xs
xsm
sm
md
lg

มายาตวัน ตอนที่ 4

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


มายาตวัน ตอนที่ 4

มัทนาไม่คาดคิด เธอเห็นเขตต์ตวันยืนหน้านิ่ง เงยหน้ามองอยู่ใต้ต้นไม้ด้านในรั้วบ้าน
เขตต์ตะวันเสียงเข้ม

“ทำอะไรสาวน้อย”
มัทนาหยุดกึก ตาเบิกกว้างและลดกล้องลง เมื่อก้มมองก็ตกใจมากจนเสียหลักตกต้นไม้ลงมา
เธอร้องลั่นเหลือบตามองเขตต์ตวันที่อ้าแขนเตรียมรับเธอ แต่มัทนากลับตกลงที่พื้นทรายนุ่มอย่างแรง เพราะเขตต์ตวันขยับตัวออกหน้าตาเฉย ไม่เหมือนที่มัทนาแอบคิดไว้
“ฉันไม่ใช่พระเอกหนังอย่างที่เธอคิด”
แม้ทรายจะนุ่มแต่มัทนาก็เจ็บจุกสะเทือนร้าวไปทั้งตัว ลุกไม่ขึ้น เหลือบตาขึ้นมองเขตต์ตวันหมดแรงจะโต้ตอบ
“คุณจะฆ่าฉัน”
“เธอทำตัวเธอเอง มันคือบทลงโทษที่สาสมสำหรับการกระทำของเธอ”
เขตต์ตวันก้าวไปก้มเก็บกล้องถ่ายรูป มัทนาตาเบิกโพลงรวมแรงเฮือกสุดท้ายพุ่งไปกระชากกล้องคืน แต่เขาไวกว่าแย่งไปได้
มัทนาถลาไปกระแทกพื้น เจ็บจุกซ้ำเข้าไปอีก มัทนาคุกเข่าอ้อนวอนเมื่อเห็นเขตต์ตวันยกกล้องขึ้นสูง
“อย่าทุบมันทิ้งนะ มันสำคัญกับฉันมาก รู้มั้ยฉันต้องเก็บเงินอยู่ตั้งหลายปีกว่าจะซื้อมันได้”
มัทนาใจหายวูบ ลืมเจ็บ รีบลุกขึ้นยืนพูดอ้อนวอนให้เห็นใจ
“มัทต้องอดกินช็อกโกแล็ตอยู่ตั้ง 4 ปี”
เขตต์ตวันไม่แคร์ เปิดกล้องเอาเมมโมรี่การ์ดออกมา มัทนาตกใจมาก ชี้ไปที่เมมโมรี่การ์ด
“อันนั้นกว่าจะได้ก็ต้องอดกินไอติมตั้งนานเหมือนกัน”
เขตต์ตวันชู 2 สิ่ง 2 มือแล้วยิ้มมุมปาก
“ไอศกรีม กับ ช็อกโกแล็ต”
มัทนาพยักหน้ารัว ยกมือไหว้ ส่งสายตาละห้อยอ้อนวอน
“4 ปีเต็มๆ ตอนฉันเป็นนักศึกษา ขอกล้องฉันคืนเถอะนะ”
เขตต์ตวันดูผ่อนคลายขึ้นเพราะความที่มัทนาน่าเอ็นดู
“ถ่ายรูปอะไรไว้มั่ง”
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ เก็บภาพที่โรงแรม พวกชายหาด แล้วก็บ้านพักคุณ”
“เห็นภาพลิซ่ากับบุษย์ทะเลาะกันร่วมเฟรมด้วย คงแต่งเรื่องเขียนข่าวได้สนุกไปเลย”
มัทนาเสียงแข็ง
“ฉันไม่ได้ถ่ายเอาไว้ ฉันรับรอง”
เขตต์ตะวันสีหน้าดูถูก
“นักข่าวอย่างพวกเธอ มีเกียรติอะไรมารับรองแต่ก็ดีที่ไม่ถ่ายเอาไว้ ถ้ารูปพวกนั้นลงหนังสือเธอเมื่อไหร่ใบศาลส่งถึงมือเธอแน่”
มัทนาชักเคืองที่ถูกพูดจาดูถูก
“สยามสารเขียนแต่เรื่องจริง ไม่มีการเสนอข่าวแบบตอกไข่ใส่สีเด็ดขาด”
เขตต์ตวันเค่นขำพร้อมยิ้มเหยียด
“พวกนักข่าวอย่างเธอน่ะเหรอะจะเสนอแต่ความจริง”
มัทนาสีหน้าไม่พอใจ
“2 ครั้งซ้อนแล้วนะที่คุณพูดจาดูถูกอาชีพฉัน คุณคงเจอแต่นักข่าวไม่ดีมามาก ทำไมไม่ลองเปิดโอกาสให้ฉันพิสูจน์ให้คุณเห็นมั่งล่ะ ว่านักข่าวก็ไม่ได้เลวร้ายไปซะหมดอย่างที่คุณคิด”
เขตต์ตวันตัดบทตอบเสียงห้วน ก่อนโชว์เมมโมรี่การ์ด
“ไม่มีความจำเป็นที่ฉันต้องลอง อันนี้ฉันขอ ส่วนกล้องเอาคืนไป”
เขตต์ตวันโยนกล้องคืนให้ มัทนาร้องตกใจเล็กน้อย รับกล้องเอาไว้เกือบไม่ทัน เขาเดินไปหยิบเป้มัทนาขึ้นมา เปิดค้นดูเล็กน้อย
“ไม่มีอะไรหรอกน่ะ ของใช้ส่วนตัวทั้งนั้นแหละ”
เขตต์ตวันค้นจนแน่ใจว่าไม่มีอะไร จึงเงยหน้ามองมัทนา
“สาวน้อย หันหลังกลับไปซะ แล้วจำไว้ด้วยอย่าให้ฉันเห็นหน้าเธอ หรือกล้องของเธอแถวนี้อีก” เขาโยนเป้ใส่มัทนา เธอกอดเป้เอาไว้ทัน ก่อนจะพูดไปด้วยเสียงตะกุกตะกัก แบบกล้าๆ กลัวๆ
“ฉันอยากจะขอสัมภาษณ์คุณ”
“ลืมมันซะ” เขตต์ตะวันหันไปตะโกนเรียกทางหน้าบ้าน
“เปี๊ยก เปี๊ยก”
เปี๊ยกวิ่งหน้าเลิ่กมาตามเสียง สีหน้าเกรงกลัว หมวกก็หล่นตก เปี๊ยกเก็บอยู่ไปมา
“น้องมัท มาได้ยังไง” เปี๊ยกถามด้วยความประหลาดใจ
“ พาตัวออกไปส่งหน้าบ้าน อย่าให้ย้อนกลับเข้ามาได้อีก ไม่งั้นฉันจะเปลี่ยนยามใหม่” เขตต์ตวันบอก
เปี๊ยกแหยปนกลัว ตะเบ๊ะรับ
“ครับคุณปอน...ไปเถอะน้องมัท”
มัทนายังตื้อไม่เลิก
“งั้นฉันกลับไปก่อนนะคะ พอคุณอารมณ์ดีเราค่อยคุยกันใหม่”
เขตต์ตวันตวาดสวน
“ไม่มีครั้งต่อไปแล้ว จำไว้”
เขตต์ตวันจ้องหน้าเดินเข้าหาพูดเน้นชัด ทีละคำ
“อย่าให้ฉันเห็นหน้าเธออีก”
มัทนา ถอยห่างไปเล็กน้อย ก่อนฝืนยิ้ม
“งั้นฉันไปก่อนนะคะ แล้วจะติดต่อมาใหม่วันหลัง”
มัทนาวิ่งหนีไปเลย เปี๊ยกวิ่งกวดตามไป
“รอด้วยน้องมัท”
“เอากะมันสิ”
เขตต์ตวันถอนใจส่ายหน้า ฝนโปรยปรายเป็นละอองลงมาอีก เขตต์ตวันยกมือขึ้นบังฝนเดินเร็วกลับเข้าบ้านไป

มัทนาวิ่งฝ่าละอองฝนตามถนนไป เปี๊ยกยืนมองส่งยกมือบ๊าย บายอยู่กลางถนน
“โชคดีนะน้องมัทแล้วเจอกันใหม่” เปี๊ยกตะโกนบอกก่อนจะวิ่งหลบฝนเข้าบ้านไป
มัทนาเพิ่งรู้สึกตัว หยุดวิ่งก้มดูเท้าตัวเอง ปรากฏว่า วิ่งเท้าเปล่า
“ตายแล้ว รองเท้าคู่บุญของฉัน”
ฝนตกแรงขึ้น มัทนาวิ่งกอดเป้ห่อกล้องไว้เพราะกลัวเปียกฝน เธอวิ่งฝ่าฝนไปหาที่หลบให้ได้เร็วที่สุด

ในเวลาต่อมา เอกชัยกำลังเถียงอยู่กับลลิสาและชลบุษย์ที่โถงบ้าน เอกชัยพูดด้วยความหงุดหงิด
“จะเดินทางอยู่วันนี้แล้ว ยังมาทะเลาะกันอีก”
“ถ้าไม่มีคนมาวางอำนาจ ลิซ่าก็ไม่อยากมีปัญหาหรอกค่ะคุณเอก”
“ใครกันแน่ที่วางอำนาจ เสื้อผ้าทั้งโชว์เราประชุมวางไว้หมดแล้ว เธอมีสิทธิ์อะไรจะมาเปลี่ยน อยากใส่ชุดนั้น ไม่อยากใส่ชุดนี้” ชลบุษย์ว่า
“แต่คุณปอนสรุปว่าโอเคทั้ง 2 ชุดให้ฉันเลือกว่าอยากใส่ชุดไหน ไม่ใช่ให้เธอเลือก”
“เธอไม่ได้เข้าประชุมด้วยทำเป็นรู้ดี” ชลบุษย์ทิ้งค้อนใส่
ลลิสาเหยียดปากหยัน
“ถึงฉันไม่ได้เข้าประชุม คุณปอนก็รายงานทุกอย่างฉันบนเตียงอยู่แล้วล่ะ”
เอกชัยถอนใจด้วยความเซ็ง
ชลบุษย์โกรธปนหมั่นไส้จนกำมือแน่น
“พอทีเถอะ...นี่ถ้าไม่ติดว่าไม่มีใครอยู่บ้าน แล้วฉันต้องช่วยปอนเตรียมงานโชว์เดือนหน้า ฉันไม่ปล่อยให้ไปกันเองตามลำพังหรอก ไว้ใจใครไม่ได้เลยจริงๆ”

ชลบุษย์ทิ้งค้อนใส่ลลิสาอีกขวับ

ลลิสาสงสัยขึ้นมา

“เอ้อ แล้วนี่เยาะกับป้าหน่อยลาไปไหน ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“ป้าหน่อยไปช่วยลูกชายเลี้ยงหลานเพิ่งคลอด ส่วนเยาะไปรับเด็กรับใช้ใหม่...ได้โปรดเถอะ ช่วยอยู่กันอย่างสงบอย่าเพิ่งสร้างความวุ่นวายอะไรอีกเลย อยากให้ปอนมันอารมณ์เสียอีกรึไง” เอกชัยว่า
ลลิสาถอนหายใจพรวดออกมาแรงๆ
เขตต์ตวันวิ่งกลับเข้ามาที่โถง ปัดละอองฝนที่เปื้อนตัวออกเล็กน้อย
“อ้าวฝนตกเหรอะ”
“นิดหน่อย”
เขตต์ตวันเห็นทุกคนหน้าบึ้งใส่กันก็ถาม
“มีปัญหาอะไรกันรึเปล่า”
ทุกคนพร้อมใจกันตอบ “เปล่า” โดยไม่ได้นัดหมาย สองสาวทิ้งค้อนใส่กันอีกขวับ
“ไม่มีอะไรก็เตรียมตัวเดินทาง ทีมงานรออยู่ที่สนามบินครบแล้ว ฉันขอเปลี่ยนเสื้อก่อน” เขตต์ตวันเดินขึ้นบ้านไป
“ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ”
ลลิสาสะบัดหน้าพรืดเดินตามตวันขึ้นชั้นบนไป
“ผมขอร้องล่ะบุษย์ ยอมๆเค้าไปก่อนเสร็จงานที่มาเลย์ต้องไปเดินต่อที่สิงคโปร์อีกนะ อย่าให้เสียงานใหญ่” เอกชัยบอก
“ค่ะคุณเอก บุษย์จะอดทนให้ถึงที่สุดค่ะ” ชลบุษย์สะบัดหน้าเดินนำออกไปทางหน้าบ้าน
เอกชัยถอนใจทิ้งมือตบขาข้างตัวทั้งสองข้างก่อนเดินไปเอาของทางในห้องทำงาน

มัทนาวิ่งเปียกปอนเข้าโรงแรมมากดลิฟท์ ยืนรอด้วยอาการท่าทางหนาวๆ เธอรีบวิ่งเข้าลิฟท์ด้วยเท้าเปล่า ทั้งหนาวทั้งอาย

เวลาต่อมาในห้องพัก มัทนาอาบน้ำเรียกร้อยใส่ชุดอุ่นสบายนั่งอยู่ที่โซฟามุมห้องพัก
“ค่อยอุ่นขึ้นหน่อย”
เสียงโทรศัพท์ห้องดังขัดขึ้น มัทนาลุกไปรับโทรศัพท์
“สวัสดีค่ะ”
“ผมเชนนะ”
“อ๋อ ค่ะ มีอะไรคะ”
เชนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนคุยโทรศัพท์อยู่บนเตียง
“เย็นนี้ทานข้าวกันมั้ย ผมเลี้ยงเอง”
มัทนาอึกอัก
“คือ มัทว่า...”
“ยังโกรธผมเรื่องเมื่อวานเหรอ ผมขอโทษนะมัท ผมอารมณ์เสียมาด้วย แล้วผมก็ไม่ชอบถ่ายรูปจริงๆ”
“อ๋อ ไม่ใช่หรอกค่ะ”
“มัทไม่ได้โกรธอะไรคุณเชน มัทเข้าใจ มัทก็ไม่ชอบให้ใครว่ามัทอ้วน เหมือนกับคุณเชนไม่ชอบถ่ายรูปแหละค่ะ”
“แล้วทำไมมัทอึกอักเหมือนไม่อยากไปทานข้าวกับผมล่ะครับ”
“คือมัทลืมรองเท้าไว้บ้านคุณตวัน ตอนนี้เหลือแต่รองเท้าแตะขนปุย”
เชนหัวเราะ
“เราไปแวะซื้อใหม่ก็ได้นี่ครับ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ รองเท้าคู่บุญของมัท ถ้ามัทไม่เห็นกับตาว่าเค้าตายในหน้าที่ มัทไม่มีทางซื้อรองเท้าคู่ใหม่หรอกค่ะ”
“งั้นเราทานร้านอาหารในโรงแรมก็ได้ เค้าไม่กล้าไล่ลูกค้าโรงแรมหรอก”
“งั้นก็ตกลงค่ะ....ค่ะ เจอกันค่ะ”
มัทนาวางหูโทรศัพท์ก่อนถอดรองเท้าแตะรูปสัตว์ขนปุยไว้ข้างเตียงก่อนขึ้นเตียงนอนพักผ่อนเอาแรงซักงีบ

บ้านวันนั้น ณ ชุมชนแห่งหนึ่ง มีคณาอยู่ในลุคสาวใหญ่จัดจ้าน ดัดผมปล่อยสยาย ไม่ใส่แว่น แต่งหน้าจัด เธอทำตามที่สาระวารีแนะนำเป๊ะ มีคณายืนคุยกับคนร้ายที่มากับเด็กสาว 2 คนที่ดูหวาดกลัว
คนร้ายบอกเด็กว่า
“พี่เค้าใจดี พาไปทำงานร้านอาหาร ไม่ต้องกลัวเค้าหรอก จะได้มีเงินส่งไปบ้านไงล่ะ”
มีคณายิ้มแย้มเพ่งมองเด็กสาว
“มาหาเจ๊สิจ๊ะ”
มีคณาไม่ได้ใส่แว่นมองไปที่เด็กสาวสองคน แต่ดูไม่ชัด เห็นรูปร่างเป็นผู้หญิงแต่ไม่ชัดพอจะเก็บรายละเอียดของหน้าตาได้อย่างชัดเจน เด็กสาวสองคนค่อยๆเดินมาหาเธอ คนร้ายแบมือเรียกเงิน
มีคณาหยิบเงินสดออกมาจากกระเป๋า ยื่นให้คนร้าย...
“นับดูเดี๋ยวนี้เลยจะได้ไม่มีปัญหา”
คนร้ายจะรับเงินไปแต่มีคณาจับเงินแน่นดึงยื้อเอาไว้
ทันใดนั้นเองหิรัณย์และตำรวจอีก 2 นายก็ออกจากที่ซ่อน...หิรัณย์อยู่ในมุมด้านหลังของมีคณา
ไม่เห็นหน้าเธอถนัดนัก คนร้ายว่องไวเห็นผิดสังเกตเลยกระชากแขนเด็กสาวคนหนึ่งมาล็อกแขนเอาไว้ จนเด็กสาวร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
มีคณาสีหน้าโกรธจัด ชิงชังคนร้ายที่ทำรุนแรงกับเด็กสาวอย่างเห็นได้ชัด จึงโดดเข้าล็อกคอคนร้ายทันทีอย่างไม่กลัวอันตราย เด็กสาวเลยหนีออกไปหาเพื่อนได้
หิรัณย์เล็งปืนขู่
“มอบตัวซะดีๆ”
คนร้ายกระทุ้งศอกใส่มีคณา และเหวี่ยงจนเธอล้มไปแล้ววิ่งตะบึงหนีไปทันที มีคณาสีหน้าเจ็บใจ ของขึ้น วิ่งกวดคนร้ายไปทันทีอย่างไม่กลัวตาย หิรัณย์ตกใจปนเป็นห่วง
“เดี๋ยวสิคุณ”
หิรัณย์วิ่งตามมีคณาไป

มีคณาวิ่งไล่ตามคนร้ายมาอย่างเอาเป็นเอาตาย หิรัณย์วิ่งกวดตามมาติดๆ ด้วยความเป็นห่วง
หิรัณย์ยิงปืนขู่ขึ้นฟ้า คนร้ายตกใจรีบพุ่งตัวหลบคิดว่าถูกยิงปืนใส่ ทำให้เสียหลักสะดุดล้มไปกับพื้น นอนยกมือยอมแพ้
มีคณามองไม่เห็น ยังของขึ้นไม่หาย หันซ้ายขวาคว้าไม้เหมาะมือข้างทางตรงปรี่ไปฟาดใส่คนร้ายอย่างไม่ยั้งมือ...
มีคณามีสีหน้าชิงชัง หลับหูหลับตาฟาด
“โอ๊ย ๆ พอแล้วครับ ผมตำรวจ”
มีคณาได้สติลืมตา เพ่งมองเห็นหิรัณย์ก้มหน้างุดด้วยความกลัวว่าจะโดนฟาดโดนหน้า
มีคณายิ้มแหย รีบโยนไม้ทิ้ง
“ขอโทษค่ะ เจ็บมั้ยคะ”
หิรัณย์ขยับตัวออก ก้มหน้างุด นวดคอเอี้ยวไปมาเลยไม่ได้มองหน้าเธออย่างจะๆ
“อีกไม้เดียว เรียกรถพยาบาลได้เลย”
หิรัณย์หงุดหงิดปนเซ็ง ตำรวจอีกนายรีบวิ่งเข้ามาช่วยจับตัวคนร้ายไป
หิรัณย์หันมามองมีคณา
“ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยจับคนร้าย”
มีคณาก้มหน้าพร้อมดึงผมมาปิดหน้า รู้สึกอับอายมากที่ฟาดหิรัณย์เต็มเหนี่ยว
“ฉันไม่ชอบผู้ชายที่ใช้ความรุนแรงกับผู้หญิงอยู่แล้ว เห็นแล้วของมันขึ้น
หิรัณย์ยังคงเอี้ยวตัวนวดหลังไปมาพลางบ่น
“แรงควายขนาดนี้ ไม่บอกก็เชื่อว่าเราเป็นผู้ชายเหมือนกัน”

มีคณาตกใจ ตาเบิกโพลง เงยหน้ามองไปที่หิรัณย์ด้วยสายตาเบลอๆเพราะไม่ได้ใส่แว่น
อ่านต่อเวลา 17.00น.

ภายในห้องทำงาน ไชยวัฒน์หัวเราะชอบใจ มีคณาต่อว่าบ.ก.อย่างอายๆ

“บอกอไปบอกเค้าว่ามี่เป็นสาวประเภทสองได้ยังไงคะ”
สาระวารีนั่งขำๆ ชอบใจอยู่ไม่ห่างนัก.... มีคณาเปลี่ยนชุดกลับมาอยู่ในลุคเดิมแล้ว
เธอหยิกแขนเพื่อนเล็กน้อย
“เพราะเธอด้วยแหละ แนะนำไม่ให้ฉันใส่แว่น ดีนะฉันไปฟาดเค้าตาย”
“ใครจะคิดว่าเธอจะพาซื่อ แต่งตัวตามที่ฉันแนะนำเด๊ะขนาดนั้นล่ะ”
“เอาล่ะ ไม่ต้องฟาดงวงฟาดงา ก็ผมเห็นว่างานมันเสี่ยงขนาดนั้น ขืนบอกว่ามี่เป็นผู้หญิงก็อดน่ะสิ พี่หาลู่ทางทำเพื่อมี่นะ เห็นมั้ย ได้ช่วยเด็กสมใจ ได้ทั้งข่าวได้ทั้งบุญ”
ไชยวัฒน์ยิ้มชื่นชม
“ถูก ยิ่งผู้หญิงลุคเรียบร้อยงุ๊งงิ๊งอย่างเธอ เค้ากลัวเสียแผนไม่ให้ทำหรอก”
“พี่คุยโม้ซะเสร็จสรรพว่ามี่เป็นนักเทควอนโด้ทีมชาติ”
ไชยวัฒน์หัวเราะชอบใจต่อ
“ต่อไปมี่ไม่กล้าสู้หน้าเค้าแล้วล่ะ”
มีคณาหน้าจ๋อยนั่งลง สาระวารีเหล่มองอย่างสงสัยแถมยิ้มกระเซ้า
“ทำไมล่ะ แคร์อะไรหรือว่าแอบสนใจเค้า”
มีคณาผลักสาระวารีไปเบาๆ
“บ้า หน้าเค้าฉันยังไม่ทันเห็นเลย”
สาระวารีขำๆบอก
“เห็นก็เบลอ ยัยแว่นเอ๊ย”
“ฉันก้มหน้าเกือบตาย กลัวเค้าจำได้ นักข่าวทำร้ายตำรวจเจอหมายหัวแน่ ไม่รู้จะต้องเจอกันอีกรึเปล่า”
ไชยวัฒน์และสาระวารีได้แต่ขำๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดกับมีคณาในวันนี้
“อยู่ในเหตุการณ์ขนาดนี้ เขียนสกู๊ปให้มันหยดเลยนะมี่”
สาระวารีกระเซ้าอีก
“เรื่องทำร้ายเจ้าพนักงานเอาด้วยมั้ยคะบ.ก.”
มีคณาหมั่นไส้ปนเจ็บใจตรงเข้าไปบีบคอเขย่าสาระวารี ไชยวัฒน์ได้แต่หัวเราะชอบใจไปมา

เวลาหัวค่ำ เขตต์ตวันและเอกชัยถือแก้วไวน์ยืนคุยกันอยู่ที่ระเบียงบ้าน
“วันนี้เด็กนั่นมาอีกแล้วนะ”
“เด็กที่ไหน อย่าบอกนะว่าเดอะมัทนักข่าว”
“จะใครซะอีกล่ะ”
เอกชัยขำๆบอก
“ตื๊อจริงๆ คราวนี้มาไม้ไหนอีกล่ะ”
“ปีนต้นไม้มาน่ะสิ”
“เฮ้ย แสบขนาดนั้นเลยเหรอะ”
“ดีนะไม่ตกลงมาตาย”
“แกทำรุนแรงอะไรกับเด็กนั่นรึเปล่า”
เขตต์ตะวันยักไหล่
“ฉันไม่ได้ทำอะไร แค่เรียกก็ตกใจตกลงมาเอง”
“ดีนะไม่ตกมาคอหักตาย” เอกชัยพูดอย่างเป็นห่วง
“ตายคงสิงอยู่บ้านเรา ไม่ไปไหนแน่” เขตต์ตวันพูดพลางส่ายหน้า
เอกชัยขำๆบอก
“ก็เกินไป..”
“ความสูงแค่นั้นไม่ถึงกับตายหรอก อย่างมากก็แค่ขาหัก”
เอกชัยส่ายหน้า
“แต่เด็กนี่มีความมุ่งมั่นดีจริงๆนะ เป็นนักข่าวคนอื่นเปิดไปนานแล้ว”
“ทั้งมุ่งมั่นทั้งหน้าด้านหน้าทน โดนเค้าจับได้คาหนังคาเขา ยังมีหน้ามาขอสัมภาษณ์อีก”
“แล้วแกยอมมั้ย”
“ไล่ตะเพิดไปน่ะสิ ยังมีหน้ามาบอกอีกนะ รอฉันอารมณ์ดีแล้วจะติดต่อมาใหม่”
เอกชัยหัวเราะชอบใจ
“เด็กคนนี้เด็ดว่ะ คนอย่างแกต้องเจอลูกตื้อยังงี้ล่ะ”
“จะบ้าตาย” เขตต์ตวันยิ้ม เขย่าไวน์ในแก้วไปมา
“เชื่อฉันมั้ย เธอมาอีก ไม่หยุดแค่นี้หรอก”
“ลองมาสิ จะขอเตะเด็กผู้หญิงซักทีเถอะวะ”
“เฮ้ย โหดไปเปล่า น้องเค้าออกจะน่ารัก”
ทีมงานผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาตาม
“ทีมงานพร้อมประชุมต่อแล้วค่ะ”
“ไป” เอกชัยกอดคอเขตต์ตวันพาเดินเข้าบ้านไป
เขตต์ตวันได้แต่ส่ายหน้าไปมาเดินเข้าไปประชุมงานต่อ

เชนและมัทนานั่งดินเนอร์กันที่ร้านอาหารในโรงแรม...เธอสวมรองเท้าคู่ปุกปุย ทั้งคู่คุยกัน ทานขนมหวานพร้อมชากาแฟไป
เชนเย้าบอกพลางส่งสายตาเอ็นดู
“ท่าทางคุณเหมือนแมวตัวเล็กๆ ที่เพิ่งอิ่มนมเลย”
มัทนาย่นจมูกใส่
“อย่าบอกนะคะว่าลูกแมวตัวอ้วนๆ มัทโกรธจริงๆ ด้วย”
เชนขำๆ ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ
“เล่าเรื่องฟาร์มเลี้ยงมุกของคุณต่อสิคะ มัทอยากฟัง ท่าทางจะได้กำไรมาก”
“ไม่หรอกครับ ช่วงปีแรกๆ มีปัญหามาก ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นที่น้ำหรืออุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม ไข่มุกรุ่นแรกๆ ไม่สวย ไม่ได้ขนาดเท่าที่ลูกค้าออเดอร์ ปัญหารุมเร้ารอบด้านไปหมด บริษัทขาดทุนอย่างหนัก ผมแทบเป็นบ้า คิดว่าคงรักษาฟาร์มเอาไว้ไม่ได้”
เชนเล่าด้วยสีหน้าแววตาปวดร้าวจนมัทนารู้สึกได้ และเห็นใจ
“แล้วคุณเชนแก้ปัญหาได้ยังไงคะ”
“ตอนนั้นผมจนหนทางจริงๆ โชคดีที่แด๊ดยอมยื่นมือมาช่วยจากแคนาดา ท่านยอมให้ผมยืมเงินทุนก้อนนึงนำเข้าไข่มุกมาจากญี่ปุ่นส่งให้ลูกค้าไปก่อน บริษัทขาดทุนมาก แต่ก็คุ้มที่รักษาลูกค้ากับชื่อเสียงของบริษัทเอาไว้ได้”
“ร้านของคุณเชนที่กรุงเทพชื่ออะไรเหรอคะ”
“เชนส์เพิร์ลครับ”
มัทนาตาเบิกโพลง ตกใจ
“เชนส์เพิร์ล ดังมาก”
“ขอบคุณครับ...ไปคุยต่อที่ล็อบบี้ดีมั้ย” เชนยกมือเรียกบริกรพร้อมจิบกาแฟไป

มัทนาเดินคุยนำมานั่งลงที่โซฟาล็อบบี้ตัวสบายมุมหนึ่ง เชนเดินตามหลังมาติดๆ
“มัทเคยไปทำข่าวที่เชนส์เพิร์ลบ่อยๆ นะคะ ยังนึกชมอยู่เลยว่าเจ้าของร้านเป็นคนใจบุญจริงๆ บริจาคไข่มุกทีละมากๆ”
เชนยิ้มๆ เดินตามมานั่ง
“ตอนแรกมัทคิดว่าเจ้าของต้องเป็นคนสูงอายุแน่ๆ ไม่นึกว่าจะเป็นคุณเชนนี่เอง”
เชนสีหน้ายิ้มแย้ม
“ผมชอบทำบุญครับ ซึ่งมันก็เป็นการโปรโมทร้านไปในตัว ที่คนรู้จักติดปากชื่อร้านผมก็เพราะงานประมูลการกุศลนี่ล่ะครับ”

“แล้วธุรกิจอื่นที่คุณเชนทำคู่กับเปิดร้านล่ะคะ ประสบความสำเร็จอย่างเชนเพิร์ลรึเปล่า”

สิ้นคำถาม รอยยิ้มบนหน้าเชนก็แห้งเหือดดูแข็งกร้าวขึ้นมาทันที

“ยิ่งกว่าครับ กำไรมหาศาล เกินหน้าเกินตาจนคนเค้าหมั่นไส้ มันกลั่นแกล้งทุกวิธีที่จะทำให้ธุรกิจผมย่อยยับ กักสินค้าไม่ให้ส่งออก โกง ทำลายทุกทาง โดยที่ผมตอบโต้อะไรมันไม่ได้เลย” น้ำเสียงแววตาเชนเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
มัทนาแอบมองสายตาดุดันของเชนที่ตนไม่เคยเห็นมาก่อน
“แล้วทำไมคุณเชนไม่แจ้งความล่ะคะ เราฟ้องร้องขอความเป็นธรรมได้”
เชนสวนทันทีด้วยสีหน้า แววตาอำมหิต
“เปล่าประโยชน์ ตำรวจเป็นพวกมัน มันฉลาดที่จะสร้างสถานการณ์ให้ผมเป็นคนผิดทุกประตู”
มัทนาอึ้งปนกลัวเหมือนกันที่ได้เห็นสีหน้าแววตาแบบนั้นของเชน
“เค้าเป็นใครเหรอคะ บางทีอาชีพนักข่าวของมัท อาจช่วยคุณเชนได้”
เชนรู้สึกตัว รีบดึงตัวกลับออกมาจากความเคียดแค้นในอดีต ฉีกยิ้มอบอุ่นกลบเกลื่อนทันที
“ช่างมันเถอะครับ ผมอโหสิให้มันหมดแล้ว”
“จะดีเหรอคะที่คุณจะปล่อยให้คนผิดลอยนวล”
เชนเสียงเหี้ยม ตาดุดันบอก
“วันหนึ่งมันต้องได้รับกรรมที่มันก่อไว้กับผมแน่”
เชนหลบสายตาน่ากลัวมองไปทางอื่นแทน แต่ไม่พ้นสายตามัทนาไปได้ เธอแอบมองเขาอย่างไม่ละสายตา ยิ่งรู้จักกัน ยิ่งชักไม่แน่ใจว่า เชนจะเป็นผู้ชายอบอุ่นแสนดีจริงๆอย่างภาพที่สร้างออกมา

เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในยามเช้า มัทนาที่นอนหลับสนิทบนเตียงสะดุ้งตื่น เอื้อมมือไปกดปิดนาฬิกาปลุก แล้วพยุงตัวขึ้นนั่งแทบจะไม่ไหว
มัทนายกมือขึ้นกุมหัว นวดขมับไปมา
“โอ๊ย...ปวดหัวจังเลย”
มัทนาทิ้งตัวลงนอนอีกครั้งก่อนจะดีดตัวขึ้นมานั่งอีกที
“สู้ ๆ มัทนา”
มัทนาลุกลงจากเตียงไปอย่างยากลำบาก

ในเวลาต่อมา มัทนายืนสะพายเป้เกาะรั้วหน้าบ้านเขตต์ตวัน เปี๊ยกเดินร้อนใจตามเอกชัยออกมา
เธอดีใจมากที่เอกชัยออกมา
“คุณเอก”
“เธอมาทำอะไรอีก ปอนเค้าทำงานอยู่ไม่พบเธอหรอก”
“อีกนานมั้ยคะกว่าคุณปอนจะเสร็จงาน”
“จะทู่ซี้ไปทำไมมัท ปอนไม่ชอบนักข่าวเธอก็รู้”
“คุณเอกช่วยกลับไปบอกคุณปอนด้วยนะคะว่ามัทจะรออยู่ที่นี่ จนกว่าคุณปอนจะว่าง”
“ดื้อจริงๆเลยเธอนี่” เอกชัยถอนใจเดินส่ายหน้ากลับไป
“ขอบใจมากนะเปี๊ยก”
“ไม่เป็นไร รองเท้าน่ารักดีนะ”
“ขอบใจจ้ะ”
มัทนาเกาะรั้วชะเง้อมองตามเอกชัยเข้าไป

เขตต์ตวันเงยหน้าจากแบบที่เสื้อที่กำลังดีไซน์อยู่ หลังจากฟังเอกชัยอยู่นาน
“ไปบอกให้เค้ากลับไปซะ”
“ให้เค้าสัมภาษณ์หน่อยจะเป็นไรไป เรื่องแฟชั่นโชว์คอลเล็กชั่นใหม่ของเราก็ได้”
“จะพูดอีกนานมั้ย ฉันจะได้หยุดทำงาน”
เอกชัยหน้าจ๋อยบอก
“เออๆ ทำงานไปเถอะ”
เอกชัยเดินออกไป เขตต์ตวันถอนใจออกมาก่อนก้มลงออกแบบต่อไป

ผ่านเวลาสักพัก เปี๊ยกเดินกางร่มพาเอกชัยที่ถือร่มอีกคันหน้าตาร้อนใจปนห่วงออกมาที่หน้ารั้วบ้าน
มัทนาใช้ถุงก๊อบแก๊บสีชมพูแป๋นของแม่สวมหัวกันฝนยืนเกาะรั้วรออยู่ที่เดิม..รองเท้าแตะสัตว์ขนปุยเปียกปอนไปหมด
“อยากตายรึไง มายืนตากฝนอยู่แบบเนี้ย”
“ถ้ามัทไม่ได้สัมภาษณ์คุณปอน มัทจะไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น”
เอกชัยถอนใจพรืดออกมา
“เธอนี่จริงๆเลย”
มัทนาสีหน้าแน่วแน่ แววตามุ่งมั่น เกาะประตูรั้วแน่น เอกชัยยื่นร่มออกไปให้
“เอาไป เดี๋ยวก็เป็นหวัดจนได้หรอก”
มัทนายิ้มขอบคุณ รับร่มไป
“ขอบคุณค่ะคุณเอก”
เอกชัยส่ายหน้าเดินกลับไป เปี๊ยกรีบตามกางร่มไปส่ง มัทนามีสีหน้ามึนๆ ปวดหัวขึ้นมา แต่พยายามแข็งใจ เธอจะกางร่มแต่ไม่มีแรงจนต้องใช้ร่มยันพื้นเอาไว้
“ปวดหัวจังเลย”
มัทนามีสีหน้าปวดหัวทรมานแต่พยายามแข็งใจสู้ไม่ถอย

ในห้องหนังสือ เอกชัยพูดใส่หน้าเพื่อนเป็นชุด
“ไม่ว่านายจะว่ายังไง ฉันก็ยืนยันว่าจะพามัทเข้ามาพักในบ้าน อย่างน้อยก็จนกว่าฝนจะหยุด สภาพเธอแย่มาก เปียกโชกไปทั้งตัว หนาวสั่นเหมือนลูกนก”
เขตต์ตวันลุกขึ้นตบโต๊ะโครมเผชิญหน้ากับเอกชัย
“ฉันไม่ได้ขอร้องให้เค้าอยู่รอฉัน มาเองได้ทำไมจะกลับไปไม่ได้ อย่ามาบีบฉันด้วยวิธีงี่เง่ายังงี้เลย ไม่สำเร็จหรอก”
“เอาเถอะ นายอาจจะทนเห็นเด็กนั่นตากฝนเป็นชั่วโมงได้ แต่ฉันใจไม่แข็งพอ”
“แต่เด็กนั่นเป็นนักข่าว เราจะมาทะเลาะกันเพื่อนักข่าวไปทำไม”
“แต่เธอยังเป็นเด็กตัวนิดเดียว”
“เด็กดื้อน่ะสิ ทั้งดื้อทั้งโง่ทั้งบ้า เดี๋ยวคงได้ตายสมใจอยาก”
เขตต์ตวันกระแทกตัวลงนั่ง สีหน้าไม่พอใจมาก

ผ่านเวลา มัทนานั่งคุกเข่าก้มหน้าตากฝนรออยู่หน้าประตูรั้วอย่างหมดสภาพจนแทบไม่ไหวแล้ว
ไม่คาดคิด ประตูรั้วค่อยๆ เลื่อนเปิดออก เธอไม่อยากเชื่อสายตาว่า ผู้ชายที่ยืนกางร่มอยู่ตรงหน้าคือเขตต์ตวัน แม้จะหน้าหงิกงอบึ้งตึงแต่ก็ทำให้มัทนาดีใจมาก จนมีแรงลุกพรวดขึ้นยืน
“ฉันดีใจจังเลย ในที่สุดคุณปอนก็ยอมออกมาพบฉันจนได้”
มัทนายิ้มกว้างทั้งที่หน้าซีดเซียว เขตต์ตวันหน้าตาโกรธจัด
“ฉันจะออกมาไล่...”
ไม่ทันสิ้นคำพูดของเขตต์ตวัน ร่างของมัทนาก็หมดสติ ร่วงทั้งยืน เขาตกใจมากทิ้งร่มแล้วคว้าตัวเธอไว้ได้ทัน ฝนตกต่อเนื่องจนเปียกไปทั้งคู่
เขตต์ตวันตัดสินใจช้อนตัวมัทนาอุ้มขึ้นมาแล้วรีบพากลับเข้าบ้านไป เอกชัยกางร่มออกมายืนดูที่หน้าระเบียง ส่วนเปี๊ยกรีบวิ่งกางร่มมากันฝนให้เขตต์ตวันและมัทนา

มัทนาซึ่งหมดเรี่ยวหมดแรง ค่อยๆ เผยอตามองเห็นหน้าเขตต์ตวัน ก่อนยิ้มบางๆ ที่ริมฝีปากออกมาอย่างดีใจก่อนจะหลับหมดสติไปอีกที

อ่านต่อเวลา 09.00 น.

มายาตวัน ตอนที่ 4 (ต่อ)

เขตต์ตวันอุ้มมัทนาเข้ามาในโถงบ้าน เอกชัยเดินตามติดด้วยความเป็นห่วง เขตต์ตวันบ่นด้วยความหงุดหงิดปนโกรธ
“มีแต่คนบ้ากับโง่เท่านั้นล่ะที่จะทำอย่างเธอ ดูซิ ตัวร้อนจี๋ขนาดเนี้ย ถ้าไม่ปอดบวมตาย ฉันจะฆ่าเธอเอง” เขาวางตัวมัทนาลงที่โซฟายาว
มัทนาได้สติลืมตามองหน้าเขตต์ตวันที่ดูโกรธเกรี้ยว
“อย่ามามองหน้าฉันนะ ฉันทำแน่ ไม่มีนักข่าวคนไหนที่ทำให้ชีวิตฉันวุ่นวายแล้วลอยนวลอยู่ได้หรอก”
“เอาน่าปอน น้องยังเด็ก”
เขตต์ตวันหันขวับเล่นงานเอกชัย
“เพราะแกนั่นล่ะ ชักศึกเข้าบ้าน”
“เออ ฉันยอมรับผิด แล้วจะเอาไง ให้เปี๊ยกลากไปทิ้งหน้าบ้านมั้ยล่ะ”
มัทนานอนมองสองคนทะเลาะกันตาแป๋ว หมดแรงจะเถียงด้วย
“ถ้าจะทำยังงั้น ฉันจะอุ้มเข้าบ้านมาทำไมให้เหนื่อย”
เอกชัยยิ้มๆ ใจดีสู้เสือ
“แสดงว่ายอมให้พักอยู่ที่นี่ก่อน”
เขตต์ตวันถอนใจใส่เอกชัยก่อนมองมัทนา
“เธอก็เหมือนกัน ถ้ารู้ตัวว่าป่วยก็ไม่น่ามาฝืนสังขาร ไม่รักตัวเองก็ควรเกรงใจคนอื่นที่จะต้องมามีภาระเพิ่มขึ้นเพราะเธอ”
มัทนาหน้าจ๋อยไป เอกชัยช่วยพูดแอบแขวะเพื่อนกลายๆ
“เอาน่า รู้ว่าเป็นห่วง จะพูดแดกดันน้องเค้าไปทำไม”
เขตต์ตวันหันขวับจ้องหน้าเพื่อนด้วยสายตาเคืองๆ
“แทนที่แกจะมายืนกางแขนปกป้องเค้าอยู่ยังงี้ ฉันว่าแกไปหาเสื้อหนาๆ หาอะไรอุ่นๆให้เค้าดื่มจะมีประโยชน์กว่า”
เอกชัยจ๋อยไปเล็กน้อย เหลือบตามองมัทนา เสียงอ่อนโยนเป็นห่วง
“รอเดี๋ยวนะ”
เอกชัยรีบเดินไปทางครัว
เขตต์ตวันเหลือบตากลับมามองมัทนาที่ค่อยๆ หลับตาพริ้มไปเพราะไม่ไหวแล้วจริงๆ แว่บหนึ่งของสายตาเขาบอกถึงความเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน แต่เขาก็ผละเดินไปขึ้นบันไดบ้านพร้อมถอดเสื้อออกเพื่อขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อชุดใหม่

ผ่านเวลาเล็กน้อย มัทนาสวมเสื้อคลุมตัวหนา และใช้ผ้าขนหนูโพกผมนั่งลงที่เก้าโต๊ะทานข้าว สีหน้าท่าทางป่วยๆ ไม่มีแรง เอกชัยยื่นถ้วยใส่เครื่องดื่มสีสวยบางอย่างให้มัทนา
“ดื่มให้หมด มันจะช่วยให้เธออุ่นขึ้น”
กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนจนมัทนาย่นจมูก
“ฉันดื่มเหล้าไม่ได้”
เขตต์ตวันในชุดใหม่เดินลงมาสมทบพร้อมพูดทันที
“ช่วยไม่ได้นะสาวน้อย นี่ยังไม่ถึงเวลาอาหาร เด็กลูกจ้างก็ไม่อยู่ แล้วเราก็ไม่มีอะไรอุ่นๆ ไว้ป้อนลูกนกขนเปียก เพราะฉะนั้นเธอต้องดื่มมันให้หมด...อ้าปาก”
มัทนาไม่มีแรงขัดขืน เขตต์ตวันบีบปากเธออ้า เหล้าทำให้มัทนาร้อนผ่าวจากคอจนเหมือนท้องจะระเบิด เธอทำหน้าตาแปลกๆ ก่อนจะรู้สึกดีขึ้น
“อุ่นขึ้นจริงๆ ด้วย”
มัทนายิ้มขอบคุณ มองหน้าเขตต์ตวันที่จ้องหน้าดุเขม็ง มัทนาค่อยๆ ยิ้มแห้ง
“พอมีแรงมั้ย”
มัทนาพยักหน้าแหยๆ
“ฉันจะพาเธอขึ้นไปข้างบน เปลี่ยนเสื้อผ้าเปียกออกซะ ปอดบวมขึ้นมาจะเรื่องใหญ่” เขตต์ตวันประคองมัทนาขึ้นยืนอย่างไม่ถนุถนอมนัก เขาพาเธอเดินขึ้นไปชั้นบน มัทนาดูกลัวๆ เหล่มองเอกชัย
เอกชัยขยับปากบอกมัทนา พร้อมทำท่าภาษามือ ชี้มือวนรอบปาก ก่อนจะชี้นิ้วไปที่หัวใจแล้วทำสัญญาณมือโอเคให้เธอ เพื่อจะบอกว่า
“ปากร้าย แต่ใจดี...ไม่ต้องกลัว”
เขตต์ตะวันพามัทนาขึ้นบันไดไปแรงๆ บอกเสียงดุ
“ เร็วๆ ซิ ขืนอยู่ได้ ฉันไม่ปล้ำเธอหรอก”
มัทนาแหยปนกลัว รีบตามเขตต์ตะวันขึ้นชั้นบนไปแต่โดยดี เอกชัยมองตาม ยิ้มๆ ส่ายหน้า ก่อนเดินไปทางครัว

เขตต์ตวันประคองมัทนาเข้ามาในห้องนอนแขก… มัทนากวาดตามองห้องสะอาดสะอ้านน่านอน
“เสื้อคลุมตัวใหม่อยู่นั่น”
เขตต์ตวันชี้ไปที่เสื้อคลุมตัวหนา ดีไซน์สวยแขวนไว้ที่ข้างตู้เสื้อผ้า
“ถอดข้างในออกซะ”
มัทนาดูอายๆ กระชับเสื้อคลุมให้แน่น
“อย่าลืมเช็ดผมให้แห้งด้วย เสร็จแล้วรีบออกมา ฉันจะช่วยเอาเสื้อไปปั่นแห้งให้ ไม่กี่นาทีก็ได้กลับโรงแรมแล้ว”
“ขอบคุณค่ะ”
เขตต์ตวันเดินออกไปจากห้อง...
มัทนาพยุงตัวที่หนักอึ้งไปทางห้องน้ำ ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกทิ้งกองกับพื้น ยกมือขึ้นปลดกระดุมซิบกางเกงยีนส์อย่างยากลำบาก เธอรวมแรงทั้งหมด รูดกางเกงยีนส์ออกจากตัว
ผ่านเวลาเล็กน้อย เขตต์ตะวันเปิดประตูห้องกลับเข้ามาในระหว่างที่เธอกำลังสวมเสื้อคลุม มัทนาร้องเสียงหลงรีบสวมเสื้อคลุมกระชับทันที…
“เสร็จรึยัง”
“เสร็จแล้วค่ะ”
มัทนาสะอึกออกมาเสียงดังจนต้องปิดปากด้วยความอาย
“สงสัยจะฤทธิ์เหล้าที่คุณให้กิน”
เขตต์ตวันทำหน้านิ่ง ไม่สนใจ
“ทำไมไม่เช็ดผมให้แห้ง ไม่รู้รึไงว่าปล่อยไว้นานจะทำให้เป็นหวัด”
“กำลังจะเช็ดค่ะ”
เขตต์ตะวันจับเธอกดนั่งลงที่เตียง
“นั่งลง”
มัทนาได้แต่ปฏิบัติตามอย่างว่าง่ายเพราะความกลัว เขาหยิบผ้าเช็ดตัวมาขยี้ผมเช็ดให้ เขาแกล้งแรงบ้างเบาบ้าง จนมัทนาหน้าเหยเกไปมา เขตต์ตวันหยุดเช็ดผม โยนผ้าเช็ดตัวไปรวมกับกองเสื้อของมัทนาที่หน้าห้องน้ำแล้วเดินไปหยิบแปรงผมที่โต๊ะเครื่องแป้ง มัทนาได้แต่มองตาม
เขตต์ตวันกลับมาพร้อมแปรงผมให้เธอหน้าตาเฉย มัทนาอึ้งๆไป แอบเหลือบตามองหน้าเขาเล็กน้อย เขขต์ตวันกลับแปรงเคาะลงกลางหัวมัทนา จนเธอร้องโอ๊ยคอย่น ก่อนเขาจะโยนแปรงลงบนเตียง
“เสร็จแล้ว ออกไปกันได้แล้ว ป่านนี้เอกชัยคงเตรียมอะไรร้อนๆให้เธอกินรองท้องเสร็จแล้วล่ะ”
“ค่ะ”
มัทนาลุกขึ้นยืน เขตต์ตวันเดินไปเก็บเสื้อผ้าเปียกของมัทนาขึ้นมาจากพื้นห้อง ยกขึ้นมองหาไปมา
“หาอะไรคะ”
เขตต์ตะวันถามหน้าตาย
“แล้ว 2 ชิ้นเล็กล่ะ”
มัทนาเขินจนหน้าแดงปั๊ด กระชับเสื้อคลุมห่อตัวให้มิดชิด
“ไม่เปียกค่ะ”
“แน่นะ”
“ค่ะ”
เขตต์ตะวันเดินเข้ามาใกล้ๆ ยกมือขึ้นจับหน้าผาก
“ทำไมหน้าแดงขนาดนี้ล่ะ ตัวยังร้อนอยู่เลยนี่ เดี๋ยวฉันหายาให้กิน ตามลงมาเร็วๆ”

เขตต์ตะวันเดินถือเสื้อผ้าเปียกของมัทนานำออกไปก่อน มัทนาเป่าปากโล่งอก ก่อนเดินยกมือขึ้นประกบสองแก้มเดินตามออกไป แบบหายใจไม่ทั่วท้องยังไงบอกไม่ถูก

นักข่าวหนุ่มเดินถือแฟ้มงานจะเดินไปห้องบ.ก. ไชยวัฒน์ สาระวารีเดินเลี้ยวมาเห็นเข้าพอดี ก็มีสีหน้าเจ้าเล่ห์ กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปแซงตัดหน้านักข่าวหนุ่มที่ตั้งท่าจะเคาะประตูห้อง แต่เธอแย่งมาเคาะก่อนนักข่าวหนุ่มเหล่มอง
“พี่วารี ผมงานเร่ง”
“ของพี่เร่งกว่า” สาระวารีทำหน้าตากวนใส่
นักข่าวหนุ่มแกล้งเบียดจะเปิดประตูเข้าไป เสียงไชยวัฒน์ดังขึ้น
“เข้ามา”
สาระวารีผลักไหล่นักข่าวรุ่นน้องออกไปแรงๆ แถมทำหน้าล้อเลียนใส่อีกตะหาก ก่อนเปิดประตูเข้าไป
“วารีเองค่ะบ.ก.” สาระวารีฉีกยิ้มเดินเข้าไป
นักข่าวหนุ่มเจ็บใจแต่ไม่กล้าหือได้แต่เดินกลับออกไป
ภายในห้องทำงานไชยวัฒน์..สาระวารีนั่งลง
“ไหนว่ามาสิ เธอมีแผนการยังไง” ไชยวัฒน์ยิงคำถามทันที
“คืองี้ค่ะบ.ก. วารีจะไปสแตนบายที่ตราดก่อน รอวัฒนาตามไปสมทบแล้วค่อยเดินทางไปเกาะยานก..วารีนัดแนะกับวัฒนาเรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ”
“ไปตราดก่อนทำไม” ไชยวัฒน์ถามก่อนก้มอ่านงานในคอมฯต่อไป
“ไปหาเพื่อน”
ไชยวัฒน์ชะงัก เหล่มอง
“แหม ฟังก่อนสิคะบ.ก. วารีมีเพื่อนซี้สมัยเรียนอยู่ที่ตราดชื่อจิณห์ ชีเป็นลูกสาวเศรษฐีใหญ่ของจังหวัด คนนี้กว้างขวางมาก...วารีไปเที่ยวบ้านเพื่อน คงจะได้ข้อมูลตื้นลึกหนาบางของนายษมาอะไรนี่เพิ่มมากขึ้น”
“หาเรื่องไปเที่ยวสิไม่ว่า”
สาระวารีเสียงแข็ง ท้าทายเล็กน้อย
“จะไม่ให้ไปก็ได้นะคะ”
“ไปเถอะจ้ะ พี่กลัวเธอแล้วล่ะ”
สาระวารียิ้มแป้น
“ขอบคุณค่ะ”
ไชยวัฒน์เปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานออกมา พร้อมพูด
“มีสายของเราส่งภาพนึงมาให้”
“ ภาพอะไรคะ”
“ก็ภาพนายษมาน่ะสิ”
สาระวารีแปลกใจ
“เป็นไปได้ยังไงคะ ไหนข้อมูลบอกว่าไม่ยอมให้ใครสัมภาษณ์ ไม่เคยมีภาพออกสื่อไงคะ”
ไชยวัฒน์หยิบซองหลายซองออกมาหาพลางบ่นไป
“มีคนแอบถ่ายด้วยมือถือมาได้ ... อยู่ไหนซะล่ะ”
“จะได้ดูมั้ยคะเนี่ย”
“ใจร้อนจริง เจอแล้ว”
ไชยวัฒน์หยิบซองและดึงรูปออกมา
“เค้าถ่ายได้ตอนงานเลี้ยงหอการค้าจังหวัด ไม่ชัดเป๊ะเท่าไหร่นะ แต่พอดูออก”
ไชยวัฒน์ดึงรูปถ่ายออกมาหมุนด้านให้สาระวารีดู... ภาพถ่ายเป็นงานเลี้ยง มีแขกเหรื่อมากมาย ภาพที่ว่าเป็นนักธุรกิจร่างอวบออกแนวเสี่ยๆ ถือแก้วไวน์คุยยิ้มแย้มอยู่แต่มีรูปของชายอีกคนอยู่ข้างๆ ห่าง
ไปด้านหลัง ดูหนุ่มกว่ายืนถือแก้วไวน์ ยืนเก็กหล่อมองไปอีกมุม และผู้นี้คือ ษมา
“อาเสี่ยเนี่ยเหรอบ.ก. คุณษมา เจ้าพ่อเกาะยานก”
“เค้าว่างั้น ผมก็ไม่เคยเห็น”
“ดูแก่กว่าข้อมูลที่ว่าอายุ 37 นะคะ”
“อยู่เกาะอยู่ทะเลตากแดดตากลม จะให้หน้าเด้งผ่องเหมือนผมได้ไงล่ะ” ไชยวัฒน์ยิ้มขี้เล่น
“จ้า ไม่ออกจากห้องแอร์เลย ใช้น้องสาวๆ ตลอด”
ไชยวัฒน์ยิ้มๆ
“งั้นวารีเอารูปนี้ไปเลยนะคะ”
“เอาไปเถอะ ไม่มีอะไรก็กลับไปทำงานได้แล้ว ผมต้องรีบตรวจต้นฉบับ”
ไชยวัฒน์หันไปทำงานต่อ
“หมดความหมายก็ไล่ส่งเลยนะคะ”
สาระวารีพูดพลางหยิบกรรไกรที่โต๊ะบ.ก.มาตัดรูปแบ่งครึ่งเอาเฉพาะรูปเสี่ยอ้วนไว้ แล้วตัดรูปษมาออกไป เธอลุกขึ้นแล้วหยิบรูปษมาไปทิ้งถังขยะข้างๆ ห้องไป ก่อนออกจากห้องหันมาบอกไชยวัฒน์
“อย่าลืมตั้งเบิกให้วารีเพิ่มด้วยนะคะ บ.ก.”
ไชยวัฒน์เงยหน้ามองตามพร้อมส่ายหน้าไปมาก่อนหันไปทำงานหน้าคอมฯต่อ
สาระวารีไม่รู้ว่า รูปที่ทิ้งขยะคือ ษมา เจ้าพ่อเกาะยานก ที่เธอกำลังจะตามสัมภาษณ์ให้ได้

เขตต์ตวันหิ้วปีกมัทนามานั่งที่โต๊ะอาหารแล้วเดินถือเสื้อผ้าเปียกของเธอเดินไปทางหลังบ้าน
มัทนาเพ่งมองแจกันที่ปักดอกไม้สีเหลืองตรงหน้าที่แยกออกเป็น 2 อัน 3 อัน และ 4 อัน...มัทนาสะบัดหัวอย่างมึนๆ เอกชัยเดินถือซุบตำลึงออกมาเสิร์ฟ
“ซุปตำลึงร้อนๆ”
มัทนาฝืนยิ้ม
“ขอบคุณค่ะ”
“ตำลึงปลูกเองที่หลังบ้านจำได้มั้ย”
“ที่ด่างกับจุดฉี่รดบ่อยๆ”
เอกชัยยิ้มบอก
“ปุ๋ยอย่างดีเลยล่ะ แข็งใจกินหน่อยนะ หน้ายังซีดๆ อยู่เลย”
มัทนาตักซุปชิม รสชาติดี เขตต์ตวันเดินกลับออกมาหน้าเครียดขรึม
“เอก เดี๋ยวแกเอาพาราให้เค้ากิน 2 เม็ด กลับถึงโรงแรมจะได้พักผ่อนเต็มที่”
“เด็กยังอาการไม่ดีขึ้นเลย จะขับไสไล่ส่งกันแล้วเหรอะ”
“ยังไงฉันก็ไม่ยอมให้อยู่เกินเสื้อแห้งหรอก”
เขตต์ตวันหันจ้องมัทนาบอก
“เร็วเข้า แม่สาวหัวดื้อ ถ้าลองดื้อทนฝนอยู่ได้หลายชั่วโมงกะอีกแค่หยิบช้อนตักน้ำแกงขึ้นดื่ม ไม่น่ายาก...เร็ว กินเข้าไปเร็วๆ”
พออาหารตกถึงท้อง มัทนาก็มีอาการผะอืดผะอมจะอ้วก เลยต้องวางช้อนลงชาม
“ดุจนเด็กขี้หดตดหายหมดแล้วปอน มัทกำลังไม่สบายมากนะ” เอกชัยว่า
“ไม่สบายน่ะใช่ แต่ไม่ได้มากอย่างที่แกคิด”
เขตต์ตวันมองมัทนาด้วยสายตาจับผิด
“ที่แกล้งป่วยเจียนตายก็เพราะดื้ออยากจะอยู่ที่นี่ต่อ ดื้ออยากจะได้ในสิ่งที่ต้องการ ใช่มั้ยมัทนา” เขตต์ตวันพูดพลางตะคอกใส่
มัทนาชักเหลืออด ส่ายหน้ามึนๆ อาการแพ้เหล้าเริ่มออกฤทธิ์รวบรวมแรงตอบโต้มั่ง
“พ่อเคยบอกฉันมาตลอดว่าฉันเป็นพวกผ่าเหล่า เกิดมาเลยหัวดื้อผิดพี่ผิดน้อง คุณคงเข้าใจเรื่องการแต่งงานของกระต่ายนะคะ”
มัทนาสะอึกออกมา ทั้งเขตต์ตวันและเอกชัยอึ้งปนงง
“อะไรของเธอ”
“ก็ที่คุณหาว่าฉันดื้อไงคะ ฉันกำลังจะบอกคุณว่าทำไมฉันถึงเป็นคนแบบนี้”
เขตต์ตวันจ้องหน้า สายตาดุ
“อย่ามาเล่นตลกกับฉันนะ ฉันไม่ชอบ”
มัทนาไม่หยุดพูด
“มันเป็นเรื่องทางกรรมพันธุ์ คุณคงไม่รู้เรื่องกระต่ายเพราะคนอื่นเค้าเรียกว่าต้นถั่วของเมนเดล ไม่ใช่กระต่ายของเมนเดล”
มัทนาสะอึกอีกครั้ง
“อย่าบอกนะว่าเธอเมา เหล้าแก้วเดียวเนี่ยนะ” เอกชัยว่า
“เมาดิบน่ะสิ รีบกินๆ แล้วก็กลับไปซะที ฝนหยุดตกแล้ว”
เขตต์ตวันจะเดินหนี มัทนารีบลุกขึ้นยืนอย่างมึนจนเซไปจนต้องเกาะโต๊ะแน่น ส่ายหน้าให้หายมึนก่อนพูดใส่เป็นชุด มัทนาตะโกนพูดเสียงดัง
“ฉันไม่เข้าใจเรื่องต้นถั่ว พ่อเลยเปรียบกับกระต่ายให้ฟัง”

เขตต์ตวันหยุดเดินหันมานิ่งมองมัทนา

มัทนาพูดไม่หยุด มีอาการคล้ายคนเมากรึ่มหน่อยๆ
“กระต่ายสีขาวตาแดง 2 ตัว มีลักษณะเด่นที่ขนสีขาวปุกปุย แต่ในตัวมันมีเชื้อสีดำซ่อนอยู่”
มัทนาชี้หน้าเขตต์ตวันบอก
“ แต่คุณต้องเข้าใจก่อนนะ สีขาวในกระต่ายเป็นปมเด่น สีดำถือเป็นปมด้อย”
เขตต์ตวันสีหน้ารำคาญ แต่กอดอกฟังมัทนาด้วยสีหน้ากวนๆ เอกชัยอมยิ้มไปมา ชอบเด็กคนนี้ที่มันตอแยสิ้นดี มัทนาสะอึก และเซๆ เล็กน้อย
“กระตายปุ๊กลุกของฉันเป็นพันธุ์ผสม ไม่ใช่พันธุ์แท้ ปมเด่นข่มปมด้อย แต่ถ้ากระต่ายสองตัวมีด้อยแฝงอยู่มาเจอกันปุ๊บ ฮิฮิ”
มัทนาขำๆออกมาเหมือนคนเมาแล้วอารมณ์ดี เขตต์ตวันอึ้งหันมองเอกชัยที่กำลังขำๆ อยู่ เห็นเพื่อนเหล่เลยรีบปั้นหน้านิ่งแทน
“โอกาสที่พ่อแม่กระต่ายสีขาวจะมีลูกสีดำไม่ใช่เรื่องแปลกมันมีลูก 4 ตัว”
มัทนาชู 4 นิ้ว ก้มมองนิ้วตัวเอง ก่อนจะ เอาอีกมือไปรวบ3นิ้ว เหลือนิ้วเดียวดีดมา
“สีขาว 3 ตัว สีดำหนึ่ง ฉันมีพี่น้อง 4 คนเหมือนกันเลย”
เอกชัยหัวเราะก๊ากออกมา
“สรุปเธอคือกระต่ายดำของบ้านใช่มั้ย” เอกชัยว่า
“แม่ชอบว่างั้น” มัทนาสะอึก ร่างเซๆ
“นี่เธอเมาจริงๆใช่มั้ย”
มัทนามองตะวัน ตาหรี่ลงเล็กน้อย
“คุณไม่ชอบกระต่าย ฉันลืมไป ความจริงคุณชอบแม่วัวมากกว่า หลวงพ่อจรูญบอกฉัน
ว่าคุณชอบซื้อแม่วัวให้เด็กๆเลี้ยง”
เขตต์ตวันตาแข็งกร้าว โกรธจัด เอกชัยตกใจที่ได้ยิน
“เธอไปหาหลวงพ่อมาเหรอะ...เลวที่สุด” เขตต์ตวันพูดเสียงดัง โกรธมากพลางปัดเก้าอี้กระแทกโต๊ะอาหารโครมใหญ่
บ้านเงียบกริบไปถนัดใจ
มัทนาแทบหายเมากลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ มองเขตต์ตวันด้วยสีหน้าและแววตากลัว
เขตต์ตวันเสียงแข็งกร้าว
“นักข่าวหน้าไหนมันก็เหมือนกันหมด กระสันต์อยากได้ข่าวจนตัวซีดตัวสั่น แม้พระสงฆ์องค์เจ้าก็ไปรบกวนท่านไม่เว้น ทำไมมัทนา ทำข่าวความเลวของฉันคนเดียวมันตอกย้ำไม่พอรึไง ถึงต้องไปดึงหลวงพ่อท่านมาเปื้อนไปด้วย”
เขตต์ตวันตรงเข้าจับตัวเธอบีบอย่างแรง มัทนาหน้าถอดสี กลัวจนแทบลืมหายใจ
“ปล่อยเด็กก่อนเถอะปอน”
เขตต์ตวันโกรธจนหูอื้อ ไม่ได้ยินเอกชัยทักท้วง สายตาแข็งกร้าวน่ากลัว
“ฉันยกโทษให้เธอได้ทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องหลวงพ่อ”
เขตต์ตวันโกรธจนลืมตัวบีบมัทนาจนกล้ามขึ้นแนว แทบจะยกมัทนาจนตัวลอย
“เธอทำให้ท่านเดือดร้อนไปด้วย ฉันไม่มีวันยกโทษให้เธอ”
สีหน้าเขตต์ตวันโกรธจัด ขบกรามแน่น แทบสะกดอารมณ์ไม่อยู่ เอกชัยรู้อารมณ์เพื่อน เสียงดัง
“ไอ้ปอน ปล่อย”
เขตต์ตวันได้สติปล่อย แต่มัทนาชิงคอพับหมดสติร่วงไปซะแล้ว เขาตกใจ รีบกอดประคองร่างมัทนาเอาไว้ในอ้อมแขนไว้ได้ทัน เธอแหงะหงายไปในอ้อมแขนของเขา หมดสติไม่รู้เรื่องรู้ราว

ผ่านเวลาซักพัก เอกชัยพาหมอเสริมและพยาบาลนงลักษณ์เข้ามาในห้องพักแขก
“เชิญครับคุณหมอ”
“อาการคุณบุษย์เป็นยังไงมั่งครับ”
“ไม่ใช่บุษย์หรอกครับ”
หมอเสริมมองคนป่วยบนเตียงก็จำได้
“อ้าวแม่หนูหมัดหนักคนนี้เอง”
“เธอตากฝนมาน่ะครับ คุยๆ อยู่ก็ล้มพับลงไปเลย”
หมอเสริมพยักหน้ารับทราบแล้วเดินเข้าไปตรวจดูอาการ พยาบาลเดินตามทำหน้าที่ เอกชัยมองดูห่างๆ ด้วยความเป็นห่วง

เขตต์ตวันนั่งรอฟังหมอเสริมอยู่ที่โถงบ้าน สีหน้าร้อนใจเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน ชั่วอึดใจหมอเสริมก็เดินนำลงมาก่อน เอกชัยและพยาบาลเดินตามหลังลงมาไม่ห่างนัก เขตต์ตวันรีบลุกเดินไปถามหมอเสริมทันที
“เป็นอะไรมากมั้ยครับ ใช่ปอดบวมรึเปล่า”
“คุณมัทเธอเป็นไข้หวัดใหญ่น่ะครับ ผมฉีดยาให้แล้ว ทานยาพักผ่อนมากๆ ไม่กี่วันก็หายครับ คุณตวันไม่ต้องเป็นห่วง”
เขตต์ตวันค่อยถอนใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะปรับหน้าเป็นบึ้งตึง แววตาเหย่อหยิ่งอีกครั้ง เอกชัยจับตามองสีหน้าเพื่อนได้แต่ถอนใจออกมา ที่เพื่อนซ่อนความรู้สึกตัวเองอยู่ในเปลือกเหมือนเดิมแล้วอย่างเร็ว
“แล้วผมจะเคลื่อนย้ายคนไข้ของหมอได้เมื่อไหร่ครับ ตอนนี้ที่บ้านมีแต่ผู้ชาย ให้ผู้หญิงมานอนป่วยอยู่ มันดูไม่สมควร”
“พ่อแก่” เอกชัยแขวะลอยๆ
เขตต์ตวันเหล่มองเอกชัยเล็กน้อย
“ผมอยากให้คนไข้ได้พักผ่อนมากๆ ซะด้วยสิ ตอนนี้เธอยังไม่ได้สติ คืนนี้ทั้งคืนอาจมีไข้สูง คงต้องมีคนดูแลใกล้ชิดหน่อย แล้วตอนนี้ขาซ้ายเธอบวม โดยเฉพาะข้อเท้าบวมมากเหมือนไปกระแทกอะไร
มาอย่างแรง อาจจะตกบันไดหรือหกล้มผิดท่า”
เขตต์ตวันแหยไปเล็กน้อย รู้ว่าเป็นความผิดของตนที่ทำให้มัทนาตกใจจนตกต้นไม้
“ผมไม่อยากให้เดินมาก ให้นอนนิ่งๆ ได้เป็นดีที่สุด”
“งั้นผมขอจ้างพยาบาลพิเศษได้มั้ยครับ คุณนงลักษณ์ว่างมั้ยครับ”
“คืนนี้ไม่ได้จริงๆค่ะ เดี๋ยวต้องกลับไปเฝ้าไข้พอดี” นงลักษณ์บอก
“งั้นคืนพรุ่งนี้ช่วยหาพยาบาลพิเศษให้ผมซักคน กลางวันไม่เป็นไรผมกับเอกผลัดกันดูได้”
“ได้ค่ะคุณตวัน”
“งั้นหมอกลับก่อนนะ”
“ผมไปส่งที่รถครับ” เอกชัยบอก
“เดี๋ยวหมอจะสอนวิธีปฐมพยาบาลคร่าวๆ ให้ฟัง”
“ครับคุณหมอ” เอกชัยว่า
หมอเสริมและพยาบาลเดินนำออกไปก่อน เอกชัยหันมาพูดแกล้งเพื่อน
“ใจเย็นๆ นะปอน เดี๋ยวฉันจะกลับมาสอนนายต่อว่าต้องปฐมพยาบาลยังไงมั่ง คืนนี้ฉันขอนอนพักก่อน” เอกชัยยิ้มกวนๆ แล้วรีบเดินตามหมอออกไป
เขตต์ตวันหมั่นไส้เพื่อน
“ไอ้เอก ชีวิตฉันวุ่นวายไปหมดแล้ว” เขตต์ตวันพูดแล้วถอนใจพรืดออกมา
เขตต์ตวันเหลือบตามองไปทางชั้นบน แล้วส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ

เวลาค่ำ บรรยากาศตลาดนัดเห็นผู้คนเดินเล่นซื้อของกันไปมา มีคณาเดินตามสาระวารีมาเลือกซื้อแว่นตากันแดดที่ร้านที่ออกบู๊ธเป็นซุ้มๆ สาระวารีเลือกแบบแว่นแล้วเอาลองส่องกระจกพร้อมคุย “ต้องหาแว่นเข้มๆหน่อย เกาะแดดแรง”
สาระวารีส่องกระจกดูตัวเองไป มีคณาช่วยเลือกให้เพื่อน แต่สาระวารีไม่ชอบ
“ไม่เหมาะกับฉันเท่าไหร่ ฉันว่าเหมาะกับเธอมากกว่า ลองให้ดูหน่อยดิ”
สาระวารีถอดแว่นส่งให้มีคณา
มีคณาถอดแว่นสายตามาเหน็บคอเสื้อ จังหวะที่ถอดแว่น สารวัตรหิรัณย์ในชุดนอกเครื่องแบบ เดินผ่านฝั่งตรงข้ามร้าน หันมาพอดี เขาเพ่งมองมาที่ร้านแว่น เป็นจังหวะเดียวกับมีคณากำลังลองแว่นกันแดดให้สาระวารีดู
“ไง...เข้ากับฉันมั้ย”
สาระวารีมองเพื่อนแล้วพูดขำๆก่อนหันไปเลือกแว่นอันอื่น
“เหมือนผู้ชาย”
มีคณาตีเพื่อนแล้วถอดแว่นใส่แว่นสายตาแทน
สารวัตรหิรัณย์เดินเข้ามาเลือกดูแว่น ทั้งมีคณาและหิรัณย์ต่างจำกันไม่ได้ ทั้งคู่ต่างเลือกแว่นกันแดด แถมใจตรงเลือกหยิบแว่นอันเดียวกัน

“ขอโทษครับ”

ทั้งคู่เงยหน้ามองกัน ยิ้มให้กันตามมารยาทและต่างจำกันไม่ได้ เพราะวันนั้น... มีคณาเปลี่ยนลุค ปลอมตัวและถอดแว่น ทำให้เธอก็มองหิรัณย์ไม่ชัด หิรัณย์ก็ไม่เห็นหน้ามีคณาจะๆแถมปลอมตัวด้วย
มีคณาและหิรัณย์ต่างเลือกแว่นกันต่อไป มีคณาเดินไปช่วยสาระวารีดูแว่น ทั้งคู่เหมือนคนผ่านมาเจอกัน ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

ภายในห้องรับแขก ตอนหัวค่ำ มัทนานอนหลับกระสับกระส่ายด้วยความร้อน ยกมือขึ้นปัดผมไปมาด้วยความรำคาญ ก่อนจะมีอาการหนาวสั่นจนกอดห่อตัวงอ เธอเผยอตาตื่นมองไปรอบๆห้อง ภาพที่เห็นดูเบลอๆ ไม่มีใครอยู่เลย...
มัทนาข่มตาหลับลงอีกครั้ง ไม่คาดคิด มือของเขตต์ตวันยื่นมาแตะหน้าผากมัทนาเบาๆ ถามด้วยเสียงอ่อนโยน
“รู้สึกตัวแล้วเหรอสาวน้อย”
มัทนาค่อยๆ เผยอตามอง เห็นเขตต์ตวันนั่งอยู่ข้างๆ แต่เพราะฤทธิ์ไข้ทำให้เธอเห็นเป็นพ่อ
“นึกว่าทุกคนทิ้งมัทไปกันหมดแล้วซะอีก พ่ออย่าทิ้งมัทไปไหนนะคะ”
เขตต์ตวันชะงักไป อึกอักเล็กน้อยก่อนตอบ
“ไม่หรอก”
“มัทปวดหัวจังเลย เหมือนหัวจะแตกเป็นเสี่ยงๆ”
เขตต์ตวันอดเป็นห่วงไม่ได้
“ปวดมากเลยเหรอ เดี๋ยวไปเอายามาให้”
เขตต์ตวันจะลุกไปเอายา แต่มัทนากอดเขตต์ตวันล็อกไว้เพราะนึกว่าพ่อ
“พ่ออย่าไปไหนนะคะ อยู่กับมัทก่อน”
เขตต์ตวันหน้าเสียจะดึงตัวออก แต่มัทนาล็อกไว้แน่น
“ไม่มีใครอยู่กับมัทเลย”
มัทนากอดตัวเขาซบหน้าแน่น เขตต์ตวันสงสารจนต้องโอนอ่อนผ่อนตาม
“มัทฝันไม่ดีเลย”
เขตต์ตวันเลยตามเลย ลูบผมมัทนาที่ยุ่งปกหน้าให้ออกไป
“ฝันอะไรเหรอสาวน้อย”
“ผู้ชายคนที่มัทไปสัมภาษณ์เค้าเกลียดนักข่าว เค้าไม่ชอบมัท”
เขตต์ตวันเหลือบตามองมัทนา
“เค้าดุ๊ดุค่ะพ่อ เค้าจะฆ่ามัท จะเอามัทขึ้นศาล นี่มัทจะติดคุกมั้ยคะพ่อ”
มัทนาช้อนตามองเขตต์ตวัน
“เหลวไหล”
“จริงๆนะคะพ่อ เค้ายังหาว่ามัทสร้างภาระให้เค้ายุ่งยากอีก”
เขตต์ตวันรู้สึกผิดนิดๆ กลัวใจอ่อนจึงรีบตัดบท
“เลอะเทอะใหญ่แล้ว นอนพักดีกว่า จะได้หายเร็วๆ”
เขตต์ตวันจับมัทนากลับไปนอนต่อแล้วดึงผ้าห่มมาห่มให้ เขตต์ตวันตั้งท่าจะลุกออกไป มัทนาคว้ามือเขาจับไว้หมับ เขตต์ตวันชะงักไป
“พ่ออยู่กับมัทก่อนนะคะ พอแม่มาแล้วค่อยให้แม่อยู่แทน”
เขตต์ตวันถอนใจออกมาบางๆ แล้วพูดตัดบทแบบรำคาญ
“โอเค รีบหลับๆซะทีเถอะ”
มัทนายิ้มบางๆ แล้วพริ้มตาหลับลงเพราะฤทธิ์ไข้ แต่ไม่ยอมปล่อยมือเขา เขตต์ตวันบ่นพึมพำ
“เด็กไม่รู้จักโตเอ๊ย”
เขตต์ตวันพยายามจะแงะมือออก แต่เธอบีบกระชับเอาไว้แน่น จนเขาจำใจต้องนั่งเฝ้าไข้ให้มัทนาอยู่อย่างนั้น

ตอนกลางคืนภายในห้องรับแขก ชามข้าวต้มในถาดถูกยกมาวางที่โต๊ะหัวเตียง...ช้อนและส้อมตกไปกระทบกัน เสียงดังขึ้นในความเงียบ มัทนาสะดุ้งตื่นหันมอง เห็นเขตต์ตวันกำลังวางถาดชามข้าวต้มอยู่
“ขอโทษที่ทำให้ตื่น”
เขตต์ตวันกดเปิดไฟหัวเตียงสว่างขึ้น จนมัทนาต้องหยีตา เขานั่งลงข้างๆ เอื้อมมือไปแตะหน้าผากมัทนา
“ไข้ลดแล้วนี่”
มัทนาขยับตัวขึ้นนั่งพิงพนักเตียง
“ฉันเป็นอะไรไปคะ”
“เป็นไข้จนหมดสติไป”
มัทนาหน้าขรึมลง
“ฉันขอโทษนะคะ”
“เรื่อง...”
“ฉันเป็นภาระให้คุณต้องวุ่นวาย”
“ช่างมันเถอะ ถึงผมจะเลวร้ายในสายตานักข่าวแต่ก็ไม่ใจร้ายทนเห็นผู้หญิงล้มคว่ำไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่ช่วยเหลือหรอก”
มัทนาสีหน้าเจื่อนไป เขตต์ตวันยกชามโจ๊กมา
“ทานซะหน่อยเธอยังไม่ได้ทานอะไรเลย”
เขตต์ตวันตั้งท่าจะป้อนโจ๊ก มัทนาตกใจ
“ไม่ต้องค่ะ ฉันทานเองได้”
“หน้าซีด มือสั่นขนาดนี้ เดี๋ยวอาหารหกเปื้อนเสื้อ ฉันไม่มีเสื้อคลุมใหม่เปลี่ยนให้หรอกนะ” เขตต์ตวันหน้านิ่ง ไม่มีรอยยิ้มบนหน้า ตักโจ๊กขึ้นมาเตรียมป้อน มัทนายอมอ้าปากให้ป้อน เขาตักโจ๊กคำใหม่อย่างอ่อนโยน เธอกลืนโจ๊กไปอย่างอายๆ
มัทนารู้สึกกระดาก กลืนไม่ค่อยลง
“ฉันอิ่มแล้ว”
“ทานแค่เนี้ย คนทำน้อยใจตายเลย...งั้นก็ทานยาซะ ถ้าหิวขึ้นมามีแรงก็ทานต่อแล้วกัน ผมวางไว้ตรงนี้แหละ”
เขตต์ตวันวางถาดพร้อมหยิบยากับน้ำมาให้มัทนากิน
“คืนพรุ่งนี้ ผมจะให้พยาบาลพิเศษมาเฝ้าคุณ ทุกอย่างคงสะดวกขึ้น”
มัทนากินยาเสร็จ รีบพูดอย่างเกรงใจ
“อย่ายุ่งยากขนาดนั้นเลยค่ะ พรุ่งนี้ฉันกลับไปนอนโรงแรมก็ได้”
“หมอสั่งห้ามคุณใช้เท้าไป 2-3 วัน มันบวมมาก”
มัทนาก้มมองเท้าตัวเอง
“แต่ฉันก็เกรงใจ ไม่ต้องจ้างพยาบาลพิเศษมาก็ได้ค่ะ”
เขตตฺตวันเสียงดุ
“คุณไม่เข้าใจจริงๆ หรือว่าแกล้งไม่รู้กันแน่ ที่ผมต้องจ้างพยาบาลพิเศษมาไม่ใช่แค่มาดูแลคุณเท่านั้น”
มัทนามองหน้าเขตต์ตวันด้วยสีหน้างงๆ เขาจ้องหน้านิ่ง
“อย่ามาทำหน้าไร้เดียงสาใส่ผมนะ”
มัทนาผงะไปเล็กน้อย
“เปล่า”
“ใช้สมองบ้างสิสาวน้อย ถ้าคนอื่นรู้ว่าคุณต้องมานอนในบ้านกับผู้ชายสองคน เค้าจะคิดยังไงกัน”
มัทนานึกถึงหน้าน้องสาวขึ้นมาในใจ พูดพึมพำติดตลกออกมาว่า
“คงอิจฉามั้งคะ”
“ว่าอะไรนะ”
“ฉันบอกว่าหลายคนคงอิจฉา”
เขตต์ตวันอดขำออกมาไม่ได้
“เหลวไหลจริงๆเลยเธอนี่”
เขาหยุดขำ วางสีหน้าเคร่งขรึมต่อ
“ชื่อเสียงเรื่องผู้หญิงของฉันยิ่งไม่ค่อยดี อย่างที่เพื่อนร่วมอาชีพเธอพาดหัวข่าวกันโครมๆ เธอไม่กลัวเสียชื่อรึไง...ฉันทำอะไรคิดก่อน ไม่ใช่ทำตามอารมณ์เหมือนกับเธอ”

“งั้นค่าใช้จ่ายทั้งหมดฉันออกนะคะ เบิกบริษัทได้”

มายาตวัน ตอนที่ 4 (ต่อ)

เขตต์ตวันยักไหล่ไม่แคร์พร้อมลุกขึ้น มัทนาเหยียดปากใส่ ไม่ชอบท่าทางไม่แยแสสิ่งใดในโลกแบบนี้ของตวันเลย เขาหันมามองหน้าเธอ

“ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้จ่ายหรอกนะ ฉันจะส่งบิลล์ตามหลังไปให้ละเอียดยิบเลย รวมทั้งค่าที่พัก ค่าอาหารทุกมื้อ อ้อ แล้วบวกก็ค่าเสียความรู้สึกที่ถูกเธอหลอกด้วยเป็นไง”
มัทนาจ๋อยไป
“หลักฐานเท็จตอนเธอสมัครเข้ามาทำงานในบ้านฉันก็ยังอยู่นะ”
มัทนาจนด้วยหลักฐานเริ่มไม่สู้สายตาแล้ว ก่อนเฉไฉทำมึนง่วงนอน
“ก็ดีค่ะ … คุณอยากทำอะไรก็ทำ”
มัทนายกมือขึ้นปิดปากหาว แล้ว ค่อยๆ เลื่อนตัวลงนอน
“แต่ฉันก็ยังสงสัย”
“สงสัยอะไรอีก”
“ฉันสงสัยว่าทำไมคุณถึงชอบประชดประชันคนอื่นเหมือนเกลียดคนทั้งโลกด้วย”
มัทนาไม่อยู่ฟังคำตอบ หันข้างนอนหลับตาไปเลย เขตต์ตวันจะอ้าปากสวนแต่ไม่ทัน เธอชิงหันไปนอนหลับตาซะก่อน เขาได้แต่ถอนใจเดินหงุดหงิดออกไปจากห้อง

เวลาสาย มีคณามาส่งสาระวารีที่รถตู้หน้าตึกสยามสาร
“โชคดีนะวารี ขอให้ได้สัมภาษณ์นะจ๊ะ”
“ขอบใจจ้ะ ช่วงฉันไม่อยู่ก็ขอให้เธอได้เจอความรัก”
มีคณาหน้าเบ้ รีบ ดันสาระวารีเข้ารถตู้ไป
“อะไรยะ ไปได้แล้ว ถึงแล้วโทรมานะ”
สาระวารีโผล่หน้ามา
“ฉันยืนยันคำอวยพรเดิมนะมี่”
มีคณาหมั่นไส้ เลื่อนประตูรถตู้ปิดโครม ก่อนจะบ๊ายบายส่งเพื่อน
“เดินทางปลอดภัยย่ะ”
สาระวารีบ๊าย บายตอบมาจากในรถ รถตู้เคลื่อนตัวผ่านไปทำให้เห็นหิรัณย์ขับรถเข้ามาจอดเข้าซองเรียบร้อย และกำลังลงมาจากรถ จังหวะเดียวกับที่มีคณาหันหลังเดินกลับเข้าตึกไป หิรัณย์ล็อกลงแล้วมองซ้ายขวาก่อนข้ามถนนไปเข้าตึกสยามสาร

มีคณายืนอยู่ในลิฟท์กดปิด หิรัณย์เดินเข้ามาทางลิฟท์ เห็นลิฟท์จะปิด รีบวิ่งมากดเรียกเอาไว้
แต่ไม่ทัน ลิฟท์ปิดขึ้นไปแล้ว หิรัณย์กดลิฟท์เรียกขึ้นใหม่อีกครั้ง

สารวัตรหิรัณย์ไหว้และรับไหว้กับไชยวัฒน์ที่ห้องทำงาน
“เชิญนั่งครับสารวัตร”
หิรัณย์นั่งลงพร้อมเล่า
“คนร้ายที่จับได้วันก่อน โยงไปถึงพ่อค้ายารายใหญ่อย่างที่เราคาดไว้จริงๆ นะครับ”
“ดีครับ ถึงปราบเท่าไหร่ไม่หมดแต่ก็ต้องตามล้างตามเช็ดไปเรื่อย หยุดไม่ได้ อย่าท้อนะครับหมวด”
หิรัณย์ยิ้มแย้ม
“ไม่หรอกครับ... นี่บ.ก.งานยุ่งรึเปล่าครับ”
“ไม่ต้องถามเลยครับ ยุ่งตลอด แต่ก็ดีกว่าไม่มีงานทำ”
“ส่วนผมไม่มีดีกว่านะครับ แสดงว่าบ้านเมืองสงบเรียบร้อยดี”
ไชยวัฒน์หัวเราะชอบใจ
“ใช่ครับ”
หิรัณย์ยิ้มๆถาม
“บ.ก.ทราบเรื่องงานแฟชั่นการกุศลรึยังครับ”
“อ๋อ เด็กเอาแฟกซ์มาให้ผมแล้ว คืนพรุ่งนี้ใช่มั้ยครับ”
ไชยวัฒน์พูดพลางค้นหาจากกองกระดาษ
“ครับ ผมมาเชิญซ้ำอีกที”
“ไม่ต้องมาก็ไปอยู่แล้วล่ะครับ”
หิรัณย์อึกอักเล็กน้อยก่อนถาม
“แล้วนักข่าวคนนั้นที่เป็นสาวประเภทสองน่ะครับ จะไปด้วยรึเปล่า”
ไชยวัฒน์หัวเราะก๊ากออกมา
“ไปครับ แต่เค้าไม่ใช่กระเทยหรอกนะ”
“อ้าว...”
“เค้าอยากทำงานนี้มาก แต่ผมกลัวทางสารวัตรจะไม่เชื่อถือ คือเค้าดูเป็นผู้ยิ๊งผู้หญิงไปหน่อย แต่ใจนี่เต็มร้อย ผมเลยจำเป็นต้องโกหกเจ้าพนักงานไป แต่เจ้าตัวเค้าไม่รู้เรื่องด้วยหรอกนะครับ” ไชยวัฒน์พูดยิ้มๆ
หิรัณย์หน้าแหย
“หมดกัน ผมไปแซวเค้าแรงด้วย โกรธตายเลยตอนนี้อยู่มั้ยครับ ผมขอไปขอโทษเธอหน่อย” สารวัตรหิรัณย์สีหน้ารู้สึกผิด

ไชยวัฒน์เดินนำหิรัณย์มาที่หน้าโต๊ะทำงานมีคณา
“มี่ มีคนเค้าอยากพบเธอแน่ะ”
หิรัณย์เบี่ยงตัวออกจากหลังไชยวัฒน์ พยักหน้าพร้อมยิ้มทำความรู้จัก แต่หาใช่มีคณากลับเป็นพนักงานผู้หญิงที่ไว้ผมทรงเดียวกัน
“อ้าว ไม่ใช่”
“พี่มี่ออกไปทำข่าวแล้วค่ะ”
ไชยวัฒน์ตบบ่าหิรัณย์
“ไม่เป็นไรหรอกสารวัตร คืนพรุ่งนี้ก็เจอกันแล้วผมจะแนะนำให้รู้จัก มี่เค้าเข้าใจแล้ว ไม่โกรธคุณหรอก”
“งั้นก็ค่อยยังชั่ว”


เวลาต่อเนื่องมา มัทนานั่งอยู่บนเตียงกำลังค้นหาใต้หมอน เปิดลิ้นชักหัวเตียง หาอะไรบางอย่าง
เอกชัยเปิดประตูเข้ามาพร้อมถาดใส่ผลไม้
“หาอะไรเหรอ”
“โทรศัพท์มือถือของมัทน่ะค่ะไ
“ปอนเค้าเก็บเอาไว้ สมบัติทั้งเป้เธอนั่นล่ะ”
มัทนาเหยียดปากหมั่นไส้เล็กน้อย
“คงตรวจค้นของกลางอย่างละเอียดหมดแล้ว”
เอกชัยยิ้มๆ
ไม่ขนาดนั้นหรอก ผลไม้จ้ะ”
เอกชัยวางถาดผลไม้ลง
“ขอบคุณค่ะ”
“ครึ่งเช้าฉันจะดูแลเธอเอง ครึ่งบ่ายเป็นเวรเจ้าปอน ส่วนรอบดึก คืนนี้มีพยาบาลพิเศษมาแล้ว เธอคงหายอึดอัด”
“มัทไม่ได้ป่วยหนักขนาดต้องมีคนเฝ้า 24 ชั่วโมงซะหน่อยคุณเอก...อ๋อ รู้แล้วล่ะ ไม่ใช่คนไข้แต่เป็นเชลย ต้องมีคนเฝ้าไว้ตลอดเวลา เพราะกลัวจะแอบเข้ามาสืบความลับ”
“พูดจาขนาดนี้ ท่าจะใกล้หายแล้วล่ะ”
มัทนาทิ้งค้อนใส่เอกชัยให้ขวับ
“เธอก็ต้องเข้าใจนะมัทนา ปอนเจ็บมามากเพราะเพื่อนร่วมอาชีพของเธอ เธอเป็นแฟนคลับเค้านี่ น่าจะรู้ดี”
มัทนาเสียงอ่อนลง
“ฉันเข้าใจค่ะ”
“ความเจ็บปวดนี่ล่ะที่ทำให้ปอนเข็ดขยาด หวาดระแวงและหาทางป้องกันตัวเองตลอดเวลา จนเหมือนซ่อนตัวอยู่ในเปลือกที่เค้าสร้างขึ้นมาเอง บางทีผมยังหาทางเข้าไปหาเค้าไม่ถูกเลย”
เอกชัยมีสีหน้าสงสารเห็นใจเพื่อน มัทนาฟังอย่างคิดตาม และขรึมลงอย่างเห็นใจ
เอกชัยมองหน้ามัทนา สีหน้าจริงจัง

“การที่เธอเข้ามาในชีวิตของปอน เหมือนทำให้เค้าได้น้องสาวกลับคืนมาอีกครั้งรู้มั้ย”

มัทนาเหลือบตาขึ้นสบตากับเอกชัย
“ถ้าเธอสังเกตสายตาและอารมณ์ของปอนดีๆ หลายครั้งปอนจะเผลอเอ็นดูเธอเหมือนเธอคือน้องป่าน”
เอกชัยสีหน้าเศร้าๆ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา มัทนามีสีหน้าสงสัยขึ้นมา
“น้องป่านคือน้องสาวคุณปอนเหรอคะ”
เอกชัยรีบดึงความรู้สึกกลับทันที ก่อนจะตัดบท ปั้นยิ้ม
“ฉันพูดมากเกินไปแล้ว … เอางี้แล้วกัน ฉันอยากให้เธอทำใจให้สบาย เลิกคิดอะไรวุ่นวาย ขอให้นึกแค่ว่าเธอเป็นแขกของเรา เรามีหน้าที่ดูแลเอาใจใส่เธอ ให้เธอได้รับความสะดวกสบายที่สุดก็แล้วกัน”
“เอางั้นเลยเหรอคะ”
เอกชัยยิ้มตอบ
“เอางี้แหละ”
“โอเคค่ะ มัทจะพยายามนึกไว้เสมอว่ามัทเป็นเจ้าหญิงโชคดีที่มีเจ้าชายตั้งสองคนคอยดูแล ดีมั้ยคะ”
“สุดยอด บางทีการทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็ทำให้เราสบายใจขึ้น ทานผลไม้ดีกว่านะขอรับเจ้าหญิง”
มัทนายิ้มๆบอก
“จัดมา”
เอกชัยยิ้มอารมณ์ดีหันกลับไปเลือกผลไม้ มัทนาค่อยๆ หุบยิ้มลงพร้อมครุ่นคิดตามสิ่งที่เอกชัยพูด ยิ่งมีสีหน้าอยากรู้เรื่องน้องป่านมากขึ้น

เวลาบ่าย สาระวารีเดินคุยโทรศัพท์มือถือบอกมีคณาว่า อยู่บริเวณตลาดของจังหวัดตราด
“ถึงตราดเรียบร้อยแล้วคร๊าบ มาตราดอยู่ตลาด เข้าใจมั้ยฮะคุณมี่ คนแก่หูไม่ดีก็งี้แหละ” สาระวารีพูดขำๆ
สาระวารีมายืนรอข้ามถนนไปอีกฝั่ง คุยโทรศัพท์ต่อไปด้วย
สาระวารีคุยมือถือ ฟังก่อนตอบ
“ถึงได้พักนึงแล้ว โทรไปหวัดดีญาติสนิทมิตรสหาย ได้หลายคนอยู่”
รถหรูคันหนึ่งจอดให้ สาระวารีก้มหน้าขอบคุณพร้อมเดินข้ามถนนไปโดยไม่ได้หันมองเข้าไปในรถคันนั้นเลย คนขับรถใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปตามสาระวารีต่อเนื่องจนเธอเดินพ้นไป คนขับรถหันไปส่งโทรศัพท์มือถือให้เจ้านายที่นั่งหลัง
“ได้แล้วครับ” คนขับรถส่งโทรศัพท์คืน
เจ้านายที่นั่งใส่สูทหล่อเนี๊ยบอยู่หลังรถ เป็นผู้ใหญ่มาดดี ดูสุขุมและมีประสบการณ์ เขาคือษมานั่นเอง เขายกโทรศัพท์มือถือขึ้นเช็คดูรูป หน้านิ่งขรึม
รถคันหลังบีบแตรไล่...
“จอดข้างทางก่อน”
คนขับรถยกมือขอโทษแล้วรีบขับรถไปจอดข้างทางเปิดไฟฉุกเฉิน ษมาหันมองตามสาระวารีไป
เห็นเดินลัดเข้าไปในตลาด
ผ่านเวลาเล็กน้อย ภายในรถ..ษมากำลังคุยโทรศัพท์มือถืออยู่
“เพิ่งโทรไปหาเหรอะ งั้นก็น่าจะใช่ เดี๋ยวผมจะส่งรูปไปให้ดู ช่วยคอนเฟิร์มอีกทีว่าไม่ผิดคน” ษมา กดตัดสาย
ษมากดเลือกรูปสาระวารีที่ถ่ายตอนเดินผ่านรถขึ้นมาดูอีกครั้ง ด้วยสีหน้ายังไม่มั่นใจนัก ก่อนจะกดส่งรูปไป

สาระวารีกำลังนั่งทานก๋วยเตี๋ยวรสเด็ดอย่างอร่อยอยู่ในร้านหนึ่ง
“ขอนั่งด้วยคนนะครับ”
สาระวารีเหล่มองอย่างไม่สบอารมณ์นัก แววตาเซ็งๆ....เห็นษมายิ้มให้ตนอยู่ข้างๆ
“ที่ว่างตั้งเยอะ”
ษมาสีหน้านิ่งบอก
“โต๊ะมันเลอะครับ”
สาระวารีสีหน้าเซ็งบอก
“ไม่ว่างค่ะ”
สาระวารีเอื้อมมือไปหยิบเป้บนโต๊ะไปวางที่เก้าอี้ข้างๆตนแล้วทานต่ออย่างไม่สนใจ
“คนเราสมัยนี้ไม่ค่อยมีน้ำใจกันเลยนะครับ คิดแต่มุมของตัวเอง”
ษมาเดินอ้อมไปนั่งเก้าอี้ตัวติดกันอีกข้างแทน สาระวารีเหล่ๆ ไม่ชอบใจนักที่มารุกแบบนี้ ษมามองหน้าสาระวารีแล้วถาม
“เราเคยเจอกันมาก่อนมั้ยครับ”
สาระวารีชะงักไป หันมาจ้องหน้า วางตะเกียบหรือช้อนแรงๆ
“ก็เพราะฉันเจอมุกจีบเสล่อๆ แบบนี้ประจำไงคะ ฉันถึงต้องแล้งน้ำใจ”
ษมายังหน้าตาย
“แน่ใจนะครับว่าเราไม่เคยเจอกันมาก่อนจริงๆ”
สาระวารีเสียงดัง หน้าหงิก เอาเรื่อง
“ไม่เคย”
คนในร้านหันมอง ษมาทำหน้านิ่ง ไม่สะทกสะท้านอะไร สาระวารีลุกขึ้นบอก
“คนจะกิน มาชวนคุยอยู่ได้ มารคอหอย เก็บตังค์ที่นายคนนี้นะป้า”
สาระวารีตาขวาง ดึงเป้มาถือกระแทกใส่ษมาแบบจงใจแกล้งซ้ำอีกตะหาก ก่อนเดินหน้าหงิกออกจากร้านไป ษมากดโทรศัพท์มือถือโทรออก สีหน้านิ่งขรึมมองตามสาระวารีไป
“เจอตัวแล้ว เอาเรื่องใช้ได้ เธอจำผมไม่ได้เลย”
ษมามองตามสาระวารีไป สีหน้าใช้ความคิด

สาระวารีเดินคุยโทรศัพท์มือถือกับมีคณาเข้าโรงแรมแห่งหนึ่งไป ผ่านล็อบบี้ไปกดลิฟท์
“จิณห์ยังไม่กลับจากฝรั่งเศสเลย ไม่รู้ติดอกติดใจอะไรนักหนา...”
มีสาวสวยแต่งตัวเซ็กซี่เดินสวนออกมา สาระวารีหันมองตามแล้วแกล้งเป่าปากทำเสียงวี๊ดวิ้วแล้วรีบหันกลับทำไม่รู้ไม่ชี้ สาวเซ็กซี่หันมองหาที่มาของเสียงงงๆ
“ไม่มีอะไร แกล้งคนเล่น อยากเซ็กซี่เกินหน้า แล้วนี่ยัยมัทเป็นอะไรของเค้าติดต่อไม่ได้เลย ปิดมือถือตลอด”
บริเวณเคาน์เตอร์พนักงานต้อนรับ ลูกค้าโรงแรมและพนักงานเดินผ่านพ้นไป ษมายืนเท่มีมาดซุ่มมองตามสาระวารีอยู่ด้วยสีหน้าติดใจสงสัย
ผู้จัดการโรงแรมและเลขาเดินเข้ามามาต้อนรับ ยกมือไหว้
“สวัสดีครับคุณษมา”
ษมารับไหว้ตามารยาท
“วันนี้ให้เกียรติมาโรงแรมของเรา มีอะไรให้รับใช้ครับ” ผู้จัดการถาม
“นิดหน่อยครับ”
“งั้นขอเชิญคุณษมาไปนั่งที่ห้องรับรองก่อนดีกว่านะครับ”
“ขอบคุณครับ”
ษมาเดินมาดดีตามผู้จัดการไป

ภายในห้องพัก สาระวารีทิ้งตัวลงนอนบนเตียง หยิบรูปเสี่ยอ้วนๆ ที่เข้าใจผิดว่าเป็น ษมา ขึ้นมา เพ่งมองรูป
“คุณต้องยอมให้ฉันสัมภาษณ์แน่ๆ คุณษมา”
สาระวารีทิ้งมือที่ถือรูปลงบนเตียงแล้วเอียงหน้าไปอีกด้าน นอนหลับพักเอาแรง

ผ่านเวลาซักพัก สาระวารีอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่สไตล์ทะมัดทะแมง สะพายเป้ที่ใส่กล้องและอุปกรณ์ทำข่าวส่วนตัวพร้อมมาด้วย ผู้ชายคนหนึ่งเดินเบี่ยงตัวเข้าไปกดลิฟท์ซ้ำ สาระวารีเหล่มอง ขยับปากบ่นพึมพำ
“จะกดซ้ำอีกทำไม”
ษมาหันมา ทำเป็นแกล้งแปลกใจ
“อ้าว คุณ พักที่เดียวกันเหรอครับเนี่ย”
สาระวารีชักสีหน้าเซ็งใส่
“คิดว่าจะย้ายเร็วๆ นี้ล่ะ...ซวยจริงๆ”
ลิฟท์เปิด สาระวารีรีบเดินนำเข้าไปยืนหันหน้าเข้ามุมลิฟท์ เพราะไม่อยากสนทนาด้วย
ษมาอมยิ้มน้อยๆ ก่อนเดินตามเข้าไป

ภายในลิฟท์ ษมาไปยืนข้างๆ สาระวารที่หันหน้าไปอีกทางอย่างรำคาญ
“ออกไปหาข่าวเหรอครับ”

สาระวารีชะงักปนแปลกใจ หันมอง
“คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันเป็นนักข่าว”
“ผมเคยเห็นคุณตอนดูข่าวทีวี”
สาระวารีขยับตัวห่างเล็กน้อย ปากพึมพำ
“โรคจิตแหงๆ”
สาระวารีเริ่มล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์แบบเนียนๆ
“ผมสงสัยนะ ทำไมนักข่าวชอบยื่นเทปไปสัมภาษณ์แล้วหันหน้าหนีด้วย อายกล้องเป็นด้วยเหรอะ เห็นชอบวิ่งตามเอากล้องเอาไมค์ไปจ่อหน้าจ่อปากคนอื่น นึกว่าจะชิน”
สาระวารีเสียงแข็งบอก
“แล้วคุณจะมาดูหน้านักข่าวทำไมไม่ทราบ ไปสนใจเนื้อหาที่เค้าสัมภาษณ์สิ”
“ก็เผอิญผมรู้มาว่าคนที่ผมตามหาตัวอยู่เป็นนักข่าว ก็เลยชอบสังเกต”
สาระวารีสีหน้ากวนมองหน้าษมา
“จะมามุกไหนอีก ฉันชักจะหมดความอดทนแล้วนะ”
ษมาจ้องหน้าสาระวารี แววตาดูซึ้งเป็นประกายวิบวับ
“ลองคิดดูดีๆว่าเราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อน”
สาระวารีทำหน้านึกได้
“อ๋อ...ฉันนึกออกแล้ว”
ษมาค่อยยิ้มออก ไม่คาดคิดสาระวารีชักมือที่แอบสวมสนับมือจากกระเป๋ากางเกงแล้ว ชกอัดเข้ากลางท้องษมาอย่างจัง
สาระวารีถกแขนเสื้อ เสยผม เดินหน้าตาสะใจปนสมน้ำหน้าออกจากลิฟท์ ปล่อยให้ษมายืนตัวงอ ยกมือกุมท้องสีหน้าจุกเจ็บอยู่ในนั้น ก่อนที่ลิฟท์จะปิดสนิทไป


ทางด้านมัทนากำลังนั่งหมากรุกอยู่กับเอกชัยอยู่ที่ห้องพักแขก...มัทนานั่งในมุมหันหลังให้ประตูห้อง...ถึงตาเอกชัยเดิน...เกมกำลังงวดใกล้ถึงจุดแพ้ชนะ
มัทนาเหลือบตาถาม
“คุณรู้จักกับเค้ามานานรึยังคะ”
เอกชัยมองหมากรุกในกระดาน พร้อมใช้ความคิด
“นานมาก ตั้งแต่เรายังเป็นเด็ก เคยลำบากกินนอนอดอิ่มด้วยกันมา รักกันยิ่งกว่าพี่น้องคลานตามกันมาซะอีก”
“งั้นคุณก็เป็นเด็กที่หลวงพ่อจรูญรับเลี้ยงมารุ่นแรกๆ เหมือนกับคุณปอนน่ะสิคะ”
เอกชัยอึ้งไปเล็กน้อย มองหน้ามัทนา
“เธอรู้ด้วยเหรอะ ใครบอกหลวงพ่อท่านไม่มีทางพูดแน่ๆ”
“หลวงพ่อจรูญไม่ได้บอกมัทหรอกค่ะ มีแหล่งข่าวคนนึงบอกมาอีกที...มัทก็เคยถามหลวงพ่อ แต่ท่านให้มาถามคุณปอนก่อนว่าจะยอมให้เปิดเผยรึเปล่า เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของเค้า”
เอกชัยพยักหน้าเห็นด้วยก่อนก้มหน้าอ่านเกมในกระดานต่อ
“ถ้าฉันขอให้คุณช่วยเล่าชีวิตวัยเด็กของคุณปอนให้ฟังจะได้มั้ย”
เอกชัยเงยหน้ามองมัทนา ยิ้มๆ พร้อมสบตาไปถึงคนที่ยืนอยู่ข้างหลังมัทนาเล็กน้อย
“ผมคงต้องตอบเหมือนหลวงพ่อ”
มัทนาบุ้ยปาก
“รู้สึกเค้าจะยิ่งใหญ่ซะเหลือเกินนะคะ ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้ามีอะไรดีนักหนา ทั้งหลวงพ่อทั้งคุณเอกถึงได้ปกป้องเค้ากันนัก”
“มีอะไรอยากรู้ก็มาถามฉันนี่”
มัทนาชะงัก หันไปมองเห็นเขตต์ตวันยืนกอดอกพิงประตูห้องที่เปิดกว้างอยู่ ไม่รู้ว่าแอบฟังมานานแค่ไหนแล้ว
“ขออภัยนะที่เข้ามาขัดความสำราญ แต่นี่ใกล้มื้อเย็นแล้วเวรทำอาหารของแก”
เอกชัยยิ้มๆ รีบลุกจากกระดานหมากรุก เอกชัยยิ้มแย้ม
“ขอบใจมากปอน นับว่าเป็นโชคดีที่แกเข้ามาขัดจังหวะ ถ้าแพ้เกมนี้ ฉันคงต้องเสียพนันให้มัทนา ถ้าฉันแพ้แล้วต้องทำตามสัญญารับรองว่านายคงไม่พอใจเท่าไหร่”
เขตต์ตวันสีหน้าเคร่งขรึมลง สีหน้าหวาดระแวง
“พนันอะไรไว้”
เอกชัยยิ้มๆ แอบไปยักคิ้วกับมัทนาอย่างรู้กัน
“ความลับ”
เขตต์ตวันเหล่มองอย่างไม่พอใจ ก่อนเอกชัยจะเดินออกไปจากห้อง หันมาถาม
“อยากทานอะไรเป็นพิเศษมั้ยมัท”
เขตต์ตวันแขวะ
“เอาใจกันซะจริงนะ ถ้าเค้าอยากทานอะไรแปลกๆนายจะทำให้เค้าได้รึไง”
มัทนาใช้หางตามองเขตต์ตวันเล็กน้อย
“ฉันเป็นคนทานง่ายค่ะ อะไรก็ทานได้ทั้งนั้น ไม่ใช่คนเรื่องมากชอบหาเรื่องคนอื่น”
เขตต์ตวันเหล่มองมัทนาคืน เอกชัยแอบอมยิ้มที่เพื่อนเจอแขวะซะบ้าง
“งั้นรอแป๊บเดียว ฉันจะทำมักกะโรที่อร่อยที่สุดในภูเก็ตให้ทาน”
“ขอบคุณค่ะ มัทชอบทานมักโรนีที่สุดเลย”
มัทนายิ้มหวานให้เอกชัย เขตต์ตวันจับตามองเขม่นๆ
“เตรียมท้องไว้รอได้เลย”
มัทนามองตามเอกชัยที่ยิ้มหวาน อารมณ์คิดประมาณใจดีจัง เขตต์ตวันหน้านิ่ง เสียงแข็งบอก
“ทีหลังอย่ายิ้มให้คนของฉันยังงั้นอีก”
มัทนาชะงัก ยิ้มค้าง หันมาจ้องหน้า
“คุณมีสิทธิ์อะไรมาสั่งห้ามฉันยิ้ม”
“ก็สิทธิ์ของเจ้าของบ้านหลังนี้น่ะสิ...จำไว้นะมัทนา ถ้าเธอยังอยู่ฃในบ้านของฉัน อย่าพยายามยิ้มยั่วยวนให้เอกชัย หรือคนอื่นๆอีก”
มัทนาอึ้งปนโกรธ หน้าเริ่มฉุนขึ้นมา
“เพื่อนฉันเป็นคนฉลาด แต่ยังมีจุดอ่อนที่ไม่ทันผู้หญิงหน้าซื่ออย่างเธอ ฉันไม่อยากเห็นเพื่อนฉันต้องเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีก”
มัทนาจ้องเขตต์ตวันเขม็ง สีหน้าไม่พอใจมาก
“เพราะฉะนั้น แม่นักข่าวเจ้าแผนการอย่าพยายามปั่นหัวเพื่อนฉันเพื่อจะได้เรื่องราวที่เธอต้องการอีกเลย ถ้าเธอไม่หยุด ฉันซัดเธอไม่ยั้งแน่”
“น่าเกลียด ในใจคุณมีแต่เรื่องสกปรก คิดอกุศล”
เขตต์ตวันอึ้ง ไม่คิดว่ามัทนาจะกล้าด่าต่อหน้าเขาขนาดนี้
“ถามหน่อยเหอะ คุณเคยคิดกับคนอื่นดีๆ มั่งมั้ย”
เขตต์ตวันสวนทันที
“ฉันไม่จำเป็นต้องคิดอะไรดีๆ ฉันจะคิดแต่สิ่งที่เป็นจริงเท่านั้น”
“ความจริงอะไรของคุณ”
“ความจริงที่คุณกำลังใช้เสน่ห์ ใช้สายตาซื่อๆ ใช้สีหน้าเหมือนเด็กหลงทางผู้น่าสงสาร หลอกล่อให้คนของฉันเล่าเรื่องที่เธออยากรู้น่ะสิ เธอกำลังใช้ความเป็นเด็กผู้หญิงท่าทางน่าสงสาร หาข่าวที่ต้องการอยู่ใช่มั้ยมัทนา”
มัทนาโกรธจัด จนอยากจะกรีดร้องใส่หน้า
“เรื่องของคุณไม่มีค่าพอที่ฉันจะต้องเร่ขายตัวเพื่อให้ได้มันมาหรอกนะ ฉันเป็นนักข่าว ไม่ใช่โสเภณี”

มัทนาโกรธจัด พูดพร้อมดึงหมอนพิงหลังออกมาฟาดใส่เขาอย่างแรง เขตต์ตวันจับหมอนกระชากแย่งมา ความแรงที่ยื้อยุดทั้งสองฝ่าย ทำให้มัทนาเสียหลังถลามาตามหมอน พลาดลงมายืนข้างเก้าอี้ แต่ขาเจ็บ ทำให้ทรุดฮวบไปกองกับพื้นต่อหน้าต่อตาเขา เขตต์ตวันหน้าตายไม่ได้ช่วยประคองแต่อย่างใด แต่กลับโยนหมอนในมือใส่มัทนาซ้ำให้อีก

บ้านเขตต์ตวันตอนหัวค่ำ ภายในห้องพักแขก... มัทนาเปลี่ยนเสื้อผ้าสบายๆ ชุดใหม่ นั่งบนเตียงให้พยาบาลสาลินีใช้ยานวดบริเวณขาที่ปวดอยู่ไปมา
“เสื้อผ้าใส่พอดีมั้ยคะคุณมัท”
“สบายมากเลยค่ะ นี่ถ้าคุณสาไม่ซื้อมาให้ มัทคงต้องทนเน่าอยู่ในเสื้อคลุมอีกหลายวัน”
พยาบาลยิ้มๆถาม
“ไซส์พอดีนะคะ ทั้งนอกและใน”
“เป๊ะค่ะ คุณสากะเก่งนะคะ”
“คุณตวันบอกไซส์ไปน่ะค่ะ”
มัทนาเบิกตาโพลงเล็กน้อย
“ไม่ใช่คุณมัทบอกไปเหรอคะ”
“อ๋อใช่ค่ะ มัทบอกไปเองค่ะ รู้ได้ไงเนี่ย”
พยาบาลหยุดนวด
“เสร็จแล้วค่ะ ดูไม่ค่อยบวมแล้วนะคะ อีกวันสองวันคงเดินได้สบายๆ”
“เร็วกว่านั้นได้ยิ่งดีค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวดิฉันไปเตรียมยาให้นะคะ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
พยาบาลลุกเดินไปเตรียมยา มัทนาถอนใจพร้อมเลื่อนตัวลงนอนสบาย สีหน้าย้อนคิด

เมื่อตนบ่าย เขตต์ตวันหน้าตายไม่ได้ช่วยประคองแต่อย่างใด แต่กลับโยนหมอนในใส่มัทนาซ้ำให้อีก
เธอปัดหมอนออกจ้องหน้าเขตต์ตวัน สีหน้าแววตาเจ็บใจ ไม่ช่วยแล้วยังซ้ำอีก
“เธอพนันอะไรกับเอกชัยไว้”
“คุณเอกบอกว่าถ้าฉันชนะ จะให้ฉันเลือกชุดเดินชายหาดรุ่นดวงตาตวันได้หนึ่งชุด”
เขตต์ตวันยิ้มๆ
“เธอไม่เหมาะกับชุดของดวงตาตวันหรอก”
มัทนาหน้าหงิกงอปนงอน
“ใช่สิ ฉันมันไม่สวย หุ่นไม่ดี ไม่เด้งหน้าเด้งหลังเหมือนนางแบบคุณนี่”
“ถ้าไม่อยากให้คนอื่นดูถูก เธอควรเริ่มจากการไม่ดูถูกตัวเองก่อน”
“พูดจบแล้วใช่มั้ย งั้นก็ถอยไปห่างๆ ฉันจะลุก”
เขตต์ตวันยื่นมือมาช่วยจูง มัทนาค้อนใส่แต่ก็ยอมจับมือให้ช่วยดึงขึ้นยืน มัทนายืนได้ก็สะบัดมือตวันออก จะเขยกเดินไปทางอื่นไม่ขึ้นเตียง
“เธอจะไปไหน”
“กลับโรงแรม” มัทนาเดินไปได้หน่อยก็ทรุด พยุงตัวเพราะความเจ็บลงน้ำหนักเท้าอีกข้างไม่ไหว
“พอเถอะแม่สาวหัวดื้อ เธอยังไม่แข็งแรงพอจะลากสังขารไปพ้นประตูหรอก กลับมานอนเตียงเลย” เขตต์ตวันเข้าไปประคอง มัทนากลับมาขึ้นเตียง
มัทนาทำสีหน้าหงุดหงิดแต่ก็ยอมกลับมาขึ้นเตียงนอนแต่โดยดี
“เธอยังกลับโรงแรมตอนนี้ไม่ได้ เธอยังต้องการคนดูแล จะกลับไปอยู่โรงแรมคนเดียวได้ยังไง“
มัทนาถอนใจแรงออกมาเซ็งๆ เขตต์ตวันจ้องหน้ามัทนา
“คราวนี้ฉันจะตอบข้อสงสัยเธอให้นะมัทนา ว่าฉันมีอะไรดีนักหนา หลวงพ่อกับเอกถึงได้คอยปกป้องฉัน”
มัทนาพูดแหยๆ
“คุณได้ยินด้วยเหรอ”
“เต็มสองหู”
มัทนายิ้มเจื่อนๆ ก่อนรวมความกล้าถาม
“ฉันขออัดเสียงคุณไว้ได้มั้ย”
เขตต์ตวันพูดสวนกลับทันทีด้วยเสียงดัง
“ไม่ได้”
มัทนาจ๋อยสนิท
“ฉันไม่ได้ให้สัมภาษณ์เธอ เราคุยกันเฉยๆ ฉันไม่อนุญาตให้เธอเอาส่วนใดส่วนหนึ่งของการสนทนาครั้งนี้ไปเขียนข่าวเด็ดขาดเข้าใจมั้ยมัทนา” เขตต์ตวันจ้องหน้ามัทนา สีหน้าแววตาดุ
“เข้าใจแล้ว ไม่ต้องจ้องฉันราวกับจะขย้ำกินขนาดนี้ก็ได้”
เขตต์ตวันถอนใจยาวออกมา
“แล้วนี่เครื่องมือหากินฉันหายไปไหนหมด คุณคงไม่ได้ทิ้งไปหมดแล้วหรอกนะ”
“ฉันเก็บไว้อย่างดี จะคืนให้เมื่อเธอก้าวเท้าพ้นบ้านหลังนี้ไม่ต้องห่วงสมบัติบ้าของเธอหรอก ฉันดูแลมันอย่างดี ดีกว่าเธอดูแลเองด้วยซ้ำ”
เอกชัยเดินเข้าห้องมาขัดจังหวะพอดี พร้อมถาดใส่น้ำซุปในมือ
“น้ำซุปร้อนๆ ทานรองท้องไปก่อน”
“ขอบคุณค่ะ”
มัทนาตั้งท่าจะยิ้มแต่รีบหุบ ยกมือขึ้นปิดปาก
“เป็นอะไร” เอกชัยสงสัย
มัทนาเอามือปิดปาก พร้อมพูด
“ฉันพยายามจะไม่ยิ้มค่ะ”
เขตต์ตวันเหล่ๆ มองมัทนา ว่าจะมาเรียกร้องความสนใจไม้ไหนอีก
“เอามือออกก่อนสิ ฟังไม่รู้เรื่อง” เอกชัยบอก
มัทนายอมเอามือที่ปิดปากออก
“ฉันพยายามจะไม่ยิ้มค่ะคุณเอก เพราะมีบางคนเค้าหาว่าฉันชอบยิ้มให้ท่า”
เขตต์ตวันสวนทันที
“พอแล้วมัทนา...ฉันขอถอนคำพูด เธออยากยิ้มให้ปากฉีกถึงหูก็ทำไปเลย”
เขตต์ตวันเดินหงุดหงิดออกไปจากห้องทันที เอกชัยมองมัทนาอย่างงงๆ มัทนาอมยิ้มอย่างสะใจ
“ทานยาค่ะ” เสียงพยาบาลดังเตือน

มัทนาหันมามองพยาบาลที่ยกน้ำและถ้วยใส่ยามาให้ข้างๆ
“ขอบคุณค่ะ”
มัทนากินยาเสร็จกำลังจะส่งแก้วคืนพยาบาลก็เห็นเขตต์ตวันเดินเข้ามาในห้องอีกครั้ง มัทนารีบปั้นหน้านิ่ง
“เธอดูดีขึ้นแล้วนี่”
“ไม่มีไข้แล้วล่ะค่ะคุณตวัน” นางพยาบาลตอบยิ้มแย้ม
“แล้วขาล่ะเป็นยังไงบ้าง” เขตต์ตวันมองขาอย่างสังเกต
“คุณสาลินีเพิ่งจะทายาแล้วก็นวดให้ ตอนนี้ไม่ปวดแล้วล่ะค่ะสบายมาก”
“อีก2-3วันก็คงหายปกติ” เขตต์ตวันบอก
“อาจจะเร็วกว่านั้นก็ได้ค่ะ” มัทนาแอบประชด
“ก็ดี...ทานยา แล้วพักผ่อนซะ ฉันไม่กวนแล้ว”
เขตต์ตวันจะเดินออกไป
“คุณปอนคะ”
เขตต์ตวันหันมามอง มัทนาสีหน้าจริงจังผสมความเกรงใจ
“ขอบคุณมากนะคะ”
เขตต์ตวันทำหน้าตายถาม
“สำหรับ”
“ทุกๆ อย่างที่คุณช่วยฉันและให้อภัยฉัน”
“อย่างแรกฉันยอมรับ อย่างหลังเธอคิดเองเออเอง”
มัทนาจะอ้าปากพูด แต่เขตต์ตวันตัดบทก่อนเดินออกไป
“กู๊ดไนท์มัทนา”
มัทนาย่นจมูกตามไป
พยาบาลหันมองตามเขตต์ตวันจนเหลียวหลังจนนึกขำตัวเอง
“อดมองตามไม่ได้นะคะ”
มัทนาเลื่อนสายตามามองที่พยาบาล
นางพยาบาลมีสีหน้ายิ้มปลื้มๆ บอก
“คุณตวันเป็นคนที่ชวนมองจริงๆ...ดิฉันเป็นแฟนหนังเค้ามานานแล้วล่ะค่ะ ในหนังว่าดูดีแล้ว ตัวจริงมีเสน่ห์กว่าในหนังซะอีก”
มัทนาเผลอเคลิ้ม ยิ้มตามก่อนจะได้สติและรีบหุบยิ้ม แถมยังแอบเบะปากหมั่นไส้เขตต์ตวัน และไม่เห็นด้วยกับพยาบาล
“คุณสากำลังหลงเพ้อไปกับบทบาทในหนังที่เคยดูมาตะหาก ชีวิตจริงมันต่างกันลิบลับ”

มายาตวัน ตอนที่ 4 (ต่อ)

หน้าหัวลำโพงตอนสายวันใหม่... ที่ร้านขายหนังสือ มีคณายืนอ่านพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ อยู่ไปมา เธอสนใจหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง หยิบขึ้นมาพร้อมจ่ายเงินแล้วถอยจะไปหาที่นั่งอ่าน
ไม่คาดคิด มีเด็กสาวแต่งชุดนักเรียน ถือกระเป๋านักเรียนสีดำใบโต วิ่งมาชนกระแทกเธออย่างจังจนเธอเสียหลักเกือบจะล้ม แต่ด้วยความไวจึงใช้อีกมือหนึ่งคว้าเด็กคนนั้นไว้ทันเพื่อพยุงตัว
มีคณาตั้งหลักได้พูดด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรรึเปล่าคะน้อง”
เด็กสาวมีท่าทางตื่นตระหนก หันมองซ้ายมองขวา
“เปล่าคะ”
“มีอะไรรึเปล่าจ๊ะ”
สารวัตรหิรัณย์แต่งตัวนอกเครื่องแบบวิ่งตามมาติดๆ เด็กสาวตกใจกลัวชี้ไปที่หิรัณย์
“พี่ช่วยหนูด้วย ไอ้แมงดามันตามหนูมา มันจะจับหนูไปขาย หนูไม่อยากขายตัว”
มีคณาจ้องหิรัณย์เขม็ง สีหน้าแววตาทั้งโกรธและเกลียด หิรัณย์จะเข้าไปจับตัวเด็กสาวๆ ที่รีบหลบหลังมีคณา เธอจับมือเด็กเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง
มีคณาจ้องหิรัณย์ สีหน้าเอาจริง
“ถอยไปเลยนะ อย่ามายุ่งกับเด็กคนนี้ ถ้าแกก้าวเข้ามาอีกก้าวเดียว ฉันจะเรียกตำรวจ”
“คุณนั่นแหละอย่ายุ่ง ถอยออกไป ผมมีธุระกับเด็กคนนี้”
มีคณาพูดเสียงแข็ง
“อย่าเข้ามานะ ฉันร้องจริงๆ ด้วย”
เด็กสาวสีหน้ามีพิรุธ หันมองลู่ทางทำท่าจะหนี หิรัณย์จะขยับเข้าไปจับตัวเด็กอีก
มีคณาเห็นท่าไม่ดี ใช้หนังสือพิมพ์ในมือฟาดๆ ใส่หิรัณย์ไม่ยั้ง พร้อมตะโกนลั่น
“ช่วยด้วยค่ะ คนร้าย มันจะทำร้ายฉันกับเด็ก”
หิรัณย์เอามือบัง เขาเจ็บจนเริ่มหงุดหงิด
“โธ่โว้ย ผู้หญิงนี่”
เด็กสาววิ่งหนีไปเลย
หิรัณย์เสียงดังลั่น
“หยุดซะทีได้มั้ยคุณ”
“ไม่หยุด ไอ้ผู้ร้ายหลอกเด็ก ไอ้...โอ๊ย”
หิรัณย์เหลืออด คว้ามือที่ถือหนังสือพิมพ์ของมีคณาและบิดหมุนตัวเธอล็อกแขนขวาไพล่อยู่ด้านหลัง แล้วจับจับยึดแขนซ้ายเอาไว้ไม่ปล่อย
หิรัณย์พูดข้างหู
“หยุดนะคุณ เดี๋ยวแขนก็หักหรอก”
มีคณาทำท่าขนลุกขยะแขยง คนร้ายมาพูดข้างหู
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยเรียกตำรวจที”
“หุบปากซะทีได้มั้ย ผมนี่ล่ะตำรวจ”
มีคณาชะงักไปเล็กน้อย
หิรัณย์พูดเสียงดุ
“แล้วคุณก็กำลังขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่อยู่รู้ตัวมั้ยคุณแว่น”
คนละแวกนั้นเริ่มหยุดมองดูมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่มีใครคิดเข้ามาช่วยซักคน
มีคณาทั้งโกรธ ทั้งไม่เชื่อ เธอแผดเสียงสูงและดิ้น
“ถ้าแกเป็นตำรวจ ฉันก็เป็นรัฐมนตรีหญิงแล้วล่ะ ปล่อยฉันนะ บอกให้ปล่อย”
ตำรวจนอกเครื่องแบบหญิงและชายวิ่งฝ่าผู้คนที่ล้อมดูเข้ามา มีคณาดีใจนึกว่ามาช่วย
“ไอ้คนนี้จะล่อลวงเด็กไปขาย คุณช่วยเรียกตำรวจที”
“คนนี้เหรอคะสารวัตร” ตำรวจหญิงแปลกใจถามหิรัณย์
มีคณาได้ยินเรียกยังงั้น ก็ชะงัก หยุดดิ้นทันที
“เห็นสายบอกเป็นเด็กสิบห้าสิบหก ทำไมสาวขนาดนี้ หรือว่ามีสองราย”
“อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นแม่ค้าล่ะ เธอเป็นรัฐมนตรีหญิง”
หิรัณย์แขวะ มีคณามีสีหน้าเจ็บใจหมั่นไส้มาก หิรัณย์แขวะต่ออีกดอก
“เธอคงคิดว่ากำลังออกตรวจราชการอยู่ เลยต้องทำหน้าที่ปกป้องประชาชน”
มีคณายอมปล่อย ขยับตัวห่างออกมา หน้าแดงด้วยความอาย
มีคณาพูดหน้าแหยปนอาย
“คุณเป็นตำรวจจริงๆเหรอ”
เพื่อนตำรวจอีกสองคนยิ้มๆ
“จะตรวจบัตรประจำตัวมั้ยครับ”
ตำรวจชายและหญิงแยกย้ายเดินไปบอกไทยมุง
“ไม่มีอะไรแล้วนะครับ / เข้าใจผิดกันนิดหน่อยค่ะ”
ไทยมุงขำๆ หัวเราะกัน
มีคณาอายแทบแทรกแผ่นดินหนี
“ฉันขอโทษ เด็กคนนั้นท่าทางกลัวมาก”
“กลัวถูกจับน่ะสิ ในกระเป๋านั่นมียาบ้าไม่รู้กี่เม็ด อาจจะถึงพัน”
มีคณาจ๋อยสนิท พูดเสียงอ่อย
“ท่าทางเธอยังเด็ก”
“เด็กแค่ตัวน่ะสิ คราวหน้าคราวหลังถ้าอยากจะเล่นบทรัฐมนตรีหญิงอีกล่ะก็ กรุณามองตาม้าตาเรือหน่อย”
มีคณาดันแว่นกระชับดั้ง
“ฉันบอกแล้วไงว่าขอโทษ ขอโทษ...ก็ท่าทางคุณไม่เหมือนตำรวจนี่คะ”
“คุณพูดเหมือนรู้จักตำรวจดีงั้นล่ะ”
มีคณาตาเป็นประกายขึ้นมา
“ดีกว่าที่คุณคิดก็แล้วกัน”
หิรัณย์ยักไหล่ก่อนก้มลงเก็บหนังสือพิมพ์คืนมีคณา
“เอาอาวุธคุณคืนไป”
มีคณารับหนังสือพิมพ์มา
“ขอบคุณค่ะ ขอโทษอีกครั้งนะคะที่ทำให้คนร้ายของคุณหนีไปได้”
“ไม่เป็นไร คราวหน้าระวังกว่านี้นิดนึงแล้วกัน ถ้าโดดเข้าช่วยใครแบบถวายหัวยังงี้ คุณเองที่จะเดือดร้อน”
“ฉันจะจำคำสอนคุณไว้ค่ะ ไปได้แล้วใช่มั้ยคะ ต้องรีบไปรับคุณแม่”
“เชิญครับ”
มีคณารีบเดินกลับไปที่ชานชะลา พร้อมกับหิรัณย์ที่แยกเดินไปอีกทาง ต่างคนต่างมีสีหน้าคิดๆ แล้วหยุดหันมามองและพูดพร้อมกัน
“เราเคยเจอกัน” ทั้งคู่หยุดพูดต่อ ต่างจ้องหน้า
มีคณาดันแว่นเล็กน้อยแล้วบอก
“คิดว่าไม่เคยค่ะ”
หิรัณย์พยักหน้ารับ
“คงงั้น”
มีคณาและหิรัณย์ ยิ้มตามมารยาทให้กัน ต่างเดินแยกกันไปคนละทาง
ภายในห้องรับแขก มัทนากำลังจดโน้ตต่างๆ บันทึกความจำสำหรับกลับไปใช้เขียนข่าวอยู่บนเตียง
เขตต์ตวันแง้มประตูเปิดห้องเข้ามา เธอรีบซ่อนกระดาษและปากกาไว้ใต้หมอนทันที สีหน้ามีพิรุธอย่างเห็นได้ชัด เขตต์ตวันเห็นอยู่แต่ทำไม่สนใจ
“ทานข้าวทานยาแล้วใช่มั้ย”
มัทนาปั้นยิ้มบอก
“ค่ะ”
เขตต์ตวันเปิดประตูกว้างทำให้เห็นรถเข็นพยาบาลที่เขาเข็นมาด้วย
“เธอจะได้ไม่เบื่อ”

เขาพูดหน้านิ่ง มัทนายิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจ

ผ่านเวลาเล็กน้อย เขตต์ตวันเข็นรถพยาบาลพามัทนามาสูดอากาศนอกบ้านที่สนามข้างบ้าน
“ฉันรู้ว่าตอนนี้งานคุณยุ่งมาก แต่ยังต้องเจียดเวลามาคุมฉันอีก”
เขตต์ตวันชะงักไปเหล่มองมัทนา
มัทนาตกใจที่หลุดปาก รีบแก้
“เอ๊ย...ดูแลฉันอีก...คุณเอางานมาออกแบบด้วยก็ได้นะคะ ฉันไม่แอบดูงานคุณหรอก”
เขาเข็นเก้าอี้พยาบาลต่อไป ไม่แคร์
“รู้สึกว่าเอกชัยจะพูดมากเกินไป”
“เพราะคุณเอกมั่นใจว่าฉันไม่ปากโป้งเที่ยวเอาเรื่องที่เค้าพูดไปขยายต่อน่ะสิคะ เค้าถึงได้บอกฉัน”
“มั่นใจซะจริงนะสาวน้อย อย่าพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หน่อยเลย เรื่องพวกนี้เป็นอาหารอันโอชะของพวกคุณอยู่แล้วนี่ จะอดใจไหวเหรอะ”
สีหน้าและน้ำเสียงของเขตต์ตวันเต็มไปด้วยความหยามหยัน
มัทนาฉุน จับคันล็อกให้หยุด แหงนมองหน้าเขา
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าคุณเติบโตและมีประสบการณ์ในการไว้เนื้อเชื่อใจคนอื่นแค่ไหน แต่ฉันถูกสอนมาแต่เด็กว่า พูดอะไรแล้วต้องทำให้ได้อย่างที่พูด คนที่ผิดคำพูด หรือ พูดปัดๆไปให้พ้นตัว ก็เหมือนกับคนไม่มีศักดิ์ศรี ไม่เคารพตัวเอง ถ้าทำไม่ได้อย่าพูดเลยจะดีกว่า”
เขตต์ตวันเดินอ้อมมาเผชิญหน้า กอดอกไว้หลวมๆ มองหน้ามัทนา
“ฉันจะเชื่อเธอได้ยังไง เมื่อฉันไม่เคยรู้จักเธอ เธอจะพูดยังไงก็ได้”
มัทนาเสียงแข็ง ไม่พอใจ
“ใช่สิ อย่าว่าแต่ฉันเลย คุณไม่มีทางได้รู้จักใครหรอก ถ้าคุณมัวแต่สร้างกำแพงปิดกั้นตัวเอง เอาแต่ตัดสินคนอื่นจากประสบการณ์เลวร้ายในอดีตของคุณ ชาตินี้ทั้งชาติคุณก็ไม่รู้จักฉันหรือใครๆทั้งนั้น”
เขตต์ตวันอึ้งเงียบไป เมื่อโดนสาวน้อยตรงหน้าตีแผ่ตัวตนอย่างชัดเจน มัทนาจ้องหน้าเขาด้วยสีหน้าแววตาน้อยใจ ตัดพ้อ
“ผ่านวันสองวันนี้ไป คุณก็คงจำได้แค่ว่า คุณเคยช่วยนักข่าวที่คุณแสนจะเกลียดชังไว้คนนึง มันก็แค่นั้น”
มัทนาพูดเองเจ็บเอง อดน้ำตารื้นๆ ขึ้นมาไม่ได้ เธอหมุนเก้าอี้พยาบาล เบี่ยงเลี่ยงไปทางอื่น
เขตต์ตวันยืนหันหลังให้เหมือนเดิมพูดลอยตามไป
“ฉันจะลองเชื่อคำพูดเธอซักครั้ง มัทนา”
มัทนาหยุดกึก น้ำตาท่วมตา
“ฉันจะลองทำใจกว้างเพื่อจะได้รู้จักเธอมากขึ้น”
มัทนาหันรถเข็นกลับมามองหน้าเขตต์ตวัน น้ำตาท่วมตาอย่างกลั้นไม่อยู่ เขาจ้องหน้าเธอ
“แต่ฉันคงไม่ต้องบอกหรอกนะ ว่าถ้าฉันเชื่อใจเธอแล้ว แต่เธอยังทำลายคำพูดของเธอเอง มันจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอมั่ง”
เขาหยุดพูดด้วยปาก แต่ใช้สายตาดุดันพูดต่อแทน มัทนาพูดทั้งน้ำตาคลอ
“คุณยอมให้ฉันสัมภาษณ์แล้วใช่มั้ยคะ”
เขตต์ตวันยังไม่ทันจะตอบ มัทนาก็ลุกพรวดด้วยความดีใจเข้าไปหาเขาทันที แต่ความที่ขามัทนายัง
ไม่หายเจ็บดี ทำให้เธอเสียหลักหน้าคะมำ จนเขาต้องรีบเข้าไปกอดเอาไว้
“ขอบคุณมากนะคะ”
“ฉันยังไม่ได้รับปากอะไรเธอเลย”
มัทนาไม่สนใจแล้ว พูดทั้งร้องไห้ไปด้วย
“ขอเครื่องอัดเสียงฉันคืนได้มั้ยคะ ฉันจะอัดสัมภาษณ์คุณ”
เขตต์ตวันทำหน้าเซ็งพร้อมถอนใจออกมา เขาตกกระไดพลอยโจนซะแล้ว

เวลากลางวัน ท่ามกลางบรรยากาศสวนสวยและสระว่ายน้ำของโรงแรม บริเวณมุมหนึ่ง ษมาสวมแว่นดำยืนสั่งงานลูกน้องอยู่ ลูกน้องก็รับคำสั่งไป
สาระวารีเดินถืองานมาหาที่นั่งเขียนต้นฉบับที่เก้าอี้ริมสระน้ำ ก็เห็นสาระวารีมองหาที่นั่งทำงานอยู่ ทั้งคู่หันไปสบตากันพอดี เธอบ่น
“ซวยซ้ำซวยซ้อนจริงๆ”
สาระวารีรีบเก็บของจะหนีขึ้นห้อง ษมารีบเดินปรี่เข้ามาหา
“เจอกันอีกแล้วนะครับ”
สาระวารีเก็บของด้วยความเซ็งจัด
“เดี๋ยวก็ไม่ได้เจอแล้วล่ะ”
“ทำไมล่ะครับ เสร็จงานจะกลับกรุงเทพแล้วเหรอ”
“เปล่า แต่จะเปลี่ยนโรงแรม”
สาระวารีจ้องหน้า ชักสีหน้ารำคาญใส่ ก่อนจะเดินเลี่ยงไป ษมารีบเดินตามดักหน้า
“รำคาญผมเหรอ”
สาระวารีจ้องหน้าบอก
“ที่สุด”
เธอเดินหนี เขาเดินตาม
“ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย”
“อยากจะเรียกชื่อฉันว่าหมูหมากาไก่อะไรก็เรียกไปเถอะ”
เธอเดินนำไป เขาโพล่งเรียกชื่อเธอ
“สาระวารี”
สาระวารีหยุดกึก หันมาจ้องหน้าเขา
“รู้จักชื่อฉันได้ยังไง”
“เช็คที่เคาท์เตอร์ก็ได้ ผมกว้างขวางที่นี่พอสมควร”
สาระวารีฉุกคิดอยากใช้ให้เป็นประโยชน์
“กว้างขวางจริงเหรอะ แล้วรู้จักคุณษมามั้ยล่ะ”
สาระวารียิ้มหยัน เขาหน้านิ่ง
“รู้จัก ถามถึงเค้าทำไมเหรอ จะมาสัมภาษณ์เหรอะ ไม่มีทางหรอก เค้าไม่เคยให้สัมภาษณ์ใคร”
“เอาน่ะ เค้าจะให้สัมภาษณ์ฉันหรือไม่ เค้าเป็นคนตัดสินใจไม่ใช่นาย แล้วรู้มั้ย ฉันจะเจอกับเค้าได้ที่ไหนมั่ง”
ษมาทำสีหน้านึกๆ
“ผมจะได้อะไรเป็นข้อแลกเปลี่ยน”
“ไม่บอกก็อย่าบอก”
สาระวารีจะเดินไป
“โอเค บอกก็ได้ กำลังจะมีงานเลี้ยงที่บ้านคุณจิตติ นักธุรกิจใหญ่ คุณษมาไปร่วมงานแน่นอน”
“ฉันรู้แล้วย่ะ คุณจิตตินั่นพ่อเพื่อนฉันเอง ตอนนี้เพื่อนฉันยังช็อปปิ้งเพลินอยู่ที่ฝรั่งเศส เป็นไงรู้ลึกกว่ามั้ย”
สาระวารีสะบัดหน้าพรืดเดินกลับไปเข้าโรงแรม ษมามองตามพร้อมอมยิ้มเจ้าเสน่ห์

ผ่านเวลาซักครู่ ภายในห้องพักของโรงแรม สาระวารีเดินไปทิ้งอุปกรณ์หากินลงเตียงพร้อมคุยโทรศัพท์มือถือไปด้วย
“ยุ่งอยู่รึเปล่า”
“เพิ่งมาถึงออฟฟิศ ไปรับแม่กับหลานที่หัวลำโพงไปส่งบ้าน แล้วก็รีบมาทำงานเลย” มีคณาบอก
“ฉันดวงซวยจริงๆเลยแก” สาระวารีเสยผมอย่างเซ็ง
“ฉันก็ซวยเหมือนกัน...แกเล่าก่อน” มีคณาบอก
สาระวารีนั่งลงที่เตียง คุยโทรศัพท์
“ฉันเจอพวกโรคจิตตามจีบ”
มีคณากระเซ้าบอก
“ก็เหมาะสมกะแกดี”
สาระวารีเน้นเสียง
“มีคณา เดี๋ยวจะตายคาโทรศัพท์”
เธอฟังมีคณาก่อนตอบ
“ก็ไม่ได้ขี้เหร่หรอก แต่งตัวก็เนี๊ยบดี คงพวกขี้หลีแหละ ฉันรำคาญกำลังจะย้ายโรงแรมใหม่วันนี้แหละ ยังไม่รู้จักฤทธิ์แม่เสือซะแล้ว … แกไม่ต้องมาขำฉันเลยนะ คนยิ่งหงุดหงิดอยู่ แล้วแกไปซวยอะไรมา”
มีคณาเสียงจ๋อย
“วันนี้ฉันเข้าใจผิด ขัดขวางการจับกุมทำให้คนร้ายหนีไปได้ แล้วฉันยังเอาหนังสือพิมพ์ไปฟาดตำรวจอีก”

“อีกแล้วเหรอะ แกฟาดตำรวจมา 2 นายซ้อนแล้วนะมี่... เออ แกโดนหมายหัวแน่ๆ ก็หวังว่าคงไม่ได้เจอกันอีก”

สาระวารีนึกได้ ตัดบทเปลี่ยนเรื่องคุย
“เออ แล้วนี่ยัยมัทแต่งงานมีลูกรึยัง ติดต่อไม่ได้เลย”
มีคณาขำๆ เสียงไชยวัฒน์แทรกเข้ามาให้ได้ยิน
“คืนนี้อย่าลืมงานแฟชั่นนะมี่”
สาระวารีกระเซ้า
“ซวย 3 ชั้น ขอให้หนุกหนานกะงานแฟชั่นโชว์สุดโปรดนะจ๊ะเพื่อนรัก หัวเราะทีหลังดังกว่าเห็นๆ” ว่าแล้วสาระวารีก็รีบตัดสายไปก่อนโดนด่า วางสายแล้วเธอก็ถอนใจเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเตรียมย้ายโรงแรม

เวลาต่อเนื่องมา เขตต์ตวันกำลังอารมณ์ดี วาดรูปเจ้าด่างเจ้าจุดจากความทรงจำไปเพลินๆที่สนามข้างบ้าน มัทนานั่งรถเข็นพยาบาลอยู่เยื้องไปด้านหลัง เธอแอบมองภาพสเก็ตในมือของเขาไปมา เขาปิดภาพคว่ำหน้าลง
มัทนาทำมองไปทางอื่นไม่ได้สนใจแอบมองอะไร เขาหันมาถาม
“เธออยากจะสัมภาษณ์อะไร”
“ก็สิ่งที่เกี่ยวกับชีวิตคุณ การเข้ามาสู่วงการบันเทิงจนกระทั่งหันเหมาเป็นนักธุรกิจ แล้วก็การบริจาคเงินให้การกุศลของคุณด้วย”
“ใช้เวลาคิดคำตอบหรูๆ นี่นานมั้ย”
“ไม่ได้คิดค่ะ ถามมาก็ตอบไปเลย”
ตวันลุกขึ้นยืนฃ
“เหรอะ ทำไมไม่บอกมาตรงๆ เลยล่ะว่าอยากรู้อดีตของฉันว่ามีสภาพชีวิตเป็นยังไงก่อนจะมาเสนอหน้าบนจอหนัง”
มัทนาถอนใจอย่างเซ็ง อารมณ์เสียอีกแล้ว
เขตต์ตวันสีหน้าแววตาเจ็บช้ำ เดินพูดไปตะคอกจนถึงหน้า โกรธจัดขึ้นเรื่อยๆเหมือนขุดปมในใจออกมา
“ฉันมันลูกไม่มีพ่อ แม่ทิ้งให้เป็นเด็กวัด แล้วก็ถามต่อเลยสิ ว่าฉันเป็นคนทุบตีผู้หญิงคนนั้นจนตายใช่มั้ย นี่ไม่ใช่เหรอะคือสิ่งที่นักข่าวอยากรู้กันนัก อยากรู้ว่านายเขตต์ตวันคนนี้ มีเบื้องหลังแหลกเหลวยังไง”
มัทนาผงะ อึ้งไป
“ฉันตามอารมณ์คุณไม่ทันแล้ว”
เขตต์ตวันชะงักไปเล็กน้อย พยายามสะกดอารมณ์
“ฉันขอโทษ” เขาถอนใจเดินกลับไปเก็บงานขึ้นมาถือเอาไว้ แล้วทอดสายตามองไกลไปที่ทะเล พยายามสงบอารมณ์
“คุณเคยบอกฉันว่า ถ้าไม่อยากให้คนอื่นเค้าดูถูก ก็อย่าดูถูกตัวเองก่อนไม่ใช่เหรอคะ คุณไม่ควรสอนฉันหรอกถ้าตัวเองก็ยังทำไม่ได้”
เขตต์ตวันหันมาเหล่มองมัทนาเล็กน้อยที่โดนย้อน เธอเชิดหน้า สู้สายตาอย่างไม่กลัว
“ฉันว่าคุณควรจะภูมิใจตัวเองมากกว่า ที่คุณมานะบากบั่นจนมีเงินมีชื่อเสียงได้ขนาดนี้ คนเราจะดีได้ไม่ใช่เพราะชาติตระกูลหรือมาจากครอบครัวที่สูงส่งหรอกนะคะ แต่มาจากนี่ ตัวเราเองตะหาก”
มัทนาพูดพลางเชิดหน้าอย่างมั่นใจ ยกมือขึ้นมาแตะตัวเองเบาๆ เขาแค่นหัวเราะออกมา ดูผ่อนคลายขึ้น เธองงๆ กับอารมณ์ของเขา
เขตต์ตวันเดินไปเข็นรถเข็นผู้ป่วยพามัทนากลับไปอย่างเร็ว แกล้งกดให้ยกสองล้ออีกต่างหาก มัทนาร้องกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ
“ยอกย้อนเก่งนัก”

มัทนาก็ร้องตกใจ เกาะเก้าอี้แน่นด้วยความกลัว

เขตต์ตวันประคองมัทนาจากรถเข็นพยาบาลไปนั่งบนเตียงพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันเล็กๆ
“เธอนี่หว่านล้อมเก่งนะ พูดจาเหมือนนางเอกในนิยายน้ำเน่าเลย ไม่เห็นความสำคัญของชาติตระกูล มองผู้คนด้วยความดีในตัว”
มัทนาเหล่มอง
“ถ้างั้นก็คงน้ำเน่าทั้งบ้านล่ะค่ะ เพราะพ่อกับแม่ฉันสอนเรื่องนี้มาตั้งแต่ฉันยังเด็ก...”
เขาแกล้งพาเธอนั่งลงบนเตียงแรงๆ
“โอ๊ย... โยนเลยก็ได้ค่ะ”
มัทนาพูดประชด เขตต์ตวันอมยิ้มเอ็นดู ดูอารมณ์ดีขึ้น
“แล้วนี่เธอจะเขียนตามที่ฉันให้สัมภาษณ์ทุกคำรึเปล่า”
“คุณอนุญาตให้ฉันสัมภาษณ์แล้วจริงๆนะคะ” มัทนาพูดเสียงตื่นเต้นดีใจ
“มันก็ขึ้นอยู่กับตัวเธอเอง ตอบมาก่อน เธอจะเขียนตามที่ฉันพูดทุกคำรึเปล่า”
“คงไม่หรอกค่ะ”
เขตต์ตวันผงะไปเล็กน้อย
“เรื่องของเราไม่ใช่เป็นแบบสัมภาษณ์คุณ คำถามต่อคำถาม ฉันอาจจะเขียนบรรยายบรรยากาศ หรือไม่ก็สัมภาษณ์คนรอบตัวคุณเพิ่มเติมอย่างคุณเอกชัยหรือหลวงพ่อจำรูญ มันจะทำให้เรื่องของเรานำเสนอ
สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น แต่ส่วนใหญ่ก็จะยึดอยู่ที่คำสัมภาษณ์ของคุณเป็นหลัก”
“ก็น่าสนใจดี ฉันคงเชื่อใจเธอได้นะมัทนา ว่าจะไม่เอาคำพูดของฉันไปพลิกแพลงให้มันเป็นคนละความหมายกับสิ่งที่ฉันพูดไป เหมือนอย่างที่หนังสือบางเล่มเค้าทำกัน”

มัทนาดีใจที่มีความหวังได้สัมภาษณ์แน่
“วางใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ พันเปอร์เซ็นต์เลยค่ะ”
“ฉันไม่เข้าใจว่า พวกเธอทำเรื่องของฉันแล้วจะได้อะไร ตอนนี้ฉันค้าขาย ไม่ใช่ดาราหนังอีกแล้ว”
“ฉันทำข่าวคุณก็เพราะคุณยังขายได้น่ะสิคะ”
เขตต์ตวันขำออกมา
“เธอเป็นคนที่พูดได้ตรงมาก จนฉันชักเชื่ออย่างที่เจ้าเอกมันบอกแล้วว่าคนอย่างเธอหลอกใครไม่เป็น”
มัทนาลังเลเล็กน้อย
“ตกลงชมรึเปล่าคะเนี่ย”
เขตต์ตวันยักไหล่ แล้วจะเดินออกไป มัทนาพูดสีหน้าอ้อนๆ ปนแหย
“อย่าลืมคืนเครื่องอัดเสียงของฉันนะคะ ฉันกลัวจำคำพูดของคุณไม่หมด”
เขตต์ตวันยิ้มสบายขึ้น ดูใจดีและเอ็นดู
“เธอนี่แม่สาวทำงานจริงๆ หายใจเข้าหายใจออกเป็นงานไปหมด”
มัทนายิ้มหน้าเป็น
“แล้วฉันจะเอาเครื่องมือหากินเธอมาคืนให้ แต่รอให้เธอพร้อมและแข็งแรงกว่านี้ก่อนเถอะ แล้วเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันใหม่”
“สัญญาแล้วนะคะ” มัทนารอคำตอบ
“สาวน้อยจอมตื้อเอ๊ย” เขตต์ตวันยิ้มๆแล้วเดินออกไป
มัทนาบ่นพึมพำแล้วถอนใจออกมา
“อ้าว แล้วยังไงล่ะเนี่ย จะให้สัมภาษณ์เมื่อไหร่ กั๊กตลอด”
บริเวณโรงแรมอโณทัย พนักงานต้อนรับเงยหน้าขึ้นตอบเชน
“คุณมัทไม่ได้สั่งอะไรไว้เลยค่ะ”
เชนมีสีหน้าแปลกใจ
“ผมติดต่อเค้าไม่ได้ 2 วันแล้วนะครับ”
“ดิฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”
“ยังไม่ได้เช็คเอ๊าท์นะครับ”
“อ๋อ ยังค่ะ”
“ถ้ายังไงเค้าติดต่อกลับมา ช่วยให้โทรหาผมด้วยนะครับ”
“จะโน้ตไว้ให้ค่ะคุณเชน”
“ขอบคุณครับ”
เชนเดินออกไปพร้อมโทรศัพท์มือถือหามัทนา...ยังสัญญาณตอบว่าติดต่อไม่ได้เหมือนเคย เชนกดตัดสาย บ่นๆ)
“หายไปไหนของเค้า”
เชนสีหน้าติดใจสงสัยเดินไปทางลิฟท์ โทรศัพท์มือถือดังขัดจังหวะขึ้นมา เชนกดรับโทรศัพท์ทันทีไม่ทันได้ดูเบอร์โชว์
“ฮัลโหล...”
เชนฟังเสียงอีกฝ่าย แล้วสวนไปทันที ท่าทางหัวเสีย อารมณ์ร้าย
“นี่ก็อีกคน หายหัวไปไหน ฉันติดต่อไม่ได้เลย... สิงคโปร์ ไปทำไม”

เชนเดินเข้าลิฟท์ไป ประตูลิฟท์ปิดลง

จบตอนที่ 4
กำลังโหลดความคิดเห็น