เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 9
บรรยากาศยามเช้าที่บ้านหลังเล็กวุ่นวายโกลาหลเล็กๆ ตุ้งแช่อยู่ในชุดนักเรียนแล้ว กำลังโวยวายเรื่องข้าวกล่อง
“พ่ออ่ะ ไข่ต้มอีกแล้วเหรอ ที่เหลือจากเมื่อวานป่ะเนี่ย ไม่มีอะไรที่มันดีกว่านี้แล้วเหรอพ่อ”
โต๊ดด่าขรม “โอ๊ย...เอ็งนี่เรื่องมากจริงเว้ย เอามานี่” คว้ากล่องข้าวไป “ไข่ต้มธรรมดาทำมีปัญหา” จากนั้นก็บ่น “อยากได้ดีกว่านี้ใช่มั้ย งั้นเอ็งเอานี่ไปเลย ไข่ทรงเครื่อง” พลางหยิบผักชีโรยหน้า
ตุ้งแช่รับกล่องข้าวมาดูงงๆ
“แค่เนี้ย โรยผักชีแค่นี้ดีขึ้นแล้วเหรอพ่อ”
ติ่งร้องออกมาอย่างรำคาญ
“กินๆ ไปเหอะไอ้แช่ ไข่พ่อแกมันดีที่สุดได้แค่นี้เว้ย”
โต๊ดตบหัวติ่ง ป้าบ!
ติ่งร้องลั่น “โอ๊ย”
“ลามปามนะมึง ไม่ช่วยแล้วยังจะพูดมากอีก” โต๊ดหันมาทางตุ้งแช่ “ไปไอ้แช่ ไปเรียนได้แล้ว เดี๋ยวพ่อจะออกไปซื้อไข่ที่ตลาด ไปพร้อมกันเลย”
ตุ้งแช่หน้าเบ้ “ไข่อีกแล้ว”
โต๊ดเดินนำไป ตุ้งแช่เดินถือปิ่นโตเดินตามไปแบบเซ็งๆ
กะละแมเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น แต่งชุดเรียบร้อย ติ่งเห็นก็สงสัย เลยเดินเข้ามาถามมองน้องสาวหัวจรดเท้า
“แต่งตัวซะเรียบร้อย จะไปไหนวะ”
“จะออกไปสัมภาษณ์งานที่ร้านกาแฟหน้าปากซอย เห็นเค้าติดป้ายรับสมัครพนักงานหลายตำแหน่ง”
ติ่งด่าตามประสาสันหลังยาว “มีที่อยู่ที่กินฟรีๆ อยู่แล้ว จะหาเรื่องออกไปทำงานให้เหนื่อยทำไมวะ”
“ฉันไม่อยากอยู่บ้านคุณนายเค้าเฉยๆ เกรงใจเค้า ได้เงินเล็กๆ น้อยๆ มาช่วยค่าน้ำค่าไฟบ้างก็ยังดี”
“ร้านกาแฟหน้าปากซอยเล็กกระจึ๋งนึง เค้าจะให้เงินเดือนสักเท่าไหร่ว้า” ติ่งบ่นว่าอีก
“ได้เป็นรายวัน วันละ 150 ถ้าขยันก็ได้เพิ่มเป็นวันละ 200 มีอาหารกลางวัน-เย็น ให้กินฟรี ไม่ต้องเดินทาง รวมๆ แล้วเดือนนึงก็ได้เกือบ 6,000 ถึงจะไม่เยอะแต่ก็ดีกว่านั่งหายใจทิ้งไปวันๆ”
ติ่งสะดุ้งโหยง...เข้าตัวเลยกรู
“ไปด้วยกันไหมพี่ติ่ง ฉันว่าพี่ติ่งน่าจะหาอะไรทำบ้างนะ จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน”
ติ่งบ่ายเบี่ยง “เออๆ แกไปดูลาดเลาก่อนแล้วกัน ถ้าดีจริงเดี๋ยวฉันไปทำด้วยก็ได้”
“เอาให้จริงนะ” กะละแมไม่ไว้ใจพี่ชายเล้ย
“เออน่า..เรื่องฉันค่อยว่ากัน โชคดีนะเว้ย”
ติ่งพูดจบแล้วก็หาวทั้งที่ยังเช้าอยู่ก่อนจะ ทิ้งตัวลงนอนยาว อย่างขี้เกียจ
กะละแมได้แต่ส่ายหน้าแล้วก็เดินออกจากบ้านไป
เวลาเดียวกันรถจักกายแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้านชิณ จักกายก้าวออกจากรถมองผ่านรั้วเข้าไปในบ้านหลังใหญ่
ระหว่างนั้นกะละแมเปิดประตูเล็กเดินออกมาพอดี จักกายเห็นก็รีบเดินเข้าไปหา
“กะละแม”
กะละแมงง “เฮ้ยคุณ...มาได้ไง”
“ย้ายออกจากคอนโดผมทำไมไม่บอก ผมทำอะไรให้คุณไม่พอใจหรือเปล่า หรือว่าผมดูแลคุณไม่ดี”
“มันไม่เกี่ยวกับดูแลดีหรือไม่ดี”
“แล้วเกี่ยวกับอะไร คุณบอกผมสิ ผมจะได้ทำให้ถูกใจคุณ” จักกายพิรี้พิไร
กะละแมตัดบท “คุณอย่าเสียเวลามาทำดีกับฉันเลย ฉันว่าคุณเอาเวลาไปดูแลคนที่คุณควรดูแลมากกว่าฉันดีกว่า”
จักกายงง “ใคร”
“คิดดูเอาเองสิว่าตอนนี้ใครกำลังเดือดร้อน และรอความช่วยเหลือจากคุณอยู่”
กะละแมพูดจบก็จะเดินหนี...จักกายรีบคว้ามือไว้
“อย่าพูดอะไรกำกวมได้ไหม บอกมาว่าคุณหมายถึงใคร”
“คิดเอาเอง คนใกล้ตัวแท้ๆ มองไม่เห็น แล้วก็…” กะละแมมองมือที่ถูกจับอยู่ “ปล่อยฉัน”
ทว่าจักกายไม่ยอมปล่อยอยู่ดี
จังหวะเดียวกันนั้น ชิณเดินออกมาจากตัวบ้าน พลันสายตาเหลือบไปเห็นกะละแมยืนจับมืออยู่กับจักกายที่หน้าบ้าน ชิณถึงกับชะงักกึก
“ไอ้กาย”
ชินหน้าตึง เหมือนถูกลูบคม บรรยากาศมาคุแผ่คลุมไปทั่วบริเวณ
ส่วนที่นอกรั้วหน้าบ้านชิณเวลานั้น เมื่อเห็นว่าจักกายไม่ยอมปล่อย กะละแมจึงพยายามจะสลัดมือออก
“ปล่อย...ฉันบอกให้ปล่อย”
“ไม่ปล่อย จนกว่าจะบอกมาว่าหมายถึงใคร”
ระหว่างนั้นเสียงชิณดังกวนประสาทขึ้น
“แถวนี้ก็พอมีโรงแรมม่านรูดอยู่บ้าง ถ้าต้องการสถานที่ที่เป็นส่วนตัวก็เชิญ”
กะละแมกับจักกายพากันเหลียวขวับมาที่ต้นเสียง เห็นชิณเดินตรงเข้ามาหา แววตาหาเรื่องสุดๆ
“อย่ามาทำประเจิดประเจ้อแถวนี้ หัดเกรงใจเจ้าของบ้านบ้าง”
จักกายมองหน้าชิณแล้วรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างในน้ำเสียงของชิณ ดูเหมือนไม่ด่า แต่ประชด แปลกๆ
กะละแมไม่รู้สึกอะไรนอกจากโกรธ ได้แต่ชักสีหน้า แล้วก็เถียงไม่สนใจ
“แค่จับมือ มันประเจิดประเจ้อตรงไหน”
จักกายคิดตกในแว่บนั้น แล้วก็เปลี่ยนจากจับมือมาเป็นโอบไหล่
“ใช่...แค่จับมือมันเด็กๆ เอาไว้ถ้าฉันโอบกอด หรือทำอะไรกะละแมมากกว่านี้แล้วค่อยเดือดร้อน”
จักกายรั้งตัวกระชับกอดกะละแมแน่น กะละแมหันขวับมามองหน้า
“จะบ้าเหรอ ทำอะไรเนี่ย” กะละแมพูดเบาๆ แต่หนักแน่น
จักกายกระซิบเบาๆ แต่เน้นคำ “อยากแกล้งไอ้ชิณไม่ใช่เหรอ ตามน้ำไปก่อน ดูหน้ามันสิ”
กะละแมชะงัก หันขวับไปมองหน้าชิณ ส่วนชิณหน้าหงิก อารมณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที
“อยากจะทำอะไรกันก็เชิญ ฉันไม่เดือดร้อนอยู่แล้ว แต่อย่าคิดจะเอาร่างทรงกำมะลอมาปั่นหัวชาวบ้านไม่ให้ออกจากที่ฉันก็แล้วกัน ! ฉันไม่ยอม”
จักกายย้อน “ไม่ต้องห่วง...ห้างของฉันใกล้จะเสร็จแล้ว ของแกยังไม่ลงเสาสักต้น จะเปิดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้” ชิณมองหน้าอย่างเคืองแค้น จักกายพูดต่อ “ฉันไม่จำเป็นต้องพึ่งเจ้าแม่...แกก็แพ้เห็นๆ”
จักกายยักคิ้วกวนๆ กะละแมมองหน้าจักกายแล้วก็งงๆ
“เพราะฉะนั้นก็รู้ไว้ด้วยว่า ที่ฉันมาหากะละแมไม่ใช่เพราะเรื่องงาน แต่เป็นเรื่องส่วนตัวล้วนๆ”
ชิณใจเต้นโครมคราม...โกรธเว้ย โกรธแบบไม่รู้สาเหตุ
กะละแมเห็นหน้าชิณแล้วก็งงๆ สงสัยว่า..ชิณเป็นอะไร? เพราะปกติเห็นไม่ยอมคน จักกายยั่วต่อ
หันมาจ๊ะจ๋ากะละแม “แมจ๊ะ” กะละแมหันกลับมา หะ มีจ๊ะจ๋าด้วย “เรารีบไปกันเถอะ วันนี้ต้องไปทำโน่นนี่นี่นั่นมากเลย วันนี้ผมจะพาคุณไปดูหนัง กินข้าว ช้อปปิ้ง เลี้ยงปลา ปล่อยเต่า เรารีบไปกันเถอะ ต้องทำตั้งหลายอย่างเดี๋ยวเวลาไม่พอ”
กะละแมงง “เอ่อ... อือ” ไปก็ไปวะ ขี้เกียจทะเลาะชินอ่ะ
จักกายเย้ยชิณปิดจ๊อบกวนประสาท “ไปก่อนนะ”
กะละแมกับจักกายเดินควงแขนกันไปที่รถ
ชิณมองตามตาแทบลุกเป็นไฟ ด้วยความโมโห แค้นเว้ย !!
จักกายเดินโอบกะละแมออกมาท่าเดิมตรงมายังรถจักกายจอดอยู่
กะละแมหันไปมองให้เห็นว่าลับตาชิณแล้ว ก็รีบผลักจักกายออก แล้วก็โวยใส่หน้า
“ทำอะไร”
จักกายกวนใส่ “ไม่บอก”
“เอ๊ย” กะละแมเซ็ง
“ทีคุณยังไม่บอกผมเลยว่าใครที่ผมควรจะแคร์ ผมคิดจะทำอะไรอยู่ ทำไมผมต้องบอกด้วย ถ้าอยากรู้ก็ต้องแลกกัน”
จักกายมองกวนๆ กะละแมจิกตาส่ายหัว
“อ๋อ...มุกนี้ใช่มั้ย... ไม่บอกเว้ย คุณคิดจะทำอะไรฉันไม่เห็นอยากจะรู้เลย ส่วนถ้าอยากรู้ว่าใครที่คุณควรจะไปใส่ใจ ก็ใช้สมองลองคิดดูดีๆ ว่าตอนนี้ใครกำลังเดือดร้อน และรอความช่วยเหลือจากคุณอยู่ ใครที่อยู่ในซอยมหาลาภและก็โดนไล่ที่ ไม่ต่างไปจากฉัน”
กะละแมพูดจบก็เดินไปเลย
จักกายมองตามงงๆ คิด แล้วก็อ๋อ... ปิ๊ง!
ทางด้านชิณเดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยความหงุดหงิด ภาพตอนจักกายโอบกะละแมแวบเข้ามา
ชิณยิ่งหงุดหงิดงุ่นง่านในใจ บ่นอุบ
“ยัยร่างทรงสเน่ห์แรงไม่ใช่เล่น ไอ้กายมันต้องโดนของแน่ๆ”
ชิณทำเป็นด่าทั้งที่ในใจร้อนรุ่มแปลกๆ แอบหวงของไม่รู้ตัว
นุ้ยฟังข้อมูลที่ลูกชายรายงานด้วยสีหน้าท่าทางแปลกใจ
“มึงว่าอะไรนะไอ้ดวง ไอ้พวกนั้นมันหายหัวไปหมดแล้วงั้นเหรอ”
“จ้ะป๋า บ้านมันปิดเงียบเลย พวกหนูบุกเข้าไปดูแล้ว ไม่มีคนอยู่ ข้าวของก็ขนไปหมด”
“แล้วมันไปไหนกันวะ”
“ไม่รู้” ดวงออกอาการกลุ้ม “หนูก็กลุ้มอยู่เนี่ย”
“มึงจะกลุ้มทำไม พวกมันเปิดไปกันหมดแบบนี้ ก็แสดงว่าฝีมือพวกเราใช้ได้ พวกมันถึงได้กลัวจนขี้หดตดหาย เผ่นแน่นกันไปแทบไม่ทัน”
ดวงท่าทางไม่เห็นด้วย งอแงสุดๆ
“แต่ป๋า...พวกมันไปกันหมด รวมทั้งน้องกะละแมด้วยน่ะสิ ไหนป๋าว่า ถ้าทำแบบนี้แล้วน้องกะละแมจะมาซบอกหนูไง หนูไม่ยอมๆๆๆ”
“ไอ้ดวง แล้วนี่มึงจะงองแงหาพ่อมึงทำไมเนี่ย” นุ้ยเซ็งจิต แนะส่ง “มึงก็ไปตามหามันให้เจอสิวะ แล้วก็ฉุดมันมาเลยก็ได้ จะไปยากอะไร”
“ไม่หนังไทยไปหน่อยเหรอป๋า” ดวงตีฝีปาก
“มึงก็ฉุดแบบหนังฮ่องกงก็ได้นี่หว่า ใส่ลีลากังฟูเข้าไปหน่อย มันจะได้ไม่เลี่ยน”
ดวงนึกตามเห็นงามตามด้วย รีบประจบ “จริงด้วย...ป๋าของหนูฉลาดที่สุดเลย”
ก๋อยฟังอยู่นานเสนอความเห็น “แล้วเราจะไปฉุดที่ไหนล่ะพี่ดวง ไม่รู้ป่านนี้น้องกะละแมตกใจเผ่นออกชายแดนไปหรือยัง”
ดวงมุ่งมั่นมวาก...
“เอาวะ...ต่อให้ไกลสุดหล้าฟ้าเขียว ข้าก็จะตามดวงใจของข้าไป แม้ฝนจะตกพรำๆ มีเพียงสองเราในกระท่อมน้อยกลางป่า ข้าก็จะฉุดน้องกะละแมมาทำเมียให้ได้”
นุ้ยหมั่นไส้อย่างแรง “ถุย! แล้วเมื่อกี้เสือกกลัวเหมือนหนังไทย คราวนี้มาทั้งกระท่อมทั้งฝนเลยนะมึง”
“แล้วตกลงพี่จะไปตามหาน้องกะละแมที่ไหน”
ดวงทำหน้าคิดแล้วปิ๊งอยู่คนเดียว
“อะฮ้า”
บ่ายคล้อยโรงเรียนเลิกแล้ว ตุ้งแช่เดินออกจากโรงเรียน กำลังจะแวะซื้อขนมกิน แต่อยู่ๆ ก็โดนมือลึกลับมากระชากตัวไปเสียก่อน
ตุ้งแช่ในชุดนักเรียนโดนผลักกระเด็นไปติดฝาในซอย สีหน้าหวาดกลัวสุดขีด ไม่อยากเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อ เมื่อเห็นคนที่ลากตัวมาคือ ไอ้ดวงอยู่ในชุดนักเรียน ม. ปลาย ทุเรศจริงๆ ส่วนอ้วนดำก๋อยอยู่ในชุดลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ สองวายร้ายเดินหน้าเข้าหาตุ้งแช่ด้วยท่าทางเอาเรื่องสุดๆ
“บอกมาเดี๋ยวนี้นะไอ้แช่ พวกมึงไปกบดานอยู่ที่ไหน” ดวงถาม
ก๋อยทำหน้าเหี้ยม “ไม่บอกโดนนะ”
ตุ้งแช่จะแหกปากร้องให้คนช่วย แต่โดนก๋อยขู่ไว้
“อย่าคิดแหกปากเชียวนะมึง เดี๋ยวกูตัดลิ้นขาดเลยนะ”
ตุ้งแช่รีบหุบปาก
“จะบอกหรือไม่บอก” ดวงขู่
“ไม่บอกเว้ย”
“ไอ้ก๋อย เปิดปากมันหน่อยสิวะ”
“ได้เลยพี่”
ก๋อยว่าแล้วงัดที่เปิดขวดออกมาควงขวับๆ ตุ้งแช่ตกใจ ฮ้า!!!
ดวงด่า “ไอ้ห่าก๋อย กูหมายถึง ทำให้มันพูด มึงเข้าใจมั้ย”
“อ๋อออออ...แล้วก็ไม่บอกให้ละเอียด”
ก๋อยเก็บที่เปิดขวดแล้วเดินย่างสามขุมเข้ามาหาตุ้งแช่ผงะหนี แต่ติดกำแพงแล้ว...ไอ้ก๋อยหักนิ้วกร้อบๆๆ อย่างหมั่นเขี้ยว ทำหน้าเหี้ยมใส่
“ฮึ่ม!!! กูจะบอกให้ว่าพ่อพี่ดวงเป็นเพื่อนกับ ผอ. โรงเรียนมึง ถ้ามึงไม่บอกว่าพวกมึงไปกบดานอยู่ที่ไหน พี่ดวงจะไปบอกพ่อให้บอก ผอ. ให้ไล่มึงออก”
ตุ้งแช่ตกใจ
ดวงรีบเสริม “ใช่...แล้วก็จะให้ ผอ. ที่เป็นเพื่อนกับพ่อกู บอก ผอ. โรงเรียนอื่น ที่เป็นเพื่อนกับ ผอ. โรงเรียนมึง” ขู่จนเริ่มงงเอง “ไม่ให้รับมึงเข้าเรียน”
ก๋อยต่อ “ทีนี้มึงก็จะไม่มีที่เรียน เป็นเด็กไม่มีการศึกษา ไร้อนาคต เป็นเด็กโง่ ร้อง ม๊อ..ม๊อ” ก๋อยทำเสียงควาย “เคี้ยวเอื้องไปวันๆ ฮ่าๆๆๆ”
ดวงกับก๋อยหัวเราะประสานเสียงฟังดูน่ากลัวมาก
“อย่าทำอย่างนั้นนะ ฉันอยากเรียนหนังสือ ฉันไม่อยากเป็นเด็กโง่เหมือนพวกแก” หะ? ดวงก๋อยหันหน้ามามองกัน…มันด่ามึง “ฉันอยากมีอนาคต”
ดวงหันขวับกลับมาที่ตุ้งแช่ “ถ้าอยากมีอนาคต ก็บอกมาว่าพวกมึงหนีไปอยู่ที่ไหน”
ตุ้งแช่มองหน้าดวงลังเลๆ...เอาไงดี เอาไงดี
คืนนั้นกระเป๋าแบรนด์เนมสุดรักสุดหวงของมิ้ว ถูกวางเรียงรายเต็มพื้นห้อง มีทั้ง Hermes, Birgin, Louis Vuitton, Chanel และอื่นๆ อีกมากมาย กิมเอ็งกำลังเลือกๆ จะเอาใบไหนดี...มิ้วยืนมองด้วยความเสียดาย
กิมเอ็งหยิบหลุยส์วิทตองมาหนึ่งใบ “เอาใบนี้แล้วกัน”
มิ้วรีบแย่งมากอดไว้ “นี่มันรุ่นลิมิเต็ดนะคะคุณแม่ ทั่วโลกมีแค่ 5 ใบ หายากมากๆ ค่ะ คุณแม่เลือกใบอื่นนะคะ”
กิมเอ็งหยิบอีกใบ “งั้นเอาแอร์เมสใบนี้แล้วกัน คุณแม่จำได้ว่าซื้อมาสี่แสนกว่าบาท ถ้าเราปล่อยแบบรีบๆ ได้ราคาสักสองแสนห้า หรือสามแสนก็โอเค เอามาจ่ายค่าบ้านเดือนนี้ก่อน เดือนหน้าค่อยหากันใหม่”
มิ้วเครียดมาก เดินไปทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดอาลัยตายอยาก
“มิ้วไม่อยากเชื่อเลยว่าเราจะหมดเนื้อหมดตัวถึงขนาดต้องเอากระเป๋าไปขายกิน” จู่ๆ ก็นึกโทษแม่ “คุณแม่ไม่น่าเอาเงินที่คุณพ่อทิ้งไว้ให้ไปเล่นหุ้นจนหมดตัวเลย”
“คุณแม่ขอโทษค่ะที่เก็งหุ้นผิดตัว” กิมเอ็งเจ็บใจ บ่นๆ “ซื้อหุ้นผิดคิดจนตัวตายจริงๆ แล้วถ้าคุณแม่ไม่ถูกไอ้โบรกเกอร์ตัวแสบนั่นหลอก เราก็ไม่หมดเนื้อหมดตัวขนาดนี้หรอกค่ะ”
มิ้วจะร้องไห้ “ตอนนี้เราไม่เหลืออะไรแล้วนะคะ สมบัติเก่าของคุณพ่อ คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย คุณแม่ขายหมดเกลี้ยง แต่ก็ยังไม่พอใช้หนี้เลย บ้านก็ติดจำนอง ไม่ได้จ่ายตั้งหลายเดือน ธนาคารจะมายึดอยู่แล้ว” วิตกจริตหนัก “ถ้าถูกยึดจริงๆ เราจะไปอยู่ที่ไหนกันคะคุณแม่ มิ้วไม่ไปนอนข้างถนนนะคะ”
กิมเอ็งเข้าไปนั่งข้างๆ มิ้วแล้วปลอบใจ
“โอ๋ๆ อย่าร้องนะคุณลูกขา คุณแม่จะแก้ไขเรื่องความจนของเราเองค่ะ คุณแม่สัญญาว่าเราจะต้องกลับมารวยเหมือนเดิม” สีหน้ากิมเองดูมุ่งมั่นมากขณะพูดประโยคต่อมา “เราก็ต้องจับคุณชิณให้ได้”
“แต่เราวิ่งไล่พี่ชิณมาตั้งนาน ก็ไม่เห็นมีวี่แววว่าจะสำเร็จ มิ้วบอกให้รวบหัวรวบหาง จับพี่ชิณปล้ำ คุณแม่ก็ไม่เชื่อ”
กิมเอ็งกระอักกระอ่วนใจ ไม่ค่อยอยากใช้วิธีนี้เท่าไหร่
“เอ่อ...วิธีนี้เอาไว้ใช้ยามฉุกเฉินก็แล้วกันนะคะคุณลูกขา ตอนนี้ไม่มีนังกะละแมคอยขัดแข้งขัดขาเราแล้ว ทุกอย่างก็น่าจะง่ายขึ้น”
มิ้วยิ้มสะใจ “คิดแล้วก็สะใจจริงๆ ที่เขี่ยมันไปให้พ้นทางได้”
“ใช่ค่ะ แล้วอีกไม่นานคุณชิณก็ต้องเป็นของลูก สมบัติของคุณชิณก็ต้องเป็นของเรา ไม่มีใครมาขวางเราได้ทั้งนั้น ฮ่าๆๆๆๆ”
กิมเอ็งหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ด้วยความสะใจ
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 9 (ต่อ)
แต่แล้ววันต่อมาสีหน้ากิมเอ็งก็ตกใจสุดขีด คนละอารมณ์อย่างชัดเจนกับเมื่อคืนนี้
“หะ! กะละแมย้ายมาอยู่ที่นี่”
กิมเอ็งกับมิ้วตกใจหน้าเหวอทั้งคู่...มาได้ยังไง
“ใช่...ก็ที่คุณกิมเอ็งกับหนูมิ้วบอกฉันว่าหนูกะละแมไม่มีที่อยู่ เลยต้องย้ายไปอยู่บ้านกาย ฉันสงสารก็เลยไปรับมาอยู่ด้วย”
“อุ๊ย...คุณพี่ขา ไปพรากคนรักเขามาแบบนี้มัน...เอ่อ..มันบาปนะคะ” กิมเอ็งตอแหล “ขอประทานโทษค่ะ คุณน้องไม่มีเจตนาจะว่าคุณพี่นะคะ แค่สงสารคนรักที่ต้องพลัดพรากกันน่ะค่ะ”
ฉายตะวันยิ้ม “คุณกิมเอ็งไม่ต้องคิดมาก หนูกะละแมกับกายไม่ได้เป็นแฟนกัน ฉันถามเค้าแล้ว”
มิ้วเสนอหน้า “คุณป้าจะเชื่อได้ยังไงคะ”
“ถ้าสองคนนั้นเป็นแฟนกันจริงๆ หนูกะละแมก็คงไม่ย้ายมาอยู่ที่นี่หรอกจ้ะ”
กิมเอ็งเริ่มริษยา “แล้วคุณพี่ให้อยู่ที่ไหน อยู่ยังไง อยู่ฟรี กินฟรี ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าบ้านต้องจ่ายไหมคะ”
มิ้วตั้งใจรอฟังคำตอบ
“อยู่เรือนหลังเล็กหลังบ้านฉันนี่แหละ เดี๋ยวฉันให้แจ่มไปตามหนูกะละแมมาคุยด้วยดีกว่า เผื่อคุณกิมเอ็งกับหนูมิ้วมีอะไรอยากถาม จะได้ถามเจ้าตัวเขาเลย” หันไปหาแจ่มที่นั่งคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆ “แจ่มไปตามหนูกะละแมมาไป”
“ค่ะคุณท่าน” แจ่มลุกออกไป
ฉายตะวันหันมาทางมิ้ว “อ้อ...เดี๋ยวหนูมิ้วก็ขอโทษหนูกะละแมเค้าด้วยเลยก็แล้วกัน ที่เคยเข้าใจผิดคิดว่าเค้ามาชอบชิณน่ะ จะได้ไม่มีอะไรติดใจกัน ดีไหมจ๊ะ”
มิ้วอึ้ง...พูดไม่ออก กิมเอ็งรีบตอบแทนลูกสาว
“ดีค่ะคุณพี่ เคลียร์กันให้เข้าใจก็ดีแล้ว”
มิ้วมองกิมเอ็งตาปริบๆ ...ไม่อยากเลย กิมเอ็งขยิบตาให้มิ้วยอมๆ ไปก่อน
กะละแมเดินเหนื่อยๆ เข้ามาในบ้านเล็ก ติ่งยังนอนอยู่ที่เดิม
“โห..พี่ติ่ง...อยู่ท่าไหนท่านั้นเลยนะเนี่ย ไม่คิดจะทำอะไรอย่างอื่นนอกจากนอนเลยหรือไงหะ”
“ก็มันไม่มีอะไรทำ แล้วแกจะให้ฉันทำอะไรวะไอ้แม” ติ่งปรือตาแต่ยังไม่ลุก “ว่าแต่แกเหอะ ไปสมัครงานมาเป็นไง”
กะละแมทำหน้าเซ็ง “เค้าได้คนไปแล้ว”
“เห็นมั้ย...ข้าบอกแล้วว่างานไม่ได้หาง่ายๆ เค้าให้อยู่ฟรี กินฟรี ก็อยู่ไปเรื่อยๆ อย่าดิ้นรนนักเลย ไม่มีประโยชน์หรอกเว้ย”
ติ่งหลับตาพูดอย่างสะใจ กะละแมไม่เห็นด้วย แต่ไม่อยากเถียง ทันใดนั้นแจ่มก็วิ่งเข้ามา
“คุณแม คุณท่านให้พี่แจ่มมาตามไปคุยกับคุณกิมเอ็ง คุณมิ้วค่ะ”
กะละแมอึ้ง
“จะให้แมไปคุยกับคุณกิมเอ็ง คุณมิ้ว”
ติ่งได้ยินชื่อมิ้วก็ตาโต ลืมตา ปิ๊ง !!!
“หะ! คุณมิ้ว คุณมิ้วมา” ลุกพรวด “ฉันรีบไปก่อนนะไอ้แม รีบตามมาด้วย”
ติ่งวิ่งนำไปเลย...กะละแมมองตามงงๆ
“อ้าวพี่ติ่ง...ไปเลย นี่เขาจะคุยกับฉันนะไม่ใช่กับพี่”
“คุณแมรีบไปเถอะค่ะ คุณท่านรออยู่ที่ห้องรับแขก”
“จ้ะๆ”
กะละแมวางกระเป๋า แล้วก็เดินตามไปงงๆ...จะมีอะไรอีกมั้ยเนี่ย
มิ้วนั่งหน้าหงิกบอกบุญไม่รับด้วยความไม่พอใจ กิมเอ็งต้องพยายามสะกิดให้มิ้วระวังกิริยา
สักครู่แจ่มเดินเข้ามานั่งที่พื้นข้างฉายตะวัน ตามด้วยติ่งและกะละแม กะละแมกับติ่งจะนั่งพื้น ฉายตะวันรีบบอก
“นั่งข้างบนนี่แหละ”
กะละแมนั่งบนเก้าอี้ท่าทางเกรงใจ...ติ่งมองมิ้วไม่วางตา
“เอ๊า...อยู่กันพร้อมหน้าแล้ว มีอะไรจะพูด จะถามก็เอาเลย ถ้ามีเรื่องไม่เข้าใจอะไรกันก็ปรับความเข้าใจกันซะนะ”
กะละแมงง “นี่มันเรื่องอะไรกันคะ”
กิมเอ็งแกล้งฝืนยิ้ม “เอ่อ...มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่อยากจะเคลียร์เรื่องมิสอันเดอร์สแตนดิ้ง เข้าใจผิดกันน่ะ” เริ่มอึกอักๆ “ก็เรื่องที่หนูมิ้วคิดว่าเธอกับคุณชิณกุ๊กกิ๊ก จุ๊กจิ๊กกันอยู่น่ะ ตอนนี้หนูมิ้วเข้าใจแล้วว่ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้น”
ติ่งรีบแทรก “อ๋อ...เรื่องนี้นี่เองที่ทำให้คุณมิ้วไม่พอใจไอ้แม แล้วก็เลยพาลมาลงที่ผมด้วย โธ่...ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เพราะไอ้แมน่ะมันรักใครไม่เป็น ใช่ไหมวะไอ้แม”
กะละแมเซ็งความเสือกของติ่ง “ค่ะ...เอ่อ...เรื่องที่จะพูดกับหนูมีแค่นี้ใช่ไหมคะ หนูจะได้ขอตัว”
กะละแมลุกจะไป ฉายตะวันก็ขัดขึ้น
“หนูกะละแมอย่าเพิ่งไป หนูมิ้วเค้ามีอะไรจะพูดกับหนู”
มิ้วชะงัก ไม่อยากเลย...หันมามองหน้ากิมเอ็งขอความช่วยเหลือ
“เอาสิจ๊ะ หนูมิ้ว ขอโทษกันไปจะได้จบๆ แล้วเราก็เริ่มต้นกันใหม่”
มิ้วสบตาแม่...กิมเอ็ง พยักหน้าแบบขอไปที เอาเถอะพูดๆ ไป...มิ้วจำใจยอม
“เอ่อ...ขะ...ขะ...ขะขอ” จิตใจและริมฝีปากของมิ้วเกิดการต่อสู้กันอย่างรุนแรง “ขะ...ขอ”
กะละแมลุ้น...กิมเอ็งลุ้น...ฉายตะวันก็ลุ้น...ติ่งลุ้น...แจ่มก็ลุ้นด้วย
“ขอ...ขอโทษ...” หลุดออกมาจนได้
กิมเอ็งรีบตัดบท “เอาล่ะ...ไหนๆ ก็เคลียร์กันไปได้แล้ว เราก็ไม่มีเรื่องบาดหมางกันแล้วนะคะ คุณพี่ คราวนี้เราก็มาเริ่มต้นกันใหม่นะจ๊ะแม่หนูร่างทรง” ยิ้มตอแหลสมานฉันท์
“ค่ะ”
ติ่งแทรกขึ้นอีก “แต่ผมมีอีกเรื่องนึงที่สงสัย ทำไมคุณมิ้วถึงได้ห่วงเรื่องของคุณชิณกับกะละแมนักล่ะครับ หรือว่าคุณมิ้วกับคุณชิณเป็น...”
กิมเอ็งรีบแทรก “เป็นพี่น้องกัน” มิ้วหันมามองแม่งงๆ “หนูมิ้วกับคุณชิณไม่ได้เป็นอะไรกันมากไปกว่าพี่น้อง”
ติ่งโล่ง “อ๋อ...เป็นพี่น้องกันเท่านั้นเองเหรอครับ คุณแม่” เริ่มยิ้มออก “เฮ่อ...โล่งออกไปหน่อย” พึมพำเบาๆ
จังหวะนั้นกะละแมมองหน้ามิ้วที่เบือนหน้าหนีด้วยความไม่พอใจ
กะละแมรู้ทันทีเลยว่าสิ่งที่พูดมาทั้งหมดนั้นไม่ใช่ความจริง
ติ่งเดินไปก็หันมาด่ากะละแมไป
“เห็นมั้ยไอ้แม แกเกือบทำให้ความรักของฉันซวยไปด้วยแล้ว”
“พี่เชื่อเหรอว่าที่เขามาขอโทษฉันแบบนี้ เขาทำเพราะความจริงใจ แล้วที่เขาบอกว่าคิดกับคุณชิณแค่พี่น้องน่ะ มันไม่จริงหรอก ดูตาก็รู้”
ติ่งหันมาตาขวาง “อ้าว นี่ พูดหมาๆ แบบนี้ได้ไงวะ จะใส่ร้ายคุณมิ้วของฉันมากเกินไปแล้ว เขาบอกว่าพี่น้องก็พี่น้องสิวะ หรือที่แกไม่พอใจเพราะแกชอบคุณชิณเขาจริงๆ”
กะละแมเถียงลั่น “บ้าสิ! ฉันไม่สนใจหรอก คนแบบนั้นน่ะ ที่สำคัญฉันเจียมตัว รู้ว่าใครเหมาะหรือไม่เหมาะ ไม่เหมือนคนบางคน ไม่เจียมตัวแล้วยังจะหวังสูง ระวังเถอะจะตกจากที่สูงโดยไม่รู้ตัว”
กะละแมเดินหน้าบึ้งไป ทิ้งให้ติ่งอึ้งเกาหัวงงๆ
“นี่แกว่าใครหะไอ้แม”
กะละแมตะโกนตอบมา “ไม่รู้ตัวก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว”
ติ่งสะดุ้ง
โทฟู่เดินเข้ามาในร้าน เห็นว่าร้านเงียบสนิท ไม่มีใคร ดูโล่งๆ จึงตะโกนเรียก
“อาม่า....อาม่า”
เงียบ…ไม่มีเสียงตอบรับ โทฟู่แปลกใจ เดินดูตามห้องแต่ก็ไม่เห็นใคร โทฟู่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะกดโทร.หาอาม่ากดไปบ่นไป
“ม่าหายไปไหน”
โทฟู่หันหลังกลับมาเห็นศจียืนอ้วนอยู่ โทฟู่ตกใจเล็กน้อย
“ว้าย..คะ คุณ...มาได้ยังไง ? มาทำไมคะ”
“ฉันขับรถส่วนตัวมา มาเพื่อจะบอกคุณว่า อาม่าคุณอยู่กับคุณกายแล้วค่ะ แล้วตอนนี้คุณกายให้ฉันมารับคุณไปอยู่ด้วยกัน”
“ไปอยู่ด้วยกัน”
โทฟู่มองศจีงงมากๆ
ไม่นานนัก โทฟู่เปิดประตูเข้ามาในห้อง เห็นอาม่ากำลังนั่งจิบชาหัวเราะอยู่กับจักกายอย่างสบายอารมณ์ อาม่าหันมาเห็นโทฟู่ก็ดีใจ
“อาฟู่”
“อาม่า! อาม่ามาอยู่ที่นี่ได้ไง เกิดอะไรขึ้น”
อาม่ากำลังจะอธิบาย แต่จักกายพูดแทรกเสียก่อน
“ผมเป็นคนเชิญอาม่ามาอยู่เอง”
“ใช่ ไปเชิญเองเลย”
โทฟู่งงๆ “เชิญมา? เชิญมาทำไม”
“ผมเห็นคุณโดนไล่ที่ อาม่าบอกว่ายังหาที่อยู่ใหม่ไม่ได้ ผมเลยชวนมาอยู่ด้วย ทุกอย่างก็เตรียมไว้ให้เหมือนตอนที่เพื่อนคุณมาอยู่ คุณก็อยู่ได้ตามสบาย รอคุณหาที่อยู่ใหม่ได้แล้วค่อยไป หรือถ้าหาไม่ได้จะอยู่ที่นี่ตลอดไปก็ได้ ผมไม่ว่า ไม่ต้องเกรงใจ” จักกายยังคงพูดเอง เออเองเหมือนเดิม
อาม่าสนับสนุน “อืมม..พูดจาดีมีเหตุผล”
โทฟู่สีหน้าลำบากใจ เกรงใจ ทำท่าเหมือนจะปฏิเสธ
จักกายรีบพูดดัก “คุณไม่ต้องคิดมาก ผมแค่อยากช่วยคุณบ้าง เวลาผมเดือดร้อนคุณยังช่วยผมอย่างเต็มที่ แล้วเวลาคุณเดือดร้อน ทำไมผมจะช่วยคุณบ้างไม่ได้”
อาม่าหนับหนุนอีก “เออ ! นั่นสิทำไมจะช่วยไม่ได้”
“ช่วยได้ แต่ช่วยโดยการให้มาอยู่ด้วยกันแบบนี้ มันดูไม่เหมาะสม”
“ทำไมจะไม่เหมาะ ทีตอนกะละแมมา คุณยังสนับสนุนเลย แล้วทำไมทีคุณคุณกลับปฏิเสธ”
อาม่าหนับหนุนอีก “ใช่..ปฎิเสธทำไม”
“ก็มันต่างกัน นั่นเพราะคุณชอบกะละแม คุณเลยอยากดูแลเขา ฉันเลยสนับสนุน แต่นี่...คุณไม่ได้ชอบฉัน” โทฟู่พูดเสียงเบาลง แทงใจดำตัวเอง
“ถ้าคุณลำบากใจ... คุณก็คิดซะว่าผมชอบคุณสิ” พูดไม่ได้คิดอะไรอีกตามเคย “จะได้ไม่ต้องคิดมาก”
โทฟู่ชะงัก อึ้ง! แอบคิด อยากให้เป็นจริง
“เออจริง” อาม่าพูดแล้วก็ชะงัก “ไม่ต้องคิดมาก... เฮ้ย!” หันขวับมาทางจักกาย “แต่อันนี้มันก็คิดน้อยไปหรือเปล่า”
อาม่าหันมาถามจักกายซื่อๆ
คืนนั้นมิ้วเดินกระฟัดกระเฟียดเข้ามาในบ้านด้วยความไม่พอใจ กิมเอ็งรีบเดินตามมา หน้าตาครุ่นคิด
“ตอนนี้พวกนั้นรุกคืบหน้าเราไปมากแล้วนะคะคุณแม่ ไม่เจอกันแป๊บเดียว มันย้ายกันมาทั้งครอบครัวแบบนี้ ไม่รู้ว่ามันจะปะเหลาะคุณป้าไปถึงไหน...เราจะกำจัดพวกมันยังไงดีคะคุณแม่”
กิมเอ็งคิด “ขอคุณแม่คิดก่อนนะคะ ปกติก็ไม่ค่อยได้คิดเรื่องเลวๆ ซะด้วย”
กิมเอ็งคิด แต่แป๊บเดียว ปิ๊ง พูดออกมาเป็นคำคม
“คุณแม่คิดออกแล้วค่ะ เราต้องใช้ยุทธวิธีล่อเสือออกจากถ้ำ พอมันออกมาเราก็จะถลกหนังลอกคราบมันออกมาเลย ที่นี้ทุกคนก็จะได้เห็นว่า....พวกมันไม่ใช่เสือจริงๆ แต่เป็นแค่เสือกระดาษ”
“คุณแม่คะ มิ้วโง่ มิ้วงง มิ้วไม่เข้าใจ ตีความไม่ถูกค่ะ ขอแบบภาษาปกติได้ไหมคะ เอาแบบไม่ต้องตีความ”
กิมเอ็งกลุ้ม “สรุปสั้นๆง่ายๆนะคะ เราก็แค่ล่อให้มันออกมาทรงอีกครั้ง แล้วเราก็เปิดโปงมัน จบ! เข้าใจไหมคะคุณลูก”
“อ๋อ....เข้าใจและ...” แล้วมิ้วก็งงต่อ “แล้วเราจะล่อ..มันออกมายังไงละคะคุณแม่”
กิมเอ็งเหนื่อยใจ “แม่ก็ไม่รู้ เราก็ต้องช่วยกันคิดสิคะคุณลูก แต่คุณแม่ว่าลำพังเราสองคนคงไม่ไหว คงต้องหาผู้ร่วมขบวนการมาช่วยล่อค่ะ”
“ใครคะ”
มิ้วถามด้วยความงุนงง และอยากรู้
ที่แท้เป็นชิณ แต่ชิณกลับไม่เห็นด้วยกับวิธีของสองแม่ลูกที่วิ่งมาหาตนที่ออฟฟิศในวันต่อมา
“แต่วิธีการนี้มันหลอกลวง สกปรก ไม่ต่างจากพวกนั้น”
สองแม่ลูกสะอึก เหมือนโดนด่าอ้อมๆ
“และอีกอย่าง ผมก็...โกหกใครไม่เป็น”
“แค่โกหกไม่เห็นยากเลยค่ะ ง่ายจะตาย” กิมเอ็งรีบสะกิด มิ้วรู้ตัว “แต่มิ้วก็ไม่เคยทำเหมือนกันค่ะ” รีบแอ๊บเป็นคนดีทันที
“ป้ารู้ว่ามันยากสำหรับคุณชิณ แต่เพื่อคุณพี่..คุณชิณต้องทำให้ได้นะคะ ไม่งั้นพวกมันจะต้องปอกลอกคุณพี่จนหมดเนื้อหมดตัวแน่ๆ”
“จริงค่ะ ทุกวันนี้ ยัยกะละแมอยากได้อะไร ก็แทบจะรีบใส่พานถวายให้เจ้าแม่ ขนาดเชิญให้มาอยู่ถึงในบ้าน..ไม่ไหวนะคะ” มิ้วชักเอะใจ “เอ๊ะ! หรือว่าพี่ชิณชอบที่มันมาอยู่กันยั้วเยี้ยแบบนี้”
“ไม่มีทาง! ใครจะไปชอบ”
“ก็เพราะอย่างนี้ไงคะ เราถึงจะต้องร่วมมือกันกำจัดพวกมัน”
ชิณหนักใจ
“หรือคุณชิณมีวิธีอื่น” กิมเอ็งทำทีเป็นถาม ใจรู้ว่าไม่มี
ชิณส่ายหน้า
“เชื่อเถอะค่ะว่าวิธีนี้ง่ายที่สุด” กิมเอ็งพยายามโน้มน้าวชวนเชื่อสุดฤทธิ์
ชิณถอนใจอย่างหนักหน่วงด้วยความกลุ้มใจและคิดหนัก
รถดวง ที่ก๋อยขับ มาจอดนิ่งอยู่ที่หน้าบ้านมหาทรัพย์ไพศาล ดวงกับก๋อยมองสอดส่องเข้าไปในบ้าน
“หลังนี้จริงๆ เหรอวะไอ้ก๋อย”
“ใช่พี่ เนี่ยตามแผนที่ที่ไอ้เด็กเวรนั่นมันบอก” ก๋อยสะบัดแผนที่ออกมาเป็นลายมือห่วยๆ
“งั้นลุยเข้าไปเลย”
ดวงว่า แล้วล้วงเอาน้ำหอมมาฉีดอีกที ฟุ้งไปทั้งรถก๋อยแทบลมจับ
ที่หน้าบ้านเย็นนั้น แจ่มกำลังกวาดบ้านอยู่ กะละแมเดินเข้ามา
“พี่แจ่ม...ไม่มีใครอยู่บ้านเหรอคะ ทำไมบ้านเงียบจัง”
“ยังไม่มีใครกลับมาเลยค่ะ คุณท่านมีกินเลี้ยงที่สมาคม ส่วนคุณชิณก็ไปทำงานยังไม่กลับ
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงดวงดังมาจากหน้าบ้าน
“กะละแม น้องกะละแม!”
กะละแมชะงักกึก มองออกไปด้วยความสงสัย แจ่มมองตาม
เสียงดวงดังมาจากหน้าบ้าน “กะละแม น้องกะละแม!”
กะละแม เห็นดวงกะก๋อย ยืนเกาะประตูและตะโกนออกมา
“น้องกะละแมออกมาหาพี่ดวงหน่อยสิจ๊ะ ถ้าไม่ออกมาพี่ดวงจะปีนเข้าไปหานะจ๊ะ”
กะละแม กะแจ่มมองหน้ากันอึ้งๆ
“เฮ้ย...มันมาได้ไงวะ”
กะละแมรีบวิ่งไปหน้าบ้าน แจ่มวิ่งตามไปพร้อมไม้กวาด ที่ถืออยู่ในมืออยู่แล้ว
ดวงกับก๋อยอยู่ที่ประตูรั้วด้านนอก ทำท่าเหมือนจะปีนเข้าไปในบ้าน
“น้องกะละแม...พี่ดวงกำลังจะปีนเข้าไปหาแล้วนะจ๊ะ น้องกะละแม” ดวงคร่ำครวญ
“ไปเลยพี่ดวง ลุย...” ก๋อยดันตูดดวงให้ปีนข้ามรั้วไป
กะละแม แจ่มรีบวิ่งมาหา สองคนอยู่ในรั้วบ้าน
“เฮ้ย...พวกแกจะทำอะไรน่ะ” กะละแมชี้หน้า
ดวงเห็นกะละแมก็ยิ้มทำตาหวานใส่ “น้องกะละแมจริงๆ ด้วย น้องกะละแมหนีพี่ดวงมาแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะจ๊ะ ปล่อยให้พี่ดวงคิดถึงแทบแย่”
กะละแมด่าอีก “นี่...จะบ้าเหรอ แกมาคิดถึงฉันทำไม นี่จะไปไหนก็ไปไป๊ รู้หรือเปล่าถ้าเจ้าของบ้านเขารู้แล้วฉันจะเดือดร้อน”
“เดือดร้อนก็ไปอยู่กับพี่ดวงสิจ๊ะ พี่ดวงบุกเลยจ๊ะ” ก๋อยไม่สนดันดวงให้ข้ามไป
“นี่อย่าเข้ามานะ ถ้าพวกแกเข้ามาฉันจะเรียกรปภ.จริงด้วย” แจ่มล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากยกทรง
“โห...ขี้ฟ้อง!! ทำอะไรไม่ได้ก็ฟ้องๆๆๆ ไม่กลัวหรอกเว้ย” ก๋อยท้าเหยงๆ
แจ่มมองหน้าอีกที “เฮ้ยยย...ฉันจำแกได้ แกไอ้ข้าวหลาม! แกด่าฉันว่าหนอนมะลิ มันเจ็บปวดเหลือเกิน เกิดมาไม่เคยมีใครด่าฉันหยาบคายแบบนั้นมาก่อน” แจ่มดราม่าเสียใจสุดซึ้ง “ครั้งนี้ฉันไม่ปล่อยแกลอยนวลแน่ ไอ้ฟันไม่เป็นระเบียบ” แจ่มรีบกดโทร.เลย
ก๋อยผงะ ปิดปากตัวเอง “หะ มันรู้ได้ยังไง ฉันอุตส่าห์ไม่เคยบอกใคร มันรู้ได้ไงเนี่ย”
ดวงตบหัวก๋อยป้าบบ
ก๋อยร้อง “โอ๊ย”
ดวงยังค้างอยู่ที่รั้ว “มึงไม่ต้องบอกเค้าก็เห็นกันทั้งแผ่นดินแล้ว” ส่ายหน้าเซ็ง แล้วก็หันไปทางกะละแมเสียงหวานสะท้านบาทา “น้องกะละแมเราอย่าต้องมาทะเลาะกันให้เสียเวลาเลย รีบเปิดประตูให้พี่เข้าไป แล้วจับเข่าคุยกันแบบคนรักกันดีกว่าจ้ะ”
กะละแมส่ายหน้าอย่างเซ็ง
“พี่แจ่ม..บอก รปภ. มาเลย ฉันทนไม่ไหวแล้ว”
“ค่ะๆ รปภ. รับสายพอดีเลยค่ะ” แจ่มพูดกับโทรศัพท์ “นี่โทร.จากบ้านคุณฉายตะวันนะคะ มีคนร้ายมาบุกบ้านค่ะ ยังไงรีบมาด่วนเลยนะคะ”
ก๋อยตะโกนด่าแจ่ม “แกล้งโทร.ขู่ล่ะสิ ไม่ได้โง่นะโว๊ยที่จะเชื่อง่ายๆ อีหน้าแบน”
“ไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ! ไอ้คิงคองหน้าคางคก” แจ่มส่งไม้กวาดให้กะละแม “นี่คะ อาวุธ จัดการเลย”
ดวงยังค้างอยู่ท่าเดิม “น้องกะละแมทำไมใจร้ายกับพี่ดวงแบบนี้จ๊ะ หรือว่าน้องกะละแมไม่เคยมีใจให้พี่ดวงเลย”
“ไม่เคย! ชัดมั้ย ไปเลยรีบไปไม่งั้นเจ็บตัวแน่” กะละแมด่าแล้วยกไม้กวาดมาตีดวงตะเพิดส่ง “ไป”
กะละแมเอาไม้กวาด แทงๆ แยงๆ ตีๆ ผ่านรั้วอย่างไม่มีเยื่อใย
ดวงโดนตีร้อง “โอ๊ย...ทำไมน้องกะละแมต้องทำรุนแรงกับพี่ด้วยจ๊ะ” พยายามหลบแต่ไอ้ก๋อยไม่รู้เรื่องยังดันตูดอยู่ “ไอ้ก๋อย มึงมาดันตูดกูทำไม ปล่อยกู โอ๊ยๆๆๆ”
“นี่แน่ะๆๆ ไปเลยรีบๆ กลับไปเลย” กะละแมตีไม่ยั้ง
ดวงพยายามจะหลบ ก๋อยโดนด่าเลยปล่อยดวงร่วงจากรั้ว กระแทกพื้น พลั่ก ทับก๋อย กะละแมตามมาด่าพร้อมถือไม้กวาดอยู่ที่ริมรั้ว
“นี่ๆ รีบไปเลยนะ แล้วไม่ต้องกลับมาให้เห็นหน้าอีก ถ้าคราวหน้ามาอีกไม่ใช่แค่ไม้กวาดแน่”
“โธ่...น้องกะละแม ทำไมไล่พี่เหมือนหมูเหมือนหมาอย่างนี้ล่ะจ๊ะ พี่ทำไปเพราะรัก เพราะคิดถึงนะจ๊ะ”
ทันใดนั้นเอง รปภ.ก็ปั่นจักรยานเป่านกหวีดปี๊ดๆๆ นำเข้ามา ดวงกะก๋อยตกใจ
“เฮ้ย...อีหน้าแบน โทร.จริงเหรอวะ”
“เออ ดิวะ กลัวก็รีบไปเลย ไม่งั้น ตำรวจแน่” แจ่มขู่มั่ง
“ตำรวจ? พี่ดวงฉันว่ากลับก่อนเหอะ”
“โธ่...น้องแม”
ดวงยังพร่ำเพ้อ แจ่มกดโทร.ออก รปภ.เป่านกหวีดและขี่จักรยานมาใกล้จะถึง ก๋อยตัดสินใจเลย
“ฝากไว้ก่อนเถอะ พี่ดวงรีบไปกันเถอะ วันนี้เเสียฤกษ์ เรารู้ที่อยู่มันแล้ว ค่อยวางแผนมาฉุดใหม่”
ก๋อยยัดดวงเข้าไปในรถ แล้วรีบวิ่งขึ้รถขับออกไปอย่างไวว่อง
ก่อนจากดวงยังโผล่หน้ามาทางกระจกเอ่ยอำลา “น้องกะละแม ทำไมใจร้ายกับพี่เพียงนี้ โธ่...น้องกะละแม”
รถดวงแล่นออกไป กะละแมโยนไม้กวาดทิ้งด้วยความเซ็ง
โต๊ดรู้เรื่องก็ตกอกตกใจมาก
“หะ ไอ้พวกนั้นมันรู้แล้วเหรอ ว่าเราอยู่ที่นี่”
กะละแม โต๊ดคุยกันซีเรียส ติ่งนอนฟังอยู่ข้างๆ ดูไม่ค่อยเดือดร้อนอะไรเท่าไหร่
“ใช่ แต่ที่ฉันสงสัยคือพวกมันรู้ได้ยังไง”
“พวกมันรู้จากแช่เองจ้ะ”
เสียงตุ้งแช่ในชุดนักเรียน ที่เพิ่งกลับมาจากโรงเรียนดังขึ้น ตุ้งแช่เดินเข้ามาหาโต๊ด ติ่ง และกะละแมอย่างรู้สึกผิด ส่วนสามคนตกใจ
“พี่ติ่ง พี่แม พ่อ แช่ไม่ได้ตั้งใจ แช่ขอโทษ” ตุ้งแช่กราบสามคน “ไอ้พวกนั้นมันใช้กำลังบีบบังคับแช่ มันขู่แช่ว่าถ้าแช่ไม่บอก มันจะไปบอก ผอ.ให้ไล่แช่ออกจากโรงเรียน” ตุ้งแช่อัดอั้นทำท่าเหมือนจะร้องไห้
“แล้วนี่เอ็งเป็นอะไรหรือเปล่า มันไม่ได้ทำร้ายเอ็งใช่ไหม” โต๊ดดูห่วงๆ ลูก...ก็เป็น
“เปล่าจ้ะ มันไม่ได้ทำอะไร”
กะละแมโล่งอก “เฮ้อ..แกไม่ได้เป็นอะไรก็ดีแล้ว คราวหน้าก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน”
“ขอบใจนะจ๊ะ...แต่ตอนนี้พวกมันรู้แล้วว่าเราอยู่ที่นี่ มันจะตามมารังควานเราอีกไหมพี่แม” ตุ้งแช่กังวลอยู่
“ไม่รู้เหมือนกัน…แต่เพื่อความปลอดภัย เราหาทางหนีทีไล่แล้วรีบย้ายออกก็ดี อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ปลอดภัยแน่ ทั้งศึกภายในและศึกภายนอก มีแต่รุมเร้า อยู่ไปสักวันต้องซวยกว่านี้แน่” กะละแมบ่น
“เพราะแช่เป็นต้นเหตุแท้ๆ ทำให้ทุกคนเดือดร้อน ต้องหาที่อยู่ใหม่” ตุ้งแช่เศร้าสุดๆ
“ไม่หรอก ถึงไม่มีเรื่องนี้ ยังไงเราก็ควรจะย้ายออกอยู่ดี ไม่ต้องคิดมาก ไปอาบน้ำได้แล้วไป”
กะละแมปลอบแช่ แล้วก็ลุกขึ้น โต๊ดถาม
“อ้าว แล้วนี่เอ็งจะไปไหน”
“ฉันว่าจะไปรดน้ำต้นไม้ อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย” กะละแมพูดไปเหลือบมองติ่ง แล้วกัดๆ “อะไรที่พอจะช่วยเขาได้ เราก็ต้องช่วยเขาบ้าง อย่าทำตัวไร้สาระ ไร้สมอง หายใจรดทิ้งไปวันๆแบบนั้น”
ติ่งนอนเล่นอยู่ไม่ทำหูทวนลมสนใจ....แถมหันหลังให้อีก..เชิดใส่
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 9 (ต่อ)
รถชิณจอดอยู่หน้าบ้าน ชิณหันไปหยิบกระดาษมาดู สีหน้าแววตาของเขาดูหนักใจมาก หวนนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อไม่นานนี้ กระดาษแผ่นเดิมอยู่ในมือกิมเอ็ง และถูกส่งใส่มือชิณ
“ถ้าคุณชิณไม่ถนัดเรื่องโกหก ไม่รู้ว่าจะโกหกยังไง ก็อ่านตามนี้เลยนะคะ ป้าเขียนบทพูดตามแผน ล่อเสือออกจากถ้ำ ไว้ให้แล้ว” กิมเอ็งบอก
ชิณรับมาอาการหนักใจ
กระดาษแผ่นเดิม...อยู่ในมือชิณที่นั่งอยู่ในรถที่หน้าบ้านอย่างเดิม ชิณนั่งมองกระดาษด้วยความหนักใจ แล้วก็เริ่มต้นซ้อมบทอยู่ในรถกับกระจก สุ้มเสียงชิณจริงจังแต่พูดแข็งทื่อเหมือนท่องจำมาก
“แม่ครับ ผมมีเรื่องจะปรึกษา คือ...ผมกังวลใจเรื่องคู่ ผมอยากให้แม่บอกกะละแมให้ช่วยเข้าทรงเพื่ออัญเชิญเจ้าแม่มาถามเรื่องที่ผมยังไม่ได้แต่งงาน แม่อาจสงสัยว่าทำไมจู่ๆ ผมก็เกิดวิตกขึ้นมา มันไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่อยากจะรู้และก็อยากจะแต่งงานมีหลานให้แม่ แค่นั้นเองครับ”
ส่วนในสวน กะละแมกำลังรดน้ำต้นไม้ แล้วสายตาก็หันไปเห็นชิณพูดอยู่คนเดียวในรถ กะละแมชะงัก
เพ่งมองไปดูให้แน่ เห็นเหมือนชิณพูดอยู่คนเดียว ท่าทางเหมือนคนบ้า
กะละแมบ่นๆ “คุยโทรศัพท์อยู่ปะวะ”
ด้านชิณชักหงุดหงิด ทนเล่นละครต่อไม่ได้
“เฮ่อ...ทำไมต้องทำอะไรงี่เง่าแบบนี้ด้วย โอเค...ทำเพื่อแม่ๆๆๆ”
ชิณปลุกปลอบใจตัวเองได้ที่แล้ว ก็ทำใจกำลังจะลงจากรถด้วยความแข็งขัน แต่แฝงไว้ด้วยความกังวล ขณะนั้นเองสายตาชิณก็หันไปเห็นกะละแมกำลังมองเข้ามาในรถพอดี ชิณยิ้มนึกสนุกเลยรีบลงจากรถไป
กะละแมเห็นชิณเปิดประตูลงมาจากรถก็แกล้งทำเป็นรดน้ำต้นไม้ มองต้นไม้ต้นนั้นต้นนี้ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ชิณเดินพุ่งเข้ามาหากะละแม กะมาหาเรื่องเต็มที่
“มองอะไร?”
“ก็มองเรื่อยเปื่อย” ตอบแบบไม่สนใจ ไม่มองหน้าชิณ เอาแต่รดน้ำต้นไม้
“แหม...ก็เห็นๆอยู่ว่าแอบมองฉัน”
“หลงตัวเอง ใครจะมองคุณให้เสียสายตา” กะละแมตั้งหน้าตั้งตารดน้ำต้นไม้
“นี่ แล้วไม่มีใครเคยบอกเหรอว่าเวลามีคนคุยด้วยให้หันมาคุยดีๆ มันเสียมารยาท”
กะละแมหันหน้ามา สายยางที่รดน้ำอยู่เลยเปลี่ยนทิศทางมาฉีดใส่ชิณเต็มๆ
ชิณเลยโวย “เลอะไปหมดแล้ว ทำอะไรของเธอหะ”
“ก็รดน้ำต้นไม้อยู่ คุณเรียกทำไมละ” กะละแมแอบหัวเราะ
“นี่” ชิณเจ็บใจมาก
“ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ไปได้แล้ว อย่ามาเกะกะ ฉันจะรดน้ำต้นไม้ต่อ”
กะละแมลากสายยางเดินไปรดต้นอื่นต่อ ชิณยังหาเรื่องไม่เต็มที่ รีบเข้ามาดักไม่ให้ไป น้ำสายยางเลยฉีดโดนชิณอีกรอบ
“จะรดอะไรนักหนา แม่ฉันไม่อยู่ไม่ต้องมาสร้างภาพก็ได้ หรืออยากได้อะไรอีก แค่นี้ยังหลอกแม่ฉันไม่พอใช่ไหม”
กะละแมหันมาเถียง “ฉันไม่เคยคิดหาประโยชน์จากแม่คุณ และฉันก็ไม่เคยตั้งใจ...” กะละแมเว้นวรรค นึกในใจ ที่ผ่านมามันหลอกโดยบังเอิญนี่หว่า “ที่จะหลอกท่าน ถ้าแน่จริงก็จับให้ได้สิว่าฉันหลอกอะไรแม่คุณ อย่ามาปรักปรำกันปากเปล่าแบบนี้”
“นี่เธอท้าฉันเหรอ ได้...แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”
กะละแมกับชิณมองหน้า สู้สายตากันไม่มีใครยอมใคร...ตามเคย
เย็นนั้นฉายตะวันเดินเข้าบ้านมา เพิ่งกลับจากสมาคม เห็นชิณนั่งรออยู่ พอเห็นแม่ก็ลุกเดินพรวดพราดตรงมาที่ฉายตะวัน พร้อมกับพูดขึ้นไม่ปล่อยให้ฉายตะวันตั้งตัว
“แม่ครับ”
ฉายตะวันงงปนตกใจ “อะไรตาชิณ”
ชิณพรั่งพรูไม่คิดอ่านอะไรแล้วเพราะความแค้น “ผมอยากให้แม่บอกกะละแมช่วยเข้าทรงเพื่ออัญเชิญเจ้าแม่มาถามเรื่องที่ผมยังไม่ได้แต่งงาน แม่อาจจะสงสัยว่าทำไมจู่ๆ ผมก็วิตกขึ้นมา มันไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่อยากรู้และก็อยากจะแต่งงานมีหลานให้แม่ แค่นั้นเองครับ”
ฉายตะวันอึ้งไม่อยากเชื่อหู “อะไรนะ ลูกอยากแต่งงานเหรอ”
“ไม่ใช่ เอ๊ย...ใช่ครับ ผมอยากแต่งงานมากเลย” ชิณตอแหลสุดๆ “และผมก็อยากให้เจ้าแม่ประทับร่างกะละแม เพื่อจะให้ท่านช่วย”
“เอางั้นจริงๆ เหรอ” ฉายตะวันไม่ค่อยแน่ใจ
“ใช่ครับ...ผมมั่นใจ และผมก็อยากเจอเจ้าแม่มาก.....” ชิณลากเสียงยาว
ฉายตะวันงงๆ เกิดอะไรขึ้น แต่ชิณยังมั่นใจไม่ถอย
ครั้นพอได้ยินเรื่องราว สีหน้ากะละแมก็ดูอึ้งๆ ปนตกใจ
“อะไรนะคะ? คุณนายจะให้หนูเข้าทรงเพื่อดูเรื่องคู่ของคุณชิณเหรอคะ”
โต๊ด ติ่ง และกะละแม นั่งคุยกับฉายตะวันอยู่ในบ้าน กะละแมหน้าตาไม่ค่อยสบายใจ แต่โต๊ดกับติ่งยิ้มมีหวัง
“จ๊ะ ชิณเขาเป็นคนบอกเองว่าเขาต้องการแบบนั้น”
“มันจะดีเหรอคะ”
“อ้าว...ทำไมพูดแบบนั้นล่ะกะละแม ในเมื่อคุณชิณและคุณนายมีความเชื่อ ศรัทธาในเจ้าแม่ และขอร้องเรามาแบบนี้ เราจะปฏิเสธได้ยังไง” โต๊ดกล่อมต่อ
“ใช่แล้วไอ้แม ฉันว่าเราน่าจะจัดเข้าทรงเพื่อตอบแทนพระคุณคุณนายท่านนะ” ติ่งร่วมด้วยช่วยกล่อม
“แต่ว่า...” กะละแมทำท่าคิดหนัก “คือหนูคงจะทำให้คุณนายไม่ได้หรอกค่ะ ไม่ใช่ว่าหนูไม่เห็น
บุญคุณที่คุณนายมีต่อพวกเรา แต่เพราะ เอ่อ...เพราะเจ้าแม่เพิ่งมาเข้าฝันหนูเมื่อไม่นานมานี้เองว่า ท่านมีภารกิจยุ่งมาก คงจะลงมาบนโลกมนุษย์ไม่ได้อีกแล้ว” โต๊ดกับติ่งมองหน้ากันงงๆ เฮ้ย
ฉายตะวันอึ้ง “หะ...ลงมาอีกไม่ได้แล้ว อย่างนี้ท่านก็ติดต่อกับหนูไม่ได้แล้วสิ”
“ก็อาจจะเป็นอย่างนั้นค่ะ” กะละแมบอก
“เฮ้ย...ไม่จริงหรอกมั้งกะละแม ท่านคงจะเข้าฝันเล่นๆ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ พวกเราก็เดือดร้อนกันหมดสิวะ” ฉายตะวันหันมามอง โต๊ดรีบแก้ “คือผมหมายถึงชาวบ้านในซอยน่ะครับ คงจะเดือดร้อนกันหมด”
“เดือดร้อนก็ต้องทนน้า เพราะเจ้าแม่จะไม่เข้าร่างฉันอีกแล้ว” สุ้มเสียงของกะละแมมั่นใจมาก โต๊ดติ่งเหวอ “หนูต้องขอโทษคุณนายด้วยนะคะ ที่ทำให้คุณนายไม่ได้ คุณนายกับคุณชิณลองติดต่อร่างทรงคนอื่นดีกว่าค่ะ หนูขอโทษจริงๆ”
กะละแมไหว้แล้วเดินออกไปเลย ฉายตะวันมองตามด้วยความเสียดาย โต๊ดกับติ่งรีบยกมือไหว้ลาฉายตะวัน และตามกะละแมออกไป
เวลาต่อมา กะละแมเดินหน้ามุ่ยเข้ามาในบ้าน โต๊ดกับติ่งวิ่งตามมาทัน เล่นเอาหอบทั้งคู่
“นี่นังกะละแม เอ็งพูดกับคุณนายแบบนั้นหมายความว่าไงวะ นี่อย่าบอกนะว่าเอ็งจะเลิกเข้าทรง”
กะละแมย้ำคำ “ใช่...น้าเข้าใจถูกแล้ว”
ติ่งรีบวิ่งมาดัก “เฮ้ย...แกไม่เข้าทรงแล้วเราจะทำอะไรกินกันวะ”
“นั่นสิ เอ็งคิดดูดีๆ นะนังกะละแม ถ้าเอ็งหลับหูหลับตาทรงให้คุณนายกับคุณชิณไปอีกสักครั้งแล้วก็ให้เขาสนับสนุนเงินสักก้อน เราจะได้มีเงินไปต่อทุนกัน แล้วตอนนั้นเอ็งจะเลิกข้าก็ไม่ห้ามเลย”
กะละแมไม่ซึ้ง หันมาหน้าอย่างเซ็ง “น้าพูดแบบนี้มาตั้งแต่ฉันอายุ 12 ตอนนี้ฉันยี่สิบก็ยังทรงอยู่ ฉันไม่เห็นว่าเราจะมีเงินเก็บ และหันไปทำมาหากินอย่างอื่นเลย มันไม่มีทางจบหรอกน้าถ้าเราไม่หยุด แล้วฉันไม่เชื่อว่าคุณชิณเขาจะให้ฉันทรงเพราะเขาเชื่อ มันต้องมีอะไรเคลือบแฝงไว้แน่นอน”
“แกน่ะคิดมากไปแล้ว เขาไม่ว่างพอที่จะมาทำเรื่องแบบนั้นหรอก” ติ่งว่า
โต๊ดผสมโรง “ใช่ ยิ่งเอ็งไม่ทำเขาจะหาว่าเราหยิ่ง แล้วไล่เราออกจากบ้านเขา เราจะซวยกันหมด”
“เขาจะคิดยังไงก็ช่างเขาเถอะ และถึงแม้เขาไม่ไล่เรา เราก็ต้องย้ายออกอยู่ดี น้าโต๊ดกับพี่ติ่งฉันขอโทษที่ทำให้ไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะพูดยังไงฉันก็ไม่ทรงอีก”
กะละแมเดินหนีไป โต๊ดกับติ่งถอนหายใจหมดหนทาง
สองแม่ลูกอยู่ที่ห้องทำงานของชิณ และกิมเอ็งทำหน้าเหวอ
“อะไรนะคะ นังกะละแมมันไม่ยอมทรง”
กิมเอ็ง มิ้ว มองหน้าชิณแปลกใจ
ชิณพยักหน้า “ใช่ แม่เพิ่งโทรมาบอกเมื่อกี้นี้เอง กะละแมให้เหตุผลว่าเจ้าแม่งานยุ่งไม่ลงมาบนโลกอีกแล้ว”
กิมเอ็งด่า “มันร้ายจริงๆ มันต้องรู้ทันแผนการเราแน่ๆ ถึงได้ปฏิเสธแบบนี้”
“เห็นมั้ยคะ อย่างนี้ยิ่งคอนเฟิร์มว่ามันน่ะ เป็นร่างทรงกำมะลอ ไม่งั้นพวกมันไม่กลัวหรอกค่ะ” มิ้วใส่ไฟทันควัน
“ยิ่งเป็นแบบนี้ก็ยิ่งเป็นห่วงแม่ เหมือนเตะหมูเข้าปากหมาชัดๆ” ชิณบ่น
กิมเอ็งคิดได้ “คิดออกแล้ว” ทุกคนหันมา “คุณแม่มีวิธีที่จะทำให้ยายร่างทรงยอมเข้าทรงแล้วค่ะ”
“ทำยังไงครับ”
“เอ่อ...แต่วิธีนี้ขอเก็บเป็นความลับ เพราะคนที่ทำได้มีแต่หนูมิ้วคนเดียวเท่านั้น”
กิมเอ็งยิ้มมีแผนร้าย มิ้วชะงักกึก หันมางงๆ ไม่เห็นรู้เรื่องอ่ะ
ที่ห้องนั่งเล่นบ้านหลังเล็กยามนั้น มิ้วกำลังขอร้องติ่ง ใช้มารยาหญิงสุดฤทธิ์ตามแผนกิมเอ็ง
“เมื่อเช้าคุณป้าโทร.มาปรึกษามิ้วเรื่องกะละแมไม่ยอมเข้าทรง เพราะเจ้าแม่ไม่ยอมลงมาที่โลกมนุษย์แล้ว คุณป้าไม่สบายใจมาก มิ้วก็เป็นห่วง” หันมาอ้อนด้วยสายตา “คุณติ่งทราบมั้ยคะว่าทำยังไงเจ้าแม่ถึงจะยอมลงมาสักครั้ง”
ติ่งสบตาเคลิ้ม “ไม่ทราบครับ”
มิ้วหันหน้าหนี “ว้า เสียใจจัง มิ้วคิดว่าคุณติ่งจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายได้ซะอีก เนี่ยถ้ามีใครซักคนช่วยให้กะละแมมาทรงได้อีกครั้ง มิ้วจะจดจำไว้ไม่ลืมเลย แต่ถ้าคุณติ่งช่วยไม่ได้ก็ไม่เป็นไรคะ มิ้วขอตัว” แสร้งทำท่าเสียใจ จะเดินหนีไป
ติ่งตาโต “เดี๋ยวก่อนครับ” เดินมาขวางไว้ “ที่ผมบอกว่าไม่ทราบไม่ได้หมายความว่าจะทำไม่ได้นะครับ” มิ้วอมยิ้มพอใจ “ผมจะพยายามหาทางทำให้เจ้าแม่ลงมาประทับร่างกะละแมอีกครั้ง เพื่อคุณมิ้ว”
“มิ้วมองคนไม่ผิดเลยจริงๆ ค่ะ”
ติ่งยิ้มตัวพอง “คุณมิ้ว อาจจะคิดว่ามีแต่ไอ้แมที่มันติดต่อกับเจ้าแม่ได้...โฮะๆๆๆ แต่มันไม่จริงเลยครับ ผมมีญาณวิเศษที่สามารถติดต่อกับเจ้าแม่ได้เหมือนกัน” มิ้วเบะปาก “เรื่องเนี้ย ปล่อยให้เป็นฝีมือผมเองเถอะครับ”
“ขอบคุณค่ะ” มิ้วเอื้อมมือมาจับมือติ่ง อย่างจำใจ “ถ้าคุณติ่งทำได้มิ้วจะจำไม่ลืมเลยค่ะ”
ติ่งยิ้มปากจะฉีกถึงรูหู มิ้วเก็บข่มความสะอิดสะเอียนไว้
“คุณมิ้วไม่ต้องห่วง ผมต้องทำได้แน่นอน”
ติ่งกลับมาบ้านหน้าเครียด
“กูจะทำยังไงดีวะให้ไอ้แมมันยอมทรง”
ติ่งคิดหัวแทบแตก คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก
“เฮ่อ...ดันไปรับปากไว้ซะหล่อเลย..จะทำไงดีวะ”
ทันใดนั้นเอง ติ่งก็คิดออก ปิ๊ง!
ค่ำคืนนั้นกะละแมถามติ่งด้วยความตกใจ
“หะ...ชาวบ้านที่ซอยมาหาฉันเหรอ”
โต๊ดกะตุ้งแช่ยืนฟังอยู่ข้างๆ กะละแม ส่วนติ่งยืนรายงานอยู่หน้าประตู ทำหน้าตาตื่นตูมสุดๆ
“ใช่ มากันตั้งเกือบ 10 คน มาร้องเรียกชื่อแกกันใหญ่เลย”
กะละแมอึ้ง ถามเสียงดัง “เฮ้ย ถามจริง แล้วเค้ามาทำไม แล้วมาที่นี่ได้ยังไง พวกนั้นรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่”
ติ่งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“เฮ้ย...ความลับไม่มีในโลกหรอกเว้ย...ใครๆ เขาก็รู้ทั้งนั้นแหละ ฉันว่าแกก็ออกไปหาพวกเขาหน่อยเหอะ ตะโกนโวยวายแบบนี้ เดี๋ยวคุณนายจะว่าเอา”
โต๊ดรีบสนับสนุน “เออ ไอ้ติ่งพูดถูก ข้าว่าเอ็งไปดูหน่อยก็ดีนะ แห่กันมาขนาดนี้ ข้าว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่ๆ”
กะละแมคิดหนัก...เอาวะ เอาไงก็เอา
ตัวละคร - กะละแม ติ่ง โต๊ด ตุ้งแช่ ชาวบ้าน ชิณ ฉายตะวัน แจ่ม
ประตูรั้วบ้านมหาทรัพย์ไพศาลเปิดอยู่ ชาวบ้านยืนออกันเต็มไปหมด
ลุงมากนำร่อง “พวกเราอยากให้กะละแมอันเชิญเจ้าแม่ลงมาประทับร่างอีกซักครั้ง”
กะละแม โต๊ด ติ่ง และตุ้งแช่ ยืนฟังชาวบ้านพูด กะละแมอึ้งไป...ป้าเชอร์รี่รีบสมทบ
“ใช่...ตอนนี้พวกเรากำลังเดือดร้อน...เจ้าของที่ยื่นคำขาดให้เราย้ายออกภายในวันพรุ่งนี้ พวกเรายังหาที่อยู่ใหม่ไม่ได้เลย เราอยากให้เจ้าแม่มาเป็นขวัญและกำลังใจเหมือนเมื่อก่อน”
“ใช่ๆๆๆ” พวกชาวบ้านตะโกนพร้อมเพรียง
“ตะ...แต่ว่า” กะละแมอึกอัก
แจ่มชะเง้ออยู่หน้าบ้านหน้าตาอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ ฉายตะวันเดินออกมาดู
“เสียงใครมาโหวกเหวกโวยวายอะไรอยู่ที่หน้าบ้าน”
“แจ่มก็ไม่แน่ใจค่ะ แต่เห็นเรียกกะละแมๆๆ”
“อ้าว..แล้วเกี่ยวอะไรกับกะละแมด้วย”
ฉายตะวันแปลกใจ ระคนอยากรู้
เห็นชิณเดินมาพอดีทางด้านหลัง ชิณชะงักพอได้ยินชื่อกะละแมก็สนใจขึ้นมาทันที
กะละแม่ยังยืนอึกอักอยู่ ติ่งรีบชงเรื่องทันที
“ชาวบ้านน่าสงสารนะไอ้แม แกไม่ช่วยชาวบ้านหน่อยว้า”
โต๊ดรีบหนับหนุน “จริงๆ อันนี้ข้าเห็นด้วย พวกเราก็อยู่ว่างๆ ไม่ได้ทำอะไร จัดพิธีช่วยชาวบ้านได้บุญด้วยนะไอ้แม”
ชาวบ้านรีบสนับสนุน
“ใช่ๆ”
“แต่ฉัน”
กะละแมลังเล
รับฉายตะวันกับแจ่มเดินมาถึงพอดี
“กะละแม เกิดอะไรขึ้น...ชาวบ้านมาที่นี่ทำไมเหรอ”
กะละแมหันมา ไม่รู้จะตอบยังไง จังหวะนั้นเสียงชิณก็ดังแหลมขึ้นมา
“นี่พวกคุณมาทำอะไรที่หน้าบ้านผม”
ทุกคนหันไป เห็นชิณเดินมาหน้าตาเหวี่ยงสุดๆ
ชิณหยุดเดินและหันมาพูดกับกะละแม “นี่เธอ...มาปลุกระดมอะไรที่หน้าบ้านฉัน หะ”
กะละแมกรอกตาเซ็งๆ ไปกันใหญ่แล้ว
“เปล่าครับ คุณชิณ พวกเราไม่ได้ปลุกระดมอะไรครับ...ชาวบ้านเขามาหากะละแมน่ะครับ”
ติ่งสาระแนรายงาน “ชาวบ้านมาขอให้กะละแมมันเข้าทรงน่ะครับคุณชิณ”
กะละแมเหล่
ชิณยิ้มเยาะ “อ๋อเหรอ...เฮ่อ...ถ้างั้นก็ต้องเสียใจแทนทุกคนด้วยนะ ตอนนี้เจ้าแม่บอกเองว่า ตัวใครตัวมัน” เหล่กะละแม “ผมว่าอย่ามาขอร้องให้เมื่อยเลย รีบกลับไปหาที่อยู่ใหม่เถอะ...เจ้าแม่พวกคุณกลับบ้านเก่าไปแล้ว ใช่มั้ย?” ชิณเหน็บเหล่มาทางกะละแมอีกดอก กะละแมอึ้งไป
“ไม่จริง เจ้าแม่ไม่เคยทอดทิ้งพวกเรา...เจ้าแม่อยู่เป็นขวัญและกำลังใจ เป็นร่มไทรร่มไทรให้พวกเราทุกคนใช่มั้ยวะกะละแม” ชาวบ้านไม่ยอม
ป้าเชอร์รี่ตะโกนถาม “ไม่จริงใช่มั้ยกะละแม เจ้าแม่ยังช่วยให้พวกเอ็งมีที่อยู่ใหญ่โตแบบนี้ได้เลย ทำไมเจ้าแม่ไม่ช่วยพวกเราบ้างวะ ตอนเจ้าแม่อยู่ พวกเราก็ทำบุญกับเจ้าแม่เยอะนะเว้ย...จะทิ้งพวกเราได้ยังไง เจ้าแม่ไม่เคยทอดทิ้งพวกเราใช่มั้ยวะ”
กะละแม อึ้งหนักขึ้นไปอีก...ชาวบ้านก็เริ่มบีบคั้นกะละแมหนักขึ้น...
“ใช่มั้ยๆๆๆๆๆ”
กะละแมมองหน้าชาวบ้านที่เต็มไปด้วยความหวัง...และความทุกข์ พอหันมาอีกทางเห็นหน้าชิณยิ้มเยาะ และเห็นหน้าฉายตะวันที่รอฟังคำตอบ...และทันใดนั้นกะละแมก็พูดโพล่งขึ้น
“ใช่”
ทุกคนเงียบอึ้ง ชิณยิ้มสำเร็จ กะละแมพูดต่อ
“เจ้าแม่ไม่เคยทอดทิ้งชาวบ้านในซอยมหาลาภ…เจ้าแม่บอกฉันว่าท่านจะลงมาประทับร่างฉันอีกครั้ง”
ชาวบ้านเริ่มยิ้มออกดีใจยกใหญ่ ทุกคนร้องเย้...ชิณยิ้มร้าย...เข้าทางว้อย
“แต่...เจ้าแม่บอกว่าต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน...” กะละแมหันมาทางชิณ “เจ้าแม่ขอให้คุณยืดเวลาให้กับชาวบ้านในซอยมหาลาภได้อยู่ต่อ”
ชิณชะงักกึกเสียงแข็ง “ไม่ได้! ฉันไม่ให้อยู่แล้ว ฉันจะต้องเริ่มการก่อสร้างสักที ใจดีมามากเกินไปแล้ว”
ฉายตะวันหันมาทางชิณพูดเป็นเชิงขอร้อง “แค่ให้ชาวบ้านอยู่ต่อ แลกกับการได้เฝ้าเจ้าแม่ แม่ว่ามันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรนะชิณ”
กะละแมผสมโรง “นั่นสิ คุณเองก็อยากพบเจ้าแม่เหมือนกัน หรือถ้าคุณไม่ยอม เจ้าแม่ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่คงจะไม่เสด็จลงมาเท่านั้นเอง” กะละแมทำหน้าซื่อแต่แฝงไว้ด้วยแววตาเป็นต่อและเย้ย...ฉันเหนือกว่า “ว่าไงคะ จะให้อยู่หรือไม่ให้อยู่”
หมู่มวลชาวบ้าน ติ่ง โต๊ด และตุ้งแช่ ลุ้นระทึก ชิณมองหน้ากะละแม แล้วก็ตัดสินใจเสียงแข็ง
“ได้ ฉันยอมให้ชาวบ้านอยู่ต่ออีก 7 วัน”
ชาวบ้านเฮลั่น
ชิณรีบบอกข้อแม้ “แต่! เธอจะต้องจัดให้มีการเข้าทรงภายในวันพรุ่งนี้”
กะละแมโดนเอาคืน ชะงักกึก
ชาวบ้านซุบซิบกันอย่างตื่นเต้นเสียงเซ็งแซ่ “เจ้าแม่มาพรุ่งนี้เว้ยเฮ้ย”
ชิณกับกะละแมมองหน้าสู้ตากันไม่มีใครยอมใคร...ตามเคย
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 9 (ต่อ)
โทฟู่ได้ฟังทางโทรศัพท์ก็ย้อนถามด้วยความตกใจ
“พรุ่งนี้เหรอ”
โทฟู่อยู่ที่สระว่ายน้ำคอนโดจักกาย ส่วนกะละแมยืนคุยโทรศัพท์อยู่ในสวนบ้านชิณ
“เออดิ จู่ๆชาวบ้านก็เฮกันมา ทุกอย่างมันบังเอิญไปหมด ดูตั้งใจ ฉันไม่เชื่อว่าคุณชิณจะทำเพราะเลื่อมใสเจ้าแม่จริงๆ มันต้องมีอะไรซ่อนเร้นอยู่แน่ๆ”
โทฟู่ยืนคุยโทรศัพท์ทอดสายตาจ้องไปที่สระน้ำ โดยยืนหันหลังให้ตัวตึก
“เอาน่า ถึงพวกเขาจะจับผิด แล้วแกจะกลัวอะไร ในเมื่อแกเป็นร่างทรงจริงๆ ไม่ได้หลอกลวงชาวบ้านอย่างอย่างที่เขาว่าซักหน่อย พวกนั้นทำอะไรแกไม่ได้หรอก”
กะละแมเหวอ
“เอ่อ...นั่นสินะ...” แล้วรู้สึกผิด เลยรีบเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่แกเถอะไปอยู่ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง เขาดูแลแกดีหรือเปล่า”
โทฟู่พูดตอบด้วยน้ำเสียงตัดพ้อนิดๆ
“เอ่อ...ก็ดีนะ เขาก็ดูแลดี แต่คงไม่เท่าตอนแกมาอยู่หรอก”
กะละแมรู้ทัน แซวกลับ
“พูดงี้แปลว่าแอบน้อยใจอ่ะดิ”
โทฟู่สะอึกรีบแก้
“บ้า! ฉันจะไปน้อยใจทำไม ไม่ใช่สักหน่อย” รีบตัดบกลบเกลื่อน “ไอ้แม..แกก็อย่าคิดมากเลยนะเรื่องวันพรุ่งนี้ ฉันว่าทุกอย่างจะต้องผ่านไปได้ด้วยดี…เดี๋ยวฉันจะบอกอาม่าว่าแกจะทรงวันพรุ่งนี้ อาม่าอาจจะอยากไปด้วย แล้วเจอกัน”
โทฟู่วางสาย หันหลังกลับมาจากสระว่ายน้ำแล้วก็ต้องตกใจ
“อุ้ย”
จักกายนั่นเองนั่งอยู่ที่เก้าอี้ริมสระน้ำ อย่างสบายอารมณ์ ท่าทางเหมือนนั่งฟังมานานแล้ว ได้ยินเรื่องทุกอย่างที่สองสาวคุยกัน
โทฟู่เครียด เพราะเพิ่งนินทาไป
“คุณมานั่งตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่...” อาการโทฟู่อึ้งๆ “อย่าบอกนะว่า คุณแอบฟังฉันคุยโทรศัพท์”
“ทำไมต้องแอบฟังด้วย” โทฟู่โล่งอก “แค่นั่งเฉยๆ เสียงมันก็ลอยมาเข้าหูเอง” โทฟู่เซ็ง...อ้าว “แต่ไม่เห็นต้องกลัวนี่เพราะเรื่องที่คุยก็ไม่ได้เป็นความลับอะไร”
“ใช่! เรื่องที่คุยไม่ได้เป็นความลับ แต่มันเป็นเรื่องส่วนตัว”
โทฟู่พูดใส่หน้าจักกาย จักกายไม่สนใจ ถามแต่เรื่องที่ตนอยากรู้ต่อ
“นี่ถามจริงเถอะ คุณเชื่อว่ากะละแมเป็นร่างทรงเจ้าแม่จริงๆ เหรอ”
“ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ และก็ยากจะเชื่อ แต่ฉันเชื่อใจเพื่อนฉัน ยังไงเพื่อนฉันก็ไม่มีวันโกหก” โทฟู่มั่นใจ
จักกายกังวล ว่าถ้าโทฟู่รู้ความจริงแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
“แล้วถ้ามันเป็นเรื่องสมมุติล่ะ ถ้าเพื่อนคุณไม่ได้เป็นร่างทรงจริงๆ คุณจะทำยังไง”
โทฟู่คิด แล้วก็ตอบ “เลิกคบ! ฉันรับไม่ได้ ถ้าคนที่ฉันไว้ใจหลอกฉันมาตลอดชีวิต”
จักกายเห็นแววตาเด็ดเดี่ยวของโทฟู่แอบแปลกใจนิดๆ
“เห็นเป็นคนใจดี บทจะใจแข็งก็แรงไม่ใช่เล่น”
“รู้ไว้ก็ดี คุณเองเหมือนกัน คุณให้ฉันอยู่ที่นี่ โอเค...มีบุญคุณต่อฉัน แต่ถ้าจะทำอะไรที่ไม่ดีกับฉัน หรือกับเพื่อนฉัน ฉันก็ไม่ยอมเหมือนกัน”
จักกายทำเป็นกลัว “อู้วว...น่ากลัวจัง”
“อย่ามากวน ฉันพูดจริง ทำจริง แค่นี้ใช่ไหมที่คุณจะถาม ฉันจะรีบไปหาอาม่า”
โทฟู่จะไป ไม่อยากอยู่กับจักกายนานๆ ไม่รู้เมื่อกี้ได้ยินอะไรไปบ้าง โทฟู่จะเดินไป แต่...
ถูกจักกายคว้ามือไว้ หมับ “เดี๋ยว” โทฟู่หันมา “ยังมีอีกเรื่องที่อยากถาม”
โทฟู่ หะ มองจักกายลุ้นๆ…จะถามอะไรวะ
“ผมดูแลคุณน้อยกว่าเพื่อนคุณตรงไหน” จักกายถามจริงจัง อยากรู้จริงๆ
“คุณจะอยากรู้ไปทำไม สนใจด้วยเหรอ”
“เอ่อ..ก็มันไม่ยุติธรรม คุณกล่าวหาผมกับเพื่อนคุณ ทั้งๆ ที่ผมก็ดูแลเท่ากัน” ในใจจักกายยามนี้อยากให้โทฟู่รู้ว่า ดูแลเท่ากัน แต่โทฟู่กลับเข้าใจผิด
“กลัวว่าสิ่งที่ฉันพูดจะทำให้ไอ้แมมองคุณไม่ดีว่างั้นเถอะ คุณไม่ต้องห่วงแมเป็นคนแยกแยะ ไม่โดนเป่าหูง่ายๆ และสิ่งที่ฉันพูดมันก็เป็นความจริง .. บนโลกนี้มันไม่มีอะไรเท่ากันหรอก” โทฟู่ดันงอนเดินหนีไปเลย
จักกายอึ้ง ตะโกนตามหลัง “แต่ผมดูแลเท่ากันจริงๆนะ นี่กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน”
โทฟู่ไม่สนใจ เดินไปเลย
จักกายมองตามโทฟู่งงๆ…อะไรวะ พูดไรผิดไป
มิ้วคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ที่บ้าน ยิ้มออกมาอย่างดีใจ พลางย้อนถามด้วยความตื่นเต้น
“กะละแมยอมทรงแล้วจริงเหรอ!”
กิมเอ็งนั่งตะไบเล็บอยู่ถึงกับหูผึ่ง
“จริงเหรอ”
ติ่งนั่นเองโทร.มารายงาน
“จริงครับ และที่มันยอมเข้าทรงก็เพราะ” เก๊กเสียงหล่อ “แผนอันยอดเยี่ยมและแยบยลของผมเองครับ ผมไปปลุกระดมชาวบ้านให้มากดดันจนมันยอมทรงจนได้...” ยิ้มหน้าบานโคตรเป็นปลื้ม “สุดยอดใช่มั้ยครับ...นี่ถ้าไม่ฉลาดจริงๆ คิดไม่ได้นะครับเนี่ย”
มิ้วเบ้ปากอย่างหมั่นไส้
“ย่ะ เอ๊ย ค่ะ จริงค่ะ ... เก่งมาก” หันหน้ามาแหวะกับแม่
กิมเอ็งกระซิบกระซาบให้ถาม “มันจะทรงเมื่อไหร่”
มิ้วรีบถาม “อ้อ..แล้วกะละแมจะเข้าทรงเมื่อไหร่คะ”
“วันพรุ่งนี้ครับ” ติ่งบอก
มิ้วบอกเบาๆ กับกิมเอ็ง “พรุ่งนี้ค่ะ”
“โอเค…” กิมเอ็งพยักหน้ารับรู้ “วางได้”
มิ้วยิ้มโคตรเห็นด้วย “มิ้วต้องขอบคุณมากนะคะ... คุณติ่งไม่เคยทำให้มิ้วผิดหวังจริงๆ” แหวะใส่มือถือหนึ่งที
ติ่ง คิดว่ามิ้วพูดจริงยิ้มหน้าบาน
“ไม่เป็นไรครับ...เพื่อคุณมิ้วผมทำได้ทุกอย่างครับ”
“แค่นี้นะคะ ดึกแล้ว มิ้วขอตัวไปนอนก่อนนะคะ”
“ครับ...นอนหลับฝันดี ฝันถึงติ่งนะครับคุณมิ้ว”
ติ่งวางโทรศัพท์ไปรอยยิ้มเลอะเปื้อนเต็มใบหน้า จำใจต้องวางโทรศัพท์ด้วยความอาลัย...แต่พอติ่งหันหน้ากลับมาก็ต้องตกตะลึงร้องเสียงหลง เพราะกะละแมยืนแอบฟังอยู่เมื่อไหร่ไม่รู้
“อ๊ะจ๊าก”
ติ่งนั่งหน้าจ๋อยอยู่...ถูกกะละแมแฉต่อหน้าโต๊ดกับตุ้งแช่
“ฉันก็ว่าแล้ว ทำไมชาวบ้านถึงรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่...เพราะพี่ติ่งโง่ให้เขาหลอกใช้นี่เอง”
“เขามาขอร้องเว้ย ไม่ได้หลอกใช้” ติ่งเถียง
กะละแมส่ายหน้า
“ฉันเห็นว่ามันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรง ชาวบ้านเขาก็อยากจะเจอแกจริงๆ ฉันก็แค่ไปชี้ทางสว่างให้เท่านั้น ชาวบ้านก็สมหวัง คุณมิ้วก็สมใจ แกจะเอายังไงอีก”
“แต่ข้าว่าเอ็งทำไม่ถูกว่ะ...เรื่องแบบนี้ทำไมไม่พูดกันตรงๆดันมาตุกติกกันเอง...เอ็งน่าจะขอโทษนังกะละแมมัน”
กะละแมพยักหน้าใช่ๆ...ติ่งอึ้งไป
“เออ…ฉันผิดที่หลอกมัน ฉันขอโทษ แต่...แกจะมั่ว ยกเลิกทรงไม่ได้นะเว้ย”
“เออน่า เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง...ฉันไม่เลิกหรอก...ฉันก็อยากช่วยชาวบ้านเหมือนกัน แต่ที่น่าห่วงคือการทรงครั้งนี้ เราต้องระวังตัวให้มากๆ งานนี้ทั้งคุณชิณ คุณมิ้ว ลงทุนทำถึงขนาดนี้ ต้องจ้องจับผิดพวกเราแหงๆ”
โต๊ดพยักหน้าเห็นด้วย แต่ติ่งไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ ตุ้งแช่ก็ดูจะเป็นกังวลอีกเรื่องขึ้นมา
“พี่แม...ถ้าพี่เข้าทรงอีกที...พวกไอ้ดวงไอ้ก๋อยมันไม่มาทำร้ายพวกเราอีกเหรอ...แล้วถ้ามันให้อิทธิพลพ่อมันไปบีบผอออไล่ฉันออก...ฉันจะทำยังไงล่ะพี่”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เราทรงครั้งนี้ไม่ได้ให้หวยชาวบ้าน มันคงจะไม่ทำอะไรเรา”
“พี่แมแน่ใจเหรอ”
คำพูดซื่อๆ ของตุ้งแช่ ทำเอากะละแมนิ่ง...เออว่ะ...ลึกๆ ก็ไม่แน่ใจหรอกไอ้แช่เอ๊ย
เสียงนุ้ยดังออกมาที่หน้าบ้านตอนเช้าวันใหม่
“เฮ้ย...ทำไมชาวบ้านที่ซอยมหาลาภมันยังไม่ส่งโพยมาอีกวะไอ้ก๋อย”
ก๋อยยืนตัวลีบ...นุ้ยหน้าเข้มรอฟัง
“ชาวบ้านบอกว่าขอเฝ้าเจ้าแม่เช้านี้ก่อนน่ะป๋า แล้วจะรีบส่งโพยมาให้”
นุ้ยแปลกใจ
“เจ้าแม่ไหนอีกวะ”
“ก็มีอยู่เจ้าแม่เดียวแหละจ้ะ เจ้าแม่มหาลาภไทรทอง ดำเนินการทรงโดยกะละแม และพวกพ้อง”
นุ้ยอึ้ง “พวกมันอีกแล้วเหรอ...ทำไม...ทำไมมันยังไม่ตายห่ากันไปอีกวะ อยู่เป็นหอกข้างแคร่คอยทิ่มแทงกูอยู่ได้...ขนาดพวกมึงไปถล่มมันแล้ว มันยังมีหน้ามาทรงอีก แบบนี้แสดงว่ามันไม่เห็นหัวกูเลยสักนิด” นุ้ยมองหาดวง “แล้วนี่ไอ้ดวงมันหายไปไหนของมัน”
ก๋อยอ้ำอึ้งไม่ยอมบอก...นุ้ยหันมาถามเสียงดังกว่าเดิม
“กูถามว่าไอ้ดวงลูกชายกูมันหายไปไหนของมัน”
ก๋อยอึกอักบอกเสียงอ้อมแอ้ม “เอ่อ...พี่ดวง...พี่ดวง...คือ”
พริบตานั้น นุ้ยโผล่พรวดเข้ามาในห้องนอนดวงแต่ก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นดวงใส่เฝือกอ่อนที่ขา และนั่งเดี้ยงอยู่
“ไอ้ดวงเอ็งไปทำอะไรมาวะ ทำไมเดี้ยงแบบนี้”
“คือหนูประสบอุบัติเหตุนิดหน่อยจ๊ะ”
นุ้ยไม่เชื่อแล้วหันมาทางก๋อย “ไอ้ก๋อยไอ้ดวงมันไปทำอะไรมา มึงโกหกมึงตาย”
ก๋อยหน้าซีดหันมาทางลูกพี่ “คือว่าพี่ดวง”
ดวงขยิบตาส่งซิก...อย่าบอกนะมึง นุ้ยหันมาทางดวง ดวงยิ้มแหย แล้วก็หันมาทางก๋อย ก๋อยสะดุ้ง
“คือพี่...ดวง...พี่ดวง” ก๋อยหันมาทางดวง “อย่าโกรธฉันเลยนะจ๊ะ ฉันทำเพื่อความอยู่รอด” หันมาทางนุ้ย “คือว่าพี่ดวงแอบไปหากะละร่างทรงมาจ้ะ แต่ว่ากะละแมเอาไม้กวาดไล่ตีจนตกจากรั้ว เลยเดี้ยงจ้ะ”
นุ้ยหันขวับมาทางดวง ทำเอาดวงสะดุ้ง “อ้าว แล้วไหนเอ็งบอกว่าไอ้พวกนั้นมันหนีไปแล้ว”
“หนูไปถามที่อยู่ใหม่มาจากลูกของไอ้โต๊ดน่ะจ๊ะ”
นุ้ยเพลีย “ดูดู...ลูกกู เรื่องไม่เป็นเรื่องล่ะเก่งนัก แต่ไอ้เรื่องทำมาหากินล่ะไม่ได้เรื่อง นี่เอ็งรู้มั้ยว่าไอ้พวกนั้นมันจะเข้าทรงกันอีกแล้ว”
ดวงตาโต “หะ...น้องกะละแมมาทรงอีกเหรอป๋า...เมื่อไหร่ ที่ไหน”
นุ้ยเผลอตบที่เฝือก ดวงสะดุ้ง
“โอ้ยป๋า...”
“เอ็งไม่ต้องทำตาโตน้ำลายยืดเลย...แค่เอ็งบากหน้าจีบนังร่างทรงนั่นจนโดนเขาเอาไม้กวาดไล่ตี รู้ไปถึงไหนก็อายไปถึงนั่น บารมีที่กูสั่งสมมามันจะพังพินาศเพราะมึง นี่นังร่างทรงนั่น มึงอยากได้มันมากมั้ย”
“จ้ะ” ดวงรับ
“งั้นกูจะจัดการเอามันมาทำเมีย” ดวงสะดุ้ง นุ้ยรีบแก้ “เอ๊ย...เอามาเป็นเมียมึง”
ดวงยิ้มแป้น “จริงเหรอป๋า”
“เออสิวะ คนอย่างป๋านุ้ยเคยพูดแล้วทำไม่ได้เหรอ...มึงอยู่นิ่งเลย เดี๋ยวป๋าจัดให้เอง...เรื่องแบบนี้ป๋าถนัด มันทรงอีกทีก็ดี กูจะให้เกียรติไปดูมันทรงสักหน่อย...อยากรู้จริงๆ มันมีดีอะไรนักหนา...ไอ้สำนักมหาลาภไทรทอง มึงกับกูจะได้เจอกันแน่!”
ดวงยิ้มกริ่ม นุ้ยจิกหางตาด้วยมาดนักเลงเก๋า แกซวยแน่...นังกะละแม!
ที่บ้านหลังเล็กของฉายตะวัน กะละแมซ้อมนั่งตัวสั่นๆๆๆ และก็ฝึกซาวน์เช็คพูดเสียงคนแก่เหมือนกับตอนเข้าทรง...ต้องเคาะสนิมไม่ได้ทรงนาน
“เอ็งเรียกข้ามาทำไมวะ...ข้าบอกแล้วไงว่าตอนนี้กำลัง...” ไอ...แคกๆๆๆ
กะละแมหยุดสั่นแล้วก็ไอ...เสียงแหบเป็นยายแก่ๆ หันไปหยิบแก้วน้ำเป็นน้ำผึ้งผสมมะนาว มาดื่ม
“อ้า...” ชื่นใจ “ไม่ได้ทำซะนาน เจ็บคอเลย”
แล้วกะละแมก็กระแอม เทียบเสียงอีกที
“พวกเอ็ง...พวกเอ็ง...” ไออีกที และปรับคีย์ให้ต่ำลงน่ากลัวขึ้น “พวกเอ็ง”
ขณะนั้นแจ่มเดินฮัมเพลง “คันหู” ตรงมาหากะละแมที่บ้านเล็กอย่างอารมณ์ดี แต่แล้วก็ต้องชะงักเพราะได้ยินเสียงคนแก่ฟังดูน่ากลัว ดังมาจากในบ้าน
“เอ็งมาหาข้ามีอะไรวะ”
แจ่มชะงักกึก ขนลุกซู่ๆ “หะ”
แจ่มมองซ้ายมองขวา...เสียงอะไรวะ...แล้วเสียงก็เงียบไป แจ่มคิดว่าคงจะหูฝาด จึงเดินไปต่อแล้วเสียงคนแก่ก็ดังขึ้นอีก
“ข้าถามว่าพวกเอ็งมาทำอะไรกัน...ข้าถามแล้วยังไม่ตอบอีก...จะให้ข้าโมโหหรือไงวะ”
อารามตกใจแจ่มทรุดตัวนั่งลง และยกมือไหว้ปลกๆ ตอบกลับไป “ปละ..เปล่าจ้ะ...เปล่านะจ๊ะ...แจ่มไม่ได้ทำอะไรจ้ะ...คะ...คุณท่านให้แจ่มมาจ้ะ แจ่มกลัวแล้วเจ้าค่ะ”
แจ่มลนลานยกมือไหว้รอบทิศ
กะละแมได้ยินเสียงแจ่ม ก็ชะงัก...รีบเดินออกไปดู
แจ่มยังนั่งยกมือไหว้ปลกๆ มองรอบๆ อย่างหวาดๆ
“อย่าทำอะไรแจ่มเลยนะจ๊ะ”
กะละแมเดินออกมา มองแจ่มงงๆ
“พี่แจ่ม”
แจ่มตกใจ “เฮ้ย” จนเห็นกะละแม “โธ่ คุณแมน่ะ ออกมาเงียบๆ พี่แจ่มตกใจหมด...ขวัญเอ๋ย ขวัญมา”
“พี่แจ่มมาหาฉันมีอะไรจ๊ะ”
แจ่มยังเหวออยู่ “คะ..คือคุณท่านจ้ะ...คุณท่านให้พี่มาตามกะละแมไปพบท่านจ้ะ”
“ขอบใจจ้ะ” กะละแมจะเดินไป
แจ่มมองไปรอบๆสงสัยๆ “เดี๋ยวค่ะคุณแม” กะละแมหันมาหา “มะ...เมื่อกี้ คุณแมอยู่กับใครคะ พี่แจ่มได้ยินเสียง...คะ...คนแก่ด้วย”
กะละแมชะงัก แล้วก็รีบกลบเกลื่อน “เสียงคนแก่อะไรเหรอ...ฉันอยู่คนเดียวจะมีเสียงคนแก่ได้ยังไง ไม่มีหรอก พี่แจ่มหูฝาด”
กะละแมพูดจบก็เดินไปเลย ปล่อยให้แจ่มยืนผวา หนาวอยู่คนเดียว
แจ่มค่อยๆกวาดสายตามองไปรอบๆ บ้านแล้วก็หนาววูบวาบไปมา เพราะจินตนาการที่เตลิดไปไกล และพอรู้สึกตัวก็รีบวิ่งออกมาทันที
ที่ห้องรับแขก ฉายตะวันส่งชุดผ้าไหมสีขาวบริสุทธิ์ ตัดเย็บอย่างเรียบร้อยให้กะละแม เพราะครั้งนี้ทรงด้วยใจที่อยากช่วย จากชุดแดงเลยเปลี่ยนเป็นขาวบริสุทธิ์
“นี่เป็นชุดผ้าไหม สมัยที่ฉันบวชชีพราหมณ์ ตอนที่พ่อชิณเสีย หลังจากนั้นก็ไม่มีโอกาสได้ใส่อีกเลย ฉันก็เลยคิดถึงหนู...รับไว้สิ ฉันให้...”
กะละแมอึกอัก
“รับไปเถอะ...ทรงครั้งนี้เป็นการทรงครั้งสำคัญจะให้เธอใส่ชุดเก่าซอมซ่อได้ยังไง เสียศักดิ์ศรีคุณนายฉายตะวันหมด เอ้า รับไปเถอะ”
กะละแมไหว้ “ขอบคุณค่ะ”
กะละแมมองชุดที่ฉายตะวันส่งให้ แล้วก็รู้สึกผิดอยู่ลึกๆ
“คุณนายดีกับหนูจริงๆ ถ้าคุณนายจะให้หนูทำอะไรเพื่อตอบแทนคุณนาย บอกมาเลยนะคะ หนูทำให้คุณนายทุกอย่าง”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก ห่วงแต่วันนี้เถอะ ถ้าเจ้าแม่ทำให้ชิณมีคู่ได้ ฉันก็สบายใจ ฉันน่ะดีใจนะ ที่ตาชิณเปลี่ยนความคิดที่มีต่อหนู และก็เชื่อเรื่องเจ้าแม่”
กะละแมคิดก่อนถาม “แล้วทำไมคุณนายถึงได้เชื่อเรื่องเจ้าแม่คะ ทั้งๆ ที่คุณชิณก็ว่าหนูว่าเป็นพวกต้มตุ๋นหลอกลวงอยู่ตลอดเวลา หนูอาจจะเป็นอย่างที่คุณชิณว่าก็ได้”
“ที่ฉันเชื่อเพราะว่าฉันก็เคยเห็นเรื่องพวกนี้มาบ้าง อีกอย่างมันก็เป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ บางทีมนุษย์เราก็อาจจะไม่ได้อยู่กันแค่นี้ มันอาจจะมีอีกมิติที่แทรกซ้อนอยู่ หนูอาจจะเป็นคนหนึ่งที่สามารถติดต่อกับภพภูมินั้นได้”
กะละแมยิ้มรับ หน้าเจื่อนๆ ละอายใจ
“ถึงแม้ว่ามันจะมีคนบางพวกที่มันต้มตุ๋นหลอกลวงที่ฉันเกลียดมาก” กะละแมแอบสะอึก “แต่ฉันก็ไม่คิดว่าหนูกะละแมจะหลอกฉัน ฉันเชื่อใจ และไว้ใจหนูมาก มีแต่ความจริงใจให้หนู หนูคงไม่มีทางทำอย่างนั้นกับฉันหรอก ใช่ไหมจ๊ะ”
กะละแมเสียงแผ่วรู้สึกผิดอย่างแรง “ใช่ค่ะ”
แล้วยิ่งทำให้กะละแมกลุ้มหนัก
กะละแมคิดหนัก เดินไปเดินมา มีผ้าไหมวางอยู่ข้างหน้า ทุกครั้งที่กะละแมมองผ้าไหมก็เครียด...ทำไงดีวะ...ทำไงดี...ติ่ง โต๊ด และตุ้งแช่มองกะละแมเดินไปเดินมาจนเวียนหัว โต๊ดทนไม่ไหวตะโกนเสียงดัง
“เฮ้ย...หยุดเดินไปเดินมาซะที เสาบ้านจะทรุดหมดแล้วไอ้แม”
กะละแมหันมาทรุดนั่ง “ก็ฉันคิดไม่ออกนี่ ว่าวันนี้เราจะเอาตัวรอดกันยังไง...ฉันไม่อยากให้คุณนายเขาเกลียดฉัน ฉันไม่เคยเห็นใครดีกับฉัน เอ็นดูฉันอย่างคุณนาย แล้วไหนจะเรื่องทุนการศึกษาที่เขาให้ฉันอีก ถ้าเขารู้ว่าฉันเป็นพวกต้มตุ๋น เขาต้องเกลียดฉันมากๆ ฉันจะทำยังไงดีน้า”
โต๊ดเพลียไปด้วย “เฮ่อ... ซวย ซวยจริงๆ”
“ฉันว่าต้องเป็นเพราะไฝพาซวยของแกแน่ๆ ไอ้แม” ติ่งด่า
กะละแมโมโห ด่าติ่งกลับ
“อย่ามาโทษไฝฉันนะพี่ติ่ง..ไฝฉันไปเกี่ยวอะไรด้วย”
“ก็ไฝแกมันอาจจะสร้างความรำคาญตา รำคาญใจให้คุณชิณ เค้าก็เลยไม่ชอบขี้หน้าเอ็ง ข้าว่าทางที่ดีเอาไฝออกเหอะว่ะ” ติ่งว่า
“บ้าแหละ..ไม่เกี่ยวเลย ไฝฉันมันก็อยู่ตรงนี้มาตั้งนานแล้ว ไม่เห็นฉันจะเป็นอะไรเลย ไฝมันก็เป็นแค่ไฝ มันจะให้คุณให้โทษคนได้ยังไง ถ้าไฝเป็นคนก็ว่าไปอย่าง” เอ๊ะ..กะละแมชะงักคิด “ไฝเป็นคน”
กะละแมคิด...คิด แล้วก็ปิ๊ง!!
กะละแมหันไปมองตัวเองที่กระจก แล้วก็เอามือจับไฝ ก่อนจะยิ้มกริ่มอย่างเจ้าเล่ห์ออกมา
ติดตาม "เจ้าแม่จำเป็น" ตอนที่ 10