คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 5
ที่ฟาร์มสุข ไผ่พญากำลังช่วยพรรษาล้างจานอยู่ในห้องครัว
“พอเถอะคะครู ไม่ต้องล้างหรอก เดี๋ยวป้าล้างเอง”
“ไม่เป็นไรคะ ฉันนั่งๆ นอนๆ ขืนไม่ทำอะไรบ้างเดี๋ยวเป็นง่อยละแย่เลย” พรรษาอมยิ้มก่อนจะหันไปล้างจานต่อ ไผ่พญาชำเลืองมองพรรษาก่อนจะเลียบๆ เคียงๆ ถามพรรษาต่อ “แล้วทำไมคุณภูกับยัยนั่น อุ้ย เอ่อ...คุณพั้นซ์นั่นถึงเลิกกันละคะ”
“คุณพั้นซ์แกถูกคุณเสกสรรส่งไปเรียนที่อเมริกาน่ะคะ อย่างว่ารักแบบเด็กๆ พอห่างกันก็พิสูจน์อะไรหลายๆอย่าง แต่ป้าก็ไม่รู้ว่าเธอจะกลับมารื้อฟื้นอะไรกับคุณภูอีก”
“ก็รักแรกไงคะ ป้าไม่เคยได้ยินเหรอว่ารักแรกมักจะเป็นรักที่เราจำไปตลอดชีวิต”
“ถ้าจะพูดว่ารัก ป้าว่าคุณภูมีความรักให้กับคุณเหมือนฝันคนเดียวแหละคะ”
ไผ่พญารับรู้แต่ยังไม่หายสงสัย
“แล้วตั้งแต่ เอ่อ คุณเหมือนฝันจากไป เขาไม่เคยมองใครเหรอคะ”
จู่ๆ พรรษาก็ร้องขึ้นมาอย่างตกใจ
“ตายแล้ว” ไผ่พญาพลอยตกใจไปด้วย
“มีอะไรคะ”
“อ๋อ สองทุ่มครึ่งแล้วเหรอเนี่ย ตายจริงละครมาแล้ว เดี๋ยวป้ามานะคะ”
พรรษารีบล้างมือก่อนจะเดินจ้ำออกไป ไผ่พญาหันมาล้างจานต่อ
“สมัยนี้ยังจะมีคนรักเดียวใจเดียวอยู่อีกหรือไง” ไผ่พญาบ่น แล้วเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “หรือว่า...” ไผ่พญาหักล้างกับความคิดในหัวเสร็จสรรพ “ไม่ละมั้ง”
ระหว่างนั้นภูวนัยเดินกลับเข้ามาเห็นไผ่พญากำลังล้างจานอยู่ ไผ่พญาได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็นึกว่าเป็นพรรษา
“ฉันคิดออกแล้วคะว่าทำไมเจ้านายป้าถึงไม่ยอมมีใคร” ภูวนัยสงสัยที่ไผ่พญาพูดถึงเขา “ฉันว่า คุณภูต้องเป็นเกย์แน่ๆ เลยคะ” ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็ชักสีหน้าไม่พอใจ “นี่ฉันไม่ได้คิดเอาเองนะคะ ป้าลองดูซิ พวกเกย์สมัยนี้น่ะกล้ามใหญ่จะตาย แล้วคุณภูของป้าก็ใช่ย่อยเมื่อไหร่ ถ้าใหญ่อีกนิด ตัวเขียวอีกหน่อย คงเป็นเดอะฮัคได้เลย” ไผ่พญาแปลกใจเพราะไม่เห็นพรรษาพูดอะไร “ป้าโกรธเหรอที่ฉันว่าคุณ” ไผ่พญาหันมา แล้วตกใจเมื่อเห็นภูวนัยยืนอยู่ “ภู”
ไผ่พญาอ้าปากค้างตะลึง จนลืมไปว่าตัวเองถือจานอยู่จึงปล่อยหลุดมือ เพล้ง ! “โอ๊ย” ไผ่พญารีบก้มลงดูจึงเห็นเศษจานกระเด็นบาดน่องที่เยื้องไปทางด้านหลัง ภูวนัยเข้ามาดู “เอ่อ ฉันไม่เป็นไรหรอก”
“แน่ใจนะ”
ไผ่พญายิ้ม
“แน่นอน”
ภูวนัยเห็นอย่างนั้นก็หันหลังเดินออกไป ไผ่พญาพยายามจะเดินไปหยิบไม้กวาดแต่เพราะความเจ็บทำให้เกือบเสียหลัก
“โอ๊ย”
ภูวนัยที่หันหลังอยู่ ได้ยินเสียงร้องของไผ่พญาก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ
ไผ่พญานอนคว่ำที่เก้าอี้หลายตัวที่เอามาต่อกันเพื่อหงายน่องด้านหลังขึ้น
“นายจะไม่พาฉันไปนั่งที่ที่มันสบายกว่านี้หน่อยเหรอ”
ไผ่พญาถามขณะที่ภูวนัยวางอุปกรณ์ทำแผลลงบนโต๊ะอย่างหมั่นไส้
“จะให้ผมอุ้มคุณไปที่โซฟาเหมือนพระเอกนางเอกในละครหรือไง”
“ก็เก้าอี้นี่มันแข็งนี่ รู้ละ นายไม่อยากโดนตัวผู้หญิงใช่มั้ย”
ภูวนัยหมั่นไส้ และนึกโกรธ
“ผมไม่อยากโดนตัวคุณต่างหาก”
ภูวนัยพูดพร้อมกับราดแอลกอฮอล์ลงบนแผลของไผ่พญา ไผ่พญาร้องจ๊าก
“นี่ มันแสบนะ”
“คงจะแสบน้อยกว่าคนที่โดนนินทามั้ง”
“เอ่อ ฉันก็แค่ จะหาเรื่องคุยกับป้าษาเท่านั้นแหละ นายอย่าถือสาฉันเลย”
ภูวนัยส่ายหน้าก่อนจะหันไปหยิบอุปกรณ์และยาใส่แผล
“อยู่นิ่งๆ ซิ”
ภูวนัยค่อยๆ เอาสำลีเช็ดรอบแผลของไผ่พญา ไผ่พญารู้สึกดีก่อนจะหันไปแอบมองภูวนัย ภูวนัยที่กำลังทาเบตาดีนก็ชะงักแล้วหันมามอง ไผ่พญารีบหันหน้ากลับแล้วรีบพูดกลบเกลื่อน
“แหม นายนี่มือเบาเหมือนผู้หญิงเลยเนาะ”
ภูวนัยหมั่นไส้เลยแกล้งติดพลาสเตอร์เต็มแรง ไผ่พญาร้องจ๊าก
“โอ้ะ โทษที มันต้องติดแน่นหน่อยน่ะ เอ้า เสร็จแล้ว”
ภูวนัยหันไปเก็บอุปกรณ์ ไผ่พญาค่อยๆ ยันตัวนั่ง
“ขอบคุณ”
“ไม่เป็นไร ผมจะหักค่าทำแผลกับค่าจานจากเงินเดือนคุณแล้วกัน”
“โห” แล้วไผ่พญาก็เปลี่ยนอารมณ์ “ฉันขอบคุณนาย เรื่องที่นายไม่ไล่ฉันออกต่างหาก” ภูวนัยแปลกใจ “ก็ที่คุณพั้นซ์เขาบอกให้ไล่ฉันออกไง”
“ผมเป็นคนมีเหตุผล” ไผ่พญายิ้มเพราะแอบคิดในใจว่าภูวนัยเข้าข้างเธอ “แล้วอีกอย่าง ผมไม่ได้ช่วยคุณ แต่ผมไม่อยากทำให้เมฆกับหมอกเสียใจต่างหาก”
ภูวนัยพูดเสร็จก็เก็บของเดินออกไป
“ตาบ้านี่”
ภูวนัยนึกบางอย่างได้ก่อนจะหันมา ไผ่พญาเห็นภูวนัยหันมาก็รีบปั้นหน้ายิ้มเหมือนเดิม
“แล้วก็ ผมว่าคุณน่าจะเริ่มสอนได้แล้วนะ”
“หื๊อ”
“ผมว่าตอนนี้คุณน่าจะเข้ากับเด็กๆ ได้แล้ว พรุ่งนี้ผมอยากให้คุณเริ่มสอนแกสองคนได้แล้ว”
ไผ่พญาแอบอึ้ง แต่ทำใจดีสู้เสือ
“แหม ฉันอยากได้ยินนายบอกอย่างนี้ตั้งนานแล้ว แหมไม่ได้สอนมานานคันไม้คันมือเต็มทีแล้ว” ภูวนัยเดินออกไปไม่พูดอะไร ไผ่พญาที่กำลังทำท่าขึงขังก็เหี่ยวลงทันที “สอน แล้วฉันจะสอนยังไงเนี่ย”
เช้าวันรุ่งขึ้นขณะที่พรรษากำลังเก็บโต๊ะอาหารอยู่ภายในห้องทานข้าว ภูวนัยเดินเข้ามาพอไม่เห็นใครก็แปลกใจ
“ยังไม่มีใครลงมาเลยเหรอครับ”
“อ้าวคุณภู ไม่ลงมาอะไรคะ โน่น ลงมากันแต่เช้าแล้วก็รีบไปเรียนกับครูไผ่กันแล้วคะ”
ภูวนัยได้ยินก็แปลกใจ
ภายในห้องเรียน ม่านเมฆ ม่านหมอกกำลังขะมักเขม้นอยู่กับกองหนังสือตรงหน้าอย่างตั้งใจ อีกมุมไผ่พญานั่งหันหลังยกขาพาดกับขอบหน้าต่างอ่านหนังสือตรงหน้า ประตูค่อยๆ แง้มออกก่อนจะเห็นภูวนัยแอบมอง ภาพที่ภูวนัยเห็นทำให้เขาต้องแปลกใจเมื่อเห็นม่านเมฆกับม่านหมอกไม่เคยตั้งใจเรียนอย่างนี้
“เป็นไปได้เหรอเนี่ย”
ภูวนัยโล่งอกกำลังจะปล่อยให้ทั้งหมดทำการเรียนการสอนต่อไป แต่แล้วระหว่างที่ภูวนัยกำลังจะปิดประตู เสียงม่านเมฆก็ดังขึ้น
“ของเมฆสวยมั้ยพี่หมอก”
ภูวนัยเปลี่ยนใจเปิดประตูเข้าไปดูใหม่ก่อนจะเห็นม่านเมฆเอาสมุดภาพมาให้ม่านหมอกดู
“อย่างกับเด็กอนุบาล”
ภูวนัยเปิดประตูเข้าไปด้วยความสงสัย
“ไหนเรียนอะไรกัน”
“พ่อ”
“ไหนขอพ่อดูหน่อยซิ”
ภูวนัยเอาสมุดของม่านเมฆไปดูแล้วก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นในสมุดม่านเมฆเป็นการ์ตูนเกี่ยวกับรามเกียรติ์ ภูวนัยหันไปดูสมุดของม่านหมอกก็เห็นว่าในสมุดเธอก็ไม่ต่างกัน
“นี่มันอะไร ใครให้วาดการ์ตูนเล่น”
“ครูไผ่อยากให้เราวาดภาพดูน่ะครับ”
ภูวนัยโมโหจึงเดินเอาสมุดของม่านเมฆและม่านหมอกเข้าไปหาไผ่พญาที่นั่งหันหลังอยู่
“นี่คุณสอนอะไรลูกผม” เงียบ...ไม่มีเสียงตอบรับจากไผ่พญา “ผมถามคุณไม่ได้ยินหรือไง”
พอทุกอย่างเงียบลง จึงได้ยินเสียงกรนเบาๆ จากไผ่พญา
ภูวนัยเดินเข้าไปจึงเห็นไผ่พญานั่งหลับอยู่ ก็โกรธจัด
“นี่”
“เฮ้ย” ไผ่พญาตกใจตื่นหล่นจากเก้าอี้ “อูย” ไผ่พญามองเห็นภูวนัยก็ลุกขึ้น “มีอะไร”
ภูวนัยยื่นสมุดที่มีแต่ภาพการ์ตูนให้ไผ่พญาดู
“นี่อะไร ผมไม่ได้จ้างคุณให้มาสอนลูกผมวาดการ์ตูนอย่างนี้”
“นี่นายโกรธเรื่องอะไร ฉันไม่ได้สอนเมฆกับหมอกเขาวาดรูปซะหน่อย ฉันให้พวกเขาวาดตามจินตนาการของพวกเขาต่างหาก”
“คุณจะได้มีเวลาแอบหลับใช่มั้ย”
ไผ่พญาเถียงไม่ออก แต่แถได้
“เอ่อ ฉันลองประยุกต์การสอนแบบใหม่ต่างหาก คือนายไม่เคยเป็นหรือไง อ้ะ...อย่างเช่นเรื่องรามเกียรติ์อย่างนี้เนี่ย ใครจะไปจำได้ ตัวละครตั้งเยอะแยะ ถ้าเกิดพวกเขามีภาพตัวละครในใจ มันก็ง่ายต่อการจดจำ” ไผ่พญาหันไปขอเสียงช่วย “จริงมั้ย”
“จริงครับ ผมว่าอย่างนี้สนุกดีออก”
“ใช่ อุตส่าห์ไม่ต้องไปโรงเรียนแล้วมาเจอกันสอนแบบเดิมๆ ไม่เอาหรอก”
ไผ่พญาได้ยินที่ทั้งสองพูดอย่างนั้นก็หันกลับมาเชิดหน้าท้าทายภูวนัย
“แต่พ่อไม่เห็นด้วย สอนอย่างนี้แล้วมันจะมีความรู้ไปแข่งกับเขาได้ยังไง”
“จินตนาการสำคัญกว่าความรู้นะ ไม่เคยได้ยินเหรอ”
“แต่ถ้าใช้แต่จินตนาการอย่างเดียว เขาเรียกว่าเพ้อเจ้อ”
“งั้นฉันจะสอนแต่ความรู้ไม่ต้องมีจินตนาการ จะได้เป็นหุ่นยนต์เหมือนนายเลยดีมั้ย” ภูวนัยกับไผ่พญาต่างจ้องหน้ากันแบบไม่มีใครยอมใคร “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นถามเมฆกับหมอกก็ได้ ถ้าอยากให้ฉันสอนเหมือนตอนที่อยู่โรงเรียนก็ทำได้ หรือจะเอายังไง”
“ไม่เอาครับ เมฆจะเรียนแบบนี้สนุกดี”
“ฉันยังไงก็ได้ แต่แบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน”
ไผ่พญาจ้องหน้าภูวนัยแบบคนได้เปรียบ
“แต่ถ้านายอยากไล่ฉันออกก็ได้นะ ฉันจะได้ขึ้นไปเก็บกระเป๋าเลยดีมั้ย”
ภูวนัยกัดฟันแน่นด้วยความเจ็บใจก่อนจะเดินออกจากห้องไปทันที ไผ่พญายิ้มอย่างมีชัย
ขิงกับกระดังงาเดินเข้ามาในร้านอาหารตามสั่ง
“ไก่กระเทียมหนึ่ง กะเพราหมูหนึ่ง ไข่ดาวไม่สุกสอง” ขิงสั่งอาหารเรียบร้อยก่อนจะเดินลงมานั่งที่โต๊ะกับกระดังงา “เดี๋ยวฉันมา”
“ไปไหน”
“เมื่อกี้ฉันเห็นใบนึง สวยมาก”
“อะไร แกจะซื้อกระเป๋าใบใหม่ให้ฉันเหรอ”
“กระเป๋าไรเล่า ล๊อตเตอรี่”
กระดังงาทำหน้าเซ็ง ขิงเดินออกไป กระดังงาหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน ระหว่างนั้นชายคนนึงนั่งที่เก้าอี้ที่เป็นที่ของขิง
“โทษทีพี่ ตรงนั้นแฟนฉันนั่งแล้ว” กระดังงาบอก
“เคยเห็นผู้หญิงคนนี้มั้ย”
กระดังงาทำหน้าสงสัยก่อนจะมองรูปที่มือขวาของพายัพส่งให้ กระดังงาเห็นก็ตกใจเพราะมันคือรูปไผ่พญานั่นเอง กระดังงาจ้องมองรูปอยู่นาน
“อืม ไม่ละพี่ ไม่เคยเห็นแถวนี้เลยนะ พี่นั่งตรงนี้ก็ได้เดี๋ยวฉันย้ายเอง”
ขณะที่กระดังงากำลังจะย้าย ขิงก็เดินบ่นอุบเข้ามาในร้าน
“ไรวะ เผลอแป็ปเดียวไปซะละ” ขิงหันมาเห็นกระดังงานั่งกับผู้ชาย “อ้าวเฮ้ย” ขิงปรี่เข้าไปหาชายคนนั้นทันที “ไม่รู้หรือไงว่ะว่าเขามีแฟนแล้ว”
กระดังงาพยายามตะโกนแบบกระซิบ
“ไอ้ขิง”
“ไร อ๋อ...นี่แกไม่บอกใช่มั้ยว่ามีแฟนแล้ว”
ขิงปรี่จะเข้าไปเอาเรื่อง มือขวาพายัพลุกขึ้นยืนมองนิ่งๆ กระดังงารีบดึงขิงเอาไว้
“ไอ้บ้านี่ มานี่”
กระดังงาจะดึงขิงออกจากร้าน แต่แล้วเธอก็ต้องชะงักเมื่อเห็นพวกของมือขวาพายัพเดินมาปิดหน้าร้าน
ขิงหันไปเห็นคนปิดหน้าร้านก็ชักใจสั่น ลูกค้าและเจ้าของร้านต่างวิ่งหนีออกจากร้านเหมือนรู้ว่ากำลังจะเกิดเรื่อง ขิงรีบกลับลำทันที
“เอ่อ บางทีมันอาจเป็นการเข้าใจผิดกันก็ได้ โอ๊ย อิ่มจัง เรากลับกันเถอะจ้ะที่รัก”
ขิงพากระดังงาจะเดินฝ่าเหล่าสมุนของพายัพออกไป แต่แล้วขิงก็ต้องชะงักเพราะพายัพเดินแหวกลูกน้องออกมา ขิงกับกระดังงาเห็นก็แทบเข่าอ่อน
“หวัดดีครับพี่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”
พายัพหันไปส่งสัญญาณให้ลูกน้อง ลูกน้องต่างเข้าไปจับขิงคว่ำหน้าลงที่โต๊ะส่วนอีกคนก็เข้าไปจับกระดังงา
“กูจะถามมึงอีกทีว่า...” พายัพเอารูปไผ่พญาให้ดู “เพื่อนมึงอยู่ไหน”
“พี่ ผมไม่รู้จริงๆ ตั้งแต่ไอ้ไผ่มันหนีไป มันก็ไม่ได้ติดต่อกลับมาอีกเลย”
พายัพยิ้ม แต่ทันใดนั้นพายัพก็หันไปคว้าส้อมก่อนจะแทงลงทันที กระดังงาร้องเสียงหลง ส้อมเสียบอยู่กับโต๊ะ เฉียดปลายจมูกของขิงไปไม่ถึงเซ็นต์
“กูให้เวลามึงสามวัน ไปหามาว่าเพื่อนมึงอยู่ที่ไหน คงไม่ต้องบอกนะว่าถ้าไม่เจอพวกมึงจะเป็นยังไง”
พายัพพูดอย่างเลือดเย็นก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับลูกน้อง กระดังงารีบเข้ามาดูขิง ทั้งสองกอดกันด้วยความกลัว
ที่หน่วยปราบปรามยาเสพติด มารุตกำลังอ่านแฟ้มด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ชาติกล้ายืนอยู่อีกด้านนึงของโต๊ะ
มารุตปิดแฟ้มวางบนโต๊ะเสียงดัง
“ทำไมไม่มีอะไรคืบหน้า ทั้งรถ ทั้งปืน คุณหาข้อมูลมาได้แค่นี้เองเหรอ”
“เอ่อ ตอนนี้เราทำเต็มที่แล้วครับ แต่เหมือนพวกมันจะตัดทุกอย่างที่สาวไปถึงพวกมันได้”
“ผมให้เวลาคุณอีกหนึ่งเดือน เราต้องรู้ให้ได้ว่าใครเป็นคนฆ่าคุณนายหยาดฟ้า”
มารุตหน้าเครียด ชาติกล้าสังเกตก่อนจะสงสัยบางอย่าง
“ดูผู้กำกับอยากปิดคดีนี้ให้เร็วเป็นพิเศษนะครับ”
มารุตได้ยินคำพูดของชาติกล้าก็ชะงักไป
“เอ่อ แน่นอน คดีที่ฆ่าคนอุกอาจกลางเมืองอย่างนี้ ถ้าไม่รีบทำความจริงให้กระจ่าง สังคมจะมองตำรวจเรายังไง”
“ผู้กำกับเลยต้องลงไปขอหลักฐานเองเลยเหรอครับ”
“ว่าไงนะ”
“คือ พอดีผมเข้าไปดูหลักฐานของคุณนายหยาดฟ้าที่ห้องเก็บหลักฐานอีกครั้ง เห็นเจ้าหน้าที่บอกว่าท่านลงมาหาหลักฐานบางอย่าง”
ชาติกล้าพูดจบก็แอบสังเกตเห็นมารุตมือสั่นจนทำปากกาที่ถือเอาไว้ตก
“คือ ก็อย่างที่บอกแหละ ผมเห็นว่าคดีมันไม่คืบซะที ผมเองก็ร้อนใจเลยต้องทำอย่างนั้น”
ชาติกล้าสังเกตได้ว่ามารุตหลบตาไม่กล้าสู้ ความสงสัยชักทวีความรุนแรง
“ถ้าไม่มีอะไร ผมขอตัวไปทำงานครับ”
“เชิญ”
ชาติกล้าทำความเคารพ ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้อง
มารุตมองตามด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร
อีกด้านหนึ่ง ราชัยกำลังจับกลุ่มคุยกับตำรวจคนอื่นๆ
“แกว่าผู้กำกับเรียกหัวหน้าเข้าไปคุยเรื่องอะไรวะ หรือว่าจะมีการเปลี่ยนหัวหน้าหน่วยเราอีก”
“ไม่หรอกมั้ง มีผลงานอย่างนี้ ไม่มีเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนซักหน่อย”
“นั่นน่ะมันใช่ แต่ฉันอยากออกไปจับพวกมันแบบตอนที่หมวดภูอยู่วะ หรือแกว่าไงวะ”
ราชัยหันไปถามวีระที่กำลังยกถ้วยบะหมี่ขึ้นซดจนหมดหยดสุดท้าย
“เห็นมั้ยนี่อะไร”
“อะไร ก็มาม่าซิวะ”
“ผิด นี่คือเงินภาษีของพี่น้องประชาชนของเรา เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเราต้องทำให้คุ้มค่า” วีระเลียช้อนอีกที “แผล๊บบบ”
“ไอ้ตะกละ ฉันถามเรื่องหมวดภูกับหมวดชาติ ว่าแกชอบการทำงานแบบไหนมากกว่า”
“เอ้า ก็บอกแล้วไงว่าฉันยังไงก็ได้ขอให้ทำงานคุ้มค่าภาษีประชาชนก็พอ”
“ไอ้นี่ น่าจะเป็นสส.มากกว่านะ”
“แต่จะว่าไปฉันก็คิดถึงหมวดภูเหมือนกัน ตอนทำงานกับแกมันส์เป็นบ้า”
ชาติกล้ายืนแอบฟังสิ่งที่ทุกคนคุยกันอยู่มุมหนึ่งด้วยความรู้สึกน้อยใจเล็กๆ
ส่วนที่รีสอร์ตเสกสรร พรรณรายกำลังลองรองเท้าอยู่หน้ากระจกด้วยอาการหงุดหงิด มีพนักงานนั่งอยู่แทบเท้าคอยเปลี่ยนรองเท้าให้พรรณราย พรรณรายใส่รองเท้าส้นสูงแล้วบิดซ้ายบิดขวาดูก่อนจะหันไปบอกกับพนักงาน
“เปลี่ยน” พนักงานหญิงคนนั้นต้องถอดรองเท้าจากเท้าพรรณรายก่อนจะหยิบคู่ใหม่มาให้พรรณรายลอง พรรณรายส่องซ้ายส่องขวาเหมือนเดิม แต่ก็ยังไม่ถูกใจ “เปลี่ยน” พนักงานคนนั้นหันไปหยิบรองเท้าส้นสูงอีกคู่มาเปลี่ยนให้ พรรณรายเห็นส้นสูงที่พนักงานหยิบมาก็ดึงเท้าหนี “นี่ จะหยิบอะไรน่ะ หัดดูซะบ้างนะว่ามันเข้ากับชุดที่ฉันใส่มั้ย”
“เอ่อ ถ้าอย่างนั้นก็หมดแล้วนะคะคุณพรรณ”
“หมดอะไร ฉันมีรองเท้าเป็นร้อยคู่ ไปหยิบมาใหม่”
“แต่คุณพรรณลองหมดทุกคู่แล้วคะ”
“ฉันบอกให้ไปหยิบก็ไปหยิบมา”
พรรณรายถอดรองเท้าคู่นั้นปาไปที่ประตู เป็นจังหวะเดียวกับที่เสกสรรเปิดประตูเข้ามา เสกสรรถึงกับหลบรองเท้าส้นสูงของพรรณรายที่ลอยมาแทบไม่ทัน
“เฮ้ย อะไรกัน”
พนักงานคนนั้นรีบก้มหัวงุดผ่านเสกสรรออกไปเพื่อไปหยิบรองเท้าให้กับพรรณรายใหม่ เสกสรรเดินเข้ามาหาพรรณรายที่กำลังหงุดหงิด
“เป็นไร เมื่อวานไปหาไอ้ภูมาไม่ใช่เหรอ แกน่าจะอารมณ์ดีนะ”
“ภูเขาเห็นคนอื่นดีกว่าพั้นซ์ แล้วพ่อจะให้พั้นซ์อารมณ์ดีเหรอคะ”
“ใคร ไอ้เด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่สองคนนั่นน่ะเหรอ”
“อันนั่นก็ด้วยคะ แต่คนที่น่าเจ็บใจที่สุดก็คือนังครูนั่น ภูนะภู มันเป็นแค่ครู เห็นมันดีกว่าพั้นซ์ได้ยังไง”
“ไอ้ครูที่มันจ้างมาสอนไอ้เด็กเหลือขอพวกนั่นน่ะเหรอ ดูไม่มีอะไรเลยนี่”
“ก็นั่นซิคะ มันดูถูกพั้นซ์แทนที่ภูจะไล่มันออกกลับให้มันอยู่ต่อ”
“บ้ะ ทำอย่างนี้ได้ยังไงอย่างนี้ก็เท่ากับว่ามันดูถูกลูกสาวพ่อ ให้พ่อเอาคนงานไปถล่มฟาร์มมันเลยมั้ย”
“พ่อจะทำอะไร นั่นภูนะ”
“แต่มันดูถูกแก”
“พ่อไม่ต้องทำอะไรเลย พั้นซ์จัดการของพั้นซ์เองได้”
พรรณรายลุกเดินออกไป เสกสรรเจ็บใจแทนลูกสาว ระหว่างนั้นสมหมายวิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“นายครับนาย”
“อะไร”
“หมูจากฟาร์มมันหลุดมาอีกแล้วครับ”
เสกสรรหรี่ตาร้ายอย่างมีแผน
ที่ฟาร์มสุข ทุกคนนั่งทานข้าวอยู่ที่โต๊ะทานข้าว เผ่าพงศ์ถามม่านเมฆกับม่านหมอก
“เป็นไง เรียนวันแรกดีมั้ย”
“หนุกมากเลยปู่ ครูไผ่สอนให้เมฆคิดทุกอย่างเป็นภาพแล้วก็วาดมันออกมา”
“อ้าวเหรอ ก็ดีซิแล้วเราละหมอกชอบมั้ย”
ม่านหมอกนั่งทานข้าวเงียบๆ คนเดียวก็พยักหน้าแทนคำตอบ ไผ่พญาอมยิ้มก่อนจะหันมาเจอภูวนัยนั่งหน้าบึ้งอยู่
“แต่ผมว่าเรียนเป็นภาพอย่างนี้ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่”
“แล้วนายเอาอะไรมาเทียบว่าเหมาะหรือไม่เหมาะ”
“เอาผลเอ็นทรานซ์ไง อย่างม่านหมอกอีกไม่นานก็เอ็นแล้ว แล้วข้อสอบก็ไม่ได้ออกเป็นภาพ ถ้าเอ็นไม่ติดคุณจะรับผิดชอบยังไง”
“แล้วถ้าติดละ คุณจะรับผิดชอบยังไง”
“เถียงคำไม่ตกฟาก”
“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอที่คอยให้นายออกคำสั่ง”
ภูวนัยชะงัก ไผ่พญาทำหน้านิ่งกินข้าวไม่สนใจ ภูวนัยหมั่นเขี้ยวไผ่พญาเลยเอาช้อนไปตักกับของไผ่พญามาใส่ไว้ในจานตัวเอง ไผ่พญางง คนอื่นก็งงที่ภูวนัยทำอย่างนั้น
“อ๋อ ครูไผ่เขาถนัดเรื่องนึกเป็นภาพไง” ภูวนัยบอก “งั้นคุณก็กินข้าวแล้วนึกภาพกับข้าวไปด้วยแล้วกัน” ไผ่พญาอึ้งที่ภูวนัยเล่นอย่างนี้ แล้วภูวนัยก็เหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้อีก ก่อนจะเข้าไปหยิบจานข้าวของไผ่พญาออก
“เอ ถ้านึกขนาดนั้นได้ งั้นคุณนึกภาพข้าวด้วยแล้วกัน มื้อต่อไปเดี๋ยวผมจะบอกป้าษาว่าคุณไม่ต้องทานข้าวเพราะใช้แค่จินตนาการก็อิ่มแล้ว” ไผ่พญาเหลืออดเลยกระทืบไปที่เท้าของภูวนัยที่อยู่ใต้โต๊ะ “โอ๊ย”
“อุ้ย เป็นอะไรเหรอคะ” ไผ่พญาแกล้งถาม
“แล้วคุณทำอะไรละ”
“เปล่าเลย ฉันแค่นึกเป็นภาพเล่นๆ ว่าฉันกำลังเหยียบเท้าคุณ หรือว่าคุณเจ็บจริงๆ โห...เห็นมั้ยว่าการนึกเป็นภาพนี่มันดีจริงๆ”
ภูวนัยมองไผ่พญาด้วยความหมั่นไส้ ระหว่างนั้นพรรษาเดินเข้ามา
“คุณภูคะ มีแขกมาขอพบคุณภูคะ”
“ใครครับป้า”
เสียงชาติกล้าดังขึ้น
“ฉันเอง”
ทุกคนหันไปก็เห็นชาติกล้าเดินเข้ามาพร้อมกับถุงโดนัท
“ไอ้ชาติ”
“สวัสดีครับคุณลุง ไงเมฆ หมอก จำอาได้มั้ย”
“จำได้ครับ”
ชาติกล้าอมยิ้มก่อนจะหันไปเห็นไผ่พญา
“คุณคือ...”
“เอ่อ ฉันชื่อไผ่เป็นครูของเมฆกับหมอกคะ”
ภูวนัยเข้ามาหาชาติกล้าด้วยความแปลกใจ
“ชาติมาถึงนี้ มีอะไรวะ”
ชาติกล้ามองภูวนัยด้วยสีหน้าเครียด
ภูวนัยรู้ได้ทันทีว่าต้องมีเรื่องบางอย่าง
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 5 (ต่อ)
ภูวนัยกับชาติกล้าคุยกันที่มุมหนึ่ง
“แกคงไม่ได้เพราะโกรธฉันเรื่องวันนั้นนะ”
ไผ่พญาแอบสังเกตการณ์ภูวนัยกับชาติกล้าอยู่ที่มุมหนึ่ง ชาติกล้าหันมายิ้มน้อยๆ อารมณ์ไม่ใส่ใจ
“ไม่หรอก ฉันต้องขอบใจแกต่างหากที่พยายามช่วย แต่ที่ฉันมาเพราะเรื่องคดี”
“คดี”
“แกเคยสงสัยมั้ยว่าทำไม เราถึงจับพวกสมสุขไม่ได้ซักที”
ไผ่พญาแอบดูอยู่ที่มุมหนึ่งแต่ไม่ได้ยินที่ภูวนัยกับชาติกล้าคุยกัน ระหว่างนั้นม่านเมฆเข้ามายืนข้างๆ ไผ่พญาเห็นก็ตกใจ
“อุ้ย”
“แอบฟังอะไรเหรอครู”
“เปล่าแอบฟังอะไร เอ่อ...คนนั้นใครเหรอ”
“น้าชาติ เพื่อนพ่อภูน่ะครับ”
ชาติกล้ามองหน้าภูวนัย ภูวนัยไม่เข้าใจในคำถามของชาติกล้า
“แกกำลังจะบอกอะไรฉัน”
“ฉันสงสัยว่าจะมีพวกมันในหน่วยของเรา”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็นิ่งไป แต่ไม่เกินความคาดหมาย
“แล้วแกสงสัยใคร”
ชาติกล้ากำลังจะบอก แต่เสียงของเสกสรรดังขึ้น
“เฮ้ย ไม่มีใครอยู่เลยหรือไง”
ภูวนัยหันมองไปทางเสียง เช่นเดียวกับไผ่พญา
เสกสรรยืนอยู่กับสมหมายโวยวายอยู่หน้าบ้าน
“ไปไหนกันหมด มีคนมาหา...วู้”
ภูวนัยเดินออกมากับชาติกล้า
“มีอะไรครับคุณเสกสรร”
“เฮ้ย มันต้องมีอยู่แล้ว ไม่งั้นฉันไม่มาเหยียบให้ความซวยมันติดเท้ากลับไปหรอกเว้ย”
ไผ่พญาออกมากับม่านเมฆ
“มีอะไรกันเหรอ”
“ไม่มีอะไรหรอก พาม่านเมฆเข้าบ้านไปเถอะ” ภูวนัยบอกไผ่พญา เสกสรรขัดขึ้น
“อ้ะๆ เดี๋ยวก่อน” เสกสรรเดินเข้ามามองไผ่พญา “หน้าตาก็ไม่เท่าไหร่ หุ่นก็งั้นๆ แล้วทำไมแกถึงเลือกเข้าข้างนังครูนี่มากกว่าลูกสาวฉัน”
“คุณจะมาเพราะเรื่องนี้ใช่มั้ย”
เสกสรรไม่สนใจ มองหน้าภูวนัยกับไผ่พญา
“หรือว่า ได้กันแล้ว”
ภูวนัยกับไผ่พญาได้ยินต่างก็ตกใจ ม่านเมฆหันไปถามไผ่พญางงๆ
“ได้อะไรกันเหรอครูไผ่”
“ไม่มีอะไรจ้ะ อย่าไปฟังเลยนะ”
ภูวนัยเริ่มหมดความอดทน
“คุณเสกสรร ถ้าคุณจะมาพูดเรื่องนี้ผมว่าคุณกลับไปดีกว่า”
“หึ เปล่า...ฉันไม่ได้มาเพราะเรื่องนี้หรอก ฉันเอาหมูจากฟาร์มแกที่เสล่อไปเที่ยวรีสอร์ทฉันมาคืนน่ะ ไอ้หมาย”
สมหมายถือจานเปลเข้ามาหาเสกสรร เสกสรรค่อยๆ เปิดฝาครอบออก ภูวนัยอึ้งไปเพราะบนจานเปลคือหมูหันตัวน้อย
“มันจะมากไปแล้วนะคุณเสกสรร”
“เอ้า มากไปเหรอ แบ่งให้ฉันเอากลับบ้านก็ได้นะ”
เสกสรรยิ้มกวนๆ ภูวนัยถึงกับปรี่เข้าไปจะเอาเรื่อง ชาติกล้าต้องรีบดึงเอาไว้
“ไม่เอาน่าภู ใจเย็นๆ”
“ทำไม ทำไม คิดว่าเป็นตำรวจแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือไง”
ไผ่พญาได้ยินคำว่าตำรวจก็สะดุ้งก่อนจะหันไปถามม่านเมฆ
“ตำรวจ หมอนั่นว่าใครเป็นตำรวจเหรอเมฆ”
“ก็พ่อภูกับน้าชาติไงครับ อ้าว...ครูไผ่ไม่รู้เหรอครับว่าพ่อภูเป็นตำรวจ”
“ห๊า”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าตะรางจะอยู่ใกล้แค่ปลายจมูกเธอเท่านี้เอง เสกสรรยังท้าทายไม่เลิก
“ตำรวจน่ะเขาต้องเป็นที่พึ่งประชาชน ไม่ใช่มารังแกประชาชนอย่างนี้” เสกสรรหันไปทางชาติกล้า “เป็นตำรวจเหมือนกันใช่มั้ย อย่างหมูของเขาหลุดมาในรีสอร์ตผม อย่างนี้จะแจ้งข้อหาอะไรได้บ้างครับ”
“คงไม่ได้หรอกครับ แต่เขาจะแจ้งคุณในข้อหาที่คุณทำลายทรัพย์สินของเขาได้”
“อ้าว อย่างนี้มันเข้าข้างกันนี่หว่า”
“ผมไม่ได้เข้าข้างใคร คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อผมก็ได้สถานีตำรวจก็อยู่จากที่นี่ไม่ไกลจะไปเลยมั้ย” ชาติกล้าหันไปทางภูวนัย “เดี๋ยวฉันเป็นพยานให้แก”
เสกสรรถึงกับสะอึก
“ไม่จริง พวกแกแกล้งฉัน ฉันจะร้องเรียนผู้ตรวจการแผ่นดิน ปปช ปปส กกต อะไรอีกวะ เอาเป็นว่าฉันจะร้องเรียนทุกองค์กรให้ตรวจสอบพวกแก”
“ผมจะบอกอะไรไว้อย่างนะครับ ตอนนี้คุณอยู่ในที่ของเพื่อนผม ถ้าเกิดเพื่อนทำอะไรลงไป คุณก็เอาผิดไม่ได้เพราะคุณเป็นฝ่ายบุกรุกเข้ามา”
เสกสรรเริ่มกลัวค่อยๆ ถอยอย่างไว้เชิง
“ไอ้ ไอ้ พวกตำรวจหางแถว ฝากไว้ก่อนเถอะ”
เสกสรรรีบเดินออกไปพร้อมกับสมหมาย ภูวนัยหันมาขอบใจชาติกล้า
“ขอบใจมาก ถ้าแกไม่ห้ามไว้ป่านนี้คงเป็นเรื่องเป็นราวอีก”
“แกทนให้มันมาหาเรื่องได้ยังไง ผิดกับนิสัยแกเลยนี่หว่า” ชาติกล้ามองนาฬิกา “ฉันต้องกลับก่อน ส่วนเรื่องที่เราคุยกันไว้ ฉันอยากให้แกไปที่กรุงเทพฯ แล้วฉันจะเอาบางอย่างให้แกดู”
ภูวนัยพยักหน้ารับ ชาติกล้าตบไหล่ภูวนัยก่อนจะเดินออกไป ภูวนัยหันหลังจะเดินเข้าบ้านแต่เห็นม่านเมฆยืนอยู่
“อ้าว แล้วครูไผ่ละ”
ม่านเมฆหันมองไปรอบๆ ก็ต้องแปลกใจเหมือนกัน
“เมื่อกี้ยังยืนอยู่ตรงนี้เลยนี่ครับ”
ภูวนัยแปลกใจมาก
ไผ่พญารีบเดินจ้ำอ้าวเข้ามาในบ้าน ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความระวัง เพราะไผ่พญาไม่อยากเจอใคร ระหว่างนั้นไผ่พญาได้ยินเสียงคนเดินมา
ด้วยความหวาดระแวงทำให้ไผ่พญารีบหันซ้ายหันขวาหาที่ซ่อน ไผ่พญาตัดสินใจผลุบหายเข้าไปในประตูที่อยู่ตรงหน้าทันที ไผ่พญารีบปิดประตูแล้วทำตัวให้เงียบที่สุด หูก็พยายามแนบประตูเพื่อฟังความเคลื่อนไหว
ด้านนอก ภูวนัยเดินเข้ามาแล้วเจอกับพรรษาที่เดินมาพอดี
“คุณเสกสรรกลับไปแล้วเหรอคะ”
“ครับ” พรรษาถอนหายใจ
“คุณภูไม่คิดจะทำอะไรเหรอคะ ไม่อย่างนั้นก็จะเกิดเรื่องอย่างนี้อยู่ตลอด”
“พรุ่งนี้ ผมคงให้ผจญดูรั้วทั้งหมดในฟาร์ม ตอนนี้เราคงทำได้เท่านี้แหละครับ”
“แล้วคุณชาติละคะ กลับไปแล้วเหรอคะ”
“ครับ”
“เสียดายนะคะ ป้าไม่ได้เจอตั้งนานน่าจะอยู่คุยกันซะหน่อย” พรรษายิ้มให้แล้วพูดตัดบท “เดี๋ยวป้าขอเอายาไปให้คุณเผ่าก่อนนะคะ”
“ครับ”
ภายในห้อง ไผ่พญาที่แอบฟังอยู่ก็โล่งอกที่ภูวนัยกับพรรษากำลังจะไปจึงหันหน้ามาพิงประตูอย่างโล่งอก แต่แล้วไผ่พญาก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อเห็นรูปเท่าขนาดตัวจริงๆ ของภูวนัยในชุดตำรวจตั้งอยู่กลางห้อง เพราะห้องที่ไผ่พญาเข้าไปหลบเป็นห้องเก็บของนั่นเอง
“เฮ้ย”
ภูวนัยกำลังจะเดินออกไปก็ชะงักก่อนจะหันมองไปทางห้องเก็บของ ภูวนัยเดินเข้ามาในห้องเก็บของแล้วเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ที่หน้ารูปของตัวเองที่ตั้งอยู่กลางห้อง ไผ่พญาแอบอยู่หลังรูปพยายามหายใจให้เบาที่สุด ภูวนัยยืนดูรูปอยู่ครู่นึงจึงหันหลังเดินไปปิดไฟ แล้วออกจากห้องไป ไผ่พญาถึงกับพ่นลมหายใจออกมาทันที
“เว้ย หัวใจจะหยุดเต้น”
ไผ่พญาหันไปมองรูปภูวนัย แล้วค่อยๆ มองไปรอบๆ จึงเห็นรูปและประกาศนียบัตรต่างๆ ของภูวนัยที่เกี่ยวกับราชการตำรวจวางอยู่ในห้อง ไผ่พญาพูดกับรูปของภูวนัย
“ถึงว่านายกับฉันมันไม่ถูกชะตากันจริงๆ”
คืนนั้นไผ่พญาเดินเป็นหนูติดจั่นอยู่ภายในห้องนอน
“ทำไงดีๆ ไอ้ไผ่เอ๊ยไอ้ไผ่ ทำไมถึงได้ซวยอย่างนี้วะ คิดเร็วคิดเอาไงๆ” ไผ่พญามองไปที่กระเป๋าเสื้อผ้าก่อนจะตัดสินใจ “เอาวะ”
คืนเดียวกันนั้นที่ดิออร์แกน ลำไยร้องออกมาด้วยความดีใจ
“ป๊อกเก้า สองเด้ง” ลำไยกำลังตั้งวงไพ่อยู่ในครัวมีพนักงานและเหล่าโคโยตี้ล้อมวงเล่นด้วย ลำไยรวบเงินอย่างมีความสุข “โอ๊ย ให้มันได้อย่างนี้ซิ สงสัยเจ้าที่ที่นี่จะอยู่ข้างข้าวะ ตั้งแต่มาอยู่นี่มือขึ้นตลอด”
ลำไยกำลังสับไพ่จะแจกต่อ ระหว่างนั้นขิงกับกระดังงาวิ่งเข้ามา
“แม่ ไปเร็ว”
ขิงกับกระดังงาเข้าไปดึงลำไย ลำไยโวยขึ้น
“อะไรของพวกเอ็งวะ”
“เดี๋ยวฉันค่อยเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้เราต้องรีบหนีแล้ว”
“ทำไม มีอะไร” ขิงกับกระดังงารีบดึงลำไยไปอีกมุมหนึ่ง ลำไยรีบถามด้วยความร้อนใจ “มีอะไรก็รีบๆ พูดซิวะคนกำลังเฮง”
“แม่จำไอ้พวกที่ไปอาละวาดที่บ้านจนแม่ต้องมาอยู่นี่ได้มั้ย”
“ทำไม”
“มันจะฆ่าพวกเราถ้าเราไม่เอาไอ้ไผ่ไปให้มัน”
“เฮ้ย แล้วจะทำยังไงละ”
“ทางเดียวที่พวกเราจะรอดได้ก็คือต้องหาตัวไอ้ไผ่ไปให้มัน แล้วแม่รู้มั้ยว่าไอ้ไผ่มันอยู่ไหน”
“ไม่รู้เว้ย ไอ้ลูกเวรนี่ก็ไม่เคยโทรมาเลย”
“ก็นั่นไงแม่ ในเมื่อทางเลือกแรกเราไม่ได้ เพราะอย่างนั้นก็เหลือทางเลือกสุดท้าย ไปเถอะแม่พวกมันฆ่าเราจริงๆ นะ”
ลำไยหน้าเครียดก่อนจะหันมาบอกกับขิงและกระดังงา
“ไม่”
“งั้นแม่ไปเก็บของเลยนะ อะไรนะ แม่ไม่หนีเหรอ”
“เออ แกคิดว่าจะหนีพวกมันพ้นหรือไง ยังไงพวกมันก็หาเจออยู่ดี ดีไม่ดีนะอยู่ที่นี่อาจจะรอดก็ได้”
“ทำไม แม่มีแผนอะไรเหรอ”
“แผนอะไรเล่า ข้าหมายถึงเจ้าที่ที่นี่อยู่ข้างข้าเว้ย แกคิดดูซิตั้งแต่มาอยู่นี่ข้าไม่เคยเสียเลยซักวัน ที่พวกเอ็งจะบอกมีแค่นี้ใช่มั้ยข้าจะได้ไปเล่นต่อ” ลำไยเดินไปเลย “เอ้าๆ มาแล้ว แจกๆ”
ขิงกับกระดังงามองหน้ากันอย่างเหนื่อยใจ
ภูวนัยยืนอยู่ริมหน้าต่าง ครุ่นคิดสิ่งที่ชาติกล้าบอกกับเขา
“ฉันสงสัยว่าจะมีพวกมันในหน่วยของเรา”
ภูวนัยเริ่มมีความหวัง
ไผ่พญาค่อยๆ ย่องมาจากบนบ้านอย่างเงียบกริบ ไผ่พญากำลังจะย่องไปหน้าบ้านแต่แล้วไผ่พญาก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ ไผ่พญาเข้ามาในครัวรวบรวมของกินในตู้เย็นยัดใส่ลงกระเป๋า
“บทเรียนมีแล้วต้องรู้จักจำ อย่างนี้คงประหยัดไปได้หลายวัน”
ไผ่พญาค่อยๆ ย่องเข้ามากำลังจะผ่านห้องรับแขก ไผ่พญากำลังจะย่องผ่านไปทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์บ้านที่อยู่ตรงหน้าก็ดังขึ้น กริ๊งงงงง
“เฮ้ย”
ด้วยความตกใจไผ่พญารีบยกหูขึ้นก่อนจะวางลง ไผ่พญาเป่าปากโล่งอกแต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก ไผ่พญารีบรับ
“นี่ ไม่รู้จักเวล่ำเวลาหรือไง นี่มันกี่โมงแล้ว” แล้วไผ่พญาก็ต้องอึ้งไป “ไอ้งา”
กระดังงากับขิงแอบมาโทรศัพท์อยู่ที่มุมหนึ่งของดิออร์แกน กระดังงาดีใจมากที่โทรมาเจอไผ่พญา
“ไอ้ไผ่ ไอ้ไผ่” กระดังงาหันไปบอกกับขิง “เห็นมั้ยว่านี่มันเบอร์ไอ้ไผ่จริงๆ”
ขิงคว้าโทรศัพท์มาคุยเอง
“เอามานี่ ฉันคุยเอง ไอ้ไผ่แกอยู่ไหนวะ”
ไผ่พญาทำเสียงกระซิบกระซาบ
“แกจะรู้ไปทำไม แล้วนี่ใครให้แกโทรมา”
“ไอ้ไผ่ แกรู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่”
“ทำไม มีอะไรหรือไง”
“จะมีอะไร ก็ไอ้คนที่ฆ่าเสี่ยสมสุขมันมาตามหาแกน่ะซิ”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจ
“ห๊า แล้ว แกบอกมันว่ายังไง” ขิงชะงักไป
“จะให้ฉันบอกอะไรวะ ก็ฉันไม่รู้นี่ว่าแกอยู่ไหน”
ไผ่พญาโล่งอก
“ดีแล้ว ถ้ามันมาถามแกอีก แกก็บอกเหมือนเดิมนั่นแหละ”
“จะบ้าเหรอไง มันบอกว่าถ้าภายในสามวันแกไม่ไปหามันละก็...” ขิงหันมองกระดังงา กระดังงาพยักหน้าให้ขิงพูดเว่อร์เข้าไว้ “มันจะฆ่าแม่แก”
ไผ่พญาถึงกับเข่าอ่อน “แม่”
กระดังงาพยายามโทร.กลับไป แต่ก็สายไม่ว่างเพราะไผ่พญามืออ่อนจนทำโทรศัพท์ร่วง
“โทร.ไม่ติดแล้ว”
“แล้วไอ้ไผ่มันว่าไง มันจะกลับมามั้ย”
“ฉันว่าต้องกลับ เห็นไอ้ไผ่มันอย่างนั้นก็เถอะ แต่มันรักแม่มันที่สุด”
“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้นละวะ”
ขิงกับกระดังงาต่างเศร้าใจที่เวลากระชั้นชิดเข้ามาทุกขณะ
ไผ่พญากำลังคิดหาทางที่จะกลับกรุงเทพฯให้เร็วที่สุดระหว่างนั้นเสียงภูวนัยดังขึ้น
“ดึกแล้วคุณลงมาทำอะไร”
ไผ่พญาใจหายวาบ ก่อนจะหันไปเห็นภูวนัยยืนอยู่แล้วความเจ้าเล่ห์ของไผ่พญาก็ทำงานทันที
“แม่ แม่ฉัน”
ภูวนัยเห็นไผ่พญาเศร้าก็เปลี่ยนท่าที
“แม่คุณเป็นอะไร”
“แม่ฉันตายแล้ว” ไผ่พญาพูดจบถึงกับร้องไห้ฟูมฟาย “แม่ ฮือๆ”
ภูวนัยอึ้งไป
“เอ่อ ผมเสียใจด้วย”
ไผ่พญาเห็นท่าทีของภูวนัยอ่อนลงจึงรีบรุก
“ฉัน ฉันขอยืมรถหน่อยได้มั้ย ฉันอยากกลับไปกราบศพแม่ให้เร็วที่สุด”
ภูวนัยมองไผ่พญาอย่างเห็นใจ
“เดี๋ยวผมขับไปส่งคุณเอง”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป
“เอ่อ...ไม่...ไม่เป็นไร”
“ผมว่าสภาพคุณตอนนี้ไม่ควรขับรถ”
“ถ้าอย่างนั้นนายขับไปส่งฉันที่ท่ารถก็ได้ เดี๋ยวฉันกลับกรุงเทพฯเอง”
“คุณจะไปขึ้นรถทัวร์ให้เสียเวลาทำไม เดี๋ยวผมขับไปส่งคุณเอง”
ไผ่พญาถึงกับอ้าปากค้าง
วันต่อมาพรรณรายถึงกับปรี้ดแตกเมื่อรู้ว่าเสกสรรไปหาเรื่องภูวนัย
“เมื่อคืนพ่อไปหาเรื่องภูมาเหรอคะ”
เสกสรรทักทายแขกด้วยหน้าที่ยิ้มแย้มก่อนจะหันมาบอกกับพรรณราย
“หาเรื่องอะไร เขาเรียกว่าไปทวงความยุติธรรมต่างหาก”
“พ่อ พั้นซ์บอกแล้วใช่มั้ยว่าเรื่องนี้พั้นซ์จัดการเอง”
“แกจะจัดการอะไรได้ เจอหน้ามันก็แทบจะคลานเข้าไปก้มกราบราวกับมันเป็นเทวดา”
“แต่ภูเขาคือสามีในอนาคตของพั้นซ์นะพ่อ”
“แต่มันเป็นศัตรูของฉันในปัจจุบัน แล้วก็จะเป็นต่อไปในอนาคตถ้ามันไม่ย้ายฟาร์มหมูมันออกไป”
“พ่อต่างหากต้องย้ายออกไป พ่อมาสร้างรีสอร์ตบ้านี่ทีหลังแล้วจะให้คนที่มาอยู่ก่อนย้ายออกไปได้ไง”
“เรื่องอย่างนี้ไม่มีก่อนหรือหลัง มันอยู่ที่ใครดีใครได้ต่างหาก”
“พ่อก็ลองดู ยังไงหนูก็ไม่มีทางให้พ่อทำอะไรภูเด็ดขาด”
พรรณรายพูดเสร็จก็เดินกระทืบเท้าออกไป
“อ้าว นี่แกเป็นลูกฉันจริงหรือเปล่าวะ”
ม่านเมฆกำลังวาดรูปอยู่ในห้องรับแขก ระหว่างนั้นเห็นพรรณรายเดินกรีดกรายร้องหาภูวนัยเข้ามา
“ภู ภูคะ” ม่านเมฆเงยหน้าขึ้นก็เห็นพรรณรายเดินถือกระเช้าผลไม้เข้ามา “อ้าว สวัสดีจ้ะเมฆ ทำอะไรอยู่น่ะ” พรรณรายมองรูปที่วาด “นี่วาดสัตว์ประหลาดเหรอ”
ม่านเมฆมองพรรณรายตาเขียว
“นี่พ่อผม”
“ต๊าย นี่คนเหรอเนี่ย” พรรณรายหันมองแล้วเห็นม่านเมฆโกรธ “เอ่อ สวยดีจ้ะ”
เสียงพรรษาดังขึ้น
“คุณพรรณราย”
“สวัสดีคะคุณป้า พั้นซ์เอาองุ่นมาฝาก ไม่ต้องห่วงนะคะองุ่นที่รีสอร์ตของพั้นซ์ปลอดภัยแล้วก็อร่อยด้วยคะ”
“ขอบคุณนะคะ แต่คุณภูไม่อยู่นะคะ”
พรรณรายได้ยินอย่างนั้น ไอ้สิ่งที่แอ๊บมาทั้งหมดก็หลุดทันที
“ไม่อยู่ ภูไปไหน”
เสียงของม่านหมอกดังขึ้น
“ไม่รู้ว่าไปไหน แต่เขาไปกับครูไผ่”
พรรณรายหันไปก็เห็นม่านหมอกเดินเข้ามา
“อะไรนะ”
“เมฆ เรารู้มั้ยว่าครูไผ่ไปไหน” ม่านหมอกถามน้องชาย
“เข้ากรุงเทพฯ”
“อ๋อ ใช่...เมื่อวานเห็นครูไผ่บ่นๆ ว่าอยากช็อปปิ้ง วันนี้อาภูก็เลยพาครูไผ่เข้ากรุงเทพฯสองต่อสอง”
พรรณรายได้ยินอย่างนั้นก็ตัวสั่นด้วยความโกรธเป็นที่สุด
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 5 (ต่อ)
ภูวนัยเดินมาตามทางในวัด ไผ่พญาเดินตามมาด้านหลังจ้องมองภูวนัยท่าทางเกร็งและร้อนใจ
“มาดีอะไรกับฉันตอนนี้เนี่ย แล้วฉันจะชิ่งนายยังไงดี”
ไผ่พญามองไปรอบๆ พยายามหาทางหนีจากภูวนัย ภูวนัยหยุดเดินแล้วหันมา
“ใช่วัดนี้แน่เหรอ”
ไผ่พญากำลังมองหาทางหนีเลยไม่ทันตั้งหลัก
“เอ่อ อะไรนะ”
“ผมเห็นคุณเดินวนมาสามรอบแล้วตกลงศาลาไหนกันแน่”
“เอ่อ”
ยังไม่ทันที่ไผ่พญาจะตอบ เสียงมือถือของภูวนัยก็ดังขึ้นภูวนัยมองเบอร์ก่อนจะกดรับสาย
“ว่าไงพั้นซ์”
ไผ่พญาเห็นภูวนัยโทรศัพท์ก็ได้จังหวะ
พรรณรายเดินมาที่รถ พอภูวนัยรับสายก็เสียงแข็งใส่ทันที
“ว่าไงอะไรคะ ตอนนี้ภูอยู่ไหน”
“ผมอยู่ที่วัด”
“วัดอะไรคะ วัดสัดส่วนนังครูนั่นอยู่เหรอคะ”
ภูวนัยเริ่มทำสีหน้าเบื่อ
“อะไรกันพั้นซ์ พูดอะไรของคุณ”
“ภู นังครูนั่นมันดียังไง ภูถึงต้องพามันไปเที่ยวที่กรุงเทพฯ”
“พั้นซ์ ถ้าคุณโทรมาแล้วพูดจาไม่รู้เรื่องอย่างนี้ผมวางแล้วนะ”
พรรณรายพยายามร้องห้าม
“เดี๋ยวก่อนภู เดี๋ย...” ภูวนัยวางสายไปแล้ว “ภู ภูต้องทำอะไรอยู่กับนังนั่นแน่ๆ ถึงได้รีบวางสายอย่างนี้”
พรรณรายยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนรุ่มในใจ
ภูวนัยทำหน้าเซ็งหลังจากวางสาย หันไปพูดกับไผ่พญา
“ผมว่าเรารีบ...” ภูวนัยชะงักไปเมื่อไม่เห็นไผ่พญายืนอยู่ตรงนั้นแล้ว ภูวนัยมองไปรอบๆ “เดินไปไหนแล้ว”
ไผ่พญาชะโงกหน้าออกจากต้นไม้ แล้วยิ้มดีใจ
“หนีมาได้ซะที”
ระหว่างนั้นเสียงของเด็กวัดดังขึ้น
“หนีอะไรมาเหรอน้า”
ไผ่พญาหันไปก็เห็นเด็กวัดคนนึงยืนอยู่
“เฮ้ย มาตอนไหนเนี่ย”
“ขอเงินหน่อย”
“ไปที่อื่นเลยไป ฉันไม่มีหรอก”
“ไม่มีอะไร น้าเพิ่งขโมยเงินผ้าป่ามานี่”
“ห๊า จะบ้าเหรอไง ฉันไม่ใจบาปขโมยเงินวัดหรอกน่า”
“เอ้า ไม่งั้นน้าจะหนีอะไร”
“พูดไม่รู้เรื่องหรือไง ไปเลยเดี๋ยวตบตายชัก”
“ได้ งั้นผมจะบอกน้าคนนั้น”
เด็กวัดชี้ไปด้านหลังของไผ่พญา ไผ่พญาหันไปมองก็ตกใจเมื่อเห็นภูวนัยเดินเข้ามา
“เฮ้ย” ไผ่พญารีบหันมาแล้วรีบหยิบเงินออกมาเห็นแบงค์ร้อยแบงค์ยี่สิบ แต่ยื่นแบงค์ยี่สิบให้เด็ก “เอาไป แล้วรีบไปเลย” เด็กวัดส่ายหน้า ตาจ้องแบงค์ร้อย ไผ่พญาจึงต้องจำใจให้ “เอ้า เอาไป”
เด็กวัดรับเงินแล้วรีบวิ่งออกไป ไผ่พญารู้ว่าภูวนัยเดินเข้ามาใกล้เลยแกล้งทำเป็นตะโกน
“ตั้งใจเรียนหนังสือนะ”
“ทำอะไร”
“อ้าว ฉันเห็นคุณคุยโทรศัพท์ฉันก็เลยเดินออกมาหาศาลาไง”
“ศาลานั่นใช่หรือเปล่า” ไผ่พญามองไปก็เห็นศาลานึงจัดงานศพอยู่ “รู้สึกว่าทั้งวัดวันนี้จะมีแค่งานเดียวนะ”
“ใช่ ต้องใช่แน่ๆ เลย” ไผ่พญาหันมาทำหน้าซึ้ง “ขอบคุณนะที่มาส่งฉัน เสร็จงานแล้วเดี๋ยวฉันจะรีบกลับไปที่ฟาร์มแล้วกัน”
ภูวนัยมองไปที่งานศพ
“ไหนๆ ก็มาแล้ว ผมขอเข้าไปกราบแม่คุณหน่อยแล้วกัน”
“ห๊า”
ภูวนัยพูดจบก็เดินไปทางศาลาที่มีงานศพทันที ไผ่พญาถึงกับอ้าปากค้าง...แย่แล้ว!
ภูวนัยกับไผ่พญาเดินเข้ามาที่ศาลา ภูวนัยหันไปผายมือให้ไผ่พญาเข้าไปก่อน ไผ่พญาพยักหน้าเศร้า ผู้คนภายในศาลาต่างมองไผ่พญากับภูวนัยด้วยสายตางงๆ ไผ่พญาเดินเข้ามาในศาลา ทันใดนั้นไผ่พญาก็ร้องออกมาด้วยความเสียใจ
“แม่ แม่จ๋า”
ไผ่พญาโผเข้าไปที่โลงศพก่อนจะกอดโลงศพร้องไห้ปิ่มขาดใจ ภูวนัยมองไผ่พญาก็รู้สึกเศร้าใจไปด้วย ภูวนัยเข้าไปพยายามจะดึงไผ่พญาให้สงบสติอารมณ์ หญิงสูงอายุคนนึงกับญาติมองไผ่พญากับภูวนัยด้วยสายตางงๆ
“เดี๋ยวๆ คุณเรียกใครว่าแม่”
ไผ่พญาน้ำตานองหน้า
“ฮือๆ จะใครละก็คุณแม่สุดที่รักของหนูไง แม่ แม่ทำไมถึงไม่รอหนู”
“เอ่อ ผมว่าคงมีอะไรผิดพลาดแล้วละครับ เพราะคนที่อยู่ในนั้นเป็นพ่อของพวกเรา”
ไผ่พญาชะงักก่อนจะหันไปมองภาพที่ตั้งอยู่หน้าศพแล้วไผ่พญาก็ตกใจเพราะมันคือภาพของชายแก่ ภูวนัยเองเห็นก็สงสัยเหมือนกัน ไผ่พญาเห็นความสงสัยของภูวนัยก็แถเพราะกลัวจะเป็นพิรุธ
“ก็ถูกไงคะ หนูน่ะเรียกท่านว่าแม่มาตั้งแต่เด็กว่าแม่ เพราะอะไร เพราะอะไรทุกคนรู้มั้ยคะ” ทุกคนยังตกอยู่ในอาการงง “เพราะหนูไม่มีแม่ไงคะ ท่านกับแม่ของหนูแต่งงานกันด้วยความรักจนมีหนู แต่เพราะหนูทำให้แม่จริงๆ ต้องเสียไป ตั้งแต่นั้นท่านก็เลี้ยงดูหนูมาตลอด แล้วด้วยความที่ท่านกลัวว่าหนูจะขาดความอบอุ่นจะมีปมด้อยกับคำว่าแม่ ท่านจึงให้หนูเรียกท่านว่าแม่คะ”
“อย่า อย่าบอกนะว่าแกคือลูกเมียน้อย ที่มันไปแอบไข่ทิ้งเอาไว้”
ไผ่พญาก้มหน้างุดดูน่าสงสาร หญิงสูงอายุคนนั้นทำท่าหายใจติดขัดจะเป็นลม
“คุณแม่ คุณแม่ทำใจดีๆ ไว้นะครับ”
พวกญาติต่างรีบเข้าไปปฐมพยาบาล ไผ่พญาเองไม่อยากทำอย่างนั้นแต่จะทำไงได้ ระหว่างนั้นภูวนัยรีบดึงไผ่พญาออกมา
“มานี่”
ภูวนัยรีบดึงไผ่พญาออกไปจากศาลาทันที
ภูวนัยดึงไผ่พญาหลบมาที่มุมหนึ่ง
“ดึงฉันออกมาทำไม”
“แล้วคุณอยากเห็นงานศพของอีกคนหรือไง ขืนคุณอยู่ต่อไปผู้หญิงคนนั้นต้องตายเพราะรู้ความจริงว่าสามีเขานอกใจแน่ๆ”
ไผ่พญาแอบอมยิ้มที่ภูวนัยเชื่อสนิท จึงปั้นหน้าเศร้าต่อ
“แต่ฉันอยากอยู่กับแม่นี่”
“ผมเข้าใจความรู้สึกคุ แต่ตอนนี้มันไม่เหมาะที่คุณจะเข้าไป”
ไผ่พญาจ้องหน้าภูวนัย ก่อนจะเห็นน้ำตาเธอค่อยๆ ไหลออกมา
“ถึงฉันจะเป็นแค่ลูกเมียน้อย แต่ฉันก็รักท่านไม่ต่างไปจากคนที่อยู่ในนั้น ถามหน่อยถ้าแม่คุณเสียคุณจะไม่ยอมมากอดแม่เป็นครั้งสุดท้ายหรือไง”
ภูวนัยได้ยินไผ่พญาพูดอย่างนั้นก็จำนนต่อเหตุผล ระหว่างนั้นเสียงมือถือของภูวนัยดังขึ้น ภูวนัยมองเบอร์ก่อนจะหันไปกับไผ่พญา
“แล้วคุณจะกลับเมื่อไหร่ ผมต้องไปทำธุระหน่อย”
“ไปเลย” ไผ่พญาบอกอย่างดีใจจนภูวนัยแปลกใจ “เปล่าหรอก ฉันเองก็อยู่ที่นี่แหละ ถ้าไม่มีอะไรพรุ่งนี้ก็คงกลับ”
“ถ้าอย่างนั้น คุณโทรบอกผมแล้วกัน”
ไผ่พญาพยักหน้าเศร้าๆ ภูวนัยอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรจึงเดินออกไป ไผ่พญามองตามพอเห็นภูวนัยเดินลับตาสายตาไปแล้วก็เปลี่ยนเป็นดีใจทันที
“เยส”
ภูวนัยเดินต่อมาที่มุมหนึ่งของวัด ภูวนัยหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออก
“เออ ชาติ ตอนนี้ฉันอยู่กรุงเทพฯแล้ว”
แววตาของภูวนัยเปลี่ยนเป็นขึงขังจริงจังขึ้นมาทันที
ส่วนที่ดิออร์แกน ขิงกับกระดังงานั่งอยู่หน้าโต๊ะโสภีตีหน้าเศร้า
“จะกลับไปเยี่ยมแม่เหรอ”
“ครับเจ้ ที่บ้านผมเขาเพิ่งโทรมาบอกว่าแม่ของงาป่วยหนักทำท่าจะไม่รอดน่ะเจ้”
กระดังงาได้ยินอย่างนั้นก็เหยียบเท้าของขิง ก่อนจะทำปากขมุบขมิบ
“เรื่องอะไรมาแช่งแม่ฉัน”
“เออน่า” แล้วหันไปคุยกับโสภีต่อ “พวกเราก็เลยจะมาขอเบิกเงินเดือนที่ค้างอยู่น่ะครับ”
“เงินเดือนที่ค้างอยู่น่ะเหรอ”
“ใช่คะเจ้ นี่มันก็เกือบสิ้นเดือนแล้ว พวกเราขอเบิกวันที่เราทำงานไปน่ะคะ”
“ได้ จะเบิกใช่มั้ย”
โสภีหยิบปึกเงินขึ้นมาก่อนจะนับ ขิงกับกระดังงาแอบยิ้มอย่างมีหวังแต่แล้วโสภีก็ยื่นแบงค์ร้อยให้ห้าใบ
“นับดูซิว่าครบมั้ย”
ขิงกับกระดังงารีบนับแบงค์ร้อยที่มีอยู่ห้าใบ
“นับใหม่ซิ ทำไมฉันนับได้ห้าร้อยเองวะ”
“ก็มันมีอยู่ห้าร้อยไง เจ้...ฉันว่าเจ้คงจะฟังผิด พวกเรามาขอเบิกเงินเดือน ไม่ใช่ค่าตัวรายวันนะเจ้”
“ก็นั่นแหละ ฉันหักหนี้ที่พวกแกติดฉันอยู่ด้วยไง เผื่อพวกแกไม่กลับมาจะได้จบๆ กันไป”
ขิงกับกระดังงาต่างเหวอกันไป กระดังงาสะกิดขิงให้พูด
“เอ่อ ถ้างั้นผมขอเบิกส่วนของผมด้วยแล้วกันครับ”
“ก็นั่นแหละเงินเดือนที่เหลืออยู่ของแกสองคน”
“ห๊า”
ระหว่างนั้นลูกน้องของโสภีเดินเข้ามากระซิบบางอย่างกับโสภี โสภีพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราลาแล้วนะเจ้”
ขิงกับกระดังงายกมือไหว้โสภีก่อนจะลุกขึ้น แต่โสภีเรียกเอาไว้
“เดี๋ยว” ขิงกับกระดังงาหันมา “อยากได้อีกสองพันมั้ย”
“จริงเหรอเจ้”
“ใช่...มีแขกเขาอยากเจอแก” โสภีบอกกระดังงา
“แต่วันนี้ฉันลาแล้วนะเจ้”
“ถ้าพวกแกไม่อยากได้อีกสองพันก็ตามใจ”
ขิงกับกระดังงามองหน้ากันลังเล
กระดังงาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดทำงานก่อนจะเดินเข้ามาที่โต๊ะที่มีกลุ่มผู้ชายนั่งหันหลังอยู่ ขิงมองอยู่อีกมุมหนึ่งด้วยความเป็นห่วง กระดังงาเดินมาถึงโต๊ะก่อนจะลงนั่งสวมวิญญาณบริการเต็มที่
“สวัสดีคะ” แล้วกระดังงาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าแขกที่ต้องการพบเธอคือมือขวาของพายัพนั่นเอง “เฮ้ย”
“ตกใจอะไร ฉันไม่ได้มาทำอะไรซักหน่อย”
“เอ่อ แล้วพี่มาเที่ยวเหรอคะ”
“ได้ข่าวว่าพวกแกเบิกเงินเดือนเตรียมหนีแล้วเหรอ”
กระดังงาเย็นวาบไปทั้งตัว
“ปะเปล่า พี่ไปฟังใครมา” แล้วกระดังงาก็ทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน “เจ้โสภีน่ะเหรอ ฉันเบิกเงินจริงแต่พวกเราไม่ได้คิดจะหนีอะไร แหม...พี่ก็รู้ว่าเดี๋ยวนี้ค่าโทรศัพท์มันแพง พวกเราน่ะโทรหาไอ้ไผ่จนเงินหมดก็ต้องมาเบิกซิพี่”
มือขวาพายัพยิ้มก่อนจะหยิบเงินออกมาวางให้กระดังงา
“ก็ดี เอ้า...เอาเงินนี่ไปใช้ พี่เขารู้ว่าคนทำงานมันต้องกินต้องใช้”
กระดังงาไม่กล้าหยิบ จนมือขวาพายัพต้องหยิบเงินมาแล้วยัดใส่มือกระดังงา
“ถ้าพวกแกพาเพื่อนแกมาได้ พี่เขาจะให้แกอีก”
กระดังงาเริ่มตัวสั่นเพราะความกลัว
“แต่ถ้าไม่เจอ พี่เขาฝากนี่มาให้”
มือขวาพายัพหยิบกล่องกำมะหยี่ส่งให้กระดังงา
“แหวนเหรอพี่”
มือขวาพายัพยักไหล่ให้กระดังงาเปิดดูเอาเอง กระดังงาเปิดกล่องออกแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นกระสุน
ฟากขิงรอการมาของกระดังงาอยู่นอกร้านอย่างกระวนกระวาย
“ทำอะไรชักช้าจริงๆ”
ระหว่างนั้นมีเศษกรวดลอยมาโดนหัวขิง
“อะไรวะ” ขิงหันมองไปรอบๆ ก่อนจะมีเศษกรวดลอยมาโดนอีก ขิงหันไปก็เห็นมือนึงควักมือเรียก “ใครวะ”
ขิงรีบเดินไปที่มุมที่มีมือโผล่ออกมา พอขิงเดินถึงมุมก็เห็นมือนั่นกระชากขิงหลบเข้าไปในมุม ขิงตกใจเมื่อเห็นว่าเจ้าของมือนั่นคือไผ่พญา
“ไอ้ไผ่”
“แม่ฉันอยู่ไหน”
ขณะนั้นลำไยกำลังล้างจานหลังคดหลังแข็งอยู่ในครัว
“อูย”
ระหว่างนั้นเสียงของไผ่พญาดังขึ้น
“แม่”
ลำไยหันไปก็เห็นไผ่พญายืนอยู่กับขิง
“ไอ้ไผ่”
ไผ่พญารีบโผเข้ามากอดลำไยทันที
“แม่เป็นไงมั้ง”
“แกก็เห็นแล้วนี่ ดูซิเพราะแกฉันถึงต้องมาลำบากตอนแก่อย่างนี้”
“ฉันขอโทษนะแม่ แต่ฉันจำเป็นจริงๆ”
“แล้วแกหายไปไหนมา”
“เอาไว้เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟังนะแม่ ตอนนี้แม่ไปกับฉันก่อน”
จู่ๆ กระดังงาก็วิ่งโวยวายเข้ามาในครัว
“ไอ้ขิง ไอ้ขิง...ไอ้ไผ่”
ไผ่พญากับกระดังงาต่างเข้ามาหากันด้วยความคิดถึง
“งา”
“ไอ้ไผ่ แกมานี่ทำไมพวกมันอยู่ข้างนอก”
“ห๊า จริงดิ ไอ้พวกที่อยากเจอแกน่ะเหรอ”
“เออ”
“แม่ฉันอยู่นี่ แล้วจะให้ฉันไปไหนละ เห็นขิงบอกว่าพวกแกกำลังจะหนีเหรอ”
“แล้วแกจะให้รอพวกมันมาฆ่าหรือไง”
“หมายความว่าไง”
กระดังงาหยิบกระสุนปืนออกมาวางให้ทุกคนดู ทุกคนเห็นถึงกับอึ้งไป
“ไอ้ไผ่ ฉันว่าแกคืนสร้อยให้พวกมันไปเถอะ”
“สร้อย สร้อยอะไร” ลำไยย้อนถาม
ไผ่พญาทำหน้าลำบาใจที่จะเล่า
ภูวนัยกับชาติกล้ายืนอยู่ที่ริมน้ำ ภูวนัยกำลังอ่านข้อมูลบางอย่างในมือ
“นี่คือข้อมูลการใช้โทรศัพท์มือถือของคุณนายหยาดฟ้า ตั้งแต่วันที่เสี่ยสมสุขตาย จนถึงวันที่คุณนายหยาดฟ้าโดนมือปืนยิง”
ภูวนัยอ่านข้อมูลนั่นอย่างละเอียด แล้วสายตาภูวนัยก็เห็นเบอร์ๆ นึงที่ภูวนัยรู้สึกคุ้นมาก
“แล้วแกตรวจสอบหรือยังว่ามีเบอร์อะไรที่น่าสงสัย”
“เท่าที่ตรวจสอบ ก็ไม่มีเบอร์ที่น่าสงสัยอะไร แต่ฉันว่าแกต้องคุ้นเบอร์บางเบอร์ที่อยู่ในนั้น”
“ใช่...เบอร์นี่คือเบอร์ที่คุณนายหยาดฟ้าโทรหาตอนที่เสี่ยสมสุขตาย แล้วก็เป็นเบอร์สุดท้ายที่คุณนายโทรหาก่อนที่คุณนายจะโดนยิง”
“แล้วแกนึกไม่ออกเหรอว่าเป็นเบอร์ใคร”
ภูวนัยมองเบอร์นั่นอีกครั้ง แล้วภูวนัยก็มีสีหน้าตกตะลึง
“ผู้กำกับมารุต”
“ใช่”
ภูวนัยตะลึงไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
ที่ดิออร์แกน ลำไยโกรธจัดกำลังจะไล่ตีไผ่พญาที่วิ่งหนี
“หนอย อีลูกเวร อย่าหนีซิเว้ย”
ลำไยคว้าจานขึ้นมาจะปา ขิงกับกระดังงารีบเข้ามา
“แม่ อันนั้นแพงนะแม่” ลำไยโมโหวางจานก่อนจะหยิบชามขึ้นมา “อันนี้ก็แพงเหมือนกัน”
ลำไยวางชามลงอย่างหัวเสีย
“เว้ย ให้มันได้อย่างนี้ซิวะ”
ไผ่พญาค่อยๆ เดินเข้ามาหาลำไย
“นี่แม่ไม่ได้โกรธที่ฉันขโมยของเขามาหรอก แม่โกรธที่ฉันไม่เอาไปขายแล้วเอาเงินให้แม่ต่างหาก”
“หนอย ยังจะปากดีอีก”
ลำไยหันไปทั้งตบทั้งตีไผ่พญาที่ปัดป้องพัลวัน ขิงกับกระดังงาต้องเข้ามาแยก
“พอแล้วแม่ แม่ตีไอ้ไผ่ให้ตายไอ้พวกนั้นมันก็ไม่ยอมหยุดจนกว่ามันจะได้สร้อยมันคืนหรอกแม่”
ขิงพูดอย่างนั้นทำให้ศึกแม่ลูกจึงสงบลงได้
“ไผ่ ฉันว่าแกเอาสร้อยนั่นไปคืนเขาเถอะนะ ฉันยังไม่อยากตาย”
“ใช่ ในเมื่อมันอยากได้สร้อย ถ้าเราไปคืนทุกอย่างก็น่าจะจบนะ”
“ข้าจะได้กลับไปอยู่บ้าน ป่านนี้ขาเขอหายหมดแล้ว”
ไผ่พญานิ่งไป สีหน้าหนักใจ กระดังงาเข้ามาถาม
“แล้วสร้อยนั่นมันอยู่ไหนวะไผ่”
ไผ่พญาหันไปมองเห็นทุกคนมองมาที่เธอด้วยแววตาที่หมดหนทางแล้วจริงๆ
วันต่อมาไผ่พญานั่งครุ่นคิดอยู่ที่ริมน้ำของวัด มือนึงก็โยนอาหารเม็ดให้ปลาแล้วก็ใช้หัวคิดไปเรื่อยๆ แต่ไผ่พญาปาไปปามาก็ดันเอาอาหารเม็ดปลามากินเองซะอย่างนั้น ระหว่างนั้นเสียงของภูวนัยดังขึ้น
“ไม่มีอะไรกินหรือไงถึงได้กินอาหารปลา”
ไผ่พญาชะงักหลุดจากภวังค์เมื่อหันไปเห็นภูวนัยยืนอยู่ ก่อนจะรู้สึกตัวว่ากินอาหารปลาเข้าไปจริงๆ
“แหวะๆ ฉันคิดอะไรไปเรื่อยน่ะ”
“คุณจัดการเรื่องงานศพเสร็จหรือยัง”
“ฉันว่าจะมาบอกนายว่า ฉันคงจะอยู่ต่ออีกหน่อย”
“ผมเองก็มีธุระเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นคุณเสร็จธุระแล้วโทรหาผมแล้วกัน”
ไผ่พญาพยักหน้าเศร้าๆ ภูวนัยสังเกตเห็นก็เป็นห่วง
“คุณโอเคมั้ย”
“อืม”
ภูวนัยพยักหน้าให้ก่อนจะเดินออกไป ไผ่พญามองตามแล้วเจ็บใจที่ไม่กล้าพูด
“ไอ้ไผ่เอ๊ยไอ้ไผ่ ทำไมไม่พูดออกไปว้า อย่างน้อยพาตำรวจไปด้วยจะได้อุ่นใจ” ไผ่พญาระบายลมหายใจออกมาเหมือนตัดสินใจบางอย่าง “แค่เอาไปคืน คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง”
ไผ่พญามีสีหน้าวิตก
เฮียเจ้าของโรงรับจำนำกำลังนับเงินในมือ ไผ่พญายืนอยู่อีกฝั่งมองอย่างร้อนใจ เฮียนับเงินเสร็จไผ่พญารีบถาม
“ครบมั้ยเฮีย”
“อืม รอเดี๋ยวนะ”
เฮียเดินเข้าไปในร้าน ไผ่พญามองตามกระวนกระวาย เฮียเดินออกมาก่อนจะยื่นแหวน นาฬิกา สร้อยให้กับไผ่พญา
“ของพวกนี้ใช่มั้ย”
“ใช่เฮีย”
ไผ่พญาไม่สนใจแหวนและนาฬิกา แต่รีบหยิบสร้อยมาดูแล้วเธอก็ต้องแปลกใจเมื่อไม่เห็นกรอบพระ
“อ้าว แล้วพระละเฮีย”
“อ๋อ มีนักการเมืองคนนึงเขาอยากได้พระสมเด็จมานานแล้ว อั้วก็เลยปล่อยไป”
“เฮ้ย แต่ฉันยังไม่ขาดเลยนะ แล้วเงินฉันก็ให้เฮียไปครบแล้ว”
“ไอ้เงินสองหมื่นเนี่ยมันได้แค่สร้อย ส่วนพระสมเด็จของแท้หายากอย่างนั้นน่ะ ลื้อต้องเอามาสองล้าน”
“สองล้าน ของแท้เหรอเฮีย แล้วตอนนั้นทำไมเฮียบอกว่าของปลอม”
เฮียถึงกับชะงักไปเพราะดันหลุดปาก จึงไล่แบบตัดบท
“ไปๆ อั้วจะปิดร้านแล้ว”
“ไม่ได้นะเฮีย ฉันต้องการพระนั้นจริงๆ”
“ก็อั้วบอกแล้วว่าไม่มี”
ไผ่พญาโมโหเลยเอื้อมมือรอดลูกกรงเข้าไปกระชากคอเฮียมาแทบติด
“เอาพระมาให้ฉัน”
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย อีนี่มันจะปล้นอั้ว”
เสียงโวยวายทำให้คนภายในร้านวิ่งออกมาพร้อมปืน ไผ่พญาเห็นอย่างนั้นก็ตกใจรีบวิ่งหนีออกมาทันที
รถของมารุตขับเข้ามาบริเวณลานจอดรถของหน่วยปราบปรามยาเสพติด ระหว่างนั้นมีสายตาของใครบางคนมองจากในรถอีกคัน รถของมารุตจอดเข้าซองจนสนิท มารุตเปิดประตูลงจากรถ สายตาของใครบางคนย่องเข้ามาที่ด้านหลังของมารุตที่กำลังเอื้อมหยิบกระเป๋าเอกสาร มารุตหันมาแล้วก็ต้องใจ
“หมวดภูวนัย”
ภูวนัยยืนอยู่ด้วยสีหน้าจริงจัง
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 5 (ต่อ)
รถของมารุตจอดอยู่ในที่ลับตาคน ภูวนัยนั่งอยู่ในรถกับมารุต
“ตอนนี้คณะกรรมการกำลังดูจากหลักฐานอยู่ คิดว่าเดือนหน้าอาจจะเรียกคุณเข้าไปให้ปากคำเพิ่มเติม”
ภูวนัยแอบสังเกตสีหน้าและแววตาของมารุต
“แต่ผมคิดว่า ผมพอจะรู้คำตอบอยู่แล้วครับ”
“ทำไมคุณคิดอย่างนั้น”
ภูวนัยหันมาจ้องหน้ามารุต
“ผมได้ข่าวมาว่า มีผู้ใหญ่หลายคนร่วมขบวนการค้ายา” มารุตได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไป “ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ คงไม่มีใครเก็บคนที่จะทำให้พวกเขาเปิดโปงพวกเขาเอาไว้หรอกครับ”
“ใครเป็นคนบอกคุณ”
“ผู้กำกับก็รู้ว่าผมพูดไม่ได้ แล้วบางทีการที่คุณนายหยาดฟ้าตายก็อาจจะเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน”
ภูวนัยพูดเพื่อหยั่งเชิงมารุต ก่อนจะเห็นมารุตกำพวงมาลัยแน่น
ขิง กระดังงาและลำไยต่างตกใจ
“ห๊า”
“ไอ้ไผ่ สร้อยไม่อยู่แล้วเหรอ”
ไผ่พญายกสร้อยให้ทุกคนดู
“สร้อยน่ะอยู่ แต่พระไม่อยู่แล้ว”
“ตาย ตาย คราวนี้ต้องตายแน่ๆ”
“นั่นซิ นี่ก็ครบสามวันแล้วด้วย”
ทุกคนต่างตีโพยตีพายร้องโวยวาย
“เงียบ” ทุกคนหันมา “ทุกปัญหามันต้องมีทางออกซิ ขอฉันคิดหน่อยว่าจะทำยังไง” ทุกคนจ้องไปที่ไผ่พญาอย่างมีความหวัง แล้วไผ่พญาก็พูดขึ้น “ฉันรู้แล้ว”
ทุกคนมองไผ่พญาด้วยความสนใจว่าคิดอะไรออก
ตะวันฉายเหงื่อเต็มหน้าเดินมานั่งที่แคร่ใต้ต้นไม้ ยายสีเอาน้ำมาให้
“ขอบคุณยาย”
“โอ๊ย ยายต่างหากต้องขอบคุณคุณตะวัน ลูกหลานยายก็ไม่มีจะทำอะไรทีก็ต้องขอให้คุณช่วย” แล้วยายสีก็นึกขึ้นมาได้ “จริงซิ รอแป๊ปนะคุณ” ว่าแล้วยายสีก็เดินหายไปก่อนจะกลับมาพร้อมกับถุงใส่มะยมเยอะมาก “เอาไปทานนะ ยายไม่มีเงินไม่ทอง คงไม่รังเกียจนะพ่อ”
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมช่วยเพราะอยากช่วย”
“ไม่ได้หรอก คุณช่วยยายมาหลายครั้งแล้ว เอาไปทานเถอะยายอยู่คนเดียวก็ทานไม่หมด เอาไปแบ่งแฟนกินก็ได้”
“เอ่อ ผมยังไม่มีแฟนหรอกครับ”
“อะไรกัน ไม่อยากจะเชื่อ ผู้ชายดีๆ อย่างคุณจะไม่มีแฟน แล้วไม่มีคนที่ชอบเหรอ”
ตะวันฉายได้ยินคำถามของยายสีก็อมยิ้มเขินๆ แล้วนึกถึงไผ่พญาขึ้นมา
พรรษากำลังรดน้ำต้นไม้อยู่นอกบ้าน ม่านหมอกเดินออกมาจากบ้าน
“คุณหมอก มีอะไรใช้ป้าหรือเปล่าคะ”
“หมอกจะเดินออกมานอกบ้านไม่ได้หรือไง”
“ได้นะได้คะ แต่อย่าออกไปนอกฟาร์มแบบคราวที่แล้วอีกก็พอคะ ถ้าคุณหมอกเบื่อมาช่วยป้ารดน้ำต้นไม้ดีมั้ยคะ”
ม่านหมอกเห็นตะวันฉายเดินมาไกลๆ ม่านหมอกตกใจเพราะเขินเลยรีบหันหลังเดินเข้าบ้านไปทันที พรรษาไม่รู้ว่าม่านหมอกเห็นตะวันฉายก็เข้าใจว่าม่านหมอกโกรธก็ระบายลมหายใจออกมา ตะวันฉายเดินถือถุงมะยมเข้ามาถึงพรรษาพอดี
“สวัสดีครับป้าษา”
“อ้าว คุณตะวันมาได้ไงคะเนี่ย เพิ่งตรวจไปไม่ถึงเดือนไม่ใช่เหรอคะ”
ม่านหมอกแอบมองตะวันฉายอยู่มุมหนึ่งในบ้าน
“ผมไม่ได้มาตรวจหรอกครับ พอดีผมผ่านมาแถวนี้ก็เลยแวะเข้ามาเยี่ยมน่ะครับ” ตะวันฉายมองไปรอบๆ จริงๆตั้งใจมองหาไผ่พญา “แล้วนี่ไปไหนกันหมดครับ”
“ก็อยู่ในบ้านแหละคะ”
“เอ่อ แล้วคุณครูละครับ” ตะวันฉายเรียบๆ เคียงๆ ถาม พรรษาทำหน้าสงสัย
“โทษทีคะ เมื่อกี้คุณตะวันถามถึงคุณภูหรือคุณครูคะ”
“ก็ ก็ทั้งสองคนแหละครับ”
“ถ้าอย่างนั้นสองคนนั้นที่คุณตะวันถามหาไม่อยู่หรอกคะ”
“อ้าว ไปไหนกันครับ”
“คุณแม่ของครูไผ่เสียน่ะคะ คุณภูก็เลยอาสาขับรถพาครูไผ่กลับกรุงเทพฯ”
ตะวันฉายได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของไผ่พญาขึ้นมาทันที ม่านหมอกแอบมองตะวันฉายแล้วครุ่นคิดบางอย่าง
ตะวันฉายเดินถือถุงมะยมกลับมาที่รถ แลวตะวันฉายก็เห็นม่านหมอกยืนรออยู่ที่รถ
“หมอก”
ม่านหมอกเดินเข้ามาหาตะวันฉายหน้านิ่ง
“พาไปข้างนอกหน่อยซิ”
ตะวันฉายได้ยินอย่างนั้นก็อมยิ้ม
“อยากให้พี่โดนจับหรือไง”
“โดนจับอะไร”
“เอ้า ก็โดนข้อหาพรากผู้เยาว์ไง ยิ่งคุณภูเป็นตำรวจด้วยพี่ตายแน่”
“แต่หมอกไม่ใช่เด็กแล้วนะ ให้อยู่แต่ในบ้านพี่ไม่รู้หรอกว่ามันน่าเบื่อแค่ไหน”
ตะวันฉายมองม่านหมอกแล้วยิ้มเอ็นดู ก่อนจะนึกขึ้นมาได้
“เบื่อเหรอ งั้นทำชีวิตให้มีสีสันมั้ย” ม่านหมอกสงสัย “เห็นนี่มั้ย” ตะวันฉายยกมะยมให้ม่านหมอกดูแล้วหยิบมะยมเข้าปากก่อนจะเห็นหน้าตะวันฉายเหยเกเปรี้ยวปิ้ด “ลองเลย ถ้าหมอกกินแล้วหน้าไม่เป็นแบบพี่ พี่สัญญาว่าพี่จะยอมเสี่ยงพาหมอกออกไปเลย”
“จริงนะ”
“สัญญา”
ม่านหมอกหยิบมะยมใส่ปากบ้าง แล้วก็เห็นหน้าม่านหมอกเหยเกเหมือนกัน
“อี๋ เปรี้ยว” ตะวันฉายเห็นหน้าม่านหมอกก็หัวเราะ “พี่แกล้งหมอกเหรอ”
“แกล้งอะไรเล่า ถ้างั้นวันนี้หมอกอยู่บ้านไปก่อนแล้วกัน” ม่านหมอกทำหน้าเซ็ง ตะวันฉายนึกได้จึงส่งถุงมะยมให้ม่านหมอก “พี่ให้”
“ไม่เอาหรอก”
“เอ้า ไม่เอาไว้ฝึกเหรอ คราวหน้าพี่อาจจะแพ้ก็ได้” ตะวันฉายพยักหน้าให้ม่านหมอกรับถุงมะยมไป ม่านหมอกรับมา ตะวันฉายยิ้มให้ “พี่ไปละ อย่าลืมฝึกเยอะๆ ล่ะ”
ตะวันฉายเอามือยีหัวม่านหมอกอย่างเอ็นดูก่อนจะเดินขึ้นรถขับออกไป
ม่านหมอกเอามือจับไปที่หัวตัวเองซึมซับความรู้สึก เด็กสาวมองถุงมะยมแล้วอมยิ้มเขิน
ม่านหมอกเดินถือถุงมะยมมาตามทาง โดยไม่รู้ว่าถุงมะยมมีรอยรั่ว มะยมร่วงออกจากถุงทีละเม็ด ทีละเม็ด เรียงรายตามทาง
ระหว่างนี้ผจญแบกจอบมากำลังจะไปทำงานก็เห็นมะยมที่พื้น ผจญยิ้มก่อนจะเก็บขึ้นมาแล้วปัดเศษดินออกก่อนจะเอาเข้าปาก ผจญหน้ายู่แล้วผจญก็เพิ่งสังเกตเห็นมะยมร่วงตามทาง
มะยมร่วงออกจากถุงที่ม่านหมอกถือจนเกือบจะหมด ม่านหมอกรู้สึกว่าถุงมันเบาขึ้นจึงยกขึ้นมาดูแล้วม่านหมอกก็ตกใจเมื่อเห็นว่าถุงแตก
“เฮ้อ”
ผจญกำลังเก็บมะยมมาตามทางเรื่อย ม่านหมอกเองก็เก็บมะยมมาตามทางเช่นกัน ที่มุมบ้านทั้งผจญกับม่านหมอกต่างไม่เห็นกัน ระหว่างที่ผจญกำลังจะเอื้อมมือไปเก็บมะยมเม็ดที่อยู่มุมบ้านก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ม่านหมอกเอื้อมมือมาเก็บมะยมเม็ดเดียวกัน ม่านหมอกกับผจญต่างสบตากันที่มุมบ้าน
“คุณหมอก”
ม่านหมอกรีบลุกขึ้น
“ทำอะไร”
ผจญลุกขึ้นตามเห็นเสื้อของผจญที่ทำเป็นถุงมีมะยมอยู่เต็ม
“เก็บมะยมครับ”
“นั่นมันมะยมฉัน”
ม่านหมอกจะเข้าไปแย่งมะยมคืนจากผจญ เสียงของพรรณรายก็ดังขึ้น
“ต๊าย” ม่านหมอกกับผจญได้ยินเสียงก็หันไปแล้วเห็นพรรณรายเดินเข้ามา “อุ้ย นี่ฉันมาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่าเนี่ย”
“พูดดีๆ นะ ขัดจังหวะอะไร”
“ก็ จังหวะสำคัญไง” พรรณรายเดินมาแล้วก็เห็นมะยมจึงยิ้มเยาะ “แหม เก็บมะยมมานั่งกินกัน บ้านนอกซะไม่มี เอ้ย...พูดผิดไปหน่อย โรแมนติคซะไม่มี”
“เอ่อ มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดน่ะครับ”
“ใครใช้ให้คนอย่างแกพูด ต่ำ”
“คงไม่มีอะไรต่ำไปกว่าความคิดของคุณแล้วละ”
พรรณรายได้ยินม่านหมอกพูดอย่างนั้นก็ขึ้นเลย
“แน่ใจนะ แล้วไอ้ที่เธอมาทำอย่างนี้กับคนงานมันยิ่งกว่าคำว่าต่ำซะอีกฉันจะบอกให้ แล้วถ้าภูรู้เรื่องนี้เธอคิดว่ามันจะเป็นยังไง”
พรรณรายยิ้มเยาะเดินผ่านม่านหมอกออกไป ม่านหมอกมองตามอย่างเจ็บใจ ผจญรู้สึกเศร้าที่ทำให้ม่านหมอกเดือดร้อน
“ผมขอโทษครับที่...”
ยังไม่ทันที่ผจญจะพูดจบ ม่านหมอกก็ปามะยมในมือใส่หน้าผจญเพื่อระบายความโกรธ ก่อนที่ม่านหมอกจะเดินออกไป ผจญมองตามเศร้าๆ
ม่านเมฆกับเผ่าพงศ์กำลังนั่งเล่นหมากฮอสกันอยู่ในบ้าน พรรณรายเดินเข้ามาในบ้านพร้อมส่งเสียงดังเหมือนเดิม
“ภู ภูขา พั้นซ์มาแล้วคะ” พรรณรายเดินเข้ามาจึงเห็นม่านเมฆกับเผ่าพงศ์เล่นหมากฮอสกันอย่างมีสมาธิ
“คุณพ่อคะ ภูละคะ”
เผ่าพงศ์ส่งสัญญาณให้เบาเสียง
“ชู่ว”
พรรณรายหน้าหงิก
“น้องเมฆ พ่อภูละคะ”
ม่านเมฆทำเหมือนกับเผ่าพงศ์
“ชู่ว”
พรรณรายเหลืออดจึงล้มกระดานหมากฮอส
“อ๊ายยย!”
เผ่าพงศ์กับม่านเมฆตกใจ
“อ้าว ทำอะไร ฉันกำลังจะชนะแล้วมาทำอย่างนี้ได้ยังไง”
“ใครชนะกันปู่ ผมต่างหากกำลังจะกินสามต่อเลย”
“นี่ เลิกคุยเรื่องปัญญาอ่อนแล้วตอบคำถามพั้นซ์แป๊ปนึงไม่ได้เหรอคะ ภูอยู่ไหนคะ”
เสียงม่านหมอกดังขึ้น
“เขายังไม่กลับ”
ม่านหมอกเดินเข้ามาประจันหน้ากับพรรณราย
“ยังไม่กลับ ไหนภูบอกว่าจะไปวันเดียวไง”
“จะไปรู้เหรอ บางทีเขาอาจจะไปเที่ยวไหนกันต่อก็ได้”
“ไม่ ไม่จริง” พรรณรายรีบหยิบมือถือขึ้นมากดโทรศัพท์หาภูวนัยทันที แต่แล้วกลับเป็นเสียงข้อความ “ปิดเครื่อง ภูปิดเครื่องทำไม”
“คนปิดเครื่องก็แปลว่าเขาไม่อยากรับโทรศัพท์ แค่นี้ไม่รู้เหรอไง”
“หรือไม่ ก็กำลังทำธุระกันอยู่”
“ธุระอะไร”
“ก็คงเป็นธุระสำคัญน่ะ” ม่านหมอกย้อนด้วยคำพูดของพรรณรายเอง
“กรี้ดดด”
พรรณรายร้องออกมาอย่างทนไม่ได้ก่อนจะเดินหัวเสียออกไปทันที
พรรณรายเดินก้าวเท้าออกมาจากบ้านภูวนัยอย่างหัวเสีย
“ภูนะภู” พรรณรายคิดบางอย่างขึ้นมาได้ หันมองเข้าไปในบ้านด้วยสายตาร้าย “พวกแกอยากลองดีกับฉันใช่มั้ย”
พรรณรายยิ้มร้ายกับแผนในหัว
ม่านเมฆกับเผ่าพงศ์นั่งเล่นหมากฮอสกันใหม่ ม่านหมอกนั่งอ่านหนังสือแฟชั่นอยู่ พรรณรายเดินกรีดกรายเข้ามา
“ฉันโทรหาภูติดแล้ว”
ทุกคนหันมาเห็นพรรณรายก็แปลกใจ
“ก็ดีแล้วนี่ แล้วมาบอกพวกฉันทำไม”
“เพราะภูเขาฝากพั้นซ์ดูแลคุณพ่อกับเด็กๆ ไงคะ”
“ไม่จริงหรอก”
“ถ้าเธอไม่เชื่อก็โทรไปถามเขาเองซิ” พรรณรายท้าเพราะรู้ว่ายังไงม่านหมอกก็ไม่มีทางโทรหาภูวนัยแน่นอน “ภูเขาฝากให้ฉันสอนพวกเธอแทนยัยครูนั่น”
“ไม่เอาเมฆไม่เรียน”
ม่านเมฆจะวิ่งออกไปแต่ม่านหมอกกลับดึงเมฆเอาไว้
“อะไรพี่หมอก”
“ในเมื่อเขาอยากสอน เราก็เรียนหน่อยเป็นไร”
ม่านเมฆกับเผ่าพงศ์ถึงกับงงที่ม่านหมอกอยากจะเรียน
“ดีแล้วที่พูดอะไรง่ายๆ เธอคงจะรู้แล้วใช่มั้ยว่าอย่าลองดีกับฉัน”
พรรณรายยิ้มอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า โดยไม่รู้เลยว่าม่านหมอกกำลังคิดอะไร
ขณะที่พรรณรายหวดไม้เรียวลงที่โต๊ะสนามเสียงดังป๊าบ! ม่านหมอก เผ่าพงศ์ และม่านเมฆนั่งอยู่ที่โต๊ะสนามที่จัดสถานที่ไว้สำหรับการเรียนต่างสะดุ้งโหยง
“ฉันจะไม่พูดซ้ำสอง ตอนนี้ฉันได้รับอำนาจให้จัดการกับพวกเธอได้อย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้นอย่าคิดลองของเข้าใจมั้ย” เด็กๆ และเผ่าพงศ์ต่างพยักหน้าหงึกๆ สีหน้าดูกลัวพรรณราย “แล้วคุณพ่อมานั่งด้วยทำไม”
“ก็ฉันอยากรู้ว่าเธอจะสอนอะไรหลานฉันน่ะซิ”
“ใช่ ถ้าไม่ให้ปู่เรียนด้วย ผมก็จะไม่เรียน”
“ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” พรรณรายกระหยิ่มที่รู้สึกว่าการสอนง่ายกว่าที่คิด “เอาละ ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มเรียนบนเรียนแรก แล้วจะสอนอะไรเนี่ย” พรรณรายหันมาเห็นทั้งสามกำลังแอบทำอะไรลับๆ ล่อๆ ใต้โต๊ะ “ทำอะไรน่ะ” ม่านหมอก เผ่าพงศ์ ม่านเมฆสะดุ้งพร้อมกันแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พรรณรายเดินเข้ามา “เอาออกมาเดี๋ยวนี้” ม่านหมอก เผ่าพงศ์ ม่านเมฆไม่ยอม พรรณรายเดินเข้ามาก่อนจะแย่งของในมือไป “แฮมเบอร์เกอร์”
“เอาคืนมาเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นผมจะฟ้องพ่อภู”
“เหรอ พอดีพ่อเธอให้ฉันมาสอนพวกเธอซะด้วย พวกเธอคิดว่าพ่อเธอจะเข้าข้างใคร”
พรรณรายแกะแฮมเบอร์เกอร์ในมือออกแล้วกัดคำใหญ่เป็นการท้าทาย ม่านหมอก เผ่าพงศ์ ม่านเมฆจากที่ทำหน้าโมโหพอเห็นพรรณรายกัดแฮมเบอร์เกอร์เข้าไปก็แอบหัวเราะคิกคักจนพรรณรายสงสัย
“หัวเราะอะไร”
พรรณรายรู้สึกว่ามีอะไรยื่นออกมาจากปากของเธอ ซึ่งก็คือหางจิ้งจก (ยาง) นั่นเอง พรรณรายมองหางจิ้งจกที่อยู่ในปากก่อนจะร้องกรี้ดออกมา
“กรี้ดดดดด”
พรรณรายรีบบ้วนของในปากทิ้งทันที ม่านหมอกวิ่งเอาแก้วน้ำส้มมาให้
“นี่น้ำ”
พรรณรายรีบหยิบน้ำมากินเฮือกใหญ่ ที่ก้นแก้วมีกิ้งกือ (ยาง) นอนขดตัวอยู่ในแก้ว พรรณรายตาเหลือก แก้มตุ๋ย
“อย่าพ่นออกมานะ ไม่งั้นฉันจะบอกไอ้ภูว่าเธอทำบ้านสกปรก” เผ่าพงศ์บอก
พรรณรายหันรีหันขวางจะทนไม่ได้อยู่แล้ว แล้วพรรณรายก็หันไปเห็นสระบัว พรรณรายรีบหันหน้าไปทางสระบัวที่อยู่ด้านหลังทันที ม่านเมฆแอบวางสเก็ตบอร์ดเอาไว้ที่พื้นพรรณรายเหยียบสเก็ตบอร์ดทำให้เสียหลัก พรรณรายเหยียบอยู่บนสเก็ตบอร์ดที่ลื่นไหลลงไปในสระบัวจังเบ้อเร่อ ตูม!
ม่านหมอก ม่านเมฆและเผ่าพงศ์ต่างหัวเราะอย่างสะใจก่อนจะเดินตบมือไฮไฟว์กันออกไป พรรณรายโผล่ขึ้นจากสระมีใบบัวติดเต็มหัว ทุบน้ำร้องกรี้ดๆ อย่างเจ็บใจ
“กรี้ดดดด! บ้า...บ้า...บ้า ! กรี้ดดดด”
ไผ่พญากำลังกอดกระดังงาเพื่อร่ำลากันที่หน้าดิออร์แกน ขิงกับกระดังงามีกระเป๋าเสื้อผ้าวางอยู่ข้างๆ ด้วย
“ขอโทษนะเพื่อนที่ทำให้พวกแกเดือดร้อน”
“พวกเราเป็นเพื่อนกันนะ มีอะไรก็ต้องช่วยกันซิ”
“เออ ไม่ต้องไปขอโทษพวกมันหรอก เพราะไอ้เงินที่แกให้พวกมันน่ะเยอะพอแล้ว”
“โห หมด หมดเลย คนเขากำลังซึ้งกันอยู่”
“ก็มันจริงมั้ยละ”
ไผ่พญามองกระเป๋าเสื้อผ้าของขิงกับกระดังงา
“แล้วพวกแกจะหนีไปไหน”
“ยังไม่รู้เหมือนกัน เพราะหนีไปไหน ถ้าพวกมันอยากจะหาก็คงจะเจออยู่ดี”
“ไอ้งามันไม่เชื่อที่ฉันบอกให้หนีเข้าไปอยู่ในตะราง ในเมื่อพวกมันเป็นผู้ร้ายเราก็ต้องเข้าไปอยู่กับตำรวจ ไอ้ไผ่แกคิดเหมือนฉันมั้ย”
“พอเลย แกจะเข้าไปนอนในตะรางก็เข้าไปคนเดียว ฉันจะได้หาผัวใหม่” กระดังงาหันพูดกับไผ่พญา “แกไม่ต้องห่วงพวกเราหรอก เพราะพวกเราไม่ได้มีของที่มันอยากได้ แกนั่นแหละจะไปไหน”
ไผ่พญานิ่งไปอย่างหนักใจแล้วเธอก็พูดตัดบท
“พวกแกไปเถอะ แล้วไปอยู่ที่ไหนก็อย่าลืมส่งข่าวบอกมาด้วยละ” กระดังงาน้ำตาปริ่ม แล้วไผ่พญากับกระดังงาก็โผกอดกันซาบซึ้ง “โชคดีนะเพื่อน”
“แกก็เหมือนกันนะ”
ขิงกับกระดังงายกมือไหว้ลำไยก่อนจะถือกระเป๋าเสื้อผ้าออกไป ไผ่พญามองตามอย่างอาลัย
“พวกมันน่ะรอดแน่ แต่แกกับข้านี่จะเอายังไง แกมีที่ไปแล้วเหรอ”
ไผ่พญาครุ่นคิดหน้าเครียด
ลำไยนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ภายในวัด ไผ่พญาอยู่ในตู้โทรศัพท์สาธารณะวางหูกระแทกดังตึง ไผ่พญาเดินเข้ามาหาลำไย
“ไง เขาว่าไง”
“โทรไม่ติด จะปิดเครื่องทำไมเนี่ย” ไผ่พญาบ่น
“มารอนานหรือยัง”
ไผ่พญากับลำไยหันไปก็เห็นภูวนัยเดินเข้ามา
“โห ฉันโทรหานายตั้งหลายครั้ง”
“โทษที โทรศัพท์ผมแบตหมดตั้งแต่เมื่อวาน” ภูวนัยมองไปที่ลำไยด้วยความสงสัย “แล้วนี่คือ...”
“สวัสดีคะคุณ ฉันเป็นแม่ไอ้ไผ่มันน่ะคะ”
“แม่”
ไผ่พญาเพิ่งนึกออกว่าเพิ่งโกหกว่าแม่ตายไป
“แม่บ้านน่ะคะ คือแม่ฉันรักแม่บ้านคนนี้มาก ก่อนท่านจากไปท่านบอกว่าให้ฉันดูแลแม่บ้านคนนี้ด้วย”
ลำไยได้ยินอย่างนั้นก็แปลกใจ ดึงไผ่พญาเข้ามาถาม
“ไอ้ไผ่ แกว่าใครจากไป”
“เอาน่าแม่ เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟังทีหลัง”
“แล้วอีตานี่มันเป็นใคร ไปอยู่ด้วยปลอดภัยแน่นะ”
ไผ่พญากำลังจะตอบแต่ชะงักไปเพราะเดี๋ยวภูวนัยได้ยิน
“เอ่อ เดี๋ยวฉันมานะ”
ภูวนัยพยักหน้าให้ ไผ่พญาจึงรีบดึงลำไยออกไป
ไผ่พญาดึงลำไยออกมาที่มุมลับตาคน
“มีอะไรวะ ทำไมต้องมาคุยตรงนี้ด้วย”
“แม่จำเรื่องที่ไอ้ขิงมันบอกได้มั้ย”
“ที่มันบอกว่ามันเป็นฝีที่จักกะแร้น่ะเหรอ”
“ไม่ใช่ ที่มันบอกว่าถ้าเราอยากรอดให้เราไปอยู่กับตำรวจ”
“เออ แล้วทำไม” ลำไยนึกได้ “เฮ้ย อย่าบอกนะว่า”
“ใช่...ผู้ชายคนนั้นเป็นตำรวจ”
“เฮ้ย” ลำไยตกใจจนเผลอร้องออกมา ไผ่พญาต้องรีบปิดปากลำไย ลำไยเอามือไผ่พญาออก “ไอ้ไผ่ แกก็รู้ว่าข้าไม่ถูกกับตำรวจ”
“แต่เราไม่มีทางเลือกแล้วนะแม่”
“แต่ข้ามีเว้ย เอ็งจำไอ้เน่าแถวบ้านเราได้มั้ย” ไผ่พญาพยักหน้า “มันเคยชวนแม่ไปเป็นคนแจกไพ่ที่บ่อนเฮียกวง”
“แม่ ฉันไม่มีทางปล่อยให้แม่ไปคนเดียวแน่ๆ”
ลำไยได้ยินที่ไผ่พญาพูดอย่างนั้นก็สัมผัสได้ถึงความรักที่ไผ่พญามีให้
“ไอ้ไผ่ แม่รู้ว่าลูกห่วงแม่ แต่เชื่อแม่ซิแม่เอาตัวรอดได้ ไปอยู่กับเฮียกวงน่ะ แม่ว่ามันยังจะปลอดภัยกว่าตำรวจอีก” ไผ่พญาน้ำตาซึม
“แม่”
“ไอ้ไผ่ แกรักแม่มั้ย”
ไผ่พญาชักกลั้นน้ำตาไม่อยู่
“ทำไมแม่ถามอย่างนี้ละ แม่ก็รู้ว่าฉันรักแม่มากแค่ไหน”
“ถ้าอย่างนั้นแกต้องปล่อยแม่ไป ให้แม่อยู่กับสิ่งที่ทำแล้วมีความสุขส่วนแกก็ไปอยู่กับตำรวจนั่นซะถ้าแกคิดว่าเขาช่วยแกได้”
ไผ่พญากลั้นน้ำตาไม่อยู่จึงปล่อยให้น้ำตาไหลพรากออกมากับการที่จะต้องจากแม่
“ไม่ ฉันจะไปกับแม่”
ลำไยร้องไห้ไปกับลูก
“ข้าไม่ได้ตาย แกจะร้องทำไม ไป...ไปได้แล้ว”
ลำไยผลักไสไผ่พญาให้ไปหาภูวนัย ไผ่พญาค่อยๆ เดินไป แต่สุดท้ายก็หันกลับมาก่อนจะโผเข้ากอดลำไยไว้แน่น
“แม่ แม่จ๋า...แม่รักษาตัวเองดีๆ นะ”
“ลูกก็เหมือนกันนะ”
ไผ่พญากับลำไยกอดกันร้องไห้กับการจากลาที่ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่
ติดตาม "คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ" ตอนที่ 6