ไฟมาร ตอนที่ 20 อวสาน
เกริกมีท่าทีตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ขณะย้อนถามกรรณนรีอย่างดีใจ
“จริงเหรอ คนบ้านนั้นจะฉลองงานแต่งงานให้ลูก”
กรรณนรียิ้มแย้มกับบิดาอย่างปลื้มปีติ สีหน้าโล่งอกสบายใจ
“ค่ะพ่อ”
“แปลว่า...เค้ายอมรับลูกพ่อแล้ว...” เกริกสวมกอดกรรณนรี “พ่อดีใจจริงๆ ลูก..ดีใจที่กาวจะมีความสุขอย่างสมบูรณ์ซักที” ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นหมองหม่น เมื่อถามประโยคต่อมา “แล้วนี่บอกแก้วรึยัง”
ไม่นานต่อมาที่หน้าออฟฟิศของกาวินทร์ สองพี่น้องคุยกันอยู่ กาวินทร์บอกน้องสาวด้วยน้ำเสียงดีใจ แต่ดวงตากังวล
“พี่ดีใจด้วย...”
“ค่ะ....” กรรณนรีมองพี่ชายจับสังเกต “พี่แก้วมีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”
กาวินทร์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนบอก “มดท้อง...”
กรรณนรีตกใจมาก “พี่มดท้อง”
กาวินทร์มีท่าทางกลัดกลุ้มเห็นได้ชัด “แต่ตอนนี้...พี่ไม่พร้อม”
“แล้วพี่แก้วจะปล่อยให้พี่มดรับผิดชอบคนเดียวเหรอ” กรรณนรีท้วงติง
“พี่...พี่ยังคิดไม่ออก แต่พี่..พี่ยังไม่พร้อมจริงๆ กาว”
กาวินทร์เดินหนีเข้าไปในออฟฟิศ กรรณนรีกลุ้มไปด้วย
มาลินีเดินเศร้าเข้ามาในรีสอร์ทที่สุดาเคยพาทุกคนมาปิคนิค สภาพจิตใจไม่ดีเลย มาลินีเอามือลูบท้อง บอกตัวเองและลูกน้อยในใจ
“ไม่เป็นไรนะลูก....ต่อให้ไม่มีพ่อ แม่ก็จะเลี้ยงดูหนูอย่างดีที่สุด”
มาลินีเดินเข้าไปในรีสอร์ท แต่แล้วสายตาก็พร่าเลือน โลกหมุนติ้วๆ และซวนเซหมดสติลง
นกผู้จัดการรีสอร์ทผู้เป็นรุ่นพี่ วิ่งออกมาเห็นพอดี “มด”
นกรีบวิ่งถลาเข้ามาประคองได้ทัน
มาลินีนอนหมดสติอยู่ที่เก้าอี้ด้านนอกรีสอร์ท โดยมีนกคอยเอายาดมให้ดม ครู่หนึ่งมาลินีค่อยๆฟื้นขึ้นมา นกดีใจ ขณะที่มาลินียังงงๆ
“นี่มดหมดสติไปเหรอคะ”
“จ้ะ...มดไม่เห็นบอกพี่ว่ามดท้อง”
มาลินีมองอย่างตกใจ ขณะที่นกเอ่ยขึ้น
“พี่ถือวิสาสะ เปิดกระเป๋ามด เจอยาบำรุงครรภ์”
มาลินีขอบตาร้อนผะผ่าว ก่อนที่น้ำตาคลอหน่วยตา นกซักอย่างห่วงใย
“แล้วมดมาทำงานที่นี่ แฟนไม่ว่าเอาเหรอ”
“มดไม่มีแฟนค่ะ”
นกตกใจก่อนเปลี่ยนเป็นเห็นใจ รู้ทันทีว่าเพื่อนรุ่นน้องมีปัญหาและทุกข์ใจในยามนี้
กรรณนรีไม่สบายใจเรื่องกาวินทร์กับมาลินี อัดอั้นจนน้ำตาคลอ สรวงรีบปลอบ
“อย่าเพิ่งคิดมากเลยกาว...พี่แก้ว อาจจะแค่ขอเวลาไปตั้งหลัก”
“แล้วปล่อยให้พี่มด อุ้มท้องคนเดียวเหรอคะ? ผู้ชายเห็นแก่ตัว”
สรวงกอดกรรณนรีไว้ “ผมคนหนึ่งที่ไม่ใช่คนแบบนั้น และผมก็มั่นใจว่าพี่แก้วก็ไม่ใช่เหมือนกัน...อย่าคิดมาก...เวลาจะช่วยคลี่คลายทุกอย่างได้ เหมือนเรื่องของเรา”
กรรณนรีพยักหน้า “ฉันก็หวังว่าพี่แก้วจะคิดได้ค่ะ แต่ก็ห่วงพี่มดอยู่ดี”
สองคนไม่รู้ว่าที่ด้านหลัง สุดาถือไม้เท้ายิ้มเยาะอยู่ คำรามก้องในใจ
“ห่วงตัวเองซะก่อนเถอะนังกรรณรี วันฉลองแต่งสนุกแน่”
วันหนึ่ง นพแวะมาหามะยมที่สตาร์ อินเทรนด์ สองคนยืนคุยกันที่ด้านนอกออฟฟิศ ท่าทางมะยมระมัดระวังตัว
“งานฉลองแต่งของสรวง อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้เจอะมะยม” นพบอก
มะยมมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม นพยิ้มบอกต่อ
“ผมจะไปเป็นหนุ่มชาวไร่ ดูแลรีสอร์ทให้พ่อ”
“โชคดีนะคะ”
นพยิ้มจริงใจ “ขอบคุณมาก..ผมจะจำไว้...ว่าชีวิตหนึ่งได้เจอผู้หญิงที่ดีอย่างมะยมแล้วเจอกันวันฉลองแต่งสรวงครับ
สองคนยิ้มให้กันด้วยมิตรภาพ คนของนาแอบถ่ายคลิป
ไม่นานต่อมานาดูคลิปในมือถือที่คนของตัวเองส่งมาให้ เป็นภาพนพไปหามะยม ดวงตาวาววับน่ากลัวคู่นั้นแฝงไปด้วยความเจ็บช้ำ ยิ่งแค้นหนักด้วยคิดเอาเองว่านพไม่ยอมเลิกกับมะยม
ค่ำคืนนั้นสุดาโทรศัพท์บอกสุขหฤทัยหน้าตาแช่มชื่น
“เตรียมชุดให้เรียบร้อยนะฤทัย จำไว้ วันงานหนูจะต้องเป็นเจ้าสาวของสรวงที่สวยงามที่สุด
สุขหฤทัยคุยโทรศัพท์อยู่ที่บ้าน ใบหน้ายิ้มพราย
“ค่ะคุณหญิงแม่...ฤทัยจะเป็นเจ้าสาวของสรวงที่สวยงามที่สุด” สุดาวางสาย แล้วพูดตวัดเสียงอย่างหยามหยัน
“ส่วนมดหน้าโง่ ก็ให้มันอยู่กับผู้ชายเลวๆ ต่อไป”
เวลาผ่านไป ถึงวันงานเลี้ยงฉลองแต่งงานกรรณนรีและสรวง ซึ่งถูกจัดขึ้นในสวนสวย ในธีมเขียว ดอกกุหลาบขาวบานเบ่งทั่วงาน
มะยม นิค และจ๋าในชุดสวย เกริกหล่อสมวัย กาวินทร์หล่อเท่ตามสไตล์ ทุกคนสวยหล่อ เสียงเพลงรักหวานซึ้ง เปิดคลอสร้างบรรยากาศในงาน
สรวง กับกรรณนรีในชุดเจ้าบ่าว กับเจ้าสาว หล่อสวยสมกันราวกิ่งทองใบหยก กรรณนรีนั้นสวยหวานอยู่ในชุดสีขาวระบายฟูฟ่องเหมือนนางฟ้าน้อยๆ เดินออกมา ทักทายแขกเหรื่อ
มะยมมองเพื่อนรักอย่างปลาบปลื้ม ก่อจะหันไปกระเซ้ากาวินทร์ โดยไม่รู้เรื่องมาลินีท้อง
“ไม่อยากเป็นเจ้าบ่าวบ้างเหรอพี่แก้ว”
กาวินทร์สะอึกไป ก่อนจะแซวกลับกลบเกลื่อน “ถามแต่พี่....เราล่ะไม่อยากเป็นเจ้าสาวเหรอ”
“อยาก...แต่ยังหาเจ้าบ่าวไม่เจอเลย” มะยมว่า
นิคที่ยืนอยู่ข้างๆ มองเหล่มะยม แต่มะยมไม่รู้อะไรเล้ย จ๋ามองเหล่พูดเย้า
“ไม่เจอ หรือยังไม่ได้มอง”
มะยมยิ้ม ไม่รู้เรื่องอีก “คิดว่ายังไม่เจอนะ...เพราะถ้าเจออย่างคุณสรวง ที่รักกาวมากกกก มะยมก็จะยอมเป็นเจ้าสาวของกับเค้าทันที”
นิคกับนพมองมะยมพร้อมๆ กัน นิคนั้นมองด้วยสายตาบอกชัดๆ อยู่นี่ไง เจ้าบ่าว ขณะที่นพมองมะยมอย่างใจหายและเสียดาย ใบหน้ากาวินทร์ ขรึมไปทันทีนึกถึงมาลินีขึ้นมา
เวลาเดียวกัน สองคนเดินเล่นกัน กลางวิวสวยงามของรีสอร์ท นกถามอย่างเกรงใจ
“ตกลง พ่อเด็กเค้าไม่ติดต่อกลับมาเลยเหรอ”
มาลินีก้มหน้า “เค้าคงลืมไปแล้วค่ะว่าเคยมีมด มีลูก หรือเค้าอาจจะไม่เคยคิดว่ามีมดแต่แรกแล้วก็ได้”
นกสงสารจับใจ “โธ่เอ๊ยมด”
มาลินีฝืนยิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะพี่นก ที่ผ่านมา..มดใจง่ายเอง มดก็ต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยตัวมดเอง ไม่ต้องห่วง มดเข้มแข็งค่ะ
มาลีนีฮึด ยิ้มอย่างเข้มแข็ง นกมองอย่างเห็นใจ
บรรยากาศในงานแต่งสุดแสนจะครื้นเครง และมีแต่ความสุข กรรณนรีจับมือสรวงแน่นเดินทักทายแขกเหรื่อในงาน ระหว่างนั้นภาพิศมองซ้ายมองขวาแอบมอง ไม่กล้าออกไป ได้แต่ส่งสายตาชื่นชมยินดีไปยังบ่าวสาว แขกเหรื่อคนกันเองกล่าวแสดงความยินดีอวยพรทั้งคู่
“พี่ดีใจด้วยนะสรวง” นพเริ่ม
“พี่ก็เหมือนกัน” จ๋ายิ้ม
“มีความสุขมากๆ นะกาว”
นิคอวยต่อตามด้วยมะยม “มีหลานให้พวกเราอุ้มเร็วๆ ด้วย”
สรวงกอดกรรณนรียิ้มตาหยีรับมุก “ก็คงเร็วๆนี้...นะที่รัก”
กรรณนรีอายม้วน “คุณสรวง...”
เกริกเห็นงามกับสรวง “พ่อเห็นด้วยกับคุณสรวง...”
“พี่ก็เหมือนกัน” กาวินทร์บอก
กรรณนรียิ่งเขินไปใหญ่ บรรยากาศมีแต่ความชื่นมื่น อารักษ์มองภาพตรงหน้าอย่างชื่นใจ แต่ดวงตาคู่นั้นก็สลดลงในเวลาต่อมา ทุกข์หนักในใจ
อารักษ์สลัดความทุกข์ขมทิ้งเดินมาหาสรวงพร้อมสุดาที่ถือไม้เท้ามาด้วย
“วันนี้มีแต่คนมาแสดงความยินดี ขอบคุณแขกหน่อยสรวง”
“ครับพ่อ”
สรวงจับมือกรรณนรีเดินเคียงคู่ไปยังเวที พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข
“ผมต้องขอขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านมากนะครับที่มาแสดงความยินดีในงานแต่งของผมครั้งที่สอง” สรวงยิ้มแย้มกอดกรรณนรีแน่น “แต่ภรรยาคนเดิมและคนเดียว ผมมีความสุขมาก ตื้นตันใจมาก และเพิ่งรู้จักคำว่ารัก...เพราะเธอคนนี้”
เสียงดนตรีเพลง ‘คำอธิบาย’ ที่ ร้องโดย Soulda กับ แพรว คณิตกุล ดังกังวานขึ้น สรวงร้องเพลงคู่กับกรรณนรี ทุกคนในงาน โดยเฉพาะภาพิศที่แอบมองอยู่มองจ้องแต่คู่บ่าวสาวไม่วางตาและไม่ได้สนใจใคร
จนไม่ทันมองเห็นว่าสายตาคู่นั้นของสุดาวาววาม มองกรรณนรีอย่างชิงชัง ก่อนจะเดินถือไม้เท้าพยุงกายออกมาจากตรงนั้น
ด้านสุขหฤทัยอยู่ในชุดเจ้าสาว สวยไม่แพ้กรรณนรียืนอยู่หน้างานอีกมุมหนึ่ง และคุยโทรศัพท์ หน้างอง้ำอยู่
“คุณหญิงแม่ขา...เมื่อไหร่คุณหญิงแม่จะปล่อยคิวลูกสะใภ้ตัวจริงซักทีล่ะคะ?
สุดาซึ่งหลบอยู่มุมหนึ่ง โทรศัพท์ตอบ”
“ต่อจากนี้แหละลูก...เจ้าสาวของสรวงมาได้เลย”
สุขหฤทัยยิ้มแก้มแทบแตก ดวงตามาดมั่นว่าตนจะได้เป็นเจ้าสาวสรวงแน่
สรวงกับกรรณนรีร้องเพลงจบอย่างน่าประทับใจ ดวงตาของทั้งสองคนมีแต่ความสุขและความปลื้มปีติ สรวงตระกองกอดยอดรักของเขาและขโมยจูบที่แก้มกรรณนรีอย่างแรงฟอดใหญ่ ประกาศความรัก และความหวงแหนที่เขามีต่อเธอ
“ขอบคุณมากภรรยาของผม...ขอบคุณทุกอย่าง ขอบคุณจริงๆ...” ว่าพลางสรวงหยิบช่อดอกไม้ที่เตรียมไว้ ก่อนจะคุกเข่าลงมอบให้กรรณนรี พูดเสียงหวานซึ้ง “ผมรักคุณ”
“ฉันก็รักคุณค่ะ”
กรรณนรีรับดอกไม้พร้อมกับบรรจงจูบสรวงที่ขยับตัวยืนขึ้นแล้ว ทุกคนเฮลั่น จ๋าร้องตะโกนเสียงดัง
“ดอกไม้...โยนดอกไม้ๆ”
สรวงขำๆ ยิ้มตาหยี ตะโกนแซว “ยังไม่ได้ตัดเค้กเลย ให้โยนดอกไม้แล้วเหรอพี่จ๋า”
“ใช่..พี่อยากได้ โยนเลยๆ” จ๋าเร่ง
“ทำยังกับจะได้พี่จ๋า...” นิคเหล่แซวเจ้านายสาวใหญ่
ทุกคนหัวเราะกันครืน บรรยากาศมีแต่ความสุข อารักษ์ยิ้มแย้มขณะบอก
“จดทะเบียนก่อนแล้วกันนะ....สรวงกับกาวจะได้เป็นสามี ภรรยาอย่างสมบูรณ์ซักที”
เกริกกับภาพิศที่หลบมุมอยู่ยิ้มปลื้ม ตื้นตัน เจ้าหน้าที่เดินถือทะเบียนสมรสมาวางไว้บนโต๊ะข้างๆ ที่จัดเตรียมไว้
สรวงเซ็นชื่อ สรวง อริยวรรต อย่างเต็มใจ พร้อมยื่นปากกาให้กรรณนรี
แต่แล้ว โดยไม่มีคาดคิดคุณหญิงสุดาถือไม้เท้าเดินกระเผลกๆ ยิ้มแสยะเข้ามา แผดเสียงทรงอำนาจขึ้นกลางวง
“หยุดเดี๋ยวนี้”
อารักษ์งวยงง “อะไรคุณหญิง”
“ลูกสะใภ้ฉัน ไม่ใช่นังกรรณนรีลูกเมียน้อยคุณ....แต่เป็นสุขหฤทัย”
สุขหฤทัยในชุดเจ้าสาวเดินโพสท่าเหมือนนางแบบออกมาเกริกและทุกคนมองอย่างตกตะลึง อึ้งคาดไม่ถึง ภาพิศ กับกาวินทร์ มองด้วยสายตาโกรธแค้น ขณะที่สุขหฤทัยยิ้มหวานรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนางพญา มะยมหมั่นไส้ แอบเอาเท้าเขี่ยก้อนหินไปตรงหน้าสุขหฤทัย และสุขหฤทัยมัวแต่เชิดหน้าจึงไม่ได้มอง เท้าเหยียบก้อนหินอย่างจัง
“ว้าย!”
สุขหฤทัยร้องลั่นเสียหลัก เซถลา หน้าคะมำไปจุ่มลงที่เค้กแต่งงาน จนเค้กพังลงมาทั้งก้อน ถูกหัว และตัวสุขหฤทัยเลอะเทอะไปหมด ทุกคนเฮลั่น ภาพิศกับกาวินทร์ ยิ้มเยาะสาแก่ใจ ส่วนสุดาหน้าเสีย นาทีนั้นสรวงจับมือกรรณนรีที่ถือปากกาค้างไว้พร้อมกับกระซิบบอก
“เซ็นเลยคุณ”
กรรณนรีจรดปากกาในมือเซ็นชื่อในทะเบียนสมรสอย่างรวดเร็ว สรวงตะโกนบอกอย่างไม่แคร์
“ภรรยาของผมคือ กรรณนรี อริยะวรรต”
สรวงชูทะเบียนสมรสขึ้น ทุกคนเฮลั่น สุขหฤทัยได้แต่กรีดร้องด้วยความอับอาย
“ร้องทำไมคะคุณ แม่ไม่รักเหรอ”
“แกสิแม่ไม่รัก แอร๊ยยยยๆๆ”
สุขหฤทัยได้แต่วิ่งหนีไปด้วยความอับอายขายขี้หน้าสุดขีด อารักษ์ตำหนิสุดา
“ทำอะไรไม่เข้าท่าเลยคุณ”
สุดาได้แต่ฮึดฮัด โกรธแค้น “ยังไงฉันก็ไม่รับนังนี่เป็นสะใภ้”
อารักษ์สวนคำ “แต่ผมรับ”
ที่สำคัญสรวงยังพูดย้ำหนักแน่นจริงจัง “กรรณนรีคือภรรยาของผม”
สุดาตะลึงไม่อยากเชื่อ “ตาสรวง”
สรวงมองสุดาเสียใจเช่นกันแต่ก็เด็ดขาด สุดาได้แต่เดินถือไม้เท้าขากระเผลกออกไป
ภาพิศมองตามสุดา สายตาเหี้ยมเกรียม บอกว่าเอาคืนแน่ ก่อนผละออกไปจากตรงนั้น สรวงจะตามแม่ไป
แต่อารักษ์ฉุดมือไว้ “ไม่ต้อง....เดี๋ยวแม่จะเคยตัว” นายพลนักรักบอกเสียงเข้ม “ลูกเป็นเจ้าบ่าว ลูกต้องปกป้องภรรยาตัวเอง”
สรวงมองตามแม่ด้วยสายตาห่วงใย
ที่มุมลับตาคนในสวนสวย สุดาเดินด้วยไม้เท้ามาลำพัง
“ฉันไม่ยอมๆๆๆ”
“ฉันก็ไม่ยอม” เสียงคุ้นหูดังแทรกขึ้นมา
สุดาหันขวับไปมอง “นังภาพิศ”
ภาพิศเดินมากระชากผมสุดาจนหน้าหงาย
“ถ้าไม่ติดว่าวันนี้คือวันงานลูกสาวฉัน ฉันเอาแกตาย”
ภาพิศผลักสุดาจนหน้าคะมำล้มลงกับพื้น แล้วเดินหนีไปโดยไม่แยแส สุดาได้แต่ร้องกรี๊ดๆ มองไปทางไหนก็ไม่มีใครสนใจ
สรวงกอดกรรณนรีให้กำลังใจ สีหน้ากรรณนรีไม่สู้ดีนัก จ๋ารีบเปลี่ยนเรื่องแก้สถานการณ์
“ไหนๆ ก็ไม่มีเค้กแล้ว โยนดอกไม้ๆ”
สาวๆ กรี๊ดกร๊าดพร้อมกันร้อง “โยนเลยค่ะ โยนเลย”
กรรณนรีมองหน้าสรวงกับอารักษ์สลับกัน อารักษ์เยื้อนยิ้มพยักหน้าให้ กรรณนรีถามสรวง
“งั้นโยนเลยนะคะ”
สรวงยิ้มพร้อมพยักหน้า “จ้ะ”
สาวๆ กรี๊ดลั่น “โยนเลยๆๆๆ” และต่างตั้งท่าเตรียมพร้อม
กรรณนรีหันหลัง ครู่หนึ่งจึงโยนดอกไม้ขึ้น สาวๆ ในงาน แย่งกันรับดอกไม้ร้องกรี๊ดกร๊าด ดอกไม้หล่นร่วงมาที่หน้ามะยม มะยมคว้าไว้ทันที ร้องอย่างดีใจ แต่ทันใดนั้นโดยไม่มีใครคาดคิดมือของนาโผล่มากระชากดอกไม้จากมือมะยมไป
ทุกคนหันขวับไปมอง นามองจ้องมะยมเข่นเขี้ยว
“คงจะอยากแต่งงานกับผัวฉันจนตัวสั่นใช่มั้ยนังเมียน้อย”
ขาดคำนาฟาดช่อดอกไม้ใส่หน้ามะยมอย่างแรง มะยมไม่ทันตั้งตัวผวาหลบจนเซผงะไป นาตามมาจิกผมมะยมตบหน้าอย่างแรง จนมะยมล้มลง นาตามไปคร่อมตบมะยมต่ออีกหลายที ทุกคนตะลึง ตาค้าง
นิคกับนพตะโกนพร้อมกัน “หยุด”
สองหนุ่มกระโจนเข้าหาพร้อมกัน นิคคว้าตัวมะยมเอาตัวเองปกป้องไว้ ส่วนนพคว้าตัวนา
เอาไว้ นาร้องกรี๊ด
“ปล่อยฉัน..ฉันไม่มีทางให้คุณแต่งงานกับมันเด็ดขาด”
แรงหึงปนโทสะ นาสะบัดตัวสุดแรงจนหลุดจากนพ แล้วกระโจนเข้าหาหามะยมจนได้ จ๋าร้อง
“เอ๊า...นี่แม่ก็ไม่รักอีกคน มานี่”
จ๋าดึงนามาตบอย่างจัง ร่างนาล้มลง จ๋าขึ้นคร่อมตบไม่นับ ก่อนจะปิดจ๊อบด้วยการเอาเค้กมาละเลงหน้า ยีใส่หัวชุลมุน ดนตรีสดบรรเลงเป็นจังหวะมวยไทยเร่งเร้า
“ศึกมวยไทย 7 สี” นักดนตรีประกาศ
สรวงกอดกรรณนรีไว้ท่าทีตื่นตะลึง อารักษ์ กับเกริก จะเป็นลม กาวินทร์ต้องรีบมาประคองพ่อเอาไว้
โดนจนอ่วมแต่นาก็ไม่ยอม ผลักจ๋าจนล้มลง และจะตามมาตบ นพเข้ามากระชากข้อมือนาลากพาออกไป นายังไม่สิ้นฤทธิ์ หันมาขู่ทิ้งท้าย
“ฝากไว้เถอะนังเมียน้อย
ทุกคนมองตามนพที่ลากเมียจอมหึงโหดไป ก่อนจะหันมองจ้องจ๋า ที่นั่งจมกองเค้กอยู่ที่พื้น
ซึ่งจ๋าได้แต่ยิ้มเก้อๆ เขินๆ “เค้ก..อร่อยดี ทานด้วยกันมั้ยคะ”
ทุกคนเลยหัวเราะขำจ๋า ก่อนจะเฮละโลมาตักเค้ก อย่างสนุกสนาน โดยไม่รอบ่าวสาวตัดแจก เหตุขำกลิ้งและเฮฮาดังกล่าว ช่วยทำให้บรรยากาศแต่งงานเริ่มผ่อนคลาย สรวงตระกองกอดกรรณนรีแน่น ยิ้มเฝื่อนๆ
“ถือเป็นบททดสอบชีวิตคู่ของเรานะคุณ”
“ค่ะ” กรรณนรีตอบหนักแน่น “ยังไง เราก็จะไม่ทิ้งกัน”
สองคนยิ้มส่งพลังใจให้กันและกัน
ในความมืดมิดที่ห่อคลุมบ้านแฉล้มอยู่นั้น ภาพิศค่อยๆ ย่องออกมา หยิบยาเบื่อหนูที่ซ่อนไว้ขึ้นมาอีกครั้ง แสงจันทร์สะท้อนซองยาเบื่อหนู และใบหน้าถมึงทึงของภาพิศ แลดูน่ากลัวราวกับปิศาจร้าย
นพนั่งอยู่ในร้านอาหารตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ด้านหน้าของเขามีน้ำผลไม้สองแก้ววางอยู่ นพมองซ้ายแลขวา เห็นปลอดคนแล้วจึงหยิบซองยานอนหลับชนิดร้ายแรงเทลงไปแล้วคนให้ละลาย ก่อนเลื่อนไปตรงที่ที่นั่งฝั่งตรงข้าม นาเดินเข้ามาพอดี
“ขอบคุณที่มาตามนัด” นพเอ่ยทักเสียงเรียบ
นาสะแยะยิ้มร้ายขณะนั่ลง “จะขอร้องให้ฉันหยุดรังควานเมียน้อยคุณเหรอ ไม่มีทาง...”
นพนั่งนิ่งๆ ดูใจเย็น “ดื่มน้ำก่อน ใจเย็นๆ ค่อยคุยกัน”
นายังไม่ดื่มแต่ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร “ฉันไม่มีวันใจเย็น นอกจากคุณบอกฉัน คุณจะไม่เลิกกับฉัน และยอมอยู่ใต้อาณัติของฉันเหมือนเดิม”
“คุณต้องการอย่างนั้นจริงๆ ใช่มั้ย” นพถามเสียงเรียบเช่นเดิม
นากระแทกเสียงใส่ “ใช่!”
นพยกแก้วน้ำดื่ม เรื่อยๆ ท่าทีปกติ “ได้...ผมจะอยู่กับคุณตลอดไป”
“จริงนะคุณนพ” นาตาโตยิ้มอย่างดีใจ
“จริง” นพตอบห้วนสั้น แต่คำพูดมีนัยยะ
นายิ้มอย่างผู้ชนะ ดูมีอำนาจเหนือกว่า พร้อมกับหยิบแก้วน้ำมาดื่ม “ดีมาก...เพราะคนอย่างฉัน อยากได้อะไรต้องได้...ลองคุณขัดคำสั่ง ฉันจะอาละวาดผู้หญิงทุกคนที่อยู่ใกล้คุณ”
“ผมต้องเป็นของคุณคนเดียว” นพพูดลอยๆ
“ใช่!” นายิ้มเย้ยหยัน ก่อนจะมีท่าทางง่วง มึนงง “ฉันเป็นอะไรไปเนี่ย”
นพไม่ตอบ ควักเงินออกมาวางบนโต๊ะ แล้วประคองร่างนาที่มีท่าทีสะลึมสะลือออกไปอย่างใจเย็น
ทางด้านกรรณนรีเดินมาหาสุดาที่นั่งอยู่บนรถเข็น ข้างๆ ตัวสุดามีถ้วยโจ๊กวางอยู่ กรรณนรีทรุดตัวลงนั่ง ถามอย่างนอบน้อม
“คุณหญิงทานข้าวหรือยังคะ”
สุดาหน้านิ่งตอบน้ำเสียงเย็นเยียบ “ว่าจะกินอยู่เหมือนกัน แต่เห็นหน้าแกแล้วฉันกินไม่ลง”
กรรณนรีไม่ถือสา “งั้น...หนูนวดเท้าให้นะคะ”
พูดจบกรรณนรีก็เอาครีมนวดมาบีบทาให้ขาและเท้าของสุดานวดให้อย่างอ่อนโยน คราวนี้สุดามองหน้ากรรณนรีเขม็ง ตาแทบถลนออกมาจากเบ้า ขณะขยุ้มผมจิกทึ้งอย่างเกลียดชัง
“แกนี่มันหน้าด้านหน้าทน รู้ทั้งรู้ ว่าฉันเกลียดแกจนเข้าไส้ ยังจะหน้าด้านอยู่ได้” สุดาผลักหัวกรรณนรีออกอย่างแรง
กรรณนรีทำใจไว้แล้วว่าจะเจออะไร มองหน้าสุดาด้วยท่าทีนอบน้อมเช่นเดิม
“อย่างที่หนูเคยเรียนคุณหญิงค่ะ หนูจะทำทุกอย่างจนกว่าคุณหญิงจะให้อภัย”
สุดาตวัดเสียงตวาดแว้ดใส่ ไม่แยแส “มันไม่มีทางมีวันนั้น”
กรรณนรีเงยหน้ามองสุดาด้วยสายตาวิงวอน
ไฟมาร ตอนที่ 20 อวสาน (ต่อ)
ขณะที่สุดามองมายังกรรณนรีอย่างจงเกลียดจงชัง และแค้นคั่งจนน้ำตาไหลริน
“ไปให้พ้นจากชีวิตฉัน อย่าให้ฉันอยู่อย่างทุกข์ทรมานมากไปกว่านี้เลย”
กรรณนรีตกใจที่ได้ยินอย่างนั้น “คุณหญิง
“เธอก็รู้...ว่าฉันรักตาสรวงมาก มากจนไม่กล้าขัดใจ....แต่ฉันทนเห็นหน้าเธอไม่ได้” สุดาแค้นขึ้นมาอีก กระชากร่างกรรณนรีเข้ามาเขย่าๆ “ฉันอยู่ร่วมกับเธอไม่ได้..ฉันอยากฆ่าเธอ ฉันขอร้อง..ไปให้พ้นจากชีวิตฉัน ไปให้พ้น” สุดาร้องไห้โฮออกมาด้วยความอัดอั้น “อย่าอยู่ทำลายชีวิตฉันเลย” ก่อนจะผลักกรรณนรีออกไปอีกอย่างแรง จนกรรณนรีล้มลงไปกับพื้น
“อย่าอยู่เป็นมารชีวิตฉันเลย”
พูดจบสุดาก็เลื่อนรถอย่างแรงเข้ามากะจะชนกาว แต่แรงเหวี่ยงนั้นกลับทำให้รถเข็นของสุดาเสียหลักล้มลงเค้เก้ สุดาร้องออกมาอย่างเจ็บปวด กรรณนรีจะเข้าไปช่วย
แต่สุดาผลักออก “อย่ามายุ่งกับฉัน ไป..ออกไป..เธอออกไปจากบ้านฉัน ไป๊”
“คุณหญิง” กรรณนรีคราง
“ถ้าเธอยังหน้าด้านอยู่ที่นี่...ฉันจะฆ่าตัวตาย...ฉันจะทำให้ตาสรวงมีตราบาปตลอดชีวิต”
กรรณนรีใจหาย ร้องไห้ออกมาอีก “คุณหญิง”
สุดาผลักสุดแรง “ไป๊...ไปให้พ้นบ้านฉัน”
กรรณนรีน้อยใจ เสียใจ วิ่งร้องไห้ออกไป สุดาเองก็ร้องไห้ออกมาอย่างคับแค้นใจ
กรรณนรีวิ่งร้องไห้ ขึ้นแท็กซี่ไป ในจังหวะที่ภาพิศเดินเข้ามาในคฤหาสน์ ดวงตาวาววามน่ากลัว
ขณะที่สุดานั่งร้องห่มร้องไห้ พยายามควานหาไม้เท้า เพื่อพยุงกายลุกขึ้น เท้าของภาพิศ
ก้าวเดินเข้าไปหา สุดามองเห็นเท้า ก่อนจะเงยมองขึ้นใบหน้า เห็นภาพิศยืนหน้าตาถมึงทึงอยู่
“นังภาพิศ” ถอยหลังกรูด
“แกหนีฉันไม่รอดหรอก วันนี้แกตายแน่”
ภาพิศเปิดกระเป๋า สุดาร้องกรี๊ดหลับหูหลับตานึกว่าเป็นปืน
“อย่าฆ่าฉัน”
ยินเสียงฉีกซองยาดังแควกไม่ใช่เสียงปืน สุดาลืมตาขึ้นมอง เห็นภาพิศกำลังเทบางอย่างลงในถ้วยข้าวต้ม ก่อนจะเหวี่ยงซองลงมาตรงหน้า ภาพิศหัวเราะร่วน ขณะใช้ช้อนคนยาเบื่อหนูเข้ากับข้าวต้ม
“หนูเป็นสิบเป็นร้อย เจอไปซองเดียวยังตายแหงแก๋ แต่คุณหญิงกินคนเดียวทั้งซอง จะรอดอาไร้”
สุดาเบิกตาโพลง ร้องเสียงหลง “อย่า”
“มานี่”
ภาพิศกระชากตัวสุดาเข้ามา พยายามยัดข้าวต้มผสมยาเบื่อหนูเข้าปากสุดา
จังหวะเดียวกันนั้นนั้นสรวงเดินเข้ามาที่หน้าคฤหาสน์แล้ว
ส่วนด้านในสุดาที่เนื้อตัวเลอะเทอะเปรอะไปด้วยข้าวต้ม กำลังคลานหนีสุดชีวิต พร้อมร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วยๆๆๆ”
สรวงได้ยินก็ตกใจ
“คุณแม่”
สรวงวิ่งเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว ขณะที่ภาพิศตามมากระชากลากตัวสุดา
“แกจะหนีไปไหนนังสุดา มานี่”
ภาพิศถือชามข้าวต้มมา กระชากสุดาให้แหงนหน้า ง้างปากออกจะกรอกปาก
สุดาขัดขืนเม้มปากแน่น ดวงตาเหลือกลาน ขณะที่ภาพิศก็พยายามง้างปากสุดา เทข้าวต้มลงไป ใบหน้าของสุดาเลอะเทอะไปหมดแล้ว สรวงวิ่งเข้าไปหา
“คุณแม่”
ภาพิศตื่นตกใจที่เห็นสรวง สุดาถือโอกาสนั้นผลักภาพิศออกเต็มแรง รีบเช็ดปากหลายๆ ทีกลัวยาเบื่อจะเข้าปาก
“ช่วยแม่ด้วย เค้าจะฆ่าแม่”
ภาพิศมองอย่างตื่นตะลึง “คุณสรวง”
สรวงก้มลงมองที่พื้นเห็นซองยาเบื่อหนูก็แค้นใจ “คุณจะฆ่าแม่ผม...คุณฆ่าแม่ผม”
“ไม่..ไม่”
ภาพิศกรีดร้อง พร้อมกับวิ่งหนีไปด้วยความหวาดหวั่น สุดาผวาตัวกอดสรวงแน่น ร้องไห้หวาดกลัว
“มันจะฆ่าแม่สรวง มันจะฆ่าแม่”
สรวงร้องไห้ออกมาเมื่อมองเห็นสารรูปสุดาที่อยู่ในสภาพขวัญกระเจิง สงสารแม่เหลือเกิน
เวลาเดียวกันกรรณนรีหอบสังขารมานั่งร้องไห้แทบจะขาดใจอยู่ต่อหน้าพ่อที่บ้าน ผมเผ้ายุ่งเหยิง เพราะถูกสุดาจิกตีมา ตามเนื้อตัวตัวมีรอยเขียวช้ำเป็นจ้ำๆ เกริกลูบเนื้อลูบตัวกรรณนรีมองอย่างสงสาร
“รู้มั้ยใจจริงพ่ออยากทำอะไร? พ่ออยากฆ่าเค้า อยากทุบอยากตีเค้าให้มันสาสมที่เค้าทำกับลูก...แต่พ่อรู้มันไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นหนูเดินออกมาเถอะลูก ถ้ามันทุกข์ทรมานนัก กลับมาอยู่บ้านของเรา”
“ค่ะพ่อ...กาวจะมาอยู่บ้านเรา กาวไม่ไหว ไม่ไหวแล้วจริงๆ”
กรรณนรีร้องไห้โฮ เกริกกอดลูกสาวที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น ลูบเนื้อลูบตัวปลอบ
สรวงกอดสุดาที่ ร้องไห้คร่ำครวญอยู่บนเตียงในห้องนอนแสร้งทำเป็นเสียขวัญ
“ต้องเป็นแผนของพวกมันสองคนแม่ลูก กรรณนรีทิ้งแม่ออกไป นังภาพิศก็เข้ามา กรอกยาเบื่อหนูผสมข้าวให้แม่กิน”
สรวงอึ้ง สุดามองลูกชายอย่างเสียใจ ผละตัวออกทันที
“ถ้าสรวงรักนังกรรณนรี แคร์มันมากกว่าแม่ สรวงก็ไปอยู่กับมันเลยไป แม่จะอยู่คนเดียว ดีกว่าอยู่กับมัน แล้วให้มันรวมหัวหัวกันมาฆ่าแม่”
“ยังไงผมก็เลือกแม่”
“ไม่ต้องห่วงคุณหญิง ในเมื่อผมเป็นคนนำไฟเข้าบ้าน ผมจะดับมันเอง..ผมจะแจ้งความเอาผิดกับภาพิศ”
สรวงกับสุดาตกใจในคำพูดอารักษ์ แต่ใบหน้าของสุดาเต็มไปด้วยความสาแก่ใจ
วันต่อมาภาพิศเดินออกมา แฉล้มเลื่อนรถเข็นเข้ามารวดเร็วหน้าตาตื่น ภาพิศถามด้วยสีหน้าสงสัย
“เป็นอะไรคุณแฉล้ม”
“เพื่อนฉันโทร.มาบอก ท่านอารักษ์แจ้งความจับคุณ”
ดวงหน้าภาพิศซีดขาวเป็นกระดาษ ตกใจไม่ต่างจากแฉล้ม
ภายในบ้านพัก ที่รีสอร์ทของนพ นายังนอนสลบหมดสติอยู่ นพมองนานิ่งๆ ดวงตาว่างเปล่าแต่ดูน่ากลัวยิ่งนัก ก่อนจะลงมือมัดมือเท้านาเอาไว้ อย่างช้าๆ ใจเย็น เหมือนนาเป็นเพียงเหยื่อที่ไม่มีทางหนี
ขณะที่ทุกคนทำงานกันอยู่ในออฟฟิศ หญิงสูงวัยซึ่งเป็นแม่ของนาเดินฉับๆๆ เข้าไปอย่างเอาเรื่อง
“นังมะยม ไหนนังมะยมอยู่ไหน”
ทุกคนหันขวับไปมองงงๆ โดยเฉพาะมะยม หญิงนางนั้นหันขวับมามอง เดินตรงเข้ามา
“ลูกฉันอยู่ไหน”
ทุกคนงงยกใหญ่ นิครีบป้องมะยม
“ลูกคุณ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเพื่อนผม”
“ก็เจอกันครั้งสุดท้าย ลูกฉันบอกจะมาจัดการเพื่อนแก แต่แล้วจู่ๆ ลูกฉันก็หายตัวไปติดต่อไม่ได้” หญิงสูงวัยมองหน้ามะยม ถามคาดคั้น “บอกมานะนังมะยม แกทำอะไรลูกฉัน” เห็นมะยมนิ่งนางจึงถลันเข้าหามะยม
นิคขวางไว้ ผลักออกไม่แรงนัก แค่ป้องกัน “อย่าป้า ผมรู้แล้วทำไมลูกป้าเป็นอย่างนั้น ได้เลือดป้ามาดีๆ นี่เอง ไม่มีเหตุผล”
“แก” แม่ของนาจะตีนิค
มะยมโพล่งขึ้น “ฉันไม่รู้เรื่องจริงๆ ค่ะ”
“ไม่รู้เรื่อง” แม่ของนาถลันไปตบมะยมจนได้ เสียงดังผลัวะ
ทุกคนตื่นตกใจ เข้ามาห้ามพัลวัน
เวลาเดียวกันนั้นสรวงนั่งหน้าเครียดอยู่ที่ทำงาน คิดไม่ตกกับปัญหาระหว่างแม่และเมีย เสียงโทรศัพท์ดัง สรวงกดรับ
“ครับ”
เป็นจ๋าที่โทร.หา พูดเสียงละล่ำละลัก “คุณสรวง บอกคุณนพมาห้ามเร็วค่ะ แม่ภรรยาเค้ามา
อาละวาดมะยม”
สรวงลุกพรวดขึ้นทันที
ในเวลาต่อมา แม่ของนานั่งหอบเหนื่อย ร้องไห้อยู่ในห้องทำงานจ๋า มะยมยืนอีกมุมกับนิค มะยมบอก
“ใจเย็นๆ นะคะป้า ใจเย็นๆ ฉันไม่รู้เรื่องจริงๆ ค่ะ”
แม่ของนาก้มหน้าร้องไห้ท่าทีทุกข์หนัก “แล้วลูกฉันหายไปไหน ลูกฉันหายไปไหน”
ทุกคนมองหน้ากันไม่รู้ สักครู่หนึ่งสรวงเปิดประตูพรวดเข้าไป
“คุณนาหายตัวไป...ผมพยายามติดต่อคุณนพก็ติดต่อไม่ได้” นิคบอก
“คุณสรวงรู้มั้ยคะคุณนพอยู่ที่ไหน” จ๋าถามเร็วๆ
สรวงนิ่งตริตรอง หวนคิดไปถึงคำพูดแปลกๆ ของนพ ที่บอกว่าจะกลับไปดูแลรีสอร์ท ในการเจอกันครั้งสุดท้าย
ตอนกลางวันแท้ๆ แต่ที่ด้านในห้องพักภายในบ้านพัก กลับมืดสลัว ราวกับตอนกลางคืน นาค่อยๆ งัวเงียฟื้นขึ้นมา มองไปเห็นนพนั่งลับมีดอยู่ เสียงดัง เป็นจังหวะน่ากลัว นพหันมามอง ถามนิ่งๆ
“ฟื้นแล้วเหรอ”
นาจะขยับตัวแต่ก็ขยับไม่ได้เพราะถูกมัด ถดตัวถอยกรูด ถามเสียงสั่น
“คุณจะทำอะไร”
นพพูดเสียงนิ่งๆ “ฆ่าคุณ”
นาหวีดร้องขึ้นสุดเสียงตกใจกลัวมาก “คุณนพ”
นพมองท่าทีหวาดกลัวของนาอย่างสะใจ ค่อยๆ เดินเข้ามานั่งใกล้ๆ ลูบหัวลูบผมนา พร้อมกับเอ่ยขึ้น
“คนที่ชอบวางตัวเหนือคนอื่นอย่างคุณ กลัวเป็นด้วยเหรอ? ไม่ต้องกลัว...ผมไม่ฆ่าคุณหรอก” นพหยิบมีดขึ้นมาไล้กับมือตัวเอง บอกต่อ “แต่จะค่อยๆเฉือนเนื้อคุณทีละชิ้น ทรมานคุณ..เหมือนที่คุณทรมานชอบคนอื่น”
นพชูมีดขึ้น นามองจ้องมีด เห็นเงาวาววับก็กลัวจับใจ
“อย่าทำอะไรฉันนะ”
นพปักมีดลงพื้นเสียงดังฉึก นาร้องกรี๊ดกลัวมาก
สรวงขับรถมาด้วยความเร็ว ทุกคนในรถท่าทางตื่นกลัว แม่ของนาร้องไห้ตลอดทาง
“นพ..อย่าทำอะไรลูกฉันเลยนะ” ยกมือภาวนา “อย่าทำอะไรลูกฉันเลย”
นิค มะยม และสรวง ตกอยู่ในอาการระทึกขวัญไม่ต่างกัน
นาเนื้อตัวสั่นเทา พยายามยกมือไหว้ขอชีวิต
“อย่าทำฉันเลยคุณนพ...อย่า...ฉันกลัว..กลัว”
นพพูดเสียงเศร้า “ที่ผ่านมาผมก็ไม่เคยคิดทำร้ายคุณ แต่คุณทำร้ายผม ทำร้ายคนอื่นตลอด คุณกดดันให้ผมทำอย่างนี้เองนะคุณนา”
นพหยิบมีดขึ้นมา นามองมีดเนื้อตัวสั่น นพบอกอย่างเสียใจ
“แต่ไม่ต้องห่วง....ทันทีที่คุณทรมาน คุณขาดใจตาย...ผมก็จะตายเหมือนกันตายไปทั้งคู่ จะได้จบๆ ปัญหาซักที”
นามองมีดอย่างหวาดกลัว หัวใจจะวาย “อย่านะคุณนพ...อย่า”
“ไม่ดีเหรอ? คุณอยากได้ตัวผมนัก ผมก็จะไปกับคุณ ไม่ว่าชาตินี้ชาติไหน ผมก็จะตามติดไปอยู่กับคุณ”
นพเงื้อมีดขึ้น ขณะที่นาหลับหูหลับตาร้องกรี๊ดสุดเสียง
“อย่า”
นาทีเป็นนาทีตายนั้น ประตูห้องถูกเปิดผลัวะเข้ามา พร้อมกับที่สรวง นิค มะยม แม่นามองภาพอย่างตื่นตระหนก สรวงร้องลั่น
“อย่าพี่นพ”
สรวงกับนิคกระโจนเข้าหากระชากตัวนพออก ขณะที่แม่นาถลาไปกอดนาไว้
นพบ้าคลั่งแล้ว พยายามสะบัดตัว “ปล่อยพี่..ปล่อย...มันทรมานชีวิตพี่ พี่จะฆ่ามัน”
“อย่าคุณนพ อย่า” มะยมร้องห้าม
นพดิ้นรน พลางตะโกน “ปล่อย..ปล่อย พี่จะฆ่ามัน ปล่อย”
มะยม นิค และสรวงร้องห้ามพร้อมๆ กัน
“อย่าพี่นพ” / “อย่าคุณนพ”
แม่ของนาที่แก้มัดลูกสาวเสร็จ หันมาท้าเหยงๆ “ไม่ต้องไปห้ามมัน หลงเมียน้อยจนหน้ามืด” จ้องหน้านพอย่างโกรธแค้นประกาศกร้าว “ฉันจะจับแกเข้าคุก” พลางหยิบมือถือขึ้นมากดโทร.ออก
“191 ฉันมีเหตุด่วนเหตุร้ายจะแจ้ง”
คืนนั้นนพถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวเข้าไปในห้องขัง สรวง นิค มะยม ได้แต่มองเห็นใจขณะที่นากับแม่ตามมาด่าเหยงๆ
“มันจะพยายามฆ่าหั่นศพลูกสาวฉัน หลักฐาน พยานพร้อม จับมันขังลืมเลยค่ะคุณตำรวจ
“ไอ้ผัวเฮงซวย อยู่ในคุกจนตายเถอะแก หลงเมียน้อยจนไม่ลืมหูลืมตา...”
มะยมทนไม่ไหวแล้ว ตวาดเสียงกร้าว “ฉันไม่ใช่เมียน้อย เตรียมรับหมายศาลได้เลย ฉันจะฟ้องคุณ”
นาแหวใส่อีก “ยังจะกล้าอีกเหรอนังมะยม”
ขาดคำนาปราดเข้าหามะยม จะตบอีกอย่างบ้าคลั่ง สรวง นิค ช่วยกันมะยมเอาไว้ ขณะที่นพตะโกนก้อง “เลิกบ้าได้แล้ว คุณมะยมไม่ได้เป็นเมียน้อยผม เค้าเป็นผู้หญิงที่ผมรัก”
นากรีดร้องโวยวายเป็นการใหญ่ “แอร๊ยยย...ดูสิ ต่อหน้าฉันมันยังกล้าพูดอย่างนี้”
“ต่อให้ผมติดคุกจนตาย ผมก็จะพูดอย่างนี้”
แม่ของนาตวาด “ไอ้นพ”
สรวงปลอบ “ใจเย็นๆ ครับพี่นพ”
“พี่รู้สิ่งที่พี่ทำมันโง่ แต่พี่แก้ปัญหาไม่ได้ เค้าไม่ยอมหย่าให้พี่ เค้าตามรังควานชีวิตพี่ ชีวิตมะยม ถ้าต้องอยู่กับเค้า พี่เลือกอยู่ในคุกดีกว่า”
นาด่ารวดเดียวจบ “ไอ้นพ..ไอ้สารเลว ไอ้เลว...ฉันจะแช่งชักหักกระดูกแกทุกวัน ชีวิตแกจะต้องไม่มีความสุข ต่อให้แกตายในคุกฉันก็จะไม่หย่า ต่อให้แกตายตกนรกหมกไหม้ ฉันก็จะตามไปรังควานแกถึงนรก”
ทุกคนมองอย่างตื่นตะลึง ที่เห็นความร้ายกาจของนา ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่บนโรงพักแห่งนั้นบอกอย่างทนไม่ไหว
“ว้ายยย น้อง แรงงงง มากกกก ถ้าพี่เป็นผัวน้อง พี่ก็เลือกตายอยู่ในคุก แถมทำบุญ 9 วัด อย่าให้สัมภเวสีอย่างน้องรังควานเล้ย”
“นังนี่”
นาโผนทะยานเข้าหาหญิงชะตาขาดคนนั้น ตำรวจต้องแยกออก ก่อนที่จะเกิดมวยอีกคู่
นพมองมะยม “ลาก่อนมะยม”
สรวงปลอบ “มีอะไรไปสู้กันในชั้นศาลพี่”
นพยิ้มให้สรวงแบบคนปลงๆ เดินตามตำรวจเข้าห้องขังไป
มะยมเดินร้องไห้ออกมากับนิคที่หน้าโรงพัก พลางบอกอย่างสะท้อนใจ
“คุณนพเค้ารักฉันมากขนาดนี้ ฉันรักเค้าได้ใช่มั้ยนิค? ฉันรักเค้าได้ใช่มั้ย”
นิคมองมะยมอย่างขมขื่น และเสียใจบอกออกมา “ได้... แกรักเค้าได้มะยม”
นิคดึงมะยมมากอดปลอบ มะยมร้องไห้กับอกนิค
คืนนั้นภาพิศกอดลูกน้อยแนบอก ดวงตากังวล แฉล้มเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
“ฉันว่าคุณมอบตัวเถอะ อย่างน้อยโทษหนักจะได้กลายเป็นเบา นะคุณนะอย่างที่ฉันบอก ถ้าคุณยอมไม่เป็น คุณก็เย็นไม่ได้...แล้วเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ยังไงคุณก็ต้องเย็น”
แฉล้มพูดปลอบ ภาพิศนิ่ง..ไม่ตอบโต้ ดวงตาเหมือนคิดอะไรอยู่
วันต่อมาภาพิศอุ้มลูกน้อยไปหาเกริกที่บ้าน เกริกมองงงๆ
“อะไร นุดี”
ภาพิศน้ำตาคลอบอกเสียงอ่อยๆ หลบตา “ท่านอารักษ์แจ้งความจับฉัน คดีพยายามฆ่าคุณหญิงสุดา ฉันอยากฝากลูกให้พี่เลี้ยง...”
เกริกตะลึง ภาพิศอ้อนวอน
“ฉันไม่เหลือใครแล้ว พี่ช่วยฉันด้วยนะ...ฉันรู้..พี่เป็นคนดี พี่จะสอนให้ลูกฉันเป็นคนดีได้”
เกริกมองภาพิศอย่างสมเพชเวทนา “เธอทำอะไรไม่เคยคิดก่อนเลยนุดี” เกริกกระชากแขนภาพิศอย่างแรง “มานี่ เธอมาดูลูกเลย”
เกริกลากภาพิศที่อุ้มลูกไปหากรรณนรี
เกริก ลากภาพิศมาในห้อง ภาพิศเห็นกรรณนรียืนร้องไห้
“ดูซะ...นี่คือผลพวงการกระทำของเธอ...คุณหญิงสุดาเค้าเกลียดกาว เพราะการกระทำของเธอ”
“แล้วทำไมฉันถึงยอมรับคุณสรวงได้ ทำไมมันไม่ยอมรับกาว นังสุดา มันจะจองเวรจองกรรมลูกฉันไปถึงไหน” ภาพิศเถียง
“เพราะเค้าเป็นฝ่ายถูกกระทำ”
“มันต่างหากที่ทำฉันก่อน”
เกริกมองด้วยสายตาตำหนิ พูดเสียงเข้ม “เธอทำเค้าก่อน เธอเข้าไปยุ่งกับสามีเค้าก่อน ทุกอย่างมันถึงเป็นแบบนี้”
“ไม่ใช่..ฉัน...ไม่ใช่” ภาพิศอึ้ง ส่ายหน้า ไม่ยอมรับเด็ดขาด
“เธอก็เป็นอย่างนี้ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองผิด ดื้อรั้น เห็นแก่ตัว มีแต่สร้างภาระให้คนอื่น”
“พี่จะด่าจะว่าฉันยังไงก็ได้ แต่ตอนนี้ฉันไม่มีที่ไป ฉันฝากลูกด้วยนะพี่..ฝากลูกด้วย” ยื่นลูกให้ทันที
“นี่จะหนีใช่มั้ย” เกริกมองอย่างเวทนา “โธ่เอ๊ย...นุดี”
ภาพิศมองด้วยสายตาอ้อนวอน สุดท้ายเกริกก็จำต้องยื่นมือไปรับเด็กหญิงตาดำๆ ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อยู่ดี
คืนนั้นกรรณนรีน้ำตาคลอ ดวงตามีแต่ความเศร้าหม่น กำลังจะเดินออกจากบ้าน ภรตก้าวลงจากรถ ที่เพิ่งจอด กรรรณรีทักทาย
“พี่ภรต กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“เมื่อวาน...กาวจะไปไหน? พี่ไปส่ง” ภรตย้อนถาม
กรรณนรีน้ำตาไหลริน ไม่ยอมตอบใดๆ
ไฟมาร ตอนที่ 20 อวสาน (ต่อ)
ไม่นานต่อมา ที่คฤหาสน์บ้านอริยะวรรต กรรณนรีเก็บข้าวของใส่กระเป๋า สุดาที่ใช้ไม้เท้าช่วยยืนอยู่และมองอย่างสาแก่ใจ
“ไปแล้วไปลับ ไม่ต้องกลับมาอีก แล้วฉันจะอุทิศส่วนกุศลไปให้”
กรรณนรียกมือไหว้สุดาอย่างนอบน้อม ก่อนจะหิ้วกระเป๋าออกไป
ภรตยืนรอกรรณนรีอยู่ที่รถบริเวณหน้าบ้าน สรวงขับรถมาจอดพอดี เห็นภรตยื่นมือมาช่วยกรรณนรีหิ้วกระเป๋า ภรตหันไปเห็นสรวง กรรณนรีมองตาม สองคนสบตากันมีแต่ความเจ็บปวดในแววตา ก่อนที่กรรณนรีจะตัดสินใจขึ้นรถไปกับภรต
สรวงมองตามกรรณนรี จนรถของภรตลับสายตาไป
สรวงเดินเข้ามาในห้อง มองเตียง ภาพหวานฉากกุ๊กกิ๊กกับกรรณนรีผุดขึ้นในห้วงคิด ก่อนที่ภาพเหตุการณ์วันแต่งงานจะเข้ามาแทนที่ สรวงปวดใจยิ่งนัก
ส่วนกรรณนรีก็นั่งร้องไห้อยู่ในรถภรตมาตลอดทาง
แม้จะรักกันมากเพียงใด แต่ทั้งสรวงและกรรณนรีก็ไม่อาจสมหวัง ต้องดื่มกินความทุกข์ และตกอยู่ในสภาพคนหัวใจสลาย
คืนเดียวกันภาพิศนั่งร้องอย่างกลัดกลุ้ม ไม่ได้ฟูมฟาย แต่เหมือนชีวิตมาถึงทางตันหาทางออกไม่เจอ พิไลผู้เป็นแม่ด่าซ้ำ
“สมควรให้เกริกมันด่าแกจริงๆ นุดี...มีแต่สร้างภาระให้คนอื่น”
“จะทำอะไรไม่เคยคิดหน้าคิดหลัง ใช้แต่อารมณ์” พร้อมว่า
“นี่ถ้าแกอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวตั้งแต่แรก นังคุณหญิงสุดามันก็คงเอ็นดูแกอยู่หรอก นี่อาไร้! ตาต่อตา ฟันต่อฟัน มันไม่เอาน้ำกรดมาสาดหน้าก็ดีเท่าไหร่แล้ว” พิไลระบายอารมณ์
“ดีอะไร ที่ผ่านมา นังสุดามันทำร้ายฉันตลอด” ภาพิศเถียง
“แต่แกมาทีหลัง...ถ้าแกยอมๆ เค้าหน่อย มันก็อยู่กันได้ นี่แกพร้อมปะ ฉะ ดะ เมียหลวงที่ไหนเค้าจะชอบวะ”
พร้อมด่าอีก พิไลเห็นสภาพลูกสาว พูดด้วยเสียงอ่อนอกอ่อนใจ เหมือนตัวเองก็ผิดด้วย
“แต่มันก็ผิด...ผิดตั้งแต่แรกแล้วล่ะที่แกไปเป็นเมียน้อยเค้า แม่เองก็ผิด ที่สนับสนุนให้แกทำเลว”
ภาพิศหันไปมองก็เห็นพิไลน้ำตาคลอ เจ็บปวด ภาพิศยิ่งสะเทือนใจจนน้ำตาไหล พร้อมเอ่ยขึ้นเตือนสติ
“พอได้แล้วล่ะนุดีเอ๊ย...คนเราถ้ายอมไม่เป็นก็เย็นไม่ได้ แรงใส่กันอย่างนี้มันไม่มีประโยชน์ นอกจากตายกับตาย...และคนที่ลุกเป็นไฟนั่นล่ะจะตายก่อนคนอื่น เชื่อพ่อ”
ภาพิศเงียบงันอยู่อย่างนั้น
ครู่ต่อมาภาพิศเดินเข้ามาในห้องนอน ห้องทั้งห้องมืดมิด แต่ภาพิศก็ไม่สนใจปิดสวิชท์ไฟ ได้แต่ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงปล่อยให้น้ำตารินไหล
คำเตือนของแฉล้ม และพ่อประดังขึ้นในหัวโดยเฉพาะคำของพ่อที่ว่า...ยอมไม่เป็นเย็นไม่ได้
“หรือถึงเวลา...ที่เราควรยอมซักที”
ภาพิศได้แต่รำพึงถามตัวเองอย่างตริตรองในความมืดมิดของห้อง ที่ไม่ต่างกับทางชีวิตในยามนี้ของหล่อน
วันใหม่มาถึงภาพิศพาตัวเองเข้าหาความสงบ กำลังเดินดุ่มเข้าไปยังไปวัด ที่เงียบสงบๆ บรรยากาศร่มรื่น เขียวขจีไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย
“ที่นี่...อาจทำให้เราไม่ต้องอยู่ในคุก”
ภาพิศคิดอยู่ในใจ ขณะเดินตรงเข้าไปยังโบสถ์ ก่อนจะก้มลงกราบพระประธาน แม้จะพยายามนั่งสมาธิ แต่เพราะใจไม่นิ่งและไม่คุ้นเคยกับวีถีแห่งธรรม และยังไม่ปล่อยวางภาพิศขยุกขยิกอยู่ไปมา หลวงพ่อรูปหนึ่งเดินมา มองเห็นท่าทางของภาพิศก็เดาออกเป็นหญิงคนนี้ไม่เคยเข้าใกล้วัด
เวลาเดียวกันกรรณนรีนั่งเศร้าอยู่ แต่ดวงตาเด็ดเดี่ยว ปลดปลงและยอมรับความจริงในชีวิตได้แล้ว
“พี่เห็นใจกาวนะ ที่เรื่องของกาวกับคุณสรวงต้องจบลงแบบนี้”
“กาวไม่เป็นไรพี่แก้ว...อย่างน้อยที่ผ่านมา กาวก็ทำดีที่สุดแล้ว แต่เรื่องของพี่แก้วกับพี่มด ..พี่แก้วทำดีที่สุดรึยัง”
กาวินทร์ได้แต่อึ้ง
วันเวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไปอีก มาลินียามนี้ท้องโตขึ้นมากแล้ว วันนี้เธอกำลังนั่งทำงานอยู่ในห้องที่รีสอร์ท ก่อนจะเห็นนกวิ่งกระหืดกระหอบมาหา
“มด”
มาลินีเงยหน้าขึ้นมามอง รอฟัง “คะพี่นก”
“มีคนมาหา
กาวินทร์ขยับตัวออกมาจากข้างหลังนก มาลินีตะลึง
“พี่แก้ว”
สีหน้ามาลินีตื่นเต้น ระคนตกใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นนิ่งสงบ เยือกเย็น
ครู่ต่อมามาลินีเดินคุยกับกาวินทร์มาตามทาง ท่าทางของมาลินีเมินเฉย แววตาว่างเปล่า จนน่ากลัว
“มาเที่ยวเหรอคะ”
“เปล่า..พี่มาหามด”
มาลินีมองอย่างแปลกใจ ท่าทีเข้มแข็ง ไม่ได้อาลัยอาวรณ์แล้ว กาวินทร์เสียอีกที่สายตาละห้อย รู้สึกผิด
“โธ่มด..อย่ามองพี่ด้วยสายตาห่างเหินเย็นชาแบบนี้สิ พี่สำนึกผิดแล้ว ที่ผ่านมา พี่ทำไม่ดีกับมดแค่ไหน”
มาลินียิ้มบางๆ “มดลืมมันไปหมดแล้วค่ะ ไม่มีอะไรติดค้างเลยจริงๆ เชิญพี่แก้วตามสบายนะคะ มดขอตัวไปทำงาน” ยิ้มให้แล้วเดินไปช้าๆ
“มดไม่มีอะไรติดค้าง แล้วลูกพี่ล่ะ” กาวินทร์ตะโกนถาม
มาลินีพูดโดยไมได้หันกลับมามอง “ลูกเป็นของมด...”
กาวินทร์สะอึกไม่เชื่อหู “มด”
มาลินีหันกลับมามอง “พี่แก้วเป็นคนบอกมดเองนี่ค่ะ...ลูกเป็นของมด ไม่มีอะไรติดค้างพี่แก้วค่ะ” เดินจากไปทันที
กาวินทร์ใจหาย ตามมาคว้าตัวมาลินีกอดเอาไว้ “ให้อภัยพี่นะมด”
“มดไม่เคยโกรธพี่แก้วค่ะ”
มาลินีเยื้อนยิ้ม ขณะปลดมือกาวินทร์ออกแล้วเดินไป.....กาวินทร์มองตาม ใจหล่นวูบ ตระหนักชัดว่าเขาได้สูญเสียมาลินีผู้แสนอ่อนโยนและอ่อนหวานไปตลอดกาลแล้ว
ไม่นานนักมาลินีเดินออกมาหลบมุมร้องไห้สุดแรง
“อดทนไว้มด..อดทนไว้..อย่าให้ใครเค้าดูถูกอีกว่าใจง่าย ลูกช่วยแม่ด้วย”
มาลินีรำพึงเสียงแผ่วๆ พร้อมกับยกมือลูบท้องตัวเอง เหมือนเป็นการปลุกปลอบและเติมแรงใจให้ชีวิตตัวเอง
ฉากชีวิตอันร้าวรานของสองชาย ดำเนินไปในวิถีที่ไม่ต่างกันนัก เพราะที่ร้านอาหารกึ่งผับคนละแห่ง สรวงกับกาวินทร์ ซึ่งถูกความทุกข์กลืนกินชีวิต ต่างคนต่างเมามาย อาศัยน้ำสีอำพันย้อมใจให้คลายทุกข์แม้เพียงชั่วขณะหนึ่ง
ค่ำคืนนั้นกาวินทร์เดินโซเซเดินเข้ามาในบ้าน กลิ่นละมุดโชยหึ่ง เกริกกับกรรณนรีเห็นจนชินตา เกริกร้องออกมา อย่างระอา
“เมามาอีกแล้วแก้ว เอ๊อ”
ยังไม่ทันที่จะมีใครพูดอะไรต่อ กาวินทร์ก็เซแซดๆ พร้อมกับโก่งคออาเจียนออกมาเป็นเลือด กรรณนรีร้องขึ้นด้วยความตกใจ
“พี่แก้ว”
เกริกกับกรรณนรีเข้ามาประคองแก้วที่ท่าจะร่วงลงพื้นอย่างรวดเร็ว
กลางดึกคืนนั้นกาวินทร์นอนอยู่ในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง สภาพทรุดโทรม ทั้งเครียดและกลัดกลุ้มใจอย่างหนัก เกริกกับกรรณนรีเฝ้าดูแลไม่ห่าง เกริกดุ
“แกก็เคยว่าพ่อ..เหล้าไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา...นี่อะไร? พ่อเลิกแล้ว แต่แกกลับมากินซะเอง”
“ผมขอโทษพ่อ...แต่ผมไม่รู้จริงๆว่าจะทำยังไง? ผมมันเลว ผมมันชั่ว มดถึงได้อุ้มลูกทิ้งผมไป” กาวินทร์ระบดระบาย
“รู้ตัวก็ดี แก้วจะได้ทำตัวใหม่ ยิ่งเป็นพ่อคน ยิ่งต้องทำตัวให้ดี”
“ผมไม่มีโอกาสเป็นพ่อใครแล้วครับพ่อ...มดพาลูกทิ้งผมไปแล้ว”
กาวินทร์หวนไห้ ก่อนจะผินหน้าไปทางอื่น เศร้าและทุกข์ใจเหลือแสน
เกริกกับกรรณนรีเดินออกมาด้วยกัน กรรณนรีหน้าเศร้าเมื่อถามพ่อ
“ทำไมครอบครัวเราทุกข์จังพ่อ...เดี๋ยวก็มีเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่มีหยุด”
“เกิดเป็นคนก็ทุกข์กันไปทั้งนั้น เพียงแต่ทุกข์คนละแบบ แต่ถ้าเรามีสติจัดการกับความทุกข์ได้ ชีวิตมันก็ง่ายขึ้น...”
“ค่ะพ่อ...กาวจะพยายามตั้งสติ จะได้รับมือกับทุกอย่างได้…รับคนเดินผ่าน ถือช่อกุหลาบมาด้วย กาวอาเจียน”
“อุ๊ปส์” เอามือปิดปากทำท่าจะอาเจียน
“กาว...เป็นไรลูก”
“เหม็นกุหลาบ มวนๆ ท้อง คลื่นไส้ยังไงก็ไม่รู้ค่ะพ่อ”
“เหม็นกุหลาบ คลื่นไส้” เกริกมองจ้องหน้า “หรือกาวจะท้อง”
กรรณนรีกับเกริกมองหน้ากัน ตกใจ ระคนยินดี ลึกลงไปในสีหน้าเห็นแต่ความเสียใจ
เวลาเดียวกัน สรวงเดินเข้ามาในบ้านเมามายหมดสภาพ หน้าตาทรุดโทรม ไม่เป็นผู้เป็นคน ไม่ต้องล้มลงบนโซฟา ล้มลงนอนที่พื้นเลย สุดาที่เดินถือไม้เท้าขากระเผลกเข้ามา เดินไปประคองสรวงมองอย่างเป็นห่วงเป็นใย
“ตาสรวง”
อารักษ์พูดเบาๆ เป็นเชิงตำหนิสุดาที่ทำให้ลูกต้องเป็นอย่างนี้
“หลายเดือนมาแล้ว ตั้งแต่เลิกกับกาวไป ที่ลูกมีสภาพ อย่างนี้ คุณไม่เห็นใจลูกเหรอ”
สุดานิ่งอึ้ง อารักษ์พูดต่อ
“ผมสงสารลูก เห็นใจลูก และผมก็ได้แต่โทษตัวเอง ทุกอย่างมันเกิดเพราะผม...เป็นเพราะผมคนเดียว”
สุดาพูดเสียงหม่น ดวงตาเจ็บปวด “ใช่...เพราะคุณคนเดียว และเราควรสิ้นสุดกันซักที”
“แปลว่า...”
“ที่ผ่านมาฉันทรมานมาก เพราะฉันยึดติด ฉันคิดว่าฉันเป็นเจ้าของคุณ..แต่ถึงตอนนี้...ฉันไม่ต้องการอีกแล้ว ฉันอยากปล่อยวาง ฉันอยากหย่าขาดจากคุณ”
อารักษ์มองนิ่งๆ เข้าใจและรับได้ “ได้..ผมจะทำตามที่คุณหญิงต้องการ... แต่ผมขอร้อง ....คุณ
เห็นแก่ลูกเถอะนะคุณหญิง ลูกรักกรรณนรี”
สุดาสะเทือนใจมองสรวงน้ำตาไหลริน
สรวงนอนอยู่บนเตียง สุดานั่งข้างๆ ลูบหน้าลูบตาให้ เหมือนสรวงเป็นเด็กในวัยเยาว์ กรรณนรีทำดีกับสุดา อารักษ์ ผมขอร้อง...คุณเห็นแก่ลูกเถอะนะคุณหญิง ลูกรักกรรณนรี
สุดาน้ำตาไหลมองสรวงเวทนา
อารักษ์และสุดาตัดสินใจเซ็นใบหย่ากัน สรวงมองภาพตรงหน้าท่าทางนิ่งเฉย แต่ดวงตา
เศร้าซึมร้าวราน เจ้าหน้าที่บอก
“นับจากวันนี้ท่านกับคุณหญิงเป็นอิสระต่อกัน”
“ขอบคุณมากครับ”
เจ้าหน้าที่เดินออกไป อารักษ์หันบอกสรวง
“พ่อจะไปอยู่บ้านพักตากอากาศ ฝากดูแลแม่ด้วยนะสรวง...”
“ครับ คุณพ่อดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
อารักษ์หิ้วกระเป๋าเดินออกไป สุดามองตามน้ำตาคลอ แต่ดวงตาเด็ดเดี่ยว
“จบสิ้นกันซักที”
สรวงได้แต่จับมือสุดาให้กำลังใจ แต่ดวงตาของสรวงหมอง
วันต่อมาที่ออฟฟิศสตาร์อินเทรนด์ จ๋าถามนิคอย่างตกใจ
“อะไรนะ นิคจะลาออก”
มะยมที่ทำงานอยู่หันขวับไปมอง เห็นนิคยื่นซองขาวให้จ๋า
นิคฝืนยิ้ม “อยากพักน่ะครับพี่จ๋า ไว้ผมสบายใจ ผมจะมาของานพี่จ๋าทำใหม่นะครับ”
นิคยกมือไหว้ลาจ๋าแล้วเดินออกไปโดยไม่หันมองมะยม มะยมรีบตามนิคออกไป
เสร็จธุระนิคจะเดินออกนอกออฟฟิศ มะยมวิ่งตามโพล่งถาม
“ที่แกลาออกเป็นเพราะฉันใช่มั้ย”
นิคเงียบ มะยมร้องไห้
“แกก็เป็นอย่างนี้ มีอะไรไม่เคยพูด ไม่เคยบอก”
นิคสวนคำ “แล้วถ้าฉันบอกว่าฉันรักแก...แกจะฟังมั้ย”
มะยมอึ้งตะลึงงัน “นิค...”
นิคจ้องหน้าเขม็ง “เห็นมั้ย...แกก็ไม่เชื่อ แกก็ไม่ฟัง เพราะที่ผ่านมาแกไม่เคยมีฉันในสายตา”
“แกก็เป็นอย่างนี้ ชอบคิดเองเออเอง” มะยมชักฉุน
นิคหันมามองมะยม มะยมถาม
“แกไม่เคยสงสัยเลยเหรอว่าทำไมฉันถึงไม่รับรักคุณนพซักที...” มองหน้าสู้สายตานิค ก่อนจะพูดออกมา “เพราะฉันรักแกไง”
นิคมองมาอย่างตื่นเต้นและดีใจ “มะยม”
มะยมพูดเสียงแผ่วๆ ในอาการน้อยใจแกมงอน “แต่แกก็ไม่เคยบอกฉันซักที”
นิควิ่งมากอดมะยม พูดรัวเร็ว “ฉันก็บอกแกอยู่เดี๋ยวนี้ไงมะยม ฉันรักแกๆ เราแต่งงานกันนะมะยม”
มะยมยิ้มทั้งน้ำตา ขำท่าทีลุกลี้ลุกลนด้วยอาการดีใจของนิค
โปรดติดตาม "ไฟมาร" ตอนต่อไป เวลา 17.00 น.
ไฟมาร ตอนที่ 20 อวสาน (ต่อ)
ไม่นานต่อมา ขณะที่กรรณนรีเลี้ยงน้อง ลูกสาวภาพิศอยู่ หันมาถามนิคกับมะยมที่แวะมาเยี่ยมและบอกข่าวอย่างตกใจระคนดีใจ
“อะไรนะ? แกสองคนจะแต่งงานกัน...เร็วปานสายฟ้าฟาด”
“ก็ฉันกับมะยมอยากมีเล็กๆ เหมือนยัยหนูนี่...” นิคบอกท่าทีเก้อๆ เขินๆ ขณะเล่นกับเด็ก “น้องแกน่ารักจัง...ปากนิด จมูกหน่อย...เหมือนคุณภาพิศเลย”
มะยมถามอย่างห่วงใยเพื่อน “ตกลง...แกไม่คืนดีกับคุณสรวงจริงๆ เหรอ”
กรรณนรียิ้มส่ายหน้าน้อยๆ “ต่างคนต่างไปดีแล้ว เรื่องจะได้จบๆ ซักที แล้วจะแต่ง
เมื่อไหร่?”
“เร็วๆ นี้แหละ แต่ก็คงแค่ จดทะเบียน มีงานเลี้ยงเล็กๆ ไม่ได้มีงานใหญ่โตอะไรหรอก”
กรรณนรียิ้มบอกเสียงขื่นขม “ไม่ต้องมีงานใหญ่แหละดีแล้ว...เดี๋ยวเหมือนฉัน พังทั้งสองงาน”
มะยมกับนิคยิ้มเฝื่อน นิคถามถึงกาวินทร์
“เออ...แล้วพี่แก้วล่ะ”
กาวินทร์ที่สองคนถามถึงนอนป่วยหนัก ร่างกายทรุดโทรม หมดสภาพ โดยมีเกริกนั่งดูแลอยู่ในห้อง ท่าทางกลุ้มใจ
หลายวันต่อมากรรณนรีตัดสินใจมาหา มาลินีที่รีสอร์ท และเจอตัวพอดีกรรณนรีร้องทัก
“พี่มด”
“มาถึงนี่..มีอะไรเหรอกาว” มาลินีถามเสียงเรียบ
สองคนเดินคุยกันมา กรรณนรีเอ่ยขึ้น
“พี่แก้วป่วยหนัก”
มาลินีบอกเสียงเรียบท่าทีนิ่งๆ เช่นเคย “พี่เสียใจด้วย”
“พี่มดจะไม่ถามเลยเหรอว่าพี่แก้วเป็นอะไร”
“จะเป็นอะไร..พี่ก็เอาใจช่วยให้พี่แก้วหายป่วยไวๆ อยู่ดี”
“พี่มดเหมือนคนใจอ่อน แต่จริงๆแล้วพี่มดใจแข็งที่สุด....ที่พี่แก้วป่วย..เพราะพี่แก้วกินเหล้าหนัก พี่แก้วคิดถึงพี่มด คิดถึงลูก...”
มาลินีอึ้งกับเรื่องที่ได้ฟัง คาดไม่ถึง สะเทือนใจ เสียใจ กรรณนรีบอกต่อเป็นเชิงขอร้อง
“จริงค่ะ..ที่ผ่านมาพี่แก้วทำร้ายพี่มด จนพี่มดรู้สึกเข็ด รู้สึกกลัว...แต่ตอนนี้พี่มดไม่ได้ตัวคนเดียวนะคะ...พี่มดมีลูก และในเมื่อพ่อเค้าต้องการลูก...พี่มดจะมาตัดสินแทนลูกทำไม ให้ลูกได้มีพ่อเถอะนะคะพี่มด กาวขอร้อง”
มาลินีนิ่งงันไป
คืนนั้นมาลินีครุ่นคิดหนัก เสียงกรรณนรีดังก้อง
“พี่มดให้โอกาสพี่แก้ว ให้โอกาสตัวเองเถอะนะคะ...อย่าให้ลูกเกิดมา ขาดพ่อเลย”
มาลินีเอามือลูบท้อง ตัดสินใจแล้ว
เช้าวันนี้กรรณนรีอยู่ในชุดคุลมท้องเก๋ๆ ประคองกาวินทร์เดินออกกำลังกายด้วยกันสองพี่น้องที่สนามหน้าบ้าน
“น่าพยายามออกกำลังกายหน่อยพี่แก้ว จะได้แข็งแรงเร็วๆ”
“พี่ไม่รู้จะแข็งแรงไปทำไม? ลูกก็ไม่มี เมียก็ไม่มี” กาวินทร์พูดออกมาอย่างทดท้อ
ระหว่างนั้นมาลินีเดินท้องโตเข้ามา
“แล้วยืนอยู่ที่นี่ล่ะคะ ใคร”
กาวินทร์ตะลึง “มด”
กรรณนรียิ้มกว้าง “พี่มด”
มาลินีคลี่ยิ้มเดินมาหากาวินทร์ พูดสัพยอก “พ่อขี้เมาแบบนี้ จะเป็นตัวอย่างตัวอย่างที่ดีให้ลูกได้ยังไง”
“ถ้ามีมด มีลูก พี่จะไม่แตะมันอีกแล้ว” กาวินทร์ให้คำมั่น
“ค่ะ...นับตั้งแต่วันนี้พี่แก้วห้ามแตะเหล้าอีกนะคะ ไม่งั้นมดเอาตาย” มาลินีพูดทีเล่นทีจริง
กาวินทร์โผเข้ากอดมาลินีแนบแน่นด้วยความรู้สึกผิดระคนคิดถึง “มดให้อภัยพี่แล้วใช่มั้ย ขอบใจมากมด ขอบใจ”
กาวินทร์กอดมาลินีแน่นขึ้นอีก แววตาหมายมั่น จะไม่ยอมปล่อยผู้หญิงคนนี้ไปอีกแล้ว
กรรณนรีมองภาพครอบครัวน้อยๆ ตรงหน้า ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ในจังหวะที่ภรตเดินเข้ามาพอดี
สักครู่ต่อมา สองคนเดินเล่นอยู่ที่หน้าบ้าน คุยถามไถ่สารทุกข์กันไปมา
“พี่กลับไปเรียนไม่กี่เดือน กาวดูสมบูรณ์ขึ้นนะ”
กรรณนรีเขินยิ้มหลบตา “ก็..นิดหน่อยค่ะ”
“ไม่นิดนะ....ดูไปดูมา..ก็เหมือนกาว...ท้อง”
กรรณนรีนิ่ง อึ้งไปทันที ภรตถามต่อ
“นี่กาวท้องใช่มั้ย?...กาวท้อง ลูกคุณสรวง”
กรรณนรีนิ่งอึ้งไม่ตอบ น้ำตาคลอเบ้า
ในเวลาต่อมาสรวงหันมาถามภรตที่แวะมาหาที่บ้านอย่างตกใจ
“อะไรนะ กาวท้อง”
สุดายืนใช้ไม้เท้าช่วยเดินออกมา ได้ยินเข้าพอดี ขณะที่ภรตตอบชัดเจน
“ใช่! กาวท้อง ลูกของคุณ”
สรวงนิ่งอึ้ง ภรตพูดต่อ
“ถ้าผมเป็นพ่อ ผมจะไม่ปล่อยให้ลูกเมียผมอยู่อย่างโดดเดี่ยว...ผมจะต่อสู้ทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่กับพวกเค้า...และผมก็หวังว่าคุณจะเป็นเหมือนกัน”
สรวงนิ่งอึ้งไม่รู้จะทำอย่างไร ภรตมองสรวงเสียความรู้สึก เดินออกไป สรวงหันมาเห็นสุดา
“สรวงคงจะคิดว่าแม่ใจจืดใจดำ” น้ำตาไหลพราก “ไม่เลยนะลูก...แม่อยากมีหลาน อยากเป็นย่า อยากอุ้มลูกของสรวง...กรรณนรีไม่น่าเกิดมาเป็นลูกภาพิศเลย”
สุดาร่ำไห้ สรวงยืนนิ่งสงสารชะตาตัวเอง คิดถึงลูกที่กำลังจะลืมตามาดูโลก คิดถึงกรรณนรีใจจะขาด แต่ยอมตัดใจเดินไปกอดปลอบสุดา
คืนนั้น ภาพิศซึ่งอยู่ในอาการสงบมากขึ้น ประนมมือไหว้หลวงพี่ของวัดป่าแห่งนั้น
“มาวัดครั้งนี้ ท่าทางโยมสงบขึ้น”
“ฉันมีความตั้งใจมาบวช” ภาพิศเอ่ยอย่างอ่อนน้อม
“ยินดีด้วย” หลวงพี่มองหน้าภาพิศพร้อมกับเตือนสติ “เพราะถ้าเธอมาบวชเพื่อต้องการหนีปัญหา การบวชจะไม่ช่วยอะไร”
หลวงพี่มองหน้าภาพิศเหมือนรู้ ภาพิศหลบตา ซ่อนหน้าบอกเสียงแผ่ว
“ฉันตั้งใจมาบวชจริงๆค่ะ”
“ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็มา ขอให้เจริญในธรรม”
หลวงพี่เดินจากไป ภาพิศยังคงนั่งประนมมือไหว้อยู่ กวาดสายตามองที่โบสถ์ หวังว่าที่แห่งนี้จะเป็นเรือนตายแห่งตนได้
วันหนึ่ง เกริกถามภาพิศอย่างไม่เชื่อสายตา
“ภาจะบวช” เป็นครั้งแรกที่เกริกเรียกนุดีในชื่อภาพิศ
“จ้ะพี่ ฉันจะบวช ฉันมาขออโหสิกรรม” ภาพิศยกมือไหว้
เกริกรับไหว้มองนิ่งๆ นึกขึ้นได้ “แล้วคดี”
ภาพิศนิ่งเงียบ เกริกมองระอา เปลี่ยนเป็นพูด
“พี่ขออนุโมทนาด้วย แก้ว กาว กราบอโหสิกรรมแม่”
สองพี่น้องมองหน้ากัน ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งลงกับพื้น น้ำตาคลอทั้งคู่
“กาวรักแม่..”
“แก้วก็รักแม่”
ภาพิศตื้นตัน ร้องไห้โฮออกมา เป็นครั้งแรกที่ได้ยินลูกเรียกตนว่าแม่
“ลูกเรียกแม่...ลูกยอมรับแม่แล้วเหรอ”
“เพราะแม่ คือแม่ของกาว” กรรณนรีว่า
“แม่คือแม่ของเรา” กาวินทร์บอก
ภาพิศสะอึกสะอื้น “แก้ว...กาว แม่รักลูก แม่รักลูก”
สองพี่น้องโผเข้าหาแม่ ภาพิศกอดทั้งคู่แน่นร้องไห้
“แก้วขอโทษที่เคยทำไม่ดีกับแม่....แม่อหิกรรมให้แม่นะครับ” กาวินทร์เอ่ยขึ้นทั้งน้ำตาขณะผละตัวออกมา
“อโหสิกรรมให้กาวด้วย”
สองคนก้มลงกราบแทบเท้าภาพิศละทิ้งความน้อยใจ เสียใจที่เคยมีแต่หนหลังจนสิ้น ภาพิศร้องไห้เอามือลูบหัวลูบตัวลูกอย่างปลื้มปีติ เกริกมองภาพตรงหน้าน้ำตาคลอด้วยความตื้นตัน ก่อนจะพูดถามเสียงนิ่งๆ
“แล้วบอกทางโน้นรึยัง”
สุดาจดสายตามองจ้องภาพิศที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้า ด้วยแววตาเหยียดหยาม
“จะบวช?....” เหยียดริมฝีปากเยาะหยันอีก “บวชเพื่อเอาผ้าขาวบังหน้าว่างั้น”
ภาพิศบอกด้วยท่าทีสงบนิ่ง “สิ่งที่ฉันเคยทำมา มีสิทธิ์ที่คุณหญิงจะคิดอย่างนั้น แต่ฉันตั้งใจจริงๆ ที่จะมาขออโหสิกรรมกับคุณหญิง”
สุดามองตาวาววับ เต็มไปด้วยความเกลียดชัง “จะไปตายไหนก็ไป”
วงหน้าภาพิศนิ่ง ดวงตาลุแก่โทษ “ถ้าคุณหญิงไม่อโหสิกรรมให้ ใจฉันคงไม่สงบ”
สุดามองภาพิศอย่างไม่เชื่อสายตา ภาพิศทรุดตัวลงนั่งกับพื้นพูดต่อน้ำเสียงจริงจัง จริงใจ
“การที่ฉันตั้งใจบวช เพราะเป็นสิ่งดีๆ เพียงสิ่งเดียว ที่ฉันจะทำให้คุณหญิงได้”
“ถ้าเธออยากทำให้ฉันจริงๆ เธอทำได้มากกว่านี้ภาพิศ”
ภาพิศมองสุดา สีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม สุดายิ้มเยาะ พูดเสียงเหี้ยม เหยียดหยามเยาะหยัน พร้อมกับยื่นเท้ามาตรงหน้าภาพิศ
“กราบเท้าฉันสิ เธอกราบเท้าฉันสิ”
“ฉันขออโหสิกรรมค่ะ”
พูดจบภาพิศก็ก้มลงกราบแทบเท้าคุณหญิงบ้านใหญ่ สุดามองเขม็ง ร้อยไม่เชื่อพันไม่เชื่อ สายตายังเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ภาพิศเงยหน้าขึ้นมองอ้อนวอน
“คุณหญิงอโหสิกรรมให้ฉันนะคะ”
ภาพิศจะถอนมือออก เท้าของสุดาเหยียบเข้าที่มือของภาพิศอย่างแรง ภาพิศเจ็บปวดจนน้ำตาไหล แต่ไม่สู้ ขณะที่สุดามองภาพิศ เตรียมรับมือ เพราะคิดว่าภาพิศต้องทำอะไรแน่ๆ ภาพิศดึงมือออกจับที่ข้อเท้า ขณะเงยหน้าบอกเสียงอ่อนโยนใบหน้านองน้ำตา
“ฉันยอมคุณหญิงทุกอย่างค่ะ ขอเพียงแค่คุณหญิงอโหสิกรรมให้แก่ฉัน”
สุดาอึ้ง จ้องตาภาพิศ สัมผัสเห็นถึงความจริงใจ และยอมแล้วทุกอย่าง
“เธอยอมฉันจริงๆ..?” สุดารำพึง
“ที่ผ่านมาฉันเป็นไฟที่เข้ามาเผาคุณหญิงจริงๆ ค่ะ ถึงวันนี้ฉันสำนึกผิดแล้ว ขอเพียงให้คุณหญิงให้อภัย”
สุดากับภาพิศมองหน้ากัน สรวงเดินเข้ามา เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็ตกใจ กลัวว่าจะมีเรื่องอะไรอีก สุดาน้ำตาไหล ขยับเท้าออกจากมือภาพิศ
“ฉันอภัยให้เธอ แต่ไม่ใช่เพื่อเธอ....ฉันทำเพื่อสรวง....เพราะฉันรู้” เสียงแผ่วเบา “สรวงรักกรรณนรี”
สรวงนิ่งงัน น้ำตาลูกผู้ชายไหลริน ร้องไห้ออกมารู้ซึ้งถึงความรักของแม่ที่มีต่อตน
“ขอบคุณค่ะคุณหญิง ขอบคุณ”
สุดาร้องไห้มองหน้าภาพิศ ดวงหน้าของสุดายามนี้ดูออกว่าโล่งใจที่ ละทิ้งความแค้น อาฆาต และพยาบาท ปลดปล่อยทุกข์ทั้งผองออกจากใจไปได้ บอกด้วยน้ำเสียงจริงใจในท่าทีนิ่งๆ
“ขอให้เธอได้ทำในสิ่งที่เธอตั้งใจ ผ้าขาวจะได้สะอาดจริงๆ ฉันอนุโมทนาด้วยภาพิศ”
ภาพิศก้มลง กอดข้อเท้าของสุดาเอาไว้ ร้องไห้ปานจะขาดใจ สรวงมองภาพตรงหน้าอย่างเต็มตื้น
อารักษ์อยู่ที่บ้านพักตากอากาศ ร่างกายผ่ายผอมทรุดโทรมลง ตามเนื้อตามตัวมีรอยจ้ำๆ เป็นจุดสีดำอาการของคนเป็นเอดส์ ตอบสรวงที่มาแจ้งข่าวเรื่องภาพิศนิ่งๆ
“ไว้วันภาพิศบวช พ่อจะไปร่วมอนุโมทนาด้วย”
“คุณภาพิศคงยินดี”
อารักษ์ไม่ตอบ เดินเก็บจานชาม ออกไปห่างสรวง สรวงมองตามเนื้อตัวอารักษ์ห่วง
“คุณพ่อน่าจะกลับไปอยู่บ้านนะครับ ที่นี่ท่าจะยุงเยอะ กัดคุณพ่อจนลายหมดเลย...”
อารักษ์นิ่ง ไอโขลกๆ เป็นระยะ
“ตกลงคุณพ่อเป็นอะไรครับ ถึงไม่หายซักที” สรวงสงสัย
อารักษ์ไม่ตอบ เปิดตู้เย็นยื่นขวดน้ำให้สรวง
“ดื่มน้ำก่อนลูก”
สรวงจะหยิบขวดน้ำเทใส่แก้ว อารักษ์รีบห้ามดึงแก้วคืน
“อย่าสรวง ดื่มในขวดเลย”
สรวงมองอย่างสงสัยมากขึ้น “ทำไมครับ”
อารักษ์นิ่ง สรวงมองแก้ว มองจุด จ้ำ ตามเนื้อตามตัวบิดา ใจเต้นรัว
“อย่าบอกนะครับว่าพ่อเป็น....”
อารักษ์ตัดสินใจบอกลูกชาย “พ่อเป็นเอดส์สรวง...พ่อเป็นเอดส์”
สรวงใจหล่นวูบ “คุณพ่อ”
อารักษ์ร่ำไห้ “สมควรแล้วกับบาปกรรมที่พ่อก่อ อย่ามายุ่งกับพ่ออีกเลยสรวง”
สรวงโผเข้ากอดอารักษ์แน่น ไม่ได้มีความรังเกียจแม้สักน้อย “ยังไงพ่อก็เป็นพ่อผม...ผมรักพ่อ ได้ยินมั้ยครับ ไม่ว่ายังไงพ่อก็เป็นพ่อผม พ่อรักษาตัวได้”
อารักษ์ส่ายหน้าเชิงปฏิเสธ สรวงดุ
“พ่อต้องรักษาตัว”
สรวงกอดอารักษ์แน่น สองพ่อลูกกอดคอกันร้องไห้
คืนนั้นกรรณนรียืนลูบท้องตัวเอง แหงนหน้ามองท้องฟ้า เกริกเดินออกมากอดปลอบกรรณนรีขณะถาม
“คิดอะไรอยู่ลูก คิดถึงคุณสรวง”
“คิดถึงก็ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะพ่อ ยังไงชีวิตของกาวกับคุณสรวงก็เป็นเส้นขนานที่ไม่มีวันมาบรรจบกันได้”
เกริกต่อคำให้ “แต่ก็เคียงข้างกันตลอด”
“ค่ะ กาวถึงเพิ่งเข้าใจแม่...แม่มีเหตุผลของแม่ กาวก็มีเหตุผลของกาว ที่จะไม่พาลูกกลับไปหาคุณสรวง...”
สุดาเดินด้วยไม้เท้าเข้ามา
“แล้วถ้าฉันขอร้อง ให้เธอกับลูกกลับไปหาตาสรวงล่ะ”
เกริกกับกรรณนรีเหลียวขวับไปมอง อุทานพร้อมๆ กัน
“คุณหญิง”
“กลับไปอยู่เป็นครอบครัวเดียวกัน....อนุโมทนาบุญให้ภาพิศด้วยกัน”
สองพ่อลูกมองสุดาอย่างตื่นตะลึง
เวลาผ่านไปอีก ตัวละครอารักษ์ สุดา ภาพิศ สรวง แก้ว กาว เกริก พร้อม พิไล แฉล้ม มด มะยม นิค
วันนี้ภาพิศอยู่ในชุดขาวพิสุทธิ์นั่งพับเพียบอยู่ที่พื้น ประนมมือ โดยมีผู้คนในชีวิตอยู่รายรอบตัว สายตาที่มองมีความอนุโมทนายินดี พร้อม พิไล น้ำตาไหล ปลื้มอกปลื้มใจล้นพ้น พร้อมหยิบมีดโกนที่เตรียมไว้ในพานดอกไม้ปลงผมให้ภาพิศเป็นคนแรก กรรณนรีนั่งถือใบบัวคอยรองรับผม พร้อมยื่นมีดโกนให้พิไล ปลงผมต่อ
“นุดี อโหสิกรรมให้แม่ด้วยนะ บางสิ่งบางอย่างที่แม่สอนลูกไม่ดี” พิไลน้ำตารื้น
“ลูกอโหสิกรรม เพราะลูกรู้ว่ามันคือความปรารถนาดี เหมือนที่ลูกทำกับแก้ว กาว ทั้งๆ ที่บางครั้งมันก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง” ภาพิศพูดพลางหันมามองหน้าสองพี่น้อง “แม่อยากให้แก้วกับกาวอโหสิกรรมให้แม่”
กาวินทร์กับกรรณนรี น้ำตาคลอเบ้า ทั้งปลื้มใจ และตื้นตัน กรรณนรีวางใบบัวลง สองพี่น้องก้มลงกราบภาพิศอีกครั้ง ภาพิศยิ้มปลื้มปิติ
“อโหสิกรรมให้ฉันนะคุณแฉล้ม กัลยาณมิตรที่ดีที่สุดของฉัน”
แฉล้มนั่งรถเข็นเข้ามา โดยมีมะยม นิคช่วยเข็น ยิ้มให้ภาพิศ
“ฉันขออนุโมทนาบุญด้วย”
สุดาบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ขอให้เธอได้ทำในสิ่งที่เธอตั้งใจทำให้สำเร็จ ฉันอโหสิกรรมให้เธอและขอให้เธออโหสิกรรมให้ฉันด้วย”
ภาพิศยิ้มละไมขณะที่มือของพิไลปลงผมไปเรื่อยๆ เส้นผมของภาพิศร่วงหล่นลงยังใบบัวที่วางอยู่บนพื้น
เวลาต่อมาพระสงฆ์ห้ารูปนั่งอยู่ในโบสถ์ของวัดป่าแห่งนั้น ด้านหลังคือพระประธานพระพักตร์สวยงาม พร้อมกับพิไลเดินนำภาพิศในชุดขาวที่ปลงผมเรียบร้อย ถือพานบูชาพร้อมดอกบัวเดินเข้าไป มี กรรรณรี กาวินทร์ ถือพานธูปเทียนเดินตามหลังภาพิศ ตามด้วยคนอื่นๆ มะยม-นิค ช่วยกันเข็น
รถของแฉล้ม สรวงประคองสุดาที่ยังใช้ไม้เท้าค้ำช่วยเดินตามมา ทุกคนนั่งพับเพียบลงต่อหน้าคณะสงฆ์
“นำเครื่องสักการะ เตรียมบูชาพระรัตนตรัย แล้วโยมจะได้รับไตรสรณะคมสมาทานศีล 8 หรือยัง” หลวงพี่ที่เป็นพระอุปัชฌาเอ่ยขึ้น
“ดิฉันพร้อมแล้วค่ะ”
กาวินทร์ กับกรรณนรียื่นเครื่องสักการะให้ ภาพิศรับพานไปวางหน้าโต๊ะหมู่บูชาในพิธี
แล้วก้มลงกราบ 3 ครั้ง ทุกคนก้มลงกราบ
ระหว่างนั้นตำรวจในเครื่องแบบ 3 นายเดินเข้ามา 1 ใน นั้น เอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
“ผมขอคัดค้านการบวช เพราะคุณภาพิศมีคดีติดตัวมา”
อารักษ์หันขวับไปมอง ท่าทีตกใจมาก “ผมถอนแจ้งความตั้งนานแล้ว”
ตำรวจคนเดิมบอก “ตราบใดที่เป็นคดีอาญา ยอมความไม่ได้..จนท.ตำรวจต้องทำตามกฎหมาย”
ทุกคนตะลึง รวมทั้งภาพิศ คณะสงฆ์มองหน้าภาพิศ
“กรรมหนัก ถึงตั้งใจจะบวชแต่ก็ไม่ได้บวช ขอให้โยมไปรับโทษทางโลก แต่ไม่ว่าจะอยู่ไหน ถ้าใจตั้งมั่นที่จะทำความดี ก็ทำได้โยมภาพิศ”
หลวงพี่ที่เป็นประธานลุกเดินออกไป แสดงให้เห็นถึงการไม่รับบวช พระรูปอื่นที่เหลือลุกเดินตามออกไปด้วยท่าทางนิ่งสงบ กรรณนรีกับกาวินทร์ร่ำไห้ สรวงจับมือกรรณนรีแน่น ภาพิศร้องไห้โฮ
“แม่...”
“ทุกคนให้อภัยแม่...แต่กรรมที่ทำ มันลบไม่ได้จริงๆ...แม่ยินดีที่จะรับกรรม”
พูดจบภาพิศเดินไปเข้าหาตำรวจ พร้อมกับยื่นสองมือให้ ตำรวจใส่กุญแจมือภาพิศที่สีหน้านิ่งสงบ แล้วควบคุมตัวออกไป กรรณนรี กับกาวินทร์ร้องไห้โฮวิ่งตามมา ขณะที่สุดาบอกด้วยเสียอ่อนโยน
“ไม่ต้องห่วงนะภาพิศ...ฉันจะดูลูกหลานของเราเอง”
ภาพิศหันมายิ้มให้สุดา เป็นรอยยิ้มที่จริงใจมากที่สุดที่ผู้หญิงสองคนมีให้แก่กัน ก่อนที่ภาพิศจะหันตัวเดินออกไปกับตำรวจ คนอื่นๆ มองภาพตรงหน้าด้วยความสลดหดหู่ใจ
หลายปีผ่านไป อารักษ์ที่ตอนนี้ดูมีสุขภาพแข็งแรง จูงมือเด็กหญิงอายุ ประมาณ 5 - 6 ขวบ ลูกสาวที่เกิดกับภาพิศเดินเล่นกันอยู่ในสวนสวย ตอนยามเย็น
“ไง..ยัยหนูลูกพ่อ...ชอบมั้ย”
“ชอบค่ะคุณพ่อ”
ระหว่างนั้นสุดาเดินด้วยไม้เท้าเข้ามาจากอีกมุมหนึ่ง มองไปยังสวนสวยเบื้องหน้า ก่อนจะเห็นลูกหมาชิสุห์สีขาววิ่งเล่นอยู่กับเด็กหญิงตัวน้อยวัยสามสี่ขวบอีกคนหนึ่ง สุดาร้องเรียกใบหน้าแย้มยิ้ม
“ยาหยีมาหาย่ามาลูก”
เด็กหญิงหน้าตาน่ารักชื่อยาหยีวิ่งเข้ามาหาสุดา ครู่ต่อมาเกริกเดินมาอีกมุมหนึ่งเรียกไว้
“มาหาตาดีกว่ายาหยี”
“มาหาย่าลูก”
“มาหาตาดีกว่าลูก”
ตากับย่าแย่งกัน จนอารักษ์ที่อุ้มลูกสาวอยู่บอก
“มาหาปู่ดีกว่า”
เด็กหญิงยาหยีมองตาแป๋ว ไม่รู้จะไปหาใครดี สรวงจูงมือกรรณนรีเดินเคียงกันเข้ามาหัวเราะ
“มาหาแม่ดีกว่าลูก” พร้อมกับยื่นมือรับลูก
“มะ..ยาหยี มาให้พ่อชื่นใจหน่อยลูกพ่อ”
ยาหยีวิ่งมาหากรรณนรีและสรวง กรรณรีอุ้มลูกสาวไว้พลางหอมแก้มอย่างชื่นใจ
“ยาหยีของแม่หอมที่สุดเลย”
สรวงยื่นหน้ามาหอมลูก “จริงด้วย ยาหยีหอมที่สุดเลย” สรวงหันมาหอมกรรณนรีอีกฟอด “แม่ก็หอม”
กรรณนรีหัวเราะเขิน สรวงกอดเอาไว้
ระหว่างนั้นกาวินทร์กับมาลินี เดินเคียงกันมา พร้อมกับจูงมือลูกสาววัยสี่ขวบเข้ามาหา
“อะไรกันคุณสรวง..ลูกโตจนป่านนี้ ยังสวีทกันอีก” กาวินทร์แซว
มะยมกับนิคอุ้มลูกหมาชิสุห์เข้ามา มะยมกระเซ้า
“ยังงี้สงสัยต้องมีอีกคน....”
“แกน่ะแหละ นิค มะยม มีได้แล้ว” กรรณนรีเย้า นิคกับมะยมแต่งงานกันแล้ว
“น้ำยาฉัน สู้น้ำยาคุณสรวงไม่ได้” นิคบ่น
สรวงหัวเราะร่ากอดกรรณนรียืนยัน “อันนี้จริง....เพราะในท้อง กาวมีอีกสอง”
มะยมตาโตร้องลั่น “ลูกแฝด”
สรวงพยักหน้ายิ้มตาหยี “ฮื่อ! ลูกแฝด”
นิคหัวเราะขำคิกคัก พูดปลงๆ “น้ำยาคุณสรวง แรงจริงๆ เลย”
ทุกคนหัวเราะกันสนั่นอย่างมีความสุข อารักษ์มองภาพตรงหน้าอย่างปลื้มปีติ ยิ่งเมื่อเห็นสุดากอดสรวงกับกรรณนรีและยาหยีเอาไว้ ชายกลางคนถึงกับรำพึงกับตัวเองออกมา
“ไฟมาร...ดับได้ด้วยไฟแห่งความรัก....จริงๆ”
สรวงสวมกอดกรรณนรี และเด็กหญิงยาหยี ทุกคนยิ้มแย้มให้กัน มีแต่ความสุขฉาบทาไปทั่วสวนสวยในยามเย็นวันนั้น
จบบริบูรณ์
โปรดติดตาม "ดุจตะวันดั่งภูผา" เริ่ม 8 พ.ย. นี้