xs
xsm
sm
md
lg

เสือสมิง ตอนที่ 6

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เสือสมิง ตอนที่ 6

ภราดรจูงมือกินรีวิ่งกึ่งเดินมาตามทาง แล้วมาหยุดตรงที่เดิมที่พวกเขาเริ่มต้น กินรีสังเกตเห็น
“นี่มันที่เดิมนี่คะคุณหมอ”
ภราดรสังเกตต้นไม้ข้างตัวแล้วเห็นว่ามันเป็นที่เดิมจริงๆเขาแปลกใจมาก
“อะไรกัน กลับมาที่เดิมได้ยังไง”
“ทำยังไงดีคะ...แล้วสองคนนั่นอยู่ไหนก็ไม่รู้”
ภราดรเป็นห่วงประเดิมกับระริน
“ผมไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“ฉันก็ไม่เข้าใจ แต่ยายเคยบอกว่ามันเป็นเรื่องของความแค้นระหว่างวิญญาณสามดวง”
ภราดรนึกถึงคำบอกเล่าของผู้ใหญ่สน
“ความแค้นของวิญญาณ สามดวง...ผู้ใหญ่สนเคยบอกผมเหมือนกัน มันเป็นเรื่องอะไรกันแน่”
“ไม่รู้สิคะ เรื่องนี้ยายไม่เคยเล่าให้ฟัง บอกเพียงแต่ว่ามันเป็นเรื่องของบรรพบุรุษ”
ภราดรคิดตาม

ในอดีต...งะดินเดในตำแหน่งผู้สำเร็จราชการนอนอาบน้ำพุร้อนอยู่ในบ่ออย่างสบายใจ มีนางกำนัลคอยดูแลอยู่ห่างๆ อิระวดีเดินเข้ามาประชด
“ท่านนี่ช่างกล้าจริงๆ ที่กล้าทำเยี่ยงนี้ บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์หาใช่สำหรับสามัญชนไม่”
งะดินเดยิ้มตอบอย่างวางท่า
“แต่ตอนนี้ข้าหาได้เป็นสามัญชน ข้าคือกษัตริย์”
“ก็แค่ตัวแทนชั่วครู่ชั่วยาม หาได้ยั่งยืน เช่นบาเยงโบไม่”
“ถ้าหากข้าเป็นกษัตริย์ เจ้าจะยอมสนองยุคลบาทข้าหรือไม่”
อิระวดียิ้ม
“หากท่านยกย่องข้าเป็นมเหสีก็หาได้ขัดข้อง...สำคัญว่าท่านจะได้ถือครองอำนาจเยี่ยงไร”
“เรื่องนี้เจ้าจะประจักษ์ในไม่ช้า”
งะดินเดมั่นใจเป็นอย่างมาก

บาเยงโบขี่ม้ายืนมองไปที่สมรภูมิ แต่ยังไม่เห็นใครมาแจ้งข่าว มีขุนศึกและทหารกล้ารายล้อมทั้งบนม้าและเดินเท้า บาเยงโบสอบถามเพื่อความแน่ใจ
“ท่านนายทัพน้อย ท่านแน่ใจนะว่าฝ่ายเรากำลังจะกำชัยเหนือข้าศึก”
“ข้าพุทธเจ้ามั่นใจพระพุทธเจ้าข้า พลส่งสารเมื่อถึงเมื่อใด เราก็ยกทัพหลวงไปสมทบทันที”
บาเยงโบไม่มั่นใจ
“ตะวันจะล่วงศีรษะอยู่แล้ว เหตุใดยังไม่มาส่งสาร เห็นทีจะเสียทีข้าศึกกระมัง”
แม่ทัพนายกองต่างหน้าไม่ดี ห่างออกไปมีพลส่งสารควบม้ามาด้วยความเร็ว ทหารกองหน้าเห็นแล้วร้องตะโกน
“พลส่งสารมาแล้ว...”
ทุกคนยินดี

นักรบชนเผ่าทางเหนือสองคนเห็นทัพหลวงอยู่ไกลๆ ทั้งสองคนปรึกษากัน
“เจ้าจำที่ท่านงะดินเดส่งสารมาได้หรือไม่”
“ได้สิ ให้ยิงกลางหลังบาเยงโบ บริเวณนั่นไม่มีอาคมครอบคลุม”
นักรบพยักหน้าอย่างมั่นใจ ทั้งคู่ขึ้นหน้าไม้อย่างชำนาญ
“ไปกันได้แล้ว”
นักรบทั้งสองค่อยๆลอบไปตามป่าหญ้าตรงไปที่บาเยงโบอย่างระมัดระวัง

ชะเวมะรัตนั่งร้อยพวงมาลัยอยู่กับนางกำนัลที่ศาลากลางอุทยาน ดอกไม้ร้อยเรียงเอาไว้อย่างสวยงาม ชะเวมะรัตท่าทางไม่ค่อยสบายใจหยุดร้อยดื้อๆ นางกำนัลหันมาถาม
“พระมเหสีหาทรงโปรดบุปผาพวกนี้แล้วหรือ”
“เปล่าเลย ข้าหาได้รังเกียจบุบผาเหล่านี้ดอก แต่ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจ”
นางกำนัลเข้าใจ
“ทรงคิดถึงพ่ออยู่หัวบาเยงโบหรือเพคะ”
“เป็นคู่ผัวเมียย่อมต้องห่วงกันเป็นธรรมดา นี่ล่วงเข้า 7 เพลาแล้ว พ่ออยู่หัวยังหาได้กลับไม่ ข้ารู้สึกกังวลใจเกรงว่า...”
ชะเวมะรัตพูดยังไม่จบนางกำนัลก็แทรกเข้ามาทันที เพราะรู้ว่ากำลังจะพูดเรื่องลางไม่ดี
“อย่าทรงตรัสนะเพคะ...มันหาใช่ลางดี พ่ออยู่หัวทรงพระปรีชาสามารถ อีกทั้งได้อาบน้ำมหาว่านพิพัฒน์ของท่านราชครูงะดินเด ศาสตราวุธใดๆหาได้ทำอันตรายได้ไม่”
ชะเวมะรัตรู้สึกใจชื้นขึ้นเมื่อได้ยินคำปลอบใจจากนางกำนัล แล้วลงมือร้อยมาลัยต่อ

บาเยงโบสั่งทหารทั้งหมดเคลื่อนทัพ
“เคลื่อนทัพได้...”
กำลังพลเคลื่อนทัพไปตามทางดูยิ่งใหญ่ สองนักรบเคลื่อนตัวมาดักข้างทาง ทั้งคู่รอจังหวะที่บาเยงโบเคลื่อนทัพมา ในมือมีหน้าไม้อาบยาพิษเตรียมพร้อม ทั้งคู่หน้าเหี้ยมเกรียมรอเวลา ห่างออกไปไม่มากกำลังพละกำลังเคลื่อนผ่านสองนักรบไป บาเยงโยไม่รู้ตัวยังคงนั่งบนหลังม้าอย่างทระนง นักรบทั้งสองตัดสินใจยิงลูกดอกออกไปแต่พลาดเป้าและไม่ระคายผิวบาเยงโบ เพราะมีอาคมคุ้มกันร่างของบาเยงโบไว้ แต่ก่อนที่บาเยงโบจะทำอะไร ลูกดอกลูกหนึ่งก็พุ่งเข้าที่หมายอย่างแม่นยำ บาเยงโบสะดุ้งร้องลั่น
“อ้าก!”
เหล่าแม่ทัพนายกองต่างรีบมาดูและส่งสัญญาณให้กัน
“พ่ออยู่หัวถูกยิง อารักขาพ่ออยู่หัวเร็ว...”
เกิดความวุ่นวายระส่ำระสาย บาเยงโบเจ็บปวด นักรบสองคนหนีไปได้ แม่ทัพน้อยเห็นนักรบสองคนแล้วตามไปกับทหารจำนวนหนึ่ง นักรบสองคนยิงธนูต้านแล้วหนีพลาง ถูกทหารนายหนึ่งตกม้าสิ้นใจตาย แม่ทัพน้อยขี่ม้าเข้าไปจนใกล้ทั้งสองคนแล้วเอาหอกที่เหน็บไว้ข้างม้าพุ่งเข้าใส่กลางหลังนักรบคนหนึ่งขาดใจตายทันที นักรบอีกคนพยายามวิ่งหนี แม่ทัพน้อยเอาเชือกลูกตุ้มเหวี่ยงใส่ขามัน เชือกพันขามันหลายรอบแล้วล้มลง ทหารพากันกรูเข้าไปล้อมมันไว้ แม่ทัพน้อยลงจากม้าแล้วตะคอกถามถาม
“ใคร...ใครส่งพวกเจ้ามา”
นักรบ ไม่ตอบ
“บอกมาโดยไว ว่าเจ้าเป็นพวกไหน ใครใช้ให้มาลอบปลงพระชนม์”

นักรบตัดสินใจกินยาพิษฆ่าตัวตายทันที แม่ทัพน้อยกังวลใจ

 
ชะเวมะรัต กำลังร้อยมาลัยแล้วเข็มแทงมือเลือดไหล เธอสะดุ้งเจ็บ
 
“อุ๊ย...”
นางกำนัลเข้ามาช่วยห้ามเลือด
“ตายแล้วพระมเหสี มา มา หม่อมฉันห้ามเลือดให้”
ชะเวมะรัตปล่อยให้นางกำนัลปฐมพยาบาล ขณะที่ใจกังวล คิดถึงบาเยงโบมาก

งะดินเดยืนอยู่ที่ระเบียงบ้าน ท่าทางผ่อนคลาย เขารอใครบางคน และแหงนมองท้องฟ้า ทันใดนั้นนกพิราบสื่อสารบินมาหา เขาคว้ามันไว้แล้วหยิบเอาสารที่เหน็บมากับข้อเท้าออกมาแล้วปล่อยนกไป งะดินเดแกะสารอ่านข้อความในใจ แล้วยิ้ม
“บาเยงโบ...ต่อไปนี้ข้าก็จะปกครองแผ่นดินนี้ต่อไป”

ขบวนม้าศึกวิ่งผ่านประตูเมืองไปด้วยความรีบร้อน บาเยงโบหมดสติอยู่บนหลังม้า...ชะเวมะรัตกำลังไหว้พระสวดมนต์อยู่ที่หอไตร นางกำนับเข้ามารายงาน
“พระมเหสีเพคะ...เอ่อ...พ่ออยู่หัว...”
นางกำนัลไม่กล้าพูดไปแต่แสดงสีหน้าว่าเกิดเรื่อง ชะเวมะรัตเดาออกทันทีผลุนผลันออกไปจากห้อง

บาเยงโบนอนหมดสติอยู่บนเตียง มีหมอหลวงกำลังปฐมพยาบาลหน้าไม่ค่อยดี ห่างออกมามีแม่ทัพน้อยและเสนาบดีต่างๆเฝ้ารอดูอาการอยู่ ชะเวมะรัตและนางกำนัลรีบเข้ามา หน้าตื่นตระหนก
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดเจ้าพี่จึงเป็นเยี่ยงนี้”
แม่ทัพน้อยหน้าเครียดแล้วกราบทูล
“เจ้าอยู่หัวทรงต้องลูกดอกระหว่างการศึกพระพุทธเจ้าข้า”
“เป็นไปไม่ได้ พ่ออยู่หัวคงกระพันคมหอกดาบหาได้ระคายผิวไม่ เหตุใด...ถึง...”
ชะเวมะรัตพูดไม่จบคิดถึงพ่อของตัวเองที่ทำพิธีอาบน้ำมหาว่านพิพัฒน์ให้ หมอหลวงทูลเพิ่มเติม
“ลำพังแค่ลูกดอกยังไม่เท่าไหร่ แต่นี่เป็นลูกดอกอาบยาพิษร้ายแรง ยากที่จะถอนพิษได้”
ชะเวมะรัตตกใจ
“ท่านว่ากระไร...ลูกดอกอาบยาพิษรึ”
“เป็นพิษร้ายที่สกัดจากสิ่งของที่มีพิษหลายชนิด จนไม่สามารถจะแก้พิษพระพุทธเจ้าข้า”
“ข้าไม่เชื่อ...มันจะต้องมียาถอนพิษ หรือวิธีรักษา” ชะเวมะรัตทั้งกังวลทั้งครุ่นคิด “พ่อยู่หัวจะอยู่ได้อีกกี่เพลา”
หมอหลวงมองหน้าทุกคนและสารภาพ
“ดูจากอาการไม่น่าพ้นราตรีที่สามพระพุทธเจ้าข้า”
ชะเวมะรัตตื่นตระหนกแต่เก็บอาการ แล้วสั่งให้ทุกคนออกไป
“มันต้องมีวิธีรักษา เจ้าพี่ต้องฟื้น...พวกเจ้าทุกคนออกไปได้แล้ว แล้วสั่งห้ามทุกคนเข้ามาในนี้นอกจากข้าจะอนุญาต”
“พระพุทธเจ้าข้า”
ทุกคนออกไปหมด ชะเวมะรัตตรงเข้าไปลูบใบหน้าของบาเยงโบที่หลับสนิท ริมฝีปากของบาเยงโบเริ่มเป็นสีม่วง

เช้าวันใหม่...ชะเวมะรัตนั่งเสลี่ยงมาหางะดินเดที่โรงตีเหล็ก พร้อมเหล่านางกำนัล ชะเวโบเห็นจึงออกมาต้อนรับพี่สาว
“พระมเหสีมีกิจอันใดรึจึงเสด็จมาที่นี่เพลาเช้าเยี่ยงนี้”
“ท่านพ่ออยู่ไหม”
งะดินเดแต่งชุดว่าราชการออกมา
“พ่อกำลังจะไปว่าราชการอยู่บัดเดี๋ยวนี้ มีเหตุอันใดเร่งด่วนรึ”
“พ่ออยู่หัวทรงต้องลูกดอกอาบยาพิษ”
งะดินเดแกล้งทำเป็นตกใจ ชะเวโบก็เช่นกัน
“เป็นไปได้เยี่ยงไร...ก็ข้าอาบน้ำมหาว่านให้พ่ออยู่หัวกับมือ...หรือพ่ออยู่หัวหาได้ปฏิบัติตามข้อห้ามอาคมจึงเสื่อม”
ชะเวมะรัตท่าทางไม่ค่อยเชื่องะดินเด
“พ่ออยู่หัวหาได้ทำเยี่ยงนั้นแน่ หากแต่อาจมีใครจงใจทำให้อาคมเสื่อม”
งะดินเดเลือดขึ้นหน้าตวาดลูกสาว
“นี่เจ้าสงสัยพ่อรึ...เจ้าหลงผัวจนโงหัวไม่ขึ้นเสียแล้วชะเวมะรัต”
ชะเวโบเสริม
“ใช่...เจ้ามันนอกคอก”
ชะเวมะรัตโกรธ
“ข้าหาได้นอกคอก หาได้หลงใหลจนลืมครอบครัว แต่ข้าพูดไปตามความจริง ท่านพ่อใยต้องร้อนตัว”
ชะเวมะรัตพูดจบจึงเดินกลับไปขึ้นเสลี่ยงไม่ฟังคำงะดินเดอีก งะดินเดกับชะเวโบมองตามไป
“พี่ข้าช่างไม่รู้อะไรเสียเลย”
“ช่างเถอะ ชะเวโบ ในไม่ช้าพ่อก็จะปกครองแผ่นดินนี้แล้ว อีกสองราตรีพ่ออยู่หัวก็จะเสด็จสวรรคตแล้ว”
ชะเวโบไม่ค่อยแน่ใจ
“แล้วถ้ามันหาได้เป็นไปตามแผนล่ะ ท่านพ่อก็รู้มันมีวิธีที่จะทำให้พ่ออยู่หัวฟื้น”
“ไม่มีทาง ชะเวมะรัตย่อมไม่เลือกวิธีนั้นแน่...”

งะดินเดยิ้มมั่นใจ

 
บาเยงโบยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง ใบหน้าเริ่มหมองคล้ำเพราะพิษเริ่มกระจายไปทั่วร่าง อิระวดีเช็ดเนื้อเช็ดตัวบาเยงโบด้วยตัวเอง นางกำนัลของอิระวดีคอยช่วยอยู่ข้างๆ ชะเวมะรัตกับนางกำนัลของเธอเดินเข้ามาในห้องเห็นอย่างนั้นก็ไม่พอใจ

“ข้าสั่งแล้วว่าห้ามใครเข้ามาในนี้ ผู้ใดปล่อยให้เจ้าเข้ามา หรือจงใจจะขัดด้วยอาญาข้า”
อิระวดียิ้มเยาะ
“พ่ออยู่หัวก็เป็นพระสวามีข้าเช่นกัน เหตุใดข้าจะมาปรนนิบัติไม่ได้”
ชะเวมะรัตเสียงแข็ง
“มันเป็นคำสั่งของข้า”
“เป็นแค่พระมเหสี หาได้เป็นตัวแทนกษัตริย์ คิดว่ามีอำนาจสั่งการเช่นนั้นรึ”
“นี่เจ้าหมายความว่า ท่านงะดินเดบิดาข้าอนุญาตเช่นนั้นรึ”
งะดินเดเดินเข้ามาอย่างสง่า
“ถูกต้องแล้ว พ่อเป็นคนอนุญาตพระสนมเอง”
ชะเวมะรัตจ้องงะดินเดกับอิระวดี นึกในใจว่าสองคนนี้คงไม่สุจริตใจแน่ แล้ววางตัวนิ่งเก็บอาการ
“เช่นนั้นก็แล้วไป เสร็จธุระแล้วก็เชิญ”
อิระวดียิ้มอย่างมีชัย แล้วเดินออกไปกับงะดินเด ชะเวมะรัตมองบาเยงโบอย่างเวทนาและคิดถึงก่อนจะหันมาถามนางกำนัล
“เรื่องที่ให้พวกเจ้าไปหาหมอเก่งๆมารักษาพ่ออยู่หัว ได้ความเยี่ยงไร”
“พวกกระหม่อมได้ส่งคนไปตะเวนหาจนทั่วแล้วได้คำตอบเดียวกันว่าหาได้มียาถอนพิษไม่เพคะ”
ชะเวมะรัตหน้าสลด
“โธ่เจ้าพี่ ฤาว่าเราจะมีวาสนาต่อกันเพียงแค่นี้”
นางกำนัลเสนอความเห็น
“อย่าได้สิ้นหวังสิเพคะ ยังมีอีกทางหนึ่งที่จะช่วยพ่ออยู่หัวได้”
“จริงรึ...เจ้าจงเร่งบอกมาบัดเดี๋ยวนี้”
“แม่ผีฟ้าหน้าทอง”
ชะเวมะรัตนึกขึ้นได้แต่ยังไม่คิดจะหวัง
“แม่ผีฟ้าหน้าทองรึ...มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย...แต่...ข้าจะลองดู”
ชะเวมะรัตมองบาเยงโบอย่างเป็นห่วงและกังวล

ภราดรนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ สักพักมีเสียงฟ้าร้องครืน เขาสะดุ้งตื่นแล้วมองไปรอบๆ กินรียังคงนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย เขาหันไปปลุกเธอ
“กินรี...กินรี...ตื่นเถอะ”
กินรีรู้สึกตัวแล้วสงสัย
“นี่ฉันหลับไปได้ยังไงเนี่ย”
“ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”
ฝนเริ่มลงเม็ดและเริ่มตกแรงขึ้น
“ฝนตกแล้ว ไปหาที่หลบกันเถอะ”
“ค่ะ...”
ทั้งคู่วิ่งฝ่าสายฝนไป

ระรินเดินดุ่มๆพยายามจะหารถที่จอดเอาไว้ ประเดิมเดินตามอย่างเซ็งๆ
“นี่คุณระรินคุณจะรีบเดินไปไหน...เดินตามควายหรือไง”
“ฉันไม่ได้เดินตามควายแต่เดินหนีควาย”
ประเดิมเคลิ้มแล้วหันไปมองหาควายแต่ไม่เห็น
“ไหนควายไม่เห็นมีสักตัวเลยนี่”
“เอากระจกไหม...จะได้เห็นชัดๆ”
ประเดิมรู้ตัวแล้วสะดุ้ง
“เล่นแรงนะ...เดี๋ยวเอาเขาขวิดเลยนี่...”
ประเดิมหัวเราะ ระรินจ้องหน้าดุ
“นี่อย่ามาพูดมากเลย ช่วยกันหารถดีกว่าจะได้ออกไปจากที่นี่”
“ผมยังจำทางไม่ได้เลยแล้วจะหารถได้ยังไง...”
“ยังไงฉันก็ต้องหาให้เจอ”
ประเดิมเซ็งแล้วเดินตามระรินไป ฝนเริ่มลงเม็ดและตกหนัก
“นี่คุณระริน ผมว่าหาที่หลบฝนกันก่อนดีกว่า”
ระรินเห็นด้วย ทั้งคู่วิ่งไปหาที่หลบฝน

ภราดรกับกินรีวิ่งหลบฝนมาที่ปากถ้ำแห่งหนึ่ง ด้านหน้ามีเทวรูปที่ปรักหักพังตั้งอยู่
“เข้าไปหลบในถ้ำก่อนเถอะค่ะ”
“แต่...มันมืด มากเลยนะครับ ข้างในมีอะไรก็ไม่รู้”
“เถอะน่า...เดี๋ยวกินรีหาไฟให้...ไป...เข้าไปเถอะค่ะ...”
กินรีดึงมือภราดรเข้าไปในถ้ำ

เวลาผ่านไป...กินรีกำลังเอาไม้สีกันแล้วเกิดไฟติดขึ้นมา ภราดรรู้สึกทึ่งในตัวหญิงสาว
“คุณนี่เก่งจังเลย”
“ชาวป่าชาวดอยเขาจุดไฟกันอย่างนี้ทั้งนั้นแหละค่ะ ดีนะที่แถวนี้มีฟืนอยู่บ้าง”
“แสดงว่าคงต้องมีคนมาหลบที่นี่เหมือนเรานะครับ”
ชายหนุ่มจ้องตาหญิงสาวผ่านเปลวไฟ เธอหลบตาด้วยความอาย ภราดรจะกระเถิบไปใกล้ๆ ทันใดนั้นเสียงแหวของระรินดังมาจากปากถ้ำ
“คุณหมอคะ...”
ภราดรสะดุ้งกลับคืนสู่ภาวะปกติ กินรีก็เช่นกัน
“คุณหมอมาหลบอยู่นี่เอง”
ภราดรหันไปมอง
“ระริน ประเดิม...”
ประเดิมแซว
“นั่นแน่ มาแอบโรแมนติก กันอยู่ที่นี่เอง...รู้งี้ไปหาถ้ำอื่นหลบฝนดีกว่า”
ภราดรกับกินรีอาย เขารีบกลบเกลื่อน
“จะบ้าหรือไงประเดิม พวกเราแค่มาหลบฝน...เฮ้อ...ฉันเข้าไปหาฟืนดีกว่า”
“ระรินไปด้วยค่ะ”

ภราดรไม่ขัดข้องเขารีบลุกไป ระรินตามไป ประเดิมจ้องหน้ากินรีอย่างรู้ทันแล้วอมยิ้ม หญิงสาวหลบสายตาเขา

 
มะค่านอนหลับไม่ได้สติ แม่หมอสวดมนต์บูชา เจ้าแม่หน้าทอง กับผีนัตอยู่
 

“ขอให้ เจ้าแม่ช่วยปกป้องคุ้มครองกินรีด้วยเถิด”
แม่หมอก้มลงกราบแล้วหันหลังจะออกมานอกห้องแต่ก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อหันมาเจอ ชะเวโบที่ยืนมองแววตาเขาอาฆาต
“เฮ้ย...”
แม่หมอสะดุ้งถอยกรูดด้วยความกลัว แล้วก้มหน้าหลบตา ทันใดนั้นมีมือหนึ่งมาเขย่าตัวแม่หมอ เป็นพะอูนั่นเองเขาส่งเสียงอื้ออ้าเรียกสติ
“อือ...อา...”
แม่หมอจำเสียงพะอูได้จึงลืมตาแล้วได้สติ
“พะอู...เอ็งไปไหนมา”
พะอูชี้บอกว่าไปในป่า
“อือ...ไปเอาน้ำมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวมะค่ามันหน่อยไป”
พะอูออกไป แม่หมอคิดถึงชะเวโบแล้วมองไปที่เทวรูปชะเวโบ
“มันถึงเวลาแล้วใช่ไหม...”

ภราดรเดินเข้ามาในถ้ำมีเพียงแสงสลัวจากกองไฟที่มาจากปากถ้ำ ระรินเกาะแขนแน่น เขารู้สึกรำคาญแต่บอกด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“คุณช่วยปล่อยแขนก่อนนะครับ ตรงโน้นมีฟืนผมจะไปเก็บ”
“ค่ะ...คุณหมออย่าไปไกลนะคะ”
“ครับ”
ภราดรเดินเลี่ยงไป ระรินยืนมองรอบๆอย่างหวาดๆ ภราดรเดินหายไปในความมืด ระรินออกเดินพลันเท้าสะดุดก้อนหินแล้วล้มลง มือไปจับโดนอะไรบางอย่างแล้วสิ่งนั้นมันก็มาประจันตรงหน้าเธอ มันคือกะโหลกมนุษย์พร้อมโครงกระดูก เธอตกใจสุดขีดรินร้องเสียงดัง
“ว้าย!...ช่วยด้วย...ผีหลอก...”
ภราดรหันไปมองระริน

คบไฟลุกสว่างขึ้นในมือของประเดิมแล้วส่องไปทั่วถ้ำ ที่ผนังมีรอยขีดเขียน เล่าเรื่องราวในสมัยพุกาม มีแท่นบูชาและโครงกระดูกมนุษย์ นั่งอยู่ ที่พื้นมีโครงกระดูกเรียงราย ภราดรเอาไฟในมือส่องดูที่ผนังถ้ำ เห็นว่ามีรูปเสือ และภาษามอญโบราณมีรูปคนนอน เขาสันนิษฐาน
“นี่คงเป็นถ้ำที่คนสมัยก่อนใช้ประกอบพิธีกรรมอะไรสักอย่าง ดูสิ เหมือนว่าจะรักษาคน หรือบูชาอะไรสักอย่าง”
ประเดิมออกความเห็น
“บริเวณนี้เป็นเมืองเก่า เข้าใจว่าน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของเมืองตะโก้งอาณาจักรพุกามในอดีตครับหมอ สองสามปีที่แล้วพวกกรมศิลปากร มาขุดพวกข้าวของเครื่องใช้ไปได้หลายอย่าง...แต่ที่ยังค้นหากันอยู่ก็คือสุสานกษัตริย์บาเยงโบครับ ว่ากันว่ามีทรัพย์สมบัติถูกฝังเอาไว้มากมายเลย พวกเสี่ยงโชคยังค้นหาขุดกันไม่เลิกเลย แต่ก็ไม่มีใครเจอ”
ภราดรสนใจ
“จริงหรือ”
ระรินไม่เชื่อ
“มันก็แค่เรื่องงมงาย ไม่จริงหรอกค่ะ แต่พ่อของระรินก็ยังเชื่อนะคะ ทุกวันนี้ยังให้คนค้นหาอยู่เลยหมดเงินไปกับพวก สิบแปดมงกุฎไปหลายแล้ว...อย่าไปเชื่อเลยค่ะ”
ระหว่างที่สนทนากันกินรีก็เอาไฟส่องที่ผนังถ้ำแล้วเห็นภาพเขียนที่ผนัง เขียนเป็นรูปผู้หญิงสวมหน้ากาก เธอรำพึงเบาๆ
“เจ้าแม่หน้าทอง”

ค่ำคืนนั้นในอดีต...ในห้องบรรทมตำหนักพระสนม งะดินเดนอนเปลือยพิงเตียงอย่างสบายใจ อิระวดีแต่งตัวให้เรียบร้อยทั้งคู่ผ่านการเสพสุขกันมา
“เมื่อข้าเป็นกษัตริย์ สิ่งแรกที่ข้าจะทำก็คือแต่ตั้งให้เจ้าเป็นพระมเหสีคู่บัลลังก์ของข้า”
“ดูท่านมั่นใจยิ่งนัก”
“แน่นอน...บาเยงโบกำลังจะลงหลุมในราตรีหน้าแล้ว”
อิระวดีไม่ค่อยมั่นใจ
“แต่อย่าลืมนะว่า แม่ผีฟ้าหน้าทองยังอยู่ พระมเหสีอาจจะไปขอร้องท่านก็ได้”
“ไม่มีทาง ชะเวมะรัตคงไม่อกตัญญูอย่างนั้นหรอก ยังไงชะเวมะรัตต้องเลือกพ่อ อีกอย่างแม่ผีฟ้าหน้าทองตัดขาดจากโลกภายนอกไปเกือบ 50 ปีแล้ว วันๆเอาแต่เก็บตัวในถ้ำ และสาบานว่าจะไม่ออกมารักษาใครอีก...”
อิระวดีโล่งใจเมื่อได้ฟังอย่างนั้น

ชะเวมะรัตแต่งตัวรัดกุมเอาผ้าคลุมศีรษะเดินออกมาจากประตูเมือง กับนางกำนัลและองครักษ์หญิงสองคน ฟ้าแลบและร้องครืนคราง

“ข้าจะต้องลองขอร้องแม่ผีฟ้าหน้าทองดู แม้ว่าเงื่อนไขจะเป็นการแลกชีวิตด้วยข้า ข้าก็ยอมเพียงของให้พ่ออยู่หัวฟื้นเท่านั้น”
 
อ่านต่อพรุ่งนี้ เวลา 09.30น.

เสือสมิง ตอนที่ 6 (ต่อ)

แม่ผีฟ้าหน้าทองเป็นหญิงชรานั่งขีดเขียนคาถาและรูปภาพตามผนังถ้ำอย่างสงบนิ่ง สาวใช้คอยนั่งปรนนิบัติอยู่ไม่ห่าง ชะเวมะรัตกับนางสนมเดินมาถึงที่หน้าถ้ำแล้วหยุด แม่ผีฟ้ามีญาณรับรู้การมาของชะเวมะรัต
“ข้านึกแล้วว่าเจ้าต้องมา...เข้ามาสิพระมเหสี”
ชะเวมะรัตตัดสินใจเดินเข้าไปหาแม่ผีฟ้า นางสนมจะเดินตามเข้าไปด้วยแต่แม่ผีฟ้ากำชับ
“พระมเหสีคนเดียว”
ชะเวมะรัตหันไปสั่ง
“พวกเจ้ารอตรงนี้ก่อน”
ชะเวมะรัตเข้าไปในถ้ำ แล้วนั่งลงกราบแม่ผีฟ้าหน้าทอง
“อีกราตรีเดียวมิใช่รึ พ่อของเจ้าจะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ เจ้าอยากเป็นเมียกษัตริย์หรือเป็นลูกกษัตริย์ล่ะ”
ชะเวมะรัตตอบด้วยความมั่นใจ
“ที่ข้ามาที่นี่หาใช่คำตอบรึ”
แม่หมอหัวเราะเบาๆ
“เจ้าไม่กลัวว่าจะถูกตราหน้าว่าหลงผัวรึ”
“ไม่...ข้าทำเพื่อความถูกต้อง พ่ออยู่หัวบาเยงโบคือขวัญและกำลังใจของแผ่นดิน เหล่าศัตรูอริราชต่างพากันเกรงกลัว หาได้หาญกล้ามารุกราน บ้านเมืองสงบสุขมาช้านาน หากสิ้นพ่ออยู่หัวไปในบัดเดี๋ยวนี้ข้าเกรงว่า แผ่นดินจะลุกเป็นไฟ”
“ใครเป็นกษัตริย์มันก็มิได้ต่างกัน เจ้าหาได้เชื่อมือพ่อเจ้าดอกรึ”
ชะเวมะรัตส่ายหน้าแววตาจริงจัง
“บาเยงโบคงไม่ฟื้นดอก”
ชะเวมะรัตตกใจ
“ทำไม...”
“ข้าสาบานเอาไว้แล้วว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกอีก นั่นก็คือข้าจะไม่รักษาใคร”
ชะเวมะรัตใจหายหน้าสลดน้ำเสียงสั่น
“ข้าขอร้อง...แม่ผีฟ้าโปรดเมตตาด้วย”
“ข้าสาบานไปแล้ว เจ้าไปหาวิธีอื่นดีกว่า”
“แม่ผีฟ้า...”
ชะเวมะรัตพยายามจะขอร้องอีกแต่แม่ผีฟ้าทองขัดขึ้นและปิดการสนทนา
“กลับไปซะเถอะ...พระมเหสี”
ชะเวมะรัตใจหายแล้วจำใจลุกขึ้นแล้วเดินจากไปอย่างช้าๆ แม่ผีฟ้าหน้าทองมองตามอย่างสงสาร
แม่ผีฟ้าหน้าทองตัดสินใจเรียกชะเวมะรัตที่เดินร้องไห้ออกไปจากถ้ำ
“เดี๋ยวก่อน”
ชะเวมะรัตหันกลับไปทันที
“บาเยงโบยังมีทางรอด”
ชะเวมะรัตดีใจอย่างมาก เมื่อได้ฟังอย่างนั้น

งะดินเดนั่งบริกรรมคาถาเสริมบารมีและอาคมอยู่ในห้อง ร่างของเขากลายเป็นลายเสือ ชะเวโบเข้ามาเห็นก็มองด้วยความทึ่ง ไม่นานนัก งะดินเดกลับคืนสภาพเดิม
“นี่มันวิชาเช่นไรกันท่านพ่อ”
“มันคือวิชาสมิงทราช เป็นอาคมขั้นสูงสุดของตระกูล ผู้ใดเรียนอาคมจนถึงขั้นจะได้สัมผัสกับอาคมนี้และจะมีชีวิตชั่วนิรันดรมีพลังอำนาจหามีใครจะมาต่อกรง่ายๆ”
“ข้าอยากได้บ้าง”
“ได้สิลูกรัก ข้าได้ครองราชย์เมื่อไหร่ ข้าจะถ่ายทอดให้เจ้า และจะแต่งตั้งเจ้าเป็นพระมหาอุปราชทันที”
ชะเวโบดีใจมาก
“ราตรีวันพรุ่ง บาเยงโบก็ถึงฆาตแล้ว ท่านพ่อคิดเยี่ยงไรกับพระสนม”
งะดินเดยิ้มเยาะ
“นางคนนี้มักใหญ่นัก หาควรเก็บเอาไว้ให้เป็นหอกข้างแคร่ไม่ ทันทีที่ข้าครองบัลลังก์ ข้าจะกุดศีรษะนางเสีย”
ชะเวโบยิ้มอย่างพอใจ เมื่อรู้ถึงจุดประสงค์ของบิดา ทันใด...มีลมพัดมาวูบหนึ่ง เทียนทุกเล่มที่จุดบูชาดับวูบลง ราวกับเป็นลางอะไรสักอย่าง ยังคงเหลือแสงจากตะเกียงกลางห้อง งะดินเดหน้าเครียดรู้ว่ามีเรื่องไม่ดีแน่!

แม่ผีฟ้าหน้าทอง นั่งสงบนิ่งอยู่บนแท่นหิน ชะเวมะรัตคุกเข่าลงต่อหน้า
“พ่ออยู่หัวมีทางรอดจริงๆหรือ แม่ผีฟ้า”
“ใช่...แต่มันต้องขึ้นอยู่กับตัวเจ้า”
“ข้าต้องทำเยี่ยงไร...ข้าทำได้ทุกอย่าง”
“จริงรึ”
“ต่อให้ข้าต้องสิ้นลมในบัดเดี๋ยวนี้ เพื่อให้พ่ออยู่หัวมีชีวิตต่อไปแม้เพียงเสี้ยวยามข้าก็จะทำ”
แม่ผีฟ้าหน้าทองหัวเราะอย่างพอใจ แล้วเอื้อมมือไปด้านหลังหยิบหน้ากากทอง ซึ่งเป็นหน้ากากทองอันเดียวกับที่กินรีใช้ในปัจจุบัน วางลงตรงหน้าชะเวมะรัต
“หน้ากากทองชิ้นนี้เป็นหน้ากากที่ผีฟ้ารุ่นแล้วรุ่นเล่า และถ้าเจ้าต้องการรักษาพ่ออยู่หัวบาเยงโบล่ะก็ เจ้าต้องสืบทอดการเป็นผีฟ้าสืบไป”
ชะเวมะรัตตัดสินใจทันที
“ข้ารับปาก ข้ายอมสืบทอดเป็นทายาทผีฟ้า”
“เจ้ามั่นใจนะ...การเป็นผีฟ้ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิด...และเจ้าจะตายไม่ได้จนกว่าเจ้าจะมีทายาทสืบทอดต่อไป”
“ข้ายอม แต่ว่าข้าไม่มีเวทมนต์และก็ไม่มีบุตร”
“รอบตัวเจ้าตอนนี้เต็มไปด้วยเวทมนต์ ข้าบันทึกทุกอย่างเอาไว้กว่า 50 ปี ส่วนเรื่องบุตรของเจ้าผีฟ้าจะประทานให้เจ้าตามเวลาอันสมควร”
ชะเวมะรัตมองไปรอบๆถ้ำ เห็นว่ามีการเขียนอาคมต่างๆรวมทั้งภาพวาดต่างๆด้วย
“พนมมือ ตั้งสติให้ดีแล้วก้มมาหาข้า”
ชะเวมะรัตทำตามคำสั่ง แม่ผีฟ้าหน้าทองบริกรรมคาถาแล้วเอามือสัมผัสหน้ากาก ทันใด หน้ากากลอยขึ้นไปสวมที่หน้าชะเวมะรัต

ชะเวมะรัตเดินนำหน้านางกำนัลและองครักษ์ อย่างสง่าดุจนางพญา บัดนี้นางได้กลายเป็นเจ้าแม่หน้าทองไปแล้ว นางกำนัลเอาหน้ากากทองใส่พานเดินทูนศีรษะตามหลัง ก่อนหน้านี้แม่ผีฟ้าหน้าทองได้สั่งไว้ว่า...
“ราตรีวันพรุ่ง ให้เจ้าทำพิธีกลืนบาป เมื่อพระจันทร์ตรงศีรษะ ตามที่ข้าบอก บาเยงโยจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าจงระวังอย่าให้...หน้ากากผีฟ้าอันนี้ตกพื้นเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้น มันจะเกิดความวิบัติกับคนใกล้ชิดเจ้า รวมทั้งตัวเจ้าเองด้วย...และจำเอาไว้ว่า ทายาทรุ่นต่อๆไปจะมีความรักไม่ได้ไม่เช่นนั้นอาคมจะเสื่อมลง”

ปัจจุบัน...กินรียังคงลูบคลำไปตามอักขระตามฝาผนัง เธอรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรแทรกซึมไปในตัวเธอ
แววตาเปลี่ยนไปเป็นแข็งกร้าวเพราะแม่ผีฟ้าหน้าทองเข้าสิง กินรีอ่านอักขระนั้นออกมาเป็นภาษามอญ
“ข้าแต่ผู้ทรงอำนาจ ที่อยู่เหนือมนุษย์ที่สถิตอยู่ในชั้นฟ้า...อำนาจแห่งธาตุทั้งสี่...”
ภราดร ระริน และประเดิมหันมามองกินรีด้วยความแปลกใจ
“เมื่อกี้เธอว่าอะไรนะกินรี” ภราดรถาม
เสียงกินรีเปลี่ยนเป็นเสียงแม่ผีฟ้าหน้าทอง และพูดภาษาไทย
“นังคนนี้ชื่อกินรีหรือ...ทายาทของข้า...กินรี...”
ระรินกลัว เกาะแขนภราดรแน่น
“นี่นังกินรี...อย่ามาเล่นบ้าๆนะ ฉันยิ่งกลัวๆอยู่”
กินรีหันมาตวาด
“หุบปาก นังปากแดง...จะตายอยู่แล้วยังไม่รู้ตัวอีก”
ประเดิมฉุกคิดและสอบถาม
“ท่านเป็นใคร...”
“ข้าคือบรรพบุรุษของนังกินรี...ผู้สืบทอดทายาทผีฟ้าของข้า”
ระรินแอบข้างหลังภราดรพูดเบาๆ
“ผีดิบ...นังกินรีต้องเป็นผีดิบแน่นอน...อย่าเข้าไปใกล้มันนะคะหมอ”

ภราดรไม่สนใจ เข้าไปใกล้กินรีพร้อมกับคุกเข่าลง กินรีจ้องหน้าเขา
“บาเยงโบ...เป็นเจ้าจริงๆ”
“ท่านพูดอะไรข้าไม่เข้าใจ ใครกันบาเยงโบ”
“ไม่ต้องรีบร้อน เรื่องนี้วันหนึ่งเจ้าจะรู้เอง...แต่สิ่งที่เจ้าต้องรู้ในตอนนี้คือ พวกเจ้าทุกคนกำลังถูกจองจำอยู่ในมนต์ของงะดินเด”
ระรินตกใจโวยวาย
“ถูกจองจำ...แสดงว่าเราต้องติดอยู่ที่นี่ไปตลอดน่ะหรือ...ไม่เอานะ...ระรินกลัว..ระรินคิดถึงบ้าน...คิดถึงพ่อ...”
ภราดรรู้สึกระอา ประเดิมเตือน
“คุณระริน...ใจเย็นๆสิ...”
ภราดรหันไปถาม
“เราต้องทำยังไงครับ ถึงจะกลับออกไปได้”
“ทายาทของข้าจะพาพวกเจ้ากลับไปเอง...”
พูดจบกินรีก็ล้มลง ภราดรตรงเข้าไปรับร่างเธอไว้
“กินรี กินรี...”
ครู่หนึ่งกินรีลืมตาขึ้นมอง...
“คุณหมอ”

เสือทศนั่งอยู่บนแคร่ใต้ต้นไม้หน้ากระท่อม สายตามองไปยังภูเขาที่แลเห็นอยู่ไม่ไกล ในขณะที่ลูกสมุนสองคนกำลังนั่งดูแผลของกันและกันอยู่ใกล้ๆ
“พี่ทศ เกิดเรื่องแล้วพี่”
เสือเรืองเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน เสือทศหันขวับไปมอง
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“พ่อเสือนะสิ ให้จงใจกับไอ้หินเข้าไปที่บ้านสาง”
“พ่อเสือนี่นะ ที่จะให้จงใจออกไปนอกชุมโจรตามลำพังอย่างนั้น”
“พ่อเสือนี่แหละพี่ แปลกดีมั้ยล่ะ”
เสือทศพยักหน้าเครียดๆ
“นั่นสิวะ ข้าก็ว่าแปลกๆอยู่”
“เห็นน้าแววแกบอกว่า จงใจขอเข้าไปสืบดูลาดเลาในหมู่บ้านว่าเกิดอะไรขึ้น”
“จะไปสืบอะไรวะ”
“ไม่รู้พี่ แต่ที่ข้าได้ข่าวมา มีคนบอกว่า เสือโคร่งมันออกอาละวาดกัดคนที่ในหมู่บ้านตายไปอีก”
“อะไรของมันวะ ไอ้เสือตัวนั้นอีกแล้วเหรอ”
เสือทศนิ่งไป เสือเรืองมองสงสัย
“อย่าบอกนะ ว่าพี่จะตามล่าไอ้เสือตัวนั้น”
“หรือเอ็งกลัว”
“พี่ไม่โดนเหมือนข้านี่ ถ้าโดดหนีไม่ทันคืนนั้น มีหวังนอนตายอยู่ที่นั่นแล้ว”
“เรื่องเสือข้าไม่วิตกเท่าไหร่ แต่สงสัยเรื่องจงใจ ไปที่หมู่บ้านนั้น”
เสือทศคิดบางอย่างขึ้นมาได้ แล้วผุดลุกขึ้นทันที
“ไอ้ตำรวจนั่น มันเสน่ห์แรงขนาดนี้เชียวหรือ”

เสือใจนั่งสูบบุหรี่ใบจากอย่างใช้ความคิด อยู่บนศาลากลางหมู่บ้าน โดยมีแววนั่งอยู่ใกล้ๆ คอยแกะหมาก เจียนพลูให้ บรรดาสมุนทั้งหลาย เสือดำ เสือชิน เสือเข้ม นั่งคุยเล่นอยู่กับสาวๆในชุมโจรที่กำลังนั่งปั่นด้ายสำหรับทอผ้าอยู่ข้างศาลา
“คิดถึงเด็กสองคนนั้นหรือพ่อเสือ” แววเห็นท่าทีแล้วชวนคุย
“ อืม...ข้าไม่น่าจะปล่อยให้พวกมันเข้าไปที่บ้านสางตามลำพังเลย”
“ปล่อยมันเถอะพ่อเสือ เด็กมันโตๆกันแล้ว ถ้าเรารั้งเขาไว้ให้อยู่แต่ในหมู่บ้าน พอดี พอร้ายจะกลายเป็นคนโง่ ไม่รู้จักโลกภายนอก”
“เอ็งก็พูดได้สิ ลูกเอ็งมันผู้ชายนี่หว่า แต่ลูกข้ามันเป็นผู้หญิงเว้ย”
“ถึงจะเป็นผู้หญิงฉันก็เชื่อหนูจงใจนะพ่อเสือ ฉันเลี้ยงเขามาตั้งแต่เล็กๆ ฉันรู้ดีว่าหนูจงใจเป็นคนอย่างไร”
เสือใจถอนหายใจยาวๆ รู้สึกเป็นห่วงลูกสาวขึ้นมา
“ที่จริงข้าน่าจะให้ใครติดตามพวกมันไปสักคนสองคน จะได้ช่วยดูแลกัน”
“จะให้ใครไปล่ะ หน้าตาแต่ละคนก็บอกยี่ห้อทั้งนั้น จะให้พ่อทศไปก็คงจะไปสร้างเรื่องให้เดือดร้อนอีก”
เสือทศ เสือเรืองและสมุนสองคน เดินส่ายอาดๆเข้ามาในลานหมู่บ้าน เดินตรงมาหาเสือใจ
“ตายยากจริงๆ พูดถึงเสือ เสือก็มา พูดถึงหมา หมาก็เห่า” แววพึมพำ
“สุภาษิตอะไรของเอ็งวะนังแวว ข้าไม่เคยได้ยิน”
“สุภาษิตโจรนะสิ”
เมื่อเดินมาถึงเสือทศเรียกเครียดๆ
“พ่อเสือ...”
“ว่าไง อะไรของเอ็ง หน้าเคร่งมาเชียว”
“ทำไมพ่อให้จงใจมันเข้าไปในหมู่บ้านคนเดียว พ่อไม่รู้เหรอว่า มันอันตราย”
“จะอันตรายอะไร ไม่มีใครรู้จักพวกมันสักหน่อย”
“ก็เพราะไม่มีใครรู้จักไงพ่อเสือ ถ้าเกิดมันไปเจอคนไม่ดีเข้าจะทำไง”
เสือทศถือโอกาสทรุดตัวลงนั่งข้างๆเสือใจ ในขณะที่เสือเรืองกับสมุนเลี่ยงไปยืนคุยอยู่กับกลุ่มเสือเข้ม
แววลุกขึ้นยืนทันที
“ฉันขึ้นเรือนก่อนล่ะพ่อเสือ”
เสือทศมองดูแววอย่างรู้ทันว่าแววรังเกียจตน
“อ้าว...จะรีบไปไหนล่ะน้าแวว ไม่อยู่ปรึกษากันก่อนล่ะ เผื่อยังไงข้าอาจจะช่วยไอ้หินมันได้บ้าง”
แววหันขวับมามองเสือทศ สายตาเหยียดหยาม แค้นใจ
“เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะพ่อคุณ ไอ้หินน่ะมันเด็กก็จริง แต่มันเอาตัวรอดได้ มันคงไม่พาใครไปตายเหมือนคนอื่นหรอก”
พูดจบแววก็เดินลงจากศาลาไป โดยไม่แม้จะหันกลับมามองดู เสือทศยืนหน้าตึงเพราะถูกด่าตรงๆ แต่ไม่กล้าจะแสดงท่าทีอะไรออกมา เพราะอยู่ต่อหน้าเสือใจ จึงได้แต่ฟึดฟัดไปมาเพราะว่าขัดใจ
เสือใจมองดูเสือทศซึ่งตนเองรักเหมือนลูก และต้องการปลูกฝังให้เป็นหัวหน้าชุมโจรต่อจากตน แต่เริ่มผิดหวังหลังจากที่เสือทศนำคนตามไปรุมทำร้ายหิน และพาสมุนไปปล้นโดยที่ไม่ขออนุญาตจากตนจนมีคนตาย
“เป็นอะไรไป ฟึดฟัดเหมือนจะกัดใคร เราเป็นเสือ ต้องใจร่มๆ มีสมาธิให้มาก ถ้ายังอยากจะเป็นหัวหน้าชุมโจรนี้เอ็งก็อย่าทำอะไรที่มันขัดกับความรู้สึกของคนอื่นเข้า”
“แล้วพ่อเสือจะให้ข้าเข้าไปที่บ้านสางมั้ยล่ะ”
“ไม่” เสือใจบอกทันที

ทันทีที่กลับมาที่กระท่อม เสือทศเตะข้าวของกระจาย
“โธ่..เว้ย...”
เสือเรืองและลูกน้อง ยืนดูเสือทศอาละวาดอย่างใจเย็น
“ข้าชักจะทนไม่ไหวเข้าไปทุกทีแล้วนะเว้ย”
“ถ้าไม่ไหวจริงๆ พี่ก็รู้นี่ว่าจะทำยังไง”
เสือทศหยุดอาละวาด หันขวับมาทางเสือเรืองทันที
“เอ็งจะให้ข้าทรยศพ่อตัวเองอย่างนั้นหรือ”
เสือเรือง มองซ้ายมองขวาก่อนพูดเบาๆ
“พ่อ...แต่ไม่ใช่พ่อแท้ๆ แถมพี่ก็หวังเอาลูกเขามาเป็นเมีย อย่างนี้พี่ว่ายังไง”
“จงใจน่ะ ยังไงมันก็เป็นเมียข้าอยู่วันยังค่ำละวะ ในหมู่บ้านเรา ใครเขาจะกล้าจีบมัน นอกจากข้า”
“นั่นนะสิ ทีนี้ พี่ก็ลองคิดดู พี่จะเอาไงดี ระหว่างพี่ต้องทนอารมณ์เสียอยู่อย่างนี้ หรือว่าจะปลดแอกตัวเอง คิดดูดีๆ ไพ่ตานี้ พี่พลาดไม่ได้....!!!”
“ถ้าข้าทำอะไรลงไป ข้าก็จะกลายเป็นคนเนรคุณคน แล้วทีนี้ จงใจก็คงจะเกลียดข้าไปชั่วชีวิต...”
“หรือว่าพี่จะทนเป็นแบบนี้ไปชั่วชีวิตล่ะ”
เสือทศนิ่งคิดอย่างหนักใจ

จ่าชิตซุ่มรอดูเหตุการณ์อยู่บริเวณต้นไม่ใหญ่ที่สมรตาย เพราะสงสัยเรื่องรอยเลือด และหัวใจของคนตายที่ถูกควักไป ไม่ห่างนักมีเสียงสวบสาบคนย่างก้าวเข้ามา จ่าชิตตื่นตัว แล้วเลี่ยงออกไปหมายจะจับที่มาของเสียง เขาคิดว่ามันต้องไม่ปลอดภัยแน่
จ่าชิตได้จังหวะหลบมาที่พุ่มไม้แล้วลอบมาข้างหลังของผู้มาใหม่ ยังไม่เห็นว่าใครเพราะมีต้นไม้บัง จ่าชิตได้เปรียบแล้วชิงจังหวะเอาปืนเข้าไปจ่อทันที
“หยุด..”
จ่าชิตต้องแปลกใจเพราะคนที่เขาจี้คือสมรักษ์ และแก้ว
“หมวด...”
สมรักษ์แปลกใจ
“นี่มันอะไรกันเนี่ยจ่า...”
จ่าชิตลดปืนและสงบลง แต่น้ำเสียงไม่ลดละ
“ผมก็นึกว่าเป็นพวกไอ้เสือใจมันน่ะสิ”
“แล้วอยู่ดีๆ จ่าออกมาเงียบๆทำไม มีอะไรหรือเปล่า”
จ่าชิตชี้ให้ดูรอยเลือดที่เปื้อนตามพื้น
“ทุกครั้งที่เสือกัดคนตาย มันจะต้องเอาหัวใจมาวางไว้ที่นี่เหมือนกับว่า มันจงใจเอามาวางไว้ให้ใครบางคน”
สมรักษ์คิดตามและไม่ค่อยเชื่อ
“มันบังเอิญมากกว่ามั้งจ่า”
“ไม่หรอก...มันเป็นแบบนี้มาทุกครั้ง”
“แค่คดีน้าสมรกับคดีนี้จ่าก็ด่วนสรุปแล้วหรือ”
จ่าชิตกล้ำกลืนน้ำตาไว้ในใจเมื่อนึกถึงความหลัง
“อย่างน้อยก็มีคดีลูกกับเมียผมอีกคน”
สมรักษ์กับแก้วแปลกใจเมื่อได้ฟังอย่างนั้น จ่าชิตจึงเล่าเหตุการณ์ในอดีตให้ฟัง

เมื่อ 13 ปีที่แล้ว จ่าชิตวิ่งไล่เสือตัวใหญ่ ในปากคาบเด็กทารกห่อผ้าเอาไว้แล้วเสือก็หายไปตรงหน้า เขามองไปรอบๆอย่างกังวล แล้วนึกถึงนวล เมียของเขาขึ้นมาได้ จึงวิ่งกลับไปที่โคนต้นไม้ ตรงไปกอดร่างนวลที่ถูกเสือตะปบเป็นแผลฉกรรจ์เอาไว้ในอ้อมแขน
“อย่าตายนะ อย่าทิ้งพี่ไป เอ็งต้องไม่เป็นอะไร”
“ลูก...พี่ต้องตามหาลูกให้เจอนะ...”
สั่งเสียจบนวลก็สิ้นใจ จ่าชิตกอดเมียเอาไว้ เงยหน้าขึ้นมา ร้องลั่นด้วยความเสียใจ
“ทำไม...ทำไมต้องฆ่าเมียกู....!”

เมื่อฟังเรื่องราวที่ผ่านมา สมรักษ์อึ้งและเริ่มเข้าใจจ่าชิต
“จ่าก็เลยเมามันทั้งวัน”
จ่าชิตยิ้มอย่างแค้นๆ
“ก็แค่กินให้มันหลับ...หลับแล้วไม่ต้องเห็นภาพพวกนั้น...ผมวิ่งไปตามลูกชายแต่ก็ไม่พบ...ไอ้เสือตัวนั้นมันคงกินลูกผมไปแล้ว แต่ที่น่าทุเรศก็คือตอนผมกลับมา เมียผมถูกควักหัวใจออกไปแล้ว”
สมรักษ์กับแก้วต่างมองจ่าชิตอย่างเห็นใจ

ชาวบ้านกำลังจัดเตรียมงานศพ ผู้ใหญ่สนกับจ่อยยืนอยู่หน้าบ้านคนตาย โดยมีเสนลูกชายเกาะติดอยู่ไม่ห่าง
จงใจกับหินเดินเข้าไปหาผู้ใหญ่สน แล้วยกมือไหว้
“น้า...ถามหน่อยเถอะจ๊ะ นี่ใช่บ้านของคนที่โดนเสือกัดตายหรือเปล่า”
“ใช่อีหนู ทำไม เอ็งเป็นญาติเขาหรือ”
จงใจอึกอัก ตอบไม่ถูก หินก็เลยชิงพูดขึ้น
“เรามาหาคนนะน้า เขาเป็นตำรวจ อยากรู้ว่า เขามาในหมู่บ้านบ้างหรือเปล่า”
“นั่นไงตำรวจที่มา”
ผู้ใหญ่สนชี้ไปที่ตำรวจสองนาย ซึ่งยืนคุยกันอยู่ จงใจกันไปมองเห็นว่าไม่ใช่สมรักษ์
“ไม่ใช่สองคนนี้จ๊ะ ตำรวจมากันแค่นี้หรือจ๊ะ”
“ก็หลายคนอยู่ เอ็งมาหาตำรวจที่ชื่ออะไรล่ะ ข้าจะได้ถามให้”
“ชื่อสมรักษ์จ๊ะ”
“อ๋อ...หมวดสมรักษ์น่ะเอง เขามา แต่ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว สงสัยกลับไปแล้วมั้ง แต่เอ๊ะ...คงยังมั้ง เพราะถ้ากลับไปรถก็ต้องไปด้วย นี่รถยังอยู่จะกลับยังไง”
หินงง
“ตกลงเอาไงน้า เขา อยู่ หรือ ไม่อยู่”
“อยู่มั้ง...สงสัยจะอยู่แหละ แต่ไม่รู้หายไปไหน เฮ้ย...จ่อย เอ็งลองไปถามตำรวจสองคนนั้นดูสิว่า หมวดสมรักษ์เขาไปไหน บอกว่า...” ผู้ใหญ่สนหันมามองจงใจกับหิน “บอกว่ามีใครหามาหาเหรอ”
“ญาติจ้า”
ผู้ใหญ่สนหันไปหาจ่อย
“ได้ยินแล้วนะ”
จ่อยพยักหน้ารับ แล้วเดินไปที่ตำรวจยืนอยู่ ผู้ใหญ่สนหันมาทางจงใจกับหิน
“เดี่ยวพวกเอ็งรอสักพักละกัน เดี๋ยวคงจะเจอ”
เสนซึ่งยืนแอบยืนมองดูจงใจกับหินอยู่ข้างหลังพ่อ พูดลอยๆขึ้นมา
“ตายหมดแล้ว ทุกคนตายหมดแล้ว...”
ผู้ใหญ่สนรีบปรามลูกชาย
“เฮ้ย...อย่าพูดเป็นลางไม่ดีอย่างนั้นสิลูก หมวดเขาคงจะอยู่ที่ไหนสักแห่งแถวนี้แหละ”
จงใจกับหินซึ่งมองดูเสนอย่างผวาๆ และพบว่าเสนก็จ้องมองมาที่สองคนเหมือนกัน แม่หมอเดินเข้ามาในงานแล้วมองจงใจ และหินด้วยสายตาคำถามว่าเป็นใคร
“สองคนนี้มาหาหมวดสมรักษ์” ผู้ใหญ่เสนหันไปบอก
แม่หมอพยักหน้ารับรู้
“เริ่มพิธีกันเถอะผู้ใหญ่”
แม่หมอพนมมือเริ่มคาถา ทุกคนต่างจุดไฟเผาศพ จงใจกับหินยืนมองอย่างเศร้าๆ

ภราดรดูแลกินรีจนเธอรู้สึกดีขึ้น ระรินนั่งมองอย่างไม่พอใจ ประเดิมเดินไปถาม
“เป็นยังไงบ้างครับ”
“ไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ แค่มึนศีรษะนิดหน่อยค่ะ”
ระรินมองอย่างหมั่นไส้
“ออเซาะ”
ภราดรมองระรอนแววตาไม่ค่อยพอใจ กินรีไม่สนใจ ประเดิมกระซิบ
“คุณระริน...เบาๆหน่อย ระวังกินรีไม่พาเรากลับบ้านนะ”
ระรินนึกขึ้นได้
“นี่...ไม่เป็นอะไรแล้วก็รีบๆหาทางกลับกันสิ...จะมัวโอเอ้อยู่ทำไม”
กินรีงง ภราดรเล่าให้ฟัง
“เจ้าแม่หน้าทองที่สิงร่างคุณ ท่านบอกว่าคุณจะหาทางกลับได้”
กินรีพอเข้าใจแล้วลุกขึ้นมองไปรอบๆแล้วเดินไปนั่งที่แท่นแล้วหลับตาพนมมือในใจอธิษฐาน ระรินไม่วายเหน็บแนม
“แม่มดชัดๆ”
“เฉยเถอะน่า..คุณ...” ประเดิมเตือน
ภราดรจ้องกินรีไม่วางตา สักครู่ก็มีแสงเรืองค่อยๆสว่างมาจากด้านหน้าถ้ำ
“สว่างแล้ว...เราออกจากอาถรรพณ์แล้ว” ประเดิมร้องบอกอย่างดีใจ
กินรีลืมตา รีบบอก
“ไปเอาน้ำพุร้อนกันเถอะ”
ทุกคนรีบออกไป

เสือทศขี่ม้าเดินเรื่อยๆมากับเสือเรืองและลูกน้องอีก 2 คน
“นึกว่าพี่จะไม่ออกมา” เสือเรืองชวนคุย
“ข้าไม่นั่งอยู่บ้านให้อกแตกตายหรอเว้ย”
เสือเรืองกระแซะ
“แล้วพ่อเสือล่ะ”
“เรื่องนี้ข้าจัดการเอง”
เสือเรืองรู้สึกพอใจที่ลูกพี่เริ่มไม่กลัวเสือใจ
“ข้าต้องตามจงใจให้เจอ ถ้าโชคดีเจอไอ้ตำรวจนั่นด้วยล่ะก็...ข้าจะเอากระโหลกมันมาทำที่เขี่ยยาเส้น...ไป...”เสือทศไสม้านำออกไป ทุกคนตาม

ภราดรนำทุกคนมาที่บ่อน้ำพุร้อน...
“นั่นไงอยู่ตรงนั้น”
ภราดรไปถึงก่อนแล้วรีบตักน้ำพุใส่ขวด กินรีเข้าไปช่วยอยู่ข้างๆ
“ไชโย...ไปรีบกลับบ้านกันเถอะ” ระรินดีใจ
“รีบไปช่วยมะค่ากันดีกว่า”
กินรียิ้มรับอย่างดีใจ

งานศพชาวบ้านที่ถูกเสือกัดเสร็จลง ตะวันยังไม่ทันตกดิน แม่หมอสั่ง
“พิธีเสร็จแล้ว ข้ากลับก่อนล่ะนะ พวกเอ็งก็แยกย้ายกันกลับบ้านก่อนจะมืดค่ำด้วย มันอันตราย”
“ครับแม่หมอ”
ผู้ใหญ่สนรับคำ แล้วหันหันกลับไปถามจงใจ
“แล้วเอ็งสองคนจะไปไหนล่ะ ดูท่าหมวดสมรักษ์คงจะกลับโรงพักไปแล้วล่ะ”
“โรงพักอยู่ไกลไหมจ๊ะ”
“โอย..ไกล...เอ็งเดินไปไม่ไหวหรอก อีกอย่างมันจะมืดค่ำอยู่แล้ว อย่างที่แม่หมอบอกนั่นแหละมันอันตราย”
“แล้วจะไปนอนที่ไหนล่ะ” หินบ่น
แม่หมอเห็นทั้งคู่ยังเด็กๆกันอยู่ จึงชวน
“พวกเอ็งไปพักที่บ้านข้าก่อนก็ได้”
จงใจกับหินยิ้มอย่างโล่งใจ

สมรักษ์ยังคงซุ่มอยู่กับจ่าชิตที่บริเวณต้นไม้ แก้วอยู่ข้างๆ
“ใกล้จะมืดแล้วจ่า กลับกันเถอะ” สมรักษ์ชวน
“หมวดกลับไปก่อนเถอะ ผมอยากจะซุ่มดูอยู่ที่นี่ ผมมั่นใจว่ามันจะต้องมีอะไรบางอย่างให้เห็น”
สมรักษ์มองแก้วแล้วตัดสินใจ
“อย่างนั้นผมจะอยู่กับจ่า”
“ตามใจ” จ่าชิตพยักหน้ารับ

เสือทศ เสือเรืองและลูกน้องซุ่มดูใกล้ๆบ้านชาวบ้านที่ตาย เห็นจ่อยกับชาวบ้านไม่กี่คนช่วยกันเก็บกวาดลานเผาศพ
“ท่าจะเพิ่งเผาศพเสร็จ”
ลูกน้องสองคนมาสมทบ เสือทศหันไปถาม
“เอ็งผูกม้าดีแล้วนะ”
“จ้ะพี่”
เสือเรืองมองไปรอบๆ
“จงใจกับไอ้หินมันไปอยู่ที่ไหนนะ”
“ข้าก็ไม่รู้ แต่ข้าจะซุ่มดูมันอยู่ที่นี่แหละ ยังไงมันต้องมีข่าว เดี๋ยวตอนเช้าเอ็งสองคนปลอมตัวเป็นชาวบ้าน ไปถามหาสองคนนั่น”
ทุกคนรับรู้ ทั้งหมดค่อยๆถอยออกไป

แม่หมอพาจงใจเข้าไปในบ้าน ขณะที่หินยืนสังเกตไปรอบๆอยู่หน้าบ้าน
“น้องคนนี้เป็นอะไรจ๊ะ” จงใจถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นมะค่านอนอยู่
“มันไม่สบาย...ตามสบายนะข้าจะไปไหว้พระ”
แม่หมอพูดห้วนๆแล้วไปที่หิ้งบูชา ทางด้านหินที่อยู่หน้าบ้าน ยืนมองไปรอบๆแล้ว แล้วหันไปเห็นพะอู ที่มีใบหน้าอัปลักษณ์น่ากลัว หินตกใจสุดขีด
“เฮ้ย...ผีหลอก”
หินถอยหลังกรูดติดข้างฝา หยิบมีดสั้นที่อองไชยให้เอาไว้ออกมาแต่ยังไม่ชักออกจากปอก
“อย่า...อย่าเข้ามานะไอ้ผี”
พะอูส่งเสียงอื้ออ้า โกรธที่หินไปเรียกเขาว่าผี ทั้งคู่ต่างขู่ดูเชิงกัน แม่หมอกับจงใจออกมาหน้าบ้าน
“อะไรกัน...หยุด..พะอู”
“หิน..หยุดเดี๋ยวนี้”
หินกับพะอูหยุดฟังจงใจกับแม่หมอ พะอูฟ้องแม่หมอว่าหินว่าเขาว่าเป็นผี
“เขาไม่ได้ตั้งใจหรอก...นี่พะอูหลานข้า หน้าตามันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว อย่ากลัวไปเลย”
แม่หมออธิบาย หินตั้งสติได้
“ฉันขอโทษนะ ฉันไม่รู้จริงๆ”
พะอูพยักหน้าอย่างให้อภัย รถของภราดรเข้ามาจอดอย่างรวดเร็ว กินรีรีบลงมาจากรถแล้วบอกแม่หมอ
“ได้มาแล้วยาย”

แม่หมอโล่งใจทันที

อ่านต่อเวลา 17.00น.

เสือสมิง ตอนที่ 6 (ต่อ)

น้ำจากบ่อน้ำพุร้อน ถูกรินลงในคนโทใบเล็ก แม่หมอเตรียมทำพิธี ภราดร ระริน ประเดิม จงใจและหินนั่งอยู่ที่มุมห้องห่างออกไป พะอูนั่งประจำที่ที่ฆ้อง
แม่หมอบริกรรมคาถาแล้วสั่ง
“พะอู”
พะอูพยักหน้ารับแล้วเริ่มตีฆ้อง กินรีสวมหน้ากากเดินออกมาจากในห้องบูชา เดินมานั่งที่ปลายเท้าของมะค่า
“ข้าพร้อมแล้ว”
แม่หมอส่งคนโฑน้ำให้ กินรีรับไปแล้วเอาน้ำราดที่เท้าของมะค่า เมื่อราดหมดจึงบริกรรมคาถา แล้วก็มีแสงพุ่งออกมาจากปากมะค่าเข้าไปในปากกินรี ทุกคนมองด้วยความอัศจรรย์ใจ
กินรีรับลำแสงจากมะค่าจนหมด แล้วตัวเองก็เซเพราะความหมดแรง ภราดรรีบเข้าไปหมายจะพยุง แม่หมอร้องห้าม
“อย่า...”
ภราดรชะงัก แม่หมอเข้าไปประคองกินรีแล้วถอดหน้ากากออก ใบหน้าของเธอซีดเผือด
“ฉันไมเป็นไรยาย เจ้าแม่ท่านออกไปแล้ว”
อย่างน่าอัศจรรย์ ...มะค่าลืมตาฟื้นขึ้นมา
“มะค่าฟื้นแล้ว” กินรียิ้มอย่างยินดี
พะอูรีบวิ่งเข้าไปหามะค่าด้วยความดีใจ
“พะอู ยาย พี่กินรี...”
มะค่ายิ้ม ภราดรสังเกตเห็นว่าเธออ่อนเพลีย
“ผมขอดูอาการมะค่าหน่อยได้ไหมครับแม่หมอ”
“ได้สิ...ไปกินรี”
แม่หมอพากินรีเข้าไปในห้องบูชา ภราดรเข้าไปดูอาการของมะค่า

แม่หมอพากินรีมาในห้องเห็นที่มีเครื่องเซ่นไหว้วางอยู่
“เดี๋ยวเจ้าเอาเครื่องเซ่นออกไปที่ศาลในป่า”
“แล้วพวกนี้ล่ะ”
กินรีหันไปมองภราดรสายตาห่วงใย แม่หมอถอนใจ
“เจ้าชอบมันจริงๆ...ช่างมันเถอะ ยายห้ามเจ้าไม่ให้ชอบเขาไม่ได้หรอก วันหนึ่งเจ้าจะเข้าใจเอง”
กินรีจะพยายามแก้ตัว
“ข้าไม่ได้...เอ่อ...”
“เจ้าโกหกตัวเองไม่ได้หรอก...จะให้พะอูมันไปเป็นเพื่อนมั้ย”
กินรีหันมองมองพะอู ที่นั่งเหม่ออยู่นอกชานแล้วส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรหรอก ให้พะอูอยู่ดูแลมะค่าอยู่นี่แหละ”
“ยายไม่วางใจเลย ไอ้เสือตัวนั้นก็อาจะยังวนเวียนอยู่แถวนี้ก็ได้”
“ข้าเชื่อว่าเจ้าแม่หน้าทอง คงไม่ปล่อยให้ข้าเป็นอะไรไปหรอก”
“เจ้าพูดเหมือนว่าเจ้าเคยเจอเจ้าแม่หน้าทองอย่างนั้นแหละ”
กินรียิ้มแทนคำตอบ แล้วยกกระด้งใส่เครื่องเซ่นขึ้นเทินบนหัว แล้วเดินออกมานอกห้องกับแม่หมอ
“จะไปไหนหรือครับกินรี” ภราดรหันมาถาม
“ทุกครั้งที่รักษา คนกินรีจะต้องเอาเครื่องเซ่นไปไหว้ผีป่า ผีครู”
“เอ่อ...”
ภราดรกำลังจะพูดเรื่องความปลอดภัย แม่หมอขัดขึ้นมาเสียงแข็ง
“นังกินรีมันเกิดที่นี่โตที่นี่ มันไม่เป็นอะไรหรอก...หมออย่าห่วงไปเลย”
ระรินประชด
“ปล่อยเขาไปเถอะหมอ แม่มดพวกนี้เอาตัวรอดได้”
แม่หมอมองระรินตาขวาง ระรินหน้าจ๋อยและซุบซิบข้างประเดิม
“ให้เสือลากไปกินทีเถอะ”
กินรีไม่ใส่ใจ เดินลงไปจากเรือนทันที

เบิ้มขับรถให้เสี่ยรงค์นั่ง เพื่อมารับระรินที่บ้านสาง
“บอกว่าให้ทำอาชีพอื่นก็ไม่เอา ระรินนี่จริงๆเลย ดูซิหายไปไหนก็ไม่บอก ไม่กล่าว” เสี่ยรงค์บ่น
“เสี่ยก็สร้างโรงพยาบาลสิ แล้วให้คุณระรินเป็นผู้อำนวยการจะได้ไม่ต้องออกไปไหนไงครับ”
“เออ..ข้าจะรับเอ็งเป็นคนไข้คนแรกเลย..ขับไป...ไม่ต้องเสนอความคิดเห็น”
เบิ้มอมยิ้มแล้วขับรถต่อไป รถวิ่งเข้ามาในหมู่บ้านช้าๆ ข้างถนนเสือทศซุ่มอยู่ได้ยินเสียงรถยนต์
“เฮ้ย...มีรถมา หลบก่อน” เสือทศสั่งลูกน้อง
เมื่อรถผ่านไป เสือทศมองตามอย่างสนใจ เพราะเห็นว่าคนในรถคือเสี่ยรงค์!

ภราดร ประเดิม ระริน เตรียมตัวกลับบ้าน หลังจากดูแลมะค่าเสร็จ แม่หมอเดินตามมาส่ง จงใจและหินตามมาด้วย
“ผมฉีดยาบำรุงและฝากยาเอาไว้ให้ รบกวนช่วยจัดให้มะค่าทานเป็นเวลาด้วยนะครับ” ภราดรหันมาบอก
“ได้...ข้าจะเอาให้มันกินเอง หมอกลับไปได้แล้ว”
ระรินท่าทางหยิ่งและเชิด
“ไม่ได้อยากอยู่นักหรอกย่ะ...”
“คุณระริน...”ประเดิมเตือน
ระรินจะเถียง แต่เบิ้มขับรถมาจอดเสียก่อน เสี่ยรงค์ลงมาจากรถแล้วบ่นทันที
“หายไปไหนมา พ่อตามหาแทบแย่ ดีนะพ่อไปถามเดือนเขาเลยมาหาถูก...ไปกลับบ้านกันเถอะ....ขอตัวก่อนนะหมอ...ทุกคน”
ภราดรยิ้มให้
“ผมสบายครับเสี่ย ผมโทษด้วยที่ต้องพาคุณระรินมาลำบาก”
ระรินรีบพูดแก้
“ระรินขอมาเองต่างหาก”
เสี่ยรงค์พยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วกวาดตามองไปรอบๆสายตาไปสะดุดที่ความสวยของจงใจ

“แม่หนูนี่ใครรึ”

 
จงใจอึกอักแล้วโกหกไป
 
“ฉันเอ่อ...เป็นชาวบ้านฝั่งใต้มาหาหมวดสมรักษ์จ้ะ”
“เหรอจ๊ะ...”
ระรินตาเขียว
“กลับได้แล้วพ่อ...”
ห่างออกไปไม่มากนักเสือทศ เสือเรือง และลูกน้องซุ่มดูอยู่
“ไอ้เสี่ยรงค์...จงใจ...ไอ้หิน มาอยู่ที่นี่กันเอง”
เสือทศเห็นเสี่ยรงค์กำลังเดินมาขึ้นรถ จึงหันมาสั่ง...
“ไปโว้ย”
“ไปไหนพี่...ก็จงใจมันอยู่ที่นี่” เสือเรืองงง
“ไอ้โง่...จงใจอยู่ที่นี่น่ะดีแล้ว เดี๋ยวข้าค่อยกลับมาก็ได้ แต่เอ็งคิดดูสิ ถ้าข้าจัดการกับไอ้เสี่ยรงค์พ่อเสือจะว่ายังไง”
เสือทศบอกอย่างมั่นใจ เสือเรืองเห็นด้วยรีบพากันออกไป เสี่ยรงค์ขึ้นรถ ระรินขึ้นตามแล้วหันมาส่งยิ้มให้ภราดร
“ไปก่อนนะคะหมอ พรุ่งนี้เจอกัน”
“คร้าบ...”
ประเดิมรับแทนทำหน้าทะเล้น
“ทะลึ่ง...”
ระรินมองค้อน ขึ้นรถไปกับเสี่ยรงค์ เบิ้มขับรถออกไป
“เราก็ไปกันเถอะ...ผมไปก่อนนะครับแม่หมอ”
ภราดรไหว้แม่หมอแล้วกลับไปพร้อมประเดิม

สมรักษ์ที่ยั่งซุ่มอยู่กับจ่าชิต และแก้ว ยกนาฬิกาดู
“ดึกแล้ว..คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ กลับกันเถอะจ่า”
จ่าชิตมองแก้วที่ดูท่าทางง่วงแล้ว ตัดสินใจ
“ครับ..ไปกลับก็กลับ”
สมรักษ์ออกเดินนำ ป่าทั้งป่าเงียบสนิทจนน่าอึดอัด ห่างออกไปเห็นมีแสงไฟวับวามเคลื่อนที่ไปทางต้นไม่ใหญ่
“เดี๋ยว...นั่นใครน่ะ”
ทุกคนซุ่มระวังตัวและมองดู เห็นกินรีถือเครื่องเซ่นเดินลึกเข้าไปในป่า

ภราดรนั่งนิ่งมาในรถ ประเดิมที่ขับรถอยู่สังเกตเห็น...
“เป็นห่วงกินรีหรือครับ”
“ใช่...แม่หมอนี่ก็แปลก มืดค่ำแล้วยังปล่อยให้ออกไปคนเดียว อีกอย่างเสือก็ยังป้วนเปี้ยนอยู่ด้วย แกไม่ห่วงหลานเลยหรือไงนะ”
“คงไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ วิถีชีวิตของคนที่นี่แปลกๆ ยิ่งพวกผีฟ้าหน้าทองแล้ว ดูลึกลับยังไงก็ไม่รู้”
ภราดรถอนใจ
“เฮ้อ...กินรีจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
“ผมว่ากินรีมีอำนาจอะไรบางอย่างที่เหนือมนุษย์เรา คงไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอกครับ”
ภราดรฟังแล้ว ค่อยเบาใจ

สมรักษ์กับแก้ววิ่งมาหมอบอยู่ข้างจ่าชิตที่โคนไม้ จ่าชิตทำสัญญาณ ชี้นิ้วไปยังเบื้องหน้าของทุกคน ซึ่งเป็นลานกว้าง โดยรอบๆนั้น ปกคลุมด้วยเถาวัลย์หนาทึบ แต่ที่ตรงกลางลาน มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งซึ่งมีผ้าสีเก่าๆซีดๆหลายผืนผูกเอาไว้รอบๆเหมือนจะบูชาและน่าจะผูกมาไม้น้อยกว่าสิบๆปี
บริเวณโคนต้นไม้ตรงกลางลานนั้น มีศาลเล็กๆเก่าๆจวนผุพังตั้งอยู่ กินรีวางเครื่องเซ่นบูชาผี ลงที่หน้าศาลแห่งนั้น
“เขาทำอะไรน่ะ” สมรักศ์พูดเบาๆ
จ่าชิตกระซิบ
“ผมไม่รู้สิ...ท่าทางจะเอาเครื่องเซ่นมาเซ่นไหว้อะไรบางอย่าง”
ทั้งสามคนจับตามองดูกินรีอย่างแปลกใจ กินรีจุดธูปเทียนวางหมากพลู กราบไหว้สักการะศาลที่โคนต้นไม้แล้วจึงสวดมนต์ภาวนา เสียงสวดมนต์ของเธอแม้จะเบา แต่ด้วยความเงียบสนิทของป่า ทำให้ได้ยินชัดเจน
ทันใดนั้นร่างของกินรีก็สั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างช้าๆ แล้วรุนแรงขึ้นอย่างน่ากลัวเหมือนโดนผีสิง ใบหน้าของกินรี แปรเปลี่ยนไปเป็นสีทอง ก่อนที่จะกระอักเลือดสีดำออกมาราวกับน้ำพุกระเซ็นไปกระทบกับศาลที่อยู่เบื้องหน้า
“กินรีเป็นอะไรน่ะ”
สมรักษ์ทำท่าจะลุกไปช่วย จ่าชิตดึงเอาไว้
“รอดูไปก่อน”
สมรักษ์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย

ขณะที่นั่งอยู่ในรถ เสี่ยรงค์นึกถึงจงใจขึ้นมา
“เด็กผู้หญิงคนนั้นมันลูกเต้าเหล่าใครกันนะ”
ระรินรู้ทัน
“คนที่มาหาหมวดสมรักษ์นั่นหรือ...ทำไมพ่อ...สนใจหรือ”
เสี่ยรงค์ตาวาว
“ก็น่าสนใจดี”
“เห็นว่าชื่อจงใจ คงเป็นลูกชาวป่าอย่างที่มันบอกนั่นแหละ”
“ชื่อจงใจหรือ...”
เสี่ยรงค์สนใจจงใจมาก เบิ้มขับรถไป เห็นข้างหน้าพบว่ามีคนนอนสลบอยู่บนถนนขวางทางอยู่
“นั่นใครน่ะ มานอนทำไมกลางถนนวะ ที่อื่นไม่มีที่นอนหรือไง”
เสี่ยรงค์กับระรินชะเง้อมอง
“จะบ้าหรือนายเบิ้ม ใครจะมานอนเล่นบนถนน จอดซิ ฉันจะลงไปดูสงสัยจะบาดเจ็บ”
รถจอดห่างจากคนที่นอนเล็กน้อย ระรินรีบลงไปดู เสี่ยรงค์ตามไปติดๆ ในเอวมีปืนที่พร้อมจะใช้การได้ทุกเมื่อ ระรินเข้าไปถึงตัวคนที่นอนคว่ำหน้าอยู่ แล้วเขย่าตัวเรียก
“คุณ...คุณ...เป็นอะไรหรือ”
อย่างไม่ระวัง...ชายคนที่นอนคว่ำหน้าอยู่หงายหน้าขึ้นมาเห็นเป็นเสือทศ ในมือมีปืนจ่อไปที่ระริน
“เป็นเสือครับ...คุณคนสวย”
ระรินตกใจ เสี่ยรงค์ชักปืนออกมา แต่มีเสียงปืนขึ้นลำอยู่ข้างหลังจึงหันไปดูพบว่า เสือเรืองและลูกน้องอีก 2 คนถือปืนเดินเข้ามาหาสีหน้าเหี้ยม
“อย่าดีกว่า เสี่ยรงค์..ไม่มีประโยชน์หรอก ในรถน่ะ..ออกมา..เร็ว”
เบิ้มออกมาจากรถ เสือทศลุกขึ้น ระรินหลบที่เสี่ยรงค์
“อย่านะ...อย่าทำอะไรฉันนะ”
เสี่ยรงค์จ้อง
“พวกแกเป็นใคร ต้องการอะไร”

“ชีวิตแกไง...”

เสือทศเดินมาตรงหน้าเสี่ยรงค์ แล้วตบหน้าด้วยด้ามปืนจนเลือดกลบปาก
“แกทำแบบนี้ทำไม เราไม่เคยมีเรื่องอะไรกัน อยากได้อะไรก็ขนไป อย่ามาทำแบบนี้”
“เสี่ยอาจไม่เคยมีเรื่องกับฉัน แต่ถ้ากับเสือใจล่ะ”
เสี่ยรงค์แค้นขึ้นมา
“ไอ้ใจ...ไอ้ใจใช้แกมาหรือ”
“เปล่า...ฉันแค่ทำหน้าที่ลูกที่ดี”
“ลูก...”
เสือทศยิ้มให้อย่างยียวนแทนคำตอบ อย่างไม่มีใครสังเกต...อองไชยโผล่ขึ้นมาด้านหลัง ใช้มีดปาดคอลูกน้องเสือทศที่ยืนอยู่หลังสุดจนล้มลง เสียงสวบสาบ ทำให้เสือเรืองและลูกน้องอีกคนหันมามองแล้วตกใจ
“เฮ้ย...”
เสือทศตะลึง อย่างไม่ทันระวัง อองไชยก็ปรากฏข้างเสือทศพร้อมปืนที่จ่อขมับ
“พี่เอง...น้อง...พรานล่าเสือ”
เสือทศกับพวกยอมจำนน เสี่ยรงค์มองอองไชยแล้วยิ้มอย่างพอใจ

กินรีอาเจียนเสร็จแล้วทรุดลง สมรักษ์ตัดสินใจจะเข้าไปดูอาการ
“ปล่อยไว้ไม่ได้แล้วจ่า”
สมรักษ์ลุกไป ทุกคนลุกขึ้นตาม แต่แล้วก็ต้องชะงัก เพราะได้ยินเสียงคำรามของเสือ ทั้งสามคนหันขวับไปมองดูแล้วผงะถอยหลังทันทีด้วยความตกใจ เมื่อเห็นเสือลายพาดกลอนขนาดใหญ่มหึมา ยืนจังก้าแยกเขี้ยวคำรามอยู่เบื้องหน้า แล้วกระโจนเข้าใส่โดยที่ทุกคนไม่ทันตั้งตัว
“หมวดหลบ !”
แก้วผลักร่างของสมรักษ์กระเด็นไปอีกทางหนึ่ง แล้วกระโดดเข้าไปขวางเอาไว้ พร้อมมีดปลายแหลมในมือ แต่ไม่มีโอกาสใช้ เพราะร่างของเสือโคร่งที่กระโจนทับลงมา พร้อมกับก้มลงขย้ำ
ร่างของแก้วซึ่งโดนเสือกัดสะบัดกระเด็นไป นอนนิ่งจมกองเลือดอยู่กับพื้น สมรักษ์กับจ่าชิตตั้งหลักได้ ชักปืนออกมากระหน่ำยิงเข้าใส่เสือโคร่ง แต่ไม่สามารถจะทำอันตรายเสือโคร่งได้
ทั้งสมรักษ์และจ่าชิตถอยกรูดด้วยความตกใจ จ่าชิตตวัดปืนลูกซองขึ้นมายิงใส่เสืออย่างไม่กลัวตาย สมรักษ์พุ่งตัวเข้าไปหาแก้ว คว้าร่างขึ้นมาอุ้มเอาไว้ เสือโคร่งซึ่งสะบัดไปมาจากแรงกระทบของลุกกระสุนปืนลูกซอง แต่ไม่ยอมล้ม ส่ายหัวคำรามอย่างโกรธจัด

เสือสมิงโดดเข้ามาหาจ่าชิต แต่เขาใช้ปืนยิงมันกระเด็นออกไปแล้วตะโกนบอกสมรักษ์
“หมวด...พาแก้วหนีไป”
สมรักษ์วางแก้วลง เพราะเธอยังพอไหว พยายามยืนให้อยู่ กินรีที่ได้ยินเสียง แอบมาดูเหตุการณ์ สมรักษ์มองแก้วอย่างเป็นห่วง
“แก้ว ไหวไหม”
“พอไหวครับ”
“หนีไป...เร็ว...”
บอกแก้วแล้ว สมรักษ์ตรงเข้ามายืนจังก้าด้านหน้าเสือสมิงอย่างไม่กลัว แล้วสาดกระสุนใส่ ขณะที่เสือสมิงจะเข้าขย้ำจ่าชิต เสือสมิงหันกลับมา ลูกปืนไม่ระคายผิวมันแม้แต่น้อย มันกระโจนเข้าใส่สมรักษ์ทันที แต่ก่อนที่จะถึงตัวเขา แก้วพุ่งเอาร่างของตัวเองมาขวางไว้ ทำให้เสือขย้ำร่างของเธอกลิ้งตกไปในน้ำที่ไหลเชี่ยวไป สมรักษ์ตกใจ
“แก้ว...”
จ่าชิตตั้งสติแล้วบอก
“หมวด ไปช่วยแก้วมันก่อน”
เสือหันมาจะเล่นงานสมรักษ์ แต่จ่าชิตเอาหินขว้างมันแล้วล่อมันมาหาตัวเอง
“มา...ไอ้เสือเวร...วันนี้ข้าจะสู้ตายล่ะวะ ถ้าเอ็งชนะข้า ข้าก็ไปอยู่กับลูกกับเมียข้า แต่ถ้าเอ็งแพ้ก็เท่ากับข้าล้างแค้นให้ลูกเมียข้า...มา...เข้ามา...”
เสือสมิงเหมือนจะฟังรู้เรื่องมันหันกลับมาฟังที่จ่าชิตพูด แล้วหันมาจ้องตา ตาของมันแดงฉานด้วยความแค้น แล้วคำรามอย่างน่ากลัว จ่าชิตจ้องตามันแล้วบอกสมรักษ์
“ไปสิหมวด...ไม่ต้องห่วงผม”
สมรักษ์ตัดสินใจโดดลงน้ำไป...แก้วอ่อนแรงช่วยตัวเองไม่ได้ไหลตามน้ำที่ไหลเชี่ยวไปที่น้ำตก...กระสุนปืนของจ่าชิตหมด เขาชักมีดออกมา
“มา...มึงเข้ามา...”
เสือสมิงกระโจนเข้าใส่ จ่าชิตจับขาหน้ามันได้ข้างหนึ่ง แล้วจ้วงแทงที่หน้าอกของเสือสมิง ส่วนขาหน้าอีกข้างของเสือสมิงตะปบเข้าที่กลางหลังของจ่าชิต กินรีอยากจะช่วยจ่าชิตแต่ไม่รู้จะทำยังไง จ่าชิตกำลังจะเสียที เสือสมิงตบกลิ้งไปที่ริมน้ำและกำลังจะขย้ำ ทันใดนั้นกระสุนคดวิ่งแหวกอากาศมาอย่างรวดเร็วพุ่งเข้าที่ศีรษะเสือสมิงอย่างจัง จนมันกระเด็นไป กระสุนดินเหนียวลูกนั้นแตกกระจาย เสือสมิงเจ็บแล้วพยายามยันตัวขึ้นมาหมายจะเข้าไปทำร้ายจ่าชิต แต่แล้วท่อนล่างตั้งแต่เอวไปจนถึงเท้าเป็นร่างของคน แต่ท่อนบนยังเป็นเสืออยู่ มันคำรามลั่น พระธุดงค์ ปรากฏกายขึ้นแล้วห้ามเสือสมิง
“การทำปิตุฆาตมันบาปมหันต์นะโยม”
เสือสมิงไม่ได้ฟังพระธุดงค์แต่อย่างใด จะมาทำร้ายพระธุดงค์ แววตาของมันแดงฉานและอาฆาต กินรีเห็นพระธุดงค์มาจึงพยายามเดินออกมาหา
“หลวงพ่อ...”
เสือสมิงเห็นกินรี แล้วหยุดนิ่งก่อนจะวิ่งเข้าป่าหายไป จ่าชิตรู้สึกแปลกใจแล้วคลานเข้ามากราบ
“นมัสการหลวงพ่อ...”
“เจริญพร”
พระธุดงค์ล้วงลูกประคำออกจากย่ามแล้วยื่นให้จ่าชิต
“โยมมีชะตากรรมที่ผูกพันกันมาแต่ปางก่อน ชาตินี้เขาจึงตามมา เอานี่ไปมันพอจะช่วยโยมได้”
จ่าชิตไม่เข้าใจที่หลวงพ่อพูด แต่ก็รับลูกประคำไว้
“ขอบพระคุณมากครับหลวงพ่อ”
จ่าชิตมองกินรีอย่างสงสัย ว่าทำไมเธอเอาของมาเซ่นไหว้และต้องสำรอกเลือดออกมาตรงต้นไม้ต้นนั้น และทำไมเสือจึงหนีไปเมื่อเห็นเธอ
“กินรี...ทำไม...เสือถึง...”
พระธุดงค์แทรกเข้ามา
“อย่าไปถามเลย...ตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจหรอก”
กินรีสงสัยและไม่เข้าใจเหมือนที่หลวงพ่อบอก จ่าชิตเลือดโทรมกาย พระธุดงค์หันมาบอกกินรี
“พาโยมคนนี้ไปรักษาก่อนดีกว่า”
กินรีประคองจ่าชิตกลับไป

งะดินเดนอนหลับอยู่บนแท่น ลืมตาโพลงอย่างรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ชะเวโบ...”
เขาผุดนั่งแล้วหลับตาบริกรรมคาถา
“มาหาพ่อ...ชะเวโบ...มาหาพ่อ”

สมรักษ์ดำผุดดำว่ายในสายน้ำที่เชี่ยวกราก มองหาแก้วอย่างกังวล
“แก้ว...แก้ว...อยู่ไหน...แก้ว”
ไม่ห่างนักแก้วหมดสติ ลอยคว้างไปตามแรงน้ำความมืดทำให้สมรักษ์ยังมองไม่เห็น แก้วลอยไปติดท่อนซุงใหญ่ ท่อนหนึ่งแต่แรงน้ำกระแทกเข้าหาซุงแรงจนแก้วกระอักเลือด สมรักษ์ก็ถูกน้ำพัดไปติดที่ซุงท่อนเดียวกัน จึงเห็นแก้ว เขาคว้าร่างเธอไว้ได้อย่างทุลักทุเล เกาะท่อนไม้ไว้ ก่อนจะตั้งหลัก ประคองตัวว่ายเข้าฝั่ง

ร่างของจ่าชิตถูกวางลงที่กลางบ้านแม่หมอ จ่าชิตบาดเจ็บสาหัสพอสมควรแต่ก็ยังมีสติและทนได้ รอบๆจ่าชิตมีแม่หมอ กินรี จงใจ และหิน มองดูอยู่ จ่าชิตมองทุกคน
“โดนเสือกัดมารึ” แม่หมอหันมาถามกินรี
“จ้ะ...”
แม่หมอส่ายหน้าหดหู่
“เวรกรรมจริงๆ...นี่ก็ดึกแล้วคงไปหาหมอไม่ได้ คงต้องรักษาตามมีตามเกิดไปก่อน”
“หนูจะกลืนบาปให้เองจ้ะยาย”
แม่หมอรีบห้าม
“ไม่ได้...เจ้ายังมีกำลังไม่พอ...มันเสี่ยงเกินไป”
จ่าชิตเริ่มเข้าใจที่กินรีอาเจียนออกมาเป็นเลือด
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก...ไม่ต้องมาเสี่ยงเพื่อฉันหรอก”
จ่าชิตยังสงสัยในตัวกินรีว่าทำไมเสือถึงไม่ทำอะไรแล้วมองไปที่หิน
“ไอ้หนู...เอ็งมาที่นี่ทำไม”
หินลังเลที่จะบอกได้แต่มองหน้าจงใจ
“พวกฉันมาตามหา หมวดสมรักษ์ กับน้องสาวที่ชื่อแก้วน่ะจ้ะ” จงใจตอบแทน
จ่าชิตงงเพราะแก้วที่จงใจบอกคือผู้ชาย
“น้องสาวหรือ...”

สมรักษ์ขึ้นฝั่งได้ ประคองแก้วขึ้นฝั่ง แล้วพามานอนที่ลานใต้ต้นไม้อย่างทุลักทุเล
“แก้ว...แก้ว”
แก้วยังหมดสติหน้าซีดขาว สมรักษ์รีบทำการปฐมพยาบาลด้วยการเป่าปาก ฝายปอด
“แก้ว ฟื้นสิ...แก้ว”
สมรักษ์ยังคงก้มลงไปเป่าต่อไป แก้วเริ่มรู้สึกตัวบ้างแล้ว ไอ สำลักและพ่นน้ำออกมาแต่ยังไม่ได้สติเท่าไหร่ สมรักษ์ดีใจ
“ค่อยยังชั่ว”
สมรักษ์พินิจมองแก้วที่เนื้อตัวเปียกปอน เสื้อผ้าแนบเนื้อเปื้อนไปด้วยเลือด...สมรักษ์ถอดเสื้อตัวนอกของตนออกอย่างเร็ว แล้วฉีกเสื้อกล้ามสีขาวตัวข้างใน กะขนาดความกว้างให้ได้พอเหมาะกับแผลของแก้ว เพื่อทำการห้ามเลือดจากแผลที่โดนเสือกัดขย้ำเข้าเต็มๆบริเวณไหล่ แผลดูเหวอะหวะ เลือดยังไหลไม่หยุด แก้วเริ่มฟื้นขึ้นมา
“หมวด...โอย...”
“อย่าเพิ่งขยับ...แก้ว”
แก้วมองเนื้อตัวของตัวเองเห็นว่า เปียกน้ำเน้นรูปร่าง จึงพยายามปิดอย่างอายๆ
“เอ่อ...ฉันขอโทษนะ...”
แก้วส่ายหน้า สมรักษ์แก้เขินด้วยการหลบตาแล้วไปก่อไฟ
“ฉันไปหาฟืนมาก่อไฟก่อนดีกว่า”
ชายหนุ่มลุกออกไป หญิงสาวมองตามแววตาลึกซึ้ง

จ่าชิตยังคงสงสัย หินแทรกเข้ามา
“ใช่พี่ฉันเป็นผู้หญิง...”
“ตอนนี้แก้วอยู่ที่ไหน” จงใจถามอย่างร้อนใจ
จ่าชิตไม่ตอบแววตาเศร้า กินรีเลยตอบแทน
“เอ่อ...แก้วถูกเสือตบพลัดตกน้ำ...หมวดสมรักษ์กำลังไปช่วยอยู่”
จงใจกับหินหน้าเสียเป็นห่วงแก้ว หินหุนหันลุกขึ้น
“ข้าจะไปตามหาพี่ข้า”
“ไปหิน”
จงใจกับหินจะไป แม่หมอปรามขึ้น
“ไปตอนนี้ก็เท่ากับรนหาที่ตาย รอให้สว่างก่อน”
กินรีเห็นด้วย
“ใช่...รอให้เช้าก่อนก็ได้ มีหมวดสมรักษ์ดูแลคงไม่เป็นอะไรหรอก”
จงใจกับหินจำใจต้องเชื่อ กินรีมองหาพะอู แต่ไม่เห็น มีแต่มะค่าที่นอนหลับอยู่
“พะอูไม่อยู่หรือยาย”
“เออ...จริงสิ...เห็นมันบอกว่าจะออกไปตามเอ็งน่ะ”
กินรีรับรู้ ในใจกังวลขึ้นมา

ภายในถ้ำ...ใบหน้าอัปลักษณ์ ดำ สกปรก นัยน์ตาแดงก่ำของคนรูจ้องมองพะอูที่ผงะ ร้องลั่น ทำท่าจะกระโจนหนี
“เฮ้ย...เฮ้ย ! ไป๊ ไป๊ !”
“ไป๊ ! ไอ้คนรูไปให้พ้นจากลูกข้าเดี๋ยวนี้”
คนรู 2 ตัวผัวเมียรีบตะกายหนี กลัวลนลาน เมื่อได้ยินเสียงตวาดก้องจากงะดินเด พวกมันหนีไปนั่งซุกอยู่ที่ซอกหนึ่งของถ้ำ คอยเฝ้ามองอยู่ห่างๆ พะอูมองตามเสียง เห็นร่างของชายชราคนหนึ่ง เดินตรงเข้ามา พะอูขยับเพื่อตั้งหลัก ทันใดนั้นก็ต้องนิ่วหน้าเพราะรู้สึกปวดที่โคนขา เขามองแผลที่โคนขาของตนเอง ซึ่งมีเลือดไหลรินออกมา อย่างไม่เข้าใจ จับต้นชนปลายไม่ถูก
“เจ้าโดนกระสุนคด...ชะเวโบ”
“กระสุนคดอะไร ข้าไม่เข้าใจ”
พะอูรู้สึกตัวว่าตัวเองพูดได้ เอามือจับปากจับหน้าตัวเองอย่างงงๆ
“ข้า...ข้าพูดได้อีกแล้วหรือนี่”
งะดินเดหัวเราะเสียงดังกึกก้อง
“ยังมีอะไรที่เจ้าไม่รู้อีกเยอะ ลูกพ่อ...”
งะดินเดย่างเท้าเข้ามาใกล้ พะอูรีบถดถอยห่าง ไม่ไว้วางใจ

“มาเถอะ ข้าจะรักษาแผลให้ เจ้าโดนกระสุนคดไม่ได้เหมือนโดนกระสุนธรรมดาๆของผู้คนในยุคนี้หรอกนะ”

เสือสมิง ตอนที่ 6 (ต่อ)

พะอูนั่งนิ่ง งงงัน เหมือนถูกสะกด มองสบตางะดินเดนิ่งอยู่อย่างนั้น งะดินเดเดินเข้ามาหาช้าๆเหมือนลอยเลื่อนมา ก้มหน้าลงไปจนใกล้กับบาดแผลที่โคนขา เผยอปากอ้ากว้างออก เพื่อรักษาและดูดซับความเจ็บปวดจากบาดแผล ควันสีขาวเทาที่พวยพุ่งออกมาจากบาดแผลเข้าสู่ช่องปากของงะตินเด ปากแผลของพะอู ค่อยๆเลื่อนปิดช้าๆ จนเกือบหายสนิท แทบไม่เหลือร่องรอยของบาดแผลเมื่อครู่

พะอูทั้งดีใจและประหลาดใจ ก้มมองที่แผลของตนเอง เห็นว่าเลือดหยุดไหล ความเจ็บปวดเมื่อครู่หายไปสิ้นไม่เห็นร่องรอยของบาดแผลแล้ว พะอูหันมองหางะดินเดไปรอบๆบริเวณถ้ำ ความไม่ไว้ใจเมื่อครู่หายไปจนเกือบสิ้น แต่แล้วกลับไม่เห็นงะดินเดแม้แต่เงา

ภราดรยืนอยู่ที่ชานบ้าน เหม่อมองออกไปในความมืดของหมู่บ้านสาง คืนนี้ลมค่อนข้างแรง เมฆดำทะมึนลอยอยู่เต็มฟ้า สักครู่ลมก็เริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ ภารดรกระชับเสื้อคลุม เขาสังเกตเห็นว่าเมฆเปลี่ยนรูปร่างไปคล้ายกับชายแก่หนวดเครารุงรัง ในขณะเดียวกันเสียงลมที่หวีดหวิวก็ฟังคล้ายกับเสียงร้องดังท้าทายสลับด่าทอสาปแช่งเขาอยู่
“เจ้าท้าทายข้าหรือ บาเยงโบ...เจ้าไม่มีวันจะเอาชนะข้าได้ เจ้าต้องตาย...ตายอย่างทรมาน”
ภราดรมองหาตามเสียง แต่ไม่เห็นใคร ก่อนจะพูดตอบโต้ไป
“ใคร...ใครพูดน่ะ”
เสียงงะดินเดหัวเราะดังก้อง
“เจ้าจำข้าไม่ได้จริงๆ หรือ...เจ้าผู้นำความวิบัติมาสู่บ้านสาง...”
เสียงหัวเราะของงะดินเดจางลงไป ภราดรปฏิเสธ
“ไม่...ไม่จริง”
ประเดิมเข้ามาหา เห็นภราดรมองหันซ้ายหันขวาเหมือนกับหาอะไรอยู่ก็มองอย่างสงสัย
“หาอะไรอยู่หรือครับหมอ”
“เอ่อ...เปล่า...ไม่มีอะไรหรอก”
ประเดิมยื่นถ่านไฟฉายให้กล่องใหญ่
“นี่ครับถ่านไฟฉายที่หมอสั่ง ผมผ่านมาเห็นไฟยังไม่ปิดเลยแวะเอามาให้...นอนไม่หลับหรือครับหมอ”
ภราดรพยักหน้ารับ
“ผมไม่เข้าใจเรื่องที่แม่หมอพูดว่าผม เป็นตัวนำความวิบัติมาสู่หมู่บ้าน”
“มันก็แค่ความเชื่อ หมออย่าไปใส่ใจเลยครับ”
“ก็เพราะเรื่องความเชื่อนี่แหละ ผู้คนที่นั่นถึงไม่ค่อยจะต้อนรับผม”
ประเดิมอึ้งๆไป เมื่อรู้ว่าภราดรไม่สบายใจเรื่องนี้

จงใจกับหินนอนหลับอยู่ในมุ้ง กินรีนั่งอยู่ที่ขอบประตูหน้าบ้าน แม่หมอออกมาจากห้องบูชา เห็นหลานสาวยังไม่นอน จึงเดินเข้าไปคุยด้วย
“ข้าไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเจ้าต้องคิดถึงหมอภราดร”
กินรีนิ่งแทนคำตอบว่าใช่
“ข้าไม่เข้าใจเลยว่า ทำไม...”
แม่หมอถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ
“หมู่บ้านเรามีคำสาปอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งผูกยึดติดกับเรื่องราวของบรรพบุรุษของเรา แต่หนหลังนานมาแล้ว...”

ในอดีต...แม่กินรีป่วยหนัก และนอนอยู่บนเตียงเล็กๆในห้องโถง ห่มคลุมด้วยผ้าทอสีทองอร่ามตั้งแต่ปลายเท้าไปจนถึงหน้าอก ใบหน้าเหี่ยวย่น ซีดขาวจนน่ากลัว แม่หมอสมัยสาวๆ อายุ 20 กว่า นั่งน้ำตาคลออยู่ข้างๆเตียง ไม่ห่างกันกินรีวัย 4 ขวบนอนหลับสนิทไม่รับรู้เรื่องราว ร่างหญิงชราซึ่งนอนอยู่บนเตียง ยื่นมือที่แห้งกรังเหี่ยวย่นออกมาจากใต้ผ้าที่ห่ม มือข้างนั้นยื่นออกมาลูบศีรษะของแม่หมอ อย่างปราณี
“ต่อไปหมู่บ้านนี้ จะต้องพึ่งพาเอ็งแล้ว คะยี เอ็งจงจำเอาไว้ว่า ลูกสาวข้าที่จะมารับภาระแทนข้า จะมีรักไม่ได้ เป็นอันขาด เพราะมันจะทำให้พลังในการรักษาอ่อนลงไป จนในที่สุดมันจะกลายเป็นเหมือนคมดาบทำลายตัวเอง”
แม่มองไปที่กินรีที่กำลังหลับ
“ข้าสัญญา ข้าจะปกป้องกินรี ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของข้า...” แม่หมอรับคำหนักแน่น
มือข้างนั้นลูบอยู่บนเส้นผมของแม่หมอไปมาด้วยความรัก โดยที่เจ้าตัวไม่ได้หันหน้ามามอง
“เอ็งสัญญาอย่างนี้ ข้าก็นอนตายตาหลับแล้วคะยีเอ๊ย...”
แม่หมอก้มหน้าซบลงกับขอบเตียงร้องไห้
“ท่านอย่าเป็นห่วงเลย ข้าจะดูแลกินรีให้ดีที่สุด...”
“เจ้าจงระวัง...ชายใดที่มันทำหน้ากากผีฟ้าตกลงมาจากใบหน้าของร่างทรง ชายคนนั้นแหละ มันคือศัตรูของเรา เขาคือวิญญาณที่ตามมาล้างผลาญเราทุกๆชาติ เขาจะสร้างความวิบัติให้เกิดขึ้นกับลูกหลานของเรา”
ขาดคำมือข้างนั้นก็หยุดนิ่ง ก่อนที่จะห้อยตกลงมาจากศีรษะของแม่หมอซึ่งเงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกใจ ก่อนที่จะคว้ามือที่เหี่ยวกรังนั้นไว้แนบใบหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น

ปัจจุบัน...แม่หมอเครียดๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ข้าไม่ได้รังเกียจหมอหรอก แต่ข้าไม่มีทางเลือก คำทำนายมันเกิดขึ้นแล้วข้ารู้ ด้วยฌานของข้า เจ้าแม่ไม่เคยให้อภัยกับผู้ชายคนนั้น เขามาหมู่บ้านเรา เพื่อทำลายเรา”
กินรีแย้ง
“แต่เขามาเพื่อช่วยรักษาคนในหมู่บ้านนี้นะจ๊ะยาย ถ้าเราไล่เขาไป คนอื่นก็จะหาว่าเรากีดกันไม่ให้เขาเข้ามา เพราะว่ากลัวคนจะเสื่อมศรัทธาจากเรา”
“ศรัทธาไม่เคยเสื่อมจากใจคน แต่คนนั่นแหละที่จะทำให้ศรัทธาเสื่อมลงไป จงเชื่อใจข้า เชื่อในศรัทธาของเจ้า เชื่อในคำทำนายของบรรพบุรุษเรา”
กินรีมองแม่หมอในใจปวดร้าวน้ำตาซึม

ข้างๆกองไฟที่ลุกโชน แก้วอยู่ในอ้อมแขนของสมรักษ์ที่นั่งประคองอยู่ด้วยความห่วงใย หญิงสาวคออ่อนคอพับ ซบหน้าอยู่กับอกของชายหนุ่ม แก้วเผยอเปลือกตาขึ้นอย่างอ่อนแรง เธอแหงนหน้ามองเขาเห็นหน้าเบลอๆ ก่อนจะค่อยๆชัดขึ้น
“เป็นยังไงบ้างแก้ว”
“หมวด...แก้ว แก้ว คงไม่ไหวแล้ว...”
“อดทนหน่อยนะแก้ว แก้วจะไม่เป็นอะไร พรุ่งนี้ฉันจะพาแก้วไปหาหมอ”
แก้วมองสมรักษ์ สายตาเต็มไปด้วยความรัก ภักดี
“ขอบคุณหมวดมาก แล้ว ผู้หมวดบาดเจ็บตรงไหนบ้างรึเปล่า”
สมรักษ์มองหญิงสาวที่ยังอุตส่าห์เป็นห่วงเขา ด้วยความสงสาร
“เจ็บขนาดนี้แล้ว ยังจะเป็นห่วงผมอีกเหรอ”
แก้วจ้องมองสมรักษ์นิ่งนาน ราวกับจะเก็บภาพของนายตำรวจหนุ่มไว้ในความทรงจำตลอดไป
“นี่หมวดยังไม่เข้าใจแก้วอีกเหรอ”
สมรักษ์ส่ายหน้าช้าๆ มองอย่างจะค้นหาคำตอบ แก้วกระดากอาย
“ก็แก้ว แก้ว เป็นห่วงผู้หมวด...”
สมรักษ์มองอย่างสงสารจับใจ

“โธ่...แก้ว”

แก้วสำลัก ตัวงอเจ็บปวดไปหมดทั้งตัวมือของเธอกุมบริเวณไหล่ ที่มีบาดแผลฉกรรจ์จากเสือกัดเลือดยังคงไหล ซึม
“ผมห้ามเลือดให้แล้ว ทนเจ็บหน่อยนะเดี๋ยวก็เช้าแล้ว จะได้ไปหาหมอกัน”
สมรักษ์ลุกขึ้น จะประคองแก้วให้ลุกขึ้นด้วยแต่เธอยกมือขึ้นห้าม คว้าแขนของเขาอย่างอ่อนแรงเต็มที
“ไม่ไหว...แก้วไม่ไหวแล้วผู้หมวด แก้วรู้ตัวดีแก้วไม่มีเวลาแล้ว แก้วอยากกลับไปหาแม่ หาน้อง ช่วยแก้วสักครั้งได้มั้ย”
แก้วตาหรี่ปรือ แต่ยังพยายามพูด
“แก้วอยากกลับบ้าน อยากกลับไปลาทุกคน ช่วยพาแก้วกลับบ้านด้วยนะผู้หมวด...รับปากแก้วซี”
สมรักษ์กัดกรามจนเป็นสัน ด้วยความสะเทือนใจ พยักหน้าตัดสินใจอีกครั้ง เพราะถึงจะให้กำลังใจตัวเองและแก้วอย่างไร จากอาการของหญิงสาวก็เห็นชัดอยู่แล้วว่าเธออาจจะฝืนประคองตัวอยู่ได้อีกไม่นาน แก้วดีใจมีกำลังใจขึ้นเป็นกอง ประคองตัวเองลุกขึ้นนั่ง
“แก้วจะบอกวิธีที่จะเข้าไปในนั้นให้”
สมรักษ์พยักหน้า รับปากแววตาสงสาร

เช้าวันใหม่...ภราดรนั่งเหม่ออยู่ในห้องทำงานที่อนามัย เขาครุ่นคิดเรื่องกินรี ระรินพยายามเข้าเอาใจ
“คุณหมอค่ะน้ำเย็นๆ”
“อ้าว...คุณระรินมาทำงานแล้วหรือ...ขอบคุณครับ...เห็นเดือนบอกว่าเมื่อคืนนี้โดนดักปล้นหรือ”
ระรินออเซาะ
“ค่ะ...มันเกือบจะข่มขืนระรินเลยนะคะ”
ภราดรยกน้ำขึ้นดื่มแทบสำลัก
“ขนาดนั้นเลยหรือครับ”
“ค่า...ยังมีอีกนะคะ มันนะคะเอาปืนมาจ่อเกือบจะยิงพ่อระรินด้วยนะคะ ดีนะที่มีพรานล่าเสือลูกน้องพ่อมาช่วย...ไม่อย่านั้นระรินยับเยินแน่เลย”
ระรินเข้าไปซบกับอกภราดร ประเดิมเข้ามาส่งเสียงกระแอม
“อะ...แอ้ม...”
ภราดรรีบผละออก ระรินไม่พอใจ
“มีอะไรหรือประเดิม”
“มีคนไข้ฉุกเฉินครับ”
ภราดรหน้าเคร่งเครียดจริงจังแล้วรีบออกไปทันที
“ผมขอตัวนะ”
ระรินมองตามไป ประเดิมอมยิ้มมองแล้วเดินตามภราดรไป
“ฝากไว้ก่อนเถอะนายประเดิม...เชอะ”
เสียงเดือนลอดเข้ามา
“ได้ดอกเบี้ยเท่าไหร่หรือ ถ้าดอกเบี้ยสูงฉันจะฝากด้วย”
เดือนหัวเราะ ระรินเซ็งแล้วหันไปมองเดือน
“นี่เดือน อย่ามาซ้ำเติมกันนะ...หนอย...กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม นายประเดิมนะนายประเดิม...เออนี่ ใครน่ะคนไข้ฉุกเฉิน”
“อ๋อ...จ่าชิตที่บ้านสางไง เห็นว่าโดนเสือกัดมา”
ระรินอารมณ์เสียทันที
“บ้านสาง...บ้านสาง...ฉันไม่อยากได้ยินคำนี้จริงๆ”
“ทำไม กินรีคนสวยที่นั่นมันแทงใจหรือไง”
“เชอะ...อย่าเอาฉันไปเปรียบกับนังแม่มดนั่นนะ”
เดือนเยินยอแกมประชด
“แหมจะเปรียบกันได้ยังไงอืม...สวยกว่า ใสกว่า ซื่อกว่า เด็กกว่า...แล้วก็...”
“พอ...พอได้แล้ว แกนี่มันพวกใครกันแน่”
“แหม...แค่ล้อเล่น ทำเป็นซีเรียสไปได้ ยังไงฉันก็ต้องเข้าข้างแกอยู่แล้ว”
“แกคอยดูนะ ฉันจะต้องไม่แพ้นังกินรีนั่น หมอจะต้องเป็นของฉัน”
“ฉันว่ายากวะ แต่เอาเหอะฉันจะเอาใจช่วย”
ระรินรู้สึกดีขึ้น

ในห้องพยาบาล ภราดรทำแผลและฉีดยาให้จ่าชิต ประเดิมอยู่ข้างๆคอยช่วย
“ไม่เป็นอะไรมากหรอกจ่า อย่างมากก็อักเสบนิดหน่อย น่าจะมาให้เร็วกว่านี้”
“กว่ากินรีจะพาผมกลับมาที่บ้าน แม่หมอก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนแล้วครับ”
ผู้ใหญ่สนเสริม
“ครับ...กินรีกับนังมะค่าไปเรียกผม แต่เช้ามืดให้ผมกับไอ้จ่อยพามานี่แหละครับ”
“กินรี กลับมาแล้วหรือ...” ภราดรยิ้มออก
จ่าชิตพยักหน้า
“ครับ...เมื่อคืนผมกับหมวดและเด็กแก้วไปซุ่มดูเสือ แล้วเจอมันพอดี”
“จ่ายังโชคดีนะที่โดนแค่นี้”
จ่าชิตเป็นห่วงสมรักษ์แล้วลุกขึ้นนั่ง ภราดรพยายามห้าม
“จ่านอนก่อนก็ได้...แล้วหมวดล่ะ”
“ผมไม่เป็นอะไรแล้ว...ยังพอไหว...หมวดเหรอ...กระโดดน้ำลงไปช่วยเด็กแก้ว เลยพลัดกัน”
ประเดิมแปลกใจ
“เสืออะไรกัน คนตั้งหลายคน เอาไม่อยู่”
ผู้ใหญ่สนหน้าเครียด

“ผมว่ามันต้องเป็นเสือผีครับ แบบที่เขาเรียกว่าเสือสมิงน่ะ”

ภราดรชะงัก
“มีจริงๆหรือ...เสือสมิงน่ะ”
จ่าชิตมั่นใจ
“ผมว่าเสือที่ทำร้ายผมกับชาวบ้านก่อนหน้านี้ต้องเป็นตัวๆ เดียวกัน มันเป็นเสือสมิงจริงๆครับหมอ”
ผู้ใหญ่สนยืนยัน
“ใช่ครับหมอนี่ผมกล้ายืนยัน”
ภราดรไม่เชื่อว่าจะมีเสือสมิงจริง
“เสือสมิงมีจริงๆ”
จ่าชิตรีบตอบแทนผู้ใหญ่
“ก็ศพที่โดนเสือกัดที่หมอไปชันสูตรมันยังไม่แปลกอีกเหรอ เสือที่ไหนฆ่าเหยื่อแล้วไม่กินเนื้อ”
ผู้ใหญ่สนเสริม
“เมียผมก็เหมือนกัน มันไม่แตะเนื้อเลย จะมีก็แต่หัวใจที่หายไป”
ภราดรนิ่งเงียบไม่คิดว่าจะเจอกับเรื่องแปลกๆที่ยังหาคำตอบไม่ได้ จ่าชิตหันไปหาผู้ใหญ่สน
“กลับกันหรือยังผู้ใหญ่ ผมเป็นห่วงหมวด”
“ไปสิจ่า”
ภราดรสีหน้าเด็ดเดี่ยว
“ผมไปด้วย”
ระรินแหวเข้ามา
“จะไปไหนกันหรือคะ”
ภราดรมองหน้าประเดิมเซ็งๆ

จงใจกับหินเก็บสัมภาระยืนเตรียมพร้อมอยู่หน้าบ้าน แม่หมอกับกินรียืนส่ง
“ขอบคุณแม่หมอกับพี่กินรีมากนะจ๊ะ ฉันต้องรีบไปตามหาแก้วก่อนล่ะ”
“ระวังตัวด้วยนะ”
หินกระชับมีดหมอที่เอว
“ไม่ต้องห่วงครับ...ไปกันเถอะพี่จงใจ”
จงใจกับหินออกเดินทางทันที กินรีนึกถึงพะอู
“พะอูเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ทำไมป่านนี้ยังไม่กลับเลย”
“นั่นสิ ข้าชักเป็นห่วงมันแล้ว”
กินรีกังวลใจ
“ข้าไปตามดีไหม”
แม่หมอนิ่งไป ทันใดนั้นมะค่าวิ่งเข้ามาหาพร้อมเนื้อเก้งในมือ
“ยาย พี่กินรี พ่อให้เอาเนื้อเก้งมาให้”
“ขอบใจนะ...เออนี่มะค่าไปตามพะอูกับพี่หน่อยสิ”
“ได้สิพี่กินรี”
กินรีมองหน้ายายเป็นเชิงขออนุญาต แม่หมอพยักหน้า

สมรักษ์ตัดไม้ง่ามทำเป็นไม้พยุงให้แก้ว ขณะที่เธอนอนพิงอ่อนแรงอยู่ใต้ต้นไม้ มองยิ้มพอใจ สมรักษ์เหลาไม้ง่ามเสร็จ เดินไปหา
“เสร็จแล้ว แก้วไปกันเถอะ”
สมรักษ์ก้มลงอุ้มแก้วขึ้นมา เธอมองเขาอย่างรู้สึกขอบคุณ แล้วใส่ไม่ง่ามค้ำไว้ข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างสมรักษ์คอยพยุงเดินไป
“เดี๋ยวแก้วก็จะได้เจอกับแม่ และทุกๆคนที่หมู่บ้านของแก้วแล้วล่ะนะ”
แก้วกังวล
“หมวด...”
“อะไรหรือ”
“ไม่ว่าจะยังไง หมวดก็ต้องพาแก้วไปส่งให้ถึงแม่แก้วนะ”
“ก็นี่ไงล่ะ ผมก็กำลังจะพาแก้วกลับไปอยู่นี่ไง”
แก้วพยักหน้า
“แก้วมีความลับมากๆอยู่เรื่องหนึ่งที่หมวดยังไม่รู้”
“ความลับอะไรหรือ”
“หมวดสัญญากับแก้วก่อนว่า เมื่อไปถึงที่นั่นแล้วจะไม่ทำอะไรพวกพ่อแม่พี่น้องของแก้ว”
“บอกมาเถอะ”
แก้วคะยั้นคะยอให้สมรักษ์รับปากด้วยสายตา สมรักษ์จำยอม
“ก็ได้...ฉันสัญญา”
“ที่นั่นเป็นชุมโจรของเสือใจ”
สมรักษ์นิ่งเขารู้อยู่แก่ใจ แต่กลบเกลื่อน
“กลับบ้านกันเถอะ”
สมรักษ์พาแก้วออกเดินทาง โดยที่ไม่รู้ว่าสร้อยข้อมือของแก้วตกอยู่ที่พื้น

หินและจงใจเดินลัดเลาะไปตามป่าของทางออกจากหมู่บ้าน หินได้ยินเสียงม้าร้องแล้วบอกให้จงใจหยุด
“เดี๋ยว...พี่จงใจ หยุดก่อน”
“มีอะไรหรือหิน”
“ฟังสิพี่”
จงใจนิ่งฟัง
“เสียงม้า”
หินพยักหน้าแล้วเคลื่อนที่ไปตามเสียงช้าๆ
“ทางโน้น”
หินกับจงใจเคลื่อนที่อย่างระมัดระวัง กระทั่งถึงที่ม้าผูกซ่อนเอาไว้
“นี่มันม้าของพี่ทศนี่”
“สงสัยจะลอบออกมากับพี่เรือง กับลูกน้องอีกสองคน”
จงใจมองไปรอบๆ
“แล้วนี่พวกเขาไปไหนกันหมด”
หินมองอย่างสังเกต
“เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่ได้ค้างคืนที่นี่ พี่ทศคงเอาม้ามาซ่อนแล้วไปทำอะไรสักอย่าง”
จงใจรับรู้แล้วนึกขึ้นได้
“แย่แล้วถ้าพวกพี่ทศ เกิดไปเจอหมวดก่อนเราก็แย่น่ะสิ...”
“ใช่...รีบไปเถอะพี่”
ทั้งคู่รีบวิ่งออกไป

เสือทศ เสือเรือง และลูกน้องถูกมัดโยงอยู่ที่ปางไม้ มีคนงานเดินไปดินมาบริเวณนั้น
“นี่...ขอน้ำกินหน่อยสิ” เสือทศร้องบอก
คนงานไม่สนใจ ยังเดินผ่านไปทำงานตามปกติราวกับไม่ได้ยินเสียงของเสือทศ
“เฮ้ย...คนหิวน้ำจะตายอยู่แล้วขอน้ำกินบ้างไม่ได้หรือไง”
คนมอญสองคนเดินหามเข่งยางฝิ่นดิบผ่านมา
“นายสั่งไม่ให้ยุ่งกับพวกแก...ใครขัดคำสั่งตาย”
คนมอญสองคนเดินจากไป เสือทศและเสือเรืองสังเกตว่าที่ทั้งคู่ยกไปคือฝิ่นดิบ
“พี่ทศนั่นมันฝิ่นดิบนี่”
“ข้ารู้แล้ว แสดงว่าไอ้เสี่ยรงค์นี่มันก็ชั่วยิ่งกว่าเราอีก”
เสียรงค์ เบิ้ม หัวหน้าคนงานและอองไชย เดินอาดๆเข้ามา เสือเรืองหันมาบอกเสือทศ
“มันมาแล้ว จะเอายังไงดี”
“ข้าจัดการเอง”
เสี่ยรงค์เดินมาใกล้ๆ
“หลับสบายไหมพ่อหนุ่ม”
“ไม่ต้องมายอกย้อน จะเอายังไงว่ามา”
เสือทศต่อกรแววตาเข้ม เสี่ยรงค์เอาไม้เท้าสั้นคู่ใจฟาดเข้าไปที่ใบหน้าของเสือทศอย่างแรงจนหน้าหัน เสี่ยรงค์เปลี่ยนอารมณ์
“บอกมาว่าไอ้ใจมันอยู่ที่ไหน”
“ฝันสิ...ข้าจะเข้าไปบอกในฝัน...”
เสือทศหัวเราะ
“เอ็งมันแน่มาก...ขี้ข้าไอ้ใจนี่มันใช้ได้จริงๆ”
เสือเรืองออกรับแทนลูกพี่
“อย่ามาพูดซี้ซั้วนะโว้ย พี่ทศเป็นลูกพ่อเสือโว้ย”
เสี่ยรงค์แววตากร้าว
“ลูกไอ้ทศหรือ...เอ็งเป็นลูกจันทร์แก้วหรือ”
“เปล่า...ข้าเป็นลูกบุญธรรม”
“ไอ้ใจคงใช้ให้เอ็งมาเก็บข้าล่ะสิ”
“ก็เปล่าอีกนั่นแหละ ข้าตัดสินใจเอง”
เสี่ยรงค์มองเสือทศอย่างรู้ทัน
“แสดงว่าอยากโชว์ผลงาน...เอ็งมาที่นี่ทำไม”
“ข้ามาตามจงใจลูกสาวพ่อเสือ”
เสี่ยรงค์ตาวาว เขาพอใจจงใจมาก ยิ่งรู้ว่าเป็นลูกสาวเสือใจยิ่งลิงโลดใจ เสือทศยังบอกต่อ
“จงใจมาดูข่าวเสือกัดชาวบ้าน”
อองไชยหูผึ่ง
“เสือ...เสืออะไร”
เสือทศโอ้อวด
“เสือผี...ข้าเคยปะทะกับมันแล้ว”
“ออกมาแล้วหรือ...ไอ้เสือสมิง” อองไชยพอใจเมื่อได้ฟังอย่างนั้น
เบิ้มหันมาถามเจ้านาย
“จะทำยังไงกับพวกมัน”
เสี่ยรงค์สั่งการ
“ปล่อยพวกมันไป...”
ทุกคนท่าทางแปลกใจ เสือทศ เสือเรืองและลูกน้องก็แปลกใจ
“แต่...” เบิ้มจะแย้ง
เสี่ยรงค์ย้ำเสียงหนักแน่น
“ปล่อยมันไป”
เบิ้มกับหัวหน้าคนงานพม่าเอามีดตัดเชือกปล่อยพวกเสือทศ เบิ้มเพยิดหน้าให้ไป เสือทศ เดินไปช้าๆกับเสือเรืองและลูกสมุน พลันหันกลับมาบอกเสี่ยรงค์
“ข้าจะกลับมาที่นี่อีก...”
เสี่ยรงค์หันกลับไปแววตาสงสัย
“พร้อมกับฝิ่นดิบ...ถ้าเจ้าอยากซื้อ”
เสี่ยรงค์พยักหน้ารับช้าๆ

ภราดร ขนเครื่องมือทางการแพทย์ มาที่รถ ระรินเดินเข้ามา
“ระริน...ผมว่าคุณอยู่ที่นี่ดีกว่านะ”
“ไม่...ระรินจะไปด้วยค่ะ”
“ผมขอร้องนะ...อย่าให้ผมต้องใช้คำสั่งเลย”
กินรีหน้างอ จ่าชิตสำทับ
“อยู่ที่นี่แหละคุณระริน”
ผู้ใหญ่สนมองหน้าหมอภารดร
“แต่ผมว่าหมอก็ไม่น่าจะไปนะครับ ช่วงนี้ในหมู่บ้านมีแต่เรื่อง ชาวบ้านแถวนั้นเขาว่าหมอเป็นคนทำให้เกิดอาเพศ ผมว่าช่วงนี่คุณหมออย่าเพิ่งเข้าออกหมู่บ้านเราบ่อยๆเลย ผมเกรงว่ามันจะไม่ปลอดภัย”
ภราดรมีอาการหงุดหงิด
“นี่ผู้ใหญ่หาว่าผมนำภัยพิบัติมาสู่หมู่บ้านเหรอเนี่ย...”
ระรินได้ดังหวะ
“คุณหมอค่ะ ถึงแม้ว่าจะเป็นความเชื่อของชาวบ้านก็ตาม แต่เพื่อความปลอดภัยของคุณหมอเอง รินว่าช่วงนี้คุณหมอก็อย่าเพิ่งไปที่หมู่บ้านอย่างที่ผู้ใหญ่สนเขาเตือนดีกว่านะคะ”
ภราดรถอนหายใจ จ่าชิตครุ่นคิดก่อนที่จะพูด
“เออ...คุณหมอครับ ตอนที่ผมสู้กับเสืออยู่ผมว่าผมเห็นอะไรที่มันแปลกๆ อยู่นะ”
ผู้ใหญ่สนพูดสนใจขึ้นมา
“อะไรหรือจ่าชิต”
“ก็ตอนนั้นผมเห็นกินรีเอาเครื่องเซ่นไปไหว้ที่โคนต้นไม้ใหญ่ แล้วก็สำรอกออกมาเป็นเลือดและก็อีกอย่างหนึ่งที่ผมคิดมาตลอดทาง ไอ้ต้นไม้ต้นนี้แน่ๆ ที่ใครต่อใครต่างมาตายกัน”
ระรินได้ทีรีบพูดเสริมใส่ร้ายกินรี
“รินว่าอย่างนี้ นังเด็กกินรีนั่นมันต้องเป็นผีปอบผีป่าที่คอยกินคนแน่ๆเลย”
ผู้ใหญ่สนหวนคิดถึงตอนที่เมียกับลูกถูกเสือทำร้าย
“อืม...คิด คิดไปแล้วมันก็มีเค้าอย่างที่จ่าชิตพูดอยู่เหมือนกันนะ”
ภราดรครุ่นคิด
“เรื่องอย่างนี้มันต้องมีที่มาที่ไป” ภราดรหันไปมองหน้าระริน “ผีปอบผีป่าสมัยนี้มันมีกันซะที่ไหน เดี๋ยวผมจะเข้าไปดูให้เห็นกับตา”
ผู้ใหญ่สนพยายามห้าม
“ผมว่าคุณหมออย่าเพิ่งไปเลย เรื่องแบบนี้ปล่อยให้ผมจัดการแทนก็ได้”
“ผู้ใหญ่อย่าเป็นห่วงไปเลย ผมไปดี ไปช่วยเขา ชาวบ้านน่าจะเข้าใจ และอีกอย่างพิบัติเพศภัยมันก็เรื่องบังเอิญทั้งนั้น”
ผู้ใหญ่สนถอนใจ
“ถ้าหมอยืนยันอย่างนั้น ผมก็คงจะห้ามไม่ได้แล้วล่ะ”

ทั้งหมดขึ้นรถไป

จบตอนที่ 6

อ่านต่อตอนที่ 7 เวลา 17.00น.
กำลังโหลดความคิดเห็น