บ่วงวันวาร ตอนที่ ๒
ไม่นานหลังจากนั้น นางด้วงเดินนำหน้าบัวมาที่ข้างทาง
“พี่ด้วงจะพาฉันไปไหนจ๊ะ” บัวถามด้วยความสงสัย
“เดี๋ยวก็รู้” นางด้วงตอบห้วนๆ
“แล้วเราไม่ไปบ้านท่านเจ้าคุณโกสินทร์แล้วรึจ๊ะ”
นางด้วงเริ่มหงุดหงิดตอบขอไปที “ไป”
บัวยังสงสัยอยู่อย่างนั้น “อ้าว..แล้วเราเดินย้อนกลับมาทางนี้ทำไมละจ๊ะ”
นางด้วงฉุน หยิกเนื้อตัวบัวทันที “เอ๊ นังนี่ เลิกถามเซ้าซี้สักทีได้มั้ย บอกให้เดินตามมา..ก็เดินตามมาเร็วๆ ไม่ต้องถาม รำคาญ”
บัวนิ่งเงียบ รีบก้มหน้าก้มตาเดินตามนางด้วงไป
ขณะที่สองขบวนเดินตีคู่กันไปยังเรือนพระยาโกสินทร์ นางด้วงพาบัวเดินย้อนมาท้ายขบวน แล้วนางด้วงก็ปล่อยให้ขบวนของคุณชื่นเดินไปจนพ้นหน้า เหลือแค่บ่าวที่เดินถือถาดรั้งท้าย แล้วจู่ๆ นางด้วงผลักบัวเต็มแรง
บัวตกใจร้อง “ว้าย”
แหละเพราะบัวไม่ทันรู้ตัว จึงเสียหลักถลาเข้าไปชนบ่าวในขบวนของคุณชื่นคนสุดท้ายเต็มแรง จนบ่าวผู้นั้นเซถลาเข้าไปหาบ่าวคนที่อยู่เดินก่อนหน้า บ่าวคนที่เดินอยู่ก่อนก็เสียหลัก ถลาไปหาบ่าวอีกคน บ่าวในขบวนคุณชื่นจึงล้มเหมือนโดมิโน ข้าวของสำหรับอาหารคาวหวานที่ขนเอามาหมายจะไปช่วยงานบ้านพระยาโกสินทร์ จึงหกกระจายเสียงดังเปรื่องปร่างไปทั่วบริเวณ
พอแผนสำเร็จนางด้วงรีบวิ่งกลับเข้าไปในขบวนของพิศตามเดิม ทิ้งบัวไว้อย่างหน้าตาเฉย พิศหันมาดูขบวนของชื่นที่ล้มระเนระนาดแล้วยิ้มชอบใจ กระซิบบอกนางด้วง
“เอ็งทำดีมากนังด้วง”
นังด้วงจอมสอพลอ ยิ้มปลื้มที่ได้รับคำชม แล้วชะงักเมื่อคุณชื่นถามเสียงดังขึ้นมา
“นี่มันอะไรกันเนี่ย” พลางชี้หน้าบัง “เอ็งเป็นใคร”
บัวตกใจจนพูดอะไรไม่ออก ชื่นตะคอกถามซ้ำ
“เอ็งเป็นบ่าวบ้านไหน”
บัวกลัวมาก “เอ่อ..บ่าว..เป็นบ่าวของคุณพิศเจ้าค่ะ”
ชื่นหันขวับไปมองพิศที่หัวขบวนทันที พิศทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เดินเข้ามา
“ตายจริง..นังบัว..ทำไมเอ็งซุ่มซ่ามอย่างนี้ ดูสิ..ทำสำรับกับข้าวบ้านนี้หกกระจายเสียหายไม่เหลือดีเลย”
“แต่...” บัวอึกอัก มองนางด้วง “พี่ด้วงผลักบ่าวนี่เจ้าคะ”
แต่นางด้วงกลับโบกไม้โบกมือทำท่าปฏิเสธพัลวัน พิศรับลูกนางด้วงทันที
“นังด้วงมันจะผลักเอ็งได้อย่างไรอีบัว ในเมื่อนางด้วงมันเดินอยู่ที่หัวขบวนโน่นกับข้า เอ็งผิดแล้วอย่าคิดโยนบาปให้ผู้อื่นสิ..” หันมาทางชื่น “นังนี่มันเพิ่งมาเป็นทาสขัดดอกที่เรือนของฉันได้ไม่กี่วัน มันก็เลยเซ่อซ่าซุ่มซ่ามอย่างนี้แหละ
“แต่บ่าวของหล่อนทำข้าวของ ของฉันเสียหายหมดอย่างนี้ หล่อนจะว่าอย่างไร” ชื่นพูดด้วยสุ้มเสียงเหมือนจะเอาเรื่อง
พิศทำท่าคิด ท่าทางยียวน “จะว่าอย่างไรรึ ? อืม..ในเมื่อบ่าวของฉันเป็นคนผิด ถ้าเช่นนั้นฉันก็ยกให้หล่อนเอาตัวมันไปลงโทษก็แล้วกัน จะเฆี่ยนจะตีมันให้ตายคาหวายอย่างไรก็แล้วแต่ใจเถิด ฉันยกให้”
พูดจบพิศก็เดินกลับเข้าขบวนแล้วเดินนำขบวนไปที่บ้านพระยาโกสินทร์ต่อไปโดยไม่สนใจบัวหรือชื่นอีก ชื่นมองตามพิศไปอย่างเคียดแค้น แต่ทำอะไรไม่ได้
บัวที่ยังนั่งอยู่กับพื้น น้ำตาปริ่ม รู้แล้วว่าถูกพิศและนางด้วงใช้เป็นเครื่องมือแกล้งชื่น และโยนความผิดให้ บัวได้แต่เจ็บใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่นั่งอัดอั้นน้ำตาปริ่มอยู่ตรงนั้นเอง
บนเรือนพระยาโกสินทร์ ฉัตรเดินเข้ามายืนกับพ่อที่กำลังรอรับแขกอยู่ พระยาโกสินทร์ถาม“ฉายล่ะ..ฉัตร”
“เมื่อกี้เห็นยังช่วยแอนนาแต่งตัวอยู่เลยขอรับเจ้าคุณพ่อ” ฉัตรตอบ
พระยาโกสินทร์ส่ายหน้า แล้วฉายก็พาแอนนาเข้ามา แอนนาใส่ชุดฝรั่งเต็มยศ
พระยาโกสินทร์กับฉัตรมองอย่างอึ้งๆ พอดีกับที่พระยาสมานมาถึงเสียก่อน
“นั่น..ท่านเจ้าคุณสมานมาแล้ว”
พระยาสมานกับพระยาโกสินทร์ทักทายกันอย่างกันเองด้วยคุ้นเคยกันอยู่แล้ว
“กระผมรีบมาแต่หัววัน เพราะลูกพิศของกระผมเอากับข้าวคาวหวานมาช่วยงานด้วยขอรับ”
ขบวนของพิศมาถึง พิศรีบไหว้พระยาโกสินทร์อย่างเรียบร้อย พระยาโกสินทร์มองดูกิริยาท่าทางของพิศอย่างพึงพอใจ
“ขอบใจนะหลาน”
“ค่ะ”
พระโกสินทร์แนะนำบุตรชายอย่างเป็นทางการ “ฉัตร ฉาย มารู้จักน้องไว้หน่อย นี่ลูกชายคนโตของลุง ชื่อฉัตร ส่วนคนเล็กนั่น ชื่อฉายจ้ะ”
พระยาสมานแทรกขึ้น “นี่..แม่พิศ”
พิศไหว้ฉัตรกับฉายอย่างเรียบร้อยแช่มช้อย แล้วเงยหน้ามองหน้าฉัตรเต็มตา แล้วยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน ฉัตรยิ้มตอบตามมารยาท
“จะให้พิศเอากับข้าวไปที่ไหนดีคะ”
พระยาโกสินทร์เอ่ยขึ้น “ฉายแน่ะ พาบ่าวไปครัวที ส่วนฉัตรก็พาแม่พิศกับท่านเจ้าคุณสมานเข้าไปในบ้านก่อนแน่ะ”
ฉัตรกับฉายรับพร้อมๆ กัน “ขอรับ”
จากนั้นฉัตรเดินพาพิศกับพระยาสมานไปที่บ้าน ส่วนฉายก็พาพวกบ่าวเดินไปหลังบ้านอีกทางหนึ่ง สักครู่บัวก็เดินเซ็งๆ เข้ามา แล้วเดินตามบ่าวบ้านตัวเองไปหลังบ้านด้วย
ฉัตรกับบัวจึงยังแคล้วคลาดไม่ได้เจอหน้ากันสักที
ส่วนบนเรือนพระยาโกสินทร์ยามนั้น ทุกคนยืนคุยกันอยู่ พระยาสมานเอ่ยขึ้นอย่างชื่นชม
“น่าปลื้มใจแทนท่านเจ้าคุณนะขอรับที่ลูกชายร่ำเรียนจนจบมาจากต่างประเทศอย่างนี้ทั้งสองคน บ้านเมืองเรากำลังต้องการคนหนุ่มไฟแรง ความรู้ดี มาช่วยพัฒนาบ้านเมืองตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าหลวงท่านได้ทรงวางรากฐานไว้อีกมากทีเดียว...เสียดายจริงที่กระผมมีแต่ลูกสาวกับเขาอยู่คนเดียว”
พระยาโกสินทร์พูดและยิ้มอย่างมีนัยบางอย่าง “แต่ผู้ชายน่ะ..จะก้าวไปข้างหน้า ทำงานรับใช้บ้านเมืองได้ดีก็ควรจะต้องมีผู้หญิงสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง..จริงมั้ยละขอรับท่านเจ้าคุณสมาน”
พระยาสมานรู้นัยกัน “จริงขอรับ”
พระยาโกสินทร์บอกฉัตร “ฉัตรพาน้องไปดูแผ่นเสียงที่เจ้าเอากลับมาจากรุสเซียสิ”
“ขอรับ” ฉัตรหันมาพูดเชื้อเชิญพิศ “เชิญ...”
พระยาโกสินทร์ และพระยาสมานมองตามฉัตรกับพิศไป สีหน้าปลาบปลื้มมาก
“แม่พิศ..ลูกสาวท่านเจ้าคุณนี่..งามเหมือนแม่จริงๆ”
“กระผมก็หวังว่า...แม่พิศจะมีบุญวาสนาได้คู่ครองที่ดีนะขอรับ กระผมก็จะได้หมดห่วง เพราะกระผมก็มีลูกกับเขาก็แม่พิศคนเดียวนี่ละขอรับ”
ระหว่างนั้นฉายกับแอนนาเดินผ่านไป เห็นสองคนนั่นเหมือนเดินเถียงอะไรกันอยู่ แต่พอเจอ
แขกผู้ใหญ่ ฉายก็ยิ้มทักทายตามมารยาท แล้วแนะนำแอนนา แต่แอนนาแค่พยักหน้ารับ แขกผู้ใหญ่ท่านนั้นที่เตรียมจะยกมือขึ้นรับไหว้ ก็เลยเก้อๆ ไป พระยาโกสินทร์มองแล้วถอนใจ
“กระผมก็อยากให้ลูกได้คู่ครองที่ดีเหมือนกัน เพราะหากว่าเลือกผิด ก็คงจะเป็นทุกข์ไปตลอดชีวิตทีเดียว”
พระยาสมานพยักหน้าเข้าใจ
ตรงโถงกลางบนเรือนขณะนั้น เห็นมือชายคนหนึ่งกำลังบรรจงวางเข็มเล่นแผ่นเสียง ลงบนจานแผ่นเสียงอย่างเบามือ เสียงเพลงค่อยๆ ดังขึ้น เป็นเพลงรัสเซียทำนองคึกคัก
ที่แท้เจ้าของมือนั้นคือฉัตร พิศยืนอยู่ข้างๆ ยืนมองแผ่นเสียงด้วยความตื่นตาตื่นใจ
“เครื่องนั่นเขาเรียกว่าอะไรรึคะคุณฉัตร”
“บ้างก็เรียกว่าจานเสียง บ้างก็เรียกว่าแผ่นเสียง เพราะแผ่นที่เล่นเป็นเพลงมีลักษณะเป็นแผ่น คล้ายๆ จาน ที่รุสเซียโน่นมีใช้กันแพร่หลายทีเดียว”
“เพลงสนุกดีทีเดียวนะคะ”
พิศและแขกคนอื่นๆ ยืนฟังเสียงจากแผ่นเสียงกันอย่างเพลิดเพลิน
ขณะที่บัวกำลังล้างเนื้อล้างตัว ที่เปื้อนกับข้าวจากบ่าวในขบวนคุณชื่นตอนที่ชนกันล้มอยู่ที่หลังเรือนพระยาโกสินทร์ นั้น บัวได้ยินเสียงเพลงแปลกหูดังแว่วมาก็ชะงักฟัง แล้วชะเง้อมองขึ้นไปบนเรือน
บัวมองไปเห็นผู้คนยืนมุงดูอะไรบางอย่างกันอยู่ในระยะไกลๆ และร่างของฉัตรถูกบังจนมิด
บัวขยับตัวจะไปดู แต่ยังไม่ทันจะเดินไป นางด้วงก็จิกตัวไว้
“เอ้า..เร็วๆ เข้าสิยะนังบัว เป็นขี้ข้าเขา ก็ต้องทำงาน จะมัวมานั่งกะร่อยกะหริบอะไรอยู่ได้ยังไงยะ เร็วๆ”
บัวเช็ดตัวแล้วค่อยๆ เดินตามนางด้วงไปช่วยจัดสำรับกับข้าวขึ้นเสิร์ฟแขกบนเรือน
เพลงจากแผ่นเสียงจบลง คราวนี้ฉัตรเปลี่ยนเป็นเพลงช้า ฉายเดินเข้าไปพูดอะไรบางอย่างกับแอนนา แอนนาเดินออกจากห้องไป
พระยาโกสินทร์สงสัย “แอนนาไปไหนล่ะนั่น”
ฉายยิ้ม “ประเดี๋ยวเจ้าคุณพ่อก็ทราบขอรับ”
ครู่ต่อมาแอนนาเดินกลับเข้ามาใหม่พร้อมไวโอลิน เธอเล่นไวโอลินไปพร้อมๆ กับเพลงจากแผ่นเสียงที่ฉัตรเปิดอยู่ สักครู่เพลงจากแผ่นเสียงจบ
แอนนาเริ่มสีไวโอลินเพลงใหม่ แขกคนอื่นๆ ต่างมองดูแหม่มฝรั่งสีไวโอลินอย่างตื่นตาตื่นใจ
ขณะเดียวกันบัว นางด้วง และบ่าวเรือนพระยาสมานยังช่วยกันจัดสำรับอยู่ ระหว่างนั้นบ่าวเรือนพระยาโกสินทร์วิ่งเข้ามา
“ไปดูคุณแหม่มฝรั่งบนเรือนสีซอฝรั่งกันเร็ว” บ่าวคนนั้นบอกด้วยอาการเนื้อเต้น
นางด้วงและบ่าวคนอื่นๆ ตื่นเต้นตามยกใหญ่ แล้วพากันละงานในมือวิ่งไปที่เรือน บัวจะไปด้วย แต่นางด้วงสะกิดไว้
“เอ็งไม่ต้องไป เฝ้าสำรับอยู่ที่นี่แหละ ประเดี๋ยวแมวมาเอาไปกินหมด” พูดจบคำแล้วนางด้วงก็เดินออกไปกับบ่าวคนอื่น
บัวทำหน้าเซ็ง ไม่มีโอกาสเห็นอะไรกับใครเขาเลย
แอนนาสีไวโอลินด้วยลีลาอันสวยงามแปลกตา นางด้วงพาบ่าวคนอื่นๆ มาแอบดูอยู่ที่ประตู มีสีหน้าตื่นเต้น ครั้นพอเพลงจบ แขกเหรื่อตบมือให้แอนนากันอื้ออึง แอนนาโค้งรับเสียงตบมือในมาดอย่างฝรั่งจ๋า
พระยาสมานเดินเข้าไปหาพระยาโกสินทร์
“แหม่มสีซอฝรั่งได้ไพเราะจริง” พลางหันไปเครื่องเล่นมองแผ่นเสียง “จานเสียงนี่..ก็ช่างมหัศจรรย์เหลือใจ”
“ขอบพระคุณขอรับ” ฉัตรยิ้มแย้ม
“คุณฉัตรมีสิ่งอื่นที่นำติดตัวกลับมาจากประเทศรุสเซียอีกมั้ยคะ ขอพิศชมเป็นบุญตาหน่อยได้มั้ยคะ” พิศเอ่ยถามขึ้น
ฉัตรนิ่งคิด ฉายเข้ามา
“กล่องดนตรีไงขอรับพี่ฉัตร”
ฉัตรยิ้ม แล้วบอกกับพิศ “รอสักประเดี๋ยวนะคุณพิศ”
พิศเยื้อนยิ้ม “ค่ะ”
ฉัตรเดินไปหยิบกล่องดนตรี ๒ อันมา แล้วเอากลับมา ผู้คนเข้ามากลุ้มรุมดูด้วยความสนใจ
“ฝรั่งเรียกว่า “กล่องดนตรี” ขอรับ เวลาต้องการจะฟังเพลง ก็จะต้องไขลานตรงนี้ก่อน”
พลางฉัตรไขลานกล่องดนตรีโชว์แขก สักพักเสียงดนตรีก็ดังออกมา แขกทุกคนเงียบกริบ ตั้งใจฟังเสียงเพลงจากกล่องดนตรีกันใหญ่
เวลาเดียวกัน บัวนั่งเฝ้าสำรับกับข้าวอยู่คนเดียวอย่างเซ็งๆ แต่ครั้นพอได้ยินเสียงเพลงกรุ๋งกริ๋งจากกล่องดนตรีดังแว่วมาจากบนเรือนก็ตื่นเต้น ค่อยๆ ลุกเดินตามเสียงเพลงไป แต่ก็ยังห่วงสำรับกับข้าวอยู่เลยเหลียวกลับมามอง เมื่อเห็นว่าไม่มีแมวหรือตัวอะไรจะมาจกกับข้าวไป บัวก็เลยเดินไปทางเสียงเพลงอย่างเงียบๆ โดยเลี่ยงไปอีกทางที่ไม่ใช่ทางเดียวกับนางด้วงอยู่
ที่ใต้ถุนเรือน ที่มีช่องมองจากนอกเรือนเข้าไปในเรือนได้ บัวมายืนแอบดูเข้าไปในเรือนอย่างเงียบๆ
บัวเห็นเหตุการณ์ในเรือนไม่ค่อยถนัดนัก แต่เห็นว่าผู้คนกำลังมุงดูอะไรสักอย่าง แล้วมีเสียงเพลงกรุ๋งกริ๋งดังแว่วมา
บัวนิ่งฟังเสียงนั้น ด้วยสีหน้าตื่นเต้น พยายามจะชะเง้อมองให้ชัดๆ
ส่วนบนเรือนผู้คนกำลังมุงดู และฟังเสียงเพลงจากกล่องดนตรีในมือฉัตรกันอย่างตื่นเต้นและเห็นเป็นของแปลก ฉัตรหยิบกล่องดนตรีอีกอันขึ้นมาลองไขอีก
“ส่วนกล่องดนตรีอันนี้ เมื่อไขลานแล้ว ก็จะได้เพลงที่ไม่เหมือนกับกล่องโน้นขอรับ” ฉัตรกล่าว
ทุกคนเงียบฟังเสียงจากกล่องดนตรีอันที่ ๒ ฉัตรส่งกล่องดนตรีให้พิศลองไขดูเอง พิศรับไปแล้วลองไขดู ด้วยสีหน้าตื่นเต้น ฉัตรมองแล้วยิ้มขำๆ แล้วตาก็มองเลยออกไปด้านนอกเรือน
จังหวะนั้นฉัตรเห็นเหมือนมีใครบางคนมาด้อมๆ มองๆ แอบดูอยู่ตรงช่องหน้าต่าง ฉัตรขมวดคิ้วสงสัย แล้วเลยค่อยๆ เดินเลี่ยงออกมาจากกลุ่มผู้คน แล้วเดินลงจากเรือนไปโดยที่ไม่มีใครทันสังเกต เพราะมัวแต่ตื่นเต้นอยู่กับกล่องดนตรีกัน
ทางด้านบัวยังคงพยายามจะชะเง้อมองจากช่องหน้าต่าง อยากจะรู้ว่าเสียงเพลงกรุ๋งกริ๋งนั้นดังมาจากที่ใด แต่ก็ไม่เห็นสักที แล้วจู่ๆ ก็มีมือของใครคนหนึ่งมาจับที่บ่า
“มาแอบดูอะไรอยู่ตรงนี้”
บัวหันขวับมาอย่างตกใจ ยิ่งเมื่อเห็นว่าคนที่มาจับบ่าเธอนั้นคือฉัตรก็ตกใจมาก
“คุณฉัตร”
ฉัตรเองก็ตกใจไม่แพ้กัน “แม่บัว” ชายหนุ่มจับสองบ่าของบัวให้หันมามองหน้ากันชัดๆ “แม่บัวจริงๆ ด้วย แม่บัวมาที่นี่ได้ยังไง”
บัวมีสีหน้าสลดลงขณะตอบ “ฉันมากับคุณพิศจ้ะ..เอ้อ..เจ้าค่ะ”
ขณะเดียวกันพิศเริ่มสังเกตเห็นว่าฉัตรหายไป จึงเหลียวหาไปรอบๆ แต่ไม่เห็นฉัตรอยู่บนเรือนเลย พิศขมวดคิ้ว
ฉัตรมีสีหน้าฉงน
“ทำไมถึงมากับคุณพิศได้ แม่บัวเป็นญาติกับคุณพิศเธอรึ ถ้าเช่นนั้นทำไมไม่ขึ้นไปบนเรือน”
บัวปฏิเสธ “ไม่ได้เจ้าค่ะ”
ฉัตรยิ่งงง “ทำไมจะขึ้นไม่ได้ นี่เรือนฉันเอง มาสิ..ฉันจะพาบัวไปรู้จักกับเจ้าคุณพ่อ กับเจ้าฉาย..น้องชายฉัน”
“ฉันขึ้นไปบนเรือนไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ขืนขึ้นไป..คงโดนพี่ด้วงเล่นงานตายเลย”
ฉัตรสงสัยหนัก “ใคร..ด้วง แล้วทำไมเขาจะต้องเล่นงานแม่บัวด้วยล่ะ”
“ก็ฉันเป็นแค่ทาสนี่เจ้าคะ”
พอฟังบัวจบฉัตรตกใจมาก “ทาส แม่บัวจะเป็นทาสได้ยังไง ก็...”
บัวขัดขึ้น น้ำตาปริ่ม “แต่มันก็เป็นไปแล้วเจ้าค่ะ ฉันกับพ่อถูกโจรปล้นจนหมดเนื้อหมดตัว ไม่มีอัฐมาจ่ายค่าเช่าที่นาท่านเจ้าคุณสมาน ฉันก็เลยต้องมาเป็นทาสขัดดอกเขาอย่างนี้แหละเจ้าค่ะ”
ฉัตรอึ้ง มองดูบัวก้มหน้าน้ำตาปริ่ม ในที่สุดฉัตรอดใจไม่ไหวเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้บัว
จังหวะนั้นพิศเดินออกมาตามหาฉัตรพอดี
บ่วงวันวาร ตอนที่ ๒ (ต่อ)
พิศมองไปเห็นด้านหลังฉัตรจึงร้องเรียกไว้
“คุณฉัตรคะ”
ฉัตรได้ยินจึงหันมามอง พิศถามด้วยความแปลกใจ
“ทำไมมาอยู่หลังเรือนนี่ล่ะคะ”
ฉัตรไม่ตอบ หันกลับไปมองบัว ทว่าฉัตรไม่เห็นบัวอยู่ตรงนั้นแล้ว
ฉัตรหน้าเหวอ แล้วตั้งสติ พยายามทำหน้าและท่าทางให้เป็นปกติ ก่อนจะหันกลับไปทางพิศ
“ลงมาดูอะไรหน่อยน่ะ” ฉัตรว่า พลางเดินตรงไปหาพิศ “แล้วคุณพิศลงมาทำอะไรที่นี่ล่ะ”
“พิศก็ลงมาหาคุณฉัตรน่ะสิคะ ขึ้นเรือนเถิดค่ะ แขกอื่นเริ่มถามหาคุณฉัตรกันแล้วค่ะ”
ฉัตรพยักหน้ารับ แล้วเดินเคียงคู่กับพิศขึ้นเรือนไป แต่ไม่วายแอบเหลียวหลังกลับมามองตรงที่ที่บัวเคยยืนอยู่ แต่ก็ไม่เห็นบัวแล้ว ฉัตรพยายามกวาดตาไปรอบๆ โดยที่ไม่ให้พิศสงสัย แต่ก็ไม่เห็นบัวในสายตาเลย ฉัตรเม้มปาก แล้วเดินหน้านิ่งกลับขึ้นเรือนไป
พอเห็นว่าฉัตรเดินลับตัวไปแล้ว บัวที่เข้าไปมุดแอบอยู่ใต้ถุนเรือน หยากไย่ติดเต็มหัวไปหมด จึงชะเง้อมองตามหลังฉัตรกับพิศไป บัวถอนใจโล่งอกที่หลบพิศทัน แล้วก็หน้าเศร้าอีกครั้งเมื่อตระหนักถึงฐานะที่แตกต่างกันอย่างมากระหว่างเธอกับฉัตร บัวถอนใจยาว
เวลาผ่านไป พระอาทิตย์โรยแสงลงมาก ในยามบ่ายคล้อย เจียนเย็นย่ำ แขกเหรื่อเริ่มทยอยลากลับ
พระยาสมานเอ่ยกับพระยาโกสินทร์ “แหม..วันนี้งานสนุกจริงๆ ขอรับ กระผมต้องขอแสดงความยินดีกับท่านเจ้าคุณอีกครั้ง..ที่ลูกชายทั้งสองร่ำเรียนสำเร็จ ได้กลับมารับใช้พระพุทธเจ้าหลวงอย่างที่ตั้งใจ แล้วก็หวังว่า...” คำพูดต่อมาพระยาสมานพูดอย่างเป็นนัย “เราสองบ้าน..คงได้มีโอกาสสังสรรค์กันอีกนะขอรับ”
พระยาโกสินทร์รู้ทันกัน “แน่นอน...” แล้วหันไปบอกกับฉัตร “ฉัตรไปส่งท่านเจ้าคุณสมานกับน้องแทนพ่อทีสิ”
ฉัตรรับคำ “ขอรับ”
พิศและพระยาสมานยกมือไหว้พระยาโกสินทร์ แล้วรับไหว้ฉายกับแอนนา ครั้นพอร่ำลากันเสร็จฉัตรก็เดินไปกับพระยาสมานและพิศ พระยาโกสินทร์มองตามแล้วยิ้มอย่างชอบอกชอบใจ หวังอยากให้ฉัตรกับพิศได้ลงเอยกัน
พระยาโกสินทร์เอ่ยกับฉายถามความเห็น “ฉายเห็นเป็นยังไง”
ฉายย้อนถาม “พี่ฉัตรกับคุณพิศน่ะรึขอรับ”
พระยาโกสินทร์พยักหน้ารับว่าใช่
“แล้วเจ้าคุณพ่อคิดว่าอย่างไรเล่าขอรับ” ฉายถามอีก
พระยาโกสินทร์ยิ้มอย่างพึงใจ “สมกันมาก”
ฉายลอบถอนใจใหญ่ หนักใจแทนฉัตรจริงๆ
ขณะที่พิศและพระยาสมานนั่งบนรถเจ๊กที่ลากนำไป พิศแอบเหลียวมามองดูฉัตรที่ยืนส่งอยู่ที่หน้าประตูบ้าน พิศยิ้มให้ฉัตร ฉัตรยิ้มตอบ พิศทำท่าเขินอายแล้วหันกลับไป ฉัตรรีบเขม้นมองหาบัวในหมู่บ่าวของขบวนพิศ
แล้วฉัตรก็แลเห็นบัวเดินก้มหน้าปะปนอยู่ในหมู่บ่าว จังหวะเดียวกันนั้นบัวก็หันมามองฉัตร ด้วยแววตาเจ็บช้ำในสถานภาพที่เปลี่ยนไปอย่างมาก หลังจากพบกันครั้งก่อน
ฉัตรทอดสายมองบัวด้วยแววตาเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง บัวหันกลับไปก้มเดินตามบ่าวคนอื่นๆไป ฉัตรมองตามส่งจนบัวลับตา นายทหารหนุ่มรูปงามถอนใจด้วยความกลัดกลุ้มแล้วเดินเร็วๆ กลับเข้าไปในบ้าน
ครู่ต่อมาฉัตรเดินเร็วๆ เข้ามาบนเรือน
“ฉาย มานี่หน่อย พี่มีอะไรจะคุยด้วย”
ฉัตรดึงตัวฉายให้เดินไปด้วยกัน พระยาโกสินทร์มองตามแล้วหัวเราะคิดไปอีกทาง ขณะที่พูดกับนายสน
“ท่าทางลูกชายคนโตของข้าจะตกหลุมรักผู้หญิงเสียแล้วไอ้สน ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
อนิจจา...ท่านเจ้าคุณเข้าใจผิดคิดว่าฉัตรหลงรักพิศ
ฉัตรลากตัวฉายเข้ามาอีกมุมหนึ่งบนเรือน
“มีอะไรหรือขอรับพี่ฉัตร” ฉายงวยงง
“วันนี้พี่เจอแม่บัว” ฉัตรบอก
ฉายยังงงอยู่ “ใครขอรับ”
“ผู้หญิงที่พี่ช่วยไว้เมื่อตอนไปหัวเมือง”
ฉายยิ้มนึกออก “อ้าว...หล่อนมาร่วมงานด้วยหรือขอรับ ทำไมพี่ฉายไม่พาหล่อนเข้าไปแนะนำตัวกับเจ้าคุณพ่อละขอรับ”
“พี่ทำไม่ได้” ฉัตรมีสีหน้ากลัดกลุ้ม
“ทำไมล่ะขอรับ อ้อ..อ๋อ..เข้าใจละ พี่เกรงใจท่านเจ้าคุณสมานกับคุณพิศละสิ”
“ไม่ใช่ แม่บัวไม่ได้มาร่วมงานในฐานะแขกรับเชิญ แต่หล่อนมาในฐานะทาส” ฉัตรหน้าสลดลง
“ทาส” ฉายอึ้งไป
ฉัตรบอกต่อ “ทาสขัดดอกของคุณพิศ”
ฉายส่ายหน้าอย่างเซ็งสุดๆ “โธ่”
ฉัตรยิ่งกลุ้มใจ “แค่แม่บัวเป็นหญิงชาวบ้าน เจ้าคุณพ่อก็ไม่เห็นดีเห็นงามด้วยอยู่แล้วถ้าพี่จะชอบหล่อน แต่นี่..หล่อนเป็นทาส เจ้าคุณพ่อไม่ยอมรับหล่อนแน่ๆ”
ฉายคิดอยู่สักครู่แล้วบอกฉัตรด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“กระผมคิดว่าพี่ฉัตรควรจะตัดใจจากแม่บัวเสียขอรับ”
ฉัตรยืนกราน “ไม่! พี่จะไม่มีวันตัดใจจากแม่บัว”
“แต่เรื่องระหว่างพี่ฉัตรกับแม่บัว กระผมไม่เห็นทางเป็นไปได้เลย”
ฉัตรนิ่งเงียบไปเลย ฉายมองฉัตรอย่างเห็นใจ
ค่ำคืนนั้นนางด้วงกำลังคุยฟุ้งเล่าเรื่องงานเลี้ยงต้อนรับที่บ้านพระยาโกสินทร์ให้บ่าวในครัวฟัง บัวนั่งอยู่ในวงกินข้าวนี้ด้วย แต่กลืนไม่ลง เขี่ยข้าวในจานไปมา
“ข้าละอยากให้พวกเอ็งได้เห็นตอนที่คุณฉัตรอยู่กับคุณพิศ อูย...งามสมกันอย่างเทวดานางฟ้าอย่างไรอย่างนั้นเลย”
นางแดงพลอยตื่นเต้นไปด้วย “เหรอๆ แล้วคุณฉัตรเธอดูท่าจะชอบพอคุณพิศรึเปล่าล่ะนังด้วง”
นางด้วงมีสีหน้าภาคภูมิใจมากขณะเล่า “แน่น้อน! ในงานคุณฉัตรแทบไม่ได้พูดคุยกับใครเลยนอกจากคุณพิศ แม่เชื่อมั้ย..ข้ามีลางสังหรณ์ว่า...บ้านเราคงจะได้จัดงานมงคลกันเร็วๆ นี้ละ”
บัวอดทนฟังต่อไปไม่ไหว เลิกกินข้าวแล้วลุกเดินออกไป น้อยมองแล้วตัดสินใจตามไป นายเพียรมองตามน้อย แววตาฉงน
บัวเดินมานั่งล้างถ้วยชามหลังครัว สีหน้าหมองเศร้า น้อยตามเข้ามา
“คุณฉัตรนี่..เธองามจริง ดีจริง อย่างที่พี่ด้วงเล่ารึเปล่าฮึ...บัว”
บัวพยักหน้าว่าใช่ น้อยฉงน
“เอ็งรู้ได้ยังไง”
“ข้าเคยพบคุณฉัตรมาก่อนที่ข้าจะมาเป็นทาสขัดดอกที่เรือนนี้”
น้อยประหลาดใจ “จริงรึ”
บัวพยักหน้าอีก “วันที่ข้าโดนโจรปล้นเอาอัฐ คุณฉัตรเธอเป็นคนช่วยข้ากับพ่อเอาไว้ ไม่เช่นนั้น..ข้ากับพ่ออาจจะตายไปแล้วก็ได้”
คราวนี้น้อยเป็นฝ่ายพยักหน้า “อ้อ...เหรอ”
“คุณฉัตรน่ะ..เธอเป็นคนดีจริง เพราะฉะนั้นหากคุณพิศเธอจะชอบใจในตัวคุณฉัตร ก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เธอทั้งสองเหมาะสมกันดีทั้งรูปร่างหน้าตาและชาติตระกูลจริงๆ” บัวมีสีหน้าเศร้าลงขณะบอก
น้อยเอะใจ “เอ๊ะ..นี่อย่าบอกข้านะว่า..เอ็งก็ชอบใจในตัวคุณฉัตรอยู่น่ะ”
บัวไม่ตอบ แต่ก้มหน้านิ่ง เศร้า น้อยเข้าใจเรื่องราวทันที
น้อยครวญ “โธ่เอ๊ยบัว...ทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้ไปได้นะ”
บัวถอนใจเศร้า น้อยมองบัวอย่างเห็นใจ
เช้าวันต่อมาพิศเดินนำขบวนบ่าวยกสำรับอาหารเช้าให้บิดาอย่างอารมณ์ดีกว่าทุกวัน สีหน้าอิ่มเอมมีความสุข จนพระยาสมานอดรนทนไม่ได้ต้องทัก
“ตั้งแต่กลับจากบ้านท่านเจ้าคุณโกสินทร์ พ่อก็เห็นลูกพิศท่าทางมีความสุขจริง”
พิศยิ้มแย้ม “ก็ลูกมีความสุข เพราะกับข้าว คาว หวาน ที่ทำไปช่วยงาน ผู้คนชมไม่ขาดปากเลยนี่คะเจ้าคุณพ่อ แล้วจะไม่ให้พิศปลื้มใจได้อย่างไร”
ท่านเจ้าคุณรู้ทันเลยพูดเย้าบุตรี “แต่พ่อว่า...เจ้าไม่ได้ปลื้มใจเพราะคนอื่นชมลูกเรื่องสำรับกับข้าวหรอก พ่อว่าลูกพิศปลื้มใจเพราะพ่อฉัตรเอ่ยปากชมละมากกว่า”
พิศยิ้มย่องพอใจ แล้วทันใดนั้นนายเพียรก็เดินเข้ามา
“มีคนมาขอพบท่านเจ้าคุณขอรับ”
พระยาสมานแปลกใจ “ใคร”
นายเพียรไม่ต้องตอบ เพราะฉัตรเดินเข้ามาใกล้เสียก่อน มีนายสนเดินถือถาดใส่แอปเปิ้ลจำนวนมากมาด้วย
พิศพอหันไปเห็นว่าเป็นใครมาก็ยิ้มออกมาทันที
ลูกแอปเปิ้ลในถาดผิวสีแดงสดหน้าตาน่ากินมาก ฉัตรเลื่อนถาดนั้นส่งให้พระยาสมานกับพิศ
“กระผมเอา ‘อาเปิ้น’ มาฝากท่านเจ้าคุณกับคุณพิศขอรับ”
พระยาสมานมองตาโตด้วยความตื่นเต้น “โอ้ว..ผลไม้จากต่างประเทศเชียว ขอบใจพ่อฉัตรมาก”
พิศยกมือไหว้ขอบคุณฉัตร “ขอบพระคุณ..คุณฉัตรมากค่ะ แต่ผลไม้หายากอย่างนี้ เอามาฝากจำนวนมาก คุณฉัตรคงลำบากแย่ เรือนนี้ก็มีแต่พิศกับเจ้าคุณพ่อกันสองคนเท่านั้นเองนะคะ”
ฉัตรเอ่ยขึ้น “ไม่ลำบากหรอก และฉันเห็นว่าเรือนนี้...บ่าวไพร่ก็มากมาย หากว่าคุณพิศกับท่านเจ้าคุณรับประทานไม่หมด ก็แจกจ่ายแก่บ่าวไพร่...” ฉัตรพยายามเหลียวมองหาบัวแต่ก็ไม่เห็น “ไปบ้างก็ได้...”
“คุณฉัตรรับอาหารเช้าพร้อมเจ้าคุณพ่อเลยนะคะ” พิศเชื้อชวน
ฉัตรพยักหน้ารับ เพราะใจนั้นอยากอยู่เจอบัวมาก พิศหันไปสั่งนางด้วง
“จัดสำรับเพิ่มอีกที่นึง”
“เจ้าค่ะ”
นางด้วงรับคำ แล้วจึงค่อยๆ คลานออกไปอย่างเรียบร้อย แต่พอได้ระยะห่างก็ออกวิ่งแจ้นไปด้วยสีหน้าตื่นเต้น จะรีบไปป่าวประกาศกับบ่าวไพร่อื่นในครัว
นางด้วงวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในครัว
“นี่ๆๆๆๆๆ พวกเอ็ง ข้ามีข่าวจะมีบอก”
“ข่าวอะไรนังด้วง ท่าทางเอ็งตื่นเต้นยังกะได้ทอง” นางแดงถาม
“คุณฉัตรมา” นางด้วยบอกด้วยสุ้มเสียงตื่นเต้น
บัวที่กำลังจัดสำรับกับข้าวให้พระยาสมานอยู่ หันขวับมาทันที น้อยเองก็หันไปมองหน้ากับบัว
“จริงรึ” นางพุ่มตื่นเต้นไปด้วย
“จริงสิ ข้าจะโกหกน้าพุ่มทำไม ข้าว่า...คุณฉัตรต้องชอบพอกับคุณพิศเธอแน่ๆ เลย ไม่อย่างนั้นจะแล่นมาหาถึงเรือนแต่เช้าอย่างนี้เรอะ แล้วเมื่อวานก็เพิ่งพบหน้ากันไปหยกๆ”
บัวอึ้งไป แล้วเสก้มหน้า จัดสำรับเงียบๆ น้อยมองแล้วเดาอารมณ์บัวได้นางด้วงหันมาสั่งบัวเสียงดัง
“นังบัว! จัดสำรับกับข้าวเพิ่มอีกที่นึง..ให้คุณฉัตร”
บัวรับเสียงแผ่ว “จ้ะ” แล้วก้มหน้าจัดสำรับต่อไปเงียบๆ
น้อยมองอย่างเห็นใจ
ฉัตรคุยอยู่กับพิศ ท่าทางพิศเรียบร้อยมาก บัวเดินประคองถาดสำรับกับข้าวมาให้ฉัตร พอเห็นฉัตรก็ขาแข็งเดินไม่ออก ยืนนิ่งอึ้ง และก้าวขาไม่ออก นางด้วงที่เดินตามรีบกระซิบด่า
“เดินสินังนี่ ผีตอกตะปูที่ตีนเรอะไง”
บัวรวบรวมสติ ประคองถาดเดินต่อไปที่ฉัตรนั่งอยู่ ฉัตรจดสายตามองบัวตลอด สีหน้าครุ่นคิดแต่ไม่พูดอะไรออกมา
“สำรับเช้านี้เป็นชุดข้าวต้มนะคะคุณฉัตร พิศทอดปลาสลิดกรอบๆ ยำไข่เค็ม กับไข่เจียว คุณฉัตรรับประทานได้ไม๊คะ หรือถ้าอยากรับอย่างอื่น พิศจะลงครัวไปทำให้ใหม่ค่ะ” พิศเจื้อยแจ้วสำเนียงอ่อนหวาน
“ไม่ต้องๆ แค่นี้ก็มากแล้ว”
พิศลำเลียงกับข้าวจากถาดในมือบัววางตรงหน้าฉัตร พอบัวเงยหน้าและสบตากับฉัตรก็มือไม้สั่น จนถาดพลัดตกมือ ทำให้กับข้าวที่ยังอยู่ในถาดบางส่วนหกรดฉัตร
พิศเอ็ดเสียงนุ่มๆ เบาๆ “ตายจริง ทำไมซุ่มซ่ามอย่างนี้ละจ๊ะแม่บัว”
บัวตกใจลนลาน ยิ่งทำอะไรไม่ถูกเข้าไปใหญ่ รีบขอโทษฉัตรละล่ำละลัก
“ขอประทานโทษเจ้าค่ะ บ่าวไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่เป็นไร” ฉัตรบอกเสียงนุ่ม
พิศบอกบัวเสียงเหมือนปราณี “เก็บจานเปื้อนลงไปครัวเถอะไป๊บัว”
บัวลนลานเก็บจานเปื้อนแล้วรีบออกไป ฉัตรมองตามไปแวบเดียวแล้วหันกลับมาทำหน้านิ่งเฉย พิศยกมื้อไหว้ฉัตรพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน
“พิศต้องขอประทานโทษคุณฉัตรแทนบ่าวด้วยนะคะ พิศเพิ่งได้ตัวมาเมื่อไม่กี่วันนี้เอง ยังไม่ได้ขัดเกลามารยาทให้ดี ทำให้คุณฉัตรต้องเดือดร้อน”
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ถือสา” ฉัตรว่า
“เอ้า..งั้นก็กินๆ กันทีดีมั้ยพ่อฉัตร”
พระยาสมานกับฉัตรเริ่มกิน พิศคอยนั่งปรนนิบัติเอาใจฉัตรตลอดเวลา ขณะที่บัวยังยืนอยู่ที่เชิงบันไดเรือน แอบดูฉัตรอยู่ด้วยแววตาเจ็บช้ำเป็นอย่างยิ่ง
ที่กระทรวงกลาโหม ในเวลาต่อมา ฉัตรเดินคุยกับฉาย สีหน้าทุกข์ใจ
“พี่ฉัตรเอาแอปเปิ้ลไปให้คุณพิศที่เรือน ได้พบแม่บัวรึเปล่าขอรับ”
ฉัตรพยักหน้า “พี่เห็นแม่บัวมาเป็นบ่าวเขาแล้วปวดหัวใจจริงๆ เลยฉาย จากคนที่เคยเป็นไทแก่ตัว ต้องมาเป็นบ่าวรับใช้เขา นี่ยังโชคดีนะที่แม่บัวมาเป็นบ่าวของคุณพิศน่ะ เพราะท่าทางคุณพิศจะเมตตาแม่บัวพอ สมควรทีเดียวละ”
ท้ายประโยคนายทหารนักเรียนนอกยิ้มเศร้าๆ
บ่วงวันวาร ตอนที่ ๒ (ต่อ)
ฉัตรเข้าใจและคิดผิดมหันต์ เพราะเวลาเดียวกันนั้นบัวถูกพิศลงโทษด้วยการตบหน้าเต็มแรง
“เอ็งทำเซ่อซ่าต่อหน้าคุณฉัตรยังงี้ได้ยังไง หา! รู้มั้ยว่าข้าขายหน้าคุณฉัตรเธอขนาดไหน”
บัวจับแก้มข้างที่ถูกตบ เจ็บจนน้ำตาปริ่มๆ
“ต่อไปนี้..ถ้าคุณฉัตรมา เอ็งไม่ต้องขึ้นมารับใช้บนเรือน เพราะข้าไม่อยากให้เอ็งมาทำอะไรเซ่อซ่าต่อหน้าคุณฉัตรอีก ได้ยินมั้ย แล้วนี่เอ็งจะไปไหนก็ไปไป๊ อย่าอยู่ให้ข้าเห็นหน้า แล้ววันนี้เอ็งก็ไม่ต้องกินข้าวทั้งวัน”
บัวคลานทั้งน้ำตาปริ่มๆ ออกไป นางด้วงแอบยิ้มเยาะ
ครู่ต่อมาน้อยตกใจพอรู้เรื่องบัวถูกพิศทำโทษ
“ไม่ให้กินข้าวทั้งวัน โห...” น้อยจะพูดต่อแต่นางด้วงรีบแย้ง
“เอ๊ๆๆๆๆๆ เอ็งจะทำไม นี่เป็นคำสั่งคุณพิศนะยะ ก็นังบัว...” พลางเอานิ้วจิ้มหน้าผากบัวแรงๆ จนบัวหน้าหงาย “มันอยากซุ่มซ่ามเซ่อซ่าทำไมล่ะ สมน้ำหน้า อดข้าวแค่วันเดียว มันไม่ตายหรอกน่านังน้อย”
น้อยสีหน้าโมโห นางด้วงพูดดักคอคาดโทษ
“แล้วอย่าให้ข้ารู้เชียวนะว่า..” นางด้วงชี้นิ้วกราดใส่ทุกคนในครัว “ไอ้อีคนไหนมันเอาอะไรให้นังบัวมันกินน่ะ ถ้าใครเอาให้มันละก็ ข้าจะฟ้องคุณพิศ”
นางแดงอ่อนใจกับลูก “นังด้วงเอ๊ย เอ็งร้ายให้น้อยๆ หน่อยเถอะ มันก็ทาสด้วยกันทั้งนั้นแหละ”
นางด้วงเบ้ปากไม่แยแส “ข้าจะเป็นทาสอีกไม่นานหรอกแม่ ไม่เชื่อแม่คอยดู”
แล้วนางด้วงก็เดินหยิบของกิน เดินกินออกไปอย่างสำราญ ทุกคนในครัวถอนใจเฮือก น้อยเดินเข้าไปหาบัว
“หิวมั้ยบัว”
บัวส่ายหน้า น้อยเดินไปบิดกล้วยน้ำว้าในเครือมาส่งให้บัวลูกหนึ่ง
“คุณพิศสั่งไม่ให้เอ็งกินข้าว แต่ไม่ได้สั่งว่าไม่ให้กินกล้วยด้วยนี่หว่า..อ้ะ..กินซะ เดี๋ยวไม่มีแรงทำงาน”
บัวส่ายหน้า “อย่าเลยน้อย ขืนขัดคำสั่งคุณพิศ ประเดี๋ยวเธอจะยิ่งโกรธใหญ่ แล้วน้อยเองก็จะเดือดร้อนไปด้วย” บัวดันมือน้อยที่ยื่นกล้วยมาให้ออกไป “ข้าไม่กินหรอก”
น้อยทำหน้าเซ็ง แล้วปอกกล้วยกินเสียเอง พลางมองดูบัวอย่างเห็นใจ ขณะที่บัวเศร้าใจกับชีวิตตัวเองเหลือแสน
ไม่นานหลังจากนั้นน้อยเดินหน้าเซ็งไปตามทาง นายเพียรวิ่งตามมา
“เอ็งจะไปไหน”
น้อยทำหน้าเบื่อ “ทาสที่ทำงานอยู่แต่ในครัวอย่างข้าจะไปไหนได้..นอกจากตลาด”
นายเพียรบอก “ข้าไปด้วย”
“จะตามไปคุมข้าอีกรึไง”
“ใช่”
น้อยมองหน้าเพียรอย่างหงุดหงิด โมโห เลยผลักอกนายเพียรเต็มแรง แล้ววิ่งหนีไปเลย
“อ้าว..เฮ้ย” นายเพียรจอมตื๊อวิ่งตามไปไม่ยอมแพ้
น้อยวิ่งหนีนายเพียรมาอย่างรีบร้อน แล้วเลยชนเข้ากับฉายที่เพิ่งจอดรถ และลงมาจากรถ จนน้อยเกือบล้ม แต่ฉายคว้าตัวไว้ได้ทัน ทั้งคู่มองหน้ากัน สักครู่น้อยรู้สึกตัว จึงรีบยกมือไหว้ฉายปลกๆ
“ขอประทานโทษเจ้าค่ะ บ่าวไม่ได้ตั้งใจ”
“เจ้าทำท่าเหมือนกับหนีใครมา” ฉายสงสัย
น้อยหันไปมองข้างหลัง เห็นนายเพียรวิ่งตามมา น้อยไม่ตอบ หันซ้ายหันขวาแล้วไปหลบหลังรถฉาย ฉายมองน้อยอย่างงงๆ แต่พอเห็นนายเพียรวิ่งตามมาถึงฉายก็เข้าใจ นายเพียรเบรกกึกเมื่อเจอฉาย ก่อนจะยกมือไหว้พลางถาม
“ขอประทานโทษขอรับ ไม่ทราบว่าท่านเห็นบ่าวเรือนกระผมวิ่งมาทางนี้หรือไม่ขอรับ”
ฉายทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “บ่าวคนไหน”
“ก็คนที่เคยเซ่อซ่าชนรถท่านเมื่อวันก่อนไงขอรับ” นายเพียรว่า
ฉายขำ “ฉันขับรถชนเขามากกว่านะ”
“นั่นแหละๆขอรับ เห็นมันมั้ยขอรับ”
“เห็น”
นายเพียรมีสีหน้าดีใจ ฉายชี้มือไปทางหนึ่ง
“เห็นวิ่งไปทางโน้นแน่ะ”
นายเพียรยกมือไหว้ฉายอีกที “ขอบพระคุณขอรับ” แล้วรีบวิ่งไปทางที่ฉายชี้ทันที
ฉายมองตาม แล้วหันไปมองน้อย เห็นน้อยคุดคู้อยู่หลังรถก็ขำ
“ออกมาได้แล้ว ผู้คุมหล่อนเขาไปแล้ว”
น้อยค่อยๆ ออกมาจากที่ซ่อน แล้วยกมือไหว้ฉาย
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
“หล่อนกลัวเขารึ”
น้อยเบ้ปาก “ไม่ได้กลัวหรอกเจ้าค่ะ จะกลัวทำไม มันก็ดีแต่อวดอำนาจ แต่ที่แท้มันก็เป็นแค่ทาสเหมือนๆ กันแหละเจ้าค่ะ”
ฉายมองน้อยอย่างเห็นใจ “หล่อนเป็นทาสเรือนไหนรึ”
“บ่าวเป็นทาสเรือนท่านเจ้าคุณสมานเจ้าค่ะ”
“อ้อ..บ้านฉันคุ้นเคยกันกับท่านเจ้าคุณสมานดี ฉันชื่อฉายนะ เป็นลูกชายท่านเจ้าคุณโกสินทร์ หล่อนล่ะ..ชื่ออะไร”
“บ่าวชื่อน้อยเจ้าค่ะ”
ฉายมองน้อยอย่างขำๆ และมีท่าทีเอ็นดู ในขณะที่น้อยมองฉายอย่างชื่นชม และรู้สึกว่าชายผู้นี้ดูช่างเป็นมิตรนัก
ค่ำคืนนั้นบนเรือนพระยาโกสินทร์ ๓ พ่อลูก และแอนนา กำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่โต๊ะอาหาร
จู่ๆ เสียงแอนนาโวยวายเป็นภาษารัสเซีย
“เผ็ด! แอนนากินไม่ได้”
ว่าแล้วแอนนาก็กระแทกช้อนส้อมโครม จากนั้นลุกเดินปังๆ ออกไป ฉายรีบตามไปต่อว่าเป็นภาษารัสเซีย
“แอนนา กลับมาก่อน หล่อนจะทำกิริยาอย่างนี้ต่อหน้าพ่อฉันไม่ได้นะ มันเสียมารยาทรู้มั้ย”
แอนนาบอก “ไม่รู้” ก่อนจะเดินหนีไป
ฉายเดินตามไป พระยาโกสินทร์ส่ายหน้าแล้วหันกลับมาหาฉัตร
“เอ้อ! เห็นวันนี้ไอ้สนมันว่า..ฉัตรเอาอาเปิ้นไปให้ใครรึ”
“กระผมเอาไปให้ท่านเจ้าคุณสมานขอรับ”
พระยาโกสินทร์ชะงัก คิดอะไรอยู่สักครู่ ก็เข้าใจผิดว่าฉัตรชอบพอพิศซะแล้ว ท่านเจ้าคุณยิ้มดีใจใหญ่
“แล้วเจอแม่พิศไหมล่ะ”
“เจอขอรับ”
พระยาโกสินทร์ชื่นชมพิศ “ลูกสาวท่านเจ้าคุณสมานคนนี้งามแท้นะฉัตร ได้ยินมาว่าการบ้านการเรือนเก่งไม่แพ้ใคร หากว่าฉัตรจะไปมาหาสู่กับแม่พิศ พ่อก็ยินดี”
ฉัตรก้มหน้ากินข้าวไม่ตอบกระไร
วันต่อมา ที่เรือนพระยาสมาน นางด้วงวิ่งหน้าตาตื่นเต้นดีใจเข้ามาหาพิศ บอกว่าฉัตรมา พิศรีบโบกมือไล่บัวให้ลงเรือนด้านหลังไป บัวรีบลงเรือนไปด้านหลัง ฉัตรก็เดินขึ้นเรือนมาทางด้านหน้า จึงไม่เจอกันบัว นายสนที่ตามหลังฉัตรมาถือห่อยาจีนมาด้วย ฉัตรรับห่อยาจีนจากนายสนแล้วส่งให้พระยาสมาน พิศมองฉัตรสีหน้าปลื้มเปรมมาก ฉัตรพยายามจะเหลียวมองหาบัว แต่ไม่เห็น ก็รู้สึกผิดหวัง
กลับมาถึงเรือนคืนนั้นฉัตรยืนถอนใจ สีหน้าเคร่งเครียดอยู่ลำพังตรงมุมหนึ่งบนเรือนใหญ่ ฉายเดินเข้ามาหาเห็นท่าทีผู้เป็นพี่ชายก็นึกสงสัย
“เป็นอะไรไปพี่ฉัตร ไปไม่เจอแม่บัวรึ”
“พี่ไม่ได้เจอแม่บัวเลย เห็นทีว่าคุณพิศคงจะไม่ให้ขึ้นมา รับใช้บนเรือนตั้งแต่วันที่หล่อนทำของตกวันนั้น”
“อ้าว..แล้วพี่ฉัตรจะทำยังไงละขอรับ”
ฉัตรนิ่งคิด
วันต่อมานางด้วงกำลังป่าวประกาศเรื่องฉัตรกับพิศอยู่ในครัว
“คุณฉัตรเธอมาชวนคุณพิศไปไหว้พระจ้า”
นางแดงงง “แล้วยังไง”
“อ๊ะ! แม่ก็ถามด๊าย..ลงคุณฉัตรเธอเทียวไล้เทียวขื่อคุณพิศเธออยู่บ่อยๆ อย่างนี้ละก็ อีกไม่นานเธอก็คงจะยกขันหมากมาสู่ขอคุณพิศเธอละ” นางด้วงยิ้มย่อง
บัวฟังอยู่ด้วย สีหน้าเศร้าอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่มีใครสังเกตเห็น
พระยาสมานหัวเราะชอบอกชอบใจ พลางพูดเย้าธิดาคนเดียวของทันอย่างอารมณ์ดี
“ทำไมพ่อจะไม่อนุญาตลูกพิศล่ะ ไปไหว้พระไหว้เจ้าน่ะเป็นเรื่องดี พ่อฉัตรเขาชวนลูกไปในทางที่ดี พ่อยิ่งสมควรที่จะสนับสนุน จริงมั้ย”
พิศไหว้พ่อ “ขอบพระคุณเจ้าคุณพ่อค่ะ”
“ว่าแต่..พิศจะให้บ่าวคนไหนมันติดตามไปด้วยล่ะ”
“ก็คงมีนังด้วงอย่างเคยล่ะค่ะ ส่วนนังบัว..พิศคงจะไม่เอาไป ไม่อยากให้มันไปทำอะไรให้พิศขายหน้าต่อหน้าคุณฉัตรอีก”
พระยาสมานเผลอตัวพูดออกมาเบาๆ “เออ..ดีๆๆๆ”
พิศชะงักกึก “เอ๊..แต่พิศมาคิดดูอีกที เอามันไปด้วยก็คงดี มันจะได้ช่วยถือพานดอกไม้ให้ลูก”
พระยาสมานแอบทำหน้าผิดหวัง
ตกกลางคืน บัวยังนอนลืมตาโพลงอยู่ในความมืด ชะเง้อดู เห็นพิศกับนางด้วงนั้นหลับสนิทอยู่ บัวถอนใจนอนไม่หลับ ตัดสินใจลุกเดินออกจากห้องไปเพื่อไปล้างหน้า
บัวลงเรือนมาแล้วเดินมาเปิดโอ่งน้ำ เอากระบวยตักน้ำขึ้นมาเพื่อจะเอาน้ำลูบเนื้อตัวให้คลายร้อน ทันใดนั้นก็มีมือใครคนหนึ่งมาตะปบปิดปากไว้จากด้านหลัง ที่แท้เป็นพระยาสมาน
บัวตกใจสุดขีด ทำกระบวยพลัดตกจากมือแล้วดิ้นรนสุดฤทธิ์ แต่สู้แรงไม่ได้ ถูกพระยาสมานลากตัวบัวเข้ามุม บัวไม่ยอมพยายามขืนตัวไว้เต็มที่ แล้วเตะถีบข้าวของแถวนั้นจนล้มเสียงดัง พระยาสมานตกใจปล่อยมือจากบัว บัวฉวยจังหวะนั้นวิ่งหนีกลับขึ้นไปบนเรือนพลางร้อง
“ช่วยด้วยเจ้าค่ะ ! คุณพิศช่วยบ่าวด้วย”
บัววิ่งขึ้นเรือนไป พระยาสมานจะตาม แต่ได้ยินเสียงประตูห้องเปิด พิศเอ็ดเสียงเขียว
“มีอะไรนังบัว”
พระยาสมานหน้าเสียสุดๆ กลัวพิศรู้
“ฉิบหายแล้ว”
ท่านเจ้าคุณผู้มักมากในกามคุณหันซ้ายหันขวาแล้ววิ่งหนีไป
ส่วนบัววิ่งกลับขึ้นมาบนเรือน เห็นพิศกับนางด้วงเปิดประตูห้องออกมายืนที่โถงกลาง บัวก็ถลาเข้าไปเกาะขาพิศทันที
“ช่วยบ่าวด้วยเจ้าค่ะ”
“มีอะไร มีโจรขึ้นเรือนรึ” พิศถามพลางกวาดตามองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ
ด้านพระยาสมานวิ่งมาหลบที่พุ่มไม้ บริเวณใต้ถุนเรือน สีหน้าร้อนใจ
“เอาไงดีวะ...” ท่านเจ้าคุณเหลียวซ้ายแลขวา
จังหวะนั้น นายเพียรกับบ่าวชายคนอื่นๆ ที่ได้ยินเสียงรีบวิ่งเข้ามา บ่าวชายจะวิ่งขึ้นเรือนเพราะคิดว่าโจรขึ้นบ้าน นายเพียรก็กำลังจะขึ้นเรือน แต่พอดีเห็นพุ่มไม้ไหวๆ เขม้นตามอง)
นายเพียร เห็นพระยาสมานแอบซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้ จึงเดินตรงเข้าไปหา
“ท่านเจ้าคุณมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ขอรับ”
พระยาสมานสะดุ้งสุดตัว หันไปมองเพียร
“ไอ้เพียร...มึง...” ท่านเจ้าคุณคิดอะไรออก “มาก็ดีแล้ว ช่วยกูหน่อย”
นายเพียรแปลกใจ
พิศคาดคั้นถามบัว
“เกิดอะไรขึ้น...ว่ามาสินังบัว”
“ท่านเจ้าคุณเจ้าค่ะ”
“เออ! พ่อข้าทำไม”
“ท่านเจ้าคุณจะปล้ำบ่าวเจ้าค่ะ”
นางด้วงฟังแล้วโมโหหึง “เหลวไหล ท่านเจ้าคุณจะปล้ำเอ็งได้อย่างไร ท่านเจ้าคุณก็นอนอยู่ในห้องท่านโน่นสิ เอ็งนี่เพ้อเจ้อจริง”
พิศเหลียวหันไปมองทางห้องนอนของผู้เป็นบิดา หรี่ตาครุ่นคิด รู้อยู่ว่าพ่อหมายตาบัวไว้ พิศตัดสินใจเดินตรงไปที่ห้องพระยาสมานทันที นางด้วงตามติด แต่บัวอยู่ที่เดิม ยังอกสั่นขวัญหนีไม่หาย พิศเคาะประตูเรียกบิดา
“เจ้าคุณพ่อคะ”
พระยาสมาน สีหน้าตกใจสุดขีดเมื่อได้ยินเสียงพิศเรียก เพราะพระยาสมานกำลังปีนกลับเข้าห้องนอนตัวเองทางหน้าต่าง ด้วยความช่วยเหลือของนายเพียร ที่ให้พระยาสมานปีนบ่าตนขึ้นไปที่หน้าต่างห้องนอนอย่างทุลักทุเล นายเพียรมีสีหน้าเหยเกเพราะรับน้ำหนักของพระยาสมานไว้บนบ่าตนทั้งสองข้างอย่างเต็มตัว
พิศเคาะประตูห้องเรียกเสียงดังกว่าเดิม เมื่อไม่มีเสียงตอบ
“เจ้าคุณพ่อคะ...” พิศขมวดคิ้ว เริ่มสงสัยว่าบัวจะพูดจริง จึงเคาะดังขึ้นอีก “เจ้าคุณพ่อคะ”
พิศจะเคาะประตูอีก แต่แล้วก็ต้องชะงักค้างเมื่อเห็นพระยาสมานเปิดประตูห้องออกมา
สีหน้างัวเงีย
“เอะอะ อะไรกัน..ลูกพิศ..พ่อตกใจตื่นเลย”
พิศหรี่ตามองอย่างสงสัย “เจ้าคุณพ่อเพิ่งตื่นรึคะ”
“ก็ตื่นเพราะเสียงพิศนี่แหละ” พระยาสมานทำทีเป็นเพิ่งเห็นคนอื่นๆ “อ้าว..มีอะไรกันรึ”
นางด้วงรีบฟ้อง “ก็นังบัวน่ะสิเจ้าคะ มันอ้างว่าท่านเจ้าคุณจะทำมิดีมิร้ายมัน”
พระยาสมานรีบโวยวายกลบเกลื่อนทันที “โอ๊ย ข้ารึจะไปทำอะไรมัน ข้าก็หลับอยู่ในห้องข้าเนี่ย ไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
พิศมองบิดาอย่างจับกิริยา ก้ำกึ่งจะเชื่อหรือไม่เชื่อดี
นางด้วงเห็นพิศลังเล รีบยุส่งทันที “หน็อย นังบัว ริอ่านโกหกใส่ไฟท่านเจ้าคุณเรอะ”
“บ่าวเปล่าโกหกนะเจ้าคะคุณพิศ ท่านเจ้าคุณจะทำมิดีมิร้ายบ่าวจริงๆ คุณพิศต้องเชื่อบ่าวนะเจ้าคะ”
พิศมองหน้าผู้เป็นบิดา
“พ่อเปล่าลูก”
นางด้วงรีบบอกกับพิศ “เห็นมั้ยเจ้าคะ ขนาดอยู่ต่อหน้ากันอย่างนี้แล้ว นังนี่มันยังกล้าโกหกอีก”
“บ่าวไม่ได้โกหกนะเจ้าคะ” บัวบอก
พิศมองบิดานิ่ง แววตารู้ทัน “แต่ในเมื่อพ่อข้าบอกว่าไม่ได้ทำ ข้าก็เชื่อพ่อ”
พระยาสมานยิ้มออก
นางด้วงยุส่ง “อย่างงี้มันต้องเฆี่ยนมันให้หลาบจำนะเจ้าคะ ว่าต่อไปอย่าโกหกพกลมใส่ไฟท่านเจ้าคุณ หรือใครอีก เฆี่ยนมันเลยเจ้าค่ะคุณพิศ เฆี่ยนมันเลย”
พิศชั่งใจว่าจะเอาไงดี
บ่วงวันวาร ตอนที่ ๒ (ต่อ)
รุ่งเช้าพระยาสมานยืนอยู่ที่ลานบ้าน สีหน้าไม่ดี พิศยืนอยู่ข้างๆ ส่วนบัวนั้นถูกมัดโยงอยู่กับเสาเรือน บ่าวไพร่ยืนล้อมดูอยู่รอบๆ
พิศกล่าวกับพระยาสมาน “ในเมื่อนังบัวมันกล่าวหาเจ้าคุณพ่อให้เสียหาย เจ้าคุณพ่อก็ควรจะเป็นคนสั่งลงโทษมันด้วย ตัวเองเพื่อให้มันหลาบจำ มันจะได้ไม่พูดใส่ร้ายเจ้าคุณพ่ออีก”
พระยาสมานเม้มปากแล้วกลั้นใจสั่งนายเพียร
“ไอ้เพียร! เอ็งเอาหวายมา”
เพียรขยับหวายในมือให้พระยาสมานดู กระเหี้ยนกระหือรือจะเฆี่ยนบัวตามคำสั่ง
พระยาสมานเต็มที่เพื่อเอาใจพ่อ พระยาสมานสูดหายใจแรงๆ เม้มปากแน่น
บ่าวไพร่คนอื่นๆ พวกหนึ่งเชื่อว่าบัวไม่ได้โกหก แต่ในเมื่อพระยาสมานปากแข็ง ใครจะกล้าเถียง ส่วนอีกพวกเห็นว่าบัวคงโกหกจริง ส่วนนางด้วงนั้นสะใจมากที่เห็นบัวจะถูกเฆี่ยน พระยาสมานนั้นสงสารบัวมากเพราะรู้ว่าเป็นความผิดตนเอง แต่ก็กลัวบุตรีมากกว่า จึงกลั้นใจสั่ง
“ไอ้เพียร ! เฆี่ยนนังบัวจนกว่ามันจะยอมรับ”
บรรดาบ่าวที่ล้อมดูอยู่นั้นส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที นายเพียรเดินเข้าไปใกล้บัว
เพียรเริ่มลงมือเฆี่ยนบัว เพียงไม้แรกร่างบัวสะดุ้งเฮือก ชีวิตนี้ไม่เคยถูกเฆี่ยนตีมาก่อน เม้มปากแน่น น้ำตาไหลพราก น้อยเริ่มน้ำตาปริ่มสงสารบัวจับใจ และสะดุ้งตามเสียงหวายที่หวดขวับลงกลางหลังบัวอย่างสุดแรง เสียงเฆี่ยนหลังบัวนั้นบาดใจเหล่าทาสกันถ้วนหน้า
พริบตานั้นหลังบัวแตกเป็นแผล ผ้าคาดตัวขาดเลือดซึมเต็มหลัง
พิศมีสีหน้านิ่งเฉย ใจแข็งพอที่จะยืนดูเพียรเฆี่ยนบัวอย่างไม่ปราณีปราศรัย ส่วนนางด้วงนั้นมีสีหน้าสะใจยิ่งนัก
“เอ็งจะยอมรับรึยังว่าเอ็งโกหก ! เอ็งใส่ร้ายท่านเจ้าคุณ”
บัวส่ายหน้า น้ำตาไหลพราก “ข้า..ไม่..ได้..โกหก”
“มันเป็นผู้ร้ายปากแข็งจริงๆ เลยเจ้าค่ะคุณพิศ” แล้วหันมาบอกนายเพียร “เฆี่ยนมันอีกสิไอ้เพียร ไม่ได้ยินที่ท่านเจ้าคุณสั่งรึไง ท่านให้เฆี่ยนมันจนกว่ามันจะยอมรับ เฆี่ยนมันสิ เร็วสิไอ้เพียร”
คราวนี้นายเพียรเฆี่ยนบัวไม่หยุด เหล่าบ่าวที่อยู่ข้างบัวเริ่มร้องไห้กันเสียงระงม พิศยืนดูนิ่งๆ
น้อยอดรนทนไม่ได้ ถลันเข้าไปกราบพิศ “พอเถอะเจ้าค่ะคุณพิศ นังบัวมันไม่ไหวแล้ว”
แต่พิศก็ยังนิ่งอยู่ นายเพียรจึงเฆี่ยนไปเรื่อยๆ จนในที่สุดบัวก็สลบไป พิศจึงเดินขึ้นเรือนไปหน้าเรียบเฉย นางด้วงรีบตามไป น้อยรีบผวาไปปลดเชือกที่มัดมือให้บัว ทันทีที่เชือกถูกปลดออก ร่างของบัวก็ทรุดลงกองกับพื้นทันที นางพุ่ม นางแดง และน้อยรีบประคองบัวไว้ น้อยหันขวับไปมองนายเพียรด้วยแววตาชิงชัง นายเพียรหน้าเสีย แล้วน้อยก็หันกลับมาดูบัวอีกครั้ง
บัวสลบไสลไม่ได้สติเลย
กลับขึ้นเรือนแล้วพระยาสมานนั่งหน้ารู้สึกผิดอยู่กลางเรือน พิศเดินเข้ามาพูดประชด
“ต่อไปหากมีบ่าวคนไหนใส่ร้ายเจ้าคุณพ่อเช่นนี้อีก พิศก็จะให้คนเฆี่ยนมันให้สลบคาหวายอย่างนังบัวนี่ทุกคนไปเลยค่ะ” พิศกึ่งๆ ขู่พ่อกลายๆ ว่าอย่าทำเรื่องเช่นนี้อีก
พระยาสมานพยักหน้าหงึกๆ หน้าเจื่อนๆ
“พ่อไปนอนต่อดีกว่า ปวดหัวเหลือเกิน” ท่านเจ้าคุณเดินเซ็งๆ เข้าห้องไป
พิศมองตาม แล้วหันมาสั่งบ่าว
“เอ้า..มัวแต่นั่งเบื้อใบ้กันอยู่ทำไมเล่า ไปเก็บดอกไม้ ดอกไร่เตรียมมาร้อยมาลัยเอาไปถวายพระที่วัดพรุ่งนี้สิเร็ว ช้านัก ข้าจะเฆี่ยนให้หลังลายกันให้หมดเลย”
บรรดาบ่าวไพร่ ต่างลนลานลงเรือนกันไปหาดอกไม้และอุปกรณ์ร้อยมาลัยกันทันที
บัวที่นอนไม่ได้สติอยู่ในเรือนทาส น้อยกับนางแดงกำลังปรุงยาสมานแผลกันยกใหญ่ นายเพียรตามมาดูน้อย รู้แล้วว่าน้อยโกรธ เลยยังไม่กล้าพูดด้วย ได้แต่ด้อมๆมองๆอยู่นอกเรือน สักครู่นางด้วงก็เดินกรีดกรายเข้ามาดู
“หนอย..ถูกเฆี่ยนแค่นี้ ทำมานอนสลบสไลไม่ได้สติ สำออยจริงนังบัว”
น้อยเจ็บใจแทน “พี่ด้วงลองถูกเฆี่ยนดูบ้างมั้ยล่ะ จะโดนเข้ากี่ทีมันก็เจ็บทั้งนั้นละ”
นางด้วงฉุนกึก “เอ๊ะ อีน้อย เอ็งอย่ามาทำปากเก่งปากกล้ากับข้านะ ข้าจะฟ้องคุณพิศ”
นางแดงทนไม่ไหว “เอ็งร้ายให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะนังด้วง ตั้งแต่เอ็งเกิดมา ข้าไม่เคยสอนให้เอ็งอิจฉาริษยาใคร นังบัวมันไปทำอะไรให้เอ็ง เอ็งถึงได้จงเกลียดจงชังมันนักหา”
นางด้วงเถียงแม่ “ก็มันอยากยั่วเจ้าท่านคุณของข้าทำไมล่ะ”
นางแดงส่ายหน้าอ่อนอกอ่อนใจ “นังด้วงเอ๊ย ! ทำอย่างกับเอ็งไม่รู้จักท่านเจ้าคุณของเอ็งดีอย่างนั้นแหละ ผู้ชายอย่างท่านเจ้าคุณ มักมากในกามไม่มีวันหมด ถึงเกิดเป็นลูกทาสในเรือนเบี้ยไม่รู้กี่คนต่อกี่คนแล้ว”
นายเพียร หน้าตึงขึ้นมาทันที
นางแดงพูดต่อ “ถึงไม่มีนังบัว ท่านเจ้าคุณก็ต้องไปหาเศษหาเลยกับอีทาสคนอื่นๆ อยู่ดี ข้าจะเตือนเอ็งไว้นะนังด้วง ถ้าเอ็งไม่หยุดอิจฉาริษยาคนอื่น สักวันเอ็งจะต้องเสียใจ”
นางด้วงแค้นใจที่แม่ไม่เข้าข้างตนเอง เดินสะบัดตูดออกไป นางแดงถอนใจอย่างระอาใจ
ลูกสาวตัวเอง
ระหว่างนั้นบัวเริ่มได้สติ ปรือตามองไปรอบๆ พอรู้ตัวว่าอยู่ที่ไหนและเกิดอะไรขึ้น บัวก็น้ำตาไหลพราก
“ข้าไม่ได้โกหกจริงๆ นะน้อย ข้าจะโกหกทำไม”
“ข้ารู้ ใครๆ ก็รู้” น้อยหันไปมองบ่าวคนอื่นๆ
ทุกคนพยักหน้าหงึกๆ ต่างเห็นด้วยว่าเรื่องจริงคืออะไร
“แต่เกิดเป็นทาสเขา จะทำอะไรได้..นอกจากก้มหน้ารับกรรมกันไป”
น้อยสะท้อนใจ ส่วนบัวน้ำตาไหลพรากด้วยความแค้นใจ
ขณะเดียวกัน สองพี่น้องอยู่ที่กระทรวง กำลังเดินคุยกันมา
“กระผมเกรงว่า ยิ่งพี่ฉัตรชวนคุณพิศเธอไปไหว้พระอย่างนี้ คุณพิศเธอจะยิ่งเข้าใจผิดคิดไปว่าพี่มีใจให้กับเธอนะขอรับ” ฉายเป็นกังวลแทนพี่ชาย
“ก็จะทำยังไงได้ล่ะฉาย ถ้าไม่ทำอย่างนี้ เห็นทีพี่จะไม่มีโอกาสได้พบหน้าแม่บัวน่ะสิ”
ฉายพยักหน้าเข้าใจ “ถ้าเช่นนั้น...ขอกระผมไปไหว้พระกับพี่ฉัตรด้วยนะขอรับ กระผมอยากเห็นหน้าแม่บัว...คนที่ทำให้พี่ฉัตรถึงกับเพ้อหาคนนี้สักครั้ง”
ฉัตรพยักหน้าอนุญาต ฉายยิ้มดีใจ
เช้าวันต่อมา ที่เรือนทาส ภายในเรือนพระยาสมาน ขณะที่บัวนอนครางฮือๆ เบาๆ ไม่ได้สติ เพราะเป็นไข้จากการถูกเฆี่ยน จู่ๆ นางด้วงยื่นหน้าเข้ามาดูแล้วเข้าไปดึงตัวบัวขึ้นจากที่นอน
“เอ้า! ลุก ลุกได้แล้วนังบัว อย่ามามัวสำออย คุณพิศสั่งให้เอ็งไปไหว้พระที่วัดด้วยกัน” นางด้วงลากบัวโดยไม่ปราณีปราศรัย
น้อยเดินเข้ามาเห็นพอดีก็ทักท้วง
“เอ๊ พี่ด้วงก็เห็นอยู่แล้วว่าบัวมันเป็นไข้ ไม่สบาย ยังจะลากมันไปอีก”
นางด้วงแหวใส่ “ก็คุณพิศสั่ง”
น้อยนิ่งคิด ก่อนจะถามออกไป “คุณพิศเธอจะไปไหว้พระกับคุณฉัตร ลูกชายท่านเจ้าคุณโกสินทร์ใช่มั้ย”
“ใช่สิ เขาเป็นคู่ตุนาหงันกันนี่” นางด้วงว่า
น้อยคิดแผนอะไรบางอย่างได้ “บัวมันไปไม่ไหวหรอกพี่ด้วง ถ้าคุณพิศจะเอาบ่าวไปไว้ใช้งานที่วัด ให้ข้าไปแทนนังบัวมันก็แล้วกัน”
นางด้วงมองสภาพบัวสลับกับมองหน้าน้อยแล้วนิ่งคิด
ไม่นานหลังจากนั้น ฉัตร ฉาย นายสน และบ่าวอื่นๆ มายืนคอยขบวนของพิศอยู่แล้วที่บริเวณหน้าวัดแห่งหนึ่ง สักครู่พอเห็นขบวนของพิศเดินมาแต่ไกล ฉายก็รีบกระซิบถามฉัตรทันที
“คนไหนขอรับ..แม่บัว”
ฉัตรสอดส่องสายตามองหาบัวในขบวนบ่าว แต่ไม่เห็น จึงหน้าเสียไป ฉายพยายามมองหาบัวบ้าง แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นน้อยเดินอยู่ในขบวนบ่าวของพิศด้วย
ฉายตาโต “เอ๊ะ นั่น”
ฉัตรหันมามองฉาย
“มีอะไรรึฉาย”
ฉายส่ายหน้า ยังไม่ตอบ พอดีขบวนของพิศมาถึง พิศไหว้ฉัตรและฉาย
“พิศมาช้ารึเปล่าคะนี่”
“เปล่า พวกฉันมาเร็วกว่าที่นัดหมายกันน่ะคุณพิศ” ฉัตรว่า
“พิศไม่นึกว่าคุณฉายจะมาไหว้พระด้วย แล้วทำไมคุณฉายไม่พาคุณแอนนามาไหว้พระด้วยกันล่ะคะ”
ฉายหน้านิ่งพยายามสะกดอารมณ์ ที่มีบาดหมางกับแอนนาไว้ “แอนนาเขาไม่ค่อยอยากมาเดินกลางแจ้ง เขาร้อน”
“โถ...เคยอยู่แต่เมืองหนาวมาตลอดชีวิตนี่คะ คงอีกสักพักล่ะค่ะ เธอถึงจะปรับตัวได้”
ฉายพึมพำกับตัวเอง “หรือไม่ได้เลย”
พิศได้ยินไม่ชัด “คุณฉายว่าอะไรนะคะ”
ฉัตรรีบตัดบท “เราเข้าไปไหว้พระข้างในกันเสียทีดีมั้ยคุณพิศ”
“ค่ะๆ”
ฉัตรเดินนำพิศเข้าไปภายในวัด น้อยมองอยู่จึงตามขบวนเข้าไปในวัดด้วย
ไม่นานต่อมาพิศกำลังก้มลงกราบพระสงฆ์ ๒ รูป ที่นั่งอยู่เบื้องหน้า พร้อมๆ กับฉัตรอยู่ภายในโบสถ์ ดูเผินๆ เหมือนคู่รัก แล้วทั้งหมดก็พนมมือฟังพระสวดอย่างตั้งใจ
พิศแอบชำเลืองมองฉัตรอย่างปลาบปลื้ม และมีความสุขมากที่ได้มาไหว้พระกับเขาในวันนี้
ฉายเห็นคนกำลังตั้งใจฟังพระสวด จึงค่อยๆ คลานเข่าออกไปจากโบสถ์ ระหว่างทางออก ฉายหันไปมองที่น้อย น้อยเงยหน้าขึ้นมามองพอดี ฉายรีบให้สัญญาณว่าให้น้อยออกไปข้างนอก
น้อยยกมือไหว้พระ แล้วค่อยๆ คลานเข่าตามฉายออกไป โดยไม่ทันมีใครสังเกตเห็น
สองคนอยู่ข้างๆ โบสถ์ในมุมลับตา น้อยมองฉายอย่างแปลกใจ
“บ่าวไม่นึกว่าคุณฉายจะมาไหว้พระด้วยเจ้าค่ะ”
“ฉันอยากมาเห็นหน้าแม่บัวน่ะ”
น้อยแปลกใจนัก “อยากเห็นหน้านังบัวทำไมหรือเจ้าคะ”
“ก็ฉันเห็นพี่ฉัตรออกจะลุ่มหลงแม่บัวมากอยู่”
น้อยประชด กระเง้ากระงอด งอนแทนบัว “ฮึ..บ่าวเห็นแต่ว่าคุณฉัตร เทียวไปเทียวมาหาคุณพิศอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จะมาลุ่มหลงอะไร นังบัวกันล่ะเจ้าคะ”
ฉายขำน้อยๆ “นี่หล่อนงอนแทนแม่บัวรึ”
น้อยเถียง “ก็มันจริง”
ฉายตัดสินใจบอกความจริง “เอ้า..ฉันจะบอกความจริงให้ หากพี่ฉัตรไม่เทียวไปมาหาสู่กับคุณพิศ แล้วพี่ฉัตรจะหาโอกาสพบแม่บัวได้อย่างไรเล่า”
น้อยทำหน้าร้องอ๋อ...เออจริง
“ว่าแต่..ทำไมวันนี้แม่บัวไม่ได้ตามมารับใช้คุณพิศด้วยล่ะน้อย”
น้อยถอนใจทำหน้าซังกะตาย
ทางด้านพระยาสมานยืนรอนายเพียรอยู่อย่างใจจดใจจ่อ สักครู่นายเพียรเดินมานั่งคุกเข่า
“ท่านเจ้าคุณมีอะไรจะใช้กระผมรึขอรับ”
พระยาสมานกวักมือเรียกเพียรให้เข้ามาใกล้ๆ
“เข้ามานั่งใกล้ๆ ข้านี่สิ”
นายเพียรสีหน้าดีใจขึ้นมาทันที เข้าใจว่าท่านเจ้าคุณผู้เป็นบิดาเมตตามันมากกว่าวันอื่นๆเพราะมันเฆี่ยนบัวตามคำสั่งทุกอย่าง
“ตกลงนังบัวมันเป็นยังไงมั่งวะไอ้เพียร”
“นังบัวมันเป็นไข้สูงอยู่ขอรับ แต่ไม่ต้องห่วงขอรับ เพราะตอนนี้แม่ของกระผมคอยดูแลมันอยู่ เพราะนังน้อยมันตามคุณพิศไปไหว้พระขอรับท่านเจ้าคุณพ่..เอ้อ...” นายเพียรจะพูดคำว่า “พ่อ” แต่ไม่กล้า
แต่แล้วพระยาสมานกลับโวยวาย “ก็เอ็งเฆี่ยนมันไม่ยั้งมือเลยนี่หว่าไอ้เพียร เฆี่ยนเสียจนหลังนังบัวมันแตกยับขนาดนั้น..กว่าจะหายก็คงอีกนานเลยนี่”
นายเพียรหน้าเหวอเมื่อพระยาสมานโยนความผิดมาให้ตนหน้าตาเฉย
“ก็ท่านเจ้าคุณสั่งให้กระผมเฆี่ยนมันจนกว่าจะสารภาพนี่ขอรับ สิ่งใดที่ท่านเจ้าคุณสั่ง กระผมก็ทำตามคำสั่งจนสุดกำลังน่ะขอรับ” นายเพียรประจบเอาใจ
พระยาสมานเหลียวซ้ายแลขวากลัวมีใครมาได้ยิน ก่อนจะพูดกับลูกชายที่เกิดแต่บ่าวในเรือน
“แต่เอ็งก็รู้ว่านังบัวมันก็ไม่ได้โกหกจริงๆ”
นายเพียรนิ่งไป รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร แต่ไม่พูด
พระยาสมานกำชับ “แล้วเอ็งก็อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้เป็นอันขาดเชียวนะ โดยเฉพาะลูกพิศ”
“ขอรับท่านเจ้าคุณ...” เพียรลดเสียงพูดเบาๆ “...พ่อ”
พระยาสมานได้ยินไม่ชัด “เอ็งว่าอะไรนะ”
“เอ้อ..กระผมไม่ได้ว่าอะไรขอรับ”
พระยาสมานเลิกสนใจ ล้วงหยิบเศษเงินเล็กๆ น้อยมาโยนลงพื้น ไม่ส่งให้กับมือนายเพียร
“เอ้า..ค่าปิดปากเอ็ง ปิดให้สนิทเชียวนะมึง แล้วเอ็งจะได้อยู่เรือนนี้อย่างมีความสุขต่อไป”
พอพูดจบก็เดินลุกหนีไปเลย
นายเพียรมองดูเศษเงินที่พระยาสมานโยนให้ไว้ ด้วยแววตาเจ็บปวด มองเศษเงินที่ตกอยู่ที่พื้นกระจัดกระจายอยู่อย่างนั้น เหลียวไปมองทางที่พระยาสมานเดินไป แล้วก้มเก็บเงินนั้นเงียบๆ เจ็บปวดที่พระยาสมานไม่เคยเห็นหัวว่าตนเป็นลูกเลย
ในเวลาเดียวกัน ที่เรือนพระยาโกสินทร์ ฉัตรมีสีหน้าตกใจเป็นอย่างมาก
“อะไรนะฉาย! แม่บัวถูกเฆี่ยนจนเป็นไข้”
“ขอรับ พอดีแม่น้อยพอมีความรู้เรื่องยาสมุนไพรบ้าง ก็เลยผสมยาพอกยากินให้แม่บัวอยู่ขอรับ”
ฉัตรแปลกใจนัก “ที่เรือนนั้นมีเรื่องอะไรกัน ถึงกับต้องเฆี่ยนต้องโบยแม่บัวกันจนเป็นไข้” แล้วพาลหัวเสีย “ท่านเจ้าคุณสมานนี่ป่าเถื่อนจริงๆ”
“อาจจะเป็นเรื่องที่ป่าเถื่อนจริง แต่ทุกเรือนที่มีทาสก็ย่อมเคยเฆี่ยนตี ทำโทษทาสกันทั้งนั้น” ฉายว่า
“แต่เรือนเราไม่เคย” ฉัตรท้วง
“เพราะเจ้าคุณพ่อไม่นิยมที่จะทำโทษทาสไงขอรับพี่ฉัตร แต่บ้านอื่น เรือนอื่น เขาไม่ได้คิดอย่างเจ้าคุณพ่อของเราทุกคน”
ฉัตรใจหายพูดอย่างมุ่งมั่น “พี่จะต้องไปพบหน้าแม่บัวให้ได้”
“แล้วพี่จะบอกกับคุณพิศเธอว่าอย่างไรรึขอรับ หากพี่ฉัตรจะไปขอพบทาสขัดดอกของเธอ ไม่ได้ไปพบเธอ กระผมเกรงว่ามันจะทำให้เจ้าคุณสมานกับเจ้าคุณพ่อของเราหมางใจกันได้นะขอรับ”
ระหว่างนั้น บังเอิญพระยาโกสินทร์เดินเข้ามาได้ยินพอดี
“พ่อกับท่านเจ้าคุณสมานจะหมางใจกันเรื่องอะไรรึ”
ฉัตรนิ่ง พยายามคิดหาคำตอบ
พระยาโกสินทร์นึกเดาเอาเอง “อย่าบอกนะว่า..ที่เจ้าไปไหว้พระเมื่อเช้ากับแม่พิศ แล้วมีเรื่องอะไรขัดใจกันน่ะ”
“ไม่มีขอรับ ไม่มี” ฉัตรรีบบอก
พระยาโกสินทร์ยิ้ม “ไม่มีก็ดีแล้ว พ่อไม่อยากให้เจ้ากับแม่พิศขัดใจอะไรกัน เพราะนี่พ่อก็กำลังคิดว่าจะหาเวลาไปพบหม่อมจรัส จะขอให้ท่านเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเรา เจ้าคิดว่ายังไงล่ะฉัตร”
ฉัตรบ่ายเบี่ยง “แต่..เอ้อ..กระผมเพิ่งรู้จักกับแม่พิศได้เพียงไม่นาน”
“โฮ้ย! แม่พิศนี่แหละเหมาะสมกับเจ้าที่สุด แต่งกันไป อยู่กันไป มันก็รักกันไปเองนั่นแหละ ถ้าเจ้าไม่ได้รักได้ชอบกับหญิงอื่นที่ดีไปกว่าแม่พิศ เจ้าก็ต้องแต่งกับแม่พิศเท่านั้น”
ท่านเจ้าคุณพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังนัก สีหน้าฉัตรยามนั้นดูออกว่าหนักใจเหลือแสน
ติดตาม "บ่วงวันวาร" ตอนที่ ๓