xs
xsm
sm
md
lg

วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 3

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 3

วันต่อมา ที่บ้านสี่ฤดูของจ้าวซันเวลานั้น จ้าวซันนั่งกินอาหารเช้าพวกกาแฟ ขนมปังเนยแยม น้ำส้ม อ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจภาษาอังกฤษพลาง ผิงอันติดกิ๊บใหม่ที่บราลีให้และใส่กางเกงขาสั้นแบบบราลี วิ่งยกจานผลไม้มาให้

“พี่ใหญ่ เป็นไงน่ารักไหม” ผิงอันแตะที่กิ๊บให้ดู
“น้องพี่ใส่อะไรก็น่ารัก”
“โหยย ไม่เหมือนกันซะหน่อย อันนี้เพิ่งได้มาใหม่ๆ นะคะ”
“ใช้เงินเปลืองอีกแล้วนะเรา”
“ไม่เปลืองค่ะ มีคนซื้อให้”
“ใคร? พี่เหม่ยอิงเหรอ”
“พี่เหม่ยอิงอะนะ กว่าจะซื้ออะไรให้หนูทีก็ต้องรอตรุษจีนโน่นนน” ผิงอันคุกเข่าลงกับพื้น “มีแต่พี่ชายใหญ่เท่านั้นแหละที่ใจดีที่สุดในบ้านแล้ว” จ้าวซันวางหนังสือพิมพ์ลงข้างๆ ตัว เอามือลูบหัวผิงอันด้วยความเอ็นดู “วันเกิดหนู พี่ชายพาหนูไปดิสนีย์แลนด์ หน่อยนะ นะคะๆๆ”
ผิงอันกอดขา เอียงหัวซบลงที่เข่าจ้าวซัน เหม่ยอิงเดินออกมากับคุณนายสี่ เห็นผิงอันกับจ้าวซันก็ไม่พอใจ
“ชาหมุย พี่ใหญ่”
ผิงอันรีบเงยหน้าขึ้นมามอง
“พี่เหม่ยอิง คุณแม่” จ้าวซันลุกขึ้น
“คุณนายสี่” เหม่ยอิงกระชากตัวผิงอันออกมา
“นั่งทำอะไรกันน่ะ ผิงอัน”
“หนูคุยกะพี่ชายใหญ่”
“พี่ชายใหญ่ต้องรีบรับประทานอาหารเช้า แล้วรีบไปทำงาน มารบกวนอยู่ได้ มานี่”
เหม่ยอิงเข้ามากระชากผิงอัน บีบแขนเขย่าๆๆ อย่างแรง ผิงอันร้องโอ๊ยลั่น จ้าวซันเข้ามา แตะมือเหม่ยอิง
“น้องเจ็บ เบาๆ สิ เหม่ยอิง” เหม่ยอิงปล่อยแบบเหวี่ยงๆ
“สำออย“
ผิงอันร้องไห้ เหม่ยอิงมองผิงอัน เห็นผิงอันใส่ขาสั้นก็ไม่พอใจ
“แล้วอยู่บ้านก็แต่งตัวให้มันเรียบร้อยด้วย” ผิงอันหลับตาปี๋ รีบวิ่งหนีเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว เหม่ยอิงตะโกนไล่หลังไป “เป็นถึงคุณหนูเล็กตระกูลจ้าว เอาเสื้อผ้าที่ไหนมาใส่ น่าเกลียด เหมือนพวกคนชั้นต่ำ เดี๋ยวฉันจะไปฟ้องแม่ใหญ่”
จ้าวซันกับคุณนายสี่มองหน้ากันเล็กน้อย
“งั้นแม่ไปดูแลผิงอันก่อน”
คุณนายสี่รีบไป เหม่ยอิงหันกลับมาจ้องมองจ้าวซันด้วยสายตาเอาเรื่อง

จ้าวซันเดินจะไปขึ้นรถ ไปทำงาน เหม่ยอิงตามติด
“ระหว่างนังผิงอันกับน้อง พี่ชายใหญ่คงเลือกมันสินะคะ”
จ้าวซันหันมา หงุดหงิด
“ผิงอันยังเด็กอยู่นะ พี่ไม่เข้าใจว่าเธอหมายความว่าอะไร”
“ไม่เด็กแล้วนะคะ” เหม่ยอิงขึ้นเสียง “เห็นไหม เดี๋ยวนี้รู้จักแต่งเนื้อแต่งตัว เปิดนั่นเปิดนี่”
“ก็แล้วไง ก็แค่กางเกงขาสั้น”
“ก็มันไม่เหมาะสม ที่สำคัญคือพี่ใหญ่จะมาทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับมันเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว”
“ทำไมจะไม่ได้ หยุดคิดมากซะที พี่น้องกันจะอะไรนักหนา”
“เหรอ แล้วทำไมพี่ใหญ่ถึงไม่เคยเอ็นดูน้อง ไม่เห็นทำตัวสนิทสนมกับน้องแบบนั้นบ้างล่ะ”
เหม่ยอิงแกล้งเบียดตัวเข้าหาจ้าวซัน ยื่นหน้าไปประชิด จ้าวซันถอย แล้วตั้งท่าดุ กอดอก ยืนนิ่ง หน้าตาตำหนิ มองเหม่ยอิงนิ่งๆ เหม่ยอิงแค้น สะบัดหน้า

คืนนั้นที่บ้านชิวเทียน ในห้องนอนเหม่ยอิง บนเตียงมีถุงเสื้อผ้าที่ถูกรื้อออกแล้ววางกระจัดกระจาย เหม่ยอิงถอดชุดใหม่ที่ลองเขวี้ยงไปอย่างรำคาญ
“อะไรกันเนี่ย ใส่อะไรๆ ก็ไม่สวย”
“ถ้าลูกไม่สวย แล้วใครจะสวยได้อีกล่ะลูก” คุณนายสี่บอก
“หนูไม่น่าเอ็นดู ไม่น่ารักสดใสเอาซะเลย หนูดูเย็นชามากเกินไปใช่ไหมคะ เพราะหนูเป็นแบบนี้พี่ใหญ่ถึงไม่รัก”
คุณนายสี่นั่งอยู่บนเตียง มองเหม่ยอิง
“เมื่อไหร่ลูกจะเลิกฝันสักที ยังไงเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายใหญ่ และที่สำคัญ เขาไม่ใช่คนจีน เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้”
“ถ้าเต้ไม่อุตริไปรับเขาเป็นลูก แล้วยอมให้ใช้แซ่เดียวกันตั้งแต่ทีแรก ความรักของหนูมันก็คงจะไม่มีปัญหาบ้าๆ อะไรแบบนี้หรอก ใช่ไหมล่ะคะ”
“ลามปามใหญ่แล้วนะ ระวังปากของลูกด้วย”
“ใช่สิ หนูอยู่บ้านนี้มันต้องระวังไปหมด ทำอะไรก็ไม่ได้ ต้องทำให้ถูกประเพณี นี่เราอยู่ในสมัยไหนกันแน่ หนูเบื่อบ้านนี้ เบื่อคนบ้านนี้เต็มทนแล้ว”
เหม่ยอิงโยนเสื้อลงบนเตียงและหยิบตัวใหม่ขึ้นมาลอง
“หยุดพูดได้แล้ว ไปคุกเข่าขอขมาบรรพบุรุษของเราเดี๋ยวนี้ ถ้ารู้ว่าส่งลูกไปเรียนเมืองนอกแล้วกลับมาจะมีนิสัยแบบนี้ล่ะก็...”
“เมืองนอกทำให้หนูตาสว่าง แม่ดูสิ อะไร บ้านสี่ฤดู? เมียสี่คนอยู่ในบริเวณบ้านเดียวกันได้อย่างออกหน้าออกตา มีใครเขาทำกันบ้างสมัยนี้” เหม่ยอิงโยนเสื้อทิ้งลงบนเตียงและหยิบอีกตัวใหม่ขึ้นมา มองผ่านกระจก “เมียเต้แต่ละคนก็เหมือนทาส มีแม่ใหญ่กุมอำนาจไว้คนเดียว นี่ถ้าคุณนายที่สอง คุณนายที่สามยังไม่ตายนะ บ้านนี้คงสนุกแน่”
“เหม่ยอิง”
“แม่...แม่บอกสิว่าแม่มีความสุข แม่ก็ได้แต่ทนยอมทุกอย่าง พูดอะไรก็ไม่ได้ ตั้งแต่หนูเกิดมา หนูเห็นแม่แอบร้องไห้ไม่รู้กี่หนแล้ว” คุณนายสี่อึ้ง “แม่ไม่ลองคิดถึงหัวอกหนูบ้าง ยอมให้หนูได้แต่งงานกับคนที่หนูรัก”
“แล้วเค้ารักลูกหรือเปล่าล่ะ”
คุณนายที่สี่ลุกขึ้น รีบเปิดประตูห้องจะเดินออกไป
“แม่คอยดูหนูให้ดีก็แล้วกัน”

วันต่อมา ที่สวนสาธารณะฮ่องกง ทะเลสาบ สวนไม้ประดับ ผู้คนเดินเล่นพักผ่อน รำไท้เก๊ก วิ่งออกกำลัง
ผิงอันและบราลีในชุดทะมัดทะแมงเดินเล่นอยู่บริเวณน้ำพุ ผิงอันบิดขี้เกียจ ตะโกนส่งเสียงเพื่อผ่อนคลาย จนคนแถวนั้นหันมามอง
“เฮ้อออ เบื่อๆๆ เมื่อไหร่จะได้ไปให้มันพ้นๆ จากบ้านบ้าๆ ได้ซะที”
“อะไรกัน เป็นเด็กเป็นเล็ก ไม่ควรคิดอะไรรุนแรงอย่างนี้นะ”
“ใครกันแน่ ที่รุนแรง ถ้าไม่มีพี่ชายใหญ่นะ หนูคงหนีออกจากบ้านไปนานแล้วล่ะ” ผิงอันพูดลอยๆ วิ่งเล่นกับน้ำตกไปมาตามประสาเด็กๆ บราลีมองผิงอันด้วยความเห็นใจ สงสาร “เออ พี่บรีมาเที่ยวบ้านหนูไหม”
บราลีรีบส่ายหน้าทันที
“ฮึ พี่ไม่อยากไปเจอพี่ฉิน อะไรของเธอนั่น”
“พี่ฉินเจียง พี่รองไม่อยู่หรอก เขาออกไปอยู่คอนโดของเขาโน่น”
“แต่ฟังจากที่เธอเล่าแล้วนะ พี่ขอบายดีกว่า ขืนเข้าไปทำตัวกระโดกกระเดก เดี๋ยวก็ได้โดนแม่ใหญ่เฆี่ยนตายพอดี”
ผิงอันหัวเราะขำ อารมณ์ดีขึ้น
“จริงสิ! รู้แล้ว! พี่บรีมาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษให้หนูได้ไหม นะๆๆ”
“หา! สอนอะไรนะ”
“ภาษาอังกฤษ ถ้าหนูสอบผ่านเมื่อไหร่ก็จะได้ขอไปเรียนต่อที่อเมริกาสักที”
“จะไปเมื่อไหร่”
“ก็ไปให้เร็วที่สุด ไม่อยู่แล้วที่นี่”
“พี่สอนไม่เป็นหรอก”
“อะไร พี่บรีเก่งจะตาย ไปอยู่เมืองนอกตั้งแต่เด็กด้วย”
ผิงอันวิ่งเข้าไปจับแขน มองอ้อน
“แต่พี่ไม่เคยสอนใครนี่ ถ้าฝึก Conversation อย่างเดียวล่ะก็พอไหว แต่ถ้าให้สอน Grammar ด้วย คงต้องขอคิดดูก่อน”
“ไม่มีเวลาคิดแล้วพี่บรี เดี๋ยวพี่ก็กลับแล้ว ถือว่าช่วยหนูนะพี่บรี นะๆ แค่ไม่กี่วันเอง”
บราลียิ้มแบบกึ่งรับกึ่งสู้ หนักใจ

ถนนย่านเซ็นทรัล แหล่งช้อปปิ้งที่มีสินค้าแบรนด์ดังๆ Armani, Dior, Gucci, Louis Vuitton, CK ฯลฯ ฉินเจียงเดินโอบกับนักร้องสาวซูหลิงที่แต่งตัวออกแนวเซ็กซี่ย้อนยุค แต่งหน้า ทำผม เหมือนดาราสมัยก่อน แนวมารีลิน มอนโร เดินช้อปปิ้งกันอยู่ริมถนนไฮโซ เกาเฟยใส่แว่นดำเดินตามมาอยู่ห่างๆ
ซูหลิงลากฉินเจียงมาที่ตู้ Display ของร้านดัง ชี้ชวนให้ดูกระเป๋าที่อยู่ในร้าน อ้อนฉินเจียง แล้วพาเข้าไป ฉินเจียงยิ้ม ตามเข้าไปอย่างโดยดี เกาเฟยรีบตามเข้าไป

เย็นวันเดียวกันนั้นที่คอนโดหรูหราไฮโซของฉินเจียง ท่ากลางตึกสูงและคอนโดระดับห้าดาวอยู่ติดๆ กัน ภายในห้องนอนคอนโดของฉินเจียง กระจัดกระจายไปด้วยถุงของยื่ห้อต่างๆ จากการช้อปปิ้ง เสื้อผ้า ถุงเท้า กางเกงชั้นใน เกลื่อน บนเตียงฉินเจียงและซูหลิงนอนเปลือยไหล่อยู่ใต้ผ้าห่ม ทั้งคู่หลับสนิท
ซูหลิงหัวกระเซิง make up เลอะหน้า ขนตาปลอมหลุด นอนหันหลังให้ฉินเจียง ฉินเจียงนอนท่าพิสดาร ขี่หมอนข้าง ขาห้อยตกลงมาข้างหนึ่ง เกาเฟย ยืนเจื่อนๆ อยู่ข้างเตียง
“คุณชาย เอ่อ...คุณชายรองครับ”
เกาเฟยเอื้อมมือไปเขย่าตัว ฉินเจียงปัดมือทิ้ง บ่นงึมงำฟังไม่เป็นภาษา เกาเฟยเขย่าอีกทีแรงขึ้น ก้มตัวลงไปพูดข้างหู เสียงดังขึ้น
“คุณชายรองครับ คุณชายรอง”
ฉินเจียงยังคงสลึมสลือ
“โอ๊ยย อะไรของลื้อวะ คนจะหลับจะนอน ไปไกลๆ บาทาอั๊วะเลยไป”
“ฉินเจียง”
จ้าวซันตะโกน ฉินเจียงหงุดหงิด ทะลึ่งลุกขึ้นมา ใส่บ๊อกเซอร์ตัวเดียว ชี้หน้าเกาเฟย โกรธ
“เกาเฟย! มันจะมากไปแล้วนะ เรียกชื่ออั๊วะแบบนี้ได้ไง”
จ้าวซันยืนเอามือไพล่หลังอยู่ข้างเตียง มีเต๋อเป่าประกบอยู่ด้านหลัง ฉินเจียงหันไปเห็นก็ตกใจ ซูหลิงค่อยๆ ขยับตัวตื่น
“พี่ใหญ่” ฉินเจียงรู้ว่าตัวเองนุ่งบ๊อกเซอร์อยู่ ก็รีบควานหากางเกงมาใส่ พลางพูดไปด้วย “พี่ใหญ่เข้ามาได้ยังไงมันจะมากไปแล้วนะ นี่มันห้องส่วนตัว หัดมีมารยาท...”
ซูหลิงสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา หันมามอง เห็นเป็นจ้าวซันกับเต๋อเป๋า ตกใจ รีบลุกขึ้นเอาผ้าห่มคลุมตัว แล้วก้มหน้างุดๆ ควานหาเสื้อมาใส่ จ้าวซันหันไปมองซูหลิง
“เพชรสวยนะ คุณซูหลิง” ซูหลิงเอามือกุมสร้อย รีบหลบตา “10 โมงเช้าวันนี้ แกไม่เข้าประชุมจนได้ ทั้งๆ ที่นัดกันแล้ว”
“ผมยุ่ง มีงานอื่นเยอะแยะ ไม่มีเวลาจะไปประชุมอะไรไร้สาระทั้งนั้น”
“ประชุมงานส่วนรวม ไร้สาระ สู้งานส่วนตัวของแกไม่ได้...ว่างั้น...เต๋อเป่า” จ้าวซันยื่นมือออกไป เต๋อเป่าเอาสำเนาสลิปบัตรเครดิตที่มาปึกหนึ่งวางบนมือจ้าวซัน จ้าวซันโยนปึกสำเนาสลิปบัตรเครดิตให้ฉินเจียง “นี่ใช่ไหม งานของแก” ฉินเจียงหยิบมาดู เห็นเป็นสลิปบัตรเครดิต รีบหันมองไปที่ถุงข้าวของที่ช้อปปิ้งกันมาเมื่อวานที่วางอยู่ระเกะระกะ แล้วรีบหันกลับมา “วันเดียวรูดเงินไปใช้เกือบสองล้านเหรียญ”
จ้าวซันมองตามไปเห็นถุงช้อปปิ้ง หันมองฉินเจียงอย่างผู้มีชัย
“แล้วทำไม นั่นมันเรื่องของผม เงินก็เงินของผม”
“แกเอาเงินมากมายขนาดนี้มากจากไหน บัญชีธนาคารส่วนตัวของแก ทำไมอยู่ๆ ก็มีเงินไหลเข้ามาแบบปราศจากที่มาที่ไปในวันเดียว”
ฉินเจียงอึกอัก ตอบไม่ได้ ซูหลิงค่อยๆ แต่งตัวและแอบเก็บของงุดๆ
“พี่ ผมไม่ใช่เด็กๆ นะ ที่จะต้องคอยตอบ คอยอธิบายอะไรทุกอย่าง แล้วพี่ก็ไม่ต้องคอยตาม คอยสืบเรื่อง ‘ส่วนตัว’ ของผมด้วย มันมากเกินไปแล้ว” ซูหลิงทำมือส่งสัญญาณให้ฉินเจียงรู้ว่า จะขอไปกลับก่อน แล้วเจอกันใหม่ จะโทรหาอีกที “เกาเฟย ไปส่งคุณผู้หญิง”
“เต๋อเป่า ตามไป”
ซูหลิงรีบหอบข้าวของพะรุงพะรังออกไป เกาเฟยตาม เต๋อเป่าตามเกาเฟยอีกที เกาเฟยหยุด เต๋อเป่าหยุด มองหน้า ฮึ่มใส่กัน ซูหลิงออกจากห้องไป เกาเฟยรีบตาม เต๋อเป่าตามไปประกบ ฉินเจียงเดินก้าวเข้าไปประจันหน้ากับจ้าวซัน
“นี่ พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ”
จ้าวซันเข้ามาใกล้ ลดเสียงต่ำ
“แกอาจจะดวงดี หนีตำรวจได้ครั้งนึง แต่ครั้งต่อไป มันอาจไม่ใช่”
“จ้าวซัน แก...” ฉินเจียงโดดเข้าจะชก จ้าวซันหลบนิดเดียว ฉินเจียงหัวทิ่ม นั่งหมดท่า
“ฉินเจียง หยุดเกลียด แล้วเห็นฉันเป็นพี่บ้าง ได้ไหม”
“ชาติหน้าเถอะ ระวังตัวให้ดีก็แล้วกัน จ้าวซัน ทำไมแกอยากมีพี่น้องมากนักเหรอ เผยอไปแล้วที่จะบังอาจเป็นพี่ชั้น แกมันเด็กกำพร้าจากประเทศด้อยพัฒนาที่เต้ขอมาเลี้ยง แกไม่ใช่พี่ชั้น ไม่เคยเป็น”
จ้าวซันอึ้ง แค้น

จ้าวซันเดินเข้าบ้านมาตามทาง จากบ้านชุนเทียน ผ่านสวน แล้วอ้อมมาทางบ้านใหญ่ แล้วจ้าวซันก็ชะงักเมื่อเห็นบราลีสะพายกระเป๋าเป้ใบเล็กๆ แบบทะมัดทะแมงเดินมากับผิงอัน จ้าวซันแปลกใจ รีบเดินไปหลบหลังต้นไม้ บราลีหันไปมารอบๆ ค่อนข้างตื่นตาตื่นใจกับความสวยงามและใหญ่โตของบ้าน บราลีนั่งดูบ่อปลาคาร์พขนาดใหญ่
“นี่ถ้าไม่เห็นกับตาพี่ต้องคิดว่าเธอโม้แน่ๆ”
“ทำไม หนูไม่มีแววที่จะเป็นคุณหนูกับเขาเลยเหรอ”
“เปล่า แค่ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีบ้านสี่หลัง สี่ฤดูอะไรนี่จริงๆ”
“ไปเถอะ รีบเข้าไปเรียนกันดีกว่า เดี๋ยวพี่บรีมีนัดกับเพื่อนไม่ใช่เหรอ”
บราลียกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู
“โอ๊ย ยังอีกนาน สบายมาก สอนได้สองสามชั่วโมงเลยล่ะ”
“ไม่เอานะ เรียนสามชั่วโมงตายกันพอดี”
ผิงอันและบราลีหัวเราะแล้วพากันเดินเข้าไปในบ้าน จ้าวซันเห็นว่าปลอดภัย จึงค่อยๆ เดินออกมาจากที่ซ่อน แล้วมองตาม จ้าวซันเห็นบราลีกำลังเงยหน้าหันกลับมาทางจ้าวซันพอดีจ้าวซันรีบหลบ บราลีเหมือนเห็นอะไรแว่บๆ ขมวดคิ้ว แต่ไม่แน่ใจตัวเอง
“พี่บรี เข้ามาเร็ว”
“จ้า”
จ้าวซันเห็นบราลีเดินเข้าประตูบ้านใหญ่ไปแล้ว จ้าวซันยิ้มให้กับตัวเอง ส่ายหน้าเหมือนไม่เชื่อว่าจะได้เจอบราลีที่นี่ ดีใจและแปลกใจในคราวเดียวกัน

ห้องสมุดภายในบ้านสี่ฤดู มีชั้นหนังสือวางเรียงรายทั้งสามด้าน ตรงกลางเป็นโต๊ะทำงาน และโต๊ะอ่านหนังสือขนาดใหญ่ บนเพดานมีโคมไฟระย้าห้อยลงมาสว่างไสว อาม่าเดินนำผิงอันและบราลีเข้ามา
“โห...หนังสือมากมายขนาดนี้ อ่านเข้าไปได้ยังไงกัน”
บราลีเดินดูไปรอบๆ ห้องก้มมองดูหนังสือแต่ละเล่ม
“ของพ่อฉันทั้งนั้นแหละ แต่ตอนนี้ไม่มีใครอ่านหรอกนอกจากพี่ชายใหญ่”
“ภาษาจีนทั้งนั้นเลย”
“มีภาษาอังกฤษอยู่ตรงโน้น”
บราลีรีบเดินไปดู
“ไหน เอามาลองฝึก reading กันดูดีกว่า” บราลีก้มมองหาหนังสือ หยิบออกมาดูบ้างบางเล่ม “อะไรเนี่ย มีแต่เรื่องเศรษฐศาสตร์ ธุรกิจ การลงทุน พี่ชายเธอนี่ไม่อ่านอะไรที่สร้างสรรค์เลยจริงๆ”
“เอ่อ...คุณจะรับน้ำชาไหม เดี๋ยวอิฉันไปชงมาให้”
“อาม่า ใครเขากินน้ำชากัน เชยจะตาย เอาน้ำผลไม้หรือน้ำอัดลมมาก็ได้”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะอาม่า น้ำชาก็ดีเหมือนกัน”
อาม่าเดินออกไป บราลียิ้มให้ผิงอัน

อาม่ากำลังเดินถือถาดใส่กาและชุดน้ำชาแบบจีนมาจากด้านหลัง เดินเลี้ยวผ่านประตูมา จ้าวซันยืนอยู่ข้างประตู อาม่าไม่ทันสังเกต
“อาม่า ใครมาน่ะ”
“ไอ้หยา! คุณชายใหญ่ ตกอกตกใจหมด”

ที่ห้องสมุด บราลีกำลังนั่งสอนภาษาอังกฤษผิงอันอยู่ที่โต๊ะอย่างตั้งอกตั้งใจทั้งคู่
“ใช่ คำศัพท์ก็สำคัญ ต้องรู้เยอะๆ แล้วเวลาจำก็จำไปเป็นชุดเลย”
“ตายแน่ หนูต้องจำทั้งหมดวันนี้เลยเหรอ”
อาม่าเปิดประตูเข้ามา ผิงอันกับบราลียังคงมีสมาธิกับการเรียน ไม่ได้สนใจหันมามอง
“น้ำชามาแล้วค่ะ”
อาม่าเขยิบออกไป เป็นจ้าวซันที่ถือถาดใส่กาและชุดน้ำชาแบบจีนเข้ามาจากประตู
“เอามาวางไว้ข้างๆ ตรงนี้ก่อนก็ได้อาม่า”
ผิงอันนั่งจดคำศัพท์ลงสมุดไม่ได้ใส่ใจเงยหน้าขึ้นมามอง บราลีก็ง่วนอยู่กับการอ่านหนังสือแบบเรียนของผงอันเพื่อดูว่าจะสอนอะไร มือจ้าวซันค่อยๆ เอาถ้วยชาวางลงหน้าผิงอันถ้วยหนึ่ง แล้ววางลงหน้าบราลีถ้วยหนึ่ง เสียงถ้วยกับจานรองกระทบกัน กริ๊ก บราลีเงยหน้าขึ้นมาจากตำรา เห็นเป็นจ้าวซันก็ตกใจ จ้าวซันส่งยิ้มให้
“คุณ”
ผิงอันเงยหน้าจากสมุดจด เห็นจ้าวซัน ดีใจลุกขึ้นไปหา
“พี่ชาย” บราลีมองให้แน่ใจ เริ่มงง “พี่บรีๆ นี่ไงคะ พี่ชายใหญ่ที่หนูเล่าให้ฟัง”
บราลีจ้องมองจ้าวซันตาค้าง
“พี่ชาย นี่พี่บรี เขามาสอนภาษาอังกฤษให้ผิงอัน พี่บรีเขาเป็นคนไทยนะ มาเที่ยวที่นี่แล้วก็บังเอิญเจอกับหนูกับอาม่า คนที่หนูเล่าว่าซื้อกิ๊บให้ไง”
จ้าวซันหันไปยิ้มให้บราลี
“ขอบคุณมากนะครับ”
“นึกว่าใคร”
“พี่บรี รู้จักพี่ชายด้วยเหรอ”
“เปล่า...ก็แค่เคยเห็นรูปในอินเตอร์เนตบ้าง นักธุรกิจชื่อดังแห่งเกาะฮ่องกง”
“หนูไม่ยักรู้ว่าพี่ชายใหญ่ดังขนาดนี้”
“มาเรียนกันต่อดีกว่า คราวนี้พี่จะสอนกลุ่มคำอะไรดีนะ Deceiver, Cheater, Pretender, Faker, Trickster แปลว่าพวกชอบหลอกลวง แสแสร้ง ปลิ้นปล้อน คบไม่ได้”
พูดจบบราลีหันมองหน้าจ้าวซันอย่างท้าทาย ผิงอันนั่งจดกำศัพท์ยิกๆ
“โห ทำไมชุดนี้คำเยอะจัง”
“ยังไม่หมดนะ มีอีกคำ Liar แอล-ไอ-เอ-อา แปลว่า คนโกหก” บราลีวางทุกอย่างลง เก็บของ เอาเป้สะพาย “วันนี้พอแค่นี้ดีกว่า ไว้ค่อยเรียนต่อวันหลัง”
ผิงอันยังจดค้างอยู่ เงยหน้ามองงงๆ
“อ้าว พี่บรีไหนว่า...” บราลีชูโทรศัพท์ขึ้น
“พอดีเพื่อนพี่เขาส่งแมสเสจมาตามน่ะ พี่คงต้องรีบไปแล้ว”
บราลีสะพายกระเป๋าเป้ของตัวเองแล้วหันหลังเดินออกไปทันที
“พี่บรีๆ”
จ้าวซันรีบเดินตามออกไป
“เดี๋ยวก่อน คุณๆๆ”

เหลือเพียงผิงอันกับอาม่าในห้อง ที่มองหน้ากันงงๆ
 

วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 3 (ต่อ)

บราลีเดินออกมาจากเรือนใหญ่ มีจ้าวซันรีบเดินตามมาติดๆ คว้าแขนไว้ แต่ถูกบราลีสะบัดออก

“ปล่อยฉัน คุณมันโรคจิตจริงๆ ด้วย นี่วางแผนอะไรไว้อีกล่ะ”
“วางแผนอะไร”
“ไม่ว่าฉันจะทำอะไร จะไปไหนในเกาะฮ่องกงนี้ จะต้องมีคุณ มีคนของคุณ คอยตาม คอยจับตาดูอยู่ทุกฝีก้าว ไหน ที่นี่มีกล้องซ่อนไว้อยู่ตรงไหนอีกหรือเปล่า ท่าทางคุณจะชอบดู Reality show มากสินะ แต่ขอโทษ ฉันไม่ใช่ตัวละครของใคร”
“ไปกันใหญ่แล้ว”
“เรื่องอื่นฉันยังพอให้อภัย แต่ที่ส่งน้องตัวเองมาเล่นละครหลอกฉันตั้งแต่วันแรก ฉันรับไม่ได้จริงๆ”
พูดจบบราลีก็เดินผ่านสวนหน้าบ้านออกไปอย่างรวดเร็ว จ้าวซันรีบเดินตาม
“เดี๋ยวก่อน ไม่มีใครเป็นตัวละครอะไรของใครทั้งนั้น”
“ไม่ต้องตามมา”

บราลีวิ่งออกมาจากประตูใหญ่บ้านสี่ฤดู มองซ้ายมองขวาหาแท็กซี่ จ้าวซันวิ่งตามมา
“แถวนี้ไม่มีแท็กซี่หรอก เดี๋ยวผมให้อาหลี่ไปส่ง”
“ฉันกลับเองได้ พอกันทีกับความปรารถนาดีของคุณ”
บราลีเดินจ้ำไปแบบอารมณ์ปรี๊ด จ้าวซันเดินตามไปพอทิ้งระยะห่าง ไม่ให้เข้าใกล้บราลีจนเกินไป
“คุณกำลังเข้าใจผิด ผิงอันก็เคยเล่าเรื่อง “เพื่อน” ของแกที่ไปเจอที่ตลาดสแตนลี่ย์ให้ฟัง แต่ผมก็ไม่นึกว่าจะเป็นคุณ” บราลีเดินจ้ำต่อไปไม่สนใจคำของจ้าวซัน “ตอนผิงอันพูดถึงคุณ ท่าทางแกกระตือรือร้นมาก คงดีใจที่มีคนมาสอนภาษาอังกฤษให้” บราลีเดินไปเรื่อยๆ “แกคงไม่อายถ้าได้ฝึกพูดภาษาอังกฤษกับคุณ ช่วยสอนผิงอันต่อไปเถอะนะ อย่าทิ้งแกไปเลย”
บราลีหยุดเดิน และหันกลับมา
“แปลว่าที่ผิงอันเป็นน้องสาวของคุณ เป็นเรื่องบังเอิญ”
“ใช่ เป็นเรื่องบังเอิญแต่เป็นความบังเอิญที่ดีจริงๆ”
สองคนยืนมองหน้ากัน วัดใจ ว่าจริงใจแค่ไหน

เหม่ยอิงนั่งอยู่เบาะหลังรถยนต์ส่วนตัวเพื่อจะกลับมายังบ้านสี่ฤดู มองเรื่อยๆ ออกไปนอกหน้าต่าง แล้วสายตาเหม่อยอิงก็เห็นจ้าวซันกับบราลียืนคุยกันอยู่ จ้าวซันไม่ได้หันมาสนใจรถที่ผ่านไปมาเลย
“จอดๆๆๆ”
คนขับรถรีบมองกระจกหลัง งงๆ รีบเอารถเข้าไปจอดข้างทาง
“ไปอีกๆ อย่าให้คุณชายใหญ่สังเกตเห็นเราสิ” รถค่อยๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้าช้าๆ พอดีมีรถ 2-3 คันจอดข้างทางอยู่ “พอๆๆ ไปจอดหน้ารถพวกนั้นเลย” คนรถชิดจอด เหม่ยอิงหันกลับมาแอบดูจ้าวซันและบราลีผ่านทางกระจกหลังรถ “ยัยนั่นอีกแล้ว นี่พี่ชายใหญ่ถึงกับพามาที่บ้านเลยเหรอ”
เหม่ยอิงเห็นจ้าวซันและบราลีออกเดินไปตามข้างถนน ลงเขาไปด้วยกัน คนขับรถพยายามหันไปมองตามว่าเกิดอะไรขึ้น
“จะมองอะไรเล่า รีบกลับรถ แล้วก็ตามไป แต่อย่าให้คุณชายเห็นเราล่ะ” คนขับรถงง

บราลีเดินมาแล้วหันกลับไปดูจ้าวซัน จ้าวซันก็ตามมาไม่หยุด
“คุณหยุดตามได้ไหม ถ้าตาม ชั้นจะเดินไปเรื่อยๆ นะ”
“คุณก็หยุดก่อนสิ ผมถึงจะหยุด”
“ตกลงคุณจะเอาชนะใช่ไหม”
“คุณก็รับปากสิ ว่าจะยอมเป็นครูสอนผิงอัน คุณคงไม่ใจร้ายพอที่จะทำให้เด็กหญิงซื่อๆ ที่ศรัทธาคุณ ต้องผิดหวังหรอกนะ”
“ครูสอนภาษาอังกฤษจริงๆ ในฮ่องกง ก็ไม่น่าจะหายาก”
“ผิงอันเป็นเด็กที่ไม่ยอมรับคนภายนอกง่ายๆ แต่แปลกมาก ที่แกชอบคุณ คุณก็ถูกชะตากับแกดี ไม่ใช่เหรอ”
“ฉันจะกลับเมืองไทยแล้ว”
จ้าวซันมองบราลีอย่างอ้อนวอน
“อย่าทิ้งผิงอันกลางคันเลยนะครับ ผิงอันน่าสงสาร แกเป็นน้องเล็ก เด็กที่สุดในบ้าน ทุกคนก็เลยมาบงการแกอยู่คนเดียว ผมอยากให้แกไปเรียนต่างประเทศ จะได้มีโอกาสเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นเหมือนคุณ”
“นี่! หมายความว่าไง หมายความว่าชั้น นิสัยไม่ดี งั้นเหรอ”
“ไม่ใช่”
บราลีจ้องหน้าจ้าวซันเขม็ง
“จ้าวซัน คุณต้องการอะไรจากชั้น คุณเป็นใครกันแน่”
จ้าวซันถอนใจ อย่างเหนื่อยๆ
“ผมเป็นใคร บราลีคุณลองคิดดูดีๆ สิ”
บราลีเงียบ จ้องหน้าจ้าวซันนาน มองเหมือนจะพยายามนึกให้ออก แต่ก็ไม่ออก จ้าวซันมองด้วยแววตาที่บอกว่ารักมากมาย
รถเหม่ยอิงจอดแอบอีกด้าน เห็นทั้งคู่เหมือนคู่รักที่ทะเลาะ ยื้อ แล้วสุดท้ายสบตาแบบมีความหาย เหม่ยอิงมีสีหน้าแค้นสุดๆ แทบจะปรี่ไปตบ พยายามห้ามใจ
บราลีกับจ้าวซัน ยืนมองหน้ากัน แล้วบราลีก็เป็นฝ่ายหลบตา
“นี่ หยุดเล่นสงครามประสาทกับชั้นได้ไหม ชั้นเหนื่อยกับเรื่องของคุณเต็มที”
“บราลี ผมขอเวลา” จ้าวซันอัดอั้น อดทน ทั้งๆ ที่อยากบอกทุกอย่างออกมาเลย บราลีสบตา แล้วยิ่งไม่เข้าใจอาการของจ้าวซัน ที่ดูมีความรู้สึกอะไรลึกซึ้งมากมาย
“เวลาบ้าบออะไร ชั้นให้คุณไม่ได้หรอก ไป...บ้านคุณไปทางนั้น กลับไปซะ” จ้าวซันถอนใจยาว
“แน่ใจนะว่าจะไม่ให้ผมไปส่ง”
อาหลี่ขับรถมาจอดพอดี
“รถมาแล้ว คุณจะไปไหนก็บอกหลี่ หลี่จะพาคุณทุกที่”
จ้าวซันมองบราลีอย่างขอร้อง
“ชั้นไม่อยากจะรบกวน”
“ขอร้อง อย่าให้ผมเป็นห่วงมากกว่านี้ คิดเสียว่าหลี่คือแท็กซี่ของคุณ”
บราลีมองจ้าวซัน ไม่อยากทำตาม แต่ก็ไม่มีทางเลือก เพราะจะเดินไปก็ไกลเกิน จ้าวซันเปิดประตูที่นั่งข้างหลังให้
“ชั้น...ขอบพระคุณ แต่อย่ามายุ่งกะชั้นอีก ขอให้พอแค่นี้”
บราลีขึ้นรถ จ้าวซันปิดประตูให้ แล้วพยักหน้าให้อาหลี่ รถออกแล่นไป จ้าวซันยืนมองอาลัยอาวรณ์ ปวดใจ ที่บอกอะไรก็ไม่ได้ซักอย่าง บราลีหันมาดูทางหลังรถเห็นจ้าวซันยืนมองส่งจนลับตา จ้าวซันดูจนรถอาหลี่ไปไกลจึงหันหลังเดินกลับ
“กลับบ้านนะครับ”
คนขับรถบอกกับเหม่ยอิง เหม่ยอิงตวาดแหว
“กลับทำไม ตามรถไอ้หลี่ไปสิ”
คนขับรถจ๋อย ซึม เหม่ยอิงหน้าเข้ม แน่วแน่ รถของเหม่ยอิงค่อยๆ ขับตามรถอาหลี่ไปช้าๆ

อาหลี่จอดรถที่สถานีรถไฟฟ้า Lai King แล้วรีบวิ่งลงมาจะเปิดประตูให้บราลี แต่บราลีชิงเปิดลงมาก่อน แล้วขอบคุณอย่างสุภาพ เกรงใจ ไหว้ อาหลี่รับไหว้แทบไม่ทัน
บราลีหยุดยืนแหงนเงยดูป้ายต่างๆ แล้วหมุนรอบ ดูบริเวณทุกทิศทาง งงๆ แล้วหยิบแผนที่ออกมาจากระเป๋าเป้ ออกมาดูให้แน่ใจ รถเหม่ยอิงจอดแอบอยู่อีกฝั่ง เหม่ยอิงนั่งอยู่ในรถแอบมองผ่านกระจก บราลีเงยหน้าขึ้นมองป้ายสถานี พยักหน้ากับตัวเอง พับเก็บแผนที่ถือไว้ แล้วเดินลงสถานีไป อาหลี่มองจนลับตาแล้วออกรถไป เหม่ยอิงรีบสวมแว่นดำ เปิดประตูออกจากรถและรีบเดินตามไป
บราลีกำลังยืนรอรถไฟฟ้าอยู่ที่ชานชาลา เหม่ยอิงค่อยๆ เดินตามมา ยืนหลบอยู่ไม่ไกล บราลีมองไปทางเหม่ยอิง เหม่ยอิงรีบทำเป็นมองไปทางอื่น รถไฟฟ้ามา ประตูเปิด บราลีรีบเดินเข้าไปประตูหนึ่ง เหม่ยอิงหลบมาเข้าอีกประตู
ภายในรถไฟฟ้า บราลีหยิบแผนที่มาดูอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ เหม่ยอิงลอบดูอยู่ห่างๆ พยายามเดินเข้าไปใกล้ๆ คอยชะเง้อมอง ไม่ให้คลาดสายตา แววตาหมั่นไส้
บราลีออกมาจากสถานี โดยถือโทรศัพท์แนบหูตลอดเวลาออกมา สักพักพอมีคนรับบราลีก็โวยวาย
“ทำไมรับโทรศัพท์ช้าจังล่ะ จื้อเหม่ย ฉันมาถึงแล้วนะกำลังจะขึ้นกระเช้าไปหา”
หลินจื้อเหม่ยกำลังยุ่งอยู่กับการเก็บถ้วยกาแฟที่ลูกค้ากินไว้ และเช็ดโต๊ะทำความสะอาด แอบก้มคุยโทรศัพท์
“อะไร ทำไมมาเร็วนักล่ะ ฉันยังไม่เลิกงานเลย ไหนบอกจะมาห้าโมง”
บราลียืนไปหยุดดูป้ายแผนที่ขนาดใหญ่ที่ตั้งไว้ข้างถนน
“เอาน่า ผิดแผนนิดหน่อย แล้วทางไปขึ้นกระเช้า”
มีลูกค้าเข้าร้านกาแฟมาอีกสองคน หลินจื้อเหม่ยเงยหน้าขึ้นไปมอง รีบยกถาดไปเก็บ เดินไปหยิบเมนู
“เดี๋ยวๆ แค่นี้ๆ ก่อนนะ ลูกค้ามา ฉันโทรศัพท์เวลาทำงานไม่ได้เดี๋ยวโดนดุ เจอกันๆ”
หลินจื้อเหม่ยตัดสาย เอาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง แล้วรีบออกไปต้อนรับลูกค้า
“อ้าว เดี๋ยว...อย่าเพิ่งวาง”
บราลีเซ็ง เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า เอาแผนที่ออกมากางอีกครั้ง เหม่ยอิงมองเห็นแต่ไกล เดินเข้ามาทำทีผูกมิตร
“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ”
บราลีหันไปมองยิ้มให้ เหม่ยอิงยิ้มตอบอย่างเยือกเย็น แอบมองบราลีหัวจรดเท้า

บราลีและเหม่ยอิงนั่งอยู่ในกระเช้านองปิง บราลีลุกขึ้นยืนถ่ายรูปวิวทั้งสองข้างด้วยโทรศัพท์อย่างตื่นตาตื่นใจ
เหม่ยอิงนั่งมองอยู่อีกฝั่งของกระเช้า คอยสังเกตอยู่ห่างๆ
“เพิ่งมาฮ่องกงเป็นครั้งแรกเหรอคะ”
บราลีเอากล้องลง แล้วหันไปคุยด้วย
“ค่ะ ถ้าไม่ได้คุณ ชั้นอาจจะหลงทางอีกนานเลย คุณใจดีมาก ขอบคุณค่ะ”
“เก่งนะคะ เป็นผู้หญิงมาเที่ยวคนเดียว”
“ชั้นมีเพื่อนอยู่ที่นี่น่ะค่ะ”
“เพื่อนเหรอคะ หรือว่าแฟน” บราลีหัวเราะ
“เพื่อนค่ะ เพื่อนผู้หญิง เขาทำงานอยู่ที่ร้านกาแฟบนเกาะลันเตา วันนี้ก็นัดจะไปไหว้พระใหญ่ด้วยกัน”
“ไม่มีคนรู้จักคนอื่นอยู่ที่ฮ่องกงเลยเหรอค่ะ”
“ไม่มีค่ะ”
“จริงสิ คุณพักอยู่ที่โรงแรมไหนล่ะ”
“ก็พักอยู่กับเพื่อนคนนี้แหละค่ะ คุณล่ะอยู่แถวไหน แล้วนี่จะไปไหว้พระเหมือนกันใช่ไหมค่ะ”
เหม่ยอิงอึกอัก ไม่ตอบอะไร หมั่นไส้หนักขึ้น
“ค่ะ” เหม่ยอิงเขยิบลุกมานั่งฝั่งเดียวกับบราลี เข้าไปนั่งใกล้ชิดแล้วถอดแว่นดำออก เอาแว่นคาดผมไว้ บราลียิ้มให้ “พอพ้นตรงโค้งนี้ไปเราก็จะมองเห็นองค์พระใหญ่ได้ชัดเจน”
บราลีมองจากกระเช้า ค่อยๆ เผยให้เห็นภาพองค์พระใหญ่ประดิษฐานอยู่ใจกลางหุบเขา บราลีรีบหยิบกล้องขึ้นมาถ่าย
“เอากล้องมาสิคะ ชั้นจะถ่ายให้” บราลีส่งกล้องให้ เหม่ยอิงรับไป บราลียิ้มหวาน “แล้วถ้ามายืนตรงนี้ก็จะเห็นสนามบินอยู่ฝั่งโน้น”
บราลีย้ายฝั่งไปยืนดูอย่างสนใจ เหม่ยอิงรีบแอบกดกล้องดูภาพที่ถ่ายแล้วกดปุ่มเลื่อนไปดูภาพอื่นๆ อย่างรวดเร็ว
ภาพถ่ายในกล้องบราลีถูกเหม่ยอิงเลื่อนไปมาอย่างรวดเร็ว แต่ล้วนเป็นภาพวิวทิวทัศน์ต่างๆ เท่านั้น บราลีหันมาเห็นพอดี เหม่ยอิงรีบคืนกล้องให้เนียนๆ
“ไปเที่ยวมาเยอะเหมือนกันนะ อยู่ที่ฮ่องกงมากี่วันแล้วคะ แล้วเมื่อไหร่จะกลับ ที่ไหนคะ อเมริกาหรือว่า...”
“ประเทศไทยค่ะ” บราลีรับกล้องมาเลื่อนดู ภาพถ่ายในกล้องบราลีกลายเป็นรูปที่จ้าวซันถ่ายตอนไปดูการแสดง Symphony of Light เลื่อนไปเรื่อยๆ เป็นรูปที่ถ่ายเล่นกับผิงอัน “อยู่ฮ่องกงมาหลายวันแล้ว แต่ยังไม่รู้เลยว่าจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่”
บราลีหน้าสลดลงเล็กน้อย เหม่อมองออกไปที่สุดขอบฟ้า หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูป เหม่ยอิงค่อยๆ เดินออกมายืนอยู่ด้านหลัง สายตาชิงชัง
“บนนี้เคยมีคนพยายามเปิดประตูออกไปถ่ายรูปแล้วตกลงไปตายด้วยนะคะ” บราลีก้มมองลงไปบนพื้นใส เห็นหุบเขาและยอดไม้อยู่ลิบๆ “เสียดายที่ตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว วันหลังเราอาจจะได้เจอกันอีก ถ้าคุณยังไม่กลับไทย และคงได้ทำความรู้จักกันมากกว่านี้”
“ยินดีค่ะ คุณชื่อ...”
“เหม่ยอิง”
“ค่ะ ฉันบราลี” บราลียิ้มกว้างอย่างเปิดเผย ผิดกับเหม่ยอิงที่ยิ้มอย่างลึกลับ

ทางเข้าวัดพระใหญ่ เป็นร้านค้าขายของที่ระลึก และร้านอาหารอยู่ตลอดเส้นทาง
“ไม่ไปด้วยกันจริงๆ เหรอค่ะ” บราลีหันไปถามเหม่ยอิง
“แยกกันตรงนี้ดีกว่า ฮ่องกงเล็กนิดเดียว เดี๋ยวเราก็ต้องเจอกันอีกแน่นอน”
เหม่ยอิงหัวเราะในลำคอเบาๆ อย่างมีความหมาย
“งั้นก็ต้องขอบคุณอีกครั้งนะคะ”
บราลีดูนาฬิกา แล้วเดินเข้าไปตามทาง เหม่ยอิงมองตามไปพักใหญ่ เหม่นอิงเห็นบราลี มีอาการร่าเริงตื่นตาตื่นใจกับข้าวของและทัศนียภาพแปลกตาจึงเบ้ปาก ดูถูก หมั่นไส้ แล้วสวมแว่นดำกลับ หันหลังเดินไปอีกทาง หลินจื้อเหม่ยออกมาจากร้านกาแฟพอดี เห็นบราลีกำลังเดินดูของไปตามทาง รีบตะโกนเรียก
“บรี...บรี ทางนี้”
บราลีรีบเดินเข้าไปหา
“อ้าว เลิกงานแล้วเหรอ”
“ยัง แต่ไปได้แล้ว ชั้นขอหัวหน้าออกมาก่อน”
“อุ๊ย...ไม่เป็นไร เสียงานเสียการเธอเปล่าๆ ชั้นไปเดินเที่ยวคนเดียวก่อนก็ได้”
“ไม่ได้ๆ เดี๋ยวฉันโดนดุ”
“หือ ใครดุ”
“ก็...เอ้อ...อ่า...โดนหัวหน้าดุไง บอกว่าลาไปแล้ว จะกลับเข้าไปอีก ไม่ได้ๆ รีบไปเหอะ”
หลินจื้อเหม่ยจูงมือบราลีออกเดินไป

องค์พระใหญ่ตั้งอยู่สูงตระหง่าน ผู้คนและนักท่องเที่ยวมากมายกำลังเดินขึ้นไปสักการะ ที่บันไดพระใหญ่ หลินจื้อเหม่ยกำลังวิ่งตามมา พลางหอบแฮ่กๆ ขณะที่บราลีขายาว เดินนำไปอย่างสบายๆ
“ไหนบอกให้รีบไง เร็วๆ สิ”
“จะรีบไปไหน พระท่านก็อยู่ตรงนั้น ขอชั้นพักทำสมาธิก่อน เฮ้ออ..”

ที่รอบองค์พระ หลินจื้อเหม่ยนั่งหอบดมยาดมอยู่
“นี่เธอทำงานที่นี่จริงหรือเปล่าเนี่ย”
“ทำ แต่ชั้นทำข้างล่าง ไม่เคยขึ้นมาเลย”
“โชคดีจังได้มาที่นี่ เมื่อกี้ก็โชคดีมีคนพามาขึ้นกระเช้ามาตลอดทางเลย”
“เหรอ...ใครอะ ผู้ชายหรือเปล่า”
“ผู้หญิง สวยด้วย เค้าบอกว่าเค้าชื่อเหม่ยอิง”
หลินจื้อเหม่ยตกใจมาก
“เหม่ยอิง”
“อะไร อย่าบอกนะว่าเธอรู้จัก มันจะบังเอิญเกินไปแล้ว”
“ชื่อมันคงซ้ำกันแหละ”
“ฮ่องกงนี่มันเป็นดินแดนแห่งความบังเอิญหรือไงก็ไม่รู้” หลินจื้อเหม่ยมองหน้าบราลีงงๆ บราลีนิ่งไปสักพัก คิดถึงเรื่องที่ผิงอันเป็นน้องสาวจ้าวซัน “นี่ถ้าฉันรู้ว่า เธอรู้จักกับใครที่ฉันรู้จักที่ฮ่องกงอีกนะ ยัยจื้อเหม่ย ชั้นคงประสาทหลอนตาย”
หลินจื้อเหม่ยอึกอัก รีบเปลี่ยนเรื่องกลัวบราลีเห็นพิรุธ
“โอ๊ย พูดอะไรไม่รู้เรื่อง ชั้นก็รู้จักแต่เธอเท่านั้นแหละ ไปรีบไปดีกว่า”
หลินจื้อเหม่ยรวบรวมกำลังที่มีทั้งหมดแล้ววิ่งขึ้นไป บราลีรีบวิ่งตามขึ้นบันไดไป

ค่ำวันเดียวกันนั้นที่โบสถ์ หลวงพ่อยืนเผชิญจ้าวซันหน้าพระเยซูประธานโบสถ์ เสียงหลวงพ่อพูด
“เธอคงต้องบอกเค้า ก่อนที่เค้าจะเข้าใจเธอผิดไปมากกว่านี้”
“อะไรนะครับ จะให้ผมบอกความจริงเมยทั้งหมด”
“ไม่มีอะไรดีกว่าความจริงอีกแล้ว น่านปิง”
“ไม่ได้ หลวงพ่อ ผมจะบอกเค้ายังไง ว่าพ่อแม่เค้าตายหมด เพื่อช่วยให้ผมรอด แล้วเจ้าแม่ผมก็ส่งเค้าไปไกล ให้ลืมทุกอย่าง เพื่อจะได้มีชีวิตที่สนุกสนาน ไม่ต้องเจ็บปวด ขมขื่น คับแค้น แล้วตอนนี้ ผมกลับจะต้องเป็นคนบอกทุกอย่าง เพื่อ...”
“เพราะวันนั้นกำลังจะมาถึงเร็วๆ นี้แล้วไงล่ะ น่านปิง วันที่ลูกจะกลับไปทำภารกิจให้จบ เพราะฉะนั้น ม่านฟ้า...ก็ต้องรับรู้ความจริงเช่นกัน”
“ไม่ได้หรอกครับ”
“ทำไม”
“เพราะผมก็ยังไม่ทราบเลย ว่าภารกิจนั้น ผมจะทำสำเร็จหรือเปล่า ถ้าไม่สำเร็จ แล้วม่านฟ้าจะเป็นยังไง เขาจะมีชีวิตต่อไปยังไง สู้ให้เขาเกลียดผม เพราะนึกว่าผมเป็นมาเฟียโรคจิตบ้ากาม ซะยังดีกว่า”
หลวงพ่อมองจ้าวซันอย่างเวทนา จ้าวซันก้มหน้า อย่างจนใจ

ตำหนักชั้นในที่คีรีรัฐ รูปวาดเจ้าหลวงพีริยเทพมีควันธูปลอยเป็นสายตรงหน้า สิริวารตีวางพวงมาลัยหน้ารูป นั่งลงกราบ พระนมมายืนมองอย่างกลุ้มใจ สิริวารตีไหว้เสร็จ ลุกหันมาก็ต้องชะงัก
“หากมีใครไปทูลเจ้าหลวง ว่าทรงบูชาเจ้าหลวงในพระโกศอยู่แบบนี้ จะกริ้วแค่ไหน”
“ใครจะไปทูล แม่นมหรือ” สิริวารตีย้อนถาม แม่นมอึ้ง “ตั้งแต่ประชวรก็ไม่ได้เสด็จมาตำหนักในอีกเลย นอกจากเราออกไปถวายรับใช้ ถ้าไม่มีใครปากบอน ก็ไม่ทรงทราบหรอก ข้าอยากจะตั้งรูปพระเทวีองค์ก่อนบูชาเคียงข้างกันด้วยซ้ำ แต่ข้าอยากจะเชื่อว่าพระน้องนางของข้าและน่านปิงหลานรัก ยังมีชีวิตอยู่มากกว่า”
“พระเทวี”
“ไม่ใช่เพราะบาปกรรม ที่ทรงทำกับอนุชาตัวเองหรือ เจ้าพี่ถึงได้ประชวรด้วยโรคร้ายตั้งแต่ยังทรงหนุ่มอยู่แท้ๆ”
“พระเทวีอย่าให้หม่อมฉันดุ เหมือนสมัยพระองค์ยังทรงพระเยาว์เลยเพคะ แต่อย่ารับสั่งเรื่องนี้อีก อดีตมันผ่านไปแล้ว แก้อะไรไม่ได้ ทำปัจจุบันให้ดีเถิดเพคะ”
มิถิลาในชุดนางในสวยงาม เดินเข้ามา คุกเข่าลง
“น้ำอุ่นสำหรับสรงพระองค์เรียบร้อยแล้วเพคะ ทูลเชิญพระเทวีเสด็จไปสรงน้ำได้”
“ข้ายังไม่อาบน้ำ” สิริวารตีบอกแล้วเดินออกไป แม่นม มิถิลาสบตากันอย่างอ่อนใจ

พระเทวีสิริวารตีเดินออกมาหน้าระเบียงพระตำหนัก พระนมและมิถิลารีบตามมา นางกำนัลอาวุโส 2 คน รีบขึ้นบันไดด้านหน้าเข้ามาคุกเข่า
“พระเทวีเพคะ องค์ชายรัชทายาทเสด็จมาเพคะ” มิถิลาสะดุ้ง
“หม่อมฉันทูลทัดทานแล้ว ว่าพระองค์บรรทมแล้ว แต่องค์ชาย...” ศิขรนโรดมก้าวขึ้นมา
“ลูกบอกว่า ลูกรู้ดีว่าเจ้าแม่ยังไม่บรรทมเวลานี้แน่ๆ”
ทุกคนหมอบลง มิถิลาก้มต่ำ สิริวารตีรีบเข้าไปลูกชาย
“ศิขร เจ้าจะเดินทางเมื่อไหร่”
“อีก 2 วันพะย่ะค่ะ หม่อมฉันมาทูลถาม ว่าเจ้าแม่ทรงประสงค์สิ่งใด ให้คนเขียนรายการสิ่งของต่างๆ ให้หม่อมฉันด้วย จะได้หามาถวาย”
“ลูกคงหาซื้อทุกอย่างที่แม่ต้องการสินะ ศิขรนโรดม แต่สิ่งที่แม่อยากจะขอลูกจริงๆ ลูกคงทำไม่ได้”
“อะไรหรือเจ้าแม่”
“แม่อยากขอ ให้ลูกไม่ไป” พระนมหน้าซีด
“ลูกต้องไป เจ้าแม่ ลูกมีหน้าที่ที่จะต้องทำสำหรับประเทศเราที่ต่างบ้านต่างเมืองหลายอย่างนัก” สิริวารตีทำหน้าเย้ย
“หน้าที่อะไร ประชาสัมพันธ์คีรีรัฐให้ชาวโลกรู้จักหรือไง หรือทำหน้าที่ขายบ้านขายเมือง”
“สิ่งเหล่านั้นคือผลพลอยได้ต่างหาก เอ..ทำไม ลูกกับแม่จะคุยกัน ต้องมีคนร่วมรับฟังมากเหลือเกิน” ศิขรนโรดมมอง พระนมรีบหันมาพยักหน้า ทุกคนรีบขยับจะออกไป ศิขรนโรดมมองมาเห็นมิถิลา “อ้อ นี่เอง นางกำนัลคนโปรด ลูกสาวพลเอกราชิด วันนี้อยู่วังได้ ไม่ออกไปเที่ยวไหนหรือ”
“อุ๊ย เจ้าน้องล่ะก็ คนของฝ่ายใน ออกไปเที่ยวไหนไม่ได้หรอกเพคะ ขืนหนีเที่ยว ไปนั่นไปนี่ ต้องโดนเฆี่ยนนะเพคะ” พระนมบอก
“งั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นคงไม่มีใครอยากจะโดนเฆี่ยนหรอกกระมัง จริงไหมเธอ” ศิขรนโรดมมองหน้ามิถิลา มิถิลาก้มต่ำ ทำหน้าสงบเสงี่ยม รีบคลานออกไปอย่างเร็ว ศิขรนโรดมรอจนทุกคนออกไป เข้ามากอดเจ้าแม่ “เจ้าแม่ สิ่งที่ลูกจะต้องไปทำให้ได้ คือ...” ศิขรนโรดมลดเสียงกระซิบ มองรอบๆ ระวังตัว “ไปสืบหาเจ้าพี่น่านปิงนรเทพต่างหาก”
“ลูกแม่ เจ้าพูดจริงหรือ”
“บ้านเมืองนี้ ไม่ใช่ของเรา ลูกจะหาเจ้าพี่ให้พบแล้วถวายราชบัลลังก์คืน”
“ศิขรนโรดม แม่ฝากลูกด้วย แม่ไม่ต้องการสิ่งอีกแล้ว นอกจากสิ่งนี้”

สองแม่ลูกสบตากัน หน้าตาผ่องกระจ่างไปด้วยความโล่งอก ที่ได้เปิดใจกัน

วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 3 (ต่อ)

อีกด้านหนึ่งที่ฮ่องกง จ้าวซันอยู่ที่ห้องทำงานกำลังกระวนกระวายใจ ขณะที่เทเรซ่าทำงานของตัวเองอยู่ที่โต๊ะ

“เทเรซ่า การเตรียมรับเสด็จองค์ชายศิขรนโรดมที่กรุงเทพฯมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ ทุกอย่างเตรียมพร้อมหมดแล้ว”
“แล้วพลตรีสุริยะล่ะ”
“อยู่ที่นั่นแล้วค่ะ”
“ส่งแมสเสจไปหาพลตรีสุริยะ ให้ทำตามที่ผม...”
“ส่งไปแล้วค่ะ”
“ส่งอีก” เทเรซ่าวางงาน จ้องหน้าจ้าวซัน
“คุณชายใหญ่เป็นอะไรคะ ดูคุณชายใหญ่จะกระวนกระวายใจ ไม่เหมือนคุณชายคนเดิมเลยนะคะ”
“แล้วบราลีล่ะ เป็นยังไง”
“คุณชายใหญ่คะ”
จ้าวซันเดินแยก ไปมองนอกหน้าต่าง
“ติดต่อหลินจื้อเหม่ย ผมต้องการรู้ว่าบราลีเป็นยังไง ทำอะไรอยู่” เทเรซ่าระอา ได้แต่ทำตามคำสั่ง เต๋อเป่าเดินเข้ามา
“คุณชายครับ มีคนมาขอพบครับ”
“ใคร ถ้าเป็นเหม่ยอิง บอกว่าผมไม่ว่าง”
อยู่ๆ ผู้กองเหลียงก็เดินเข้ามา มีหมวดจางตามหลัง
“ผมเอง จ้าวซัน”
จ้าวซันแปลกใจ รู้สึกได้ว่ามีเรื่องไม่ดีแน่
“ผู้กองเหลียง”

จ้าวซันเชิญผู้กองเหลียงนั่งลง
“ผู้กองเหลียงให้เกียรติมาพบผมถึงที่ มีอะไรให้ผมช่วยเหลือมั้ยครับ”
ผู้กองเหลียงยิ้มแย้ม แต่ลึกๆ ก็ลองเชิงดูท่าทีของจ้าวซันอยู่
“ผมอยากจะมาขอบคุณ ที่คุณชายให้เบาะแสการนัดหมายของพวกค้าอาวุธเถื่อนกับเรามา”
“เบาะแส”
ผู้กองเหลียงหยิบกระดาษแฟ็กซ์ออกมา
“มีคนส่งแฟ็กซ์จดหมายสนเท่ห์นี้ไปฟ้องผม บอกรายละเอียดการนัดส่งอาวุธที่สนามกีฬาวันก่อน”
“ผมไม่ได้เป็นคนแฟ็กซ์หาผู้กอง”
“ถ้าคุณชายไม่ได้แฟ็กซ์ แล้ววันนั้นทำไมคุณชายถึงไปอยู่ที่นั่นได้”
ภาพอดีต ในจังหวะที่ลูกน้องของผู้กองเหลียงวิ่งไล่ตามจับคนร้าย จ้าวซันโผล่มายืนมองเหตุการณ์ที่ด้านนึง ผู้กองเหลียงเหลือบเห็นเป็นจ้าวซันพอดี
“ผมเห็น และผมไม่ได้จำคนผิดแน่ๆ”
“ผมผ่านไปแถวนั้น”
“ด้วยความบังเอิญ? เอาเถอะครับ ที่ผมมานี่ก็ไม่ได้จะมาซักไซ้อะไรเรื่องนี้ ผมแค่อยากมาสอบถามคุณชายสักสองสามคำถาม คุณชายทราบมั้ยครับว่าครั้งที่แล้ว มันเป็นแค่การนัดดูของ ตรวจสอบตัวอย่างสินค้าเท่านั้น มันยังไม่ใช่การส่งของที่แท้จริง”
“ผมไม่ทราบ”
“หน่วยข่าวกรองของเราแจ้งมาว่า การนัดซื้อขายอาวุธสงครามของจริง จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ ระหว่างพ่อค้าอาวุธเถื่อนรายใหม่ของฮ่องกงกับคนจากคีรีรัฐ”
“งั้นเหรอครับ”
“ผมคาดว่า คงจะฉวยโอกาสใช้ขบวนเสด็จขององค์ชายศิขรนโรดมเป็นเกราะกำบังคุ้มกันไม่ให้ถูกตรวจสอบและการซื้อขายครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ปืนสิบยี่สิบกระบอกนะครับ มันยิ่งกว่านั้นมากเป็นร้อยเท่าเลยทีเดียว ประเทศที่สงบเงียบอย่างคีรีรัฐจะสั่งอาวุธสงครามมากมายไปทำอะไร คุณชายทราบมั้ยครับ”
“ผู้กองอยากจะถามอะไรผมกันแน่”
“เปล่าครับ ไม่ได้จะถามอะไรเลยผมก็แค่แวะมาส่งข่าวเท่านั้น”
“ส่งข่าว?”
“ครับ”
“เอ่อ งั้นผมก็ควรจะต้องขอบคุณสินะครับ ขอบคุณครับ”
เต๋อเป่าไม่พอใจท่าทียียวนของผู้กองเหลียง
“ส่งข่าวเสร็จแล้ว ผู้กองก็หมดธุระแล้วใช่มั้ยครับ”
ผู้กองเหลียงลุก ทำทีจะไป แต่หันมาถาม
“อ้อ ตอนนี้คุณชายยังไม่คิดจะออกนอกประเทศไปเที่ยวไหนใช่มั้ยครับ เอ่อ...ผมหมายถึง ถ้ามีอะไรคืบหน้า ผมจะได้ติดต่อคุณชายได้ทันที”
“ผมจะไม่ออกจากฮ่องกงไปไหนทั้งนั้น ผู้กองมาหาผมได้ตลอดเวลา”
ผู้กองเหลียงยิ้ม จ้าวซันขรึม เผชิญสายตากับผู้กองเหลียง

ลิฟต์เปิดผู้กองเหลียงกับหมวดจางเดินออกมา ระหว่างทางที่เดินจะออกจากตึกนั้น ผู้กองเหลียงเดินสวนกับใครคนหนึ่ง คนๆ นั้นจะมองผู้กองเหลียง พนักงานที่เดินสวน พนักงานฟร้อนท์ที่กำลังถือหูคุยโทรอยู่ ยามหน้าประตู ทุกคนมองผู้กองเหลียงหมด จนกระทั่งผู้กองเหลียงเดินออกพ้นประตูตึกออกไป
หน้าตึกบ.ฉินเย่ว์ หมวดจางไล่ตามผู้กองเหลียงออกมา
“ผู้กองว่าจ้าวซันไม่รู้อะไรเลยจริงๆ เหรอครับ”
“หมวดจาง คนอย่างจ้าวซัน ชอบควบคุม ชอบจัดระเบียบทุกสิ่ง เรื่องที่ใครว่าเป็นไปไม่ได้ ต้องเป็นไปได้สำหรับเขา เพราะฉะนั้นที่จ้าวซันไปโผล่ที่สนามกีฬาวันนั้น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่”
“เหมือนเขาอยากกำจัด น้องชายของเขา”
“เขาจัดฉากให้น้องตัวเองถูกจับ ต้องคดีอุกฉกรรจ์ เพื่อจะได้ฮุบสมบัติของจ้าวฉินเย่ว์หรือเปล่า”

ขณะนั้นเหม่ยอิงอยู่ที่ร้านแบรนด์เนมแห่งหนึ่งและกำลังคุยโทรศัพท์จากสายของเธอที่แฝงตัวในบริษัทฉินเย่ว์
“ขอบใจที่โทรมาบอก”
เหม่ยอิงวางสาย สีหน้าครุ่นคิด ข้องใจ อยากรู้ให้ได้ จนกระทั่งคุณนายหวังที่เดินช็อปปิ้งอยู่ด้วยกันเข้ามาถาม
“ใครโทรมาเหรอจ๊ะเหม่ยอิง หน้าเครียดเชียว”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เอ้อ คุณนายหวังคะ คุณนายเป็นคนกว้างขวาง พอจะรู้จักตำรวจที่ชื่อ ผู้กองเหลียงเป็นการส่วนตัว หรือเปล่าคะ”
“ผู้กองหนุ่มหล่อ อนาคตไกลและโสด ถ้าบอกว่าไม่รู้จัก เธอจะเชื่อมั้ยล่ะ ทำไมจ๊ะ อยากรู้จักเหรอ”
เหม่ยอิงทำทียิ้มกรุ้มกริ่ม พอคุณนายหวังคิกคัก หันไปทางอื่น เหม่ยอิงก็มีแววตาที่เยือกเย็น

ผู้กองเหลียงกำลังวิ่งออกกำลังกายอยู่บนลู่วิ่งของสปอร์ตคลับพลางคุยโทรศัพท์ผ่านบลูทูธไปด้วย
“ยังก่อนหมวดจาง อย่าเพิ่งทำอะไรทั้งนั้น คนอย่างจ้าวซัน คิดอะไรเหนือชั้นกว่าใคร คนระดับนี้ เราต้องใจเย็นๆ” ผู้กองเหลียงหยุดเครื่องวิ่ง เดินลง เอาผ้าขนหนูซับเหงื่อ “หมวดเตรียมตัวไว้ให้พร้อม แล้วเมื่อถึงเวลาชั้นจะบอกเองว่าให้ทำอะไร”
แต่แล้วผู้กองเหลียงก็ต้องชะงัก เพราะคุณนายหวังยืนยิ้มรออยู่
“สวัสดีค่ะผู้กองเหลียง พอจะมีเวลาว่างสักนิดมั้ยคะ”
ผู้กองเหลียงแปลกใจ

คุณนายหวังเดินนำผู้กองเหลียงมาบริเวณสระว่ายน้ำ คุณนายหวังมองหาเหม่ยอิงแต่ไม่เห็นก็แปลกใจ
“ไหนบอกว่าจะรออยู่แถวๆ นี้ไง”
“คุณนายหวังนัดใครไว้เหรอครับ”
คุณนายหวังยังไม่ทันตอบ อยู่ๆ ตรงสระว่ายน้ำ ด้านที่ผู้กองเหลียงหันหน้ามองไปพอดี มีคนๆ นึงดำน้ำพุ่งตรงมา แล้วก็โผล่พรวดขึ้นมาจากใต้น้ำ คือ เหม่ยอิงนั่นเอง เหม่ยอิงเดินขึ้นมาจากสระ ในชุดว่ายน้ำ สวย เซ็กซี่ ผู้กองเหลียงอึ้ง ตะลึง
“ผู้กองคะ นี่ไงคะคนที่อยากพบผู้กอง คุณจ้าวเหม่ยอิง”
“จ้าว? คุณแซ่จ้าว”
“ค่ะ ชั้นเป็นน้องสาวของคุณชายใหญ่จ้าวซันค่ะ”
ผู้กองเหลียงสนใจ อยากจะคุยด้วยขึ้นมาทันที เหม่ยอิงยิ้ม โปรยเสน่ห์

ผู้กองเหลียงนั่งอยู่กับเหม่ยอิงที่บาร์น้ำริมสระของสปอร์ตคลับ
“ดื่มด้วยกันนะคะ” เหม่ยอิงส่งแก้วเครื่องดื่มให้ “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะผู้กองเหลียง”
“เช่นกันครับ”
เหม่ยอิงชนแก้ว ยิ้มหวาน ตาวาว โปรยเสน่ห์สุดๆ
“ไม่ยักรู้ว่าพี่ชายใหญ่มีธุระอะไรกับตำรวจด้วย แปลกจัง ปกติมีอะไรพี่ชายใหญ่จะเล่าให้เหม่ยอิงฟังทุกเรื่องเลยนะคะ”
“เรื่องนี้อาจจะเป็นท็อปซีเคร็ตมั้งครับ”
“ไม่จริงหรอกค่ะ พี่ชายใหญ่ไม่เคยมีความลับกับเหม่ยอิง แต่เราอย่าคุยเรื่องพี่ชายใหญ่เลย เรามาคุยเรื่องของผู้กองดีกว่าค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ คุยเรื่องที่คุณอยากคุยเถอะครับ”
“ผู้กองมี ภรรยาหรือยังคะ” ผู้กองเหลียงหัวเราะ
“ไม่เอาน่า คุณหนูเหม่ยอิง อย่าหลอกผมเลย เรามาพูดความจริงกันดีกว่า”
“ความจริง เรื่องอะไรคะ”
“จ้าวซันช่วยเหลือตำรวจมาก ครั้งก่อน เขาเป็นคนแจ้งข่าววันเวลานัดพบของพวกค้าอาวุธเถื่อนให้กับตำรวจทราบ” เหม่ยอิงถึงกับอึ้ง
“จริงเหรอคะ”
“จริงสิ แล้วเขาก็ไปยืนดู ทำยังกับขงเบ้งนั่งตีขิมบนกำแพงดูเสือกัดกัน เสียดายพวกผมมันเป็นตำรวจที่ใช้การไม่ได้ พวกมันเลยหนีรอดหมด”
เหม่ยอิงอึ้งไปพักใหญ่ ผิดคาด
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือคะ”
“ผมจะไม่ยอมผิดพลาดอีก ผมจะไม่เห็นแก่หน้าไหนทั้งนั้น แล้วบอกเขาด้วยว่าไม่ต้องส่งคุณมาเป็นเหยื่อล่อผม เพราะผมไม่ใช่คนบ้าผู้หญิง”
เหม่ยอิงทำหน้าตกใจ
“ตายแล้ว ที่ฉันอยากรู้จักผู้กองเหลียงไม่เกี่ยวกับพี่ชายใหญ่เลยแม้แต่น้อย ฉันเคยเห็นในข่าวทีวีบ้าง อ่านสัมภาษณ์ในหนังสือบ้าง ก็เลยอยากรู้จักตัวจริง ฉันชอบทัศนคติของคุณ ชื่นชมความเป็นตำรวจตงฉิน กล้าหาญราวกับเทพเจ้ากวนอู แต่ผู้กองกลับมองฉันในแง่ร้าย”
“เหรอครับ ผมจะเชื่อดีไหม คุณเหม่ยอิงฝากไปบอกจ้าวซันด้วยว่าถ้าอยากจะส่งข่าวเรื่องวันส่งอาวุธจริงล็อตใหญ่อีก ให้จ้าวซันช่วยบอกเวลามาให้เป๊ะๆ ด้วยนะครับ อย่าให้ผมต้องลุ้นเองอีก”
“ผู้ชายบ้า”
เหม่ยอิงทำทีงอนสะบัดจากไป ผู้กองเหลียงมองตาม แววตาระแวง

เหม่ยอิงขึ้นมานั่งในรถอย่างหัวเสีย
“พี่ชายก็รู้เรื่องฉินเจียงหันมาค้าอาวุธด้วยเหรอ ก็วันนั้นเราเองที่เป็นคนแฟ็กซ์ไปบอกตำรวจที่หน่วยปราบปราม แล้วทำไมพี่ใหญ่ถึงได้มาเกี่ยวด้วยได้”
เหม่ยอิงอารมณ์เสียจัด

วันต่อมาที่ตึกฉินเย่ว์กรุ๊ป เหม่ยอิงเดินฉับๆ เข้ามาตามทาง ขึ้นมาจนถึงหน้าห้องทำงานฉินเจียง
“ไท้เผ่งอยู่หรือเปล่า”
“ไม่อยู่ครับ” เหม่ยอิงจ้องขวับ ราวกับคาดคั้นความจริง “ไม่อยู่จริงๆ ครับ”
“ดี งั้นตามเข้ามา”
เหม่ยอิงเดินเข้าไปด้านในทันที ไอ้สืองง

ไอ้สือเดินตามเหม่ยอิงเข้ามาในห้องทำงานฉินเจียง เหม่ยอิงหันมาถามตรงๆ
“ไท้เผ่งไปไหน”
“ผมไม่ทราบครับ ไท้เผ่งไม่ได้สั่งไว้”
“ไอ้สือ แกเป็นลูกน้องคนสนิทของจ้าวฉินเจียง เจ้านายแกไปไหน ไปทำอะไร มีหรือที่แกจะไม่รู้ ไอ้สือ บอกชั้นมาเถอะ ชั้นมีธุระสำคัญจริงๆ นี่ แกไม่ไว้ใจชั้นเหรอ ชั้นกับไท้เผ่งเป็นพี่น้องกันนะ ชั้นไม่มีสิทธิจะเป็นห่วงพี่ชายชั้นบ้างเลยหรือไง”
“เอ่อ คือ...”
เหม่ยอิงเข้าประชิดตัว
“ชั้นขอร้องล่ะนะไอ้สือ” เหม่ยอิงดึงตัวไอ้สือเข้ามาประชิดตัวเอง เหมือนกอดกัน “บอกชั้น แล้วชั้นจะให้รางวัลแกเต็มที่เลย แต่ถ้าแกไม่บอก แกรู้ใช่มั้ยว่าห้องนี้มีกล้องวงจรปิด” เหม่ยอิงจับมือไอ้สือมาโอบตัวเอง “ชั้นจะร้องและบอกทุกคนว่าแกทำสกปรกกับชั้น” เหม่ยอิงยิ้ม กระซิบข้างหู “จะบอกได้หรือยังว่าไท้เผ่งไปไหน”
ไอ้สือหน้าซีด เหม่ยอิงยิ้มร้ายกาจปนสมใจ

สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่กรุงเทพ ชายคนหนึ่งยืนหันหลังมองแม่น้ำอยู่ที่โป๊ะเรือริมน้ำเหมือนรอใครสักคน
แล้วก็มีคนอีกสองคนเดินเข้ามา
“คุณโกศิน”
ชายคนแรกที่ยืนอยู่หันกลับมา คือ โกศิน ส่วนอีกสองคนคือ จ้าวฉินเจียงและเกาเฟย ทั้งสามนัดพบกัน ดวงตาวาว ต่างรู้กันว่ามาตกลงเรื่องอาวุธที่จะซื้อขายและขนส่งกัน
“ผมจะมั่นใจได้ยังไงว่าคราวนี้จะไม่มีหมาต๋ามาขัดจังหวะอีก”
“ด้วยเกียรติ ของคนตระกูลจ้าว”
“ครั้งนี้คุณจะซัพพลายให้เราได้เท่าไหร่”
“เท่าที่คุณต้องการ”
“ผมจะมั่นใจได้ยังไงว่า ของที่ผมจะได้รับ เป็นของจริงแท้ ไม่สอดไส้หรือย้อมแมว”
ฉินเจียงตาลุก ของขึ้น เหมือนถูกสบประมาท
“เฮ้ย เกาเฟย กลับ” ฉินเจียงของขึ้น แต่เกาเฟยกลับห้ามไว้ แล้วพูดแทรกขึ้นมาแทน
“พวกเรา โดยเฉพาะไท้เผ่ง ไม่เคยเสียชื่อในเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นตระกูลจ้าวคงไม่ยิ่งใหญ่อยู่ที่ฮ่องกงได้นานเท่านี้หรอก”
“แล้วราคาล่ะ”
“ก็...”
“ห้าสิบเปอร์เซ็นต์เพิ่มจากที่เคยตกลงกันไว้”
“ทำไม”
“เสี่ยงมาก ก็ต้องแพงมาก”
“ห้าสิบ ไม่มากไปหน่อยเหรอ”
“งั้นคำสุดท้ายขาดตัว สี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ ถ้าคุณต้องการเวลาคิด หรือกลับไปหารือกับเจ้านายคุณก่อนก็ได้ ไท้เผ่งยินดีให้เวลาคุณ ถ้าทางคุณไม่ตกลง ก็ถือว่าเราไม่เคยคุยกัน”
“ก็ได้ ผมจะกลับไปคิดแล้วจะติดต่อกลับไป”
โกศินโดดลงเรือที่ผูกจอดเอาไว้ที่โป๊ะนั้น แล้วมีคนเรือขับออกไป เกาเฟยขำ คิกคัก
“หัวเราะหาอะไร แกโก่งราคาสูงไป ถ้าชั้นชวดเงินก้อนนี้ขึ้นมาจะทำยังไง”
“ใจเย็นๆ น่าไท้เผ่ง หมูเข้ามาอยู่ในอวยแล้ว ยังไงมันก็ดิ้นไม่หลุดหรอก คุณไม่เห็นหน้าตามันเหรอ กระเหี้ยนกระหือรืออยากจะได้แทบขาดใจ แต่จุ๊ยไปอย่างนั้นเอง” เกาเฟยท่าทางใจเย็นเยียบมาก ดูลึกลับและน่ากลัว ต่างจากฉินเจียง “ไท้เผ่ง กลับเถอะครับ”
เกาเฟยเดินนำกลับออกไป ฉินเจียงท่าทางหัวเสีย

รถฉินเจียงเข้ามาจอดที่คอนโดกลางดึก คนขับคือเกาเฟย ฉินเจียงนั่งหลัง เพลียๆ เกาเฟยลอบมอง หมั่นไส้ แล้วลงมาเปิดประตูรถให้ ฉินเจียงลงมาจากรถ ยังแต่งชุดเดิมที่ไปกรุงเทพ ฉินเจียงเดินง่วงๆ เกาเฟยเปิดท้าย หยิบประเป๋าเดินทางออกมา กับถุงพวกของดิวตี้ฟรีเป็นพวงเยอะแยะออกมา ฉินเจียงก้าวไปแล้วชะงักด้วยความตกใจเมื่อจ้าวซันก้าวมาขวาง
“เย้ย”
“ไปเที่ยวช้อปปิ้งสินค้าปลอดภาษีข้ามประเทศงั้นเหรอ” จ้าวซันถาม
“ทำไม ผมแค่อยากกินต้มยำกุ้งของจริง กุ้งขึ้นจากแม่น้ำสดๆ พี่มีปัญหาเหรอ”
“ใช่ คืนนี้แกไปนอนกับชั้นที่บ้านสี่ฤดูหน่อย”
“ไม่” ฉินเจียงหันไปมองเกาเฟย เกาเฟยวางของพิงเสา เดินมาขวาง
“คุณชายใหญ่ครับ ดึกมากแล้วนะครับ คุณชายรองง่วงมากแล้วครับ”
ทันใดอาหลี่ก็ก้าวมาเผชิญเกาเฟย
“พี่น้องเขารักกัน จะไปไหนด้วยกัน ขี้ข้ากรุณาอย่าแหลม”
เกาเฟยไม่พูด เข้าใส่อาหลี่ทันที อาหลี่สู้ตอบ แต่แรงปะทะอาหลี่เบากว่าเกาเฟยที่ทุกหมัดจะรุนแรง
“อย่า...หลี่...หลี่...ถอยมา”
จ้าวซันบอก อาหลี่โดนลูกถีบ เซแซ่ดๆ ล้มไป เกาเฟยโดดเข้ามาจะซ้ำ ทันใดนั้นเต๋อเป่าโผล่มาขวาง ซัดเกาเฟย หน้าหันไป จ้าวซันโดดเข้ากลาง ผลักเต๋อเป่าไป
“หยุด”
เต๋อเป่าพ้นออกนอกวงไป เกาเฟยถลันเข้ามา จ้าวซันมองหน้าเยือกเย็น ประมาณมึงกล้าเหรอ เกาเฟยหยุด ลดมือลง ฉินเจียงเดินเข้ามา ผลักเกาเฟยไป
“พอแล้ว” ฉินเจียงเข้ามาประจันหน้าจ้าวซัน “ก็ได้ พี่ชายใหญ่ ผมจะไปค้างที่บ้านสี่ฤดูกะพี่ ไม่ได้ไปนานแล้วคิดถึงอยู่เหมือนกัน”
จ้าวซันมองหน้าฉินเจียง พยายามระงับอารมณ์ เต๋อเป่า อาหลี่ สบตากัน คันไม้คันมือเต็มที

กลางดึกคืนนั้นที่บ้านสี่ฤดู ดูสง่างาม สว่างเรืองรอง ที่แท่นบูชาตั้งรูปเต้อยู่ จ้าวซันส่งธูปที่จุดแล้ว 1 ดอก ส่งให้ฉินเจียง
“เอ้า”
“ทำอะไรเนี่ย”
“สาบาน ต่อหน้าเต้”
“อะไรนะ”
“แกจำได้ไหม สิ่งผิดกฏหมายสามอย่าง ที่เต้ห้ามคนตระกูลเราแตะต้องอย่างเด็ดขาด คืออะไร” ฉินเจียงสะบัดหน้า ไม่ตอบ ในเงาสลัวอากงยืนดูสถานการณ์อยู่ “สิ่งผิดกฎหมายสามอย่าง คืออะไร...จ้าวฉินเจียง”
จ้าวซันถามเสียงเข้มจนฉินเจียงต้องฝืนใจตอบ
“เต้...ห้ามค้ายาเสพติด ห้ามค้าอาวุธ และห้าม...ค้ามนุษย์”
“ค่อยยังชั่ว นึกว่าแกลืมหมดแล้วซะอีก งั้นก็สาบานว่าแกไม่มีวันทำธุรกิจเกี่ยวกับของพวกนี้ หากแกทำขอให้แกต้องมีอันเป็นไป”
“ทำไมต้องสาบานด้วย” ฉินเจียงมองหน้ารูปเต้ รูปเต้ที่มองตอบมาดูน่ากลัวจนฉินเจียงต้องหลบตา “เต้ก็ต้องรู้ว่าลูกแท้ๆ ของท่าน ไม่มีทางทำอะไรพรรค์นั้นแน่ คนอื่น...ไม่เกี่ยว”
“จะสาบานไหม ฉินเจียง”
“ไม่สาบาน เพราะชั้นไม่เชื่อเรื่องไร้สาระพวกนี้ ในเมื่อไม่เชื่อ ไม่ศรัทธา แล้วจะสาบานไปให้มันดูโง่งมงายหาอะไร” ฉินเจียงหันไป เห็นอากงซุ่มอยู่ก็ตกใจ “เฮ้ย” อากงก้มหัวให้ ฉินเจียงเลยพาลใส่ “ไอ้พวกบ้าผีสางพวกนี้ ชอบทำตัวเป็นผีกันจริงนะ ยังไม่นอนก็ดีแล้ว ไปจัดที่นอนที่ห้องพักรับแขกให้ฉันหน่อย พี่ชายเขาอยากให้ค้าง ฉันก็มาค้าง แล้วมีอะไร พรุ่งนี้สว่างๆ ให้ผีมันกลับหลุมแล้วค่อยพูดกัน”
ฉินเจียงเดินกวนๆ ผ่านจ้าวซัน ก็เอาปลายนิ้วดันธูปเข้าใส่จ้าวซัน แล้วเดินลอยชายออกไป อากงมองจ้าวซันแบบส่ายหัว ว่าไม่มีประโยชน์ แล้วรีบตามฉินเจียงไป จ้าวซันยืนนิ่ง ในที่สุดก็ไหว้รูปเต้ แล้วปักธูปลงอย่างเศร้าใจ

นครคีรีรัฐ ที่พระตำหนักชั้นใน พระนมเดินนำมิถิลามาตามทางเดิน ก่อนถึงห้องโถง
“พระเทวีมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าในยามดึก ทรงมีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” พระนมพามิถิลาหยุดอยู่หน้าประตูห้องโถง “พระเทวีเพคะ หม่อมฉันพามิถิลามาเข้าเฝ้าเพคะ”
“ขอบใจมากแม่นม เสร็จธุระของเจ้าแล้ว” พระนมงงๆ มองมิถิลา ถอยหลังกลับออกไป มิถิลาเปิดประตูเข้าไป
“ปิดประตูซะ”
“เพคะ”
มิถิลาปิดประตู เดินเข้ามา คุกเข่าลง
“วันพรุ่งนี้ องค์รัชทายาทจะเสด็จเดินทางออกนอกประเทศแล้ว ข้ามีเรื่องอยากจะให้เจ้าช่วยสักหน่อย ได้ไหม”
“รับสั่งได้เลยเพคะ”
“ความหวังทั้งมวลของข้า ฝากไว้ที่เจ้าแล้ว”
พระเทวีสิริวารตีสบตากับมิถิลา สีหน้าค่อนข้างหนักใจแล้วดึงตัวมิถิลามากอดแน่น จนมิถิลาตกใจ

ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เครื่องบินเช่าเหมาลำ ลำหนึ่งแล่นจอดลงบนรันเวย์ ที่ทางเดินภายในสนามบิน ศิขรนโรดมเดินนำมา ตามด้วยราชิดและมีทหารคีรีรัฐอีก 8 นายในชุดทหารแบบไม่เต็มยศเดินตามมาสองแถว แถวละสี่คน
ทหารคนสุดท้ายที่ดูตัวเล็กกว่าคนอื่นๆ แท้จริงแล้วคือมิถิลาที่ปลอมตัวมา สายตาระแวดระวัง
ที่ห้องรับรองแขก VIP ของสนามบินสุวรรณภูมิ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ยืนตั้งแถวรอรับเสด็จ นักข่าวถือกล้องเตรียมรอถ่ายรูป ศิขรนโรดมเดินเลี้ยวมาสู่ทางเดินอย่างสง่างาม ตามด้วยราชิดและมีทหารคีรีรัฐอีก 8 นาย ดวงตามิถิลาดูตื่นๆ
โกศิณ ยืนรอรับในชุดเต็มยศสง่า รวมแถวข้าราชการไทยและข้าราชการสถานทูตคีรีรัฐในชุดประจำชาติที่มายืนต้อนรับ ด้านนึงคือนักธุรกิจไทย เกือบท้ายแถวมีภูสินทรยืนอยู่ สีหน้าภูสินทรดูกังวล ลุ้น
คณะจากคีรีรัฐกำลังเดินเข้ามาใกล้ทุกขณะ แสงแฟลซวูบวาบ ศิขรนโรดมเดินผ่านหน้าภูสินทรไป ภูสินทรเหลือบมอง ราชิดกำลังจะเดินผ่านหน้าภูสินทร ภูสินทรก้มหน้าหลบสายตาลงเล็กน้อย แล้วชำเลืองไปที่ราชิด ราชิดมองมาแล้วชะงัก ราชิดถึงกับผละออกจากขบวน จ้องที่ภูสินทร สงสัย ข้องใจ ฉงน ภูสินทรก้มหน้าเครียด กังวล กลัวถูกจับได้ พยายามหลบตา
“คุณ...เงยหน้าขึ้นมาสิ” ราชิดบอก ภูสินทรก้มหน้าเครียดอยู่ แต่แล้วแววตาก็กลายเป็นกร้าว พร้อมลุย “เงยหน้าขึ้นมาคุยกันสิ”
ภูสินทรตัดสินใจ เงยหน้าขึ้นมา เผชิญหน้าราชิด สบตากัน ภูสินทรกำลังคิดจะพุ่งเข้าเล่นงานราชิด แต่ราชิดพูดขึ้นมาก่อน
“ของในมือนั่น อะไร”
ภูสินทรชะงัก เพิ่งนึกได้ว่าถือผ้าไหมจากโรงงานสุริยะอยู่
“เอ่อ อ่อ ครับๆ”
โกศิณเข้ามาสมทบ
“ไม่รู้ทำไมต้องให้พวกพ่อค้าพวกนี้มารับเสด็จด้วยก็ไม่รู้ ผมไม่สบายใจแต่แรกแล้ว ไหน เอามาดูซิ” โกศิณบอก แต่ภูสินทรไม่ยอมส่งให้
“นี่คือของสำหรับถวาย ผมไม่ให้คุณหรอก”
“จะถวายอะไร ก็ต้องผ่านการตรวจก่อน”
ภูสินทรจ้องหน้าโกศิณ ถมึงทึง พอดีกับสุริยะเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์
“ชุดผ้าไหมไทยสำหรับถวายเจ้าชายครับ ของดีจากโรงงานของเราเอง คุณเมืองเทพ นักธุรกิจไทยคนนี้คงจะไม่รู้ความเหมาะสม”
ราชิดดึงห่อผ้าไหมไปจากมือ แล้วหันเดินตามขบวนไป สุริยะเหลือบมองภูสินทรตำหนิๆ แล้วรีบตามขบวนเสด็จไป ภูสินทรโล่งอก มองไปที่ราชิด โกศิณด้วยความแค้น แต่แล้วสายตาก็พลันเปลี่ยนเป็นเศร้าเพราะเห็นศิขรนโรดมที่กำลังยิ้มแย้ม ทักทายกับคนที่มาต้อนรับด้วยไมตรี อ่อนโยน
“องค์ชายน้อย”
ภูสินทรยิ้ม น้ำตาปริ่มด้วยความดีใจ

ที่ฮ่องกงจ้าวซันคุยโทรศัพท์กับภูสินทรอยู่ภายในห้องทำงาน ซึ่งมีจอทีวีที่เป็นภาพข่าวการมาเยือนกรุงเทพฯของศิขรนโรดม
“มีแค่พลเอกราชิดกับโกศินเหรอ นายพลจัตุรัสล่ะ”
ภูสินทรโทรศัพท์รายงานที่มุมหนึ่งในสนามบิน
“ไม่ได้มาด้วยพระเจ้าค่ะ มีแค่พลเอกราชิดกับไอ้โกศิน แล้วก็ทหารตามเสด็จที่น่าจะเป็นคนของพลเอกราชิดด้วย เท่านี้พระเจ้าค่ะ”
“มันคงจะให้นายพลจัตุรัสคอยควบคุมตัวเจ้าหลวงอยู่ที่คีรีรัฐ นี่ศิขรนโรดมไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกห้อมล้อมด้วยอะไร บางทีเป้าหมายในการเยือนประเทศต่างๆ ของคีรีรัฐ จะไม่ใช่แค่การเปิดประเทศเพียงอย่างเดียว”
“ฝ่าบาท...องค์ชายน้อย พระองค์ทรงงดงาม อ่อนโยน ละมุนละไม เช่นเดียวกับฝ่าบาทไม่ผิดเลยพระเจ้าค่ะ”
“ขอบใจเจ้ามากนะภูสินทร อดทนอีกหน่อยเถอะ เมื่อวันนั้นมาถึง เราทุกคนจะได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าอีกครั้ง”
ภูสินทรซึ้งใจ วางสายไป
จ้าวซันวางสาย หันกลับมาที่ห้องทำงาน พบว่าเทเรซ่ายืนรออยู่ด้วยความข้องใจ มีคำถามคาใจ
“คุณชายใหญ่คะ เอ่อ ดิฉันไม่เข้าใจ ทำไมคุณชายถึงต้องให้บริษัทเราเป็นผู้ถวายการต้อนรับอย่างเป็นทางการที่เจ้าชายจากคีรีรัฐจะเสด็จฮ่องกง สัปดาห์หน้า”
“เทเรซ่า ผมไว้ใจคุณมากนะ คุณจงรักภักดีกับบริษัทฉินเย่ว์มาตลอด ตั้งแต่คุณทำงานกับเต้ และความภักดีนั้นก็ตกทอดมาสู่ผม ผมไม่เคยคิดจะปิดบังอะไรคุณเลย แต่เรื่องนี้ขอสักเรื่องได้มั้ย”
“ก็คงจะต้องได้ เอ่อ...แล้วที่คุณชายพูดโทรศัพท์เป็นภาษาคีรีรัฐ ที่ดิฉันฟังไม่รู้เรื่องเลย หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้คุณชายลำบาก เดือดร้อน เป็นอันตรายนะคะ”
“เทเรซ่า”
“ตอนที่เต้ของคุณชายยังอยู่ ดิฉันจำได้ค่ะว่าท่านสั่งเสมอ ว่าให้ดิฉันอย่าทิ้งคุณชาย ให้ส่งคุณชายให้ถึงฝั่ง ฝั่งที่เต้ของคุณชายว่าอยู่ที่คีรีรัฐหรือที่ไหนกันแน่คะ”
จ้าวซันไม่ตอบหันไปมองจอทีวีที่ยังเป็นภาพศิขรนโรดมอยู่ ภาพในจอศิขรนโรดมโดนแวดล้อมจากบรรดาทหาร คนดังๆ ของคีรีรัฐ ทีคุ้มกันกันแจ แบบไม่ให้หลุด

สีหน้าจ้าวซันดูเครียดจนเทเรซ่านึกเป็นห่วง

วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 3 (ต่อ)

สุริยะเดินนำศิขรนโรดมและคณะเข้ามาที่โรงแรม พวกพนักงานโรงแรมตั้งแถวต้อนรับ มอบพวงมาลัย และเครื่องดื่มในแก้วหรู ศิขรนโรดมยิ้มแย้มกับทุกคน

สุริยะมาส่งศิขรนโรดมถึงห้องสวีท เข้าไปเปิดหน้าม่านหน้าต่าง เห็นวิวกรุงเทพสุดลูกหูลูกตา สวยงามมาก
“ที่นี่เป็นโรงแรมที่มีระบบรักษาความปลอดภัยดีที่สุด การบริการก็ดีที่สุดเช่นกัน องค์รัชทายาทจะได้รับความสะดวกสบายอย่างเต็มที่ที่นี่พะย่ะค่ะ”
“ขอบคุณมาก พลตรีสุริยะ”
ราชิดเดินเข้ามาภายในห้อง ก่อนจะหันไปพยักหน้าสั่งการทหาร พวกทหารคีรีรัฐเข้ามาในห้อง ตรวจสอบความปลอดภัยมุมต่างๆ ของห้องสวีทนั้น จับผลไม้ในพานต้อนรับมารื้อๆๆ ดูว่ามีพวกไมโครโฟนหรืออะไรซ่อนไว้ไหม มิถิลาดูนิ่งๆ แข็งๆ แต่ทำท่าตรวจสอบไปด้วย แยกไปตรวจสอบทางห้องนอน
“พลตรีสุริยะ ผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดีนะแต่มันเป็นหน้าที่” ราชิดบอก
“ครับๆ ผมเข้าใจ”
ศิขรนโรดมเดินไปชมวิวเมือง
“กรุงเทพสวยจริงๆ”
“ถ้าเป็นวิวจากห้องบรรทมจะเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยนะพะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท”
“จริงเหรอ”
ศิขรนโรดมมีท่าทีตื่นเต้น สุริยะผายมือเชิญไปในห้อง ศิขรนโรดมรีบจะเข้าไปในห้องนอน แต่อยู่ๆ มิถิลากลับเดินสวนออกมา ชนกับศิขรนโรดมอย่างจัง โดยส่วนหน้าอกชนกันจังๆ
“อ๊ะ...ขออภัยพระเจ้าค่ะองค์รัชทายาท”
ศิขรนโรดมจ้องมิถิลาเหมือนตำหนิ แต่แฝงแววฉงน ราชิดรีบเข้ามาตำหนิคนของตน
“เจ้า ทำไมไม่รู้จักระมัดระวัง” แต่ราชิดกลับชะงัก เมื่อเห็นหน้า เพราะไม่คุ้น จำไม่ได้ว่าคือมิถิลา “เอ๊ะ...เจ้า...เจ้าเป็นใคร”
“ข้า เอ่อ...”
“ข้าไม่รู้จัก และเจ้าไม่ใช่ทหารของข้าแน่ๆ มีใครรู้จักมันบ้าง”
พวกทหารทั้งหมดส่ายหน้า มิถิลาหน้าซีด
“ฟัง...ฟังข้าก่อน”
อยู่ๆ โกศินพุ่งมาจับตัวมิถิลากดกับพื้นเอาไว้อย่างรวดเร็ว โกศินกดมิถิลาไว้จนหน้าแนบกับพื้น
“เจ้าเป็นใคร ใครส่งเจ้ามา”
มิถิลาเจ็บจนพูดไม่ออก แต่แล้วศิขรนโรดมมีแววตาบางอย่าง เล่ห์ๆ นิดๆ กลับออกตัวปกป้อง
“เดี๋ยวก่อนๆ ท่านโกศิน คนๆ นี้ คนของเราเอง” ราชิดกับโกศินแปลกใจ “เจ้านี่ เป็นทหารใหม่ ที่เรากับอสุนีฝึกขึ้นมา เราเห็นว่าอสุนีป่วยมาไม่ได้ เราก็เลยให้เจ้านี่มาแทน เราจะได้มีคนคอยรับใช้ส่วนตัวแทนลูกชายท่านยังไง ปล่อยมันเถอะ” โกศินจำใจปล่อยตัวมิถิลา แล้วผละออกมา มิถิลารีบลุกยืน ขอบคุณองค์ชาย ก้มหน้าๆ “เราขอโทษที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า เราก็ไม่คิดเหมือนกันว่าอสุนีจะป่วยกะทันหัน”
ราชิดกับโกศินยังไม่ไว้ใจมิถิลา สีหน้าขัดเคืองใจที่มีคนนอกเข้ามาในขบวน มิถิลาก้มหน้า

ราชิดกับโกศินแยกออกมาหารือกันที่ห้องพักส่วนตัว
“มันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หรือว่าองค์รัชทายาทจะรู้แผนการของเรา ถึงได้เอาไอ้หน้าจืดตัวกระเปี๊ยกนั่นเข้ามา”
“ใจเย็นก่อนโกศิน องค์รัชทายาทยังทรงพระเยาว์ อาจจะแค่ต้องการเพื่อนเล่นเพื่อนคุย ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนก็ได้ แล้วไอ้ทหารคนนั้น ฮึ ท่าทางบอบบาง กระดูกอ่อนขนาดนั้น ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา มันจะทำอะไรได้ มีแต่จะเป็นเนื้อให้ข้าลับมีดเล่นน่ะสิไม่ว่า ฮ่าๆๆ”
ราชิดกับโกศินสะใจ ยิ้มร้ายกาจ

ที่ห้องสวีท ศิขรนโรดมกำลังจ้องมิถิลา จนมิถิลาหงอคิดว่าถูกจับได้
“องค์ชาย เอ่อ...”
แต่ศิขรนโรดมกลับดีใจมากๆ
“เจ้าชื่ออะไร”
“หม่อมฉัน เอ่อ กระหม่อม ชื่อ...มิน”
“เจ้ามิน อสุนีสั่งให้เจ้ามาใช่มั้ย อสุนีรู้จักนิสัยเรา ว่าเราไม่ชอบสุงสิงกับพวกผู้ใหญ่ เลยให้เจ้ามาคอยอารักขาและรับใช้เราใช่มั้ย”
“เอ่อ”
“อสุนีเป็นสหายที่ดีจริงๆ ขนาดป่วย ยังไม่วายเป็นห่วงเรา เอาล่ะ งั้นเจ้าก็พักในห้องนี้กับเราแล้วกัน...ไป...ไปเตรียมน้ำอุ่นให้ที เราอยากจะพักผ่อนแล้ว”
ศิขรนโรดมเดินเข้าไปทิ้งตัวนอนแผ่บนเตียง มิถิลายังไม่หายงง สงสัยว่าศิขรนโรดมรู้ความจริงว่าตนปลอมตัวมาหรือไม่

มิถิลาเดินออกมาจากห้องน้ำ
“องค์รัชทายาท หม่อมฉันเตรียมน้ำให้เรียบร้อยแล้ว เชิญสรงน้ำพระเจ้าค่ะ” มิถิลามองหา “องค์ชาย...” มิถิลาเข้าไปเคาะประตูห้องนอน แล้วเปิดเข้าไป “องค์รัชทายาท”
แต่ศิขรนโรดมไม่ได้อยู่ในห้องนอน มิถิลาแปลกใจ พอหันกลับออกมาอีกทีก็ต้องผงะ เพราะอยู่ๆ ศิขรนโรดมเดินเปลือยอกออกมาจากครัว ถือน้ำดื่ม สดชื่น
“ฮ้า...น้ำอัดลมเมืองไทย อร่อย...ซ่าส์”
มิถิลาผงะ อึ้ง รีบหันหน้าหนี
“องค์ชาย”
“เจ้าเป็นอะไร”
“ทำไมองค์รัชทายาทถึงไม่ฉลองพระองค์ให้เรียบร้อย”
“อ้าว แล้วเจ้าจะให้แช่น้ำทั้งๆ ที่นุ่งเครื่องแบบรัชทายาทรึ เจ้านี่แปลกทำท่ายังกะพวกนางกำนัลสาวๆ”
มิถิลาได้ยินว่าเป็นสตรี กลัวถูกจับได้ รีบฮึด หันกลับมา
“หม่อมฉันไม่ใช่สะ...” มิถิลาชะงักเพราะเห็นเรือนร่างศิขรนโรดม “ตรี...” แต่ทนไม่ได้ หันหน้าหนีอีก “แต่หม่อมฉันเป็นแค่ทหาร องค์ชายเป็นองค์รัชทายาท มันไม่สมควร”
“ไม่สมควร?”
มิถิลารีบเลี่ยงหนีออกไประเบียง
“หม่อมฉันจะไปประจำเวรที่ระเบียง เชิญองค์รัชทายาทตามสบายเพคะ เอ๊ย...พระเจ้าค่ะ”
มิถิลาเสียศูนย์ พูดผิดพูดถูก รีบชิ่งหนีไปที่ระเบียงห้องพัก ศิขรนโรดมเห็นท่าทีมิถิลา ย่นคิ้ว แปลกใจ แต่ก็แอบขำๆ ในที แล้วเดินผิวปากเข้าห้องน้ำไป
ที่ระเบียง มิถิลาทำหน้ายี้สุดๆ ขนลุกๆ

วันต่อมาหลินจื้อเหม่ยเดินออกมาจากชั้นบนแบบเพิ่งตื่นนอน หัวยังกระเซิงๆ อยู่ แต่แล้วก็ต้องตาโต ประหลาดใจ เพราะหลานทั้งสามคน แต่งตัวสีสันสดใส ใส่หมวก สะพายกระติกน้ำ
“ทำไมแต่งตัวยังงี้”
บราลีที่แต่งตัวแนวเดียวกัน เดินออกมา
“วันนี้พวกเราจะไปดิสนี่แลนด์”
“เย้ๆๆ” หลานๆ หลินจื้อเหม่ยร้องอย่างดีใจ
“แกลางานวันนึงสิจื้อเหม่ย จะได้ไปเที่ยวด้วยกัน นะๆๆ”
“เดี๋ยวๆๆ ยัยบรี แล้วแกไม่ต้องไปสอนภาษาอังกฤษให้ เพื่อนใหม่ของแกเหรอ”
“ไม่ไป เบื่อ ไม่มีอารมณ์”
“ไม่ได้ แกต้องไปสอน มีความรับผิดชอบหน่อยสิ”
“ชั้นจะไปดิสนี่แลนด์”
“เย้ๆๆ”
บราลีกับพวกหลานๆ หลินจื้อเหม่ยเข้าขากันดีมาก หลินจื้อเหม่ยอึ้งๆ ทำไงดีๆ

รถจ้าวซันจอดหน้าตึกจ้าวฉินเย่ว์ จ้าวซันเดินเข้ามาภายในตึก โดยมีเต๋อเป่าเดินตามประกบข้าง ใครต่อใครต่างพากันก้มหัวทักทายตลอดเส้นทาง สักพักเทเรซ่าก็ปราดเข้ามาประกบอีกข้าง เปิดสมุดออแกไนซ์รายงานข้อมูล
เต๋อเป่ากดลิฟต์
“องค์ชายศิขรนโรดมทำอะไรอยู่ บอกมาให้ละเอียด”
“ค่ะ วันนี้องค์ชายศิขรนโรดมตื่นนอนเวลาตีห้ายี่สิบ รวมเวลานอนทั้งสิ้นหกชั่วโมงกับ...”
“เทเรซ่า ขอสรุป”
จ้าวซันก้าวเข้าลิฟต์ เต๋าเป่า เทเรซ่าตามเข้าไป รายงานภายในลิฟต์
“ตอนนี้องค์ชายกำลังเดินทางไปพบกับนายกและคณะรัฐมนตรีของไทยที่ตึกทำเนียบไทยคู่ฟ้าค่ะ และจะอยู่รับประทานอาหารเที่ยงกับคณะรัฐมนตรี ส่วนช่วงบ่าย...” อยู่ๆ มือถือเทเรซ่าดังขึ้นมาก่อน “อุ๊บ ซอรี่ค่ะจ้าว” เทเรซ่า ดูเบอร์ แล้วหันพูดกับจ้าวซัน “หลินจื้อเหม่ยค่ะ”
จ้าวซันรับมือถือมา
“บราลีมีเรื่องอะไร ไม่ยอมไปสอนภาษาให้ผิงอัน” จ้าวซันฟังเงียบๆ พยักหน้า ครุ่นคิด ตัดสินใจ “หลินจื้อเหม่ย เอาอย่างนี้ เธอถ่วงเวลาเขาไว้ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
จ้าวซันวางสาย พยายามข่มใจที่พะวงห่วงบราลี เทเรซ่าจะรายงานต่อ
“ส่วนช่วงบ่าย องค์ชาย...”
แต่จ้าวซันยกมือเบรกเทเรซ่าว่าอย่าเพิ่งรายงาน ลิฟต์เปิดพอดี จ้าวซันเดินออกไป เทเรซ่ากับเต๋อเป่าหันมองหน้ากัน ยักไหล่

ที่บ้านหลินจื้อเหม่ย หลานทั้งสามคนนั่งแกร่วรอหลินจื้อเหม่ย ขณะที่บราลีเดินไปเดินมารอ
“จื้อเหม่ย ทำไมแกแต่งตัวนาน ชั้นจะไม่รอแล้วนะ”
เสียงหลินจื้อเหม่ยตะโกนกลับมา
“ใกล้เสร็จแล้ว ขออีกห้านาที”
“แกห้านาทีมาหลายรอบแล้ว ชั้นจะนับหนึ่งถึงห้า ถ้าแกไม่ลงมาชั้นไปล่ะนะ” บราลีหันไปพยักหน้ากับเด็กๆ ให้ช่วยกันนับ “หนึ่ง...สอง...สาม...สี่...ห้า”
พวกเด็กๆ ลุก จะไป หลินจื้อเหม่ยวิ่งลงมา
“เสร็จแล้วๆๆ”
หลินจื้อเหม่ยแต่งตัวปกติธรรมดาลงมาเหมือนจะไปทำงานมากกว่า
“อะไรของแก หายไปแต่งตัวเป็นชั่วโมงได้แค่เนี้ย”
“เอ่อ คือ...”
อยู่ๆ มีรถตู้ แล่นมาจอดที่หน้าบ้าน หลินจื้อเหม่ยตาโต เพราะเฝ้ารออยู่ ผิงอันลงจากรถ
“พี่บรี”
บราลีหันไปเห็นผิงอันลงรถมา มีอาม่ามาด้วย บราลีแปลกใจ รู้ได้ทันทีว่าเป็นฝีมือเพื่อน หันกลับมาจ้องหลินจื้อเหม่ยตาแทบถลน
“เธอถ่วงเวลาชั้น เพื่อโทรตามผิงอัน”
“ชั้นอยากให้แกมีความรับผิดชอบ”
อาหลี่ลงมาจากรถ เข้ามาพูดเบาๆ ไม่ให้ผิงอันได้ยิน
“มิสภีมะมนตรีครับ คุณจะไปเที่ยวที่ไหนกรุณาบอกเลยครับ ผมจะบริการคุณกับเพื่อนๆ เอง คุณชายใหญ่ขอให้คุณช่วยพาคุณหนูผิงอันของเราไปเที่ยวด้วยนะครับ กรุณาอย่าปฏิเสธเลยนะครับ คุณชายใหญ่บอกคุณหนูผิงอันว่าคุณจะชวนคุณหนูไปสอนภาษาอังกฤษนอกสถานที่ ทำให้คุณหนูผิงอันมีความสุขมากๆ ถ้าคุณหนูผิงอันทราบว่าคุณไม่เต็มใจจะพาเธอไป เธอคงจะเสียใจมากๆ เลยครับ”
บราลีผงะ แค้นใจ หันไปมองผิงอัน ผิงอันยิ้มดีใจสุดๆ บราลีอึ้ง แล้วพูดเบาๆ ตอบอาหลี่
“คุณชายจ้าวซันของคุณใช้เด็กมาบีบชั้นเหรอ”
“คุณชายขอร้อง ขอความกรุณาต่อคุณนะครับ” บราลีฉุน

บราลีก้าวฉับๆๆ เดินหนี
“ไม่ต้องตามได้มั้ย” ผิงอันก้าวฉับๆ ไล่ตาม
“พี่ก็อย่าหนีสิ”
อาม่าก้าวหอบๆ แฮ่กๆ รั้งท้าย
“ทำไมไม่นั่งคุยกันดีๆ”
บราลีสุดทน หยุดเดินหันกลับมาเผชิญหน้าผิงอัน
“พี่ไม่ได้มีปัญหากับเธอ แต่พี่ไม่ชอบวิธีการของคุณชายจ้าวซัน พี่ไม่รู้ว่าพี่ชายใหญ่ของเธอ คิดอะไร ทำอะไรอยู่ เขาเหมือน...เหมือนผี...เขาโผล่ไปในทุกๆ ที่ ที่พี่ไป ทุกๆ คนที่พี่เจอก็กลายเป็นคนรอบตัวเขาหมด”
“ก็พี่ชายใหญ่คือจ้าวซัน ไม่มีใครในฮ่องกงไม่รู้จักจ้าวซัน”
“ไม่ใช่ มันไม่ใช่อย่างนั้น”
บราลีเดินหนีต่อ ผิงอันไล่ตาม
“แล้วมันยังไงล่ะ”
“อาม่าเหนื่อย สงสารอาม่าเถอะ”
“เธอพาอาม่ากลับไปเถอะ เธอไม่เข้าใจหรอก”
“ไม่...” ผิงอันวิ่งมาขวางหน้าบราลี ไม่ให้เดินหนี “พี่บรี ถ้าพี่ข้องใจอะไรเกี่ยวกับพี่ชายใหญ่ พี่ก็ถามมา ถามมาให้หมด ให้หายสงสัย แล้วก็กลับไปสอนภาษาอังกฤษให้ผิงอัน ผิงอันต้องการพี่ ผิงอันเกิดมามีแต่ความเหงา ไม่มีความสุข ไม่มีทางออก แต่พอผิงอันได้รู้จักพี่ ผิงอันรู้สึกว่าโลกนี้น่าสนุก พี่ทำให้หนูมีกำลังใจที่จะทำตัวให้เก่งกะเขาบ้าง จะได้ออกไปดูโลกกว้าง ถ้าพี่ทิ้งหนู หนูก็คงต้องกลับไปอยู่ในโลกเดิม โลกที่แคบๆ โลกที่ทำให้หนูรู้สึกตัวว่าไร้ค่า ไม่มีประโยชน์อย่างที่สุด” ผิงอันร้องไห้ น้ำตาหยด บราลีอึ้ง

ที่ห้องทำงานฉินเจียง ซ่างกวานซิงโดนผลักไปจนมุม ฉินเจียง เกาเฟย ไอ้สือ ยืนล้อม
“ไอ้ซ่างกวานซิง ทรัพย์สินของอั๊วะ อั๊วะจะทำยังไงก็ได้ ลื้อจะมาแส่ทำไม”
“คุณชายรองครับ มันเป็นหน้าที่ของผมนะครับ”
“แกก็ทำเอาหูไปนา เอาตาไปไร่บ้างก็ได้ อย่าเถรตรงให้มากนักเลย”
“ไม่ได้ครับ ถ้าคุณชายใหญ่ทราบ ผมตายแน่”
“ระหว่างคุณชายใหญ่กับอั๊วะ ลื้อว่าใครจะน่ากลัวกว่ากัน”
“คุณชายรองครับ คุณชายใหญ่ ตัวผมเอง และทุกคนที่นี่ ทำทุกอย่างเพื่อรักษาผลประโยชน์ให้คุณชายรองทั้งนั้น คุณชายรองน่าเชื่อพวกเรามากกว่าจะไปหลงเชื่อคนจากที่อื่น ที่มันมายุยงนะครับ”
เกาเฟยตบเปรี้ยง ซ่างกวานซิงกระเด็น ล้มลงไป
“ปากดีนัก มันต้องเอาเลือดออกบ้างแบบนี้” เกาเฟยเข้าไปจะกระทืบซ้ำ
ทันใดนั้นประตูห้องถูกผลักเข้ามา
“ใครวะ ทำไมไม่เคาะ...” ฉินเจียงหันไปมองแล้วหยุดปากทันควัน เพราะผู้ที่ก้าวเข้ามาคือจ้าวซัน จ้าวซันตกใจ เมื่อเห็นซ่างกวานซิงอยู่บนพื้น
“พวกแกทำอะไรซ่างกวานซิง” จ้าวซันเข้าไป รีบพยุงซ่างกวานซิงขึ้น พวกเต๋อเป่า เทเรซ่า ตามเข้ามา ต่างตื่นตกใจ
“ผมเป็นไท้เผ่ง ไท้เผ่งจะลงไม้ลงมือกับลูกน้องบ้าง มันจะเป็นไรไป” จ้าวซันโกรธจัด
“มีผู้บริหารที่ไหนเขาใช้กำลังกับพนักงานบ้าง ฉินเจียง แกมัน...”
“ทำไม พี่หยุดวิพากษ์วิจารณ์ผมซะทีเถอะ ผมไม่เข้ามาทำงาน พี่ก็ด่า นี่ผมก็เข้ามาออฟฟิศแล้วไง แล้วนี่มันเป็นวิธีดัดสันดานพนักงานของผม”
“ต๊ายตาย ฟันหักหรือเปล่า ซ่างกวานซิง ทำไมเลือดเต็มปากแบบนั้น”
“ไปจัดการตามที่ชั้นสั่ง”
“อะไร แกจะให้เขาทำอะไร”
“ผมจะขายทอง ทองของผมกำลังราคาดี ผมจะปล่อย มันต้องทำตามที่ผมต้องการ อยากให้ผมทำงาน พี่ก็อย่ามาจุ้นจ้าน มันจะทำให้เสียระบบ”
จ้าวซันแค้น จ้องฉินเจียง ตาแทบปะทุ ฉินเจียงมองตอบ ยียวน ท้าทาย เกาเฟย ไอ้สือ พากันยืนในตำแหน่งเตรียมพร้อมปกป้องฉินเจียง

จ้าวซันเดินฮึดฮัดออกมาสูดอากาศที่บริเวณสวนดาดฟ้าด้านหน้าของตึกบริษัท ควบคุมสติ สักพัก เทเรซ่าวิ่งตามเข้ามา มองเกรงๆ ใจ
“คุณชายใหญ่คะ หลินจื้อเหม่ยค่ะ”
จ้าวซันชะงัก หน้าตากระตือรือร้นขึ้นมา รีบคว้ามือถือมารับสาย หลินจื้อเหม่ยรีบวิ่งมาทำงานที่ร้าน พลางพูดโทรศัพท์รายงาน
“ยัยบรีใจอ่อนยอมสอนภาษาให้ผิงอันแล้วค่ะคุณชาย ตอนนี้คงกำลังสอนกันอยู่ร้านกาแฟสักร้านแถวๆ เกาลูน คุณชายไม่ต้องกังวลนะคะ”
“ขอบใจมาก”
หลินจื้อเหม่ยรีบวางสาย ไปทำงานของตนต่อ
“เบาใจไปได้คนนึงแล้วนะคะ” จ้าวซันหันจ้อง เทเรซ่าเหวอ “ขออนุญาตไปดูแลซ่างกวานซิงก่อนนะคะ” เทเรซ่าเดินออกไป เต๋อเป่าเข้ามาหาจ้าวซัน
“คุณชาย”
“เต๋อเป่า ฉินเจียงขายทอง”
“ทองของเขา ช่างเขาเถอะครับคุณชาย”
“มันขายทองเพื่อจะเอาเงินไปลงทุนซื้อไอ้อาวุธสงคราม ที่จะขายให้พวกคนชั่วเอาไปจัดการกับคนบริสุทธิ์ที่คีรีรัฐไงล่ะ” จ้าวซันปวดใจ

บราลีเดินมาหยุดมองตึกบริษัทฉินเย่ว์ มีผิงอันกับอาม่าตามมา บราลีคว้าแขนผิงอันจะลากเข้าไป แต่อาม่ามาขวางไว้ก่อน
“เดี๋ยวก่อนๆ ซายหมุย ทำยังงี้ไม่ได้ อยากถูกคุณชายใหญ่ดุหรือยังไง โทรบอกคุณชายใหญ่ก่อนดีกว่านะ”
“ไม่ได้ ห้ามโทร”
“ถ้าคุณอยากจะปรับความเข้าใจกับคุณชายใหญ่ ทำไมไม่รอคุยกันที่บ้าน ไม่เห็นจะต้องรบกวนเวลาทำงานคุณชายใหญ่เลย”
“ต้องมาตอนทำงานสิ ชั้นจะได้รู้จักคุณชายใหญ่ของอาม่าอย่างถ่องแท้ยังไงล่ะ”
“คุณหลอกเพื่อนคุณว่าคุณจะพาคุณหนูไปเรียนอย่างไม่มีปัญหา”
“เพราะเพื่อนฉันหลอกฉันก่อนไงคะ เขาอยากสมคบกะคุณชายใหญ่ของอาม่ามาหลอกลวงชั้นก่อนทำไม”
“อาม่ารออยู่ตรงนี้แหละ ไม่ต้องเข้าไป ถ้าพี่ชายใหญ่โกรธ ผิงอันจะบอกว่าอาม่าไม่รู้เรื่อง ผิงอันหนีออกมาเอง ดีมั้ยคะ”
อาม่ากำลังจะปฏิเสธ จะตามไปด้วย แต่บราลีชิงตัดบท
“ตกลงตามนี้...ไป”
บราลีคว้าแขนพาผิงอันเดินเข้าไป อาม่าได้แต่อ้าปากค้าง มองตาม เป็นกังวล

บราลีลากผิงอันเดินเข้ามาในตึก จะตรงไปที่ลิฟต์ แต่อยู่ๆ ยามมาขวางไว้
“คนนอกใช้ลิฟต์ตัวนี้ไม่ได้ครับ ต้องไปใช้ตัวหน้า”
“คนนอก นี่ๆๆ นี่ใคร คุณหนูผิงอัน น้องสาวคุณชายใหญ่จ้าวซัน น้องสาวอยากจะไปหาพี่ชาย ไม่ได้เหรอ กล้าขวางเหรอ คุณหนูฟ้องพี่ชายไล่ออกให้หมดเลย”
ยามซีด ถอยๆ เปิดทางให้โดยดี
“แล้วอย่าให้รู้ว่าใครปากโป้งโทรไปรายงานคุณชายใหญ่ก่อนเชียวนะ อย่าเชียวๆ เรากำลังจะขึ้นไปเซอไพร้ซ์วันเกิดคุณชาย ถ้าคุณชายรู้ก่อน เดี๋ยวจะไม่ตื่นเต้นดีใจ ทุกคนจะโดนทำโทษกันหมด”
บราลีใช้มือทำท่าปาดคอ ขู่ๆ แล้วถอยเข้าลิฟต์ไปกับผิงอันที่ตื่นๆ หวั่นๆ ปนทึ่ง ตะลึง ปลื้ม ในความบ้าดีเดือดของบราลี
“วันเกิดพี่ชายมันยังไม่ถึงซะหน่อย” ผิงอันหัวเราะคิกคัก

ผิงอันเดินนำบราลีมาที่ห้องทำงานจ้าวซัน บราลี มองสำรวจไปรอบๆ จนกระทั่งผิงอันหยุดและชี้ไปที่ห้องทำงานจ้าวซัน
“นั่นค่ะ ห้องทำงานพี่ชายใหญ่” บราลีมองไปที่หน้าห้อง มีป้ายเขียนเอาไว้ว่าห้องท่านประธาน(ภาษาจีน)
“ไปค่ะ จะได้คุยกับพี่ชายใหญ่ให้รู้เรื่อง”
ผิงอันกำลังเดินจะเข้าไป แต่อยู่ๆ เทเรซ่าเดินสวนออกมา พอเห็นผิงอันยืนอยู่ เทเรซ่างง
“คุณหนูผิงอัน” บราลีรีบโดดแผล็วหลบมุม ก่อนที่เทเรซ่าจะเห็นเธอ เทเรซ่าเลิ่กลั่ก มองสำรวจ
“คุณหนู มาได้ยังไงคะ มีธุระอะไรทำไมไม่บอกก่อน แล้วนี่มากับใครคะ”
บราลีทำมือส่งสัญญาณให้ผิงอันว่าอย่าบอกเรื่องตน
“มาคนเดียวค่ะ พี่ชายใหญ่อยู่ในห้องใช่มั้ยคะ”
“ไม่อยู่ค่ะ”
“ไม่อยู่ แล้วตอนนี้พี่ชายใหญ่อยู่ที่ไหนคะ”

บราลีแอบฟังและค่อยๆ ถอยหลังหลบออกไป

ที่สวนบนดาดฟ้าตึก จ้าวซันสงบลงแล้วพยายามตั้งสติ เต๋อเป่ามองห่วงๆ ฉินเจียง เกาเฟย ไอ้สือ เดินเข้ามา เต๋อเป่าตาลุก จ้าวซันแปลกใจ ฉินเจียงเดินอย่างผยองเข้ามา

“ผมเข้ามาออฟฟิศตามที่พี่ต้องการแล้วนะ ทีหลังอย่ามาหาว่าผมไม่เอาการเอางานอีก แล้วเวลานี้ธุระของผมก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมจะกลับล่ะ”
“ฉินเจียง แกแปลกไปมาก”
“คนเรามันก็ต้องมีพัฒนาการกันบ้าง”
“แบบนี้ไม่ใช่พัฒนาการ เขาเรียกว่าเสื่อม”
“คนที่เสื่อม คือพี่ จ้าวซัน เวลาของพี่ใกล้จะหมดแล้ว เลิกครอบงำตระกูลเราได้แล้ว”
“คนที่ขายทองในเวลานี้ เรียกว่าโง่อย่างที่สุด ใครมันเป็นกุนซือ แนะนำให้แกหาเงินวิธีนี้ ฉินเจียง พี่ขอเตือนว่าแกควรจะไล่มันออกไปซะ เพราะมันต้องหวังร้ายกะแกแน่” เกาเฟยปากกระตุก แต่ต้องพยายามควบคุมอาการ จ้าวซันหันมามองเกาเฟยเต็มตา “ทองกำลังราคาดี คนไม่มีเรื่องร้อนเงินเขาไม่ปล่อยกันหรอก”
“ผมไม่รู้ ผมไม่เกี่ยว” เกาเฟยบอก
“ใครว่าแก คุณชายว่าพวกที่ปรึกษาทางการเงินโง่ๆ ตังหาก”
พอดีบราลีโผล่มา แต่พอเห็นบรรยากาศรีบโดดแอบ ฉินเจียงเดินเข้าไปจ้องเต๋อเป่า แล้วหันมาเผชิญหน้าจ้าวซัน
“สมุนพี่ลามปามผมอีกแล้วนะ แต่ผมไม่เอาเรื่องหรอก ผมขอเตือนพี่ว่าจงเตรียมตัวเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไว้ให้ดี ผมกำลังจะก้าวไปอีกขั้นไปอยู่ในระดับที่พี่ตามไม่ทัน แล้วพี่จะรู้ว่าคนที่เดินเกมผิด คือตัวพี่เอง”
ฉินเจียงเดินนำพวกจะออกไป เต๋อเป๋าแค้นใจ จ้าวซันทนไม่ไหว ก้าวตามไป
“ฉินเจียง” ทุกคนชะงัก
“อย่ายุ่งกะพวกต่างชาติพวกนั้น”
“ทำไม พี่จะทำไมผม”
“เต้รักแกมากนะ เต้บอกให้พี่ช่วยดูแลแก”
“เอาเต้มาอ้างตลอดเวลา เอาความหวังดีห่วงใยมาอ้างตลอดเวลา ถอดหน้ากากซะทีสิ จ้าวซัน ผมรู้นะว่าความจริง พี่ไม่ใช่คนดีอย่างที่พี่พยายามแสดงหรอก”
“ดีแล้ว ที่แกรู้” จ้าวซันจับคอเสื้อฉินเจียง ทุกคนตกใจ เกาเฟย ไอ้สือขยับตัว เต๋อเป่าขยับกัน เกาเฟย ไอ้สือ ชะงัก บราลีที่แอบอยู่ตาโต “เพราะฉะนั้นแกระวังไว้ให้ดี เพราะตัวจริงของฉันทำได้ทุกอย่างเพื่อหยุดแก ฉันขอบอกว่าฉันทำได้ทุกอย่างจริงๆ เพราะคนอย่างฉัน มันไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว”
ฉินเจียงสบตาจ้าวซันแล้วต้องหลบ จับมือจ้าวซัน ปลดออก
“ไปเถอะ พวกเรา”
พวกฉินเจียงออกไป เต๋อเป่ามองตาม แล้วหันกลับมาทำท่าจะพูดอะไร
“เต๋อเป่า แกจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ ไม่ต้องอยู่เฝ้าชั้นอย่างนี้ชั้นอยากจะใช้ความคิดสักหน่อย” แต่เต๋อเป่ายังยืนนิ่ง ยังคงห่วงจ้าวซัน “ไม่ได้ยินที่ชั้นสั่งเหรอ”
“แต่”
“แกเลิกมองชั้นด้วยสายตาอย่างนั้นได้มั้ย ไม่ต้องมาสงสารเห็นใจชั้น...แค่ออกไป”
จ้าวซันตวาด บราลีสะดุ้ง สยอง เต๋อเป่าจ๋อย รีบออกไป
จ้าวซันยืนนิ่ง หันไปทอดสายตาดูวิวภายนอก ครุ่นคิดเงียบๆ บราลีที่แอบอยู่ แล้วอึ้งๆ เห็นจังหวะไม่ดีเสียแล้ว ตัดสินใจ ไปดีกว่า ค่อยๆ ขยับจากที่ซ่อนแต่โชคไม่ดีที่จ้าวซันหันกลับมา จ้าวซันชะงัก แปลกใจ ตกใจ
“เปล่านะ เปล่าๆๆ ฉันไม่รู้ ไม่เห็นอะไรเลยนะ” บราลีกลัว รีบเผ่น จ้าวซันอึ้ง แล้วรีบตาม

บราลีเดินกึ่งวิ่งหนีออกมา จ้าวซันรีบตาม บราลีวิ่งหนีเข้าลิฟต์ ประตูลิฟต์กำลังจะปิดลง บราลีลุ้นๆ รีบกดปุ่มไปชั้นล่าง แล้วกดให้ปิดๆๆ ทันใดนั้นมือจ้าวซันยื่นมาแล้วดันประตูลิฟต์เปิดออก จ้าวซันก้าวเข้ามา
“บราลี ฟังผมก่อน”
บราลีกลัว หน้าซีด ประตูลิฟต์ปิดลง ทั้งสองเผชิญกัน บราลีถอยจนชนผนัง
“ที่แท้คุณก็เป็นเจ้าพ่อฮ่องกงจริงๆ”
“ไปกันใหญ่แล้ว ผมก็เป็นคนธรรมดานี่แหละ”
“ไม่ใช่ หน้าตา ท่าทาง และน้ำเสียง ที่คุณพูดเมื่อกี้ มันไม่ใช่คนธรรมดา มันคือคนที่...ที่พร้อมจะ ทำอะไรก็ได้เพื่อให้ได้อย่างที่ต้องการ แม้แต่การ...ฆ่าคน”
“ผมจะฆ่าใครได้ บรี”
“อย่าฆ่าชั้นก็แล้วกัน”
“บราลี อย่ากลัวผมเลย ผมไม่ใช่คนที่คุณต้องกลัวเลยสักนิด เพราะผมจะไม่มีวันทำร้ายคุณได้ ไม่มีทาง”
บราลีอึ้งที่เห็นสายตาอ่อนแอ จริงใจ ของจ้าวซัน
“ใครว่าไม่เคยทำร้าย คุณเคยตีชั้น”
“นั่นคือการอบรม สำหรับเด็กดื้อ”
“คุณมีสิทธิ์อะไรมาอบรมชั้น คุณคงเคยชินกับการได้ทุกอย่างที่อยากได้ คอยควบคุมให้โลกหมุนตามที่ใจคุณต้องการ แต่คุณไม่ใช่พระอาทิตย์ ไม่มีทางที่คุณจะได้ดังใจทุกอย่างหรอก รู้ไว้ด้วย”
“ทำไมผมจะไม่รู้ ชีวิตที่ผ่านความสูญเสียมาแล้วทุกรูปแบบอย่างผม รู้ซึ้งดีทุกรสชาติ ทุกอย่าง มันอยู่ในนี้” จ้าวซันชี้หัว “ไม่เคยไปไหน มันอยู่กับผมตลอด ไม่ว่าจะหลับหรือตื่น ภาพมันยังอยู่ในนี้ ภาพวันที่ผมต้องหนีกระเจิดกระเจิงมาอยู่ที่นี่ ภาพตอนที่พ่อผมฆ่าตัวตาย ภาพแม่ที่ต้องลำบากและหัวใจสบายตายตามพ่อไปอีกคน และภาพวันที่ผมต้องปล่อยให้น้องสาวระหกระเหจากไปที่อื่น ผมไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะร้องไห้”
“น้องสาว”
“ถ้าตอนนั้นผมโตอีกสักหน่อย เก่งอีกสักนิด มันคงไม่เป็นอย่างนี้”

บราลีมองเจ้าซัน แต่เข้าใจไปอีกทาง แล้วรู้สึกสงสารจ้าวซันขึ้นมา

บราลีลากแขนจ้าวซันมาแถวๆ บันไดในตึก

“จ้าวซัน มานี่ๆ ฟังนะ ชั้นคิดว่าชั้นเข้าใจแล้วล่ะ ว่าทำไมคุณถึงเป็นแบบนี้” จ้าวซันงง และดีใจ
“บราลี คุณนึกได้แล้วใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ ชั้นเคยดูหนังจีนมามาก อ่านนิยายกำลังภายในมาก็มากพล็อตเหมือนกันหมด...จอมยุทธ...ต้องไปแก้แค้นศัตรู คุณก็คงเติบโตมาในวิธีคิดแบบในเรื่องจอมยุทธจีนๆ พวกนั้น คุณต้องเลิกคิดจะแก้แค้น มันไม่ทำให้อะไรดีขึ้น มีแต่ล้างแค้นต่อกันไปไม่มีที่สิ้นสุด พ่อของคุณ หรือใครต่อใครที่คุณเคยสูญเสีย ก็ไม่มีทางย้อนคืนกลับมาได้ ชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า อย่าถอยหลังลงคลอง ชั้นพูดแค่นี้ คิดว่าคุณคงจะมีปัญญามากพอจะสำนึกและคิดได้”
จ้าวซันอึ้ง แต่ก็ขำไม่ออก
“บราลี”
บราลีนึกถึงชีวิตตัวเองขึ้นมา เศร้าลง
“และ...และที่สำคัญ อย่าคิดว่าชีวิตคุณคนเดียวเท่านั้นที่เลวร้าย ยังมีคนที่ชีวิตเลวร้ายกว่าคุณอีก จำไว้”
“หมายความว่า ยังไง”
บราลีไม่ตอบ มองหน้าจ้าวซัน แววตาหมองลง

จ้าวซันกับบราลีเดินอยู่ในสวนสาธารณะ ทั้งสองถือไอติมโยเกิร์ต โรยหน้าเยอะแยะแปลกๆ ในถ้วยกระดาษไข เดินกินมาด้วยกัน
“ชั้นไม่ชอบเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟังหรอกนะ แต่ชีวิตชั้นก็เศร้า คุณพ่อชั้นที่เป็นเพื่อนคุณ ขอชั้นมาเลี้ยง ชั้นพยายามทบทวนความทรงจำก็พอจะสันนิษฐานได้ว่า ชั้นน่าจะเป็นเด็กชาวเขามาจากเผ่าอะไรซักเผ่า ทางเหนือของเมืองไทย”
จ้าวซันมองบราลีอย่างทึ่ง ในจินตนาการ
“จริงเหรอครับ”
มีม้านั่งใต้ต้นไม้สวย บราลีเดินนำมานั่ง
“จริง แล้วอาจจะมีใคร ลักพาชั้นจากพ่อแม่จะเอามาขายที่เชียงใหม่ แล้วก็มีบาทหลวงของศาสนาคริสต์มาช่วยไว้ แล้วคุณพ่อก็ไปรับมา ตอนที่คุณแม่อยู่ เรามีความสุขมาก ถึงชั้นจะไปอยู่อเมริกา คุณพ่อคุณแม่ก็น่ารักตลอด จนคุณแม่ตาย คุณพ่อก็เปลี่ยนไป”
จ้าวซันหน้าเครียด
“เปลี่ยนยังไง” บราลีน้ำตาคลอ
“ท่านเย็นชามาก เหมือนไม่อยากเจอหน้าชั้นอีก ท่านไม่ให้ชั้นกลับบ้าน แล้วตัวท่านเองก็ไม่ไปเยี่ยมชั้นที่อเมริกาอีกเลย จนบัดนี้ฉันจะกลับเมืองไทย ท่านก็ยังไม่ยอม เหตุผลที่แท้จริงอาจเป็นเพราะท่านคงอึดอัด เพราะชั้นไม่ใช่ลูกแท้ๆ หรืออะไรก็ไม่รู้ แล้วคุณคิดดูสิ ว่าชั้นจะรู้สึกยังไง”
น้ำตาบราลีไหล บราลีรีบเช็ด เงยมองฟ้า แล้วหันมายิ้มกลบเกลื่อน จ้าวซันหยิบผ้าเช็ดหน้าให้ อึ้งๆ บราลีเอาผ้าเช็ดมาสั่งขี้มูกอย่างลืมตัว แล้วชะงัก ทำหน้าเอ๋อ คนย่น หัวเราะกัน

คืนนั้นที่บ้านสี่ฤดู จ้าวซันยืนเหม่ออยู่ในสวน มองออกไปยังวิวกลางคืนของเมืองฮ่องกง จ้าวซันมีสีหน้าอ่อนโยนเมื่อคิดถึงบราลี ภาพบราลีน้ำตาไหลแล้วเอาผ้าตนไปสั่งขี้มูก หน้าจ้าวซันจากขำๆ กลับเปลี่ยนเป็นเศร้า ขรึม ขม หัวใจแทบละลาย เมื่อนึกถึงตอนอยู่ในลิฟต์
“และ...และที่สำคัญ อย่าคิดว่าชีวิตคุณคนเดียวเท่านั้นที่เลวร้าย ยังมีคนที่ชีวิตเลวร้ายกว่าคุณอีก จำไว้”
“ใช่...ชีวิตเธอเลวร้ายกว่าชั้นมาก ชั้นขอโทษ ม่านฟ้า”
สีหน้าจ้าวซันเศร้าลง

อีกด้านหนึ่งบราลีนั่งอยู่บนรถรางเปิดประทุนกำลังกลับบ้าน คิดหนัก ขมวดคิ้วไปมา
“ทำไมผมจะไม่รู้ ชีวิตที่ผ่านความสูญเสียมาแล้วทุกรูปแบบอย่างผม รู้ซึ้งดีทุกรสชาติ ทุกอย่าง มันอยู่ในนี้” จ้าวซันชี้หัว “ไม่เคยไปไหน มันอยู่กับผมตลอด ไม่ว่าจะหลับหรือตื่น ภาพมันยังอยู่ในนี้ ภาพวันที่ผมต้องหนีกระเจิดกระเจิงมาอยู่ที่นี่ ภาพตอนที่พ่อผมฆ่าตัวตาย ภาพแม่ที่ต้องลำบากและหัวใจสบายตายตามพ่อไปอีกคน และภาพวันที่ผมต้องปล่อยให้น้องสาวระหกระเหจากไปที่อื่น โดยที่ผมไม่มีสิทธิแม้แต่จะร้องไห้”
บราลีเสียใจ แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้
“น้องสาว จ้าวซันมีน้องสาวที่ไหนอีก”

เกาเฟยขี่มอไซค์มาตามถนนเลียบริมหาด แล้วมาหยุดที่สะพานท่าเรือร้างๆ มืดๆ เกาเฟยมองไปรอบๆ
ในความมืด รถจอดอยู่กลมกลืนความมืด พลันเปิดไฟหน้า ให้สัญญาณสองพริบแล้วดับลง เกาเฟยยิ้ม ดีใจ รีบขี่รถเข้าไปหา เกาเฟยจอดรถลงมา แล้วเดินไปก้มดู เคาะๆ กระจก คนในรถกดเปิดล็อก เกาเฟยยิ้ม รีบเปิดประตูด้านข้างคนนั่ง เข้าไปนั่ง คนในรถนั้นก็คือเหม่ยอิง
“คุณหนู”
“กินอะไรมาหรือยังล่ะ” ส่งถุงของกินให้เกาเฟย
“คุณหนูใจดีจัง” เกาเฟยรับไป เปิด แล้วหยิบขึ้นมากิน
“คงเหนื่อยสินะ เกาเฟย”
“เหนื่อยมากครับ แต่ผมก็ทนได้ เพื่อคุณหนู”
“ปากหวานจริงนะ”
“แต่ยังไงๆ คำพูดก็ไม่สำคัญเท่าการกระทำไม่ใช่หรือครับ”
เกาเฟยพูดไป กินไป มีอาหารหล่นจากปากมาตอนพูด เหม่ยอิงมองแบบสยอง รังเกียจอี๋ แต่พอเกาเฟยมองมา เหม่ยอิงก็รีบยิ้มหวานให้
“กินเยอะๆ นะ” เหม่ยอิงส่งกระดาษเช็ดปากให้
“แล้วคุณหนูล่ะครับ”
“ฉันกินแล้ว มื้อเย็นฉันไม่ค่อยหิว”
“คุณหนูจะผอมไปแล้ว รักษาสุขภาพบ้างนะครับ คุณหนูทำอะไรหลายอย่างเหลือเกิน ตัวเล็กแค่นี้ ไม่รู้ว่าจะขยันไปถึงไหน”
“ชั้นก็ทำทุกอย่าง เพื่อให้ความฝันเป็นจริงให้เร็วที่สุดนั่นแหละ เกาเฟย”
“ผมก็เหมือนกัน ผมจะอดทน เพื่ออนาคตอันใกล้”
“จวนจะถึงเวลาแล้วใช่ไหม” เหม่ยอิงตาวาว ตื่นเต้น
“ครับ”
“มันไม่รู้ตัวเลยใช่ไหม”
“ไม่เลยครับ มันไว้ใจผมเต็มที่ เชื่อผมทุกอย่าง”
“มันโง่ แล้วก็ยุขึ้นง่าย เหมาะกับการเสี้ยม ปั่นหัวเล่น สนุกจะตายไป”
“มันไม่เหมาะที่จะเป็นไท้เผ่งแม้แต่น้อย ไม่มีความรู้เรื่องอะไรซักอย่าง ไม่มีพรสวรรค์อะไรซักเรื่อง แต่กร่างที่สุดในโลก” เหม่ยอิงหัวเราะชอบใจ
“เค้าเรียกว่า โง่แต่อยากนอนเตียง” เกาเฟยหัวเราะด้วย
“มันจะได้ไปนอนเตียงในคุกแน่ครับ ถ้าไม่ตายไปซะก่อน”
“ทุกอย่าง ฉันก็ฝากไว้กับเธอนะ เกาเฟย”
“คุณหนูวางใจเถอะครับ ผมวางกับดักมันไว้ทุกทางแล้ว มันไม่รอดแน่ๆ คนนี้ทั้งโลภ ทั้งโกรธ ทั้งหลง แล้วแถมปัญญาเบาอีก”
“ครบเครื่อง เรื่องฉินเจียงจริงๆ”

ทั้งสองหัวเราะประสานเสียงใส

ขณะที่เหม่ยอิงเดินเข้าบ้าน แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นอาม่านั่งรอเงียบๆ

“คุณนายใหญ่อยากให้คุณไปเยี่ยมท่านหน่อย” เหม่ยอิงหน้าซีด
“จริงเหรอ เรื่องอะไร”
“อิฉันไม่ทราบ”
เหม่ยอิงขมวดคิ้ว ดูนาฬิกา
“ดึกป่านนี้...” เหม่ยอิงมีคำด่าเต็มปาก แต่นิ่งไว้ อาม่ามองหนักใจแทน

จ้าวไทไทกำลังนั่งเอนนอนจิบชาอยู่ในที่เตียง เหม่ยอิงเดินเข้ามา ทำความเคารพแบบเสียไม่ได้
“แม่ใหญ่ สบายดีนะคะ” จ้าวไทไทไม่แม้แต่เงยหน้ามอง เทน้ำชาใส่ถ้วยตัวเอง และถ้วยสำหรับแขก ท่วงท่าสง่างาม สงบ วางถ้วยน้ำชาสำหรับแขกให้เหม่ยอิงเห็น “มีอะไรจะใช้งานฉัน หรือแม่ของฉัน...หรือคะ” ไทไทยังคงนิ่ง ยกถ้วยน้ำชามาอังรอบจมูก ก่อนจะค่อยๆ จิบ เหม่ยอิงเริ่มหงุดหงิด “ไทไท”
“ดื่มสิ”
เหม่ยอิงหงุดหงิด รู้ว่าขัดไม่ได้แน่ คว้าถ้วยชามา กระดกจิบรวดเดียวหมด ชาร้อนแต่อดทนข่มสีหน้าเอาไว้ไม่ให้แสดงออกมา กลืนลงไปหมด ไม่แสดงอาการว่าปากถูกลวก
“ดื่มแล้วค่ะ”
“หึ...” ไทไทเทให้อีก “รู้มั้ยว่านี่ ชาอะไร”
“สรุปว่า...จ้าวไทไทอยากดื่มชายามดึก ขนาดที่เรียกเด็กที่น่ารังเกียจคนนึง ให้มาให้ดื่มเป็นเพื่อนหรือคะ”
“ชาชั้นดีเลยนะ”
“ทราบค่ะ”
“คนอย่างเธอคงแยกแยะไม่ออกสินะ ว่าอะไรคือชาชั้นดี อะไรคือชาชั้นเลว” เหม่ยอิงชะงัก หันมาฟัง ตาขวาง
ไทไทเทชา ละเลียดดม ค่อยๆ จิบอีก “คนที่สักแต่จับกรอกเข้าปาก ไม่มีความละเมียดใดๆ ในชีวิต จะดื่มชาหรือน้ำอุ่นก็ไม่ต่างกัน คนเช่นนี้ไม่คู่ควรจะได้ลิ้มรสชาดีๆ แม้สักหยดเดียว”
“ชั้นไม่ชอบดื่มชา”
“คนเก็บชาบางคนไม่รู้ว่าใบชาที่ดีคือใบชายอดอ่อน ก็เลยไปเก็บเอาใบชาที่หลุดจากขั้ว ร่วงตกพื้นมาใส่ตะกร้าปะปนกัน เพราะคิดตื้นๆ ว่ากลิ่นและรสชาติที่ได้จากยอดอ่อนจะช่วยเจือจางความเลวของใบชาจากดินได้บ้าง แต่เปล่าเลย ชาชั้นเลวก็คือชาชั้นเลววันยันค่ำ”
“แล้วชาชั้นดีมันวิเศษวิโสมากนักเหรอ จะบอกให้นะคะแม่ใหญ่ จะชาดีชาชั่ว มันก็ทำให้ท้องผูกเหมือนๆ กัน”
“คนไม่รู้ดื่มคือท้องผูก คนรู้ดื่มคือระบาย อย่าระเริงไป เพราะต่อให้เธอซ่อนตัวเองอย่างดีอยู่ในสุดยอดใบชา แต่คนที่รู้ เขาดูออก มองปราดเดียวเขาก็แยกแยะกำพืดที่มาของเธอได้ ไม่แน่เขาอาจจะรู้ด้วยซ้ำว่าเธอคือใบชาขึ้นรา เป็นพิษ ไม่ให้คุณ หาประโยชน์อันใดไม่ได้เลย” ไทไทยกถ้วยชาขึ้นดม “เขาจะไม่เสียเวลาดมกลิ่นเธอด้วยซ้ำ แล้วจุดจบของใบชาขึ้นราอย่างเธอก็คือพื้นดินที่เธอจากมานั่นแหละ”
ไทไทเทชาที่เหลือทิ้งลงกระโถน เหม่ยอิงตัวสั่นด้วยความโกรธ
“แม่ใหญ่คอยดูก็แล้วกันค่ะ ชั้นขอตัว”
เหม่ยอิงสะบัดหน้า เดินออกไป ไทไทมองตาม แล้วหัวเราะออกมาแบบสะใจ

ส่วนที่เมืองไทย ภายในห้องพักศิชรนโรดม มิถิลานอนพลิกไปมา ไม่ค่อยหลับ แล้วพอพลิกมาอีกที ก็ตาเบิกกว้าง ผุดลุกพรวด ร้องกรี๊ดออกมา ศิขรนโรดมยืนอยู่มืด แต่งตัวชุดดำ มีหมวกถักแบบพวกเด็กฮิบฮอบหรือที่เรียกว่าหมวกคีโมใส่หัวครอบผมไว้ ศิขรนโรดมโดดมาล็อคตัวและอุดปากมิถิลา
“ไอ้บ้า แต๋วแตกไปได้ เงียบๆ สิ เดี๋ยวไอ้พวกข้างนอกก็แห่มากัน”
ทันใด เสียงเคาะประตูตึงๆๆ องครักษ์อื่น พร้อมอาวุธ มาเคาะๆๆ
“องค์รัชทายาทๆๆ”
รปภ.แบบวีไอพีของโรงแรมวิ่งมาพร้อมกุญแจสำรอง กำลังจะไข พอดีประตูเปิดผาง ศิขรนโรดมทำหน้างัวเงีย หัวยุ่ง สวมเสื้อคลุมอาบน้ำ เท้าเปลือยเปล่า เห็นน่องเปลือยโชว์ขนหน้าแข้ง ดูเหมือนแก้ผ้าอยู่ เปิดออกมา
“อะไรกัน”
พวกองครักษ์และรปภ.สะดุ้ง รีบทำความเคารพพึ่บพั่บ
“องค์รัชทายาท พวกกระหม่อมได้ยิน เหมือนเสียง...สตรีกรีดร้อง”
“เสียงสตรีกรีดร้อง แล้วมาดังอะไรจากห้องเรา พวกเจ้าคิดว่าเรานอนหลับแล้วละเมอกรีดร้องเยี่ยงสตรีงั้นหรือ”
พวกองครักษ์อึกอัก “เสียงจากห้องอื่นหรือเปล่า”
“แต่ชั้นนี้ พวกเราเช่าเหมาทั้งชั้นแล้วพะย่ะค่ะ ไม่มีคนอื่นมาปะปน”
ศิขรนโรดมหัวเราะ
“แล้วท่านราชิด ท่านโกศินหรือบรรดานายๆ ของพวกเจ้า มีผู้ใดนำสตรีมาค้างคืนด้วยหรือไม่ ไม่ใช่ว่าผู้บังคับบัญชาของพวกเจ้าเองที่เป็นต้นเหตุแห่งเสียงกรีดร้องนั้นล่ะ” ทุกคนหน้าซีดๆ มองหน้ากัน ชักไม่แน่ใจ ศิขรนโรดมออกมา ตบแก้ม ตบบ่า ตีแขนทุกคนอย่างเอ็นดูๆ “พักผ่อนกันบ้างเถิด ทหารที่รักยิ่งของข้า เหนื่อยกันมาหลายวันแล้ว ข้ากำลังหลับสบายๆ ไม่น่ามาปลุกกันเล้ย”
“ขอพระราชทานอภัย พะย่ะค่ะ” ทุกคนบอกอย่างพร้อมเพรียง
“อโหสิๆ” ศิขรนโรดมทำมือเหมือนพระปางประทานพร ให้อภัยแล้วถอยเข้าห้อง ปิดประตูกริ๊ก
ภายในห้อง มิถิลายืนมองศิขรนโรดม หน้าตาทึ่ง ตะลึงในความกะล่อน ที่นึกไม่ถึง ศิขรนโรดมสลัดเสื้อคลุมออก ข้างในคือชุดดำเต็มตัว นั่งลง คลี่ขากางเกงที่พับขึ้นมาเหนือแข้งลง แล้วหยิบถุงเท้า รองเท้ามาใส่ พลางส่ายหน้า
“มิน เจ้านี่มันเส้นประสาทอ่อนหรือเปล่า ว่าจะชวนหนีเที่ยวเสียหน่อย ทำเสียเรื่องหมด”
“หนีเที่ยว” มิถิลาดูนาฬิกา “นี่มันตี 2 แล้ว จะเด็จไหนได้”
“นี่กรุงเทพฯ ประเทศไทย ไม่ใช่คีรีรัฐนะ เจ้าไก่ตื่น ลุกขึ้นแต่งตัวสิ ข้าจะหาทางออกไปให้ได้ วันนี้ดูลู่ทางไว้แล้ว”

ศิขรนโรดมบอกพร้อมกับเอาหมวกถักครอบหัว หน้าตา บุคลิก ดูเปลี่ยนไปเลย

โปรดติดตามตอนที่ 4
กำลังโหลดความคิดเห็น