มายาตวัน ตอนที่ 9
เย็นวันหนึ่ง เชนวิ่งตามแม่ที่ตลาด ผู้คนไม่มากนัก แม่เดินหนีอย่างเร็ว
“แม่ อย่าทิ้งฉันไป”
“กูไม่ใช่แม่มึง”
“พ่อถูกจับไปแล้ว ฉันจะอยู่กับใคร”
“เรื่องของมึงสิ ไอ้ตัวซวย ไปให้พ้นๆ กูเลย”
“แม่”
เชนร้องไห้โห วิ่งไปจับชายเสื้อ แม่ปัดมือเชนออก
“ไปให้พ้นนะ”
เชนร้องไห้เกาะเสื้อแม่แน่น
“แม่”
แม่เอาตระกร้าใส่จองในมือฟาดๆ ใส่ ตวาดลั่นแล้วผลักเชนสุดแรงจนหกล้มไปกับพื้น
“ ไป๊ มึงจำคนผิดแล้ว กูไม่ใช่แม่มึง ไปให้พ้น”
แม่เอาตระกร้าเขวี้ยงใส่ซ้ำไปอีกแล้วรีบวิ่งหนีหายไป เชนร้องไห้สะอึกสะอื้นกับพื้นตลาด ชาวบ้านที่เห็นเมตตาเข้ามาพยุงปลอบโยนไป
เวลาหัวค่ำ เชนในสภาพตัวมอมแมมมาหาตำรวจร้อยเวร ยกมือไหว้
“ฉันมาเยี่ยมพ่อจ้ะ”
“มาซะค่ำเลยนะ พ่อบ่นถึงเราตลอดเวลาเลย รีบไปเยี่ยมซะ พรุ่งนี้ต้องย้ายที่ขังแล้วนะ”
เชนรีบวิ่งเข้าไปหาพ่อแล้วชะงัก เบรกเอี๊ยด สีหน้าช็อก ตาเบิกกว้าง ภาพที่เห็นในวัยเด็ก พ่อเชนผูกคอตายในห้องขัง ขาห้อยลอยพ้นพื้นเล็กน้อย
เชนน้ำตาร่วงผล๋อย เมื่อแอบฟังอดีตตัวเองที่รู้อยู่เต็มอกก็อดหวนนึกถึงอดีตอันเลวร้ายอีกครั้งไม่ได้
“ยังมีเรื่องหดหู่กว่านี้มั้ยคะ มัทไม่อยากฟังแล้ว” มัทนาบอก
“หมดแล้วล่ะหนู คุณตำรวจเค้าเวทนาเจ้าเชษฐ์ก็เลยพามาฝากไว้กับหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านสงสารก็รับอุปการะเอาไว้”
“น่าสงสารจังเลยนะคะหลวงพ่อ”
“ฟ้าหลังฝนมันก็ต้องสดใสขึ้นอยู่ดีล่ะ คงเป็นบุญของเจ้าเชษฐ์มัน”
“น่าอิจฉามันนะครับหลวงพ่อ แข่งเรือแข่งพายพอแข่งได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนานี่แข่งไม่ได้จริงๆ” ลุงชดส่ายหน้าไปมา
มัทนาสนใจอยากรู้
“เกิดอะไรขึ้นกับเชษฐ์เหรอคะหลวงพ่อ”
หลวงพ่อบอก
“มีฝรั่งใจบุญมาขออุปการะเจ้าเชษฐ์ พาไปเลี้ยงที่เมืองนอกเมืองนา น่าจะตอน 18-19 ได้มั้ง หรือไงเจ้าชด”
“ใช่ครับหลวงพ่อ ตอนเดียวกับที่คุณตวันจะไปเรียนต่อที่กรุงเทพ ผมจำได้แม่นเลยครับ”
มัทนากระเซ้า
“ไม่ได้เมาใช่มั้ยคะลุง”
“ไม่เมาครับไม่เมา แหม คุณหนูก็ ต่อหน้าหลวงพ่อนะ”
ชดทำสีหน้าแววตาล่อกแล่ก มัทนาขำๆ
“เค้าคงเลี้ยงดูเจ้าเชษฐ์มันอย่างดี ถึงได้หายเข้ากลีบเมฆไปเลย ข่าวคราวก็ไม่มีส่งมา คงสุขสบายไปแล้วล่ะ”
หลวงพ่อกับมัทนาก็ยิ้มดีใจไปกับชีวิตของเด็กคนนั้นด้วย เชนกลับไม่ได้รู้สึกโชคดีชื่นมื่นอย่างที่ทุกคนรู้สึก เชนกลับมีสีหน้าดุดัน แววตาโกรธแค้นจองเวร
เขตต์ตวัน เชน และเหล่าเพื่อนเด็กวัดกำลังนั่งทานอาหารกลางวันรวมกันอยู่เป็นวงๆ ที่โรงอาหาร
ในวันหยุด เอกชัยวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาตวันและเชน ทุกคนตอนนั้นย่างเข้าวัยหนุ่มอายุราว 18-20 ปี
“มีฝรั่งมาหาหลวงพ่อ”
เชนขำๆก่อนจะกินข้าวต่อ
“หลวงพ่อจะสปีคไหวมั้ยเนี่ย”
“แล้วมาทำไมเหรอะ”
“ลุงชดบอกได้ยินว่าจะมารับเด็กไปเป็นลูกบุญธรรม”
เชนชะงักไปหูผึ่ง ตาโตขึ้นมาด้วยความสนใจ
“เอาไปเลี้ยงที่เมืองนอกเลยนะโว้ย หวยจะออกที่ใครก็ไม่รู้” เอกชัยพูดยิ้มๆ
เขตต์ตวันยิ้มๆ ดูไม่สนใจ ทานข้าวต่อไป
“ไม่ใครก็ใครในพวกเรานี่แหละ”
เชนมีสีหน้าทะเยอทะยานอยากเป็นคนนั้นมาก ถือจานข้าวลุกออกไปเลย
“อ้าว เชษฐ์ อิ่มแล้วเหรอะ”
เชนเดินเร็วพร้อมตะโกนตอบกลับมาแบบไม่ใส่ใจ
“เออ”
เชนสีหน้าตื่นเต้นดีใจ ล้างหน้าฟอกสบู่เป็นการใหญ่ให้ขาวผ่อง เชนเอาผ้าขนหนูมาเช็ดหน้าแล้วพาดคอไว้ ก่อนหยิบหวีขึ้นมาหวีผมให้หล่อสุดๆ เชนส่องกระจกดูหน้าตัวเองอย่างพอใจ
ผ่านเวลาเล็กน้อย ในบริเวณวัด เขตต์ตวัน เอกชัย และเด็กวัดชายรุ่นหนุ่มกำลังช่วยกันขุดดินทำแปลงผักกันอย่างขะมักเขม้น..ป่านในวัย 14-15 ปี และหญิงสาวคนอื่นช่วยดึงวัชพืชทิ้ง หลวงพ่อเดินนำฝรั่งสองสามีภรรยาคุยไปเรื่อย มีลุงชดเดินตามประกบหลวงพ่อไม่ห่าง
“วัดเราปลูกผักสวนครัวไว้ทานกันเอง”
หลวงพ่อมองนำไปทางเขตต์ตวันและเอกชัยแล้วบอก
“ก็ได้เด็กๆ ในวัดนี่ล่ะ ช่วยกันปลูก”
ฝรั่งสองสามีภรรยายิ้มแย้มชื่นชม
“วันนี้อยู่กันเยอะหน่อย เพราะเป็นวันหยุดเรียน”
ภรรยาฝรั่งชี้ให้สามีมองไปที่เขตต์ตวันที่ยกแขนเสื้อขึ้นปาดเหงื่อพอดี เขาเหลือบสายตามองมาเห็น สองสามีภรรยามองอยู่ เขายิ้มแย้มยกมือไหว้ สองสามีรับไหว้ยิ้มแย้ม สีหน้าพอใจ
เชนที่ยืนถือร่มคันใหญ่หยุดมองอยู่ด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก รีบเข้ามา แย่งซีนนำกางร่มมากางให้ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ฝรั่งชายบอก
“ขอบคุณครับ”
“อ้าว พูดไทยได้ด้วยเหรอครับ” เชนถาม
“ได้สิ ฉันทำธุรกิจกับคนไทยมาเป็นสิบๆปีแล้ว”
เชนยิ้มแย้ม
“ดีจังเลยครับ”
“งั้นเดินไปดูทางบ้านอุปการะของวัดกันต่อนะโยม” หลวงพ่อว่า
“เชิญทางนี้ครับ” ลุงชดบอก
หลวงพ่อเดินนำไป เชนรีบกุลีกุจอช่วยกางร่มให้สองสามีฝรั่ง เอกชัยเหล่มองตามเชนไป ป่านลุกขึ้นมายืนข้างๆเอกชัยมองตามไปด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก
“ดูท่าจะมีคนอยากเป็นลูกบุญธรรมฝรั่งจนออกนอกหน้าน่าหมันไส้ว่ะ”
“ถ้าเค้าเลือกเชษฐ์ก็ถือว่าโชคดีของมัน เราก็ควรดีใจกับเพื่อนไป หมั่นไส้มันทำไมไม่เข้าท่า...มาช่วยขุดดินต่อ เลยไอ้เอก อย่าอู้” เขตต์ตวันบอก
“รู้งี้ไปกางร่มให้หลวงพ่อมั่งดีกว่า ไม่เหนื่อย”
เอกชัยสีหน้าเซ็งๆเดินไปขุดดินต่อ
ป่านเดินชะเง้อมองตามเชนไป สีหน้าไม่สบายใจ กลัวฝรั่งจะเลือกรับเชนไปเลี้ยงจริงๆ เขตต์ตวันหยุดขุดดินมองตามปฏิกิริยาของน้องสาว แอบสังเกตุมานานและพอดูออก เขาได้แต่ถอนใจยาวออกมาด้วยความรู้สึกเห็นใจน้องสาว
เวลาเย็น เชนเดินยิ้มฝันหวานมาที่มุมสวยของวัด ป่านหน้าตาน้อยใจเดินตามเชนมา
“พี่เชษฐ์จะไปจริงๆ เหรอ”
“ไปสิ ไม่ไปก็โง่แล้ว พี่จะไม่ใช่เด็กวัดอีกต่อไปแล้วนะ” เชนยิ้มแย้มแล้วพูดต่อ
“พี่จะมีอนาคตที่ดีกว่าเด็กในวัดนี้ทุกคน ต่อไปจะไม่มีใครมาดูถูกพี่ได้อีกแล้ว จะมีแต่คนกราบไหว้พี่ เพราะพี่เป็นลูกเศรษฐีฝรั่ง”
เชนหัวเราะชอบใจ
“พี่รู้ได้ไงว่าเค้าเป็นเศรษฐี”
“ก็พี่ได้ยินกับหูตัวเองเลยว่า เค้าทำธุรกิจอยู่เมืองไทยเป็น 10 ปีแล้ว เค้าไม่กล้าโกหกหลวงพ่อหรอก”
ป่านใจเสียน้ำตาคลอ ลุ้นฟังคำตอบ
“เค้าตัดสินใจเลือกอุปการะพี่เชษฐ์แล้วเหรอจ๊ะ”
เชนสีหน้าเซ็ง
“ยัง แต่วันนี้พรุ่งนี้ก็คงรู้แหละ”
เชนเท้าสะเอว หันกลับไปด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ ป่านถามทั้งน้ำตาคลอๆ
“พี่เชษฐ์จะลืมป่านมั้ย”
เชนหันมามอง ป่านน้ำตาไหลออกมาแล้วสวมกอดเชษฐ์เอาไว้แน่นอย่างรักมาก เชนหน้านิ่งปนเซ็ง สวมกอดป่านเอาไว้งั้นๆ
“อย่าทิ้งป่านไปเลยนะคะ ป่านรักพี่เชษฐ์”
เชนหน้านิ่ง แต่แอบคิดในใจ
“ฉันไม่โง่จมปรักเป็นเด็กวัดอยู่กับแกที่นี่หรอก”
เชนมีสีหน้าทะเยอทะยาน
หน้ากุฏิหลวงพ่อตอนหัวค่ำ เขตต์ตวัน เชน เอกชัย คลานเรียงตัวเข้ามาหาหลวงพ่อที่กุฏิ หลวงพ่อมองลูกศิษย์ทั้งสามคนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ทั้งสามหนุ่มก้มกราบหลวงพ่อพร้อมกัน
“อาตมาให้ตามเจ้าตวันคนเดียว ไหงตามกันมาเป็นพรวน”
“เลือดสุพรรณครับหลวงพ่อ มาด้วยกันไปด้วยกัน” เอกชัยยิ้มหน้าเป็น
เขตต์ตวันและเชนขำๆ
หลวงพ่อยิ้มๆส่ายหน้า
“เลือดสุพรรณ พูดตามเจ้าชดมัน เข้าใจความหมายเหรอเจ้าเอก”
“ก็เข้าใจว่ามาด้วยกันนี่ล่ะครับหลวงพ่อ”
หลวงพ่อถอนใจออกมา
“แต่คราวนี้เห็นทีจะมาด้วยกันแต่ไปคนเดียวซะแล้วล่ะ”
สามหนุ่มหันมองหน้ากันไปมา เชนดูตื่นเต้นกว่าใคร
“สามีฝรั่งคู่นั้นเค้าจะขอรับอุปการะใครเหรอครับหลวงพ่อ”
“ก็อาตมาให้ไปตามใครมาล่ะ”
เขตต์ตวันและเอกชัยอึ้งปนตกใจหันมองหน้ากัน เชนก็อึ้ง แต่เป็นไม่พอใจปนอิจฉามากกว่า
“เจ้าตวัน...เค้าอยากอุปการะแกเป็นลูกบุญธรรม จะว่ายังไงล่ะ”
เอกชัยหน้าถอดสี มองเพื่อนซี้ เชนเหล่มอง สีหน้าหมั่นไส้ปนอิจฉา เขตต์ตวันยกมือไหว้
“หลวงพ่อรับปากเค้าไปรึยังครับ”
“อาตมาจะรับปากเค้าโดยพลการได้ยังไงล่ะ ปลูกเรือนยังต้องตามใจผู้อยู่ นี่หาพ่อแม่ใหม่ให้เชียวนะ”
“ถ้าผมปฏิเสธล่ะครับ”
เอกชัยและเชนยิ้มดีใจพร้อมกัน แต่ต่างความความดีใจ
หลวงพ่อสีหน้าสงสัย
“ก็สุดแล้วแต่เอ็ง แล้วทำไมถึงปฏิเสธโอกาสดีๆ ซะล่ะ เจ้าปอน”
“ผมสอบติดที่กรุงเทพแล้ว ผมอยากไปเรียนต่อที่กรุงเทพ อยากอยู่ใกล้ๆ กับน้องกับเพื่อน”
เขตต์ตวันหันมองเอกชัย
“ผมคงอยู่อย่างไม่มีความสุขถ้าไม่ได้เห็นสองคนนี่”
เอกชัยกดความรู้สึกซึ้งเอาไว้ยื่นมือไปตบไหล่ตวัน ก้มหน้านิ่ง
“เมื่อเอ็งตัดสินใจยังงี้แล้วก็ตามใจ อาตมาจะบอกเค้าไปตามนั้นก็แล้วกัน”
เชนรีบยกมือไหว้พูด
“แต่ผมอยากไปครับหลวงพ่อ”
ทุกคนหันมองไปที่เชน... เขตต์ตวันสีหน้าเอาใจช่วย ขณะที่เอกชัยแอบเบ้ปากเล็กน้อย เชนขยับเข้าใกล้หลวงพ่อ
“หลวงพ่อช่วยพูดให้ผมได้มั้ยครับ” เชนพูดพลางกราบเท้าหลวงพ่อ
หลวงพ่อลูบหัวเชนบอก
“อาตมาจะไปบอกกับเค้าให้ แต่ก็ต้องสุดแล้วแต่เค้าจะตัดสินใจนะเจ้าเชษฐ์”
“ครับหลวงพ่อ ขอบพระคุณมากครับ”
เชนกราบเท้าหลวงพ่ออีกครั้ง สีหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความหวังเต็มเปี่ยม
สายวันหนึ่ง ฝรั่งสามีภรรยายกมือไหว้ลาหลวงพ่อที่ลานวัด เห็นคนขับรถลีมูซีนช่วยยกสัมภาระของเชนไปใส่ท้ายรถ สองสามีภรรยาฝรั่งเดินนำไปขึ้นรถก่อน เขตต์ตวัน เอกชัยและเหล่าเด็กวัดมายืนออส่งเชนกัน
เชนเดินเข้ามากราบเท้าหลวงพ่อ หลวงพ่อตบหัว
“จำทุกคำสั่งสอนที่ได้จากวัดสวนป่าไปปฏิบัติ ใช้เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตนะเจ้าเชษฐ์ ชีวิตเอ็งจะมีแต่ความเจริญ”
เชนเงยหน้ามายกมือไหว้
“ครับหลวงพ่อ”
“จากนี้ไปเจ้าต้องกตัญญูกตเวทีต่อเค้าให้เหมือนกับบิดามารดาผู้ให้กำเนิด เข้าใจมั้ยเจ้าเชษฐ์”
“ครับหลวงพ่อ เค้าสองคนคือผู้ให้ชีวิตใหม่กับผม”
หลวงพ่อพยักหน้ารับ ตบหัวเชนเบาๆ ป่านเพิ่งรู้ข่าวรีบวิ่งมาทางลานวัดอย่างรีบร้อน เอกชัยหันไปเห็นก็กระซิบบอกเขตต์ตวัน
“ถ้าจะปิดไม่มิดแล้วว่ะ”
เขตต์ตวันหันมองไปทางป่านที่รีบวิ่งมาอย่างเร็วสุดชีวิต ป่านวิ่งร้องไห้ เมื่อเห็นเชนกำลังจะเดินไปขึ้นรถ เขตต์ตวันตะโกนพูด
“โชคดีนะเชษฐ์”
เด็กวัดตะโกนพูดอวยพรประมาณเดียวกัน
เชนได้ยินแต่ไม่หันกลับมาขอบคุณหรืออะไร ได้แต่เดินหน้าเชิดไปสู่รถลีมูซีนที่พ่อแม่ใหม่ยิ้มรอรับอยู่ เชนมีแต่สีหน้าทะเยอทะยานใฝ่สูง ป่านตะโกนสุดเสียง
“พี่เชษฐ์”
ป่านสะดุดรากไม้ ล้มคว่ำลง ทุกคนตกใจหันไปมอง
“ป่าน” เขตต์ตวันวิ่งกลับไปประคองน้องสาว
เชนไม่สนใจเดินมุ่งมั่นไปขึ้นรถ
“พี่เชษฐ์”
เชนไม่แม้แต่หยุดฟัง เขาพูดสั่งตัวเองในหัว
“ฉันจะไม่หันหลังกลับ ฉันจะไม่มาเหยียบที่นี่อีก ชีวิตฉันไม่เคยเป็นเด็กวัด”
เชนยิ้มใฝ่สูงเดินไปขึ้นรถที่มีคนขับลีมูซีนยืนเปิดประตูรอรับอยู่ เชนวางมาดเดินยืดเข้าไปนั่งเบาะหน้า คนขับรถโค้งให้ก่อนปิดประตูรถแล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถเพื่อขับออกไป
เขตต์ตวันประคองป่านขึ้นยืน พอยืนได้ป่านก็ลืมเจ็บปวด ร้องไห้โฮ วิ่งตะบึงตามรถไป
“พี่เชษฐ์ พี่เชษฐ์”
เชนนั่งนิ่งไม่สนมองไม่แม้แต่หางตา คอตั้งบ่ามองตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว
“เพื่อนเรารึเปล่า” ฝรั่งชายถาม
เชนหน้านิ่งบอก
“เปล่าครับ ผมไม่รู้จัก คงอยากเป็นลูกบุญธรรมคุณพ่อ”
เชนเรียกว่าพ่ออย่างไม่มีขัดเขิน สองสามีฝรั่งพยักหน้ารับหันมองกลับไป เห็นป่านวิ่งตามตะโกนเรียกเชษฐ์ร้องไห้ปริ่มจะขาดใจ
เชนเหลือบตามองกระจกส่องหลัง เห็นป่านวิ่งตามจนล้มกลิ้งไป เขตต์ตวันและเอกชัยวิ่งมาช่วยกันประคอง...ท่าทางป่านโกรธจัดทุบตีพี่ชายและเอกชัยพร้อมต่อว่าประมาณว่า ทำไมไม่บอกป่าน โกหกป่านทำไม เชนละสายตามองไปตามถนนข้างหน้า ยิ้มมุมปากอย่างวาดฝันไปไกล
วันนี้ เชนไม่มีรอยยิ้มช่างฝัน หากแต่มีสีหน้าแววตาแห่งความเจ็บช้ำ โกรธเกลียด
“มาหาใครเหรอพี่”
เด็กวัดคนนหึ่งถามเชน เขาตกใจหลุดออกจากความคิด
มัทนา หลวงพ่อ และลุงชด หันมองไปหลังแนวไม้ไผ่ หลังจากได้ยินเสียงเด็กวัดพูดขึ้นมา
เด็กวัดถูกผลักล้มลงไปแล้ว เห็นหลังผู้ชายคนหนึ่งไกลๆ วิ่งเลี้ยวหลบมุมไป เชนรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งหลบออกไปทันที
เชนปิดประตูรถโครม นั่งหน้าเครียดโกรธเกลียดอยู่ต่อหน้าพวงมาลัยรถ เขาขบกรามแน่นจนขึ้นสัน
เชนสีหน้าเจ็บแค้น อาฆาต น้ำเสียงโกรธเก็บกด โหดดิบ
“เพราะมึงคนเดียวไอ้ปอน”
เชนเกร็งไปทั้งตัว ตาแทบโปนถลน กำมือจนเกร็งขึ้นสัน แผดเสียงร้องลั่นรถ แล้วทุบฟาดพวงมาลัยรถโครมๆๆๆ อาการไม่ต่างจากคนมีอาการทางจิตคลุ้มคลั่ง
พระอาทิตย์กำลังตกดินที่แหลมพรหมเทพ มัทนานั่งมองดูพระอาทิตย์ตก สีหน้าเศร้าๆ ไม่คาดคิดมีช่วงขาผู้ชายคนหนึ่งมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ มัทนาเหลือบเห็นช่วงขาที่มายืนข้างๆ ด้วยสีหน้าแปลกใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง และค่อยๆ ยิ้มออกมา
เอกชัยกำลังเปิดดูอัลบั้มรูปถ่ายเครื่องประดับพร้อมคุยโทรศัพท์มือถือแบบเปิดสปีคเกอร์โฟน
“ถูกใจหมดเลยจะทำไงดีครับพี่”
เสียงกริ่งหน้าห้องคอนโดฯ ดังขัดขึ้น เอกชัยคุยมือถือผ่านสปีคเกอร์โฟน
“ได้ครับ ขอบคุณมากครับพี่ อยากเห็นของจริงจนจะอดใจไม่ไหวแล้ว”
เอกชัยฟังอีกฝ่ายขำๆ ก่อนตอบ
“ขอบคุณมากครับ”
เอกชัยกดตัดสายแล้วลุกไปเปิดประตูห้องที่โดนกดเร่งอีก
“มาแล้วๆ”
เอกชัยเปิดประตูห้อง ลลิสาเดินหน้าหงิกเข้าห้องมา
“คุณปอนไปไหนคะ ทำไมไม่ลงไปดูงานเลย”
“อ้าว ไม่ได้อยู่กับเธอเหรอะ”
“อยู่แล้วจะขึ้นมาถามทำไมคะ อยู่ในห้องนอนรึเปล่า”
ลลิสาจะเดินไปทางห้องนอน เอกชัยรีบตามขวางหน้าทำหน้าตาย
“ไม่อยู่นี่ ฉันไม่เห็นตั้งแต่กินข้าวกลางวันแล้ว เอ๊ะ รึว่าจะกลับไปภูเก็ตซะแล้ว”
“จะกลับไปทำไมคะ”
เอกชัยพูดกวนๆ ยิ้มๆ
“ก็ได้ยินมาว่ามัทนาต้องกลับไปทำข่าวเพิ่มเติมน่ะสิ จะรีบตามไปเทคแคร์รึเปล่าก็ไม่รู้นะ”
“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ แม่นั่นจะสำคัญไปกว่างานได้ยังไง”
ลลิสาค้อนใส่เอกชัย แต่ก็แอบกังวลกลัวว่าจะเป็นจริง ลลิสาหงุดหงิดกระฟัดกระเฟียดเดินกลับออกไป พร้อมกดโทรศัพท์มือถือโทรออกหาเขตต์ตวัน
เอกชัยถอนใจก่อนจะพูดพึมพำ
“ขอเวลาให้ปอนมันงีบมั่งเหอะ เกาะแจเลย”
เอกชัยส่ายหน้าเดินกลับไปนั่งเช็คเครื่องประดับที่จะให้นางแบบใส่ในงานวันเดินแบบอีกครั้ง
เขตต์ตวันนอนงีบหลับอยู่ที่เก้าอี้เอนหลังตัวสบายในห้องนอน หลังจากทำงานกันมาทั้งคืน เขารู้สึกตัวตื่นกดเปิดโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปห้องน้ำ
โทรศัพท์มือถือจูนเครื่องติด เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นทันที เขตต์ตวันชะงักขณะจะเข้าห้องน้ำ ถอยกลับมาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู เบอร์ไม่คุ้น ลังเลไปมา ก่อนจะตัดสินใจกดรับ
“ฮัลโหล”
เสียงหัวเราะแบบคนโรคจิตดังแทรกเข้ามาทันที เขตต์ตวันอึ้งไป
“ไอ้เชษฐ์”
เชนยืนคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ข้างรถที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถโรงแรม
“วันนี้อะไรดลใจให้คุณเขตต์ตวันผู้โด่งดังยอมรับสายเบอร์แปลกๆ ได้...สงสัยจะเพราะนักข่าวมัทนาคนสวยที่อยู่กับฉันที่ภูเก็ตนี่แน่ๆ เลย”
เขตต์ตวันดูตกใจมากด้วยความเป็นห่วงมัทนา
“แกอย่าทำอะไรเด็กคนนั้นนะ ไอ้เชษฐ์”
มีแต่เสียงหัวเราะโรคจิตตอบกลับมา เขตต์ตวันหน้าเครียด กังวลมาก ห่วงความปลอดภัยของมัทนา
มายาตวัน ตอนที่ 9 (ต่อ)
มัทนาเปลี่ยนเสื้อผ้าเดินมาที่ลานจอดรถ มองหาเชนที่คุยโทรศัพท์อยู่ที่ข้างรถ จึงรีบเดินเข้ามาหาเชนจับตามองมัทนาที่เดินมาหา พร้อมกับอมยิ้มร้ายๆ
“เงียบทำไมไอ้เชษฐ์ อย่าทำร้ายมัทนา เธอไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วย”
เชนจงใจลดโทรศัพท์ลงเหมือนจะขยับไปให้ใกล้มัทนาอย่างเนียนที่สุด
“รอนานมั้ยคะ”
เชนกดตัดสายโทรศัพท์ไปทันที
เขตต์ตวันหน้าตาช็อกตกใจมากที่ได้ยินเสียงมัทนา
“มัท”
ปลายสายตัดสายทิ้ง
“ฮัลโหล ฮัลโหล...”
เขตต์ตวันสีหน้าร้อนใจสุดๆพึมพำชื่อ มัทนา เขามือไม้สั่น รีบกดหาเบอร์โทรของมัทนา
เชนเปิดประตูรถให้มัทนาเข้าไปนั่งแล้วชวนคุย
“ทำไมปิดมือถือล่ะครับ ผมโทรไม่ติดเลย นึกว่าจะหลบผมซะแล้ว”
“เปล่าค่ะ เรานัดกันแล้วนี่คะ มัทหลบที่บ้านค่ะ แอบหนีมาเที่ยวขี้เกียจฟังแม่ด่า”
เชนยิ้มกระเซ้า
“ที่แท้ก็เด็กใจแตกหนีเที่ยวนี่เอง”
มัทนาขำๆ เชนปิดประตูรถก่อนจะเดินอมยิ้มร้ายๆ อ้อมไปขึ้นฝั่งคนขับ
โถงคอนโดฯ ชลบุษย์มาปรึกษากับเอกชัยที่โซฟารับแขก
“บุษย์ว่าเปลี่ยนตัวนางแบบตอนนี้ยังทันนะคะ”
เขตต์ตวันเดินร้อนใจออกมาจากห้องพร้อมสั่ง
“เอก หาเครื่องกลับภูเก็ตให้หน่อย”
เขตต์ตวันชะงักเมื่อเห็นชลบุษย์อยู่ด้วย ทั้งชลบุษย์และเอกชัยต่างงงทั้งคู่
“แกมาคุยกับฉันในห้อง”
เขตต์ตวันหน้าเครียดเดินกลับเข้าห้องไป
“เดี๋ยวคุยต่อ”
เอกชัยบอกชลลบุษย์และรีบเดินตามเขตต์ตวันเข้าไปในห้อง ชลบุษย์มีสีหน้าอยากรู้ เธอรอจนเอกชัยเข้าห้องปิดประตูไป ก็ลุกเดินตามไปทันที
ภายในห้อง เขตต์ตวันฉายสีหน้าโกรธเกลียด
“ฉันจำเสียงหัวเราะของมันได้ขึ้นใจ”
เอกชัยหน้าเครียด
“ไม่มีทางเป็นใครได้นอกจากมันคนเดียว”
“แน่ใจเหรอะว่ามัทนาอยู่กับมัน”
“ฉันได้ยินเสียงมัทกับหู ไม่รู้ว่ามันกำลังหลอกล่อพาไปไหน”
เขตต์ตวันสีหน้าเป็นห่วงมาก
“รู้มั้ยว่า มัทกลับภูเก็ตไปง้อแก เล่นตัวไม่เข้าท่า ต้องให้มัทนาได้รับอันตรายซะก่อน แกถึงจะใจอ่อนได้ใช่มั้ยไอ้ปอน”
เขตต์ตวันสีหน้าเจ็บแค้น
“ถ้ามันทำร้ายมัทนาอีกคน ฉันจะไม่ปล่อยให้มันรอดไปได้อีกเป็นอันขาด ถึงต้องฆ่าคนตายฉันก็จะทำ”
ชลบุษย์สีหน้าตกใจมากเมื่อได้ยินบทสนทนา
ผ่านเวลาเล็กน้อย ชลบุษย์ท่าทางอารมณ์เสียหันมาวีนใส่ลลิสาที่สระน้ำคอนโด
“นี่ไม่ใช่เวลามาจ้องขัดขากันนะ เราควรหันมาจับมือกัน หาทางกำจัดมันมากกว่า”
ลลิสาทำท่าเย่อหยิ่ง
“เรื่องแค่นี้เอง ฉันไม่เห็นต้องไปจับมือกับใครมาเป็นตัวช่วยเลย ฉันจัดการคนเดียวได้อยู่แล้ว” ลลิสาสีหน้ามั่นใจจัด
ชลบุษย์จ้องหน้า ยิ้มเหยียด
“อย่ามั่นใจให้มันมากเกินไปนัก ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำให้คุณปอนเป็นไปได้ขนาดนี้มาก่อน”
ลลิสาอึ้งๆ ไปเพราะเห็นด้วย ชลบุษย์หมั่นไส้เหล่มองลลิสา ก่อนพูดแขวะลอยๆ
“ฉันไม่ได้ตะกละตะกลาม จับปลาสองมือเหมือนอย่างเธอนี่ ถึงจะทำชะล่าใจอยู่ได้”
ลลิสาหยุดกึก เดินมาเผชิญหน้า
“เธอพูดให้ดีนะ”
ชลบุษย์จ้องหน้าคืน
“อย่าคิดว่าฉันรู้ไม่ทันเธอนะลิซ่า”
ลลิสาขำหยัน
“ฉันเชื่อว่าเธอรู้ทัน เพราะเราหมายตาปลาตัวเดียวกันตลอด”
ลลิสายักไหล่ หน้าตากวนประสาทแล้วพูดต่อ
“ทำไงได้ล่ะ ปลาตัวใหญ่ทั้งคู่เลย ฉันยังเลือกไม่ถูก เอาเป็นว่าเธอรอไปก่อนแล้วกัน ฉันเลือกตัวไหนได้ อีกตัวจะยกให้”
ชลบุษย์เจ็บใจ ปนหมั่นไส้
“เธอถนัดรอกินของเหลืออยู่แล้วนี่”
ลลิสายิ้มเหยียดแล้วเดินฉับๆ กลับเข้าไป ชลบุษย์เจ็บใจมาก
“แล้วแกจะไม่เหลือใครซักคน”
ชลบุษย์สีหน้าอิจฉาปนชิงชัง)
บ้านเขตต์ตวันตอนหัวค่ำ เยาะวิ่งหน้าตาตื่นออกมาหาเปี๊ยกที่ป้อมยาม
“ไอ้เปี๊ยกๆ หลับรึเปล่าวะ”
“เปล่า มีอะไร แหกปากซะยังกะจะโดนใครจับปล้ำ”
“โอ๊ย โดนจับปล้ำฉันไม่ร้องงี้หรอก กลัวมันเปลี่ยนใจ...”
เยาะยื่นโทรศัพท์ให้แล้วบอก
“คุณเอกจะคุยกับเอ็ง”
เปี๊ยกตกใจ
“ไม่รีบบอกวะ … ครับคุณเอก”
ที่สนามบินเห็นเอกชัยกำลังคุยโทรศัพท์มือถืออยู่หน้าห้องน้ำ
“แกรีบไปหาเพื่อนรปภ.ของแกมาซัก 2-3 คน หาหน่วยก้านดีๆ หน่อยแล้วกัน”
“เอาไปทำอะไรครับคุณเอก”
“คุ้มกันคุณปอน คุณปอนกำลังจะกลับไปภูเก็ต แกรีบไปตามเพื่อนมาเลย”
เยาะยื่นหูมาฟังการสนทนาด้วย
“เดี๋ยวสมศักดิ์จะรับพวกแกไปรับคุณปอนที่สนามบิน อาวุธพร้อม เข้าใจมั้ย”
“ครับ ครับ ได้ครับคุณเอก”
เปี๊ยกกดตัดสายเอาโทรศัพท์ไร้สายคืนเยาะ
“ไหวมั้ยแก อาวุธพร้อมเนี่ย”
“เพื่อคุณปอน ตายเป็นตาย”
“แกยอมตาย”
“เพื่อนก่อน”
“โอ๊ย นึกว่าจะแน่”
โทรศัพท์มือถือเยาะดังขึ้น เยาะตกใจ กดรับโทรศัพท์ไร้สายทันที
“ฮัลโหล” เยาะทำเสียงฝรั่งสำเนียงใต้ แต่เสียงโทรศัพท์มือถือยังดังอยู่
“เอ้าไม่ใช่”
เยาะรีบหยิบมือถือออกมาดูเบอร์โชว์ ก็ตกใจมาก
“คุณลิซ่า”
เยาะรีบกดรับสาย
“สวัสดีค่ะคุณลิซ่าขา มีอะไรให้เยาะรับใช้คะ... คุณเอกเพิ่งโทรมาเดี๋ยวนี้เองค่ะ ท่าทางจะเรื่องคอขาดบาดตายนะคะคุณลิซ่า” เยาะเดินเมาท์ไปตามทาง
เขตต์ตวันสวมหมวกเดินคุยกับเอกชัยในสนามบิน
“ฝากงานทางนี้ด้วยแล้วกัน”
เอกชัยเป็นห่วง
“ฉันอยากจะไปกับแกด้วยจริงๆ ว่ะ บอกตามตรง กลัวใจไอ้เชษฐ์ มันอยู่ที่ลับเราอยู่ที่แจ้ง”
“ภูเก็ตก็ถิ่นของเรา แกก็โทรไปตามบอดี้การ์ดมาคุ้มกันฉันแล้วนี่”
“จะได้เรื่องแค่ไหนก็ไม่รู้”
เขตต์ตวันตบบ่าเพื่อนบอกเพื่อน
“คิดมากน่ะ ฉันมันดวงแข็งอยู่แล้ว ไม่งั้นคงไม่รอดมาถึงวันนี้หรอก”
“เออ อย่าประมาทก็แล้วกัน ศัตรูเรามันออกแนวจิตๆ ซะด้วย”
“ฉันจะระวังตัวก็แล้วกัน”
โทรศัพท์เขตต์ตวันมีเสียงการส่งเตือนจากแอ๊พหนึ่งดังเข้ามา เขายกโทรศัพท์ขึ้นดู มัทนาส่งการ์ตูนหน้าร้องไห้มา เขาเป็นห่วงผสมดีใจ
“มัทนา”
ภายในร้านอาหาร เชนและมัทนานั่งกินอาหารด้วยกันในร้านบรรยกาศดี
“ไหนขอผมดูสิ ส่งรูปอะไรไปง้อเค้า”
มัทนาส่งโทรศัพท์ให้เชนดู
“รูปร้องไห้ ทำไมไม่ส่งรูปนี้ล่ะ”
เชนถือวิสาสะเลือกรูป
โทรศัพท์มือถือเขตต์ตวันมีรูปหน้าตกใจกลัว ส่งเข้ามาแทน เขาและเอกชัยสบตามองหน้ากัน
เอกชัยชักไม่สบายใจ
“มัทพยายามจะบอกอะไรเรารึเปล่าวะปอน”
เขตต์ตวันสีหน้าไม่สบายใจ โทรกลับไปหามัทนาทันที
“คุณเชนส่งไปเลยเหรอ”
เชนยิ้มๆ
“ส่งไปแล้ว”
มัทนาตกใจ ปาดมือไปหยิบโทรศัพท์
“ส่งรูปอะไรไป ขอมัทดูซิคะ”
เชนแกล้งถอยมือหลบแล้วจงใจปล่อยโทรศัพท์ตกพื้นแบบบังเอิญ มัทนาตกใจมาก
“อุ๊ย”
เชนหน้าซีดแหย
“โทษครับ”
เชนรีบลงไปนั่งย่อเอาตัวบังเก็บมือถือที่แบตกระแทกหลุดจากตัวเครื่อง เชนแอบกดเท้าเหยียบตัวเครื่องซ้ำกะให้พังจริงๆ
เขตต์ตวันหน้าเครียดเป็นห่วงมาก ลดโทรศัพท์ลง
“ติดต่อไม่ได้แล้ว”
“อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ มันถนัดสร้างสถานการณ์อยู่แล้ว”
เขตต์ตวันยังมีสีหน้าไม่สบายใจมากอยู่ดี
“ถ้ามัทนาเป็นอันตราย มันคือความผิดของฉัน ฉันคือต้นเหตุ”
เขตต์ตวันโทษตัวเอง รู้สึกแย่มาก เอกชัยได้แต่ตบบ่าเพื่อนให้กำลังใจ
เวลากลางคืน เปี๊ยกและเพื่อนรปภ.ยืนคุมเชิงอยู่ที่ล็อบบี้โรงแรมอโณทัยเพื่อคุ้มกันความปลอดภัยให้เขตต์ตวัน
เขตต์ตวันกำลังคุยกับพนักงานต้อนรับที่เคาน์เตอร์ เป็นพนักงานคนเดียวกันกับที่ซี้กับเชน
“ใช่ค่ะคุณมัทนากลับมาพักที่นี่”
“ตอนนี้อยู่มั้ยครับ”
“เห็นมีคนมารับออกไปนะคะ”
“คุณเห็นมั้ยครับว่าคนที่รับออกไป รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง”
“ขอโทษค่ะ ดิฉันไม่ทันได้สังเกตุน่ะค่ะ”
“แล้วคุณมัทนาได้สั่งอะไรไว้บ้างมั้ยครับ”
“ก็ไม่มีนะคะ”
“ขอบคุณครับ งั้นขอผมนั่งรอที่นี่ซักพักก็แล้วกัน”
“ตามสบายเลยค่ะ”
เขตต์ตวันเดินหน้าเครียดไปนั่งที่โซฟารับแขก พนักงานต้อนรับสาวเหล่มองไปทางเขตต์ตวันอย่างเก็บข้อมูล
มัทนานั่งรออยู่ในรถที่จอดอยู่ ณ ลานจอดรถแห่งหนึ่ง เชนเดินเร็วกลับมาที่รถด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“ร้านปิดหมดเลยครับ สงสัยต้องเป็นพรุ่งนี้แล้วล่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณเชนไม่ต้องไม่สบายใจไปหรอกค่ะ ยังไงวันนี้ มัทก็กะปิดมือถือทั้งคืนอยู่แล้ว”
เชนหน้าจ๋อยๆ
“ถ้าซ่อมไม่ได้จริงๆ ผมยืนยันจะถอยเครื่องใหม่ให้นะครับ”
มัทนายิ้มแย้ม ขี้เล่น
“ขอให้ซ่อมไม่ได้ทีเถอะเพี้ยง”
เชนขำๆ
“กลับกันเถอะค่ะ มัทง่วงแล้ว”
“โอเคครับ”
เชนเดินอ้อมไปขึ้นรถ มัทนายกมือขึ้นมาปิดปากหาวหวอด เชนยิ้มเจ้าเล่ห์แววตาร้ายๆ ก่อนขึ้นรถขับออกไป
เขตต์ตวันกระวนกระวายใจ จนนั่งไม่ติด เขาลุกเดินไปดูทางประตูทางเข้าโรงแรมจับตามองลูกค้าโรงแรมที่เดินเข้ามา
เขตต์ตวันเปลี่ยนมุมนั่ง หาที่มองไปทางเข้าได้ถนัดๆ สีหน้าร้อนใจปนห่วง
มัทนาเผลองีบไปในรถเชน เชนเหล่มองเห็นว่าหลับ เลยทดลอง
“พรุ่งนี้เราไปเที่ยวไหนกันดีครับ”
มัทนาเงียบไปไม่ตอบกำลังหลับสบาย เชนสะแหยะยิ้มพอใจ
เขตต์ตวันจับตาดูลูกค้าทุกคนที่เข้ามาในโรงแรม โทรศัพท์มือถือดังขัดขึ้น เป็นเบอร์แปลกไม่ซ้ำกับเบอร์เดิมที่เชนโทรมา เขาตัดสินใจกดรับ...เสียงปลายสายพูดแทรกเข้ามาทันทีที่กดรับ
“เขตต์ตวันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ”
เขตต์ตวันหน้านิ่งไป จำเสียงได้ขึ้นใจ
“วันนี้รับเบอร์แปลก 2 เบอร์แล้ว”
เขตต์ตวันตะคอกกลับไป
“แกต้องการอะไร”
เชนขับรถพร้อมคุยโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธ
“ไม่ต้องดุดันขนาดนั้นก็ได้ รู้สึกว่าแกจะห่วงเด็กนักข่าวนี่มากจริงๆ นะ”
เชนเหล่มองไปทางมัทนาที่หลับสนิทด้วยความเหนื่อยเพลียอยู่ข้างๆ เขตต์ตวันลุกพรวดขึ้น ท่าทางดูร้อนรน
“แกอยู่ไหน อย่าทำอะไรมัทนา เค้าไม่รู้เรื่องอะไรด้วย”
“เด็กน้อยกินอิ่ม นอนหลับ น่าเอ็นดู”
เขตต์ตวันร้อนใจห่วงมาก
“ไอ้เชษฐ์ แกแค้นฉันก็มาลงที่ฉันนี่ ปล่อยเด็กนั่นไปซะ”
“คิดว่าแกเป็นพ่อฉันรึไง ฉันถึงต้องฟังแก”
“แกคิดจะทำอะไร”
เชนยิ้มจิตๆ เหมือนมีปมฝังแค้นอยู่ในใจ
“ใครก็ตามที่มึงรักมึงห่วง กูจะจ้องทำลายมันทุกคน”
เขตต์ตวัน อึ้งๆผงะไป รู้ว่าอีกฝ่ายทำจริง ไม่ใช่คนปกติธรรมดา เชนสีหน้าแววตาออกจิตๆ
“เหมือนที่กูเคยทำลายนางแบบของมึง น้องสาวของมึง แล้วก็แม่ของมึง”
เขตต์ตวันโกรธจนคุมสติไม่อยู่ ระเบิดอารมณ์เสียงดัง
“ไอ้ชาติชั่ว”
ทุกคนที่โรงแรมตกใจ หันมองมาทางเขตต์ตวันเป็นตาเดียว เปี๊ยกตกใจ รีบหันซ้ายหันขวาเดินมาหานาย ด้วยความเป็นห่วง
เสียงเชนหัวเราะโรคจิตจ้องเข้ามาในหูของเขตต์ตวันที่แววตาโกรธจัด ตาแดงกล่ำจากความโกรธเกลียดและเจ็บช้ำ ร่างกายเครียดเกร็งไปทั่ว
เชนสีหน้าแววตาเคียดแค้น อาฆาต เสียงหนักหน่วงแหบพร่า
“มึงทำลายชีวิตกูได้ กูก็ทำลายชีวิตมึงได้เหมือนกัน”
เขตต์ตวัน เสียงห้วนสวนกลับไ
“กูไปทำลายชีวิตมึงเมื่อไหร่”
อีกฝ่ายตัดสายไปเลย
“ไอ้เชษฐ์ ไอ้เชษฐ์ ไอ้นรกเอ๊ย”
เปี๊ยกสีหน้าแหยๆ ถาม
“มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับคุณปอน คนแตกตื่นไปทั้งโรงแรมแล้ว”
เขตต์ตวันค่อยได้สติ กวาดตามองเห็นทุกคนที่มาใช้บริการโรงแรมจากมุมต่างๆมองมาที่เขาเป็นจุดเดียว เขาหน้าเหวอปนอายไปเล็กน้อย
“กลับบ้าน”
เขตต์ตวันเดินหน้าเครียดนำออกไปทางที่จอดรถ ทุกคนในโรงแรมมองตาม เปี๊ยกรีบเรียกพรรคพวกตามประกบคุ้มกันตวันไปทันที
มัทนาตื่นขึ้นมา ลืมตาก็เห็นเชนนั่งมองตนอยู่ข้างๆ มัทนาสะดุ้ง รีบนั่งตรง
“มัทหลับไปนานรึยังคะเนี่ย”
“แป๊บเดียวเองครับ”
“น่าอายจังเลย”
“คุณคงเหนื่อยมาก แต่ไม่ต้องอายหรอกครับ คุณไม่ได้กรน”
เชนขำ มัทนาเขินอายมาก เลี่ยงกวาดตามองออกไป
“ที่ไหนคะเนี่ย”
“เผอิญรถผมมันเกเร เลยรีบเข้ามาจอดที่โรงแรมนี้ก่อน คุณจะได้มีที่พัก”
มัทนาระแวง ระวัง
“แล้วคุณเชนล่ะคะ”
“ผมตามช่างมาแล้วครับ ผมต้องรอดูให้รถเรียบร้อยก่อนแล้วจะขึ้นไปตาม”
มัทนาสีหน้าเกรงใจ
“ผมไปส่งที่ล็อบบี้ครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
มัทนาลงเดินนำไปจากรถ สีหน้าแอบระแวงๆ เชนจับตามอง สีหน้านิ่งๆ มีแผนการ
ที่โรงแรมใหม่แห่งหนึ่ง พนักงานผู้หญิงเดินมาส่งมัทนาที่หน้าห้องพัก เปิดประตูห้องให้
มัทนาเดินตามมาสีหน้าระแวงๆ
“ขอบคุณค่ะ เอ่อ พี่คะ คีย์การ์ดห้องนี้มีชุดเดียวใช่มั้ยคะ”
“ค่ะ”
“ไม่มีใครเปิดเข้ามาได้นะคะ”
“มีแต่แม่บ้านค่ะ แต่ถ้าไม่อยากให้รบกวน ก็กดสวิทช์ไฟตรงนี้ได้เลยค่ะ กดเลยมั้ยคะ เดี๋ยวลืม”
“กดเลยค่ะ”
พนักงานกดสวิทช์ข้างประตูห้องให้พร้อมบอก
“นอนพักให้สบาย หลับฝันดีนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ”
พนักงานเดินออกไป มัทนาจัดการล็อกห้องเป็นการใหญ่ มองหาเก้าอี้ยกเอามาขวางห้องเอาไว้
มัทนาพึมพำ สีหน้าระแวง
“ไว้ใจได้มั้ยเนี่ย มือถือเสีย รถเสียแผนการขั้นเทพเลยนะเนี่ย”
มัทนาเดินไปทิ้งตัวลงนั่งที่เตียงพลางพูดปลอบใจตัวเอง
“คุณเชนไม่น่าใช่ผู้ชายแบบนั้นหรอก … แต่ผู้ชาย ยังไงก็ไว้ใจไม่ได้”
มัทนาไปรื้อเป้ประจำตัวแล้วหยิบมีดพกขนาดเล็กออกมาไว้ข้างตัว
เขตต์ตวันสีหน้าเครียดๆ เดินกลับเข้ามาที่โถงบ้านทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาอย่างหมดแรง ทันทีที่นั่งลง มีเสียงสัญญาณส่งข้อความภาพเข้าเครื่องมา เขารีบเปิดภาพดู...เป็นภาพมัทนานอนหลับอยู่ในรถเชน เขตต์ตวันมีสีหน้าตกใจมาก เป็นห่วงมัทนาจับใจ
เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าดังขัดเข้ามาพอดี
เอกชัยอยู่ที่โถงคอนโดฯ ยืนคุยโทรศัพท์มือถือกับเขตต์ตวันอยู่
“เป็นไงมั่งวะปอน”
“มัทอยู่กับมันจริงๆ”
เอกชัยตกใจ
“จริงเหรอวะ แล้วไปอยู่กับมันได้ยังไง ตอนนี้มัทอยู่ไหน”
เขตต์ตวันเครียดมาก ระเบิดอารมณ์กลับไปทันที
“ฉันไม่รู้ ไม่รู้อะไรทั้งนั้นล่ะ”
“ โทษที ฉันกำลังเป็นห่วง”
เขตต์ตวันถอนใจ สะกดอารมณ์ไว้
“ล่าสุดมันส่งรูปมัทมาให้ มัทกำลังหลับอยู่ในรถมัน”
เอกชัยมีสีหน้าเป็นห่วง
“โดนวางยารึเปล่าวะ”
“ฉันก็ไม่แน่ใจ”
“ฉันพยายามโทรหามัทมาเรื่อยๆ นะ แต่ติดต่อไม่ได้เลย”
เขตต์ตวันถอนใจออกมา
“ฉันก็เหมือนกัน...เราจะทำยังไงกันดีวะเอก ฉันมึนไปหมดแล้ว”
“บางที มันอาจจะแค่แกล้งป่วนประสาทแกเล่นก็ได้ อย่าเพิ่งเต้นไปตามเกมมันเลย”
“ฉันก็ขอให้มันเป็นแค่นั้นทีเถอะ”
“รอมันติดต่อกลับมาก่อน แล้วค่อยว่ากัน”
“ถ้ามัทนาเป็นอะไรขึ้นมา ฉันจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต”
เขตต์ตวันสีหน้าแววตา เจ็บช้ำ
หน้าบ้านเขตต์ตวันตอนเช้า เยาะเดินอารมณ์ดี ร้องเพลงใต้เสียงดังพร้อมวาดลีลาประกอบแบบจัดเต็มเข้าโถงบ้านมาเลย เขตต์ตวันที่เผลอหลับคอพับอยู่ที่โซฟาด้วยความเหนื่อยอ่อน สะดุ้งตื่น เยาะตกใจ เข่าอ่อน ยกมือไหว้อย่างกลัวๆ
“ขอโทษค่ะ เยาะไม่ทราบว่าคุณปอนงีบอยู่ เลยร้องเพลงเสียงดังไปหน่อย” เยาะบอกพร้อมกับรอยยิ้มแหย
เขตต์ตวันไม่ได้สนใจเยาะ ตกใจที่ตนผล๋อยหลับไปตอนไหน รีบคว้าโทรศัพท์มาดู พบว่ามีฝากข้อความเอาไว้ รีบกดฟัง
“ฉันไม่สงสัยแล้ว ทำไมแกถึงติดใจนักข่าวคนนี้นักหนา” ตามด้วยเสียงหัวเราะกวนประสาทดังตามสมทบมา”
เขตต์ตวันนั่งอยู่เบาะหลังฟังข้อความที่ฝากเอาไว้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า... เปี๊ยกนั่งขยี้ตาง่วงๆ อยู่ข้างคนขับรถ
“ตอนนี้เราตื่นกันแล้วล่ะ ฉันกำลังพาน้องเค้าทัวร์ภูเก็ตให้ตายใจก่อน” เสียงหัวเราะตามมาอีก
เขตต์ตวันมีสีหน้าติดใจบางอย่าง
“เราจะไปไหนกันครับคุณปอน”
เขตต์ตวันตวาดกลับไป
“ขับไปไหนก็ไปเถอะน่ะ”
เปี๊ยกจ๋อยไป หันไปต่อว่าคนขับ
“ทำไมไม่ถามเองวะ”
เขตต์ตวันกดฟังอีกครั้ง อย่างตั้งใจคล้ายได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
“ฉันกำลังพาน้องเค้าทัวร์ภูเก็ตให้ตายใจก่อน” เขตต์ตวันได้ยินเสียงจุดประทัดสนั่นซ้อนๆ กับเสียงหัวเราะตามมาของเชน
เขตต์ตวันตั้งใจฟัง แล้วสั่งคนขับ
“เดี๋ยว พาฉันไปที่วัดซิ”
“วัดไหนครับคุณปอน” คนขัยรถถาม
“ปกติฉันก็เคยไปแต่วัดสวนป่าซะด้วยสิ วัดไหนที่นักท่องเที่ยวมาภูเก็ตแล้วชอบไปไหว้สักการะมั่ง ไปให้หมด”
“ครับคุณปอน”
“ไปวัด...ก่อนมั้ยล่ะ”
เขตต์ตวันมีสีหน้าเครียดๆ อย่างร้อนใจ
เขตต์ตวันเดินนำมากลางลานวัดแห่งหนึ่ง เปี๊ยก และคนขับรถเดินตามมาติดๆ เสียงจุดประทัดดังสนั่นต่อเนื่อง เขากวาดตามองหาอย่างร้อนใจ เห็นสิ่งก่อสร้างที่สำหรับจุดประทัดโยนเข้าไป
เขตต์ตวันบอกกับเปี๊ยกและคนขับรถ
“แยกกันตามหาคุณมัทนา เจอตัวรีบโทรบอกฉันทันที”
“แยกไม่ได้หรอกครับ คุณเอกให้ผมตามคุ้มกันคุณปอน” เปี๊ยกบอก
เขตต์ตวันหน้าบึ้งดุดัน
“แกจะเชื่อฉันหรือเอก”
“ครับคุณปอน”
เปี๊ยกชี้ให้คนขับรถไปอีกด้าน ตนจะไปอีกด้าน เขตต์ตวันวิ่งไปตามหาอีกทาง
เชนสวมแว่นดำ ซุ่มมองอยู่จากมุมหนึ่งของวัดเห็นเขตต์ตวันเดินตามหาวุ่น ดูห่วงใย จนไม่แคร์สายตาผู้คนที่มาวัดที่จำตนได้ มีการแอบถ่ายรูปบ้าง ชี้ชวนกันมองบ้าง ซึ่งผิดวิสัยเขตต์ตวัน
เชนตัดสินใจโทรศัพท์เข้าหาตวัน เขากำลังใจร้อนห่วงมัทนา เลยกดรับแบบไม่ต้องดูเบอร์โชว์
“เจอมั้ย”
เสียงเชนหัวเราะจิตๆ กวนประสาทแทรกเข้ามา
“ไอ้เชษฐ์”
เขตต์ตวันกวาดตามองหาไปรอบตัว เชนหลบมุม แต่จับตามองตวันตลอด
“แกยังฉลาดรอบคอบเหมือนเดิมนะไอ้ปอน”
มีคนจุดประทัดถวาย เสียงดังสนั่นขัดขึ้นมา
“แกอยู่ไหน แกอยู่ที่นี่ใช่มั้ย”
“แกตามมาถูกที่ แต่ว่าสายเกินไปแล้วล่ะ” เชนขำๆลงคอ
เขตต์ตวันกวาดตามองหาไปรอบตัว มองตรงไปที่เชนอยู่พอดี เชนรีบเบี่ยงตัวหลบอย่างเนียนๆ เขตต์ตวันไม่ทันเห็น
“แกทำอะไรมัทนา”
“ฉันก็แค่...”
“ถ้าเด็กคนนั้นเป็นอันตรายแม้แต่รอยข่วน ฉันจะเอาชีวิตแก”
เชนจ้องมองมาทางตวัน สีหน้านิ่งกวนๆ
“ฉันก็แค่ ไปส่งเค้าขึ้นเครื่องที่สนามบิน ก็เท่านั้นเอง”
เชนหัวเราะสะใจอย่างกวนประสาท ก่อนตัดสายไป
เขตต์ตวันมีสีหน้าโกรธและเจ็บใจมาก เชนจ้องมองมาที่เขตต์ตวันนิ่งๆ ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบเลี่ยงไป
มายาตวัน ตอนที่ 9 (ต่อ)
ผ่านเวลาเล็กน้อย คนขับรถเปิดประตูรถให้เขตต์ตวันที่สีหน้านิ่งเครียด เปี๊ยกยืนคุ้มกันอยู่ข้างๆ
“ไปวัดไหนต่อครับ”
“ไปสนามบิน”
เขตต์ตวันขึ้นรถไป
คนขับรถและเปี๊ยกมองหน้ากันงงๆ ก่อนจะรีบปิดประตูรถแล้วแยกย้ายกันขึ้นรถอย่างรีบร้อน รถที่กำลังเคลื่อนที่ออกไปจากวัด เขตต์ที่นั่งเบาะหลังกำลังร้อนใจกับการโทรศัพท์ติดต่อมัทนาที่ยังติดต่อไม่ได้อยู่ดี
รถแล่นผ่านออกไปจากวัด เชนจับตามองตามรถไป
เชนพูดพึมพำ ก่อน สะแหยะยิ้มร้ายกาจ มีแผนการจ้องทำลาย
“มัทนามีความสำคัญกับแกขนาดนี้เลยเหรอะไอ้ปอน”
คอนโดฯ ของเขตต์ตวันในกรุงเทพฯ ตอนบ่าย ลลิสาสีหน้าเครียดๆ กำลังคุยโทรศัพท์สั่งงานเยาะอยู่ที่ล็อบบี้
“รีบเก็บเสื้อผ้าเร็วๆ เลย เดี๋ยวแจ๊สจะไปรับเธอที่บ้าน”
เยาะกำลังคุยโทรศัพท์มือถือกับลลิสา สีหน้าดีอกดีใจอยู่ที่ในห้องพักที่บ้านเขตต์ตวัน
“จะให้เยาะเตรียมเสื้อผ้าไปยู่กี่วันเหรอคะ” เยาะสีหน้าลุ้น
“ไม่มีกำหนด”
เยาะทำท่ากรี๊ดดีใจแบบไม่ออกเสียง
ลลิสาคุยโทรศัพท์มือถือกำชับเยาะ
“ฉันไม่ได้ให้เธอมาเที่ยวนะยะ เธอต้องเป็นหูเป็นตาแทนฉัน ฉันไม่ไว้ใจคุณปอนกับนังเด็กนั่น ดูจะห่วงใยกันเว่อร์เกินไปหน่อยแล้ว”
“ไม่ต้องห่วงเลยค่ะคุณลิสา อะไรที่เกิดขึ้นในห้องคอนโดคุณปอน ไม่มีทางพ้นสายตาเยาะไปได้หรอกค่ะ ยกเว้นแต่ตอนคุณปอนเจ็บขี้เท่านั้นแหละค่ะ” เยาะสีหน้ายิ้มมั่นใจ
“ไม่ต้องพล่ามมาก รีบไปจัดเสื้อผ้าเร็วๆ เลย”
ลลิสาถอนใจพร้อมกดตัดสายไป สีหน้าใช้ความคิด ไม่ไว้วางใจเขตต์ตวัน เยาะตื่นเต้นดีใจรีบไปเอาเสื้อผ้าออกมาจากตู้ มาทาบตัวเองเลือกไปมา
พ่อกับแม่มัทนาช่วยกันทำกับข้าวอยู่ในครัว มัทนาย่องเข้าบ้านมา กวาดตามองหาพ่อกับแม่เห็นไม่อยู่ ก็เป่าปากโล่งอก มัทนารีบเดินเร็วจะไปขึ้นชั้นบน วาสิฏฐีลงบันไดบ้านมาพอดี น้องสาวดีใจส่งเสียงดังมาทักทาย
“อ้าวพี่มัท”
มัทนารีบยกมือจุ๊ปากให้เงียบแต่ไม่ทัน แม่เดินปรี่ออกมาจากครัว
“กลับมาแล้วเหรอะแม่ตัวดี”
มัทนายิ้มแหย ยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะคุณแม่”
มัทนาถลึงตาดุใส่น้องสาว วาสิฏฐียิ้มเจื่อน
“มื้อเย็นเลทแน่นอน”
วาสิฏฐีรีบวิ่งหนีกลับขึ้นบ้านไป มัทนาพูดไล่ตามขึ้นไป
“แกหนีไม่พ้นหรอก”
แม่หยิกเข้าหมับที่ต้นแขนมัทนา ก่อนจะบิด แม่ทั้งรักทั้งโกรธบอก
“รู้มั้ยว่าพ่อกับแม่เป็นห่วงเรามากแค่ไหน โทรศัพท์มือถือก็ปิดตลอดเวลา มันจะอะไรนักหนา”
มัทนาหน้าเหยเก ร้องด้วยความเจ็บ พ่อเดินออกมาห้าม
“พอแล้วแม่ ฟังลูกก่อนเถอะ”
แม่ยอมปล่อย
“คราวนี้จะแก้ตัวว่ายังไง”
มัทนาไม่สู้ตา
“มัทต้องกลับไปเก็บงานให้มันสมบูรณ์น่ะค่ะแม่ ส่วนเรื่องมือถือ คราวนี้เสียจริงๆค่ะ”
มัทนาล้วงมือถือให้ดู
“คราวนี้เสียจริง แสดงว่าคราวก่อนโกหกใช่มั้ย”
แม่จะหยิกแขนลูกสาวอีก มัทนาวิ่งหนีไปหลบหลังพ่อ หลบไปหลบมาก่อนจะฉวยโอกาสวิ่งหนีขึ้นบ้านไป แม่เจ็บใจ
“ไวเป็นปรอท”
แม่ได้แต่มองตามถอนใจส่ายหน้า พ่อขำๆ โอบเอวแม่
“ไปทำกับข้าวกันต่อเถอะแม่”
แม่ยอมตามพ่อไป แต่ก็ยังดูปั้นปึงอยู่
ผ่านเวลาเล็กน้อย มัทนาทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียง เสียงเคาะประตูห้องดังขัดขึ้น มัทนาผงกหัวดู
ประตูห้องค่อยๆ แง้มเปิดเข้ามาพร้อมผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าขนหนูสีขาวถูกมือหนึ่งยื่นเข้ามาสะบัดๆ ขอยอมแพ้
“ไม่ต้องเลย ฉันไม่ยกโทษให้เธอหรอก” มัทนาขยับตัวนั่ง
วาสิฏฐียิ้มแหยๆเข้าห้องมาหาที่ข้างเตียง
“ตามหารักแท้เป็นไงมั่งพี่”
มัทนาฉวยตุ๊กตาหมาปาใส่ทันที วาสิฏฐีรับทัน กอดตุ๊กตาเอาไว้
“เดี๋ยวจะโดน...”
วาสิฏฐีเดินมานั่งปลายเตียง ยิ้มแย้ม
“เคลียร์ปัญหาคาใจกันเรียบร้อยมั้ยคะ”
“เคลียร์อะไรล่ะ พี่ไปเค้ามาสวนกันที่สนามบินพอดี”
วาสิฏฐีดูตื่นเต้น
“แล้วได้เจอกันมั้ยพี่มัท”
มัทนาหน้าบึ้งปนงอน
“เจอ แต่เค้าไม่พูดด้วย หน้าตาดุเป็นยักษ์เลย”
วาสิฏฐีสีหน้าเสียดาย
“แล้วพี่จะทำไงต่อล่ะ”
มัทนาหน้างอนปนน้อยใจ สีหน้าแอบเศร้า
“พอกันที คนปิดกั้นไม่รับฟังเหตุผลแบบนี้ ต่างคนต่างอยู่ดีกว่า”
วาสิฏฐีบ่นพึมพำ
“อดมีพี่เขยเป็นดาราเลยเรา”
มัทนาเสียงแข็งใส่
“พูดอะไร”
“เปล่า”
มัทนาถอนใจออก แล้วทิ้งตัวลงนอนต่อไปเซ็งๆ
สยามสารตอนสายวันใหม่ มัทนาเดินสะพายเป้มาที่โต๊ะทำงาน คนในกองบรรณาธิการรุ่นราวคราวเดียวกัน เดินเข้ามาหาและส่งโน้ตให้
“มัท มีคนโทรมาหา บอกว่าชื่อเชน ครอส”
“ขอบใจจ้ะ”
มัทนาใช้เบอร์ที่โต๊ะทำงานโทรออกไปตามเบอร์ที่จดไว้ในโน้ต
“สวัสดีค่ะ”
เสียงพนักงานผู้ชายตอบกลับมาห้วนๆ กระชากๆ ไร้มารยาท
“ต้องการพูดกับใคร”
“คุณเชน ครอส ค่ะ”
“มีเรื่องอะไร รายงานมาเลยนายกำลังยุ่งอ้ะ บอกมาว่าชื่ออะไร มีปัญหาอะไร หรือว่าของหมด”
มัทนางงปนสงสัยกลับคำตอบของฝ่ายตรงข้าม
มัทนางง พึมพำ
“ของอะไรหมด”
พนักงานชายตวาดกลับมา
“เอ้า เร็วซิ”
มัทนาชักอารมณ์ขึ้นเหมือนกัน ตอบกลับไป เสียงห้วนเหมือนกัน
“ฉันชื่อมัทนา ไม่มีปัญหาอะไร คุณเชนโทรมาหาให้ฉันโทรกลับ ช่วยไปถามนายคุณว่าจะคุยด้วยมั้ย ถ้าไม่ ฉันจะได้วางหู”
ไม่มีเสียงตอบ มัทนาก็รอสายไปมา...เคาะนิ้วกับโต๊ะ 2-3 ทีรอ เธอสีหน้าเซ็ง ตัดสินใจวางสายไปเลยมัทนาบ่น
“หากาแฟกินดีกว่า”
มัทนากำลังจะลุกจากโต๊ะทำงาน โทรศัพท์ที่โต๊ะดังขึ้นพอดี มัทนาถอนใจยาวออกมาก่อนจะนั่งลงแล้วยกหูรับสาย
เชนคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ในห้องทำงาน
“ผมขอโทษนะครับ คนรับสายเป็นเด็กใหม่ ยังไม่ทันได้อบรมกัน กริยามารยาทแย่มาก มัทคงไม่ถือสานะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ สงสัยจะมีผู้หญิงโทรไปหาคุณเชนมากมั้งคะ ถึงต้องให้แจ้งก่อนว่าเรื่องอะไร”
เชนรีบแก้ตัวไปทันที
“ไม่มีผู้หญิงที่ไหนหรอกครับ เอเย่นต์ขายเครื่องประดับก็ผู้หญิงทั้งนั้น...เย็นนี้ทานข้าวเย็นกันนะครับ ผมไปรับที่สยามสาร...แล้วเจอกันครับ”
จากรอยยิ้มพอใจของเชนค่อยๆกลายเป็นยิ้มมีเลศนัย มีแผนการร้ายบางอย่างซ่อนอยู่
เอกชัยกำลังรายงานการเตรียมงานให้เขตต์ตวันฟังอยู่ที่โซฟารับแขก... เขตต์ตวันดูอัลบั้มเครื่องประดับไป
“โอเคมั้ยล่ะ เข้ากะคอนเซ็ปท์กว่า”
เขตต์ตวันดูแล้วเห็นด้วย
“อืม”
“ที่เหลือก็ไม่น่ามีอะไรแล้วล่ะ”
เยาะยกของว่างมาเสิร์ฟแต่หูผึ่ง แอบฟังการสนทนาอย่างเก็บข้อมูล
“แล้วปัญหาเรื่องนางแบบใหม่คนนั้น ชื่ออะไรนะ”
“ตัดออกไปแล้วล่ะ” เอกชัยบอก
เขตต์ตวันพยักหน้ารับ
“ขอบใจมาก...มีค่าใช้จ่ายอะไรให้ฉันเซ็นมั่ง”
เอกชัยหยิบแฟ้มมาเปิดให้เขตต์ตวัน ชลบุษย์เดินออกมาจากห้องน้ำของห้องโถง แต่งหน้าแต่งตัวสวยกว่าปกติ เดินมาหาสองหนุ่ม เอกชัยเหลือบตามอง กระเซ้า
“โอ้โห จะไปรับจ็อบเดินแบบที่ไหนครับเนี่ย”
เยาะแอบเหล่มองอย่างเก็บข้อมูลไว้รายงานเจ้านาย
ชลบุษย์ยิ้มๆบอก
“ไม่มีใครเค้าจ้างแล้วล่ะค่ะคุณเอก”
“นัดเดทกะหนุ่มที่ไหน ไม่พามาให้รู้จักมั่งเลย” เขตต์ตวันบอก
“ไม่ต้องแซวเลยค่ะคุณปอน บุษย์ขอพักไปทานข้าวกับเพื่อนๆ คลายเครียดหน่อยนะคะ”
“ตามสบาย สนุกให้เต็มที่เลยครับ จะได้มีแรงมาลุยงานกันต่อ”
ชลบุษย์ยิ้มแย้มก่อนเดินเลี่ยงออกไป
“ค่ะคุณปอน”
เยาะจับตามองตามชลบุษย์ เหยียดปากหมั่นไส้ เอกชัยถาม
“ไม่โทรหามัทอีกเหรอ”
เยาะตาเบิกโพลง เสิร์ฟเสร็จแล้วไม่รู้จะทำอะไรดี เลยแสร้งเป็นเก็บขยะที่พื้นไปมาทั้งที่ไม่มีอยู่จริง
เขตต์ตวันชะงักไป
“เค้าปิดมือถือตลอดเวลา บางทีอาจจะเปลี่ยนเบอร์ไปแล้วก็ได้”
เอกชัยเหล่มองเยาะ
“หมดธุระแล้วก็ออกไปข้างนอกได้”
เยาะยิ้มแหยๆ
“ค่ะคุณเอก”
เยาะลุกเดินไปแอบชักสีหน้าหงุดหงิดเสียดาย ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อแอบโทร
ไปรายงานลลิสา สีหน้าเอกชัยติดใจสงสัย
“แล้วมัทไปรู้จักกับไอ้เชษฐ์มันได้ยังไง”
เขตต์ตวันทำไม่สน
“เรื่องของเค้า”
เอกชัยไม่สบายใจ
“แต่อาจจะเป็นเพราะเราก็ได้นะปอน ไอ้เชษฐ์มันถึงได้พุ่งเป้าไปที่มัท”
เขตต์ตวันเงียบไปอย่างใช้ความคิด
“ฉันเป็นห่วงมัทจังเลยว่ะ ไม่ไว้ใจไอ้นรกนั่นเลย”
“คิดอีกแง่ ถ้าเราไม่ไปสนใจ ไม่ไปผูกพันกับมัทนา เด็กก็คงไม่ใช่เป้าของไอ้เชษฐ์อีก มัทนาอาจจะปลอดภัยมากกว่าอยู่ใกล้ชิดกับพวกเราก็ได้”
เอกชัยยังไม่สบายใจอยู่ดี
“วิธีนี้จะสายเกินไปรึเปล่าวะปอน”
เอกชัยเหล่มองเพื่อน เขตต์ตวันเองดูเครียดๆ กังวลใจมากอยู่เหมือนกัน
เวลาเย็น รถหรูหราคันโตขับมาจอดหน้าตึกสยามสาร คนขับรถผิวดำ ตัวอ้วนใหญ่เดินลงมาเปิดประตูรถให้เชน เขาก้าวลงจากรถมาอย่างสง่า เงยหน้ามองตึกสยามสารที่อยู่ตรงหน้า สีหน้านิ่งขรึมอย่างใช้ความคิดก่อนจะเดินเข้าตึกไป
สาระวารีเดินจับแขนมีคณาพาลากเดินผ่านล็อบบี้แล้วเหล่ๆ มองไปทางเชนที่นั่งรออยู่มุมหนึ่ง..
มีคณาขยับแว่นพยายามเพ่งมองจนดูชัดเจนไปหน่อย เชนชำเลืองมองสองสาวเล็กน้อย สาระวารีรีบเดินเร็วขึ้นพามีคณาไปหลบมุมตึก
“คนไหนเหรอแก ฉันยังเห็นไม่ถนัดเลย”
“โอ๊ย ยัยป้าแว่น หล่อเด่นทะลุล็อบบี้ขนาดนั้น ไปตัดแว่นใหม่เถอะย่ะ” สาระวารีบอก
“หล่อแกกะหล่อฉันเหมือนกันที่ไหน”
สาระวารีแดกดัน
“จ้า ใครจะหล่อดิบบู๊ระทึกเหมือนสารวัตรหิรัณย์ได้ล่ะจ๊ะ”
มีคณาหยิกพุงสาระวารีบิดจนร้องตัวงอ
“มัทก็เคยส่งรูปมาให้ดู จำไม่ได้รึไง”
“ตั้งนานแล้ว ใครจะไปจำได้”
สาระวารีถอนใจส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ
มัทนาสะพายเป้รีบเดินออกจากลิฟท์ตรงมาหาเชน ยกมือไหว้ เชนรับไหว้
“รอนานมั้ยคะ งานติดพันนิดหน่อย”
เชนลุกขึ้น ยิ้มแย้ม
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ดูคนเดินผ่านไปผ่านมา เพลินดี 2 คนนั่นผ่านไปผ่านมาหลายรอบแล้ว” เชนบอก
มัทนาหันมองไปตามสายตาเชน เห็นสาระวารีและมีคณาเดินจูงมือผ่านมาเหล่มองมาทางเชน ครั้นสบตากับมัทนาก็ตกใจ มัทนาถลึงตาใส่ สองสาวขำๆ ตัวเองรีบเดินเร็วให้พ้นไป
“ไปกันเถอะค่ะ”
“ผมช่วยถือครับ”
เชนจับเป้มัทนามาช่วยถือให้
“ขอบคุณค่ะ”
เชนยิ้มให้แล้วให้มัทนาเดินนำไปก่อน สองสาวแอบมองตามเชนและมัทนาไป
“ทีนี้เห็นชัดเจนรึยังล่ะ”
มีคณายิ้มปลื้ม
“สุภาพบุรุษดีจังเลยเนอะ”
“น้องสาวเรานี่ฮ๊อตใช่เล่นนะ มีทั้งดาราทั้งนักธุรกิจมาตามตื้อ” สาระวารพูดขำๆ ก่อนมองตามไป
มีคณายิ้มๆ มองตามไปอย่างเห็นด้วย
คนขับรถเปิดประตูรถให้เชนและมัทนาก่อนล่าถอยไป เชนก้มเข้าไปหยิบช่อดอกไม้สวยที่เบาะหลังมามอบให้มัทนา
“ขอบคุณค่ะ”
“ผมจะเอาเข้าไปให้ที่ล็อบบี้แล้ว กลัวคุณถูกเพื่อนล้อ”
มัทนายิ้มๆ
“แค่นี้ก็เม้าท์กันทั้งตึกแล้วล่ะค่ะ”
“มีอีกอย่าง”
เชนหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนมาให้
“ ผมซื้อมาคืนมัท รุ่นเดิม สีเดิมเป๊ะ”
“อุ๊ย มันแพงเกินไป มัทรับไม่ได้หรอกค่ะ”
“ไม่รับไม่ได้หรอก ผมทำของคุณพังนะครับ แพงกว่านี้ผมก็ต้องซื้อมาใช้คืนให้”
เชนเปิดเป้มัทนาแล้วใส่กล่องโทรศัพท์มือถือลงไป
“ไปทานข้าวกันเถอะครับ”
เชนผันมือเชิญขึ้นรถ มัทนาปั้นยิ้มเกรงใจๆ ก่อนเดินนำขึ้นรถไป เชนปิดประตูรถก่อนจะสบตากับคนขับรถที่พยักหน้าให้ คนขับรถขึ้นไปนั่งประจำที่ ส่วนเชนมีสีหน้านิ่งขรึม แววตาแข็งๆ เดินอ้อมไปขึ้นรถอีกฝั่ง
เวลาหัวค่ำ ในร้านอาหารฝรั่งเศส เชนกำลังลากเก้าอี้ให้มัทนานั่ง
“ขอบคุณค่ะ”
เชนเดินไปนั่งเก้าอี้ที่บริกรรอลากเก้าอี้ให้อยู่...ก่อนที่บริกรจะไปหยิบเมนูมาให้
มัทนาดูเก้อๆเขินๆ
“พามาทานร้านซะหรูเลยนะคะ”
“ชิงตัวมัทมาเลี้ยงได้ทั้งที น้อยกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะครับ”
บริกรเอาเมนูมาให้มัทนาและเชนตามลำดับ มัทนาเปิดเมนูออกอ่าน ดูอึ้งๆ มัทนากวาดตาอ่านเมนู ยิ้มแหยๆ บอกเชน
“จะให้มัทจิ้มเลือกก็กลัวจะทานไม่ได้ คุณเชนเลือกให้มัทด้วยแล้วกัน”
มัทนาปิดเมนู เชนยิ้มแย้ม
“ได้เลยครับ ดื่มไวน์มั้ย”
“อย่าดีกว่าค่ะ มัทกลัวลุกขึ้นมาอาละวาด อายคนอื่นเค้าขอเป็นน้ำเปล่าดีกว่าค่ะ”
“งั้นน้ำแร่ให้คุณผู้หญิง”
“ครับ”
บริกรเริ่มจดออเดอร์ไป เชนเลือกรายการอาหารไป มัทนากวาดตามองบรรยากาศร้านไปมาก่อนจะชะงักเพ่งมองไปที่โต๊ะอาหารมุมด้านใน
เสี่ยใหญ่หาจังหวะโอบไหล่โอบเอวชลบุษย์อยู่เนืองๆ ชลบุษย์ทำเอียงอายพอเป็นพิธีแต่ก็ยอมให้เสี่ยแต๊ะอั๋ง เสี่ยฉวยจังหวะจะหอมแก้ม ชลบุษย์หลบๆ
“อายคนอื่นค่ะ อย่าเพิ่งใจร้อนสิคะ”
ชลบุษย์รู้สึกเหมือนถูกจับตามองอยู่ เลยมองไปทางมัทนา ชลบุษย์สบตามัทนา สีหน้าตกใจมาก รีบก้มหน้าหลบสายตาทันที
ทางโต๊ะเชนและมัทนา...บริกรล่าถอยออกไปหลังจากที่เชนสั่งอาหารเสร็จ เชนจับตามองหน้ามัทนา
มัทนานิ่งไปมีสีหน้าย้อนคิดถึงการอ่านข้อความในกระดาษ
“การดำเนินชีวิตของเขตต์ตะวันเกี่ยวพันกับการค้าประเวณีมาโดยตลอด นับตั้งแต่แม่ น้องสาว เมียลับ การก่อตั้งบริษัทตวันทำขึ้นมาเพื่อเป็นฉากบังหน้า แท้ที่จริงแล้ว นางแบบทุกคนของตวัน ก็ไม่ต่างอะไรจากโสเภณีชั้นสูง ภาพเหล่านี้คงเป็นพยานได้เป็นอย่างดี”
“เจอคนรู้จักเหรอครับ” เชนถาม
มัทนาสะดุ้งหลุดจากความคิด
“อ๋อ ค่ะ”
“ใครเหรอครับ”
มัทนาสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา
“คุณชลบุษย์ค่ะ”
เชนนั่งมุมที่หันหลังไปทางโต๊ะชลบุษย์ เขาทำหน้านิ่งๆ ก่อนจะหันไปมองด้วยสายตาแข็งๆ ดูเยือกเย็น
ชลบุษย์รีบกระซิบบอกเสี่ยด้วยความร้อนใจ
“เราไปกันเถอะค่ะ”
“อ้าว อิ่มแล้วเหรอ”
ชลบุษย์ทำยิ้มยั่วยวน
“เสียเวลาค่ะ”
สีหน้าชลบุษย์ดูตกใจ หน้าซีด กลัวจนลนลานเมื่อเห็นเชน
“ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ”
รีบร้อนลุกจากที่นั่งของชลบุษย์ทำให้ชนแก้วน้ำหกตกแตก แต่ก็ไม่สนใจ รีบเดินหนีไปอย่างเร็วร้อนรน
มัทนามองตามชลบุษย์ไป สีหน้าสงสัยก่อนหันมาถามเชน
“คุณเชนเคยรู้จักคุณชลบุษย์รึเปล่าคะ”
เชนปั้นหน้างง
“ผมจะไปรู้จักเค้าได้ยังไงล่ะ”
“ดูเค้ากลัวๆ ตอนเห็นคุณเชนนะคะ”
“เค้ากลัวมัทจะไปฟ้องนายตวันมากกว่า”
มัทนาสีหน้าเครียดมองตามชลบุษย์ไป เชนยุส่งใส่ไฟทันที
“สงสัยจะจริงอย่างที่เค้าพูดกัน นางแบบเสื้อตวัน เรียกได้ทุกคน ขอให้มีเงิน”
เชนยิ้มดูถูก มัทนารู้สึกติดใจสงสัยขึ้นมาเหมือนกัน เชนลุกขึ้นยืน
“ผมขอตัวเข้าห้องน้ำเดี๋ยวนะ”
“ค่ะ”
เชนเดินเลี่ยงไป มัทนาคิดเรื่องชลบุษย์แล้วได้แต่ถอนใจออกมา
มายาตวัน ตอนที่ 9 (ต่อ)
ชลบุษย์เดินออกมาจากห้องแล้วสะดุ้งสุดตัวเมื่อเจอเชนยืนกอดอกรออยู่หน้าห้องน้ำ เธอดูกลัวลนลาน หน้าซีดเผือด จะหนีกลับเข้าห้องน้ำ เชนตรงเข้าคว้าแขนหมับ แล้วลากชลบุษย์ไป
ชลบุษย์น้ำตาคลอด้วยความกลัว
“คุณเชน ปล่อยบุษย์เถอะค่ะ บุษย์กลัวแล้ว”
เชนลากชลบุษย์มาที่มุมลับตาคน ผลักชลบุษย์เข้ากระแทกผนัง
“อย่ามาสำออย ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเธอเลย”
ชลบุษย์ดูหวาดระแวง กลัวมาก ไม่กล้าสู้ตา เชนสะแหยะยิ้มดูถูก
“กลับมาหากินเหมือนเดิมแล้วเหรอะ ไม่จับไอ้ปอนทำผัวแล้วรึไง”
“คุณปอนกำลังมีความรัก ไม่มองบุษย์หรอกค่ะ”
เชนจับคางชลบุษย์ บังคับให้หันมาเผชิญหน้า
“มีความรักกับใคร มัทนาน่ะเหรอะ”
ชลบุษย์เผชิญหน้าแต่ไม่กล้าสบตา น้ำตาไหลออกมาด้วยความหวาดกลัว
“ค่ะ คุณปอนไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน บุษย์มั่นใจ”
เชนนิ่งไปอย่างเก็บข้อมูล ก่อนจะปาดหน้าเข้าใกล้
“รักษาความลับไว้ให้ดี วันนี้เราไม่ได้เจอกัน”
ชลบุษย์กลัวมาก น้ำตาไหลต่อเนื่อง
“ฉันรู้ ฉันไม่พูดอยู่แล้ว”
เชนยิ้มเยือกเย็น ค่อยๆ ลูบมือไล้จากไรผมชลบุษย์เรื่อยมาตามข้างแก้มช้าๆ พร้อมพูด
“จำเอาไว้ ฉันจับตาดูเธออยู่”
ชลบุษย์ตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว หลับตาปี๋แต่ยังร้องไห้เหมือนจะตายให้ได้ เชนขยับไปพูดใกล้ๆหู
“เธอไม่มีวันหนีฉันพ้นจนวันตาย”
เชนค่อยๆ เลื่อนหน้ามาจนเหมือนจะเอาปากมาจูบปาก ชลบุษย์หวาดกลัวปนขยะแขยงจนหน้าปากสั่นเกร็งไปหมด เชนผละตัวออกไปพร้อมขำร้ายๆ ลงคอ ก่อนเดินกลับออกไป
ชลบุษย์ร้องไห้โฮตัวงอ กอดห่อตัวเองเอาไว้ ขวัญหนีดีฝ่อ หวาดกลัวสุดชีวิตไปหมดแล้ว
ผ่านเวลาซักครู่ บริกรเคลียร์โต๊ะแล้วยกของหวานมาเสิร์ฟแทนก่อนล่าถอยออกไป เชนปั้นยิ้มเปลี่ยนเรื่อง
“เอ้อ เมื่อวานมีแคตตาล็อคเครื่องประดับรุ่นใหม่มาที่บริษัท มีแบบแหวนมุกกับสร้อยข้อมือสร้อยคอเข้าชุดกัน ผมว่ามันเหมาะกับชุดมุกที่ผมให้มัทไปมากเลยนะ”
มัทนาปั้นยิ้มมารยาท
“เหรอคะ”
“มัทคิดรึยังว่าจะเอามุกที่ผมให้ไปทำอะไร” เชนปั้นยิ้มถาม
“ยังไม่ได้คิดเลยค่ะ กะเก็บไว้ดูเล่นๆ ซักพักก่อน”
เชนยิ้มเจื่อนไปเล็กน้อย
“มัทไม่ค่อยมีหัวทางนี้ คงให้พี่ๆ น้องๆ ช่วยกันคิด”
เชนฉีกยิ้มจริงใจ
“เอาเป็นว่าถ้ามัทอยากเอามุกชุดนั้นไปทำเครื่องประดับอะไร บอกผมนะครับ ผมจะเอาแบบมาให้เลือก แล้วรับทำให้ฟรีเลย”
“มัทคงยังไม่รบกวนตอนนี้หรอกค่ะ”
เชนไม่พอใจแต่ฝืนยิ้ม
“เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ผมเต็มใจทำให้ฟรีไม่ต้องเกรงใจนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ” มัทนายิ้มตอบ และหันไปยกแก้วน้ำขึ้นจิบ
เชนจับตามองมัทนา แววตาแข็งๆ ขบฟันแน่น ไม่พอใจ เพราะอยากได้มุกคืน
รถเชนจอดเทียบที่หน้าบ้านมัทนา เชนกำลังเปิดประตูรถให้มัทนาลงมา เธอลงจากรถพร้อมเป้ “ขอบคุณค่ะ”
“กลับดึกไปรึเปล่าครับเนี่ย”
“ยังงี้เรียกว่าหัวค่ำค่ะ ปกติดึกกว่านี้อีก ดูซิคะ ในบ้านยังเปิดไฟอยู่เลย”
เชนยิ้มบอก
“ลืมช่อดอกไม้ผมซะแล้ว”
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ”
มัทนาก้มไปหยิบช่อดอกไม้ออกมา
“เข้าไปในบ้านก่อนมั้ยคะ”
“ไว้โอกาสหน้าดีกว่าครับ วันนี้ผมมีงานต้องกลับไปเคลียร์อีกนิดหน่อย”
“งั้นมัทไม่รบกวนแล้ว ขอบคุณมากนะคะสำหรับอาหารอร่อยๆ กับดอกไม้สวยๆ”
“ด้วยความยินดีครับ”
มัทนายิ้มให้เชนแล้วไขกุญแจรั้วก่อนเปิดประตูเดินเข้าไป
ใบหน้าเชนที่ไม่มีรอยยิ้มเหลือแล้ว สีหน้าเคร่งขรึมเก็บข้อมูล กวาดตามองดูบ้านมัทนาอย่างมองหาทางหนีทีไล่
มัทนาเข้าบ้านไปพร้อมหันมายิ้มแย้มบ๊ายบายให้เชน เขารีบปั้นยิ้มแล้วบ๊ายบายตอบ เธอเดินกลับเข้าบ้านไป เชนเงยหน้ามองไปทางชั้นบนบ้าน สีหน้าแววตาร้ายแบบมีแผนการบางอย่างในใจ
ยามสายของวันรุ่งขึ้น ที่สยามสาร มัทนาไปหาข้อมูลเพิ่มเติมที่ฝ่ายข้อมูลเช็กแฟ้มเอกสารไปมา ก่อนเดินไปเช็กต่อที่คอมพิวเตอร์ แตนเดินยิ้มแย้มเข้ามาหามัทนา
“ลืมของฝากแตนรึเปล่าคะพี่มัท”
มัทนาหันไปยิ้มแย้ม
“พี่ฝากขนมเอาไว้แล้วนี่จ๊ะ”
“ไม่ใช่ขนมค่ะ แต่เป็นลายเซ็นคุณเขตต์ตวัน”
มัทนาตกใจ
“อุ๊ย ลืมไปสนิทเลย เดี๋ยวตอนไปส่งต้นฉบับให้เค้าอ่าน พี่ขอให้”
แตนสีหน้าลังเล
“แต่คิดไปคิดมาไม่อยากได้แล้วล่ะพี่มัท”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“เกลียดแฟนเค้า”
“ใครเหรอ”
“พี่มัทยังไม่เห็นข่าววันนี้ล่ะสิ มีคนแอบถ่ายรูปตะวันกับลิสาได้ที่สนามบิน เคยได้ยินแต่ข่าวลือ เพิ่งจะเห็นรูปจะๆ วันนี้เอง แตนผิดหวังที่สุด เค้าเป็นแฟนกันจริงๆ ใช่มั้ยพี่มัท”
มัทนารู้สึกวูบวาบแปลกๆ ถึงกับวางหน้าไม่ถูกเล็กน้อย
มัทนาฟุบหน้านิ่งกับโต๊ะทำงาน รอบๆ มีรูปถ่ายของเขตต์ตวันที่มัทนาไปถ่ายมาจากภูเก็ต ในอิริยาบถต่างๆ ที่ดูดีเป็นธรรมชาติมีเสน่ห์มาก อาทิ เขตต์ตวันถ่ายกับเด็กๆที่วัด, ถ่ายกับแฟนคลับที่แหลมพรหมเทพ, ตอนเล่านิทานให้เด็กๆที่วัดฟัง, ภาพคู่กับพระอาทิตย์ตกดิน เป็นต้น
ไชยวัฒน์หยิบรูปดังกล่าวขึ้นมาดูไปมา สีหน้าชื่นชมกับรูปถ่ายของมัทนา
“ถ่ายรูปออกมาได้ดีนี่”
มัทนาสะดุ้ง เด้งตัวขึ้นมานั่ง ไชยวัฒน์มองหน้ามัทนา
“ไม่สบายเหรอ”
“อ๋อ เปล่าหรอกค่ะ เครียดๆ นิดหน่อย”
มัทนาถอนใจ
“ทำไมเค้าไม่ยอมฟังคำอธิบายของมัทมั่งก็ไม่รู้นะคะบอกอ ใจคอจะโกรธเกลียดกัน
ไปจนตายเลยรึไง”
“อึดอัดที่ต้องเขียนข่าวนี้รึเปล่า ผมไม่ชอบเห็นนักข่าวผมเป็นทุกข์กับการทำข่าวนะ”
“ไม่ถึงกับทุกข์หรอกค่ะ มัทอยากเขียนข่าวนี้ด้วยตัวเองแค่เซ็งๆ นิดหน่อย”
มัทนาสีหน้าน้อยใจ
“อย่าเซ็งนานแล้วกัน ผมขายแอดโฆษณาประกบบทความคุณเต็มแล้วนะ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ มัทไม่ทำให้บอกอผิดหวังแน่นอน”
“ที่จริงวันนี้ก็ไม่มีอะไรนี่ เซ็งๆ ก็ออกไปเปลี่ยนบรรยากาศ หาที่เขียนข่าวข้างนอกก็ได้”
มัทนายืนพรวด
“บอกอใจดีที่สุดเลย ขอบคุณค่ะ”
“ห้ามบอกใครล่ะ”
“ค่ะ”
มัทนากระตือรือร้นเก็บของเป็นการใหญ่ ไชยวัฒน์ยิ้มๆอย่างเอ็นดู
เวลาต่อเนื่องมา สาระวารียืนกอดอกจ้องหน้าษมาที่นั่งรออยู่ที่ล็อบบี้สยามสาร ษมายิ้มกวนๆ บอก
“ผมรับปากพี่สาวคุณแล้วว่าจะพาคุณไปส่งบ้าน”
“ละเมอรึเปล่า รับปากไปตั้งแต่วันไหนแล้ว”
ษมาหน้าตาย
“อ้าว เหรอ คนแก่ก็งี้แหละ”
สาระวารีค้อนใส่เจ็บใจที่เจอลูกกระล่อน มัทนาเดินสะพายเป้ออกมาจากลิฟท์
“อ้าว มัท ไปทำข่าวเหรอ”
มัทนายิ้มขี้เล่น
“บอกอให้บอกว่างั้น”
สาระวารีรู้ทัน หมั่นไส้
“ไปไหนก็ไปเลยย่ะ”
ษมารีบลุก
“อ้าวคุณ จะไม่แนะนำเพื่อนคุณให้ผมรู้จักมั่งเหรอ”
มัทนายิ้มๆ เดินปรี่เข้ามาหาพร้อมยกมือไหว้ษมา เขารับไหว้
สาระวารีแขวะเพื่อน
“ปรี่มาเลยนะยะ...นี่มัทนา”
สาระวารีกอดคอพูดพร้อมล็อกแรงๆ แกล้งก่อนปล่อย
“เพื่อนและน้องรักของฉันเองค่ะ”
ษมายิ้มให้
“นี่คุณษมา เจ้าของเกาะยานกที่พี่ไปทำข่าวมาไงจ๊ะ”
มัทนายิ้มกรุ้มกริ่ม
“ดีใจจังได้เจอตัวจริงซะที พี่วารีเคยเล่าเรื่องคุณให้ฟังบ่อยๆ”
สาระวารีสวนทันที ก่อนทำตาดุใส่มัทนา
“ไม่บ่อยหรอกจ้ะ”
ษมายิ้มบอก
“หวังว่าที่วารีเล่า คงมีเรื่องดีๆ ของผมปนอยู่มั่งนะครับ”
มัทนาจะอ้าปากพูด สาระวารีรีบขัด
“ถ้าไม่อยากให้ทั้งกองบอกอรู้ว่า เธอได้อภิสิทธิ์โดดงาน ก็รีบไปให้พ้นๆ เลย”
มัทนาจ๋อย ยิ้มแหยๆให้ษมา
“คงมีโอกาสได้เจอกันใหม่นะคะ”
สาระวารีสวนปิดทาง
“ไม่มีหรอกจ้ะ เดี๋ยวก็กลับเกาะไปแล้ว”
มัทนายกมือไหว้ษมา เขารับไหว้ยิ้มให้
“ไปได้แล้ว”
สาระวารีจับตัวมัทนาหันกลับออกไป มัทนาเดินออกไป ษมายิ้มบอก
“เพื่อนคุณนี่น่ารักดีเหมือนกันนะ”
ษมามองตามมัทนาออกไป สาระวารีหางตาเหล่มองษมาเล็กน้อย
ผู้ชายสองคนซ้อนมอเตอร์ไซค์จอดซุ่มอยู่หน้าตึกสยามสาร ทำเป็นโทรศัพท์ ค้นหาเอกสารไปมา รอจังหวะจนมัทนาเดินออกมาที่หน้าตึก คนซ้อนสะกิดคนขับ..
คนขับมอเตอร์ไซค์เริ่มขับรถวนมาให้ได้จังหวะ คนซ้อนท้ายล้วงปืนที่เหน็บไว้ด้านในแจ็คเก็ตออกมากระชับในมือ จับตามองไปที่มัทนาอย่างไม่ละสายตา
ษมามองตามมัทนาออกไป ขณะที่สาระวารีพูดของเธอไป
“คุณจะรออยู่ที่นี่ทำไมให้เสียเวลา กลับไปพักที่โรงแรม ทำงานของคุณดีกว่า”
ษมามีสีหน้าตกใจบอก
“หมอบลง”
ษมาพุ่งตัวออกไปอย่างเร็วทันที สาระวารีตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น รีบตามษมาออกไป
คนร้ายวนรถมอเตอร์ไซค์มาในจังหวะที่ยิงแล้วชิ่งหนีได้ทัน คนร้าย2 เล็งปืนมาทางมัทนา แต่การพุ่งตัวของษมาออกมาพร้อมตะโกนทำให้เสียจังหวะ
ษมาตะโกนลั่น ซ้ำอีก
“หมอบลง”
มัทนาตกใจมาก หน้าตางงจัด คนร้าย2 คน แม้จะเสียจังหวะแต่ต้องตัดสินใจยิง ษมากระโดดเข้ารวบตัวมัทนาแล้วล้มไปด้วยกันพร้อมเสียงปืนดังสนั่นลั่นตึก
อ่านต่อพรุ่งนี้ เวลา 17.00น.
คนร้ายซิ่งมอเตอร์ไซค์หนีออกไปโดยมีสาระวารีวิ่งไล่กวด
“อย่าหนีนะ”
สาระวารีวิ่งกวดตาม พยายามมองทะเบียนรถ แต่ป้ายทะเบียนถูกถุงดำคลุมผูกไว้อย่างดี...มอเตอร์ไซค์ซิ่งตะบึงหนีไปอย่างเร็ว เธอหมดแรงจะวิ่งกวด หยุดพักเหนื่อย ก่อนจะปั้นหน้ายักษ์ หันกลับไปจ้องรปภ.หน้าขาวที่ยืนถือกระบองมองมาทางเธอ
สาระวารีเดินดิ่งเข้าไปวีนโวยวายใส่รปภ.
“ยืนมองอยู่ทำไม ทำไมไม่จับมัน เค้าจ้างคุณมารักษาความปลอดภัยไม่ใช่เหรอะ”
รปภ.ยิ้มแหย
“มันมีปืนนะคุณ ผมมีแค่กระบองท่อนเดียว ขืนเข้าไปขวาง มันก็ยิงผมตายสิครับ”
สาระวารีโมโห หงุดหงิด
“ก็เอากระบองเนี่ยแหละปาหัวกบาลมัน ไม่ใช่มายืนบื้ออยู่ยังงี้”
ษมาตะโกนมา
“วารี มานี่เร็วเข้า”
สาระวารีค่อยได้สติรีบวิ่งกลับไปหาษมา ตกใจเผลอร้องออกมา ใจหายที่เห็นษมามีเลือดเปื้อนเสื้อแดงฉาน เขาประคองมัทนาที่ไม่ได้สติอยู่ในอ้อมแขน
“คุณถูกยิงเหรอ”
“ผมเปล่า เพื่อนคุณตะหาก”
สาระวารีตกใจมาก จับเนื้อตัวเพื่อน น้ำตารื้นด้วยความเป็นห่วง
“มัท”
“แต่ไม่ได้ถูกยิงตรงๆหรอกนะ กระสุนโดนพื้นก่อน รีบไปโรงพยาบาลเถอะ...”
ษมาอุ้มมัทนาไปที่รถ สาระวารีจะรีบตามไปช่วย
ไชยวัฒน์และเหล่าพนักงานออกมาจากบริษัทหลังเห็นทุกอย่างสงบ
“วารี มีเรื่องอะไร”
สาระวารีตอบพร้อมรีบเดินตามษมาไป
“มัทถูกยิงค่ะ บ.ก.ช่วยแจ้งความทีนะคะ วารีพามัทไปโรงพยาบาลก่อน”
สาระวารีรีบวิ่งนำษมาไปช่วยเปิดประตูรถ รปภ.รีบวิ่งเข้ามารายงานเรื่องราวทั้งหมดให้ไชยวัฒน์ฟัง
สาระวารีเข้ามานั่งนำในรถอีกด้านแล้วช่วยประคองมัทนาที่ษมาอุ้มเข้ามาในรถมานอนพิงตน
ษมาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา
“ผมยังไม่ได้ใช้ กดแถวๆ แผลไว้ก่อน”
สาระวารีรับผ้าเช็ดหน้ามากดที่หัวมัทนาทันที ษมาตกใจรีบห้าม
“โอ๊ย เบาๆ สิ ครับ ไม่ต้องแรงมากแค่ห้ามเลือด”
สาระวารีหน้าแหยบอก
“ขอโทษนะมัท”
ษมารีบวิ่งไปขึ้นรถขับออกไป สาระวารีอุดแผลห้ามเลือดให้มัทนา สีหน้าร้อนใจเป็นห่วงมาก
ผ่านเวลาเล็กน้อย ษมาขับรถไปอย่างร้อนใจ สาระวารีกดแผลให้มัทนา และช่วยดูทางไปด้วย
“เลี้ยวขวาแยกหน้าใช่มั้ยครับ”
“ใช่ค่ะ เลี้ยวแล้วชิดซ้ายเลยนะคะ”
มัทนาได้สติตื่นขึ้นมา
มัทนางง
“เกิดอะไรขึ้นคะพี่วารี โอ๊ย”
สาระวารีสีหน้าเป็นห่วงมาก น้ำตารื้นๆ ด้วยความเป็นห่วง
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยนะ มัทถูกยิง เรากำลังจะไปโรงพยาบาลกัน รู้สึกยังไงมั่งมัท เจ็บมากมั้ย”
“มันชาๆ น่ะค่ะ”
“คุณไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ แผลไม่ใหญ่ กระสุนไม่ได้เข้าตรงๆ แค่แฉลบสะท้อนขึ้นมา”
สาระวารีร้อนใจเป็นห่วง
“แต่เลือดออกมากเลยนะ คุณขับเร็วๆ เถอะ”
ไฟเขียวกำลังจะหมด ษมารอไม่ไหว เปิดไฟฉุกเฉินแล้วตัดสินใจขับรถเลี้ยวฝ่าหัวไฟแดงไปทันที
ษมาอุ้มมัทนาฝ่าผู้คนไปที่ห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาล พร้อมพูดบอกขอทาง
“ขอทางด้วยครับ คนถูกยิงครับ”
ผู้คนที่หนาตาหน้าห้องฉุกเฉินรีบหลีกทางให้ สาระวารีเดินตามมาติดๆ ชะเง้อมองตามเป็นห่วง
พยาบาลตามประกบษมาไป
“ขอทางด้วยครับ ขอบคุณครับ”
ษมาช่วยมัทนาสุดความสามารถเหมือนญาติของตัวเอง พาเข้าไปในห้องฉุกเฉินจนได้เสื้อผ้าเปื้อนเลือดก็ไม่ได้ใส่ใจทั้งที่เป็นคนติดหล่อเนี๊ยบ
สาระวารีหยุดเดินได้แต่มองตามไปอย่างหมดห่วงที่มัทนาถึงมือหมอแล้ว เธอได้แต่ยิ้มชื่นชมในความมีน้ำใจของษมาต่อเพื่อนรักของเธอ
บริเวณล็อบบี้โรงพยาบาล สาระวารีพยายามโทรศัพท์มือถือหามีคณา แต่ติดต่อไม่ได้ เธอบ่นอบ่างหงุดหงิด
“ลืมทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่ไหนอีกล่ะป้าแว่น”
สาระวารีกดตัดสายพร้อมถอนใจพรวดออกมา ษมาเดินออกมามองหาสาระวารีๆ แล้วรีบลุกไปหา
“มัทเป็นยังไงมั่งคะ”
“โอเคแล้ว คุณหมอเย็บแผลให้แล้ว น่าจะซักสิบเข็ม”
สาระวารีหน้าแหย เจ็บแทน
“ต้องโกนผมหมดเลยมั้ยคะ”
“หนักกว่านี้ยังไม่ต้องโกนเลยคุณ ปล่อยผมลงมาปิดก็มองไม่เห็นแล้ว”
สาระวารีช้อนตามองษมาอย่างซึ้งใจ
“ค่อยยังชั่ว...ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยมัทแบบทุ่มสุดตัวขนาดนี้”
ษมายิ้มบอก
“น้องรักคุณนี่ครับ แต่ถึงจะเป็นคนอื่น ถ้าผมอยู่ในเหตุการณ์ผมก็ช่วยอยู่แล้ว แต่อาจจะไม่ทุ่มสุดตัวขนาดนี้”
ษมาส่งสายตาหวานเยิ้มไปให้ สาระวารีเหยียดปากใส่ ตัดบทเปลี่ยนเรื่อง
“ตกลงมัทได้ห้องพักรึยังครับ”
“มัทไม่ยอมนอน จะกลับบ้านให้ได้ ตอนนี้ไม่เจ็บเพราะได้ยาแก้ปวดเข้าไป เดี๋ยวยาหมดฤทธิ์จะรู้สึก เพื่อนกันดื้อเหมือนกันไม่มีผิด”
“ผู้หญิงดื้อนี่แหละมีเสน่ห์”
อ่านต่อพรุ่งนี้ เวลา 09.30น.
สาระวารีค้อนใส่แล้วรีบเดินไปหามัทนาที่ห้องฉุกเฉิน ษมายิ้มขำๆ แล้วเดินตามสาระวารีไป
ภายในรถ มัทนาปิดผ้าทำแผลที่หัวร้องไห้ฟูมฟายกอดสาระวารีที่นั่งข้างๆ ที่เบาะหลังรถษมา มัทนาระบายทั้งน้ำตาอย่างเสียใจ สะอื้นขึ้นมาด้วยความเสียใจ ผิดหวัง
“มัทไม่คิดเลยว่าเค้าจะทำกับมัทถึงขนาดนี้ เค้าเคยขู่ไว้เหมือนกัน แต่มัทไม่คิดว่าเค้าจะทำจริงๆ”
สาระวารีกระชับกอดมัทนา พูดให้กำลังใจ
“มัทอาจจะเข้าใจผิดก็ได้นะ เค้าอาจจะไม่ใช่คนทำก็ได้”
“ไม่ใช่เค้าแล้วจะใครล่ะคะพี่วารี มัทไม่เคยมีเรื่องกับใคร”
ษมาเหลือบตามองผ่านกระจกหลัง
“ตกลงรู้ตัวใช่มั้ยครับว่าฝีมือใคร”
“พอทราบค่ะ แต่ยังไม่แน่ใจ” สาระวารีบอก
ษมาเจ็บใจแทน
“เสียดายจับตัวคนยิงไม่ได้จะได้สาวถึงตัวคนบงการ”
มัทนาเบะจะร้องไห้ขึ้นมาอีก สาระวารีพูดปรามษมา
“อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลยค่ะ พามัทกลับไปพักผ่อนที่บ้านก่อนดีกว่า เลี้ยวซอยข้างหน้าเลยค่ะ”
ษมาขับรถมองทางไป มัทนาแอบร้องไห้อยู่ไปมา สาระวารีซับน้ำตาให้มัทนา
“ไม่ร้องแล้วมัท จะถึงบ้านแล้ว เดี๋ยวพ่อกับแม่มัทจะยิ่งตกใจนะ นิ่งซะนะ”
ยิ่งปลอบ มัทนาก็จะยิ่งร้องไห้หนักสวมกอดสาระวารีเอาไว้ วารีได้แต่ลูบหลังปลอบใจ
รถษมาเลี้ยวเข้าซอยบ้านมัทนามา เห็นรถและมอเตอร์ไซค์ตำรวจจอดอยู่หน้าบ้านหลายคัน
มีตำรวจกำลังสำรวจร่องรอยเก็บหลักฐานอยู่รอบบ้าน มีชาวบ้านใกล้ๆ มามุงๆ ดู
“มีอะไรเหรอ ตำรวจเต็มไปหมดเลย” สาระวารีถาม
“ใช่มาบ้านน้องมัทเหรอครับ”
ทุกคนเพ่งมอง
“ใช่ค่ะ”
มัทนาสีหน้าร้อนใจ มัทนาตกใจปนห่วง
“เค้าจะส่งคนมาทำร้ายพ่อกับแม่มัทรึเปล่า”
รถษมายังไม่ทันจอดสนิทดี มัทนาก็เปิดประตูรถวิ่งลงไป
สาระวารีรีบเรียก
“มัท...หาที่จอดรถเร็วๆ ค่ะ”
ษมารีบขับรถไปจอดข้างกำแพงรั้ว สาระวารีหันมองตามมัทนาตลอดด้วยความเป็นห่วง มัทนาวิ่งไปบอกตำรวจแล้วรีบวิ่งตะบึงเข้าบ้านไปอย่างร้อนใจ
มัทนาวิ่งพรวดหน้าตาตื่นเข้ามาที่โถงบ้าน พ่อแม่และสาวิตรีกำลังให้ปากคำกับตำรวจอยู่ที่โซฟารับแขกหันมอง แม่ตกใจที่เห็นแผลบนหัวมัทนา
“นั่นหัวเราไปโดนอะไรมา”
“อุบัติเหตุนิดหน่อยค่ะแม่ แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นคะ”
“บ้านเราถูกขโมยขึ้น รื้อกระจุยกระจายไปหมดเลย แต่แปลกไม่เห็นเอาของมีค่าไปซักอย่าง” สาวิตตรีบอก
พ่อหันไปพูดกับตำรวจ
“สงสัยจะเพิ่งลงมือนะครับ พอผมกลับมาก็เลยหนีกันไปหมด ขโมยสมัยนี้มันกล้าจริงๆ กลางวันแสกๆ แท้ๆ”
ตำรวจบอก
“ผมว่ามันสืบมาอย่างดีแล้วล่ะครับว่ากลางวันบ้านอาจารย์ไม่มีคนอยู่”
มัทนาฉุกคิดไปมา
“มัทขึ้นไปดูห้องนอนเราก่อนเถอะ โดนรื้อหนักสุด เละเทะไปหมดเลย อะไรหายจะได้มาแจ้งคุณตำรวจ” สาวิตตรีบอก
มัทนาแปลกใจมาก รีบขึ้นชั้นบนบ้านไป
“ค่ะ”
ษมาและสาระวารีหยุดคุยกันที่ระเบียงหน้าบ้านมัทนา
“มัทเค้าคิดว่าใครเป็นคนทำเหรอครับ”
“เขตต์ตวัน คนที่ฉันเคยเล่าให้คุณฟังว่ามัทไปสัมภาษณ์ที่ภูเก็ตไงคะ”
“พระเอกหนังน่ะเหรอะ”
“ค่ะ”
“เค้าจะทำไปเพื่ออะไร”
“เค้าคิดว่ามัทจะเอาชีวิตส่วนตัวเค้ามาแบล็คเมล์ งี่เง่าจริงๆ เลย อยู่ใกล้ชิดกับมัทตั้งนาน ดูไม่ออกรึไงว่ามัทเป็นคนยังไง ใสซื่อขนาดนั้นจะไปทำร้ายใครได้ ยิ่งกับไอดอลในใจเค้าอย่างตัวด้วยแล้ว...ประสาท”
ษมาสีหน้าคิดตามอย่างเก็บข้อมูล
สาระวารีเจ็บแค้นแทนเพื่อน
“ทุเรศที่สุดเลย ส่งคนมาลอบยิงแล้วยังส่งคนมาทำลายบ้านเค้าอีก ผู้ชายคนนี้เลวจริงๆ”
“อย่าเพิ่งด่วนตัดสินเค้าโดยไม่มีหลักฐานสิวารี”
สาระวารีหัวเสีย
“ไม่ใช่เค้าแล้วจะใคร”
“ผมก็เคยโดนใส่ร้ายแบบนี้เหมือนกัน ทั้งที่ผมไม่ได้ทำ”
สาระวารีถอนใจพรวด ตัดบท
“เข้าไปไหว้พ่อกับแม่มัทกันก่อนเถอะค่ะ “
สาระวารีเดินนำเข้าบ้านไปอย่างเซ็งๆ
ษมาเดินตามสาระวารีเข้าไป สีหน้าใช้ความคิด ยังไม่ปักใจเชื่อจนกว่าจะมีหลักฐานยืนยันชัดเจนกว่านี้
จบตอนที่ 9