แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 8
คืนนั้นกอหญ้าในชุดนอน สวมเสื้อคลุมเรียบร้อยเปิดประตูห้องออกมาหน้าตาตื่น ลงบันไดไปชั้นล่างอย่างรีบร้อน
ครู่ต่อมากอหญ้าวิ่งลงไปสมทบกับนภดาราที่ยืนอยู่กลางห้องโถง พเยียกับแม่ชื่นอยู่ข้างๆ ทุกคนหน้าตาตื่นเต้นไปตามๆ กัน
กอหญ้าเข้าไปหานภดารา
“คุณอาดารา เกิดอะไรขึ้นคะ หนูได้ยินเสียงคนวุ่นวายไปหมด”
“คุณอาหญิงหายตัวไปจ้ะ”
“หายตัวไป! เมื่อไหร่คะ”
แม่ชื่นที่ยืนอยู่ด้วยเสริมขึ้น น้ำเสียงร้อนรน
“เมื่อตอนซักสี่ทุ่ม ดิฉันไปหาคุณหญิงที่ห้อง ก็ไม่พบแล้วค่ะ”
ทองมาซึ่งท่าทางดูมึนๆ งงๆ หัวกระเซิง เหมือนเพิ่งตื่น ถือไฟฉายเดินนำศรี และคนรับใช้ชายหญิงในบ้านอีก 4-5 คนเข้ามา ทุกคนหน้าตาตื่นตกใจตามๆ กัน
นภดารารีบเข้าไปถาม
“เป็นยังไง ศรี ทองมา”
“ไม่มีเลยค่ะ ออกเดินหากันทั่วแล้ว ไม่มีใครเห็นคุณหญิงเลย”
นภดารากับชื่นหน้าตากังวลจัด
“หรือคุณหญิงจะออกไปข้างนอกคะ” กอหญ้าว่า
แม่ชื่นส่ายหน้า “ไม่มีทางค่ะ คุณหญิงไม่ชอบออกจากบ้านไปไหน กลางวันยังไม่ไปเลย กลางคืนยิ่งเป็นไปไม่ได้”
นภดาราถามคนอื่นๆ ในบ้าน “ใครพบคุณหญิงเป็นคนสุดท้าย”
ศรียกมือ “ศรีเองค่ะ ตอนซักสามทุ่ม ศรีเห็นคุณหญิงเดินตามหาปุยฝ้ายอยู่ในสวน”
พเยียรีบเสริมขึ้นมา
“จะเป็นไปได้ไหมคะ คุณแม่ ว่าคุณยายหญิงอาจจะออกไปเดินหาปุยฝ้ายข้างนอก แล้ว... แล้วเลย” ทำหน้าหวาดกลัว เหมือนไม่อยากพูด
นภดาราใจหาย “ขอให้อย่าเป็นอย่างนั้นเลย”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ทุกคนหันขวับไป นภดาราวิ่งเข้าไปรับ
“วังศิวาลัยค่ะ ดิฉันนภดารา ศิวาวงศ์ค่ะ อะไรนะคะ” นภดาราหน้าซีดเผือด
ทุกคนมองไปที่นภดาราเป็นตาเดียว พเยียกัดปากลุ้น นัยน์ตาวาววามด้วยความหวัง
“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”
นภดาราวางสาย แล้วมีอาการเหมือนจะซวนเซ กอหญ้ารีบเข้าไปประคองไว้
“คุณอาดาราคะ”
นภดาราตั้งสติ บอกกับทุกคน
“คุณอาหญิงโดนรถชน อาการสาหัส ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล”
แม่ชื่นตกใจมาก “คุณหญิง”
กอหญ้า และคนอื่นๆ ในบ้านพลอยตกใจ สีหน้าเป็นห่วง แต่พเยียตกใจ และแปลกใจ ที่เหตุการณ์ไม่เป็นไปอย่างที่วางแผนไว้
กลางดึกนภดารา พเยีย กอหญ้า และแม่ชื่นมารอดูอาการของนภาจรีอยู่หน้าห้องไอซียู แม่ชื่นเอายาบำรุงหัวใจส่งให้นภดารา ที่นั่งรออยู่
“ทานยาบำรุงหัวใจกันไว้ก่อนนะคะ”
กอหญ้าส่งน้ำในแก้วพลาสติกให้
“น้ำค่ะ คุณอา”
นภดารากินยา
ที่ประตูหน้าห้อง เห็นพเยียหน้าเครียดจัด เดินวนเวียนไปมา ชะเง้อดูด้วยอาการลุ้นแกมหวาดกลัว
“ทำไมนานอย่างนี้นะ”
หมอเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน พเยียพุ่งเข้าไปหาก่อนคนอื่น
พเยียลุ้น ถามเสียงเครียด “ตกลงตายไหมคะ”
หมอชะงักนิดหนึ่ง แม่ชื่นกับกอหญ้าประคองนภดาราเข้าไป พเยียเปลี่ยนน้ำเสียง
“ฉันหมายความว่า คุณยายของฉันไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ หมอ”
“คุณหญิงนภาจรีอาการสาหัสมากครับ เธอถูกรถชนอย่างแรง กระโหลกศีรษะร้าว กระดูกซี่โครงหักหลายแห่ง อวัยวะภายในก็บอบช้ำมาก”
นภดาราใจเสีย “แต่คุณหมอช่วยได้ใช่ไหมคะ”
หมอออกอาการหนักใจ “ทางเราจะพยายามช่วยชีวิตเธออย่างสุดความสามารถ ต้องรอดูอาการอีก 24 ชั่วโมง ถ้าหากไม่มีอาการแทรกซ้อน ก็อาจจะพอมีหวัง”
นภดารากับแม่ชื่นหน้าเสีย
“ดิฉันขอเข้าไปดูหน่อยได้ไหมคะ” นภดาราเอ่ยขึ้น
“ตอนนี้ยังไม่เหมาะ คนไข้อ่อนแอมาก หมอขอให้เป็นพรุ่งนี้ดีกว่านะครับ”
หมอพูดจบก็ก้มหัวเป็นเชิงลา แล้วเดินออกไป แม่ชื่นน้ำตาคลอ
“โถ คุณหญิง”
กอหญ้ากุมมือแม่ชื่นปลอบใจ อดเปรยขึ้นไม่ได้
“แปลกจังนะคะ แม่ชื่น คุณหญิงอยู่บ้านดีๆ ออกไปโดนรถชนได้ยังไง”
ที่มุมนั่งพักในโรงพยาบาล นภดารา แม่ชื่น กอหญ้า พเยียนั่งอยู่กับตำรวจ
นภดาราแปลกใจมาก “อะไรนะคะ! คุณอาหญิงโดนรถชนที่รังสิต”
“ครับ คุณคนนี้เป็นคนขับ เขาเป็นคนแจ้งตำรวจ แล้วก็พาคุณหญิงนภาจรีส่งโรงพยาบาล”
คนขับและเพื่อนนั่งหน้าซีดอยู่ข้างตำรวจ ท่าทางหวาดกลัวและรู้สึกผิดอย่างแรง
“ผมขับมาดีๆ จู่ๆ คุณคนนั้นแกก็วิ่งพรวดพราดออกมากลางถนน ตัดหน้ารถผมพอดี”
นภดารายิ่งงง “วิ่งพรวดพราดออกมากลางถนน”
“ครับ แกวิ่งออกมาจากข้างทางน่ะครับ ท่าทางแกเหมือนวิ่งหนีอะไรมา”
“จากรูปการ ผมสันนิษฐานว่าคุณหญิงนภาจรีน่าจะโดนลักพาตัวไป เพราะเธอมีร่องรอยว่าถูกมัด และถูกรัดที่คออย่างแรง คนร้ายอาจจะต้องการอุ้มฆ่า”
นภดารากับแม่ชื่นมองหน้ากันอย่างตื่นตระหนก กอหญ้าอึ้ง พเยียลุ้นเครียด
นภดาราตกใจมาก “อุ้มฆ่าหรือคะ”
“ครับ คนร้ายพาเธอไปแถวนั้น เพราะเป็นถนนเลียบริมแม่น้ำ มันคงกะจะฆ่าแล้วเอาศพทิ้งน้ำ เพื่อทำลายหลักฐาน แต่คุณหญิงคงรู้ตัว แล้วพยายามหนี แต่กลับมาโดนรถชน”
“มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ นะครับ คุณ ผมทั้งกดแตรแล้วอะไรก็แล้ว แต่แกไม่ได้ยินเลย” คนขับรถบอก
นภดารากับแม่ชื่นเข้าใจ ได้แต่นิ่งอั้นด้วยความสะเทือนใจกอหญ้าถามขึ้น
“แล้วมีใครเห็นตัวคนร้ายไหมคะ” กอหญ้าถามกับคนขับ “คุณสองคนเห็นไหมคะว่าคุณหญิงกำลังหนีใคร”
พเยียมองหน้าชาย 2 คน ชาย 2 คนส่ายหัว พเยียแอบระบายลมหายใจอย่างโล่งอกนิดๆ
“ตำรวจกำลังติดตามอยู่ครับ ผมส่งคนไปสืบหาร่องรอยรอบๆ ที่เกิดเหตุแล้ว แล้วถ้าหากคุณหญิงนภาจรีพ้นขีดอันตราย พร้อมจะให้การได้เมื่อไหร่ ขอให้คุณนภดาราติดต่อทางเราทันทีนะครับ”
“ค่ะ” นภดารารับคำ
ตำรวจขอตัว “งั้นผมลาก่อน ขอบคุณมากครับ”
“ค่ะ” นภดาราหน้าเซียวๆ
ตำรวจลุกขึ้นยืน ไหว้ลา ชายสองคนไหว้ลาแล้วรีบเดินตามตำรวจออกไป
แม่ชื่นน้ำตาซึม
“สงสารคุณหญิง .. ใครนะใคร มันช่างทำกับเธอได้”
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ทุกคนสะดุ้ง หันมองตามเสียง ปรากฏว่าดังมาจากกระเป๋าพเยีย พเยียรีบเปิดกระเป๋า เหลือบดูเห็นชื่อนพดล พเยียกดทิ้ง นภดาราอดถามไม่ได้
“ดึกป่านนี้ ใครโทรมาน่ะ ลูก”
“เบอร์ไม่รู้จัก คงโทรผิดน่ะค่ะ” พเยียโกหก
โทรศัพท์ดังอีก คราวนี้พเยียกดปิดโดยไม่ดู กอหญ้าอดไม่ได้ ท้วงขึ้น
“ตีสองกว่าแล้ว เค้าคงมีธุระสำคัญถึงได้โทรหากัน คุณพเยียน่าจะรับแล้วบอกเค้าหน่อย ว่าเค้าจำเบอร์ผิด”
“ไม่ใช่เรื่องน่ะ” พเยียรีบหันกับนภดารา “คุณแม่ขา กลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ ดึกแล้ว เดี๋ยวจะไม่สบายไป”
“จ้ะๆ”
พเยียประคองนภดาราไป กอหญ้าเดินตาม แม่ชื่นอดมองพเยียด้วยความสงสัยไม่ได้
เช้าวันต่อมานพดลนั่งหลับอยู่ที่โซฟา โทรศัพท์อยู่ข้างตัว ปืนอยู่ในมือ รอบตัวมีขวดน้ำอัดลม เหล้า เบียร์ ที่หมดแล้ววางเกลื่อนกลาด ก้นบุหรี่สุมท่วมล้นที่เขี่ยบุหรี่ ท่าทางนพดลเครียดจัด จนต้องดื่มเหล้าย้อมใจตลอดคืน
เสียงเคาะประตูดังขึ้นรัวถี่ นพดลสะดุ้งตื่น คว้าปืน เดินไปหลังประตูอย่างระวัง
“ใคร...” เงียบไม่มีเสียงตอบ “กูถามว่าใคร”
ยินเสียงผู้หญิงดังแว่วมาจากนอกห้อง
“พี่เอง”
นพดลเอาปืนยัดซ่อนที่ด้านหลังกางเกง แล้วเปิดประตูแง้มออกแค่นิดเดียว ท่าทีแปลกใจ
“พี่! พี่มาได้ไงเนี่ย”
สกุณาหน้าตาบึ้งตึง “เปิดประตูซี”
“ห้องผมไม่เรียบร้อย พี่ลงไปรอในรถดีกว่า เดี๋ยวผมลงไป”
นพดลจะปิดประตู สกุณาเอามือยันไว้ พูดเสียงเข้ม
“ให้พี่เข้าไปก่อน เดี๋ยวมีคนมาเห็นก็ซวยกันพอดี เปิดประตู”
สกุณาผลักเข้ามา นพดลรีบปิดประตู สกุณากวาดตามองดูสภาพห้องที่เละเทะ แล้วขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
“เมื่อคืนทำอะไรเนี่ย นพ” มองเห็นก้นบุหรี่ที่กองสุมในที่เขี่ยก็แปลกใจ “แล้วนี่อะไร นพไม่สูบบุหรี่ไม่ใช่เหรอ”
“เคยสูบ แต่เลิกไป” นภดลตัดบท “ว่าแต่พี่เถอะ มาที่นี่ทำไม”
สกุณาค้อนขวับ ดุเสียงแหว “ยังจะมาถาม ออกจากงานทำไมไม่บอกพี่”
สกุณาหันไปเห็นกระเป๋าเสื้อผ้าวางอยู่บนโต๊ะ พุ่งเข้าไปทันที
“แล้วนี่เก็บเสื้อผ้าจะไปไหน”
“ผมจะไปต่างจังหวัด เฮ้ย .. อย่า”
นพดลตกใจเห็นสกุณารูดซิบเปิดกระเป๋า วิ่งไปแย่ง สกุณาสะบัด เงินหนึ่งแสนของพเยีย กับเครื่องเพชรของนภาจรี ที่ซุกเอาไว้หล่นลงมา สกุณาตะลึง
“เงิน เครื่องเพชร นี่นพไปเอามาจากไหน” สกุณาตาวาววับถามเสียงเข้ม “ของใคร”
นพดลหน้าซีด ท่าทางมีพิรุธ รีบแย่งของมายัดใส่กระเป๋าตามเดิม
“อย่ายุ่ง”
สกุณาโวยวายด้วยความหึงหวง “นพมีคนใหม่ใช่ไหม นี่มันเอาเงินฟาดหัวเท่าไหร่ล่ะ ถึงจะเก็บเสื้อผ้าไปอยู่กับมัน”
นภดลหงุดหงิด “บ้าน่ะ พี่”
สกุณาโมโห “อยากได้เท่าไหร่ทำไมไม่บอกพี่ล่ะ อีนังนั่นมันเป็นใคร มาจากไหน มันให้นพเท่าไหร่ นพถึงจะทิ้งพี่” สกุณาเข้าไปทุบตีต่อ “มันเป็นใคร บอกพี่มานะ บอกมา”
“พอที พี่ บ้าไปกันใหญ่แล้ว” นพดลเริ่มโมโห
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ดัง สกุณาหันขวับ ที่หน้าจอเห็นเป็นชื่อพเยียโทรเข้า ทั้งสองต่างพุ่งไปแย่งโทรศัพท์ แต่นพดลคว้ามาได้ เห็นชื่อพเยีย รีบรับ
“ฮัลโหล เดี๋ยวนะ”
นพดลเข้าไปในห้องน้ำ ชี้หน้าเป็นเชิงห้ามสกุณาไม่ให้ยุ่ง แล้วปิดประตู สกุณากระทืบเท้าเร่าๆ มองตามด้วยความหึงหวง
นภดลรับสาย เครียดหนัก
“มัวทำอะไรอยู่ พี่กลุ้มใจจะตายอยู่แล้ว”
ที่มุมลับตาคนแถวหน้าห้องน้ำในโรงพยาบาล พเยียพูดเสียงเบา
“แล้วพี่นึกว่าฉันสบายใจนักเหรอ นังคุณหญิงมันไม่ตาย นอนพะงาบๆ อยู่ในไอซียู ฉันน่ะลุ้นแทบขาดใจทั้งคืน กลัวมันจะฟื้น”
นพดลหน้าเสีย กลัวจัด “แล้วนี่มันฟื้นหรือยัง”
พเยียยิ้มกริ่ม “ยัง...แล้วก็คงไม่ฟื้นแล้ว”
“อะไรนะ”
“มันเจ็บหนักถึงขั้นโคม่า ไม่มีสติ พูดไม่ได้ หายใจเองยังไม่ได้เลย หมอเค้าใช้เครื่องช่วยหายใจประทังชีวิตเอาไว้ จากนี้ไปก็เหมือนซากที่นอนรอวันตายเท่านั้น”
นพดลยิ้ม โล่งอก “แน่นะ พเยีย
“แน่สิ...” พเยียยิ้มย่อง “เรารอดแล้วพี่ คุณหญิงนภาจรีไม่มีทางลุกขึ้นมาเป็นอุปสรรคของเราอีกแล้ว”
นพดลวางสาย พ่นลมหายใจจากปากอย่างแรงท่าทีโล่งใจ ครู่หนึ่งจึงเปิดประตูออกมา เห็นสกุณายืนมองถือเครื่องเพชรของนภาจรีอยู่ในมือ กระเป๋าเปิดอ้า ทันทีที่นพดลเดินออกมา สกุณาก็ถามเสียงเขียว
“ใครโทร.มา สปอนเซอร์ใหม่รึไง”
“สปอนเซอร์ที่ไหน” นพดลเข้ามาดึงเครื่องเพชรออกจากมือ เอายัดเก็บใส่คืนกระเป๋าอย่างเดิม “ผมก็มีพี่อยู่คนเดียว
“พี่ไม่เชื่อ นพดูท่าทางพิกล แล้วยัง...” สกุณาบุ้ยใบ้ไปที่กระเป๋า ออกอาการกระเง้ากระงอด “ทั้งเงิน ทั้งของ...ของแพงด้วยนะ อย่านึกว่าพี่ดูไม่ออก”
นภดลโอบกอดสกุณาอ้อนคำหวาน “เงินน่ะเล่นบอลได้ ของน่ะเพื่อนมันฝากมาปล่อยไม่เอาน่า อย่าคิดมาก พี่ฮอตซะขนาดนี้ ผมจะไปมีใครที่ไหนอีกได้”
นพดลเชยคางสกุณาขึ้น สกุณาโอนอ่อนตาม แต่ตายังแอบมองไปที่กระเป๋า และของในกระเป๋าอย่างระแวง
พเยียเดินกลับมาท่าทางเหมือนกลับจากไปห้องน้ำ สมทบกับคนอื่นๆ ที่หน้าห้องไอซียูเนียนๆ แปลกใจที่เห็นเห็นกอหญ้าอยู่คนเดียว
“คุณแม่ล่ะ กอหญ้า”
“คุณอาดารากลับเข้าไปเยี่ยมคุณหญิงแล้วค่ะ”
“อ้าว คุณแม่เข้าไปทำไมอีก ก็เพิ่งออกมา”
“เข้าไปเป็นเพื่อนคุณชายนภัสค่ะ” กอหญ้าบอก
พเยียย้อนถามท่าทีหวาดหวั่นนิดๆ “คุณตากลับมาแล้ว!”
“ค่ะ ท่าทางท่านเสียใจมาก น่าสงสารท่านเหลือเกิน”
ส่วนนภัสรพีเอามือลูบศีรษะนภาจรีอย่างแผ่วเบา สะเทือนใจจนน้ำตาคลอเมื่อเห็นร่างของนภาจรี มีสายระโยงระยางเต็มไปหมด หัวมีผ้ากอซพัน ใบหน้ามีรอยฟกช้ำ ลำคอมีรอยจางๆ ที่ถูกนพดลรัดคอ ตามตัวก็มีผ้าพันแผลเต็มไปหมดเหมือนมัมมี่ ดูน่าสงสารมาก
“เธอคงเจ็บ คงทรมานมากใช่ไหม หญิงนภา”
นภดารายืนอยู่ข้างๆ เข้ามาบีบมือนภัสรพีเพื่อปลอบใจ ในห้องบรรยากาศเงียบและหนักอึ้งด้วยความเศร้า
นภัสรพีกลั้นน้ำตาหันไปพูดกับหมอ ที่ยืนอยู่ห่างออกไป
“สรุปว่าน้องสาวของผม จะไม่มีวันฟื้นกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว...อย่างงั้นใช่ไหม คุณหมอ”
หมอบอกด้วยท่าทางเสียใจ “ผมพยายามเต็มที่แล้วครับ คุณชาย แต่คุณหญิงบาดเจ็สาหัสมากเหลือเกิน”
นภัสรพีถอนใจ นภดารากอดแขนพ่อ ปลอบโยน
“เราจะดูแลอาหญิงอย่างดีที่สุดค่ะ คุณพ่อ บางที ความหวังอาจจะยังมีปาฏิหาริย์อาจจะเกิดขึ้นกับเราก็ได้”
นภัสรพีพยักหน้ารับไปแกนๆ ไม่เชื่อและไม่หวังอะไรมากนัก
ครู่ต่อมานภัสรพีเดินนำนภดาราออกมาด้านนอก กอหญ้ากับพเยียที่รออยู่กับเจ้าแสงโชติ เจ้ามลุลี และชิษณุพงษ์ที่เพิ่งมาถึง พากันกรูเข้าไปหา
“คุณอาชาย ผมเพิ่งทราบข่าว เสียใจด้วยจริงๆ ครับ” เจ้าแสงโชติบอก
นภัสรพีพยักหน้ารับ ขอบใจ
“แล้วตำรวจเค้าว่ายังไงบ้างจ๊ะ น้องดารา ได้ตัวคนร้ายหรือยัง” เจ้ามลุลีถาม
นภดาราเป็นฝ่ายตอบ “ยังเลยค่ะ เค้าก็กำลังสืบๆ กันอยู่”
“คุณอาหญิงท่านไม่มีศัตรูที่ไหน คนร้ายอาจจะคิดจับตัวท่านไปเรียกค่าไถ่ก็ได้ แต่ท่านรู้ตัวหนีออกมาได้เสียก่อน” เจ้าแสงโชติปรารภ
นภัสรพีไม่เชื่ออย่างนั้น “ไม่ใช่หรอก แสงโชติ อยู่ดีๆ หญิงนภาก็เดินหายออกไปจากบ้าน มันไม่ใช่นิสัยของเขาเลย มันผิดปกติ มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น”
ชิษณุพงษ์ที่เงียบฟังอยู่ ตาวาวขึ้นมาทันที
“คุณปู่หมายความว่า คุณย่าหญิงถูกล่อลวงออกไปจากวังใช่ไหมครับ”
นภัสรพีมั่นใจมาก “ใช่ ทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นกับกอหญ้าที่หัวหิน ทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นกับหญิงนภาทำให้ปู่เชื่อว่า มีใครบางคน จ้องจะทำร้ายคนในวังศิวาลัย” แววตาราชนิกุลสูงวัยเจ็บแค้นขณะพูดออกมามันแอบอยู่ในความมืด ลอบทำร้ายพวกเรา โดยที่เราไม่รู้เลยว่ามันเป็นใคร ต้องการอะไร”
“หลานขอภาวนาให้ตำรวจจับมันให้ได้เร็วๆ อย่าให้มีใครเป็นอะไรอีกเลย”
เจ้ามลุลีรำพึงอย่างหวาดหวั่น จับแขนแล้วมองดูนภดาราด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าเธอจะเป็นรายต่อไป
นภัสรพีมองนภดาราทั้งรักและห่วงใย
“ทุกคนในศิวาลัยจะต้องปลอดภัย ถ้าตำรวจจับมันไม่ได้ อานี่แหละ จะจับมันด้วยตัวเอง”
ทุกคนที่ได้ฟังต่างพากันไม่สบายใจ โดยเฉพาะพเยียที่หน้าซีดเผือด หายใจไม่ทั่วท้อง
ที่วังศิวาลัยตอนกลางวัน แม่ชื่นยืนรออยู่อย่างร้อนรน สักครู่รถตู้แล่นเข้ามาจอด นภัสรพีเดินนำทุกคนลงมา แม่ชื่นรีบเข้าไปหา น้ำตายังคลอๆ
“คุณชายขา คุณหญิงเธอเป็นยังไงบ้างคะ เธอ...”
แม่ชื่นพูดได้เท่านั้นก็สะอื้นออกมา นภัสรพีลูบหลังลูบไหล่ พูดปลอบแม่ชื่นอย่างปราณ๊
“ทำใจดีๆ แม่ชื่น หญิงนภายังมีลมหายใจ เราก็ยังมีความหวัง”
“ค่ะ” แม่ชื่นเช็ดน้ำตา “คุณชายสั่งว่าให้ทุกคนในบ้านรอพบ ไม่ทราบมีอะไรหรือคะ”
นภัสรพี แม่ชื่นให้คนของเราเข้าไปหาฉันที่ห้องทำงาน ทีละคน ฉันอยากจะคุยกับทุกคน” มองพเยียกับกอหญ้า “ทุกคนที่อยู้ในคืนวันนั้น คืนที่หญิงนภาหายตัวไป”
“ค่ะ”
แม่ชื่นเดินแยกออกไป นภดารเปรยขึ้นมา
“ลูกก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า คนในบ้านเราคนใดคนนึง จะต้องรู้เห็นเป็นใจกับคนร้าย”
“วันนี้เราอาจจะได้รู้กัน ว่ามันเป็นใคร...ไปลูก”
นภดาราเดินตามนภัสรพีไปที่ห้องทำงาน
พเยียยืนนิ่งอึ้งอยู่ หน้าซีดเผือด กอหญ้าหันไปเรียก
“ไปเถอะค่ะ คุณพเยีย” แต่แล้วกอหญ้าต้องชะงัก เมื่อเห็นอาการของพเยีย “คุณพเยียเป็นอะไรหรือเปล่าคะ หน้าซีดเชียว”
พเยียหลบตาวูบ “เปล่า”
กอหญ้าเข้าไปจับมือ ห่วงใย แล้วตกใจอีก “มือก็เย็น ไม่สบายหรือเปล่าคะ”
พเยียสะบัดมือออกทันที “เปล่า แค่ปวดหัว คงเพราะอดนอนน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
พเยียเดินหนี ตามนภดาราไปทางห้องทำงาน กอหญ้ามองตาม สงสัยนิดๆ ในท่าทีแปลกๆ ของพเยีย
แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 8 (ต่อ)
นภัสรพีนั่งที่โซฟากลางห้อง นภดารานั่งห่างออกไป เก้าอี้ตรงหน้านภัสรพีว่างไว้ สำหรับคนในวังที่เวียนกันเข้ามาให้ซักถาม
กอหญ้าคือคนที่กำลังถูกตั้งคำถามเป็นคนแรก
“หนูทานข้าวเย็นพร้อมคุณหญิง จากนั้นก็ขึ้นไปบนห้อง หนูสวดมนตร์เสร็จก็เข้านอน ไม่ได้ออกจากห้องมาอีกเลยค่ะ มารู้อีกทีตอนที่ได้ยินเสียงคนในบ้านเอะอะ ตอนนั้นคุณหญิงหายไปแล้ว”
นภัสรพีพยักหน้ารับรู้
“เท่านั้นละ ขอบใจ หนูออกไปได้”
กอหญ้าเดินออกมา พเยียเดินสวนเข้าไป หน้าตาซีดเซียว
พเยียตอบเสียงเบา มือสองข้างประสานกันไว้เพื่อไม่ให้ออกอาการสั่นให้ใครเห็น
“พเยียก็เหมือนกันค่ะ พอทานข้าวเสร็จก็ขึ้นห้องดูทีวี กำลังดูอยู่คุณแม่ก็มาบอกว่าคุณอาหญิงหายไป ไม่อยู่ที่ห้อง พเยียเลยลงไปช่วยหา แต่ก็ไม่เจอ”
นภัสรพีนิ่งฟัง พยักหน้ารับรู้
พเยียเดินออกมา เห็นแม่ชื่นยืนรออยู่กับคนในบ้าน มีศรี ทองมา และคนอื่นๆ อีก 4-5 คน
“แม่ชื่น คุณแม่บอกว่าให้แม่ชื่นพาคนอื่นๆ เข้าไปได้”
“ค่ะ คุณหนู” หญิงชราหันไปทางสาวใช้คนหนึ่ง “เธอแน่ะ เข้าไปก่อนเลย”
แม่ชื่นพาสาวใช้เดินไปที่ประตู พเยียกวาดตาดูคนที่รออยู่ เห็นทองมาที่ยืนตัวสั่นอยู่ ดูกลัวมากกว่าคนอื่น พเยียจ้องหน้าทองมาเขม็งทองมาหลบตาวูบ
พเยียขึ้นมาพูดลอยๆ เป็นเชิงขู่ “ใครจะพูดจะตอบอะไรก็คิดดีๆ นะ ตอบไม่ดี ระวังจะเดือดร้อน
พเยียพูดจบก็เดินเลยไป
เวลาผ่านไป จนมาเป็นศรีที่กำลังถูกสอบถาม
“คุณดาราบอกว่าศรีเป็นคนเห็นคุณหญิงเป็นคนสุดท้าย ใช่ไหม”
“ค่ะ คุณชาย คุณหญิงลงมาถามศรีว่าเห็นปุยฝ้ายไหม ศรีเรียนว่าเห็นปุยฝ้ายอยู่ในสวนหลังบ้าน คุณหญิงเลยเดินออกไป”
นภัสรพีซัก ท่าทางครุ่นคิด “ไปที่สวนหลังบ้านงั้นเหรอ”
จนมาถึงคิวทองมา ซึ่งหน้าซีด ตัวสั่น มีอาการหลุกหลิกอย่างเห็นได้ชัดต่อหน้านภัสรพี
“ถ้าคุณหญิงออกไปตามหาปุยฝ้ายที่สวนหลังบ้าน ก็คงจะออกไปทางประตูหลังบ้านมากกว่าครับ” มองมาบอก
“ไม่ต้องมาเดา แค่ตอบคำถามฉันก็พอ แกมีหน้าที่เดินยามรักษาความปลอดภัย คืนนั้นแกเห็นอะไรผิดสังเกตบ้างหรือเปล่า” นภัสรพีซัก
ทองมาหลบตาส่อพิรุธ “มะ..ไม่มีครับ ไม่มีเลย”
นภัสรพีกับนภดารามองทองมา แล้วมองหน้ากัน แอบสงสัยในใจ
เวลาเดียวกันชิษณุพงษ์ขับรถเข้ามาจอด ลงมาเจอศรี เดินมาต้อนรับ
“ผมมาหากอหญ้า”
ศรีเชื้อเชิญท่าทีนอบน้อม “เชิญข้างในเลยค่ะ”
ชิษณุพงษ์เดินนำกอหญ้าเข้ามาในสวนค่อนข้างลึก เป็นมุมลับตาคน ท่าทางระแวงระวัง มองไปรอบตัวเหมือนกลัวคนจะเห็น
“มาคุยกันทางนี้ดีกว่า”
กอหญ้าบ่น “เธอเป็นอะไรของเธอ ชิษณุพงษ์ ทำไมต้องทำลับๆ ล่อๆ ด้วย”
“ฉันมีเรื่องอยากจะเตือนเธอ ที่โรงพยาบาลคนอยู่กันเยอะ ฉันเลยไม่อยากพูด กลัวคนได้ยิน” ชายหนุ่มมองไปรอบตัวอย่างระวัง ก่อนพูด “คุณย่าหญิงนภาจรีรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับเธอ”
กอหญ้าซักท่าทีตื่นเต้น “เกี่ยวกับฉัน! อะไร”
“ฉันก็ไม่รู้ แต่คุณย่าหญิงท่านพูด เหมือนกับว่าท่านรู้ ว่าคนร้ายมาทำร้ายเธอเพราะอะไร”
กอหญ้าหน้าสลดวูบ “อาจจะเป็นเพราะเรื่องนี้ คุณหญิงเลยโดนทำร้าย”
ชิษณุพงษ์ย้ำเตือน “ถ้ามันจริง เธอก็ต้องระวังตัวให้มากๆ นะ กอหญ้า แปลว่าคนร้ายมัอยู่ตัวใกล้เธอมากๆ ไม่แน่ ว่ามันอาจจะอยู่ในวังนี้ก็ได้”
แวบหนึ่งนั้น กอหญ้าแอบคิดถึงพเยีย “ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”
ที่หลังต้นไม้ห่างออกไป พเยียย่องตามมา พยายามมองและเงี่ยหูฟัง แต่ไม่ได้ยินอะไร เพราะอยู่ไกล เห็นแค่สีหน้าท่าทางของทั้งคู่ ว่ากำลังคุยเรื่องสำคัญพเยียเม้มปาก ขัดใจที่ไม่ได้ยิน
ที่ชิษณุพงษ์บอกกอหญ้าเป็นเชิงหารือ
“ฉันมาคิดๆ ดูแล้ว ฉันอยากจะขออนุญาตคุณอาดารา มาอยู่เป็นเพื่อนเธอที่นี่”
“อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลย ชิษณุพงษ์ เจ้าพ่อเจ้าแม่เธอคงไม่ชอบแน่” กอหญ้าบอกปัดอย่างเกรงใจ
ชิษณุพงษ์งอแง “แต่ฉันเป็นห่วงเธอจริงๆ นะ กอหญ้า”
พเยียชะเง้อชะแง้อยู่หลังต้นไม้นั้น แต่แล้วต้องตกใจที่เห็นอิศรเดินตรงมา อิศรเองก็ตกใจที่เห็นพเยีย
“คุณพเยีย!”
“คุณอิศร!”
อิศรมองไปทางที่พเยียมองอยู่ เห็นชิษณุพงษ์กับกอหญ้ายืนคุยกัน รู้ทันทีว่าพเยียมาแอบดูก็ไม่พอใจ
“นี่คุณ”
พเยียหาทางเอาตัวรอด รีบยิ้ม เอามือจุ๊ปากทำท่าให้อิศรเงียบ แล้วดึงอิศรหลบหลังต้นไม้
พเยียทำท่ากระซิบ น่ารักคิกคัก “จุ๊ๆ อย่าเอ็ดไปค่ะ เดี๋ยวสองคนนั้นเค้ารู้ว่าพเยียมาแอบดู”
อิศรยังไม่ชอบใจ “คุณมาแอบดูอะไร”
“ก็มาแอบดูสองคนนั้นเค้าจู๋จี๋กันน่ะซีคะ” พูดไปแล้วแกล้งทำเป็นตกใจ เพิ่งนึกได้ ว่าไม่ควรบอกอิศร “อุ๊ย โทษทีค่ะ พเยียลืมไป”
“เค้ามาที่นี่บ่อยซีนะ”
“ค่ะ ก็ชิษณุพงษ์เค้าเป็นญาติห่างๆ ของคุณตานี่คะ เค้าก็หาเรื่องเข้าออกวังศิวาลัยได้ทุกวัน”
อิศรมองอย่างน้อยใจ แล้วเห็นชิษณุพงษ์จับมือกอหญ้ามากุม บีบเบาๆ อย่างห่วงใย กอหญ้ายิ้มตอบอย่างขอบคุณ
“ตอนอยู่เชียงใหม่เค้าสองคนสนิทกับมากค่ะ ชิษณุพงษ์ก็พยายามจะรื้อฟื้นความหลังให้ได้” แสร้งทำเป็นขำ แต่จงใจใส่ไฟ “คงจะหวานกันน่าดู สองคนนั้นเค้าถึงแอบมารื้อฟื้นกันบ่อยๆ”
อิศรหน้าบึ้งตึงทันควัน ตอนแรกขยับจะเข้าไปลุย แต่พเยียรั้งไว้
“คุณอิศรคะ”
อิศรมองหน้าพเยีย แล้วเกิดอาย เลยเปลี่ยนใจ เดินหันหลังออกไปด้วยความโกรธ
ตกตอนเย็นทองมาเปิดประตูวัง เห็นรถอิศรวิ่งออกไปด้วยความเร็วราวกับพายุ ทองมาตกใจ รีบปิดประตู พอหันมาจะกลับป้อมยาม เห็นนภดารายืนอยู่
“คุณดารา” ทองมาแปลกใจ “ทำไมเดินลงมาถึงนี่ครับ มีอะไรรึเปล่า”
“ฉันมีอะไรอยากจะให้ทองมาช่วยหน่อย”
“คุณดาราไม่น่าลำบาก ให้คุณแม่บ้านโทร.ตามผมไปบนตึกก็ได้”
“ฉันไม่อยากให้ใครได้ยินน่ะ มันเป็นความลับ”
“เรื่องอะไรครับ”
“ก็เรื่องที่ทองมาไม่บอกฉันไง คืนวันนั้น ทองมาอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ ทำไมต้องโกหกคุณพ่อด้วย”
ทองมาหน้าซีด ขาสั่น
นภดาราเดินกลับเข้ามา ทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง หน้าเครียด ท่าทางเป็นกังวลหนัก นภัสรพีเดินมาจากด้านในบ้าน ลงนั่งตรงข้าม แล้วถาม
“ว่าไง ลูก เจ้าทองมามันยอมเปิดปากไหม”
“ค่ะ ทองมายอมรับสารภาพ ว่าตัวเองหลับยาม ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”
นภัสรพีผิดหวังส่ายหัวอย่างอ่อนใจ “เท่านั้นเองเหรอ”
นภดารานิ่งไป ก่อนจะตอบเสียงเบา
“เท่านั้นค่ะ”
นภัสรพีลุกขึ้น ผิดหวัง พูดอย่างขัดใจ
“คนในบ้านเยอะแยะ ไม่มีใครรู้ใครเห็นอะไรจริงๆ หรือนี่ มันจะเป็นไปได้ยังไง”
สีหน้านภดาราดูนิ่ง แต่ดวงตามีแววสับสน คิดถึงคำตอบของทองมาเมื่อครู่
เวลานั้นทองมายกมือไหว้ปลกๆ
“ผมเผลอหลับไปครับ”
“หลับไป! หลับยามตอนสามทุ่มเนี่ยนะ”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ว่าหลับไปได้ยังไง หัวค่ำๆ ก็ยังดีๆ อยู่เลยผมกินไปกาแฟแก้วนึงด้วยซ้ำ ตอนที่คุณหนูเอาขนมมาให้”
นภดารานึกเอะใจ “คุณหนูพเยียน่ะเหรอ”
“ครับ คุณหนูเห็นผมกินกาแฟอยู่ เลยแบ่งขนมมาให้ ผมกินเสร็จแล้วเผลอหลับไปตอนไหน ไม่รู้ตัวเลย”
นภดาราคิดไปคิดมา หน้าตาสับสน ตัดสินใจลุกขึ้นออกจากห้อง เห็นศรีเดินผ่านมา
“ศรี เห็นคุณหนูไหม”
“เข้าห้องไปแล้วค่ะ เห็นบ่นปวดหัว ศรีเพิ่งเอาน้ำกับยาขึ้นไปให้”
“งั้นหรือ ขอบใจจ้ะ”
นภดาราเดินไปทางห้องพเยีย ตัดสินใจจะไปถามให้รู้เรื่อง
ด้านพเยียนอนแช่อยู่ในอ่างที่มีฟองสบู่เต็ม น้ำอุ่นเห็นควันกรุ่นเป็นสาย พเยียหลับตา เสียบหูฟังฟังเพลง พยายามผ่อนคลาย
นภดาราเคาะประตูเบาๆ แต่ไม่มีเสียงตอบ เลยค่อยๆ เปิดเข้ามา
“พเยีย ลูก”
นภดาราเห็นห้องว่างเปล่า แต่เหลือบไปเห็นเสื้อผ้าชุดที่พเยียใส่กองเกลื่อนอยู่ที่พื้นเป็นทางไปที่ประตูห้องน้ำ ก็เข้าใจว่าพเยียอยู่ในห้องน้ำ
นภดาราอดไม่ได้ตามวิสัยแม่ เก็บเสื้อผ้าขึ้นมาพับลงตะกร้าเตรียมซัก แล้วเหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถือของพเยียวางอยู่บนเตียง
นภดาราเดินเข้าไป หยิบขึ้นมาดูอย่างลังเล รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง แต่ใจหนึ่งก็อยากรู้
ส่วนห้องน้ำพอเพลงจบ พเยียลืมตา ถอดหูฟังออก สีหน้าผ่อนคลายขึ้น
ด้านนภดาราอดไม่ได้ ตัดสินใจเปิดโทรศัพท์ กดดู Log โทร.เข้าโทร.ออก แต่ก็ต้องแปลกใจ เพราะพเยียลบทุกอย่างทิ้งหมด
“ทำไมต้องลบทิ้งด้วย แปลก”
นภดาราลองกดดูใน message ที่หน้าจอเห็นข้อความ no message กดดูไฟล์ภาพ รูปที่ถ่ายเอาไว้ที่ทะเลก็หายไปหมด นภดารายิ่งรู้สึกถึงความผิดปกติ
มีเสียงดังมาจากห้องน้ำ นภดาราตกใจ รีบร้อนวางโทรศัพท์ แล้วดันทำหล่น
พเยียสวมเสื้อคลุมอยู่ตรงประตู กำลังจะเปิดออกมา ได้ยินเสียงของตก
“เสียงอะไร”
พเยียเปิดพรวดออกไปทันที กวาดตามอง เห็นประตูห้องเผยออยู่ไหวๆ เหมือนมีใครเพิ่งออกไปแล้วปิดไม่สนิท พเยียรีบพุ่งตามออกไป
“ใครน่ะ”
พเยียออกมาที่ทางเดินหน้าห้อง สอดตาวาววับ หันมองซ้ายขวาเพื่อจะหาคนบุกรุก นภดาราหลบอยู่ที่มุมผนังด้านหนึ่ง ใจสั่น ไม่รู้จะทำยังไงต่อดี
พเยียหันขวับ เดินมาทางมุมที่นภดาราแอบอยู่ รู้สึกได้ว่าผู้บุกรุกน่าจะไปทางนี้
“ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ”
พเยียเดินใกล้เข้ามาเลี้ยวตรงมุมขวับ เจอกอหญ้ายืนอยู่ ยิ้มให้
“คุณพเยีย”
“เธอใช่ไหมที่แอบเข้าไปในห้องฉัน”
กอหญ้าชะงักนิดนึง เห็นพเยียใส่เสื้อคลุม ผมบางส่วนยังเปียกชื้นๆ กอหญ้ายิ้มใสๆ ให้
“ไม่ได้แอบค่ะ ฉันจะเข้าไปหาคุณพเยีย .. แต่เห็นคุณพเยียอาบน้ำอยู่ก็เลยออกมา”
พเยียจ้องตาไม่เชื่อนัก “หาฉันทำไม”
กอหญ้ายิ้มๆ “อยากถามเรื่องเก่าๆ น่ะค่ะ เรื่องโบสถ์ที่เราเคยอยู่ด้วยกัน เรื่องคุณแม่ยุพา คุณแม่วันเพ็ญ แล้วก็เรื่องวันนั้น...ที่เราลงมากรุงเทพฯ ด้วยกัน”
“ฉันเล่าไปหมดแล้ว วันนี้ปวดหัวด้วย จะนอน” พเยียจะไป แล้วหันมา “ทีหน้าทีหลัง ถ้าฉันไม่อนุญาต อย่าเข้าไปในห้องฉันอีกนะ”
กอหญ้ายิ้มสดใส “ค่ะ”
พเยียเดินกลับไปในห้อง
กอหญ้าหันไปด้านหลัง เห็นนภดาราซุกตัวหลบอยู่หลังเฟอร์นิเจอร์ที่บังอะไรไม่ได้มากนัก
เดินไปพูดอย่างอ่อนโยน
“คุณพเยียไปแล้วค่ะ คุณอา”
นภดารายิ้มเจื่อนๆ
“ขอบใจจ้ะ”
“ราตรีสวัสดิ์นะคะ”
กอหญ้าจะเดินไป นภดาราเรียกไว้
“กอหญ้า” กอหญ้าชะงัก “อาขออะไรหนูอย่างนึงได้ไหม”
“ได้ค่ะ”
“อย่าบอกใครนะ ว่าฉันแอบเข้าไปค้นห้องลูกพเยีย ฉันแค่สงสัยอะไรบางอย่าง แต่ฉันไม่อยากให้ใครมองลูกฉันในแง่ร้าย”
“ค่ะ หนูเข้าใจ หนูรับปากว่าจะไม่บอกใครเลยค่ะ”
นภดารายิ้ม มองกอหญ้าอย่างรักใคร่ สนิทใจ
ด้านพเยียใส่ชุดนอนเรียบร้อย ยืนหน้านิ่งอยู่หน้าตะกร้าผ้ารอซัก มองไปที่เสื้อผ้าชุดเก่าของตัวเอง ที่ถูกพับวางในตะกร้าอย่างเรียบร้อย
“คุณแม่...คุณแม่เข้ามาในห้อง ไม่ใช่นังกอหญ้า”
พเยียคิดระแวงใหญ่ประสาวัวสันหลังหวะ
“คุณแม่เข้ามาทำอะไร ทำไมต้องหลบ ทำไมต้องไม่ให้เรารู้ หรือคุณแม่กับนังกอหญ้าจะรวมหัวกันทำอะไร”
พเยียยิ่งคิดยิ่งหวั่นใจ
วันต่อมา ภายในห้องไอซียู ห้องถูกกั้นด้วยกระจกใสเป็นสัดส่วน นภาจรีนอนอยู่บนเตียง ทั้งเนื้อทั้งตัวมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตเต็มไปหมด ทั้งเครื่องช่วยหายใจ ทั้งยากระตุ้นหัวใจ ที่ให้ทางสายน้ำเกลือ ข้างๆ เตียง กอหญ้าในชุดเสื้อคลุมของทางโรงพยาบาลนั่งจับมือนภาจรี สวดภาวนาให้นภาจรีปลอดภัย
“ขอพระองค์ได้โปรดนำความเจ็บปวดของคุญหญิงนภาจรีไปไว้ที่พระองค์ ขอให้โปรดเมตตา ให้คุณหญิงพ้นจากความทุกข์ทรมานนี้ด้วยเถิด”
กอหญ้าสวดเสร็จ ก็เงยหน้าขึ้นมามองร่างของนภาจรี กอหญ้ารู้สึกผิดและเศร้าใจ
“คุณหญิงต้องมาเจ็บตัวเพราะหนูแท้ๆ” กอหญ้าถอนใจ “ความลับอะไรเหรอคะที่คุณหญิงรู้ บอกหนูได้ไหม”
กอหญ้าถอนใจ แล้วก้มหน้าลงโดยไม่ได้ตั้งใจ กอหญ้าเห็นมือของตนที่ประสานอยู่ และเห็นรอยใส่แหวนที่นิ้วของตนเอง ชะงัก นึกอะไรขึ้นมาได้
วันนั้นที่นภาจรีเขย่าตัวตนเพื่อซักถามเรื่องแหวน แล้วพเยียมาห้ามไว้
กอหญ้าเอะใจ สงสัย
“แหวน ..?”
กอหญ้าลุกขึ้น รีบวิ่งออกไปจากห้องทันที
ที่ทางเข้า ไม่นานนัก เห็นกอหญ้าวิ่งเข้าไปด้านในอาคารสำนักงานของอิศรอย่างรีบร้อน
และตรงไปที่ห้องทำงานของอิศร อิศรเดินออกมาหน้าห้อง ถามเลขา
“รายละเอียดก่อสร้างโครงการคอนโดที่เขาใหญ่ ฝ่ายสถาปนิกเขาทำส่งเข้ามาหรือยัง”
“ส่งมาแล้วค่ะ รู้สึกจะอยู่ที่คุณสุบรรณ”
กอหญ้าเดินแกมวิ่งเข้ามา เห็นอิศรเข้าพอดี
“คุณอิศรคะ”
อิศรเห็นกอหญ้า แวบแรกก็ยิ้ม ดีใจ
“กอหญ้า มายังไงนี่” เดินเข้าไปหา แล้วนึกได้เรื่องวันก่อน เลยทำมึนตึง “ได้ข่าวว่าที่วังมีเรื่องวุ่นวาย ฉันเองก็ยุ่งๆ ขอโทษทีนะ ที่ไม่มีเวลาไปหา”
“ไม่เป็นไรค่ะ ที่ฉันมาเนี่ย เพราะจะขออะไรคุณหน่อย”
อิศรมองหน้า สงสัยว่าอะไร
ครู่ต่อมาอิศรมีหน้าตาเหวี่ยง วีน สุดๆ เดินลิ่วไม่อย่างสนใจ มีกอหญ้าวิ่งตาม
“คุณอิศร เดี๋ยวก่อนสิคะ รอฉันก่อน”
อิศรเปิดประตูเข้าไปในห้องประชุมใหญ่ โมเดลคอนโดและพิมพ์เขียวกางหราบนโต๊ะ สุบรรณกำลังดูอยู่ เงยหน้ามา ยิ้ม ทักเสียงดัง
“คุณอิศร ผมกำลังจะให้คนไปตามมาดูแบบอยู่พอดี” สุบรรณชะงัก เมื่อเห็นกอหญ้าวิ่งตามเข้ามา “อ้าว คุณกอหญ้า”
กอหญ้ายิ้มทักสุบรรณนิดหนึ่ง แล้วตามเข้าไปเซ้าซี้อิศร
“คุณอิศร ได้ยินที่ฉันพูดไหมคะ ฉันมีแหวนวงนึง ใส่ติดนิ้วมาด้วย แล้วแหวนวงนั้นก็อยู่ที่คุณ”
“ก็บอกแล้วไง ว่าเอาไว้ว่างๆ ฉันจะหาให้” อิศรทำทีเป็นเข้ามายกพลิกพิมพ์เขียวดูทำท่าวุ่นเรื่องงาน “งานฉันยุ่งจะตาย เธอเห็นไหมนี่”
สุบรรณแหลมขึ้นมา “เอ่อ โทษทีครับ คุณกอหญ้ามาหาแหวนเหรอครับ”
กอหญ้าร้อนใจ “ค่ะ คุณสุบรรณ คุณพอทราบไหมคะ ว่าแหวนของฉันอยู่ไหน ฉันอยากได้มันคืนเดี๋ยวนี้”
สุบรรณยิ้มกว้าง “อ๋อ แหวนน่ะ...” กำลังจะอ้าปากบอกว่าแหวนอยู่ไหน
อิศรสวนออกมาทันที “สุบรรณจะไปรู้ได้ยังไง” สุบรรณอ้าปากค้าง อิศรหันไปจ้องตาดุ ส่งสัญญาณให้รู้ว่าห้ามพูด “กะอีแค่แหวนกระจอกๆ วงเดียว เอางี้ เธออยากได้แหวนใช่ไหม เราออกไปร้านเพชรกันเดี๋ยวนี้เลย ฉันจะซื้อ ให้เธอใหม่” คว้ามือกอหญ้า “เอาเพชรเม็ดเท่ากำปั้นเลยก็ยังได้ จะเอากี่วงว่ามา”
กอหญ้าสะบัดมือ ต่อว่า
“ฉันไม่ได้อยากได้แหวน ของคุณ! ฉันอยากได้แหวน ของฉัน!” อิศรชักสีหน้า “แหวนวงนั้นมันสำคัญกับฉันมากนะคะ”
อิศรเข้าใจว่าแหวนนั้นเป็นของชิษณุพงษ์ เลยยิ่งโกรธ พาลน้อยใจ
“ฉันจำไม่ได้ว่าเอาเก็บไว้ที่ไหน” อิศรเชิดใส่ “หาเจอเมื่อไหร่ จะรีบเอาไปให้ก็แล้วกัน”
อิศรพูดจบก็ก้มหน้าก้มตาดูพิมพ์เขียว พลิกโน่นนี่วุ่นวาย สุบรรณมองอิศรเหมือนตัวประหลาด กอหญ้ามองอิศรอย่างอ่อนใจ
“งั้น...ฉันก็รบกวนเท่านี้ล่ะค่ะ”
“ฮื่อ” อิศรไม่เงยหน้ามอง “ไม่ส่งนะ ยุ่ง”
“เจ้าค่ะ” กอหญ้าประชด แล้วยิ้มให้สุบรรณ “ไปก่อนนะคะ คุณสุบรรณ”
สุบรรณยิ้มให้ โบกมือบ๊ายบาย พอกอหญ้าออกจากห้องไปแล้ว สุบรรณดึงพิมพ์เขียวออกจากมืออิศร กลับข้างให้ใหม่ พูดประชด
“ผิดข้างขอรับ เจ้านาย”
อิศรชะงัก เพิ่งรู้ตัวว่าดูพิมพ์เขียวกลับหัว รู้สึกเสียหน้าเลยเลิกดู
“แกดูเองเหอะ ฉันไปละ”
อิศรเดินหนี สุบรรณเดินตามไปขวาง
“เดี๋ยวครับ นี่มันเรื่องอะไรกัน คุณอิศร คุณไปหลอกคุณกอหญ้าเค้าทำไม”
อิศรทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ สุบรรณมองอย่างหมั่นไส้
สุบรรณเดินฉับๆ เข้าไปที่โต๊ะทำงานอิศร เปิดลิ้นชัก ตะกุยหาอยู่อึดใจ ก็ได้แหวนของกอหญ้า สุบรรณชูแหวนขึ้นมา ประกาศใส่หน้าอิศรอย่างผู้มีชัย
“นี่ไง” จงใจพูดแดกดัน “นี่ไงครับ แหวน”
อิศรยักไหล่พรืด ยังไม่ยอมรับว่าโกหก “อ้อ เหรอ จำไม่ได้นี่”
สุบรรณแกล้ง “ผมตามไปให้คุณกอหญ้าตอนนี้ยังทัน”
อิศรกระโดดคว้าคอสุบรรณเอาไว้ ปล้ำพร้อมกับบิดมือสุบรรณ แย่งแหวนคืน
“ไม่ใช่เรื่องของแกเลย สุบรรณ อย่ายุ่ง”
สุบรรณไม่ยอมปล่อยแหวน กำไว้ในมือแน่น สู้ไปปากก็เถียงไป
“หน้าตาดีๆ ริอ่านเป็นขโมยเหรอคุณอิศร…ปล่อยผม อ๊ากกส์”
อิศรกัดมือสุบรรณ จนสุบรรณร้องลั่น อิศรแย่งเอาแหวนไปจนได้ สุบรรณโวยวาย
“ของ-ของเค้าแท้ๆ คุณมีสิทธิ์อะไรมาอมเอาไว้ ทำไมไม่คืนให้เค้าไป”
อิศรมองแหวนในมือ เจ็บใจ ตอบพาลๆ
“ฉันไม่ให้ใครจะทำไม เมื่อวานจับไม้จับมือปลอบขวัญกัน วันนี้ถึงกับวิ่งมาทวงแหวนแทนใจ ฝันไปเถอะ ฉันไม่ให้หรอก”
อิศรทิ้งตัวลงนั่ง ปายัดแหวนกอหญ้ากลับไปในลิ้นชักที่เดิม
“แกจำไว้เลย สุบรรณ แหวนที่จะอยู่ที่นิ้วของกอหญ้า ต้องเป็นแหวนของฉันเท่านั้น ไม่มีแหวนวงอื่น”
อิศรพูดจริงจัง สุบรรณส่ายหัวเอือมระอากับนิสัยเกเรแกมโกงของอิศร ไม่เห็นด้วยเอาเสียเลย
แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 8 (ต่อ)
ตกเย็นกอหญ้าเดินกลับมาในบ้าน แม่ชื่นรีบร้อนเดินออกมาจากด้านใน ร้องเรียก
“รถมาหรือยัง ทำไมชักช้าอย่างนี้” แม่ชื่นร้อนใจทำท่าจะร้องไห้
กอหญ้ารีบปราดเข้าไปหาแม่ชื่นอย่างตกใจ
“แม่ชื่น เป็นอะไรคะ เกิดอะไรขึ้น”
“หนูกอหญ้า...คุณหญิง...” หญิงชราพยายามจะพูด “...คุณหญิงอาการทรุดหนักค่ะ นี่คุณชายกับคุณดาราก็อยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว”
รถตู้ของวังแล่นมาจอดเทียบด้านหน้า แม่ชื่นวิ่งออกไป กอหญ้ารีบตาม
“หนูไปด้วยคนค่ะ”
ทั้งสองขึ้นรถ รถออกไปอย่างรวดเร็ว
ภายในห้องไอซียู ที่หน้าจอมอนิเตอร์สัญญาณชีพจร เห็นสัญญาณชีพจรของนภาจรีเต้นเร็วขึ้น ประมาณ 100 ถึง120 ครั้ง/นาที นภาจรีลืมตาโพลง ตัวเกร็ง หายใจกระตุก ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนเตียง พยาบาลคนหนึ่งเข้ามาวัดความดัน
หมอรีบเดินเข้ามา ใช้หูฟังตรวจจับฟังชีพจร ฟังปอด ใช้ไฟฉายส่องดูม่านตา
“มอร์ฟีน 3 มิลลิกรัม สแตท” Stat-เป็นศัพท์ทางการแพทย์หมายถึง ให้ยาทันทีนั่นเอง
พยาบาลเอาหลอดยามาให้ หมอรับมาฉีดใส่สายน้ำเกลือ
ครู่ต่อมานภาจรีดูสงบลง หมอเข้ามาวัดชีพจร ฟังปอดอีกครั้งจนเสร็จ หมอกำลังจะหันหลังกลับ นภาจรีฝืนลืมตาขึ้น มือคว้าหมับเข้าที่ข้อมือหมอ แววตาจ้องมองอย่างคาดคั้น วิงวอน
นภัสรพียืนหน้าเครียดอยู่หน้าห้อง มองไปที่หน้าห้องไอซียู พเยียนิ่ง มือบีบกันแน่น ลุ้นอยู่ในใจ
“ตายๆ ไปซะทีเถอะนะ จะได้หมดเรื่องหมดราวกันไป”
นภดารากระสับกระส่าย กระวนกระวาย
“ทำไมเค้ายังไม่ให้เราเข้าไปอีกล่ะคะ คุณพ่อ”
พยาบาลเปิดประตูห้องไอซียูออกมา นภดาราปราดเข้าไปหาพยาบาล
“คนไข้เป็นยังไงบ้างคะ ดิฉันจะเข้าไปข้างในได้หรือยัง”
“เชิญญาติคนไข้ด้านในเลยค่ะ” พยาบาลบอก
พยาบาลยังพูดไม่ทันจบ นภัสรพีเดินตรงเข้าไปในห้องไอซียูทันที ทุกคนรีบเดินตามไป
นภัสรพีเดินนำเข้ามาที่ห้องไอซียูที่นภาจรีนอนอยู่ ปราดเข้าไปที่เตียง
“หญิงนภา”
นภัสรพีเห็นสภาพนภาจรีนอนนิ่ง หายใจอ่อน แววตาแตกซ่านแต่พยายามจะฝืนคงสติเอาไว้นภัสรพีจับมือนภาจรีไว้เหมือนจะถ่ายทอดกำลังใจและความอบอุ่น
“หญิงนภา พี่อยู่นี่แล้ว เธอได้ยินพี่ไหม”
นภดาราเดินอย่างเร็วมาจับมืออีกข้างของนภาจรีไว้
“คุณอาหญิงคะ คุณอาหญิง”
ไม่มีอาการตอบสนองใดๆ จากนภาจรี นอกจากอาการเพ่งมองนภัสรพีอย่างวิงวอน เหมือนอยากจะบอกอะไรบางอย่าง พเยียหลบอยู่สุดมุมห้อง ไม่ให้นภาจรีเห็น แอบมองอย่างลุ้นสุดๆ นภดาราร้อนใจ
“คุณหมอคะ ทางโรงพยาบาลโทรไปแจ้งว่าคุณอาหญิงอาการทรุดลง แต่นี่ท่านได้สติแล้วนี่คะ ทำไมไม่ทำอะไรซักอย่างล่ะคะ”
“ทั้งสมอง ทั้งอวัยวะภายในของคุณหญิงแทบจะไม่ทำงานแล้วครับ...แต่ที่เห็นนี่ เป็นเพราะท่านพยายามจะยื้อไว้” หมอบอก
นภดารางง “หมายความว่ายังไงคะคุณหมอ”
นภดาราไม่เข้าใจ นภัสรพีหน้าสลด เข้าใจทันทีว่านี่คือช่วงเวลาสุดท้ายของนภาจรี
“ดารา... หญิงนภากำลังจะจากเราไปแล้ว”
นภดาราอึ้งไป พเยียแอบระบายลมหายใจเบาๆ โล่ง
“คนไข้คงอยากจะใช้เวลากับญาติสนิท ผมขอตัวนะครับ”
หมอเลี่ยงออกไป ปล่อยให้ญาติได้ใช้เวลากับผู้ป่วย
“โธ่ คุณอา” นภดาราทรุดตัวลงกอดนภาจรี ร้องไห้ด้วยความรู้สึกผิดในใจ “ทำไม ทำไมต้องเป็นแบบนี้”
นภัสรพีเข้าไปประคองนภดารา “อย่าร้องไห้ ปล่อยให้อาหญิงของลูกไปสบายๆ เถอะ ดารา อย่าทำให้เขาทุกข์ทรมานใจเลย”
นภัสรพีหันไปมองนภาจรี ที่พยายามเพ่งมองมา ด้วยสายตาวิงวอน นภัสรพีพูดอย่างอ่อนโยน
“หลับให้สบายนะ หญิงนภา ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้นพี่สัญญา ว่าพี่จะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ...พี่สัญญา”
พเยียมองนภัสรพี พร้อมกับนภัสรพีที่เหลือบมองมาทางพเยียเหมือนไม่ตั้งใจ พเยียเสียววาบ รู้สึกสังหรณ์ในคำพูดนั้นอย่างประหลาด
นภาจรีระบายลมหายใจอย่างอ่อนแรง เหมือนวางใจ มืออ่อนแรงตกลง
ประตูเปิดออก แม่ชื่นกับกอหญ้าตามเข้ามา แม่ชื่นถลาเข้ามาที่ปลายเท้านภาจรี
“คุณหญิงขา”
นภาจรีสะดุ้งเมื่อเห็นหน้ากอหญ้า มือที่หมดแรง พยายามเกร็งยกขึ้นตะกายไขว่คว้า
นภดาราเห็น “อะไรคะคุณอาหญิง” มองอาการแล้วเข้าใจ “กอหญ้า กอหญ้า ใช่ไหมคะ”
กอหญ้ารีบเข้าไปข้างเตียง
“คุณหญิงต้องการอะไรคะ”
นภาจรีหายใจแรงขึ้น เหมือนลมหายใจเฮือกสุดท้ายกำลังจะขาดลง มือที่ไขว่คว้าอยู่ คว้ามือกอหญ้ามาบีบที่นิ้วข้างที่เห็นเป็นรอยแหวน สายตาเพ่งมองไปที่นิ้วนั้น แล้วหันมามองกอหญ้า ด้วยแววตาวิงวอน เป็นเชิงบอกย้ำว่าสำคัญอย่างมาก กอหญ้าใช้สองมือกุมมือนภาจรีไว้อย่างนุ่มนวล พูดให้นภาจรีคลายใจ
“ค่ะ คุณหญิง หนูเข้าใจค่ะ หนูเข้าใจแล้ว ...หนูจะหามันให้เจอให้ได้ค่ะ”
นภาจรีพยายามจะยิ้มให้กอหญ้า แล้วหันขวับไปมองพเยียอย่างเกลียดชัง พเยียผงะด้วยความตกใจกลัว นภาจรีหายใจกระตุกแรงขึ้น ดวงตาเหลือกลานเหมือนหายใจไม่ออก
นภัสรพีตกใจ “หญิงนภา”
“คุณอาหญิงคะ” นภดาราจะวิ่งออกไปตะโกนเรียก “หมอคะ หมอ คนไข้ช็อกค่ะ”
นภาจรีกระตุก หน้าตาบิดเบี้ยวอย่างเจ็บปวด สายตายังค้างอยู่ที่พเยียแล้วช็อก เงียบไป
เส้นหัวใจที่มอนิเตอร์ไม่ขยับ
แม่ชื่นร้องไห้โฮ “คุณหญิง...คุณหญิงคะ” พลางเข้าไปกอดที่ปลายเท้า
หมอกับพยาบาลวิ่งเข้ามาที่ข้างเตียง ญาติๆถอยห่างออกไปนิดหน่อย
หมอบอกกับพยาบาล “วัดความดันด้วย”
หมอวัดชีพจร ฟังปอด ตรวจม่านตา
พยาบาลรายงาน “วัดความดันไม่ได้ค่ะหมอ”
หมอพยักหน้ารับขรึมๆ หันไปหานภัสรพีกับนภดารา
“ผมเสียใจด้วยครับคุณชาย คุณดารา คุณหญิงท่านจากเราไปแล้ว”
นภัสรพีนิ่งงันด้วยความสะเทือนใจสุดๆ แม่ชื่นปล่อยโฮ เข้าไปกอดขานภาจรี
กอหญ้าน้ำตาไหลเงียบๆ เข้าไปกราบที่เท้านภาจรี ก่อนจะกอดปลอบแม่ชื่น นภดาราน้ำตาไหล เข้าไปกอดนภาจรีแล้วกราบนิ่งอยู่ที่อกนภาจรีเหมือนจะขอขมา ก่อนจะถอยออกมา บอกพเยีย
“ไปกราบขอขมาคุณยายหญิงเสียลูก”
พเยียเข้าไปกราบนภาจรีอย่างกลัวๆ แต่ก็เหมือนโล่งใจ ไม่มีน้ำตาแม้สักหยด
นภัสรพีเข้าไปกอดปลอบนภดารา สายตาจับจ้องไปที่พเยียและกอหญ้าที่ยืนอยู่คนละมุมอย่างพินิจวิเคราะห์
บรรยากาศตอนเช้าที่เรือนไทยบ้านชิษณุพงษ์ เจ้ามลุลีนั่งอยู่ที่โซฟาในห้องโถง มีผ้าไหมตัวอย่างสีสวยหลายพับกองตรงหน้า เจ้ามลุลีคลี่ผ้าไหมสีสวยออกดูอย่างตั้งใจ เพื่อตรวจตัวอย่างสีผ้า และลวดลายทอ ชิษณุพงษ์เดินเข้ามาอย่างร่าเริง
“แม่เรียกหาผมเหรอครับ”
“จ้ะ” เจ้ามลุลีวางผ้าลง “สวยไหมลูก นี่ลายใหม่ แม่ให้เขาลองทอขึ้นมาพิเศษจะเอาไปโชว์ที่อเมริกาเดือนหน้า”
ชิษณุพงษ์รับมาดูและวิจารณ์อย่างจริงจัง เพราะตัวเองตั้งใจจะทำธุรกิจนี้ด้วย
“สีสวยดีครับ ลายทอผมว่ามันดูโบราณ ดู traditional ไปหน่อย ...แต่ไม่แน่ พวกฝรั่งอาจจะชอบก็ได้” ชายหนุ่มวางผ้าลง เข้ามากอดอ้อน “ตกลงแม่จะไปเดือนหน้านี้แล้วเหรอครับ จะไปนานไหม”
“สองสามอาทิตย์เองจ้ะ แม่ไปดูบูธงานแสดงสินค้า ไปส่งลูกกลับเข้าเรียน แล้วก็กลับ”
“ใครบอกแม่ ว่าผมจะกลับไปเรียน ผมทำเรื่องขอหยุดไปแล้ว” ชิษณุพงษ์บอก
เจ้ามลุลีไม่พอใจ “ลูกหยุดรักษาตัวมาจะปีนึงแล้วนะ ชิษณุ”
ชิษณุพงษ์โยเย “ผมยังไม่หายดีเท่าไหร่”
เจ้ามลุลีพูดอย่างรู้ทัน “ลูกอยู่เพราะเด็กที่ชื่อกอหญ้ามากกว่า”
“แม่ก็รู้ กอหญ้าเค้ากำลังตกอยู่ในอันตราย ผมต้องช่วยเค้า”
“กอหญ้าไม่ได้ตัวคนเดียว ทุกคนในวังศิวาลัยคอยดูแลเค้าอยู่” เจ้าย้ำ “แล้วยังมีคุณอิศร”
ชิษณุพงษ์หมั่นไส้ขึ้นมาทันที “นั่นล่ะตัวดีเลย ไว้ใจได้ที่ไหน สรุปสั้นๆ ยังไงผมก็ไม่ไปครับ”
ชิษณุพงษ์ลุกหนี เจ้ามลุลีลุกตามมาขวาง เสียงดัง
“ไม่ไปไม่ได้ แม่ขอยื่นคำขาด เดือนหน้าลูกต้องไปอเมริกากับแม่”
เจ้าแสงโชติเดินเข้ามา สีหน้าไม่สู้ดี
“แม่ลูกส่งเสียงดังเอะอะ มีเรื่องอะไรกัน”
ทั้งสองหันไปดู เจ้ามลุลีรีบฟ้อง
“ลูกไม่ยอมกลับไปเรียนค่ะ เจ้าพี่” เจ้ามลุลีสังเกตเห็นสีหน้าของเจ้าแสงโชติก็แปลกใจ “เจ้าพี่เป็นอะไรคะ ทำไมสีหน้าไม่ดีเลย”
“ที่วังศิวาลัยโทร.มา” เจ้าแสงโชติไม่อยากพูด “คุณป้าหญิงสิ้นใจแล้วตั้งแต่เมื่อคืน”
ชิษณุพงษ์กับเจ้ามลุลีสลดใจ
บนศาลาสวดอภิธรรมศพนภาจรีที่วัดแห่งหนึ่ง เห็นที่มุมหนึ่งพนักงานจัดดอกไม้สองสามคนช่วยกันจัดดอกไม้สำหรับตกแต่งโลงศพ คนงานผู้ชายยกพาน 4 พาน ที่จัดของไว้อย่างประณีตสำหรับถวายสังฆทาน
ทุกคนแต่งตัวชุดไว้ทุกข์สบายๆ
แม่ชื่นจัดพานพุ่มอยู่ใกล้ๆ กับนภดาราที่นั่งร้อยพวงมาลัยสำหรับคล้องที่ข้อมือของนภาจรีอย่างประณีต เป็นความรู้สึกอยากชดใช้เพราะคิดว่าลูกตนต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แม่ชื่นมองนภดาราอย่างห่วงใย
“คุณดาราพักดีมั้ยคะ เดี๋ยวชื่นทำเองก็ได้ ก้มหน้าก้มตาร้อยมาลัยนานๆ เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไป”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่ชื่น ฉันอยากทำให้คุณอาหญิง ฉันอยากทำให้เธอเป็นครั้งสุดท้าย”
แม่ชื่นพลอยสลดไปเหมือนกัน พเยียเลียบๆ เคียงเข้ามา พยายามเอาใจนภดารา
“เหนื่อยไหมคะ คุณแม่ พเยียช่วยนะคะ” พเยียเห็นพานดอกไม้ที่แม่ชื่นจัดเสร็จแล้ววางอยู่ “เดี๋ยวพเยียช่วยจัดพานดอกไม้ก็ได้”
พเยียจะเอื้อมมือไปหยิบพานดอกไม้ แต่ไม่ทัน แม่ชื่นชิงกระชากพานดอกไม้มาก่อน พูดเสียงเย็นชา
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ดิฉันจัดการเอง”
“ฉันก็แค่อยากช่วยทำอะไรบ้าง”
แม่ชื่นมองมาอย่างเจ็บใจ แต่ข่มไว้ “พอเถอะค่ะ คุณทำมามากพอแล้ว”
แม่ชื่นคว้าพานดอกไม้เดินไป พเยียมองตามแม่ชื่นอย่างไม่พอใจ ทำปากขมุบขมิบ พูดไล่หลังแม่ชื่นไป
“ดูสิคะคุณแม่ จะช่วยก็ไม่ให้ช่วย หน้าตาก็หงิกซะ หยั่งกับพเยียไปทำอะไรให้”
“แม่ชื่นรับใช้คุณยายหญิงมาตั้งแต่แกยังเป็นสาว สนิทสนมรักใคร่กันยิ่งกว่าญาติ” นภดารามองพเยีย นิ่งๆ เย็นๆ “คุณยายหญิงมาเป็นไปเสียอย่างนี้ แม่ชื่นคงอดเสียใจ อดเจ็บใจแทนไม่ได้”
“เสียใจก็เสียใจไปซีคะ ทำไมมาลงกับพเยียล่ะ”
นภดารามองพเยีย ตานิ่งๆ หยั่งอารมณ์ไม่ถึง “นั่นสิจ๊ะ ทำไมแม่ชื่นถึงต้องมาลงเอากับลูกด้วย เพราะอะไร หนูบอกแม่ได้ไหม”
นภดาราถามเรียบๆ แต่เยียบเย็น พเยียนิ่ง ฟังแล้วหนาววูบยังไงพิกล แต่ฝืนทำไม่แคร์
“ไม่ทราบค่ะ คงเพราะคุณยายหญิงไม่ชอบพเยียมั้งคะ แม่ชื่นเลยพาลไม่ชอบไปด้วย ที่เค้าเรียกว่า นายว่าขี้ข้าพลอยไงคะ คุณแม่”
นภดารามองพเยียทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ รู้ดีว่าพเยียคงไม่มีวันสารภาพความผิดของตน นภดาราได้แต่ถอนใจ ลุกถือมาลัยที่ร้อยเสร็จพอดีเดินออกไป
ที่ด้านในสุดของศาลา เห็นนภาจรีหน้าตาสวยงาม ในชุดผ้าลูกไม้หรูหรานอนสงบอยู่บนตั่งมองดูเหมือนกำลังนอนหลับ มือข้างหนึ่งวางไว้ที่หน้าอก อีกข้างหนึ่งห้อยออกมาจากตั่งเพื่อรอรดน้ำ
นภดาราถือพวงมาลัยคลานเข้ามาหยุดที่ด้านหน้าตั่ง มองนภาจรีอย่างเสียใจก่อนจะบรรจงเอาพวงมาลัยที่ร้อยอย่างสวยงาม สวมที่ข้อมือนภาจรีและกราบที่มือนั้น นภดาราพึมพำเบาๆ ไม่ให้ใครได้ยิน
“อาหญิงขา หลานขอโทษกับทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้น หลานรู้ว่าลูกพเยียไม่ใช่คนดี แต่แกก็เป็นลูกของหลาน” นภดาราน้ำตาคลอ “หลานไม่รู้จะจัดการยังไงกับแกดี อาหญิงได้โปรดเข้าใจ ให้อภัยหลานด้วยนะคะ”
นภดาราซบหน้าร้องไห้ รู้สึกผิดมาก กอหญ้าเดินถือพานดอกไม้เข้ามาวาง เห็นนภดาราร้องไห้ เข้าไปปลอบ
“อย่าเสียใจไปเลยค่ะ ที่เกิดขึ้นกับคุณหญิงนภาจรี ไม่ใช่ความผิดของคุณอา”
นภดารากอดกอหญ้าร้องไห้ “ผิดสิ ฉันผิด ฉันผิดเอง เพราะฉัน ทุกอย่างมันถึงได้เป็นแบบนี้”
กอหญ้าพยายามปลอบ “คุณอาอย่าร้องไห้ อย่าโทษตัวเองเลยนะคะ ไม่มีใครคิดหรอกค่ะ ว่าคุณหญิงจะโชคร้ายอย่างนี้”
นภดาราร้องไห้อีก
กอหญ้าอย่าร้องนะคะ คุณหญิงเธอจะได้ไปสบาย
แม่ชื่นที่ถือพานดอกไม้เข้าไปวางข้างนภดารา ยืนมองอยู่ด้วยความเจ็บใจ
“คุณหญิงเธอไม่มีทางไปสบายหรอกค่ะ เพราะคนที่ฆ่าเธอยังลอยนวลอยู่ เผลอๆ อาจจะอยู่ในวังศิวาลัยเรานี่ก็ได้”
นภดาราตกใจที่แม่ชื่นกล้าพาดพิงพเยียตรงๆ
ขณะที่กอหญ้ามองแม่ชื่นอย่างงุนงงสงสัย ว่าแม่ชื่นหมายถึงใครกัน
ติดตาม "แผนรักแผนร้าย"ตอนที่ 8 (ต่อ) เวลา 09.00 น.
แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 8 (ต่อ)
เย็นนั้น อิศรอยู่ในห้องที่บ้านอดิศวร เตรียมตัวไปร่วมงานศพนภาจรี อยู่ในชุดกางเกงสีดำ หรู ท่อนบนเปลือยเปล่า กำลังหยิบเสื้อเชิ้ตขาวขึ้นมาใส่ บนเตียงเห็นสูทสีดำวางพาดอยู่ พร้อมเนคไทด์สีดำ
อิศรติดกระดุมเสื้อ อรรถเปิดเข้ามาในชุดสีสันปกติ พ่อลูกคุยกันอย่างหมางเมินเช่นเคย
“อิศร”
อิศรแต่งตัว ไม่หันไปดู “เคาะประตูเป็นไหมครับ”
อรรถชักสีหน้า แต่ขี้เกียจมีเรื่อง “แกจะไปงานศพคุณหญิงนภาใช่มั้ย”
“ครับ”
“แกรู้ข่าวตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกฉัน”
“ผมบอกหรือไม่บอก พ่อก็รู้อยู่ดี ต่างกันตรงไหน” อิศรแต่งตัวเสร็จพอดี หันมาหา “พ่อมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ”
“ฉันก็จะไปงานศพคืนนี้เหมือนกัน เดี๋ยวฉันไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเราไปด้วยกัน แกรอฉันด้วย”
อรรถพูดจบก็เดินออกไป อิศร หันไปหยิบเนคไทด์ที่วางไว้มาผูกอย่างไม่แคร์
อิศรอยู่ในชุดเสื้อเชิร์ตขาว กางเกงดำ ผูกเนคไทด์ดำเรียบร้อย เดินถือสูทออกมาจากห้อง เดินลงบันไดไปที่ชั้นล่าง เสียงอรรถตะโกนเรียกไว้
“เจ้าอิศร นั่นแกจะไปไหน”
อิศรหันมามอง เห็นอรรถเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว แต่ยังผูกไทด์ไม่เสร็จ ยืนอยู่หัวบันได
“ฉันบอกให้แกรอไปกับฉันไง”
“ไปกับพ่อน่ะไม่มีปัญหาครับ แต่ผมกลัวว่าจะมีคนอื่นไปด้วยน่ะซี” อิศรยียวนตามประสา
“แล้วทำไม แกมีปัญหาอะไร”
“ไม่มีครับ แค่รังเกียจ... ผมไปล่ะ เจอกันที่งานครับพ่อ”
อิศรเดินออกไป อรรถถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย
สกุณาสวมเสื้อคลุม ยังไม่ได้แต่งตัว เดินมาด้านหลังอรรถ พูดอย่างไม่พอใจ
“ลูกชายคุณแข็งข้อก้าวร้าวกับฉันมากขึ้นทุกที”
“ฉันก็พยายามทำดีที่สุดแล้ว เธอเองก็น่าจะลองพยายามเอาอกเอาใจมันดู เผื่อมันจะใจอ่อนเห็นความดีเธอเข้าบ้าง”
“ฉันเป็นภรรยาของคุณนะคะ มีศักดิ์เป็นแม่เลี้ยง จะให้ฉันมาปรนนิบัติเอาอกเอาใจลูกเลี้ยง มันไม่มากไปหน่อยเหรอคะ”
“ก็ท่องเอาไว้ในใจสิ ว่าไอ้ลูกเลี้ยงคนนี้ มันมีมรดกเป็นพันล้าน แล้วก็เป็นเจ้าของบ้านที่เธอซุกหัวนอนอยู่... เผื่อมันจะทำใจได้ง่ายขึ้นบ้าง”
สกุณาสะบัดหน้าเดินกลับเข้าห้องไปอย่างขัดใจ อรรถถอนใจเหนื่อยหน่าย
ตกกลางคืนบรรยากาศที่ศาลาสวดศพนภาจรี เป็นไปอย่างหมองเศร้า ในศาลา โลงศพนภาจรีตั้งเด่นอยู่ด้านในสุด มีดอกไม้จัดเป็นสวนสวยงามอยู่หน้าศพ ที่รูปนภาจรี มีดอกไม้จัดอย่างงดงามและประณีต
ด้านประตูทางเข้าศาลา นภัสรพี นภดารา กำลังช่วยกันรับแขกผู้ใหญ่ พเยียอยู่ในชุดดำสวยสง่า ทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพช่วยรับรองแขก พาแขกผู้ใหญ่ไปนั่งที่เก้าอี้
เครื่องแต่งกายสีดำของพเยียวันนี้ไม่เปรี้ยว ดูเรียบร้อยกว่าทุกวัน เนื่องเพราะเป็นงานศพของคนระดับหม่อมราชวงศ์ ที่จะมีคนจากในวังมาเป็นแขกด้วย
ชิษณุพงศ์ เจ้าแสงโชติ และเจ้ามลุลียืนท่าทีเคร่งขรึม ถัดจากนภัสรพี 3 คน มาในฐานะญาติสนิทที่คอยช่วยรับแขกด้วย และพูดคุยกันไปด้วย
เจ้าแสงโชติเอ่ยขึ้น “คิดๆ แล้วก็ใจหาย ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้กับคุณป้าหญิงได้”
“คราวเคราะห์น่ะค่ะ เจ้าพี่”
นภดาราพูดกลบเกลื่อนไป ไม่อยากให้ใครรื้อฟื้นเรื่องนี้ แต่ชิษณุพงษ์แย้งขึ้นมา
“ผมไม่เชื่อว่าเป็นโจรปล้นจี้ธรรมดา เรื่องนี้มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น”
พเยียตวัดตามองอย่างไม่พอใจ
“ปู่ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ชิษณุ ตอนนี้ ตำรวจก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เค้ากำลังหาเบาะแสจับกุมคนร้ายอยู่ ปู่เชื่อว่าเราต้องได้ตัวมันเร็วๆ นี้ล่ะ”
พเยียได้ยิน ตกใจ ถามอย่างลืมตัว
“จริงเหรอคะ” พอนึกได้ ระงับกิริยา “ตำรวจเค้ารู้แล้วเหรอคะ ว่าไอ้คนที่ทำร้ายคุณยายหญิงเป็นใคร”
นภดาราหันมองนภัสรพีด้วยความอยากรู้สุดๆ นภัสรพียิ้มเยือกเย็น
“ยังไม่รู้ตัวแน่ชัด แต่ก็ได้เบาะแสเพิ่มมากขึ้นแล้ว”
พเยียหน้าซีด เจ้ามลุลีเสริมขึ้นอย่างเจ็บแค้น
“ดวงวิญญานของคุณป้าหญิงคงไม่ปล่อยให้มันลอยนวลหรอกค่ะ หลานว่ามันหนีไม่พ้นแน่ บาปกรรมมีจริง คนเราทำอะไรไว้ มันต้องได้อย่างนั้น หลานอยากให้ไอ้ฆาตกรมันได้รับโทษ ตายตกไปตามกัน”
นภดาราฟังแล้วอดหันไปมองหน้าพเยียไม่ได้ เห็นพเยียหน้าซีดเผือด นภดารามองลูกอย่างผิดหวัง ทั้งรักทั้งเสียใจ
ส่วนกอหญ้ากับแม่ชื่นกำลังช่วยกันจัดชากาแฟและขนมใส่ถาด เตรียมไว้บริการแขก มีสาวใช้ช่วยกันยกออกไป แม่ชื่นที่แอบเหลือบดูกอหญ้ามาตลอด เห็นปลอดคน เลยวางมือจากงาน หันมาถามกอหญ้า
“หนูกอหญ้า”
กอหญ้าหันมาหา “คะ”
“อย่าหาว่าดิฉันละลาบละล้วงเลยนะคะ...ก่อนที่คุณหญิงจะสิ้นใจ ดิฉันเห็นเธอพยายามจะพูดอะไรกับหนูซักอย่าง”
กอหญ้ามองหญิงชราเหมือนชั่งใจนิดหนึ่ง แล้วตัดสินใจว่าไว้ใจแม่ชื่นได้ “ค่ะ หนูคิดว่าคุณหญิงอยากพูดกับหนูเรื่องแหวน ดูท่าทางมันคงสำคัญกับท่านมาก”
แม่ชื่นพยักหน้ารับรู้ “ค่ะ สำคัญมาก”
กอหญ้าตื่นเต้นนิดๆ “แปลว่าแม่ชื่นทราบ ว่าทำไมคุณหญิงท่านถึงอยากรู้เรื่องแหวนของหนู...” แม่ชื่นทำหน้ายอมรับ “ทำไมเหรอคะ”
“เอาไว้ให้หนูหามันเจอก่อนดีกว่าค่ะ ถ้าแหวนวงนั้น เป็นแหวนวงเดียวกันกับที่คุณหญิงเธอคิดเอาไว้ ดิฉันจะบอกหนูทุกอย่าง”
“หนูก็พยายามอยู่ค่ะ ตอนที่หนูหมดสติไปหลังจากรถคว่ำ คุณอิศรเป็นคนเก็บแหวนเอาไว้ แต่จำไม่ได้ว่าเอาไว้ที่ไหน”
“เอาเป็นว่าหนูต้องหามันให้เจอให้เร็วที่สุดก็แล้วกันค่ะ เพราะมันสำคัญมาก สำคัญมากจริงๆ”
นภดาราเดินเข้ามาพอดี เห็นกอหญ้ากับแม่ชื่นคุยกันอย่างเคร่งเครียด แม่ชื่นชะงัก
“คุณดารามาค่ะ”
“คุยอะไรกันอยู่จ๊ะ หน้าตาเคร่งเครียด”
แม่ชื่นตัดบท “นี่คุณดาราลงมาทำไมคะ บนศาลามีอะไรขาดเหลือ ทำไมไม่ให้เด็กลงมาเอา”
“ฉันมาตามกอหญ้าน่ะจ๊ะ ตาอิศรมาถึงแล้ว ถามหาหนูใหญ่เลย”
“ค่ะ” กอหญ้าขอตัวกับนภดาราและแม่ชื่น “งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ” ก่อนจะหันมาบอกกับแม่ชื่น “จะได้พูดเรื่องสำคัญกับคุณอิศรด้วยเลย”
แม่ชื่นพยักหน้ารับ เหมือนรู้กันว่ากอหญ้าจะคุยกับอิศรเรื่องอะไร กอหญ้าเดินออกไป
นภดาราหันมาหาแม่ชื่น ถามอย่างสนใจอยากรู้จริงๆ
“แม่ชื่นคุยอะไรกับกอหญ้าเหรอคะ ฉันได้ยินว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” แม่ชื่นทำท่าจะหลบไป
นภดาราขวางไว้ มองแม่ชื่นอย่างตัดพ้อ
“เดี๋ยวนี้แม่ชื่นไม่ไว้ใจฉันแล้วเหรอคะ”
แม่ชื่นบอกอย่างจริงใจ ตัดพ้อกลายๆ “คุณดาราขา ไม่ใช่ชื่นไม่ไว้ใจนะคะ แต่เรื่องบางเรื่อง คุณไม่รู้เสียดีกว่า คุณดาราเป็นคนซื่อ ไม่ทันใครเขา ชื่นเป็นห่วงคุณ ชื่นไม่อยากให้คุณเป็นอะไรไป เหมือนคุณหญิงนภา”
แม่ชื่นพูดจบ ก็เดินเลี่ยงออกไปเลย ทิ้งนภดารายืนอึ้ง ใจคอไม่ดีอยู่คนเดียว
“ทำไมแม่ชื่นพูดแบบนี้” นภดารายิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย “คุณอาหญิงรู้เรื่องอะไรถึงได้โดนทำร้าย มันเรื่องอะไรกัน แล้วมันเกี่ยวกับพเยียหรือเปล่า”
ในศาลาสวดศพ เห็นอิศรกราบพระที่โต๊ะหมู่บูชา ก่อนจะหันไปกราบศพนภาจรี มีกอหญ้าดูแลอยู่ข้างๆ
“เสร็จแล้ว ฉันขอคุยอะไรหน่อยนะคะ”
“ได้ ฉันก็มีเรื่องอยากคุยกับเธอเหมือนกัน”
ทั้งสองพากันออกไป
อิศรกับกอหญ้านั่งคุยกันอยู่ที่มุมสงบมุมหนึ่งในวัด
“ฉันมาคิดๆ ดูแล้ว ฉันอยากให้เธอออกมาจากวังศิวาลัย”
“คุณอาดารากำลังเศร้าโศกเสียใจมาก ฉันไม่อยากทิ้งท่านตอนนี้”
“แต่วังศิวาลัยไม่ปลอดภัยแล้วตอนนี้ ถ้าคนร้ายมันเข้ามาทำร้ายคุณหญิงได้ มันก็เข้ามาทำร้ายเธอได้เหมือนกัน”
“ฉันก็คิดอย่างนั้นค่ะ ฉันถึงต้องอยู่ที่วังศิวาลัยต่อไป จนกว่าคนร้ายมันจะลงมืออีกครั้ง แล้วฉันจะจับมันให้ได้”
อิศรหงุดหงิดที่กอหญ้าดื้อ ไม่ห่วงความปลอดภัยของตัวเอง
“เธอบ้าไปแล้ว จับคนร้ายมันเป็นหน้าที่ของตำรวจ ไม่ใช่หน้าที่ของเธอ”
“แต่ฉันคิดว่าฉันช่วยได้...แล้วคุณก็ต้องช่วยฉัน”
อิศรฉงน “ยังไง”
“แหวนของฉันน่ะค่ะ” กอหญ้าบอกจริงจัง อิศรชักสีหน้าเตรียมมีเรื่อง “ถ้าฉันได้แหวนวงนั้นคืนมา เราอาจจะรู้ ว่าฆาตกรที่ฆ่าคุณหญิงนภาจรีเป็นใคร แล้วมันต้องการอะไร”
อิศรหัวเราะเยาะ “ไร้สาระ! เธอจะบอกว่าที่คนร้ายมันคิดจะฆ่าเธอ หรือคนอื่นๆ ในวังศิวาลัย เป็นเพราะมันอยากได้แหวนสับปะรังเคที่เจ้าชิษณุพงษ์มันให้เธอหยั่งงั้นเหรอ”
กอหญ้าอึ้งไป เพราะจำไม่ได้เลย
“แหวนวงนั้นเป็นของคุณชิษณุเหรอคะ”
“ก็งั้นสิ” อิศรประชด แล้วนึกเอะใจ “ก็เค้าบอกกับฉันเอง ว่าเป็นแหวนแทนใจที่เค้าให้เธอเอาไว้ ก่อนที่เธอจะความจำเสื่อม”
กอหญ้านัยน์ตาวาววาม เริ่มมีความหวัง
ครู่ต่อมา ชิษณุพงษ์มองกอหญ้าสลับกับมองอิศร ที่ยืนกอดอกทำหน้ากวนๆ อยู่ห่างออกไป แล้วตัดสินใจตอบอย่างลำบากใจ
“ไม่ใช่แหวนของฉันหรอก มันเป็นแหวนของเธอเองต่างหาก” ชิษณุพงษ์ว่า
“อ้าว” กอหญ้างง หันไปหาอิศร “ไหนคุณอิศรว่า...”
อิศรยักไหล่ ทำไม่รู้ไม่ชี้ กอหญ้าหันไปหาชิษณุพงษ์
“ฉันบอกว่าเป็นแหวนของฉัน เพราะอยากให้เค้าเชื่อ ว่าเรา... เอ่อ ...เคยเป็นคนรักกัน”
อิศรระเบิดหัวเราะออกมาอย่างดีใจ “นั่นปะไร ฉันนึกอยู่แล้ว ว่านายต้องโกหก”
ชิษณุพงษ์สงสัย “แล้วแหวนวงนั้น มันมาเกี่ยวกับเรื่องการตายของคุณย่าหญิงยังไง”
กอหญ้าถอนใจ “ฉันเองก็อธิบายไม่ได้เหมือนกัน รู้แต่ว่า มันสำคัญกับท่านมาก...มากจริงๆ”
กอหญ้าเดินไปหาอิศร ทำหน้าตาอ้อนวอน
“คุณอิศรคะ”
อิศรอารมณ์ดีมาก “โอเค รู้แล้วๆ ไม่ต้องมาอ้อน เดี๋ยวฉันจะเอามาคืนให้” กอหญ้ายิ้มออก “แต่ฉันมีเงื่อนไขนะ”
“ว่ามาเลยค่ะ”
“ฉันจะคืนแหวนให้เธอ ถ้าเธอย้ายออกจากวังศิวาลัย ไปอยู่กับฉัน...ว่าไง ตกลงไหม”
อิศรยิ้มกวนอย่างขี้โกงสุดๆ ชิษณุพงษ์ไม่พอใจ กอหญ้าอึ้งไป ครุ่นคิดว่าจะเอายังไงดี
ด้านอรรถกับสกุณาเพิ่งเดินมาที่ศาลา อรรถหันมองสกุณาที่แต่งหน้าทำผมจัดเต็ม แต่งตัวหรูเว่อร์ราวกับจะไปงานกาล่า ปากก็บ่นอย่างหงุดหงิด
“กว่าจะแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จ ...ดีนะ ที่ไอ้เจ้าอิศรมันไปก่อน ถ้ามันรอคุณ ผมคงโดนมันถอนหงอกอีกตามเคย”
“แหม ถึงจะงานศพ แต่ก็งานศพไฮโซนะคะ จะให้แต่งปอนๆ ได้ยังไง”
“ไม่ต้องถึงขนาดปอนหรอกคุณ แค่แต่งให้พอดีๆ นี่อะไร” อรรถมองกราดหัวจรดเท้า “แต่งซะหยั่งกับจะไป...”
อรรถชะงักกึก เมื่อเห็นว่าสกุณากรายมือมาแตะทรงผม เห็นแหวนเพชรวงใหม่ ดูหรูหรา
“นี่คุณซื้อเครื่องเพชรใหม่อีกแล้วเหรอเนี่ย”
สกุณาภูมิใจนำเสนอ “ได้มาถูกๆ น่ะค่ะ ไม่กี่ตังค์หรอก คนขายเค้าร้อนเงิน”
อรรถส่ายหัวอ่อนใจ
ครู่ต่อมาอรรถกับสกุณาเดินมาถึงหน้างาน นภัสรพี นภดารายืนรับแขกอยู่ด้านหน้าสองคน พเยียเดินนำแขกคนอื่นเข้าไปด้านใน
อรรถ สกุณาเข้าไปไหว้นภัสรพี นภัสรพีรับไหว้ นภดารายิ้มรับบางๆ
“สวัสดีครับคุณชาย” หันมาทักนภดารา “คุณดารา”
“ขอบคุณคุณอรรถกับคุณสกุณานะคะที่อุตส่าห์มา”
อรรถบอกกับนภัสรพี
“ผมเสียใจด้วยนะครับ ไม่คิดจริงๆ ว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้กับคุณหญิง”
สกุณาแหลมเข้ามา “คนเดี๋ยวนี้รู้หน้าไม่รู้ใจนะคะ คุณชายกับคุณดาราน่ะใจดีเกินไป เอาเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างแม่กอหญ้าเข้ามาเลี้ยงไว้” สกุณาทำทีกระซิบ “มันอาจจะเป็นสายให้โจรเข้ามาทำร้ายคุณหญิงก็ได้”
อรรถรีบเสริม “จริงครับ คุณชาย โจรมันเข้ามาล่อลวงจับตัวคุณหญิงได้ถึงในบ้าน อย่างนี้มันต้องมีคนในเป็นสาย”
นภดาราใจหล่นวูบ หายใจไม่ทั่วท้อง กลัวนภัสรพีจะสงสัยไปถึงพเยีย จึงรีบตัดบท
“อย่าคาดเดากันให้วุ่นวายไปเลยค่ะ มันไม่ดี”
“ที่คุณอรรถพูดก็มีเหตุผล” อรรถกับสกุณายิ้ม “แต่ผมไม่อยากให้ไปคิดว่าเป็นกอหญ้า...เราก็เป็นผู้ใหญ่กันทั้งนั้น น่าจะมีหลักฐานให้เพียงพอซะก่อน ไม่งั้นจะเป็นการกล่าวหากันพล่อยๆ”
อรรถกับสกุณาหุบยิ้ม เพิ่งรู้ตัวว่าถูกนภัสรพีด่า
“เชิญคุณอรรถกับคุณสกุณาข้างในดีกว่าค่ะ ใกล้จะถึงเวลาพระสวดแล้ว” หันมาทางนภัสรพี “คุณพ่อคะ เข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ”
นภัสรพีเดินนำหน้าเข้าไปในศาลา ไม่สนใจอรรถกับสกุณา
อรรถกับสกุณามองตามนภัสรพีไปอย่างแหยงๆ ก่อนจะรีบเดินตามนภดาราเข้าไป
ครู่ต่อมานภัสรพีนั่งลงที่โซฟาด้านหน้าสุดของศาลา นภดารา อรรถ และสกุณา เดินตามเข้าไปนั่งด้วย ครอบครัวชิษณุพงษ์นั่งอยู่ด้านหน้าอีกฟากหนึ่ง
ระหว่างนั้นอิศรเดินมากับกอหญ้า เห็นอรรถกับสกุณา เลยเลี่ยงไปนั่งด้านหลัง ห่างออกไป พเยียเดินถือถ้วยชาเข้ามาให้นภัสรพี พยายามจะเอาใจ
“คุณตาขา น้ำชาของคุณตาได้แล้วค่ะ”
พเยียคุกเข่าลง กำลังจะวางถ้วยชาลงบนโต๊ะที่ตั้งอยู่ด้านหน้านภัสรพี สายตาของพเยียเหลือบไปเห็นแหวนที่นิ้วมือสกุณาที่วางอยู่บนตัก พเยียชะงัก จำแหวนเพชรของนภาจรีได้ ถึงกับผงะ พเยียมองขึ้นไปเห็นต่างหูของนภาจรีอีก
สกุณายิ้มทักประจบ “คุณหนูพเยีย สวัสดีค่ะ”
พเยียมืออ่อนปล่อยถ้วยน้ำชาหลุดจากมือไม่รู้ตัว น้ำชาในถ้วยหกเลอะเทอะ กระเด็นไปโดนทั้งพเยียและสกุณา
สกุณาตกใจร้อง “ว้าย!”
นภัสรพี นภดารา และอรรถตกใจ พเยียก็ตกใจ ทำตัวไม่ถูก
พเยียละล่ำละลัก “เอ่อ พเยีย เอ่อ พเยียขอโทษนะคะ คือ...” พเยียพูดไม่ออก รู้สึกว่าอยู่ตรงนั้นไม่ได้อีกแล้ว “พเยียขอโทษค่ะ”
พเยียรีบเดินออกไปอย่างเร็ว
นภดารามองตามพเยียอย่างแปลกใจ แล้วหันมาดูสกุณา แล้วก็ต้องชะงัก นภดาราเห็นสกุณาเอามือปัดชุดที่เปียกปอนของตัวเองอย่างหงุดหงิด เห็นแหวนเพชรวงใหญ่ชัดเจน นภดาราอึ้ง ตะลึงไป
“ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ คุณชาย เปื้อนหมดแล้ว”
สกุณาลุกไป นภดารามองตาม
ที่มุมหนึ่งนอกศาลา พเยียมือไม้สั่น ลนลาน พยายามกดโทรศัพท์หานพดล แต่ไม่มีคนรับพเยียเครียดจัด
“อีพี่นพบ้า ทำอะไรอยู่ ทำไมไม่รับ...โธ่เว้ย”
พเยียพยายามกดโทรศัพท์ต่ออย่างบ้าคลั่ง
ทางด้านสกุณายืนหน้าหงิกอยู่ที่หน้าอ่างล้างมือในห้องน้ำ พยายามเอาผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำเช็ดรอยเปื้อนที่ชุด
“นังเด็กบ้า ซุ่มซ่ามไม่ดูตาม้าตาเรือ ถ้าชุดฉันเจ๊งขึ้นมาจะทำยังไงเนี่ย”
นภดาราเดินตามเข้ามา สกุณาหันไปเห็นตกใจ รีบปรับโหมดอารมณ์จ๊ะจ๋าทันที
“อุ๊ย คุณดารา” เห็นสีหน้านภดาราดูเครียด “เข้ามาทำไมคะ มีอะไรรึเปล่า”
นั่นเองนภดาราจึงได้สติ พยายามทำสีหน้าปกติ
“เอ่อ ฉันต้องขอโทษแทนลูกสาวด้วยค่ะ ที่ทำให้ชุดสวยๆ ต้องเลอะเทอะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณหนูพเยียเธอไม่ได้ตั้งใจอยู่แล้ว”
นภดารามองที่แหวน “แหวนของคุณสกุณาสวยจังเลยนะคะ”
สกุณาไม่รู้ตัวสักนิด มองแหวนแล้วยิ้มยืดอย่างภูมิใจ แถมยกขึ้นแตะทรงผม โชว์ต่างหูที่เข้าชุดกัน
“อุ๊ย ขอบคุณค่ะ” แกล้งถ่อมตัว “ของใส่เล่นๆ น่ะค่ะ ไม่ได้หรูหราอะไร”
“เพชรน้ำสวยเหลือเกิน ขอดิฉันดูใกล้ๆ หน่อยได้ไหมคะ” นภดาราว่า
สกุณากรีดมือไปให้ดู นภดาราดูแล้วนิ่งไป มั่นใจ
“สวยจริงๆ ค่ะ จะรังเกียจไหมคะ ถ้าฉันจะถาม ว่าซื้อมาจากที่ไหน”
สกุณายิ่งภูมิใจ “แหม...ไอ้เรื่องแบบนี้ มันเป็นความลับของผู้หญิงเรานะคะคุณดารา”
สกุณายิ้ม หัวเราะคิกคัก นภดาราพยายามสะกดกลั้นความตื่นเต้น ทำสีหน้าปกติ
กลางดึกสองพ่อลูกอยู่ในห้องนอนนภาจรีที่วังศิวาลัย นภัสรพีหมุนรหัสตู้เซฟส่วนตัวของนภาจรี นภดารายืนมองอย่างใจจดใจจ่อ
นภัสรพีเปิดประตูตู้เซฟ เห็นกล่องเครื่องเพชรวางเป็นชุดๆ เต็มไปหมด นภัสรพีรีบหยิบออกมา นภดาราช่วยเปิดเครื่องเพชรออกมาดูทีละกล่องจนครบ ไม่มีอันไหนที่เหมือนของสกุณา
“ไม่มีจริงๆ ค่ะ คุณพ่อ แหวนวงนั้นกับต่างหูของคุณอาหญิงหายไปจริงๆ”
“ลูกแน่ใจนะ บางทีมันอาจจะแค่คล้ายกันก็ได้”
“ลูกแน่ใจค่ะคุณพ่อ ทั้งแหวน ทั้งต่างหู คุณอาหญิงสั่งทำพิเศษ ไม่มีทางไปเหมือนกับของใครแน่ๆ แล้วที่สำคัญ คุณสกุณาเธอเพิ่งซื้อมาได้ไม่กี่วันนี่เอง แต่เธอไม่ยอมบอกว่าได้มาจากไหน”
“คุณสกุณาคงไม่ได้ตั้งใจปิดบัง เธอไม่รู้หรอกว่าเครื่องเพชรนั่นเป็นของหญิงนภา ไม่งั้นคงไม่กล้าใส่มาให้เราเห็น พ่อว่าเธอคงซื้อมาจากคนที่รับซื้อของโจรอีกที”
“แล้วเราจะทำยังไงกันต่อดีล่ะคะ คุณพ่อ”
“ลูกอย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับใครก็แล้วกัน แล้วก็ไม่ต้องไปถามคุณสกุณาด้วย พ่อไม่อยากให้คนร้ายมันไหวตัวทัน ลองเรามีเบาะแสอย่างนี้ อีกไม่นานต้องจับตัวคนร้ายได้แน่” นภัสรพีกำชับ
สองพ่อลูกไม่รู้ว่าที่นอกห้อง พเยียแอบเงี่ยหูแนบประตูฟังอยู่ ด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
โปรดติดตาม "แผนรักแผนร้าย" ตอนที่ 9