบบเรียบง่ายเหมือนกันเหรอ”
“ค่ะ ชั้นอยากมีครอบครัวที่พร้อมหน้าพ่อแม่ลูก เราจะจน หรือจะเป็นคนบ้านนอกก็ได้ แต่ชั้นไม่ต้องเป็นเด็กกำพร้า ที่ไม่รู้ว่าพ่อแม่หายไปไหน แล้วต้องถูกส่งตัวไปอยู่เมืองนอก ตัวคนเดียว”
จ้าวซันประคองหน้าบราลี
“บรี ชีวิตที่อเมริกา คุณไม่สุขสบายหรอกหรือ”
“ก็ สุขสบายนะคะ ชั้นไม่ควรสงสารตัวเอง เพราะชั้นก็นับว่ายังโชคดีกว่าคนอีกเยอะแยะ แต่...”
“แต่อะไรครับ”
“บางที เวลาเย็นๆ ชั้นชอบเดินดูตามบ้านคน ที่พ่อแม่กลับมาจากทำงาน ลูกๆ กลับจากโรงเรียน วิ่งไปมาหน้าบ้าน แม่ทำกับข้าว พ่อตะโกนเรียกหมาโหวกเหวก บางทีเขาก็ทะเลาะกัน พ่อแม่ดุลูกหรือพ่อเอาแต่ดูทีวี แล้วแม่ก็มาบ่นด่าเสียงดังๆ แต่เขาก็อยู่ด้วยกันครบ...พ่อ แม่ ลูก”
จ้าวซันมองหน้า เศร้า เสียใจ ดึงตัวบราลีกอดแน่น
“เมย พี่ขอโทษๆ เธอจริงๆ”
บราลีงงๆ แต่ก็เศร้าและสุขอบอุ่นในอ้อมกอดนั้น
อีกด้านหนึ่งที่ห้องพักศิขรนโรดม ศิขรนโรดมนั่งมองหน้ามิถิลา จริงจัง มิถิลาตัดสินใจ ถามอย่างกล้าหาญ
“ทรงทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ ว่า...หม่อมฉันคือใคร”
“เจ้าคิดว่าข้าปัญญาอ่อนหรือไง รู้ตั้งแต่วันแรกแล้ว”
“อะไรนะ...พะย่ะค่ะ เอ้อ...เพคะ”
“มิถิลา คงมีแต่พ่อเจ้ากระมัง ที่มัวแต่จับจ้องที่ข้า จนมองข้ามเจ้า หรือไม่ เขาก็อาจจะคิดไม่ถึง”
“ท่านพ่อ คงมีหลายสิ่ง ที่ดึงสมาธิไป ทำให้ท่านพ่อไม่สนใจอะไรเลย”
“สมาธิของท่านราชิด ก็คือ...ทำอย่างไร จะกำจัดศิขรนโรดมได้ มีอยู่เพียงเท่านั้น แต่เจ้าไม่ตอบคำถามข้าเลยนะ มิน เอ้อ มิถิลา ว่าใครส่งเจ้ามา อสุนีงั้นหรือ”
“ไม่ใช่ พี่อสุนีไม่ทราบอะไรทั้งนั้น พี่คือความหวังของพ่อ ทั้งๆ ที่พี่ไม่เห็นด้วย หม่อมฉันทราบดี ว่าพี่อสุนีจงรักภักดีต่อฝ่าบาทมากแค่ไหน”
“ถ้าไม่ใช่เขา แล้วเป็นใคร และต้องการให้เจ้าทำสิ่งใดต่อข้า”
“ทรงมิได้หวังให้หม่อมฉันทำร้ายฝ่าบาทแน่นอน แต่เป็นตรงกันข้าม”
“เจ้า ใช้ราชาศัพท์ กับบุคคลผู้นั้น”
“ไม่เห็นจะต้องทรงสงสัย หม่อมฉันเป็นข้าหลวงฝ่ายใน ของเจ้านายพระองค์ใด หม่อมฉันก็ทำราชการ เพื่อถวายแด่เจ้านายพระองค์นั้น”
“เป็นเจ้าแม่ ที่ส่งเจ้ามา มิน่าเล่า”
ศิขรนโรดมถึงกับอึ้ง
ที่บ้านหลินจื้อเหม่ย บราลีนั่งกินน้ำเต้าหู้กับจ้าวซันอย่างหวานชื่น ความรู้สึกที่มองหน้ากัน คือความสนิทสนมและไว้วางใจมากขึ้น
อาหลี่ก้าวเข้ามาพร้อมชุดที่อยู่ในไม้แขวนแบบมีถุงพลาสติกสีเทาหุ้มมิดชิด และกล่องเครื่องประดับใบใหญ่
“ขอโทษครับ มิส ขอโทษครับ คุณชาย นี่คือของที่คุณเมืองเทพฝากไว้ให้มิสภีมะมนตรี สำหรับใช้แต่งไปงานเลี้ยงต้อนรับเจ้าชายจากคีรีรัฐครับ”
“ใครฝากให้ชั้นนะคะ”
“คุณเมืองเทพ” อาหลี่วางลงอย่างระมัดระวังที่โซฟา จ้าวซันอธิบายต่อ “เขาเป็น สต๊าฟของผม ที่มาจากเมืองไทย ของพวกนี้เป็นของที่มีคนเตรียมไว้ให้คุณ”
บราลีลุกไปดู หยิบมา แต่ยังไม่ทันเปิดดู
“เป็นชุดออกงานกลางคืนหรือคะ รู้แล้วชุดไทย ผ้าไหมจากร้านของพ่อ ใช่ไหมคะ”
จ้าวซันตัดสินใจขัดขึ้น
“บรี เรื่องขโมยขึ้นบ้านเมื่อคืน ผมคิดว่า อยากจะให้คุณย้ายไปอยู่ที่บ้านผมชั่วคราวก่อนดีกว่าเก็บของเลยดีไหม”
บราลีตาโต วางของลงทันที
“อะไรนะคะ”
“ผมไม่อยากให้คุณเสี่ยง แล้วตอนนี้ ผมมีปัญหาเยอะ คนที่ผมไว้ใจได้ก็มีไม่กี่คน ผมแบ่งใครมาดูแลคุณไม่ได้ มาอยู่ที่บ้านสี่ฤดูเถอะนะ”
บราลีคิดหนัก แล้วค่อยๆ ซีด
“คง...คงไม่ดีมั้งคะ คุณเหม่ยอิงคงไม่...”
“ไม่ต้องสนใจเหม่ยอิง คุณไปอยู่ที่ตึกผม แค่ชั่วคราวเท่านั้น แล้วพอทุกอย่างเรียบร้อย ผมจะจัดที่อยู่ที่เหมาะสมให้คุณ”
“ทุกอย่างเรียบร้อย คืออะไร”
“คือผมกำลังจะต้องทำบางอย่าง ที่มันออกจะวุ่นวายซับซ้อนซักหน่อย แล้วก็ยังไม่รู้ ว่าจะสำเร็จแค่ไหน ถ้าทุกอย่างลงเอยด้วยดี คุณจะรู้เอง”
“จ้าวซันคะ ช่วยพูดอะไรให้มันเรียบๆ ง่ายๆ ตรงไปตรงมาหน่อยเถอะค่ะ”
“ผมบอกได้แค่นี่ จริงๆ”
“แล้วทำไมคุณต้องมาจัดที่อยู่ที่เหมาะสมให้ชั้นด้วย”
“บรี ผมขอ...ว่าอย่าเพิ่งถามเลยนะครับ ให้พ้นงานคืนนี้ไปก่อน แล้วเราค่อยคุยกันนะครับ”
“ทำไมถึงต้องพ้นคืนนี้ไปก่อน ทำไมถึงบอกเดี๋ยวนี้ไม่ได้”
จ้าวซันถอนใจ
ส่วนที่ห้องพักศิขรนโรดม ศิขรนโรดมยืนจ้องหน้ามิถิลาไม่วางตา มิถิลามองหน้า แล้วก้มลงกราบแทบเท้า
“ควรมิควร แล้วแต่จะโปรด หม่อมฉันขอพระราชทานโทษ ที่ล่วงเกินฝ่าบาท ที่หม่อมฉันต้องทำทั้งหมดนี้เพราะพระเทวีไม่สบายพระทัย ที่ฝ่าบาทต้องเสด็จตามลำพัง โดยไม่มีพี่อสุนี ทรงฝากให้หม่อมฉันมาทำหน้าที่แทน”
มิถิลาเงยหน้าขึ้นมา สบตา จริงจัง ศิขรนโรดมส่ายหน้า ไม่อยากจะเชื่อ
“เจ้าแม่ทรงคาดการณ์ล่วงหน้าได้แม่นยำอย่างน่าอัศจรรย์”
“ทำให้หม่อมฉันต้องพยายาม ทำให้ดีที่สุด สมกับที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัย”
ศิขรนโรดมเอามือวางลงบนหัวมิถิลาอย่างเอ็นดู
“เจ้าชอบทำตัวเป็นชาย ชิงดีชิงเด่น ชอบแข่งขันประชันฝีมือกับอสุนีมาตลอด น่าแปลก ที่เจ้าแม่ก็ทรงทราบเช่นกัน”
มิถิลาจับมือศิขรนโรดม มองหน้าแบบสัญญา
“หม่อมฉันจะถวายอารักขาแด่พระองค์ จนถึงวันที่พระบาททรงก้าวลงบนแผ่นดินคีรีรัฐอีกครั้งอย่างปลอดภัย หากต้องทรงตกอยู่ในอันตราย หม่อมฉันก็จะอยู่ด้วย หากมีผู้ใดทำร้ายฝ่าบาทได้ ก็แปลว่าหม่อมฉันได้ตายไปแล้ว”
“แล้วถ้าคนนั้น คือท่านราชิด”
มิถิลาปลดมือตนจากศิขรนโรดม และถอยออกไป ยืนตรง ในท่าทหารเตรียมพร้อม สีหน้าห้าวหาญ เด็ดขาด
“ก็ให้พ่อมาฆ่าลูกเลย พี่อสุนีก็เช่นกัน เขาก็จะยอมให้ท่านพ่อฆ่าตายเสียดีกว่าจะให้ฝ่าบาทเป็นอะไรไป”
“ท่านราชิดมีแผนอะไรอีกก็ไม่รู้ เขาอาจจะหาทางลงมือคืนนี้ก็ได้”
“หม่อมฉันไม่ยอม” มิถิลาบอกแล้วเดินไปที่ประตู
“เจ้าจะไปไหน มิถิลา”
“หม่อมฉัน จะไปเจรจากับท่านพ่อ จะไปเปิดเผย ว่าหม่อมฉันคือใคร” มิถิลารีบออกไป
“อย่า...”
ศิขรนโรดมห้ามไม่ทัน ได้แต่ยืนอึ้ง
ส่วนที่บ้านหลินจื้อเหม่ย จ้าวซันนั่งมองหน้าบราลีอย่างอ่อนใจ
“บรี คุณเชื่อผมง่ายๆ ไม่ดื้อ ไม่ถามอะไรมากนัก ซักครั้งไม่ได้เหรอ”
“จ้าวซันคะ ทำไมคุณต้องทำอะไรให้งงๆ ด้วยล่ะ ถ้าคุณมีปัญหาอะไร หรือชั้นมีปัญหาอะไรที่ตัวเองไม่รู้ คุณก็บอกมาสิ ชั้นเป็นคนมีเหตุผล เข้าใจอะไรง่ายๆ นะคะ ไม่ได้เป็นผู้หญิงเรื่องมาก เจ้าปัญหาอะไรเลย”
จ้าวซันยิ้มอ่อนโยน
“ขอให้จริงเถอะ”
“จริงๆ นะคะ มีอะไรก็บอกมา หรือคุณไม่ไว้ใจชั้น”
“คุณนั่นแหละ ไม่เคยไว้ใจผมเลย”
“พ่อชั้นติดต่อคุณได้หรือยัง”
จ้าวซันอึ้ง จำต้องโกหก
“เอ่อ คิดว่าคืนนี้ เราคงได้เจอกันพร้อมหน้า พ่อคุณต้องไปในงานนี้เหมือนกัน”
“ค่อยยังชั่วหน่อย นึกว่าพ่อเป็นอะไรซะอีก”
“ไป งั้นกลับบ้านกันนะ บรี ไปเตรียมตัวออกงานคืนนี้”
“เตรียมตัวออกงาน”
“คุณจะได้สวยๆ ไง อยากทำผม นวดตัว แต่งหน้า ทำเล็บอะไรก็ตามใจ เรียกช่างมาเลย แล้วค่ำนี้ เราไปงานกัน”
“แล้วทำไมต้องไปบ้านคุณ เรื่องเสริมสวยพวกนี้ แถวๆ นี้ก็มีตั้งหลายร้าน ไม่แพงด้วย”
“บรี” จ้าวซันจับมือทั้งสองของบราลีมารวบไว้อย่างอ่อนโยน “ไปเก็บของ นะครับ แล้วไปด้วยกัน”
“ก็ถ้าคืนนี้เราต้องเจอกันที่งานอยู่แล้ว ค่อยเจอพ่อก่อน แล้วเราค่อยพูดกัน จะไม่ดีกว่าหรือคะ”
จ้าวซันชักเพลีย พอดี เสียงโทรศัพท์ดัง จ้าวซันถอนใจ เอาโทรศัพท์มาดูแล้วรีบลุก
“ว่าไงครับ ครับๆ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้” จ้าวซันหันมา “บรี พี่ไปธุระก่อน แล้วเดี๋ยวมารับ หวังว่าเธอคงพร้อมนะ”
จ้าวซันรีบไป
“เอ๋อ..อยู่ๆ ก็ตั้งตัวเองเป็นพี่”
จ้าวซันรีบเดินออกจากบ้าน
มิถิลาเดินมาที่ห้องราชิดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หน้าห้องมีทหารรับใช้สองคนยืนอยู่
“ข้ามีธุระ จะขอปรึกษาอะไรท่านราชิดหน่อย”
“ท่านมิน เชิญๆๆ”
ทหารทำความเคารพ รีบเปิดทางให้ มิถิลาเปิดประตู เข้าไปในห้อง พื้นเป็นพรมทำให้ไม่มีเสียงฝีเท้า ด้านหน้าเป็นส่วนรับแขกของห้องชุด ไม่มีใคร แต่มีสำรับอาหารที่วางค้างคาอยู่ มิถิลามองไปในส่วนที่เป็นห้องนอนแล้วชะงัก ที่ประตูห้องนอนแง้มซักคืบนึง ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบ
“อะไรๆ อีก ก็บอกแล้วไง ว่าอย่าให้เป็นปัญหา”
มิถิลาตัดสินใจ ย่องไปแอบฟัง มิถิลามองลอดเข้าไปในห้อง เห็นราชิด โกศิน ยืนเผชิญหน้ากัน
“เงินที่เราโอนเข้าไปให้ไอ้ฉินเจียง ถูกตำรวจฮ่องกงตามรอยอยู่”
“ก็เราให้ทางแบงค์ที่สวิสจัดการ ไม่ใช่เหรอ ทางนั้นเค้ารักษาความลับลูกค้าอย่างสูงสุด มันจะสาวมาถึงเราได้ยังไง”
มิถิลาตกใจ สงสัยว่าเรื่องอะไร
“ช่างเถอะ ท่านราชิด ยังไงเดี๋ยวพรุ่งนี้เราก็จะบินกันแต่เช้า ถ้าตำรวจฮ่องกงมันเก่งจริง อย่างมากไอ้พวกขายอาวุธมันก็โดนจับ แต่มันสาวไม่ถึงเราหรอก ถึงตอนนั้นการยึดอำนาจของเราที่คีรีรัฐก็สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว”
“ยังไง ขอให้เครื่องบินพระที่นั่งขนอาวุธไปให้ถึงคีรีรัฐตามเวลาที่เรานัดไว้กับท่านจัตุรัสก่อนก็แล้วกัน”
มิถิลาช็อค แล้วค่อยๆ ถอยๆ ออกมา
“แล้วคืนนี้ ตกลงท่านจะทำยังไงกับองค์ชาย”
มิถิลาไม่ทันได้ยินคำสุดท้าย แต่รีบออกมานอกห้องก่อน พวกทหารมองมิถิลา
“ขอบใจนะ”
พวกทหารทำความเคารพ ยิ้มประจบประแจง มิถิลาหันหลัง สีหน้าเปลี่ยนเป็นร้อนรน รีบไป
ด้านจ้าวซันเดินเข้ามาที่สถานีตำรวจอย่างมารีบร้อน
“ได้ตัวคนฆ่าเจิ้นจงแล้วหรือ”
“เช็คตู้คอนเทนเนอร์ที่เอามาเปลี่ยนแทนคอนเทนเนอร์สินค้าที่โดนปล้นไปแล้ว เป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นลอยๆ ไม่มีที่อยู่ ไม่มีพนักงาน”
“ถ้าคุณชายจ้าวซันไม่ได้ทำเอง เพื่อเอาเงินประกันจริงๆ” อเล็กซ์บอกอย่างกวนๆ
“ผมจะปล้นซื่อฉวนเอง เพื่อเอาเงินประกัน ขำแล้ว เจ้าหน้าที่อเล็กซ์ เงินนั่นมันกี่ดอลลาร์กัน ผมไม่ได้เสียสตินะ”
“ใครที่อยากให้สื้อฉวนเสียเครดิต ใครที่อยากให้รถของคุณชายจ้าวซันประสบอุบัติเหตุ คุณชายว่าไงล่ะครับ”
“ผม ไม่ทราบ”
“จริงเหรอ คุณไม่ได้เป็นศัตรูกับจ้าวฉินเจียง น้องบุญธรรมของตัวเองหรือ”
“เปล่า”
“บอกมาเถอะ จ้าวซัน”
“นี่...คุณเรียกผมมาเพราะเรื่องแค่นี้เองเหรอ ผมไม่ได้ว่างๆ นะ ทีหลัง ติดต่อทนายผมก็แล้วกัน” จ้าวซันหยิบนามบัตรวางให้ แล้วรีบออกไป พวกตำรวจมองตาม
“เขาปกป้องจ้าวฉินเจียง แล้วไหนคุณบอกว่าเขากำลังใส่ร้ายฉินเจียงเรื่องลักลอบค้าอาวุธกับคีรีรัฐไง”
“ทำไมสิ่งที่ผมเคยคิดเกี่ยวกับจ้าวซัน มันผิดไปหมด”
“แล้วคุณเอาข้อมูลพวกนั้นมาจากไหนล่ะ”
“จาก น้องสาวของเค้า”
“จ้าวเหม่ยอิง คนสวยน่ะเหรอ” ทั้งสองมองหน้ากัน ผู้กองเหลียงอึ้งๆ ทันใดนั้นโทรศัพท์ในห้องประชุมก็ดังขึ้น“เฮ้ย ใครว่างๆ รับโทรศัพท์หน่อย” หมวดจางกับจ่าหมงเดินมาพอดี เสียงโทรศัพท์ยังดังลั่นๆ “นี่จะปล่อยให้มันดังอีกนานไหม”
จ่าหมงผลักหมวดจางไปรับ
“เหวยย”
สีหน้าหมวดจางเปลี่ยนไป ฟังสักพักก็ทำสัญญาณให้ทุกคนเงียบและชี้บอกว่านี่คือเรื่องสำคัญ หมวดจางกด speaker phone
“คุณควรรีบตรวจสอบที่มาที่ไปของเงินในบัญชีนั่นซะ ด้วยความหวังดี”
เสียงโทรศัพท์วางลง เกาเฟยอยู่ในตู้โทรศัพท์สาธารณะ เกาเฟยวางโทรศัพท์ยิ้มสะใจ
“เหวยๆ วางไปแล้ว”
“ใครโทรมา มันว่าไง”
“มีเงินจำนวนมากโอนเข้าบัญชีของจ้าวฉินเจียงโดยไม่มีใบนำฝาก”
“ผู้กองจะสามารถตรวจสอบที่มาของเงินพวกนั้นได้หรือครับ”
“กองปราบ เป็นหน้าที่ของพวกคุณ ที่ต้อง...จัดไป”
ที่คอนโดฉินเจียง ซูหลิงเดินเก็บเสื้อผ้าและข้าวของของตนโยนใส่กระเป๋าเดินทางที่กางไว้อยู่บนเตียง
“เดี๋ยวก่อนสิซูหลิง เธอไม่เข้าใจ”
“ใช่ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยสักนิด คุณจะต้องการเงินมากมายไปทำไม แค่นี้ยังมีไม่พออีกเหรอ ถ้าคุณยังไม่ยกเลิกการซื้อขายอาวุธสงคราม คุณกับฉันก็ไม่ต้องมาพบกันอีก เรา-ขาด-กัน”
ซูหลิงปิดกระเป๋าเดินทางปัง! ไม่สนใจ แล้วยกลงจากเตียง ลากไป ฉินเจียงวิ่งเข้าไปขวางทาง
“ใครมันปลูกฝังความคิดบ้าๆ นี่ให้เธอหา ไอ้จ้าวซันใช่ไหม”
“ไม่เกี่ยวกับคุณชายจ้าวซัน หลีกไป”
ซูหลิงลากกระเป๋าหลบไปอีกทาง ฉินเจียงกระชากกระเป๋าไว้
“ไม่ต้องไปเรียกมันว่าคุณชาย มันเป็นไอ้คนต่างด้าว มันคือเด็กจากถังขยะหน้าโบสถ์” ฉินเจียงเดินเข้าไปจับไหล่ซูหลิง เขย่า “เธอเห็นมันดีกว่าฉัน ทั้งๆ ที่ฉันอยากยิ่งใหญ่ อยากมีอำนาจ อยากครอบครองทุกอย่างเพื่อใคร ก็เพื่อเธอทั้งนั้น”
ซูหลิงสะบัดมือฉินเจียงออก เดินเข้าไปเผชิญหน้า
“อย่ามาพูดว่าทำเพื่อฉันเลยค่ะ เพราะว่ามันไม่จริง คุณกำลังหลอกตัวเอง ถ้าคุณอยากให้ฉันมีความสุขจริง ก็เลิกชิงดีชิงเด่น เลิกอิจฉาคุณชายจ้าวซันสักทีสิ ทำได้ไหมล่ะ” ฉินเจียงตบหน้าซูหลิง ซูหลิงหันกลับมาน้ำตานองหน้า
“รู้ไหมคะ มันเจ็บปวดมากแค่ไหน เวลาเห็นคนที่ตัวเองรัก ทำอะไรไร้สาระอยู่ร่ำไป แต่รู้อะไรไหมคะ มันเจ็บปวดมากกว่านั้นหลายเท่า ถ้าเรายังทำใจให้เลิกรักเขาไม่ได้สักที”
ซูหลิงผลักประตูแล้วลากกระเป๋าออกไปอย่างรวดเร็ว ปิดประตูปัง ไม่หันกลับมา ฉินเจียงอึ้งไปสักพัก
“เออ ไปเลย ไปให้รอดนะ อย่าซมซานกลับมาแล้วกัน ฉันจะคอยดูว่าไอ้ร้านขายขยะกิ๊กก๊อกของเธอนั่นมันจะเลี้ยงเธอไปได้นานเท่าไหร่” ฉินเจียงหยิบรูปคู่ที่ถ่ายคู่กันไว้ตรงหัวเตียงปาลงพื้นแตกกระจาย “โธ่เว้ย เป็นเพราะมัน ทั้งหมดเป็นเพราะมันคนเดียว” โทรศัพท์มือถือฉินเจียงในกระเป๋ากางเกงดังขึ้น “หึ...ไปได้ไม่เท่าไหร่ก็โทรมาง้อแล้วเหรอ นังแพศยา” ฉินเจียงล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋า “เกาเฟย...โทรมาทำไมของมันวะ” ฉินเจียงกดรับ “มีไร...อะไรนะ เงินที่พวกคีรีรัฐโอนมาให้โดนตำรวจตรวจสอบ” ฉินเจียงนิ่งอึ้งไปสักพัก แล้วปาโทรศัพท์ลงพื้น แตกกระจาย “ไอ้จ้าวซัน เล่นไม้นี้เลยเหรอ ได้”
เกาเฟยวางโทรศัพท์ในตู้โทรศัพท์สาธารณะลง แล้วเดินผิวปากออกจากตู้อย่างสบายใจ
จ้าวซันนั่งมาในรถ โดยมีอาหลี่เป็นคนขับ
“แล้วถ้าคุณบราลีไม่ยอมมาล่ะครับ”
“ฉุดซะเลย ดีไหม” ทั้งสองหัวเราะกัน ทันใดโทรศัพท์ดังอีก “ขอข่าวดีบ้างนะ” จ้าวซันดูเบอร์แล้วงง “อากง”
จ้าวซันเปิดประตูบ้านสี่ฤดูเข้ามาอย่างรีบร้อน อากงวิ่งตามมาติดๆ
“เร็วๆ ครับ คุณชายใหญ่ คุณชายรองบ้าไปแล้ว”
ภายในบ้าน ฉินเจียงกำลังรื้อของหน้าโต๊ะบูชาจ้าวฉินเย่ว์ขว้าง กระจัดกระจาย จ้าวซันเข้าไป ยืนตะลึง อาหลี่ตามมา มองแบบช็อคสุดๆ
“โอ้วว พี่ชายใหญ่ ปล่อยให้ผมรอซะตั้งนาน นี่ยังไม่ทันหายดีพี่ก็ออกไปทำงานหามรุ่งหามค่ำแล้ว ระวังอายุจะสั้นนะครับ”
“แกทำอะไร ปล้นซื่อฉวนแล้วยังไม่พอใจอีกเหรอ”
“เฮ้ย พี่ใหญ่ซวยเองแล้วยังมาโทษผมอีก” ฉินเจียงหันไปหารูปเต้ “เต้...เต้ดูเอาเองนะครับว่าไอ้เด็กจากถังขยะ มันใส่ร้ายลูกแท้ๆ ของเต้ แต่เต้ก็ยังรักมัน ใช่ไหม” ฉินเจียงกระชากกระถางธูป ทุ่มลงพื้น
“แล้วที่แกปล้นซื้อฉวนของเต้ ฆ่าคนบริสุทธิ์ล่ะ แกต้องการอะไร ฉินเจียง”
“กูไม่ได้ทำโว้ย”
“แล้วใครทำ ปล้นฆ่า ยกตู้คอนเทนเนอร์สลับกันในเวลาไม่ถึงห้านาที มันมีแต่“คนใน” เท่านั้นแหละที่ทำได้”
“แล้วพี่ใหญ่มีคนในเป็นผมคนเดียวเหรอ ไอ้หลี่ อากงนี่ล่ะ ไม่ใช่คนในด้วยเหรอ”
“เป็น“ไท้เผ่ง”ยังไม่ใหญ่พอใช่ไหม บอกมาแกจะเอาอะไร”
จ้าวซันและฉินเจียงยืนประชันหน้ากัน
“ผมไม่เกี่ยว”
“โกหก”
ฉินเจียงโดดชกหน้าจ้าวซัน จ้าวซันสวนหมัดตรงออกไป ฉินเจียงหลบได้ สวนหมัดกลับ ทั้งคู่ปล่อยหมัดต่อสู้กันพัลวัน จ้าวซันดูเพลี้ยงพล้ำและเสียทีอยู่หลายครั้ง อาหลี่ขยับจะเข้า แต่ไม่กล้า
ฉินเจียงใช้มวยจีน ยกขาขึ้นมาสู้ จ้าวซันได้แต่ตั้งรับ ฉินเจียงได้จังหวะเตะไปที่ขาพับใน จ้าวซันทรุดลงไป
ฉินเจียงเงื้อหมัดจะต่อยไปที่หน้า
“หมัดนี้ถือว่าผมขอเอาคืนแล้วกัน” ยันไม่ทันขาดคำ มือฉินเจียงถูกจับค้างไว้ อากงพุ่งเข้ามาคว้ามือฉินเจียง แล้วบิด ฉินเจียงทรุดลง “โอ๊ยย ปล่อย” อากงรีบปล่อยมือ แล้วกลับไปยืนสำรวมตามเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จ้าวซันลุกขึ้น มองหน้าอากง “คุณชายใหญ่ไม่ค่อยสบาย แล้วก็มีธุระมากที่ต้องไปทำ เชิญคุณชายรองกลับไปก่อนดีกว่า”
ฉินเจียงสะบัดมือด้วยความเจ็บ มองหน้าทั้งคู่ด้วยความเคียดแค้น ชิงชัง แล้วสะบัดหน้าเดินออกไป
อ่านต่อตอนที่ 8