บ่วงวันวาร ตอนที่ ๑
บรรยากาศในพระนคร ของแผ่นดินสยามสมัยสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง แลเห็นบ้านเรือนไทยสวยงาม ถนนหนทางดูร่มรื่นและร่มเย็นด้วยพระบารมี รัชกาลที่ ๕
เฉกเช่นเดียวกับที่มุมหนึ่งของพระนคร ผู้คนที่แวะเวียนผ่านมาละแวกนี้ ต่างรู้ดีว่านี่คือ “เรือนพระยาโกสินทร์” บ้านเรือนไทยหลังงามของพระยาโกสินทร์บนเนื้อที่กว้างขวางสมฐานันดรศักดิ์ของท่านเจ้าคุณ ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ และรักในชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ท่านนี้
และตอนกลางวันของวันนี้ที่เรือนพระยาโกสินทร์ดูจะคึกคัก และวุ่นวายมากกว่าวันที่ผ่านๆ เพราะทุกชีวิตในบ้านหลังนี้ต่างเตรียมงานเพื่อต้อนรับ ฉัตร และฉาย บุตรชายของท่านเจ้าคุณ ที่จะเดินทางกลับจากเมืองนอก ประเทศรัสเซียในวันนี้
ในห้องบนเรือนหลังใหญ่ เห็นบรรดาบ่าวไพร่กำลังสะบัดผ้าปูที่นอนใหม่ ก่อนจะจัดแจงปูที่เตียงในห้องนอนของฉัตร ละห้องนอนของฉาย
บ่าวผู้หญิงกำลังจัดแจกันดอกไม้ แล้วนำไปประดับตามมุมต่างๆ ของบ้าน
เช่นเดียวกับบ่าวไพร่ในครัวต่างกำลังสาละวนเตรียมทำกับข้าวกันเป็นที่โกลาหล ควันจากเตาถ่านลอยโขมงไปทั่วโรงครัว ไม่มีใครว่างมือเลยสักคน บ้างก็ยกหม้อนึ่งขึ้นเตา บ้างก็กำลังโขลกน้ำพริก บ้างก็กำลังสับ หั่น ซอย ตามหน้าที่ของตน
ขณะเดียวกันบ่าวผู้ชาย ๒ คนกำลังตัดแต่งหญ้าในสนาม มีนายสนจัดวางต้นไม้ในสวน โดยมีพระยาโกสินทร์ยืนคุมงานอยู่ด้วยตัวเอง
“ดีใจจริงๆ นะขอรับที่คุณฉัตร คุณฉายจะกลับแล้ว ไม่เห็นหน้าซะหลายปี กลับมาเที่ยวนี้คงเป็นหนุ่มเต็มตัว” นายสนเอ่ยขึ้น
สีหน้าพระยาโกสินทร์ดูปลื้มอกปลื้มใจเป็นอย่างมาก เมื่อพูดถึงบุตรชายทั้งสอง “เจ้าฉัตร เจ้าฉายนี่มันมีบุญนัก ได้พระมหากรุณาธิคุณจากพระพุทธเจ้าหลวง” ท่านเจ้าคุณยกมือไหว้ท่วมหัวขณะพูด “ส่งให้ไปร่ำไปเรียนจนถึงเมืองนอกเมืองนาโน่น”
“ตกลงคุณฉัตรจบทหารมาใช่ไม๊ขอรับ” นายสนถาม
“ใช่” พระยาโกสินทร์ตอบ
“แล้วคุณฉายจบอะไรน้าขอรับ..รัดถะ..รัดถะ” สนพูดไม่คุ้นปากดีนัก
พระยาโกสินทร์ตอบให้ “รัฐศาสตร์”
“กระผมละปลื้มใจแทนท่านเจ้าคุณจริงๆ นะขอรับ”
ระหว่างนั้นบ่าวผู้ชายคนหนึ่ง วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาก่อนทรุดตัวลง คลานเข่ารายงาน
“คุณฉัตร คุณฉาย มาแล้ว”
จากนั้นพระยาโกสินทร์ สน และเหล่าบ่าว ต่างรีบวางงานในมือแล้ววิ่งออกไปดูคุณฉัตร คุณฉาย ด้วยความตื่นเต้นกันทันที
ขณะเดียวกันรถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามาที่บริเวณหน้าเรือนหลังใหญ่ พระยาโกสินทร์มีท่าทางตื่นเต้นแต่พยายามสะกดอารมณ์ไว้ แต่บ่าวอื่นๆ ตื่นเต้นกันออกนอกหน้า รถคันนั้นมาจอดที่หน้าตึกใหญ่ ก่อนที่ประตูรถจะเปิดออก
ฉัตรในชุดนายทหารก้าวลงจากรถ ส่วนที่ประตูรถอีกด้าน ฉายก้าวลงมาในชุดสูทโก้หรูทันสมัย
พระยาโกสินทร์ยิ้มร่า ฉัตรเข้าไปทรุดตัวลงกับพื้นแล้วก้มกราบผู้เป็นบิดา พระยาโกสินทร์ยิ้มแย้มดีใจสุดๆ
“ฉัตร..เจ้าได้ติดยศเป็นร้อยเอกแล้ว” พระยาโกสินทร์เอื้อนเอ่ย
ฉัตรลุกขึ้นแล้วถอยออกไป เปิดทางให้ฉาย น้องชาย ได้เข้าไปกราบพ่อบ้าง พระยาโกสินทร์ยิ้มปลื้มใจมาก
“นี่ถ้าแม่ของเจ้าสองคนยังมีชีวิตอยู่ คงดีใจที่เห็นลูกชายได้รับพระมหากรุณาธิคุณจนสำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ แม่เจ้าต้องร้องไห้เป็นบ่อน้ำตาแตกแน่ๆ”
ฉัตรและฉายยิ้มแย้ม
“กลับมากันก็ดีแล้ว พ่อจะจัดงานฉลองเลี้ยงต้อนรับการกลับมาให้เจ้าสองคน งานนี้พ่อจะเชิญบ้านที่มีลูกสาวโดยเฉพาะเลยนะ” ท่านเจ้าคุณหัวเราะ “พ่ออยากได้ลูกสะใภ้ดีๆ เป็นลูกผู้ดีมีสกุลสมน้ำสมเนื้อกับตระกูลเราน่ะ เอ้าๆ กลับมาเหนื่อยๆ เข้าบ้านทีดีไม๊เรา” พระยาโกสินทร์มองไปที่รถอย่างฉงน เมื่อเห็นว่าเหล่าบ่าวชาย หญิง กำลังมุงดูอะไรบางอย่างในรถกันด้วยท่าทางตื่นเต้น
“อ้าว! เฮ้ย ไปมุงดูอะไรกัน ทำไมไม่ช่วยกันหิ้วกระเป๋าคุณๆ ลงจากรถ”
บ่าวทั้งหลายทำท่าละล้าละลัง กลัวพระยาโกสินทร์ก็กลัว แต่อยากดู “บางสิ่ง” ที่อยู่ในรถก็อยาก ฉัตรมีสีหน้าอึดอัดใจมาก หันไปสบตากับฉายทันที แล้วจิกสายตาใส่น้องชายเป็นเชิงบังคับให้บอกความจริงกับพ่อไป ฉายหน้าเครียด
“เจ้าคุณพ่อขอรับ...กระผมมีเรื่องที่จะต้องกราบเรียน” ฉายเอ่ยขึ้น
“เรื่องอะไรรึ...ฉาย”
ฉายไม่ตอบ แต่หันไปพยักหน้าให้ใครบางคนที่ยังนั่งรออยู่ในรถลงมา พระยาโกสินทร์หน้าฉงนหนัก เมื่อเห็น แอนนา ในชุดฝรั่ง เดินยิ้มเข้ามา มองแอนนาอย่างงงๆ
“นี่..แอนนา..ภรรยากระผมขอรับ” ฉายแนะนำสาวฝรั่งผู้เป็นภรรยา
พระยาโกสินทร์อึ้ง นิ่งงันไปเลย
เวลาต่อมา แอนนา นั่งหน้าสวยอยู่ข้างๆ ฉายในโถงกลางเรือนใหญ่ ฉายจับมือแน่นให้กำลังใจภรรยา พระยาโกสินทร์สีหน้าอึ้งพูดอะไรไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งเลยทีเดียว
“เอ้อ! เจ้าฉาย...เจ้าจะหาลูกสะใภ้ให้พ่อทั้งที ไม่บอกให้พ่อรู้ตัวล่วงหน้าเลย”
ฉายไหว้ขอโทษพ่อ “กระผมกราบขอโทษเจ้าคุณพ่อขอรับที่ใจเร็ว แต่...”
ฉัตรพูดไม่ทันจบประโยค ถูกพระยาโกสินทร์ตัดบท
“เอาเถอะๆ เมื่อฉายเลือกเมียอย่างนี้แล้ว พ่อก็พูดอะไรไม่ได้แล้ว” ท่านเจ้าคุณหันไปหาฉัตร “ทีนี้ก็เหลือแต่เจ้าละ...ฉัตร ช่วยหาลูกสะใภ้ที่เป็นคนไทยให้พ่อก็แล้วกัน”
ฉัตรยิ้ม แต่สีหน้าเจื่อนไปเลย
“แต่ก่อนอื่น...เจ้าทั้งสองคนแยกย้ายกันไปกราบเรียนญาติผู้ใหญ่ของเราทั้งหลายก่อนว่า...พวกเจ้ากลับมาพระนครกันแล้ว”
เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง ฉัตรกำลังก้มลงกราบญาติผู้ใหญ่ชาย และญาติผู้ใหญ่หญิง อย่างนอบน้อม ที่เรือนของทั้งสองท่านบริเวณชานเมือง
ญาติผู้ใหญ่ทั้งสองท่านมองดูฉัตรอย่างชื่นชมและเอ็นดู ฉัตรหันไปรับห่อผ้าใส่ของกำนัลจากสนมาส่งให้พลางเอ่ย
“ของฝากเล็กๆ น้อยๆ จากประเทศรุสเซียขอรับ”
ญาติผู้ใหญ่หญิงรับไปเปิดดู เห็นเป็นของที่ระลึกจากต่างประเทศสวยแปลกตาก็ชอบใจ
“สวยแปลกตาจริง”
ญาติผู้ใหญ่ชายกล่าวชื่นชมฉัตร “ฉัตรร่ำเรียนสำเร็จกลับมาเป็นนายทหารใหญ่เลยนะ ดีๆๆๆ เจ้าจะได้เอาวิชาที่ได้ร่ำเรียนมาจากเมืองนอกเมืองนา มาช่วยพัฒนาบ้านเมืองของเราให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป บ้านเมืองเรากำลังต้องการคนดีมีวิชาอย่างเจ้าอยู่อีกมากเชียวละ”
“กระผมก็ตั้งใจจะกลับมาทำงานรับใช้พระพุทธเจ้าหลวง และบ้านเมืองของเราอย่างเต็มกำลังเหมือนกันขอรับ”
ญาติผู้ใหญ่หญิงท่านยิ้มแล้วมองฉัตรอย่างเอ็นดู
ไม่นานหลังจากนั้น ญาติผู้ใหญ่สองท่านกำลังมายืนคอยส่งฉัตรลงเรือกลับพระนคร ที่บริเวณท่าน้ำ
“รีบกลับเถอะพ่อฉัตร อีกประเดี๋ยวก็จะพลบค่ำแล้ว...เดินทางปลอดภัยนะลูก” ญาติผู้ใหญ่หญิงกล่าว
ฉัตรยกมือไหว้ลา “ขอบพระคุณ คุณอาหญิงขอรับ กระผมลาละขอรับ” ฉัตรยกมือไหว้ทั้งสองท่านอีกครั้ง แล้วลงเรือไปกับนายสน
ครู่ต่อมา เรือเบนหัวออกจากท่าน้ำไป จากฝีพายของสน
เวลานั้นนายชดขับเกวียนมาตามทางมุ่งหน้ากลับบ้าน โดยมีบัวลูกสาวนั่งมาด้วยข้างๆ ทั้งสองพ่อลูกหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส
“ขายข้าวได้คราวนี้ เราก็มีอัฐพอเอาไปไถ่ที่นาจากท่านเจ้าคุณสมานได้เสียทีนะจ๊ะพ่อ” บัวเอ่ยขึ้น
“นอกจากจะมีอัฐพอไปไถ่ที่นาจากเจ้าคุณสมานได้แล้ว ยังเหลือพอซื้อเสื้อสวยๆ ให้เอ็งได้หลายตัวเชียวละบัว” นายชดบอกลูกสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ฉันไม่อยากได้เสื้อใหม่หรอกจ้ะพ่อ แต่ฉันอยากให้พ่อเก็บอัฐไว้เผื่อเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยดีกว่าจ้ะ”
นายชดยิ้ม แล้วทันใดนั้น...โดยไม่ทันที่สองพ่อลูกจะรู้ตัว โจรชั่ว 2 คนก็โผล่พรวดออกมาจากข้างทาง พวกมันกระโดดขึ้นเกวียน แล้วเอาดาบล็อคคอนายชดไว้คนหนึ่ง ส่วนอีกคนล็อคคอบัวเอาไว้เช่นกัน
“อัฐที่ขายข้าวได้อยู่ที่ไหน เอามาให้ข้าเดี๋ยวนี้” โจรที่ล็อคคอชดขู่
นายชดไม่ยอม “ไม่”
โจรคนนั้น สะบัดหลังมือตบหน้านายชดผัวะ! นายชดถึงกับผงะล้มหงายหลังไป บัวกรีดร้องสุดเสียงด้วยความตกใจ
“พ่อ”
บัวผวาจะเข้าไปช่วยพ่อ แต่ก็ถูกโจรจิกหัวไว้ แล้วเอาปลายดาบจี้ที่คอ โจรเข้าค้นตามตัวนายชดจนเจอห่ออัฐแล้วจะเอาไป บัวไม่ยอม สะบัดตัวหลุดจากโจรที่คุมอยู่ ผวาเข้าไปยื้อยุดห่ออัฐจากมันไว้ โจรชั่วโมโห สะบัดหลังมือตบหน้าบัวผัวะ บัวกรีดร้องเสียงดังก้อง
เวลาเดียวกันนั้น ฉัตรกับสนที่กำลังนั่งอยู่ในเรือขณะเดินทางกลับพระนคร ได้ยินเสียงบัวกรีดร้องดังแว่วๆ มา ฉัตรหันไปมองทางต้นเสียงทันที
เมื่อฉัตรมองไป เห็นโจรคนหนึ่งกำลังเข้าไปดึงห่ออัฐคืนจากมือบัว พร้อมกับสั่งเพื่อนโจรอีกคน
“ลากตัวมันไปด้วย”
โจรชั่วเข้าฉุดกระชากลากถูตัวบัวให้ไปด้วยกัน แต่บัวขัดขืนดิ้นสู้เต็มที่ ชดก็เข้าช่วยลูกอย่างสุดความสามารถ
ฉัตรสั่งให้สนจอดเรือ และตัดสินใจขึ้นจากเรือขึ้นฝั่ง แล้ววิ่งเร็วรี่ตรงไปที่เกวียนของบัวทันที สนผูกเรือเสร็จก็รีบตามไปติดๆ
โจรที่ยึดถุงอัฐ หันไปเตะถีบนายชดจนฟุบไป แล้วทั้ง ๒ โจรก็จะวิ่งหนีไป โดยลากบัวไปด้วย แต่แล้วฉัตรและสนก็กระโดดเข้ามาขวางทางไว้
“ปล่อยผู้หญิงเดี๋ยวนี้” ฉัตรพูดเสียงดัง
“มึงเป็นใคร จะมาสั่งกู”
โจรชั่วคนหนึ่งบอก ไม่ยี่หระ พูดจบมันก็ยกดาบขึ้นฟันฉัตร แต่ฉัตรหลบทัน แล้วคว้าปืนขึ้นจะยิง โจรอีกคนเห็นรีบเอาดาบในมือจะฟันฉัตรเพื่อช่วยเพื่อนโจร บัวตกใจกลัวฉัตรถูกฟัน จึงกระโดดเข้าผลักโจรคนนั้นจนมันเซถลาไป และพอตั้งตัวได้โจรชั่วก็หันขวับมาจ้องบัวอย่างแค้นใจ แล้วพุ่งเข้าใส่บัวทันที สนเห็นรีบยกดาบที่ติดตัวมาด้วยเข้าขวาง สนกับโจรคนนั้เริ่มต่อสู้กัน ส่วนฉัตรสู้กับโจรอีกคน
บัวถือโอกาสนั้นวิ่งกลับไปดูอาการนายชด แล้วหันมาดูพวกผู้ชายสู้กันอย่างหวาดกลัว และแล้วฉัตรก็เพลี่ยงพล้ำถูกโจรคู่ต่อสู้ฟันเข้าให้ แม้จะไม่โดนตรงๆ เต็มๆ แต่ก็ถึงกับทำให้ฉัตรสะดุ้งสุดตัวด้วยความเจ็บ ฉัตรล้มลง โจรทั้ง 2 วิ่งหนีลับตัวไปแล้ว บัวกับสนรีบวิ่งเข้าไปประคองฉัตรทันที ฉัตรล้มลงนอนหงาย ตาลอยคว้างด้วยความเจ็บ
ในสายตาของฉัตร มองเห็นบัวก้มลงมามองหน้าเขาด้วยความเป็นห่วง แล้วภาพใบหน้าของบัวก็เบลอไป
ใบหน้าสวยงามของบัว จึงเป็นภาพสุดท้ายที่ฉัตรได้เห็นก่อนจะสลบไป
อีกมุมหนึ่งในพระนคร ที่เรือนของพระยาสมาน ช่วงเวลาตอนกลางวัน ภายในครัวยามนั้นไม่มีใครมือว่างสักคน
เสียงนางด้วงเอ่ยขึ้น “เอ้า! เร่งมือเข้า หม่อมจรัสกับท่านชายทัดจะมาอยู่แล้ว มัวแต่คุยกันอยู่นั่นละ งานการไม่รู้จักทำ ประเดี๋ยวข้าจะฟ้องคุณพิศเลย”
น้อยหันมา “ไม่มีใครมือว่างสักคน เร่งจนไม่รู้จะเร่งยังไงแล้วนะพี่ด้วง จะมีก็แต่พี่ด้วงแหละที่มือว่างอยู่คนเดียว”
นางด้วงฉุน เดินเข้าไปหยิกน้อยเต็มแรง ด่าเอา
“อีน้อย เอ็งกำลังจะพูดว่าข้ากินแรงพวกเอ็งงั้นสิ”
“ข้าเปล่าว่านะ ข้าพูดไปอย่างที่เห็น” น้อยว่า
“เอ๊ ! อีนี่! วอนซะแล้ว! รู้ไม๊ว่าข้าเป็นใคร” นางด้วงอวดเบ่ง
น้อยต่อปากต่อคำ “ก็เป็นทาสในเรือนเบี้ยเหมือนข้าน่ะสิ”
นางด้วงโมโหเข้าไปตบตีน้อยอย่างไม่ออมมือเสียงดังตุ้บตั้บ ทันใดนั้นนายเพียรก็เข้ามากันน้อยเอาไว้
“เฮ้ยๆๆๆ นังด้วง จะทำอะไรนังน้อย ก็เกรงใจข้าหน่อยสิ” นายเพียรเสียงดัง
นางด้วงย้อน “ทำไมต้องเกรงใจเอ็ง นังน้อยมันใช่เมียเอ็งซะที่ไหน”
“ตอนนี้ยังไม่ใช่ แต่สักวันข้าจะไปขอมันจากท่านเจ้าคุณ” เพียรบอก
นางด้วงเบ้ปากใส่นายเพียรพร้อมกับด่า “ทำยังกับท่านเจ้าคุณเอ็นดูเอ็งนักนี่ เถ่อ..ทำเป็นคุยว่าเป็นลูกท่านเจ้าคุณ ถุย! ยังไงๆ เอ็งก็ยังเป็นแค่ ‘ลูกทาส’ อยู่ดี”
นายเพียรโมโหนัก ย้อนเข้าให้ “แล้วเอ็งล่ะ ถึงเอ็งจะได้ขึ้นไปรับใช้คุณๆ บนเรือน โดยเฉพาะ...” เพียรพูดอย่างมีนัย “รับใช้... ท่านเจ้าคุณ ‘อย่างใกล้ชิด’ แต่เอ็งมันก็ยังเป็นขี้ข้าเขาอยู่วันยังค่ำนั่นละว้า”
นางด้วงโมโหที่ถูกจี้จุด พุ่งทะยานจะเข้าไปตบตีนายเพียร ทว่านายเพียรแค่ฉากหลบ นางด้วงพลาดแล้วหันไปจะซ้ำ จังหวะนั้นเสียงของนางแดง แม่ของนางด้วงแทรกเข้ามาเสียก่อน
“หยุดทำตัวเป็นหมาบ้าทีเถิดวะ อีด้วง”
“ก็แม่ไม่ได้ยินที่ไอ้เพียรมันพูดกับข้าเรอะ”
“ที่ไอ้เพียรมันพูดก็เรื่องจริงนี่” นางแดงว่า
นางด้วงแค้นใจ “คอยดูนะ สักวัน..ข้าจะไม่เป็นขี้ข้าเขาอยู่อย่างงี้หรอก ข้าจะเป็นมากกว่านี้ ไม่เชื่อแม่คอยดู”
แล้วนางด้วงก็ระบายอารมณ์ ด้วยการเดินกระทืบเท้าปังๆ ออกไป กระแทกใส่น้อยที่ถือหม้อแกง จนน้อยหน้าเกือบคว่ำ ดีที่นายเพียรคว้าตัวไว้ได้ทัน แล้วมองน้อยอย่างหลงรัก น้อยเบี่ยงตัวหลบนายเพียรหน้าเจื่อนไป
นางด้วงเดินปังๆ มาหยุดที่หน้าห้องอาบน้ำพิศ สูดลมหายใจลึกๆ สะกดอารมณ์ แล้วปั้นหน้าใหม่จากบึ้งตึงให้เป็นยิ้มแย้ม ก่อนจะเปิดประตูห้องเข้าไป
พิศหันหลังอยู่ กำลังเอาน้ำลอยดอกมะลิ และดอกไม้หอมอื่นๆ ขึ้นบรรจงอาบ ดูมีเสน่ห์เย้ายวนมาก นางด้วงก้าวเข้าไปใกล้ๆ
“คุณพิศเจ้าขา...บ่าวมาแล้วเจ้าค่ะ”
พิศเหลียวมามองนางด้วง พยักหน้ารับรู้ นางด้วงรีบก้าวเข้าไปช่วยพิศอาบน้ำดอกไม้อย่างรู้งาน
ด้านนางพุ่มเดินเข้ามาในครัว บ่าวคนอื่นๆ ยังทำงานมือไม่ว่างกันสักคน
“นี่ๆๆๆ นังแดง ข้าได้ยินบ่าวบนเรือนมันพูดกันว่า..ที่หม่อมจรัสจะมาวันนี้..เพราะจะพาท่านชายทัดมาดูตัวคุณพิศ! จริงรึ”
“จริง อย่างว่าละนะ ใครๆก็อยากจะได้คุณพิศไปเป็นสะใภ้ เพราะท่านเจ้าคุณสมานน่ะมีที่ดินไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ลำพังแค่ค่าเช่าที่ ก็มีคนเอาดอกเบี้ยมาส่งอยู่ทุกวี่ทุกวัน แล้วท่านเจ้าคุณก็มีลูกสาวอยู่คนเดียว สมบัติพัสถานมีเท่าไหร่ก็ต้องตกเป็นของคุณพิศหมดละ” นางแดงว่า
นางพุ่มพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
บ่วงวันวาร ตอนที่ ๑ (ต่อ)
นางด้วงช่วยพิศแต่งตัวอยู่อย่างบรรจง ชมเอาใจไม่ขาดปาก
“คุณพิศนี่งามแท้..ใครได้คุณพิศไปเป็นแม่ศรีเรือน นับว่าบุญโข”
พิศมองเงาตัวเองในกระจกอย่างพอใจ
“เกิดมาทั้งที..ข้าก็ต้องเลือกคู่ครองให้ดีเสมอกัน ผัวข้า...จะต้องไม่ใฝ่ต่ำ คว้าทาสในเรือนมาเป็นเมียไม่เลือกหน้าอย่างพ่อข้าเด็ดขาด”
ด้วงหน้าเจื่อนไป
“ฮู้ย..ใครได้ตกแต่งกับคุณพิศ คงไม่มีตาเหลือไปแลหญิงอื่นได้อีกละเจ้าค่ะ”
พิศฟังแล้วยิ้มให้กับเงาตัวเองในกระจก ภูมิใจในความงามของตัวเองเป็นอย่างยิ่ง
บนเรือนพระยาสมานไม่นานหลังจากนั้น พิศก้มลงกราบหม่อมจรัสด้วยท่าทีอ่อนช้อยงดงาม หม่อมจรัสมองพิศอย่างเอ็นดู
“แหม..ยิ่งโต เจ้ายิ่งงามแท้..แม่พิศ”
พิศยิ้มเอียงอาย
“ชายทัด มารู้จักน้องไว้เสียสิ นี่แม่พิศ แม่พิศจ๊ะ..นี่ชายทัดจ้ะ”
พิศยกมือไหว้ท่านชายทัดอีกครั้ง ท่านชายทัดรับไหว้แล้วตามองไปข้างหลังพิศ พิศสงสัย เหลือบมองไปข้างหลัง จึงเห็นว่าที่ท่านชายทัดมองอยู่คือเยื้อน บ่าวที่ถือถาดของว่างขึ้นมาเสิร์ฟบนเรือนนั่นเอง เยื้อนเองพอรู้ตัวว่าท่านชายทัดมองมาก็ก้มหน้าเอียงอาย พิศไม่พอใจอย่างแรง แต่สะกดกลั้นอารมณ์ไว้อย่างเต็มที่
“หม่อมลองชิมของว่างหน่อยนะเจ้าคะ”
หม่อมจรัสกับชายทัดชิมของว่างที่พิศเลื่อนมาให้
พระยาสมานเอ่ยขึ้น “แม่พิศลงครัวทำด้วยตัวเองเลยนะขอรับหม่อม”
หม่อมจรัสยิ้มแย้ม “แหม อร่อย..ฝีมือแม่พิศนี่ชั้นเลิศเลย ท่านเจ้าคุณสมานนี่โชคดีจริง..มีลูกสาวที่ทั้งสวย ทั้งเป็นแม่ศรีเรือน ใครได้เป็นสะใภ้..ก็โชคดีไปด้วย”
หม่อมจรัสกับพระยาสมานยิ้มให้แก่กันอย่างเข้าใจ ในขณะที่ท่านชายทัดกลับมองอยู่แต่เยื้อนตลอด ไม่ได้มองพิศเลย พิศมองท่านชายทัดในใจคุกรุ่น ขัดเคืองยิ่งนัก
ตกกลางคืน พิศพาตัวเองมาอยู่ที่หน้าเรือนเยื้อน เยื้อนถูกพิศตบหน้าอย่างแรงจนล้มลงไปกองกับพื้น พิศตามเข้าไปจ้องหน้าเยื้อน สีหน้าชิงชัง
“เป็นแค่ขี้ข้า อย่าริเผยอ! อย่ายุ่งกับผู้ชายของข้า เป็นขี้ข้าก็อยู่ส่วนขี้ข้าไป ได้ยินไหม”
แล้วพิศก็ถ่มน้ำลายรดหัวเยื้อนปื้ด! เยื้อนได้แต่ก้มหน้างุดไม่กล้าโต้ตอบอะไร แล้วพิศก็จะเดินห่างออกมา นางด้วงเดินตามหลัง แต่แล้วพิศที่กำลังจะเดินออกประตูเรือนไปก็หันไปเห็นอะไรบางอย่าง
พิศเห็นตะเกียงที่จุดไฟอยู่แล้ว วางอยู่ใกล้ประตูทางออก พิศยิ้มร้ายออกมา แล้วคว้าตะเกียงในเรือนแล้วแกล้งปาให้ตกแตกใกล้ๆ ตัวเยื้อน
นางด้วงหัวเราะเป็นลูกคู่ เยื้อนเอามือปิดหัวด้วยความกลัวพลางร้องไห้ ไม่กล้าทำอะไร
พริบตานั้นน้ำมันในตะเกียงค่อยๆ ลามไปติดที่ชายผ้านุ่งของเยื้อน
เยื้อนร้องเอะอะ สะบัดตัวเร่าๆ หนีไฟ
นางด้วงร้องบอก “คุณพิศเจ้าคะ..ไฟ..ไฟ”
พิศหันมาดู เห็นไฟลามติดขึ้นตัวเยื้อนแล้ว เยื้อนร้องกรี๊ด
แวบหนึ่งนั้นพิศมีสีหน้าตกใจจริงๆ แต่แล้วก็ทำหน้าว่าไม่สนใจ นางด้วงทำหน้าหวาดกลัว รู้สึกว่าเรื่องราวบานปลายเกินกว่าเหตุ แต่พอเห็นพิศไม่สนใจก็เลยไม่กล้าเข้าไปช่วยเยื้อน แล้วแม่ของเยื้อนก็วิ่งเข้ามา
“ว๊ายๆๆ” รีบเข้ามาเอาผ้าตะปบที่ตัวลูกเพื่อดับไฟ เป็นภาพที่โกลาหลมาก
นางด้วงพยายามบอกพิศ “คุณพิศเจ้าคะ..นางเยื้อนมัน...”
แต่พิศกลับมีสีหน้าเฉยเมย รู้ว่ายังไงเสียนางเยื้อนก็ไม่ตายเพราะมีคนมาช่วยแล้ว
“ฮึ สมน้ำหน้ามัน แค่นี้..มันไม่ตายหรอก แม่มันมาช่วยแล้วนี่”
พูดจบพิศก็เดินออกจากเรือนเยื้อนอย่างเยือกเย็น โดยมีนางด้วงตามออกมาด้วย ส่วนเยื้อนยังดิ้นๆๆๆ หนีไฟพลางร้องกรี๊ดๆๆ อยู่ โดยมีแม่ช่วยตะปบดับไฟเป็นที่โกลาหล
ความเป็นคนใจคอโหดเหี้ยมเยี่ยงนี้ของพิศ บ่าวไร่ในเรือนต่างรับรู้เป็นอย่างดี
เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งแล้ว พิศเดินขึ้นเรือนมา มีนางด้วงเดินตามหลัง พระยาสมานนั่งอยู่บนเรือนแล้ว มีบ่าวสาวคนหนึ่งกำลังบีบนวดให้อยู่ พอนางด้วงเห็นก็ถลึงตาใส่ บ่าวสาวคนนั้นหลบตานางด้วง พอพระยาสมานเห็นพิศก็ทัก
“ลูกพิศ ทำไมต้องไปทำอีเยื้อนมันถึงขนาดนั้นด้วยลูก เห็นไอ้เพียรมันมารายงานว่า..นังเยื้อนมันถึงกับเสียโฉมไปเลย”
นางด้วงบ่นงึมงำ “ไอ้เพียรนี่สาระแนจริง”
“ก็อีเยื้อนมันอยากเล่นหูเล่นตากับท่านชายทัดทำไมเล่าคะ ท่านชายทัดนั่นก็เหลือเกิน เห็นทาสสาวๆ ก็มองหูตาวาว ใฝ่ต่ำที่สุด”
พระยาสมานสันหลังหวะ พูดเสียงอ่อยๆ “แต่เรื่องแบบนี้..มันเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชาย”
“แต่มันไม่ธรรมดาสำหรับพิศค่ะ เพราะฉะนั้นพิศจะไม่ไปพบหน้าท่านชายทัดอีก เจ้าคุณพ่อก็เองก็ไม่ควรทำตัวอย่างท่านชายทัด คลำไม่เจอหางก็ฟาดหมด พิศรู้สึกสะอิดสะเอียนผู้ชายอย่างนี้จริงๆ คนที่พิศจะแต่งงานด้วย...จะต้องคู่ควรกับพิศเท่านั้นค่ะเจ้าคุณพ่อ”
พระยาสมานหน้าเจื่อนไป พิศเชิดหน้าอย่างหยิ่งทะนง ถือดีในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง
เวลาเดียวกันฉัตรค่อยๆ ปรือตาขึ้น เขาเริ่มเห็นภาพเบลอๆ แล้วค่อยๆ ชัดขึ้น และเห็นบัวที่กำลังก้มลงมองดูฉัตรอย่างเป็นห่วง
ฉัตรพยายามจะลุกขึ้นแต่แล้วก็ต้องร้องออกมาเพราะเจ็บแผลที่ไหล่
“อย่าเพิ่งขยับตัวเร็วนักจ้ะ แผลยังไม่สมานดี” บัวเอื้อนเอ่ย
“ที่นี่ที่ไหนน่ะ”
“บ้านฉันเองจ้ะ”
ฉัตรมองดูแผลที่มียาพอกอยู่ บัวรีบอธิบาย
“ฉันพอกยาไว้ให้แล้ว โชคดีที่แผลไม่ลึกมากนัก แต่ก็คงต้องใช้เวลาหน่อยจ้ะกว่าแผลจะสมานสนิทดี...”
“ขอบใจเจ้านะ”
ทั้งคู่สบตากัน ต่างตกอยู่ในภวังค์ แล้วนายชดก็เข้ามา ทำให้ทั้งคู่รู้สึกตัว
“รู้ตัวแล้วรึ เพราะท่านช่วยข้ากับลูกแท้ๆ ถึงต้องเจ็บตัวอย่างนี้ ข้าชื่อชด ลูกข้าชื่อบัว ท่านล่ะ ชื่ออะไรรึ” นายชดถาม
“ฉันชื่อฉัตร บังเอิญมาธุระแถวนี้น่ะ แล้วได้ยินเสียงร้อง ของแม่บัวเข้า เสียใจนะที่ไม่อาจรักษาอัฐของพวกเจ้าไว้ได้”
บัวหน้าสลดลง นายชดถอนใจใหญ่
“เอาเถิด ชีวิตสำคัญกว่า และที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตข้า..ก็คือชีวิตลูก ถ้ายังไงเราสองคนก็เป็นหนี้บุญคุณท่าน ถ้าไม่ได้ท่านช่วยไว้ ป่านนี้เราสองคนพ่อลูกคงตายไปแล้ว”
ว่าแล้วนายชดก็ยกมือไหว้ฉัตรแล้วก้มกราบ บัวรีบกราบด้วย ฉัตรตกใจที่ผู้ใหญ่มากราบไหว้ตน รีบขยับจะรับไหว้ แล้วก็ต้องหน้าเหยเกอีกครั้งเพราะเจ็บแผล
“อย่าเพิ่งขยับตัวมากเลย หิวหรือยังล่ะ” นายชดยกสำรับมาให้
ฉัตรเหลียวหานายสน “นายสนล่ะ คนที่มากับฉันน่ะ”
“กำลังกินข้าวอยู่ข้างล่างโน่นแน่ะ” นายชดบอกกับบัว “เอ็งดูแลท่านกินข้าวนะบัว พ่อจะลงไปดูคนข้างล่าง” แล้วเดินลงเรือนไป
บัวจัดแจงยกสำรับมาใกล้ ฉัตรรับจานข้าวมากินอย่างไม่ถนัดเพราะเจ็บแผล บัวคอยดูแล ฉัตรมองบัวอย่างพิจารณา พลางถาม
“เจ้าไม่กลัวรึ ถึงได้กล้าช่วยฉันสู้กับโจรอย่างนั้นน่ะ”
“กลัวจ้ะ แต่กลัวว่ามันจะทำร้ายท่านมากกว่า” บัวว่า
ฉัตรซาบซึ้งใจในตัวบัวมากขึ้น
“ท่าทางอ้ายโจรนั่นมันโหดร้ายมาก ถ้าท่านไม่มาช่วย ฉันเชื่อว่ามันต้องฆ่าฉันกับพ่อแน่ๆ” ขณะพูดบัวมีสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมาอีก
ฉัตรเอื้อมมือไปจับมือบัวไว้อย่างปลอบโยน
“แต่เจ้าก็รอดตายมาแล้ว”
บัวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แล้วนึกได้ว่าถูกฉัตรจับมือตนไว้ บัวค่อยๆ ดึงมือออกอย่างเขินอาย ฉัตรมองอาการนั้นของบัวแล้วยิ้ม
ดูเหมือนบุตรชายคนโตของพระยาโกสินทร์ จะหลงรักสาวชาวบ้านคนนี้เข้าแล้ว
รุ่งเช้าฉัตรแต่งตัวเรียบร้อยพร้อมจะกลับพระนครแล้ว แต่ยังมีผ้าพันแผลอยู่ ฉัตรจะเดินลงเรือน แต่แล้วก็เซไปเพราะรู้สึกเจ็บแผล บัวเห็นรีบปราดเข้ามาช่วยประคอง
“ค่อยๆ จ้ะ”
ทั้งสองมองตากัน
“ขอบใจเจ้ามากนะ...แม่บัว”
“ฉันสิต้องขอบใจท่าน ถ้าไม่ได้ท่านช่วย ป่านนี้ฉันคงถูกพวกโจรมันลากตัวไปไหนแล้ว” บังพูดเรื่องนี้ทีไรก็สีหน้าหวาดหวั่นทุกคราครั้ง
ฉัตรเชยคางบัวขึ้น แล้วจ้องตา พูดปลอบ “อย่ากลัว เรื่องมันผ่านไปแล้ว และโจรพวกนั้นคงไม่กล้าย้อนกลับมาอีกหรอก”
สองคนมองตากันนิ่ง ตกอยู่ในภวังค์หวาน นายสนกับนายชดเข้ามา สองคนจึงแยกห่างออกจากกัน
“เรือพร้อมแล้วขอรับ”
ฉัตรพยักหน้ารับรู้ แล้วเดินลงจากเรือน
“หากมีโอกาส..ข้ากับลูกคงได้ทดแทนบุญคุณท่านบ้าง” นายชดกล่าว
“ไม่เป็นไรหรอก อย่าคิดเรื่องบุญคุณให้มากไปเลย ฉันไปละ”
ฉัตรออกเดิน บัวเดินตามไปส่ง สนเดินรั้งท้าย ฉัตรยิ้มนิดๆ ขณะหันมาพูดเฉพาะกับบัว
“แล้ววันหลังฉันจะกลับมาเยี่ยมเจ้าใหม่นะ”
“จ้ะ”
ฉัตรมองตาบัวอีกครั้ง ไม่อยากไปแต่ต้องไป ในที่สุดก็ตัดใจเดินไป นายสนรีบตาม บัวมองตาม นายชดเดินเข้ามายืนข้างบัว พูดเปรยๆ
“หากมีบุญวาสนาต่อกัน..สักวันก็ต้องได้พบเจอกันอีกละ”
บัวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แล้วมองตามฉัตรไปจนลับตา เห็นฉัตรเหลียวกลับมามองเธอเช่นกัน บัวยิ้ม สีหน้ามีความสุข
เวลาเดียวกันที่เรือนพระยาสมาน เพียรเดินแบกทะลายมะพร้าว กระสอบข้าวสาร น้ำตาล และของอื่นๆ เข้ามาพร้อมกับบ่าวชายอีก 2-3 คน แล้วเอามาวางไว้ที่น้อย
“โฮ้ย! คุณพิศเธอจะเอาข้าวของพวกนี้มาทำไมมากมายรึนังน้อย”
“ก็ลูกชาย 2 คนของท่านเจ้าคุณโกสินทร์เพิ่งสำเร็จการ ศึกษามาจากรุสเซีย ท่านเจ้าคุณโกสินทร์ก็เลยจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับลูกชายทั้งสอง ท่านเจ้าคุณของเรากับคุณพิศก็ได้รับเชิญให้ไปงานเลี้ยงนี่ด้วย”
เพียรออกอาการงวยงง “แล้วไง”
“คุณพิศเธอก็จะเตรียมทำสำรับคาวหวานไปช่วยงานบ้านนั้นน่ะสิ..ถามได้” น้อยบอก
เพียรยังไม่เข้าใจอยู่ “แล้วทำไมต้องตระเตรียมของมากมายถึงขนาดนี้ด้วย”
น้อยหน่าย “เอ็งนี่โง่จริง ก็เพราะท่านเจ้าคุณของเราอยากได้ลูกชายท่านเจ้าคุณโกสินทร์เป็นเขยน่ะสิ สำรับที่จะเอาไปช่วยงานบ้านโน้นจึงต้องคัดสรรแต่ของชั้นเลิศเท่านั้น”
เพียรพอเข้าใจแล้ว “อ้อ...” เพียรมองน้อยตาหวานฉ่ำ “แต่สำหรับข้านะนังน้อย ข้ารู้ว่ารสมือเอ็งน่ะเลิศอยู่แล้ว ข้าอยากรู้รสอย่างอื่นของเอ็งมากกว่า...” พลางยื่นหน้าเข้าไปจะหอมแก้มน้อย
น้อยโมโหเอากระบวยใกล้มือตีเพียร เพียรร้อง “โอ๊ย”
“เอ็งจะไปไหนก็ไปเลย ข้าไม่มีวันใจอ่อนกับเอ็ง”
เพียรโมโห “ข้าจะไม่รอให้เอ็งใจอ่อนหรอกโว๊ยนังน้อย ถ้าท่านเจ้าคุณตกลงยกเอ็งให้ข้าเมื่อไหร่ เอ็งก็ต้องเป็นเมียข้า บิดพลิ้วไม่ได้อีกต่อไป!”
น้อยหน้าเจื่อนไปเลย รู้ดีว่าชีวิตทาสขึ้นอยู่กับนาย จะยกให้เป็นเมียใครก็ได้ น้อยหวั่นใจ แต่นายเพียรยิ้มอย่างเหนือกว่า
ด้านพิศกำลังรื้อผ้านุ่งออกจากหีบใส่ผ้า แล้วเหลียวหานางด้วง แต่ดูเหมือนนางด้วงไม่ได้อยู่แถวนั้น
“นังด้วง...นังด้วง”
ที่แท้นางด้วงกำลังนอนสีหน้าเคลิบเคลิ้มอยู่อีกห้อง โดยมีร่างของชายคนหนึ่งทาบทับอยู่ข้างบน และชายคนนั้นกำลังซุกไซ้ซอกคอนางด้วงอยู่อย่างมีอารมณ์ เสียงเรียกของพิศทำให้ทั้งสองนี้หยุดเคลื่อนไหวทันที แล้วนิ่งค้างอยู่ในท่านั้น
นางด้วงกระซิบบอกชายคนนั้น
“เสียงเหมือนคุณพิศเรียก”
บ่วงวันวาร ตอนที่ ๑ (ต่อ)
พิศออกเดินตามหานางด้วงมาตรงโถงกลางของเรือนใหญ่ แล้วตะโกนเสียงดังขึ้นด้วยความโมโหที่หานางด้วงไม่เจอ
“นังด้วง”
แล้วหันไปมองที่ประตูห้องพระยาสมานอย่างสงสัย เดินตรงไปทุบประตูเรียกทันที ด้วยเสียงอันดัง
“เจ้าคุณพ่อคะ เจ้าคุณพ่อ”
นางด้วงและชายผู้นั้นลุกพรวดขึ้นทันที ที่แท้เป็นพระยาสมานนั่นเอง ทั้งคู่มีสีหน้าตกใจ
“บรรลัยแล้ว! ขืนลูกพิศรู้ว่าเอ็งอยู่ในห้องนี้ ลูกพิศเอาข้าตายแน่”
แล้วพระยาสมานก็ลากแขนนางด้วงให้ไปที่หน้าต่าง สั่งอย่างรีบเร่ง
“เอ็งปีนลงไปทางนี้ เร็ว”
พระยาสมานตัดสินใจผลักให้นางด้วงปีนออกไปทางหน้าต่าง ในขณะที่เสียงพิศเรียกหานางด้วงยังคงดังอยู่ภายนอกเป็นระยะๆ ในที่สุดนางด้วงก็หล่นโครมลงไป พระยาสมานชะโงกตามไปดู เห็นนางด้วงนอนจุกอยู่ที่พื้นใต้หน้าต่าง
พระยาสมานรีบโบกมือไล่ให้นางด้วงวิ่งไปหาพิศโดยเร็ว แล้วพระยาสมานก็รีบผลุบหน้ากลับเข้ามาในห้อง พยายามทำหน้าตาให้เป็นปกติที่สุด แล้วเดินไปเปิดประตูห้องรับบุตรี พลางเอ่ยถาม
“มีอะไรรึลูกพิศ”
พิศเดินพรวดเข้าไปในห้องทันที กวาดตามองไปรอบๆ อย่างค้นหา
“นังด้วงมันอยู่ในห้องนี้กับเจ้าคุณพ่อรึเปล่า”
“เปล่านี่ลูก พ่ออยู่คนเดียว”
พิศหรี่ตามองบิดาอย่างไม่เชื่อใจ สักครู่นางด้วงก็วิ่งกระโผลกกระเผลกเข้ามา
“เรียกหาบ่าวหรือเจ้าคะ”
“เออสิ! เอ็งไปมุดหัวอยู่ที่ไหนมา ข้าเรียกอยู่เป็นนานสองนาน..กว่าจะโผล่หัวมาได้นางด้วง”
“บ่าวไปเว็จมาเจ้าค่ะ คุณพิศมีอะไรจะใช้บ่าวรึเจ้าคะ”
“เอาผ้านุ่งข้าไปอบร่ำที”
“ผืนไหนเจ้าคะ”
“หมดกำปั่นนั่นแหละ”
นางด้วงรีบรับคำ “เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ” แล้ววิ่งออกไป
“ลูกพิศจะอบร่ำผ้านุ่งหมดทั้งกำปั่นเชียวรึ” ผู้เป็นบิดานึกสงสัย
“ค่ะ เพราะพิศยังเลือกไม่ได้ว่าจะนุ่งผืนไหนไปงานเลี้ยงฉลองต้อนรับลูกชายท่านเจ้าคุณโกสินทร์ดี”
พระยาสมานยิ้มแย้ม “โถ...ลูกพ่อแต่งอะไรก็สวย การบ้านการเรือนก็เก่ง นี่ถ้าลูกชายท่านเจ้าคุณโกสินทร์ไม่สนใจเจ้าละก็..มันก็ตาบอดแล้ว!”
พิศสีหน้าระรื่น ดีขึ้นมาทัน ภูมิใจในตัวเองมาก
ฉัตรกลับมาถึงบ้านที่พระนครแล้ว
“บุญของพี่ฉัตรที่สุด..ที่ไม่เจ็บไปกว่านี้น่ะ” ฉายเดินมาสำรวจดูแผลที่บ่าของฉัตรอย่างกังวล
พระยาโกสินทร์ไม่พอใจนักหลังฟังความจนจบ “แต่ฉัตรเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อชาวบ้านสองพ่อลูก ถ้าฉัตรเป็นอะไรไป มันไม่คุ้มเลย”
“แต่ตอนที่กระผมเข้าไปช่วยเขาก็ไม่ทันได้นึกอะไรขอรับ แค่สงสารว่า..คนเขาอุตส่าห์ทำไร่ทำนาอาบเหงื่อต่างน้ำ มาทั้งปี ต้องมาถูกไอ้โจรบ้าห้าร้อยมาจี้ปล้นเอาจนหมดตัว นี่ถ้าไม่เข้าไปช่วยมันอาจฆ่าทั้งพ่อทั้งลูกทิ้งซะก็ไม่รู้” ฉัตรว่า
“ช่วยชีวิตคน..นับว่าเป็นการสร้างกุศลครั้งใหญ่นะขอรับเจ้าคุณพ่อ” ฉายเห็นด้วยกับพี่ชาย “เจ็บครั้งนี้..ถือว่าฟาดเคราะห์ไปนะขอรับพี่ฉัตร”
“แต่พี่ไม่คิดว่าเป็นคราวเคราะห์หรอกนะฉาย พี่คิดว่ามันเป็นเรื่องของบุพเพสันนิวาสนะฉาย เพราะมันทำให้พี่ได้พบกับแม่บัว” ฉัตรยิ้มพรายเมื่อคิดถึงบัวอีกครั้ง
พระยาโกสินทร์เสียงแข็ง “แต่พ่อไม่เห็นด้วยนะฉัตร เจ้าเป็นลูกชาติ ลูกตระกูล หน้าที่การงานก็กำลังจะเติบโตก้าวหน้า ต่อไปวันข้างหน้าเจ้าก็จะต้องเป็นเจ้าคนนายคน หากจะแต่งเมียทั้งที มันก็ต้องดูให้สมน้ำสมเนื้อกันหน่อย”
“แต่...”
ฉัตรพูดไม่จบ พระยาโกสินทร์ขัดขึ้น
“พ่อถึงได้จัดงานเลี้ยงฉลองการกลับมาให้เจ้า แล้วเชิญบ้านที่มีลูกสาวที่มีชาติมีตระกูลทั้งหลายมาให้เจ้าได้เลือก เพราะฉะนั้นถ้าฉัตรจะไปคว้าหญิงชาวบ้านไม่มีเชื้อมีแถวมาเป็นเมีย พ่อไม่ยอม”
ท่าทีและสุ้มเสียงจริงจังของบิดา ทำเอาฉัตรอึ้งไปทันที
ด้านบัวกำลังนั่งอยู่บนเกวียนกับนายชด สองพ่อลูกกำลังมุ่งหน้าสู่พระนคร บัวนั้นโพกหัวกันแดดร้อนด้วย บัวนั่งนับเงินกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบแล้วหน้าเครียด นายชดหันมาดู
นายชดพูดหน้าเศร้า “เอ็งจะนับอีกกี่รอบ อัฐมันก็ไม่งอกเงยไปกว่าที่มีอยู่หรอกลูกเอ๊ย”
“แต่อัฐเท่าที่เรามีอยู่นี่ ส่งดอกท่านไม่พอแน่ๆจ้ะพ่อเราจะทำยังไงกันดีละจ๊ะ”
“ยังไงเราก็คงต้องไปพบท่านเจ้าคุณก่อนละ ขอความเมตตาจากท่าน”
“แต่ถ้าท่านไม่เมตตาเราละจ๊ะพ่อ” บัวทักท้วง
นายชดพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ทำหน้าครุ่นคิดกังวล
พิศกำลังคุมน้อยคัดพริกหยวกที่สวยๆ ส่งให้บ่าวคนอื่นเอาไปตัดหัว ตัดท้าย และชักไส้ออก โดยมีนางด้วงช่วยคุมอีกแรง
“นังน้อยเอ็งต้องเลือกเอาเฉพาะพริกหยวกที่ทรงตรงสวย ไม่หงิกงอ ไม่มีตำหนิสิ” สุ้มเสียงพิศเหมือนไม่พอใจมาก “นี่อะไร! มีแต่พริกช้ำๆ”
นางด้วงซึ่งมีคดีกันอยู่รีบใส่ไคล้ทันที “บ่าวบอกมันแล้วเจ้าค่ะว่าให้คัดเอาแต่พริกที่เม็ดงามๆ นังน้อยมันก็สักแต่ว่าเลือกมาลวกๆ เจ้าค่ะ”
“ข้าเปล่าลวกๆ นะพี่ด้วง แต่ที่งาม มันมีเท่านี้เอง” น้อยบอก
พิศไม่พอใจอารมณ์ขึ้นมาเป็นริ้วๆ พูดเสียงดัง “งั้นเอ็งต้องออกไปหามาให้ข้าใหม่ เอ็งจะไปหาจากตลาดไหน หัวเมืองไหนก็ได้ แต่ข้าต้องการพริกงามๆ ข้าจะทำพริกหยวกแช่อิ่มเอาไปช่วยงานบ้านท่านเจ้าคุณโกสินทร์นะ ไม่ใช่ให้พวกเอ็งกินกันเองในบ้าน ของที่เอาไปขึ้นโต๊ะบ้านนั้น ต้องดีที่สุด! เข้าใจมั้ย”
“เจ้าค่ะ” น้อยรับคำ
พิศหยิบพริกหยวกที่บ่าวคนหนึ่งกำลังชักไส้ออกอยู่ขึ้นมาดูแล้วด่า “ทำไมเอ็งมือหนัก ชักไส้จนพริกช้ำยังงี้หา” พร้อมกันนั้นก็ปาพริกหยวกใส่หน้าบ่าวคนนั้นอย่างไม่ปราณีปราศรัย “ถ้าวันนี้เอ็งทำไม่ดี เอ็งไม่ต้องกินข้าว”
บ่าวลนลานเก็บพริกหยวกขึ้นมา ท่าทางกลัวพิศมาก
ระหว่างนั้นนายเพียรพานายชดและบัวขึ้นเรือนมา พอเห็นพิศกำลังยืนคุมบ่าวทำงานอยู่ก็รีบสั่งให้นายชดกับบัวลงนั่ง นางด้วงหันมาเห็น
“เอ้า..ไอ้เพียร เอ็งพาใครมาน่ะ”
พิศหันมามองตาม แต่เห็นหน้าบัวไม่ชัดเพราะบัวก้มหน้าและมีผ้าโพกผมบังหน้าอยู่ตลอดเวลา
“มีคนมาขอพบท่านเจ้าคุณ เรื่องส่งค่าเช่าที่นาขอรับ” นายเพียรบอก
พิศบอกนายเพียร “ไปตามพ่อมาสิ”
เห็นเพียรเดินเข้าไปในเรือน
ครู่ต่อมาพระยาสมานเดินเข้ามานั่งที่ตั่ง นายเพียรตามกลับมาด้วย บ่าวไพร่ที่อยู่แถวนั้นรีบเข้ามายกน้ำชาและพัดวีเอาใจกันเป็นการใหญ่ พิศเดินมานั่งกับพ่อ
“เอ้า เอ็งมีอะไรก็ว่ามา ไอ้ชด”
“คือว่า...ทีแรกกระผมตระเตรียมอัฐจะเอามาเป็นค่าเช่าที่นาให้ท่านเจ้าคุณขอรับ แต่กระผมถูกโจรมันปล้นเอาอัฐไปจนหมดเนื้อหมดตัว ปีนี้กระผมก็เลยไม่มีค่าเช่าที่นามาให้ท่านขอรับ” นายชดเรียนท่านเจ้าคุณท่าที
“อ้าว...ไม่มีอัฐมาให้ข้า ข้าก็ต้องยึดที่นาคืน เอ็งก็ต้องไปอยู่ที่อื่นสิ”
นายชดรีบคลานเข้าไปเกาะขาพระยาสมานแล้วยกมือขึ้นพนมไหว้ปลกๆ
“ถ้าท่านเจ้าคุณยึดที่นาไปแล้ว กระผมกับลูกก็จะไม่มีที่อยู่ ที่ทำมาหากิน กระผมกับลูกก็ไม่รู้จะอยู่กันได้ยังไงน่ะขอรับ ขอความเมตตากระผมกับลูกด้วยเถิดขอรับท่านเจ้าคุณ จะให้กระผมกับลูกกราบก็ยอม”
นายชดกวักมือเรียกบัวให้เข้ามากราบพระยาสมานเพื่อขอความเห็นใจ บัวรีบคลานเข้ามา จังหวะนั้นผ้าโพกผมของบัวหลุดออก เปิดเผยให้เห็นใบหน้าสวยงามของบัว
พระยาสมานตะลึงงัยชอบบัวในทันที พิศมองดูอยู่ขมวดคิ้วฉับ รู้ทันทีว่าพ่อชอบบัวเข้าให้แล้ว พิศไม่พอใจ นางด้วงเองก็หน้าตึงขึ้นมาเช่นกัน
“แต่เห็นแก่ว่าข้าก็รู้จักเอ็งมานาน แล้วเอ็งก็ส่งดอกให้ข้าทุกปีไม่เคยขาดเอาเช่นนี้แล้วกัน เอ็งเอาลูกเอ็งขัดดอกไว้ก่อน แล้วมีอัฐเมื่อไรค่อยมาไถ่ตัวมันกลับไปก็แล้วกัน”
นายชดจะไม่ยอม “แต่...”
บัวรีบจับมือพ่อห้าม “เอาเถิดจ้ะพ่อ ถ้านี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้เราไม่ถูกยึดที่นาไป ข้าก็ยอมจ้ะ”
นายชดจะไม่ยอม แต่บัวพยักหน้าให้นายชดเป็นเชิงว่า..ให้เอาตามนี้ พระยาสมานถามย้ำ
“เอ้า...ว่าไงล่ะไอ้ชด”
นายชดไม่ยอมตอบ บัวเลยตอบแทน
“ตกลงเจ้าค่ะ”
นายชดคอตก ในขณะที่พระยาสมานยิ้มออกมาทันที บัวมองหน้าพระยาสมาน สีหน้าหวาดหวั่นแต่พยายามนิ่งไว้ ส่วนพิศมองอาการพ่อแล้วเดาออกทุกอย่าง แต่ก็ไม่พูดอะไร
พระยาสมานเอ่ยขึ้น “เอ้า! นังด้วง พาแม่บัวไปเรือนพักทีไป๊” นิ่งคิดอยู่นิดหนึ่ง “แต่เรือนหลังท่าจะแออัดกันเกินไปแล้ว ให้ไปอยู่ที่กระท่อมท้ายสวนก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะ” นางด้วงเข้าไปหาบัว “มาสิ! ข้าจะพาไปที่กระท่อม”
พิศเห็นพ่อมองบัวไม่ละสายตาเลย ก็ตัดสินใจพูดขึ้นมาทันที
“เดี๋ยวค่ะเจ้าคุณพ่อ”
พระยาสมานแปลกใจ “มีอะไรรึลูกพิศ”
พิศเดินเข้าไปดูหน้าบัวใกล้ๆ “นังนี่หน้าตามันสะอาดสะอ้านเกลี้ยงเกลาดี พิศอยากได้ไว้ใช้งานค่ะเจ้าคุณพ่อ”
พระยาสมานหน้าเจื่อนไป “โธ่..ลูกพิศ จะอยากได้คนบ้านนอกคอกนามารับใช้ใกล้ตัวทำไม เดี๋ยวมันจะทำเซ่อซ่าให้พิศรำคาญเสียเปล่าๆ ให้มันไปอยู่กระท่อมท้ายสวนโน่น แล้วก็ช่วยงานในโรงครัวไป..ไม่ดีกว่ารึ”
“แต่พิศอยากได้มันนี่คะ”
“แต่พิศก็มีนังด้วงอยู่แล้วนี่ลูก”
พิศย้อนถามเสียงแข็ง
“ตกลงเจ้าคุณพ่อจะไม่ยกนังทาสคนใหม่นี่ให้พิศรึคะ”
ครู่ต่อมาสองพ่อลูกอยู่ตรงลานบ้านพระยาสมาน นายชดจับบ่าสองข้างของลูกสาวไว้ มองหน้าบัวท่าทางเป็นห่วงอย่างยิ่ง
“ถ้าพ่อมีทางอื่น พ่อจะไม่ยอมทำอย่างนี้เลยบัวเอ๊ย”
“แต่พ่อต้องทำจ้ะ เพราะพ่อจะอยู่ดูแลที่นาเราได้ดีกว่าฉัน แล้วปีหน้า...พอพ่อขายข้าวได้อัฐ พ่อก็ค่อยเอาอัฐมาไถ่ตัวฉันกลับบ้าน...ก็แค่ปีเดียวเอง..นะจ๊ะพ่อ..นะจ๊ะ” บัวอ้อนวอน
นายชดพูดอะไรไม่ออก ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ ให้ค่ำมั่น แล้วอดใจไม่ไหว โผเข้ากอดบัวก่อนจะร้องไห้ออกมา สองพ่อลูกเลยกอดกันร้องไห้อยู่ตรงนั้นเอง สักครู่นายชดก็ค่อยผละออกจากบัว แล้วค่อยเดินกลับ ไปแต่ไม่วายเหลียวกลับมามองดูลูกสาวด้วยความเป็นห่วงอย่างที่สุด บัวมองตามจนพ่อลับตาไปแล้ว ก็เดินกลับขึ้นเรือน
พิศนั่งอยู่ในห้อง โดยมีนางด้วงปรนนิบัติพัดวีอยู่ใกล้ๆ บัวค่อยๆ เดินเปิดประตูห้องเข้ามาหน้าตาตื่นกลัว พอเห็นพิศนั่งอยู่ บัวก็ค่อยๆ ลงนั่งแต่ไกลแล้วคลานเข่าเข้าไปหา ก่อนจะกราบพิศที่เท้าอย่างเรียบร้อย
“บ่าวขอบพระคุณ คุณพิศเจ้าค่ะที่เมตตาให้บ่าวคอยอยู่รับใช้ใกล้ชิด บ่าวสัญญาว่า..บ่าวจะรับใช้คุณพิศอย่างดีที่สุดเจ้าค่ะ”
พิศสะบัดเท้าหนีบัวอย่างไม่แยแส
“เอ็งคงนึกว่าข้าชอบเอ็งสินะ” น้ำเสียงของพิศทั้งเยาะและเย้ยอยู่ในที ขณะกล่าวคาดโทษ “ฮึ ข้าแค่ไม่อยากให้เอ็งเอาพ่อข้าเป็นผัวได้ง่ายๆ ต่างหาก แล้วจำไว้ ถ้าเอ็งไม่อยากโดนหวาย เอ็งก็ต้องเก็บเนื้อเก็บตัวให้ดีๆ อย่ายุ่งกับพ่อข้า เข้าใจมั้ย”
บัวฟังแล้วถึงกับอึ้งไปเลย
พระจันทร์บนท้องฟ้าในค่ำคืนนี้เว้าแหว่ง ดุจวิถีชีวิตของบัวในยามนี้ บัวที่นอนอยู่หน้าเตียงของพิศ โดยมีนางด้วงนอนอยู่ห่างออกไปหน่อย บัวมองไปรอบๆ อย่างไม่คุ้นเคยกับที่ เห็นพิศนอนหลับอยู่บนเตียง ท่าทางสุขสบาย นางด้วงนอนหลับอยู่ที่พื้นใกล้ๆ
บัวหันกลับมามองตัวเอง แล้วถอนใจยาว สะท้อนใจนักกับชะตาชีวิตที่พลิกผัน จากคนอิสระต้องกลายมาเป็นทาสเพียงชั่วข้ามคืน!
รุ่งเช้าวันต่อมา พระยาโกสินทร์กำลังสั่งบ่าวไพร่จัดบ้านเพื่อเตรียมจัดงานเลี้ยงฉลองการกลับมาของลูกชายทั้งสองอยู่อย่างโกลาหล
“นายสน..เอากระถางต้นไม้มาลงตรงนี้”
นายสนกับบ่าวชายอีกคน ช่วยกันขนกระถางมาเรียงจัดสถานที่กันตามคำสั่ง ฉัตรอยู่ในชุดเครื่องแบบนายทหาร กับฉายอยู่ในสูทโก้จะออกไปทำงาน สองหนุ่มมองดูบิดาสั่งงานเหล่าบ่าวไพร่
“ดูท่าท่านเจ้าคุณพ่อตั้งใจจัดงานเลี้ยงฉลองต้อนรับการกลับมาของเราสองคนจริงๆ” ฉัตรว่ายิ้มๆ
“ก็เพราะเจ้าคุณพ่อท่านมุ่งมั่นจะให้พี่เลือกคู่จากลูกท่านหลานเธอที่เจ้าคุณพ่อเชิญมางานเลี้ยงมาก”
“พี่ฉัตรจะเลือกใคร ก็เลือกให้ดีนะขอรับ อย่าเลือกผิดอย่างผมก็แล้วกัน”
ฉัตรหันไปมองหน้าฉายอย่างตกใจ แล้วเห็นฉายทำหน้าเซ็ง ฉัตรก็เข้าใจทันทีว่าชีวิตคู่ของฉายกับแอนนาคงไม่ได้ราบรื่นอย่างที่เห็น
“แต่เรื่องของหัวใจ..ใครจะกำหนดได้เล่าฉาย”
สีหน้าฉัตรขณะพูดคิดคำนึงถึงบัวขึ้นมาจับใจ
ขณะเดียวกันพิศ นางด้วง และบัวมาที่ตลาดตรงร้านขายเครื่องเทศ บัวนั้นมองรอบๆ ตัวอย่างตื่นตา นางด้วงมองบัวอย่างหมั่นไส้
“คุณพิศมาตลาดเครื่องเทศทำไมหรือเจ้าคะ” นางด้วงเอ่ยถาม
“ข้าก็จะมาหาซื้อเครื่องเทศเอาไปทำกับข้าว ไปช่วยงานที่บ้านท่านเจ้าคุณโกสินทร์น่ะสิ งานนี้ข้าจะทำกับข้าวคาวหวานให้สุดฝีมือทีเดียว”
นางด้วงเยินยอเอาใจ “แหม..ฝีมือคุณพิศทำกับข้าวน่ะล้ำเลิศหาคนเทียบฝีมือยากเจ้าค่ะ”
พูดแล้วนางด้วงก็เหลียวมามองดูบัวด้วยความหมั่นไส้
“ว่าแต่ว่าคุณพิศเอานังบัวมันมาด้วยทำไมเจ้าคะ เซ่อๆ ซ่าๆ อย่างนั้น ประเดี๋ยวก็ทำคุณพิศขายหน้าเขาเสียเปล่าๆ”
“ข้าก็ไม่ได้พิศวาสอะไรมันนักหรอกนังด้วง แต่ข้าไม่อยากทิ้งมันไว้ที่เรือนให้เป็นเหยื่อปากเหยี่ยวปากกา เอ็งก็รู้..พ่อข้าน่ะชอบใฝ่ต่ำขนาดไหน”
พิศเน้นคำตอนท้าย นางด้วงเม้มปากสะกดอารมณ์ฉุนไว้ พิศไม่สนใจ ซื้อของไปเรื่อย นางด้วงรับของที่พิศเลือกซื้อมาแล้วโยนให้บัวหอบหิ้วอยู่คนเดียวเลย
“แต่นอกเหนือจากข้าจะมาซื้อเครื่องเทศไปทำกับข้าวแล้ว ข้ายังมีธุระอื่นอีกด้วย”
“ธุระอะไรหรือเจ้าคะ” นางด้วงสงสัย
พิศไม่ตอบ แต่ชะเง้อมองไปทางข้างหน้า ยังไม่บอกอะไรนางด้วงแต่กวักมือเรียกบัวให้เข้ามาหา บัวหน้าเหวอเดินเข้ามาหา
“เจ้าคะ”
“เอ็งช่วยข้าเลือกลูกจันทน์ที เอ็งลองเขย่าดูอย่างนี้นะ” พิศทำตัวอย่างให้ดู “ถ้ามันมีเสียงกุกกักอยู่ข้างใน ถึงเลือกเอาไว้ แต่ถ้ามันไม่มีเสียงแสดงว่ามันเสียแล้ว ใช้ไม่ได้ เอ็งเลือกไปประเดี๋ยวข้ามา
เห็นพิศทำท่าจะเดินไปบัวหน้าตื่น “อ้าว..คุณพิศจะทิ้งบ่าวไว้ตรงนี้คนเดียวหรือเจ้าคะ”
พิศหงุดหงิด “เออสิ! ถามเซ้าซี้จริง! ข้าไปธุระแค่นี้ ประเดี๋ยวเดียวก็กลับมา เอ็งคอยอยู่ที่นี่ละ ห้ามไปไหนเด็ดขาดจนกว่าข้ากับนังด้วงจะกลับมา เข้าใจมั้ย! เลือกไป!”
“เจ้าค่ะๆ” บัวรีบก้มหน้าเลือกลูกจันทน์ตามพิศสั่ง
พิศมองอยู่สักครู่ แล้วกวักมือเรียกให้นางด้วงเดินตามไป นางด้วงรีบกระวีกระวาดตามพิศไปโดยเร็ว
บ่วงวันวาร ตอนที่ ๑ (ต่อ)
ไม่นานต่อมา นางด้วงเดินตามพิศไปทางมุมหนึ่งของตลาด
“คุณพิศจะไปไหนหรือเจ้าคะ ทำไมถึงต้องทิ้งนังบัวไว้ที่ตลาดเครื่องเทศด้วย”
“ข้าไม่อยากให้มันเอาไปพูดต่อไปได้น่ะนังด้วง” พิศพูดเสียงเบาลง “ข้าอยากเห็นหน้าคุณฉัตร..ลูกชายท่านเจ้าโกสินทร์สักหน่อย อยากรู้นักว่าจะงามสง่าจริงอย่างที่เขาเล่าลือรึเปล่า”
นางด้วงยิ้มทันทีแต่แล้วก็รีบหุบยิ้ม ทำสำรวมเพราะกลัวพิศจะหาว่าลามปาม แล้วทั้งคู่ก็เดินไป
ทางด้านบัวกำลังยืนเลือกลูกจันทน์อยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ สักครู่รถเจ๊กของฉัตรก็ลากมาทางบัวอยู่ ฉัตรมองดูผู้คนในตลาดเรื่อยๆ อย่างไม่ตั้งใจ
แต่แล้วสายตาของฉัตรเห็นบัวกำลังยืนเลือกเครื่องเทศอยู่อย่างตั้งใจ
ฉัตรตกใจแกมประหลาดใจ “แม่บัว” ฉัตรรีบชะโงกหน้าไปดูซ้ำอีกที
แต่ฉัตรไม่เห็นบัวแล้ว เพราะมีลูกค้าคนอื่นเดินมาเลือกซื้อของแล้วยืนบังบัวพอดีกับจังหวะที่รถเจ๊กถูกลากเลยไปด้วย
ฉัตรขมวดคิ้ว นิ่งคิดอยู่สักครู่ก็คิดว่าตัวเองตาฝาดไป
“บ้าจริง..คิดถึงจนเห็นใครก็เป็นแม่บัวไปหมด”
ฉัตรนึกขำตัวเอง รถเจ๊กลากผ่านไป ขณะที่บัวยังคงเลือกซื้อเครื่องเทศอยู่โดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย
ด้านพิศยืนคอยอยู่ลำพัง สักครู่จึงเห็นนางด้วงก็เดินเร็วๆ เข้ามาหา
“บ่าวไปถามมาแล้วเจ้าค่ะคุณพิศ คุณฉัตร..ลูกชายท่านเจ้าคุณโกสินทร์ออกไปราชการข้างนอก สักครู่ถึงจะกลับเจ้าค่ะ”
พิศมีสีหน้าผิดหวัง
“คุณพิศจะรอมั้ยเจ้าคะ หรือว่าจะกลับเรือน”
“ไหนๆก็มาถึงนี่แล้ว รอสักหน่อยจะเป็นไรไป” พิศว่า
“เจ้าค่ะ” นางด้วงเอาพัดมาพัดเอาใจพิศเต็มที่
สักครู่รถเจ๊กของฉัตรก็ลากเข้าเฟรมมา พิศกับนางด้วงชะเง้อมองตาม
“จะใช่คันนั้นรึเปล่าก็ไม่ทราบนะเจ้าคะ”
พิศมองเห็นฉัตรที่นั่งมาในรถ ท่วงท่าสง่ามาก จนฉัตรลงจากรถแล้วเดินขึ้นตึกไป นางด้วงรีบวิ่งเข้าไปที่คนขับ ถามอะไรบางอย่าง แล้ววิ่งกลับมาหาพิศ
“ใช่คุณฉัตรจริงๆด้วยเจ้าค่ะ แหม..งามสง่าสมคำร่ำลือจริงๆ”
พิศมองตาม ตาเป็นประกายชอบใจ
กลับมาบ้านพระยาสมาน นางด้วงมาเม้าท์เรื่องที่ตลาดให้บ่าวในครัวฟังเรื่องฉัตร
“วันนี้ข้าไปเห็นหน้าตาคุณฉัตร ลูกชายท่านเจ้าคุณโกสินทร์มาแล้วนะ งามสง่าสมคำร่ำลือจริงๆ แหม๊ คุณพิศของเรา..เธอก็สวย คุณฉัตรก็งาม สมกันราวกับกิ่งทองใบหยกจริงๆ”
นางแดงท้วงขึ้นมา “เขายังไม่ได้ทาบได้ทามกัน เอ็งก็พูดมากไปแล้วนังด้วง ว่าแต่เอ็งเหอะ ไปเห็นคุณฉัตรที่ไหนล่ะ”
“ก็ไปเห็นที่...” นางด้วงเกิดนึกได้ว่าพิศไม่ให้บอกใครว่าไปแอบดูมา “เอ้อ...แถวตลาดน่ะ คุณพิศเธอไปซื้อเครื่องเทศ แล้วรถคุณฉัตรผ่านมาพอดี”
นางพุ่มขัดขึ้น “ไปซื้อเครื่องเทศ แล้วไหนล่ะเครื่องเทศ”
นางด้วงนั่งนึกบางอย่าง แล้วตกใจทำตาโต “ว้าย! ข้าลืมนังบัวไว้ที่ตลาดเครื่องเทศ”
นางแดงร้อง “ตายๆๆ ป่านนี้นังทาสคนใหม่มิร้องไห้ตายไปแล้วเรอะ”
นางด้วงหันซ้ายหันขวา แล้วหันกลับมาทางน้อยรนั่งอยู่ “นังน้อยแน่ะ ไปพานังบัวกลับมาบ้านทีสิไป๊”
น้อยลุกขึ้นล้างมือพลางบ่น “พี่ด้วงลืมคนทั้งคนได้ยังไง”
นางด้วงแก้ต่าง “ข้าก็มัวห่วงแต่คุณพิศน่ะสิ ไปๆๆๆ รีบๆ ไปรับมันเลย”
น้อยทำหน้าอ่อนใจกับนางด้วงที่ชอบผลักภาระให้คนอื่น น้อยเดินออกไป นายเพียรรีบลุกตามไป
น้อยจะรีบเดินไวๆ ไปรับบัวที่ตลาดเครื่องเทศ นายเพียรตามมาติดๆ
“ข้าไปด้วย”
“ไม่ต้อง งานเอ็งก็มี ไปทำงานเอ็งเถอะ” น้อยบอก
นายเพียรท่าทางขึงขัง “แต่ข้าจะต้องตามไปคุมเอ็ง ไม่ให้เอ็งเถลไถลไปไหน”
“ทาสในเรือนเบี้ยอย่างข้าจะเถลไถลไปไหนได้ เกิดที่เรือนนี้ มันก็ต้องตายอยู่ที่เรือนนี้แหละว้า แล้วเอ็งเอง..ก็เป็นทาสในเรือนเบี้ยเหมือนกับข้า จะต้องมาคุมข้าทำไม”
นายเพียรโมโห “ข้าไม่ใช่ทาสในเรือนเบี้ย ข้าเป็นลูกชายของท่านเจ้าคุณคนหนึ่งเหมือนกัน”
น้อยส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “เอาไว้ท่านเจ้าคุณท่านยอมรับเอ็งเป็นลูกก่อนเถอะน้า เอ็งค่อยมาคุมข้า”
จากนั้นน้อยก็วิ่งหนีเพียรไปเลย นายเพียรไม่ยอมแพ้ วิ่งตามไปติดๆ
น้อยวิ่งมาตามทาง นายเพียรวิ่งตามมา น้อยเหลียวไปมองเพียร ทำให้ไม่ทันระวังตัวจึงโดนรถของฉายที่แล่นมาจากอีกทางชนปัง น้อยล้มลงกับพื้นทันที
นายเพียรตกใจมาก “น้อย”
ฉายเองก็ตกใจไม่แพ้กัน วิ่งลงจากรถ เห็นนายเพียรเข้าไปพลิกตัวน้อยให้หงายขึ้น ฉาย เห็นน้อยปรือตาขึ้นมา แล้วสูดปากด้วยความเจ็บ เพราะช้ำถูกรถกระแทกแต่ไม่มีแผลได้เลือด
“อูย”
“เจ้า..เป็นอย่างไรบ้าง เจ็บตรงไหน” ฉายถาม
น้อยยังงงๆ อยู่ แล้วมองไปที่ฉาย ทั้งสองประสานสายตากัน แล้วต่างก็ตกอยู่ในภวังค์ทันที
ขณะเดียวกันนายเพียรเห็นสองคนมองตากัน ก็ให้รู้สึกสังหรณ์ใจอย่างประหลาด
“ตกลงมีเจ็บตรงไหนไหม” ฉายถามย้ำ
“เอ้อ..บ่าวไม่เป็นอะไรมากหรอกเจ้าค่ะ” น้อบยอก
นายเพียรประคองน้อยลุกขึ้น “ไม่เป็นไรหรอกขอรับ”
“เจ้าไม่เป็นไรแน่นะ” ฉายถามอีก
“เจ้าค่ะ”
“ฉันเองก็ต้องขอโทษเจ้า ที่ขับรถเร็วไปหน่อย ทำให้หยุดรถไม่ทัน” ฉายขอโทษขอโพย
นายเพียรขัดขึ้น “ไม่ต้องขอโทษหรอกขอรับ บ่าวเรือนกระผมมันเดินเซ่อซ่าเอง เชิญท่านเถิดขอรับ”
ฉายพยักหน้าแล้วเดินกลับไปขึ้นรถ แต่ตายังมองน้อยด้วยแววตาเป็นห่วง นายเพียรเม้มปากไม่พอใจ ยิ่งเห็นน้อยมองตามรถฉายที่แล่นออกไปจนลับตา ก็ยิ่งไม่พอใจมากขึ้น
“อย่าเผยอเกินตัวเลยนังน้อย เขาแต่งตัวโก้หร่านออกอย่างนั้น เขาต้องเป็นลูกผู้ลากมากดีแน่ แต่เอ็งน่ะเป็นแค่ทาสในเรือนเบี้ย เอ็งหวังสูงได้อย่างมากก็ข้านี่ละ รู้ตัวไว้ซะด้วย”
น้อยเหนื่อยใจนัก พูดใส่หน้า “แต่ข้าไม่ได้รักเอ็ง ไม่เคยรัก และไม่คิดจะรัก”
นายเพียรโมโห “แต่ถ้าข้าไปขอเอ็งจากท่านเจ้าคุณ และท่านเจ้าคุณยกเอ็งให้ข้า เอ็งก็ต้องเป็นเมียข้า เอ็งขัดคำสั่งท่านเจ้าคุณ..พ่อข้า..ไม่ได้หรอก”
น้อยโมโห สะบัดตัวออกจากเพียรแล้วเดินปึงๆ ไปตลาดเครื่องเทศ นายเพียรตามไป
ตกกลางคืน พิศกำลังคุมบ่าวยกสำรับกับข้าวปรนนิบัติพระยาสมานอยู่ บัวค่อยๆ คลานเข่าเข้ามา
พิศเอ็ด “ไปไหนมา”
บัวตอบอย่างซื่อๆ “บ่าวก็รอคุณพิศกับพี่ด้วงอยู่ที่ตลาดเครื่องเทศน่ะสิเจ้าคะ”
นางด้วงพาล “เอ็งมัวแต่เตร็ดเตร่อยู่ที่ตลาดจนค่ำมืดน่ะสิ”
“ข้าเปล่าเตร็ดเตร่นะพี่ด้วง ก็คุณพิศสั่งข้าไว้ว่าให้ข้าคอยอยู่ที่ตลาด ห้ามไปไหนเด็ดขาดจนกว่าคุณพิศกับพี่ด้วงจะมา”
พิศชะงัก เพิ่งนึกได้ “อ้อ” แต่ก็พูดพาลหาเรื่อง “แล้วเอ็งเห็นข้ากับนังด้วงไม่กลับไปที่ตลาด ทำไมเอ็งไม่รู้จักหาทางกลับบ้านเองเล่า ก็โง่เซ่ออย่างนี้นี่เล่าถึงต้องมาเป็นทาสขัดดอกเขา”
บัวหน้าเจื่อนไปเลย
พระยาสมานสบโอกาส “ก็พ่อบอกลูกแล้วว่า..นังบัวนี่ท่าจะโง่เง่าเซ่อซ่า ลูกอย่าเก็บมันไว้รับใช้ใกล้ตัวเลย ลูกจะเหนื่อยใจกับมันเสียเปล่าๆ ให้มันลงไปอยู่กับพวกในโรงครัวโน่นดีกว่ามั้ง”
พิศสวนคำเสียงเขียวขึ้นมาทันที “ไม่ค่ะเจ้าคุณพ่อ! ถึงนังนี่มันจะโง่เง่าแค่ไหน แต่พิศก็จะเอามันไว้รับใช้ใกล้ตัวอย่างนี้แหละค่ะ ผิดนักก็เฆี่ยนให้มันตายคาหวายไปเลย เจ้าคุณพ่อมีปัญหาอะไรมั้ยคะ”
พระยาสมานหน้าแหยๆ “มะ..ไม่มีจ้ะ”
พิศยกสำรับปรนนิบัติพระยาสมานต่อ บัวก็เห็นพิศยกสำรับปรนนิบัติพระยาสมาน ก็เข้าไปช่วยอย่างมีน้ำใจดี พระยาสมานมองบัวทุกอิริยาบถด้วยตาลุกวาว
พระยาสมาน มองหน้าอกบัวเขม็ง แล้วหายใจหนักๆ พิศมองพ่อตาเขียว แต่พ่อไม่รู้ตัว พิศไปเล่นงานบัวแทน
“ใครใช้ให้เอ็งขึ้นมานังบัว ! สาระแนนัก ! ลงไปไป๊”
บัวเหวอ
พิศย้ำ “เอ๊ะ! นังนี่ หูดับรึไง ข้าบอกให้ลงไปไง”
บัวลนลานรับคำแล้วรีบคลานออกไป พิศตวัดตามองดูพ่อที่มองตามบัวไปอย่างไม่พอใจ
ไม่นานต่อมา ที่มุมหนึ่งแถวเรือนทาส บัวนั่งเจียนใบตองอยู่อย่างเซ็งๆ น้อยมองบัวอย่างเข้าใจอารมณ์
“เอ็งน่ะยังโชคดีกว่าทาสอีกหลายคนที่นี่นะ ได้ขึ้นไปรับใช้บนเรือน ไม่ต้องทำงานตากแดดอยู่กลางทุ่งกลางนาอย่างคนอื่นน่ะ”
“โชคดียังไง เคยอยู่อย่างอิสระ จู่ๆก็ต้องมาเป็นทาสเขา ถูกเขากดขี่ย่ำยีเอาตามอำเภอใจอย่างนี้” บัวบ่น
“แต่เอ็งเป็นแค่ทาสขัดดอก สักวัน..เอ็งก็จะได้กลับบ้านแต่ข้าสิ เป็นทาสในเรือนเบี้ย เกิดมาก็เป็นทาส แล้วก็ต้องเป็นทาสเขาไปจนวันตาย”
บัวมองหน้าน้อยอย่างพิจารณา น้อยเงยหน้ามาเห็นบัวมองอยู่ก็ยิ้มให้ด้วยไมตรี
น้อยพยักหน้ารับรู้ เศร้าไปด้วย “แต่เราก็ควรจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความหวังไม่ใช่รึ”
บัวพยักหน้าเห็นด้วย นางทาสสองคนยิ้มให้แก่กันอย่างเป็นมิตร
ที่เรือนพระยาโกสินทร์ เวลากลางวันของวันใหม่ ฉัตรกำลังช่วยบิดาดูบ่าวไพร่จัดบ้านเตรียมงานอยู่ ได้ยินเสียงของแอนนาเดินพูดเข้ามาใกล้ๆ เธอพูดเป็นภาษารัสเซีย
“ฉายคิดจะให้แอนนาใส่ชุดนี้จริงๆ หรือนี่”
ฉัตรเงยหน้าขึ้นมอง เห็นแอนนาเดินถือเสื้อชุดไทยเข้ามา โดยมีฉายเดินตามหลัง แอนนาเอาเสื้อทาบกับตัวให้ฉายดู
“นี่มันชุดไทยนะ มันเข้ากับแอนนาเสียที่ไหนกัน”
ฉายพูดตอบเป็นภาษารัสเซีย น้ำเสียงอ่อนโยน ท่าทีประนีประนอม “แต่งานนี้มีแต่ผู้หลักผู้ใหญ่ ถ้าหล่อนใส่ชุดไทย จะได้เข้าหาผู้ใหญ่ได้ง่าย”
แอนนาหน้าหงิกหน้างอ เดินออกไป ฉายรีบเดินตามไป ฉัตรมองตามแล้วถอนใจ พระยาโกสินทร์เข้ามาอีกทาง ตามองตามไปยังทางที่แอนนากับฉายเดินออกไปเมื่อครู่
“ตอนอยู่เมืองนอกก็คงสวยงามดีอยู่หรอก เพราะมองไปทางไหนก็ล้วนแต่ผิวขาวผมทองกันทั้งนั้น แต่พอมาอยู่ที่นี่..ไอ้ผิวขาวผมทองนั่นน่ะ..มันแปลกประหลาดสิ้นดี..พ่อดีใจนะที่อย่างน้อยฉัตรก็ไม่ได้คว้าเมียแหม่มกลับมาเหมือนฉาย ฉัตรพยายามหาลูกสะใภ้คนโตให้ถูกใจพ่อหน่อยก็แล้วกัน”
ฉัตรฟังคำพูดของบิดาแล้วมีสีหน้าหนักใจ
ขณะเดียวกันที่เรือนพระยาสมาน พิศลงมือทำกับข้าวด้วยตัวเอง ท่าทางคล่องแคล่วและดูออกว่าเก่งเรื่องทำอาหารทั้งคาว หวานจริง มีน้อยกับนางด้วงคอยช่วยส่งวัตถุดิบให้เป็นระยะๆ
พิศโชว์ฝีมือทำกับข้าวคาว หวาน หลายอย่าง อาทิ จ่ามงกุฎ ปั้นขลิบ พริกหยวกแช่อิ่ม เป็นของหวาน ถูกบรรจงวางลงบนถาด หน้าตาน่ากินมาก พิศมองอย่างภาคภูมิใจ
นางด้วงรีบประจบ “หน้าตาน่ากินทุกอย่างเลยเจ้าค่ะคุณพิศ เชื่อเถิดเจ้าค่ะ ลูกชายท่านเจ้าคุณโกสินทร์ได้ลิ้มรสมือของคุณพิศแล้ว..จะต้องติดใจแน่ๆ”
พิศยิ้มพอใจ แล้วพิศกับนางด้วงก็จัดแจงให้บ่าวแต่ละคนช่วยถือถาดสำรับกับข้าวคาว-หวานกัน พิศเอาถาดใส่ชามแกงใบหนึ่งส่งให้บัวถือ
“เอ้า..นังบัวถือดีๆ อย่าให้หกเชียวนะ ถ้าเอ็งทำหก ข้าจะเฆี่ยนให้หลังลายเลยเชียว” พิศเสียงดัง
บัวประคองถาดเต็มที่
“แล้วก็ห้ามวางที่ไหนจนกว่าจะถึงเรือนท่านเจ้าคุณโกสินทร์ เข้าใจมั้ยนังบัว” พิศพูดสำทับ
บัวรับคำ “เจ้าค่ะ”
ระหว่างนั้นพระยาสมานเดินเข้ามา นายเพียรตามติดมาคอยรับใช้ บัวเห็นพระยาสมานมาก็รีบหลบหลังบ่าวคนอื่น ก้มหน้างุดทันที
พระยาสมานเอ่ยถาม “ของจะเอาไปช่วยงานบ้านเจ้าคุณโกสินทร์รึลูกพิศ”
“ค่ะเจ้าคุณพ่อ พิศตระเตรียมอยู่หลายวันทีเดียว”
“ลูกพ่อเป็นแม่ศรีเรือนจริงๆ พ่อเชื่อ..งานนี้ลูกชายท่านเจ้าคุณโกสินทร์ต้องมองเจ้าคนเดียวแน่ๆ”
พิศยิ้มปลื้มใจ จากนั้นขบวนเริ่มเคลื่อนออกจากเรือนพระยาสมานไป
สองขบวนมาเจอกัน ตรงบริเวณทางบรรจบกันพอดี นางด้วงรีบบอกพิศ
“ขบวนจากเรือนคุณชื่น ลูกสาวคุณพระสุเมธเจ้าค่ะ”
พิศเม้มปากแน่นไม่พอใจ แต่พอเห็นคุณพระสุเมธไหว้พระยาสมาน พิศก็รีบปั้นหน้ายกมือไหว้คุณพระสุเมธตามมารยาท ชื่นกับพิศไหว้ทักทายกัน แต่สีหน้าเย็นชาต่อกันอย่างชัดเจน
พระยาสมานถามไถ่ “จะไปบ้านท่านเจ้าคุณโกสินทร์เหมือนกันรึคุณพระ”
“ขอรับ” พระสุเมธตอบ
ขณะที่ผู้เป็นบิดาทักทายกันนั้น พิศก็แอบมองสำรวจในขบวนโน้นบ้าง เห็นชื่นแต่งตัวสวยงามไม่แพ้เธอ สองสาวมองตากันแล้วเมินหน้าใส่กันอย่างศัตรู
พิศขมวดคิ้ว นางด้วงชะโงกดูของในขบวนคุณชื่นแล้วรายงาน
“กับข้าวที่ขบวนโน้นจะเอาไปช่วยงานบ้านท่านเจ้าคุณโกสินทร์หน้าตาดี๊ดีเจ้าค่ะ แล้วก็มีขนมจ่ามงกุฏเหมือนของเราเลยเจ้าค่ะคุณพิศ”
พิศหน้าหงิกขึ้นมาทันที นางด้วงมองหน้าพิศก็รู้ตัวว่าปากพาจนซะแล้ว รีบพูดแก้เป็นการใหญ่
“แต่สู้ของคุณพิศไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ของเราน่ากินกว่า”
“แต่ข้าก็ไม่ต้องการให้มีของใครมาเปรียบเทียบกับของข้า ของข้า..ต้องเป็นที่หนึ่งเท่านั้น”
พิศคิดอะไรได้ ปล่อยให้พระยาสมานกับนายเพียร และคุณพระสุเมธเดินล่วงหน้าไปก่อน แล้วพิศก็ดึงตัวนางด้วงเข้ามากระซิบ นางด้วงฟังพิศกระซิบอยู่สักครู่ก็พยักหน้าหงึกๆ
“เจ้าค่ะๆ” นางด้วงรับคำ
พิศหันไปหาบัว “นังบัว..เอ็งไปกับนังด้วงไป๊”
บัวงง “ไปไหนรึเจ้าคะ”
“ไม่ต้องถามได้มั้ย ข้าสั่งให้ไป..เอ็งก็ไปสิ”
บัวทักท้วง “แต่คุณพิศสั่งให้บ่าวถือถาดนี้” พลางยกถาดในมือให้ดู แล้วพูดอย่างซื่อๆ “สั่งว่าห้ามวางที่ไหนจนกว่าจะถึงเรือนท่านเจ้าคุณโกสินทร์นี่เจ้าคะ”
พิศโมโห เดินเข้าไปแย่งถาดจากมือบัว
“เอามานี่ ข้าถือเอง เอ็งไปกับนังด้วงไป๊” พอเห็นบัวยังยืนนิ่งอยู่พิศก็ตะคอกสั่ง “ไปสิ”
บัวละตัวจากขบวนของพิศ เดินตามนางด้วงออกไปแต่ยังหันมามองพิศอย่างงงๆ
พิศมองตามสองคนสักครู่ เห็นบัวก็เดินหลุดขบวนไปแล้ว ธิดาพระยาสมานผุดยิ้มร้ายออกมาทางสีหน้า
ติดตาม "บ่วงวันวาร" ตอนที่ ๒ พรุ่งนี้ เวลา ๐๙.๐๐ น.