xs
xsm
sm
md
lg

ดุจตะวันดั่งภูผา ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ดุจตะวันดั่งภูผา ตอนที่ 1

 
กลางหุบเขาในป่าลึก พวกกองทัพขนยาเสพติดของกระเหรี่ยงตั้งแคมป์อยู่ในแอ่งของหุบเขา มีเต็นท์ใหญ่ซึ่งเป็นเต็นท์อำนวยการและเก็บยาเสพติด มีทหารประมาณ 18 คนรวมทั้งหัวหน้าด้วย
 
ทั้งหมดกำลังเตรียมตัวเก็บของออกเดินทางต่อ มีม้าพื้นเมือง 3 ตัว มีลังและข้าวของวางพอที่จะเป็นที่หลบและกำบังตัวได้ มีรถจี๊ปจอดอยู่ มีราวตากผ้าตากผ้าเต็นท์ผืนใหญ่

ขณะนั้นผู้พันฌอน ไท และทีมทหารรับจ้าง 5 คน ค่อยๆ ซุ่มเดินมาตามป่าอย่างระมัดระวัง
“นี่เป็นภาระกิจสำคัญ ทุกคนจำไว้ว่า เราต้องการจับหัวหน้าของพวกมันเป็นๆ ค่าหัว 4 ล้าน ส่วนยาเสพติดที่จับได้ รัฐบาลจะจ่ายให้ 10 เปอร์เซ็นต์ของราคาที่ขายในท้องตลาด”
ทั้งหมดเดินมาถึงหน้าผาเตี้ยๆ ด้านล่างเป็นแอ่งเห็นว่ามีชายประมาณ 18 คนกำลังบรรจุยาเสพติดใส่หลังม้าพื้นเมืองและกำลังจะออกเดินทาง บางคนกำลังเก็บเต็นท์ มีหัวหน้าคอยสั่งการ
“นั่น หัวหน้ามัน ทำตามแผนที่วางไว้ จ่าเค นายลงไปแล้วลอบเข้าไปวางระเบิดตามจุดสำคัญ หมวดหม่องนายคุมไปทางด้านโน้น ฉันกับเอี่ยวจะไปทางนี้ พอจ่าเควางระเบิดเสร็จให้กลับมาสมทบกับหมวดหม่อง แล้วฉันจะกดระเบิด เริ่มเข้าชาร์จเลย ไปอย่างเร็วและเงียบที่สุด ส่วนไท นายคอยซุ่มยิง ถ้าเห็นว่าเหตุการณ์ไม่ดีก็ให้เก็บทีละคน...เอาล่ะ ไปได้”
ทุกคนแยกกันไป ไทเตรียมปืนให้พร้อมแล้วเช็คระยะจากกล้องที่ติดปืน จ่าเคค่อยๆ วิ่งหลบไปตามลัง รถจี๊ป และราวตากผ้า แล้ววางระเบิด ตามส่วนต่างๆ เขาส่งสัญญาณหมวดหม่องรู้ ไทใช้กล้องจากปืนดูความเคลื่อนไหวเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ผู้พันฌอนกับเอี่ยวเคลื่อนตัวไปใกล้ที่ค่าย จ่าเคบุกเข้าไปใกล้อีก แต่มีฝ่ายกระเหรี่ยงคนหนึ่งมองเห็นแต่ไม่แน่ใจว่าเป็นอะไรจึงวิ่งมาดู แล้วใช้ปืนหมายจะยิงด้านหลังของจ่าเค ไทมองอยู่ในกล้อง เขาเก็บมันล้มลงทันที จ่าเครอดอย่างหวุดหวิด
จ่าเควางระเบิดหมดแล้วเขาส่งสัญญาณให้ทุกรู้กำลังจะเข้าโจมตี ทหารกระเหรี่ยงคนหนึ่งมาเห็นเพื่อนที่โดนยิงตายจึงร้องโวยวายให้ทุกคนรู้ หัวหน้ากระเหรี่ยงตื่นตัวแล้วสั่ง
“ระวังตัว คุ้มกันของด้วย”
ทหารทุกคนตื่นตัว ไทเก็บทหารคนที่โวยวายไปอีกคน ผู้พันฌอนตัดสินใจกดระเบิด ระเบิดสามจุดระเบิดขึ้น
ทหารกระเหรี่ยงแตกตื่น ฝูงม้าต่างตื่นร้องกันเสียงดัง
ผู้พันฌอนตัดสินใจยิงปืนเข้าใส่แล้วบุกเข้าชาร์จ หัวหน้ากระเหรี่ยงสั่งสู้ตาย และตอบโต้
“สู้ตาย สู้ตาย”
การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด ไทพยายามซุ่มยิงทีละคน แต่แล้วหัวหน้ารู้ตัวจึงสั่งปืนกลยิงมาทางไทแต่เขาหลบได้ทัน ฝ่ายกระเหรี่ยงเริ่มตั้งตัวได้และคุมสถานการณ์ไว้ได้ จากที่อยู่ในวงล้อมผู้พันฌอน บัดนี้พวกมันยิงทหารของผู้พันฌอนตายไปสองคน คงเหลือ ผู้พัน เอี่ยว และไท และตอนนี้ผู้พันฌอนกับเอี่ยวกำลังตกในวงล้อมของทหารกระเหรี่ยง
ไทลอบเข้ามาช่วยผู้พันฌอนซึ่งถูกยิงบาดเจ็บที่ขา ส่วนเอี่ยวยังไม่เป็นอะไร
“เอายังไงดีไท” ผู้พันฌอนถามไท
“เราล้อมมันไว้ดีไหม?” ไทประชด “ยังไงก็ต้องฝ่าออกไปครับ”
ไทพูดยังไม่ทันขาดคำก็มี จรวดRPG มาตกลงข้างๆ ร่างของไทลอยสติขาดลงในหัวมีแต่เสียงวิ้ง ไทพยายามเอื้อมมือไปหยิบแหวนที่คล้องกับสายสร้อยที่ขาดกระเด็นไปไม่ห่างนัก เขาเอื้อมมือจนถึงสายสร้อย

14 ปีที่แล้ว สายสร้อยเส้นเดียวกันสวมอยู่ที่คอของไทในวัย14 ปี ซึ่งนั่งอยู่ในรถบัสโดยสาร รถโดยสารวิ่งไปตามทางลาดชันของภูเขา มุ่งหน้าไปทางเขาใหญ่ที่สองข้างทางยังเป็นป่า
ไทกำลังเดินทางกลับบ้านหลังจากปิดภาคเรียน ไทหยิบการ์ดอวยพรวันเกิดออกมาดูมันเป็นวันเกิดของพ่อ ไทยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

ที่บ้านพักของเทอดพ่อของไท ซึ่งเป็นบ้านพักของกรมป่าไม้ที่ร่มรื่น ขณะนั้นแม่ของไทกำลังทำอาหารอยู่ในครัว
ที่หน้าบ้านมีจี๊ปแล่นมาจอดเทอดลงจากรถเดินตรงเข้าไปในครัวแล้วไปโอบหลังภรรยา
“วันนี้มีอะไรกินบ้างแม่”
“ดูเอาสิคะ”
เทอดดูที่โต๊ะเตรียมอาหารเห็นว่ามีอาหารหลายอย่างเขาสงสัย
“ทำไมวันนี้ทำเยอะจัง ดูไปนี่มันของโปรดของตาไททั้งนั้นเลยนี่”
แม่หันมาทำดุเล็กๆ
“นี่คุณจำไม่ได้หรือว่าโรงเรียนปิดเทอมแล้ว ลูกกลับบ้านวันนี้ไง”
“จริงสิ ตายผมนี่แย่จริงๆ ทำงานจนลืมเลยนะเนี่ย ไม่ได้แล้ววันนี้ต้องมีเซอร์ไพร์ให้เจ้าไทมันซะหน่อย”
“ไปอาบน้ำอาบท่าก่อนไป เดี๋ยวลูกมาถึงจะได้ทานข้าวกัน”
เทอดทำตามที่ภรรยาบอกเขาเดินออกไป เทอดเดินผ่านห้องรับแขกเห็นมีรูปถ่ายของเขาเป็นข้าราชการ รูปไท กับเทอดที่ถ่ายกันในป่าสองพ่อลูกถือปืนดูเท่ห์

ไทนั่งหลับอยู่ในรถขณะที่รถกำลังวิ่งไปเรื่อยๆ ส่วนเทอดเมื่อแต่งตัวเสร็จเทอดเดินมาข้างล่างที่ห้องรับแขกอย่างสดชื่น มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เทอดรับโทรศัพท์
“สวัสดีครับ ผมเทอดครับ”
อีกฝ่ายพูดอะไรบางอย่างทำให้เทอดหน้าซีดมือไม้สั่น ฝ่ายโน้นกรอกเสียงเข้ามาเป็นประโยคสุดท้ายแล้ววางสายลง
“นายไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ”
เทอดวางสายโทรศัพท์ลง เสียงภรรยาตะโกนบอกเทอด
“อาหารเสร็จแล้วนะคะพ่อ เดี๋ยวลูกคงมาถึงแล้วล่ะ”
“จ้ะ...งั้นพ่ออยู่ในห้องทำงานนะ”

เทอดค่อยๆ เดินไปที่ห้องทำงาน

เทอดทรุดนั่งลงที่โต๊ะทำงานสีหน้าซึมในสมองปั่นป่วน เขาวางกล่องไม้ใบสวยลงข้างๆ แล้วเขียนจดหมายสั้นๆ
เทอดเปิดกล่องไม้ใบสวยแล้วหยิบปืนบราวนิ่งกระบอกทองแกะลายสวยงามขึ้นมาลูบคลำ

เสียงปืนดังก้อง ฝูงนกแตกตื่น ขณะนั้นภรรยาเทอดกำลังล้างจานอยู่ เสียงปืนดังก้องจานตกลงพื้นกระจาย

ไทสะดุ้งตื่นเมื่อมีรถบรรทุกขนาดใหญ่วิ่งสวนและบีบแตรเสียงแหลม
ภรรยาเทอดรีบวิ่งมาที่ห้องทำงานภาพที่เห็นคือเทอดฟุบจมกองเลือดอยู่บนโต๊ะ เธอถึงกับอ่อนแรงทรุดนั่งที่หน้าประตู
“พ่อ”

ท่ามกลางฝนตกที่สุสานไทกับแม่ยืนกางร่มสีหน้าเศร้า แม่ร้องไห้อยู่หน้าหลุมศพที่สลักชื่อ เทอด ธัญธรณี
ไทมองหลุมศพพ่อ แล้วนึกถึงหนังสือที่พ่อเขียนไว้ให้ไทก่อนตาย
“ไทโตแล้ว และคิดว่าลูกเป็นลูกผู้ชายเต็มตัวที่สมบูรณ์แบบที่สุด พ่อมีความจำเป็นที่ต้องทำสิ่งโง่ๆ แบบนี้ พ่ออยากให้ไทปกป้องและคุ้มครองแม่แทนพ่อด้วย ขอให้ไทจงซื่อตรงดุจตะวันและหนักแน่นดั่งภูผา...ลาก่อน”
กลับมาที่หลุมศพไทวางการ์ดวันเกิดไว้ที่หลุมศพพ่อ
“ผมไม่รู้ว่าพ่อทำแบบนี้ทำไม แต่ผมคิดว่าวันหนึ่งผมจะต้องรู้ให้ได้”
ไทกำสร้อยในมือแน่นเห็นไม้กางเขนและสร้อยบางส่วนหลุดออกมานอกมือ แม่ยังคงอาลัยอาวรณ์ ไททำตัวเข้มแข็งแล้วชวนแม่กลับ
“กลับกันเถอะครับ”
สองแม่ลูกเดินกางร่มฝ่าสายฝนออกไปจากสุสาน
“เราสองแม่ลูกไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ทรัพย์สินทั้งหมดถูกธนาคารยึดไปและอีกไม่กี่เดือนแม่ก็จากผมไปอีกคน”

ไทเดินไปเรื่อยๆ ตามถนนหลวงพลางโบกรถที่ขับผ่านมาแต่ไม่มีรถคันไหนจอด
“ตอนนี้เหมือนผมเหลือตัวเดียวในโลก แต่ก็ยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ผมมองไม่เห็นปลายทางว่ามันอยู่ตรงไหนแต่ก็ต้องก้าวต่อไป สิ่งเดียวที่คิดได้ตอนนี้คือต้องกล้าที่จะมีลมหายใจต่อไป”
ห่างไปไม่มาก มีรถปิคอัพจอดเสียอยู่ มีรถมอเตอร์ไซด์แข่งอยู่หลังรถคันหนึ่ง น้าอี๊ดเจ้าของอู่รถมอเตอร์ไซด์กำลังซ่อมรถอยู่ เขาดูลุกลี้ลุกลนเพราะว่าไม่มีผู้ช่วยคอยจับโน่นส่งนี่ ไทเดินเข้ามาถึงเขายืนมองน้าอี๊ดมุดอยู่ในฝากระโปรง
“รถเป็นอะไรน้า มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ”
น้าอี๊ดเป็นคนอารมณ์ดีเขายินดีที่ไทเสนอตัว
“ไม่รู้ดิ ขับมากระตุกๆ เหมือนเครื่องมันเดินไม่เต็มสูบ”
“ผมขออนุญาตลองทำได้มั้ยครับ”
“ลองดูสิ”
ไททำตามด้วยความเต็มใจ เขาสตาร์ทรถตามคำสั่ง เดี๋ยวหยุดเดี๋ยวสตาร์ท น้าอี๊ดก็ไขโน่นไขนี่ จับโน่นจับนี่จนในที่สุดรถก็ติด น้าอี๊ดโล่งใจ เขาเดินมาที่ไทแล้วขอบใจ
“แหม ติดซะที ขอบใจนะไอ้หนู”
“ไม่เป็นไรครับงั้นผมขอตัวนะครับ”
ไทแบกเป้สะพายขึ้นหลังน้าอี๊ดสังเกตว่าเขาจะต้องเดินทางไปที่ไหนสักแห่งจึงถาม
“จะไปไหนหรือ”
“ไปมันเรื่อยครับ ได้งานทำก็หยุด”
“เฮ้ย เดี๋ยว งั้นขึ้นก่อนรถสิ”
ไทยิ้มด้วยความยินดี

น้าอี๊ดขับรถไปตามถนน ไทรู้สึกสบายขึ้นน้าอี๊ดสนใจในตัวไท
“ดูท่าทางเราพอมีความรู้เรื่องรถดีนี่”
“ครับพ่อผมสอนมาตั้งแต่เด็ก”
“ฉันชื้ออี๊ด เราชื่ออะไร”
“ไทครับ ผมชื่อไท”
“ไทเหรอ เธอชื่อแปลกดีนะสนใจจะทำงานกับฉันไหมล่ะ ฉันมีอู่ซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ เราทำรถแข่งน่ะ”
ไทนิ่งคิดสักครู่แล้วตกลง
“ได้สิครับ มีงานทำก็มีเงิน”
“ฉันมีที่พักให้ด้วยนะ อาหารสามมื้อ แถมแอลกอฮอล์อีกต่างหากเธอดื่มไหม”
“ไม่ครับ ผมไม่ดื่ม”
น้าอี๊ดรับรู้แล้วล้วงบุหรี่ขึ้นมา
“บุหรี่ล่ะ เอาไหม...เอ้า”
“ผมไม่สูบครับ”
“เออ ดีจัง ไม่เปลืองอย่างนี้ค่อยน่าจ้างหน่อย”

ทั้งคู่หัวเราะให้กัน

น้าอี๊ดพาไทมาที่อู่ซ่อมมอเตอร์ไซค์ มันเป็นอู่ที่ไม่ใหญ่แต่มีรถเต็มไปหมด มีรถแข่งคันสวยอยู่คันหนึ่งไทรู้สึกชอบมันจึงเดินเข้าไปลูบมันอย่างทนุถนอม น้าอี๊ดมองแล้วยิ้ม

“ชอบหรือ”
“ครับ”
“รถฉันเอง นังเนี่ยมันพยศน่าดู ถ้ามือไม่ถึงต้องมีเสียอวัยวะ”
“วันนึงผมต้องขี่คันนี้ให้ได้เลย”
“เป็นไง แจ๋วไหม”
“แจ๋วครับ”
“ได้เลย แต่ตอนนี้เราเริ่มงานกันก่อนดีกว่า” ไทมองมันแล้วรับรู้ น้าอี๊ดเรียกลูกน้องมาแนะนำ “เฮ้ย ทางนี้กันหน่อย” ทุกคนเดินมา “นี่สมาชิกตัวจิ๋วคนใหม่ของพวกเรา”
ไทยิ้มยินดีกับทุกคน
“สวัสดีครับทุกคน”
“ที่นี่อยู่กันอย่างพี่น้อง”

ไทเริ่มทำงานซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ที่อู่น้าอี๊ด เขาทำเครื่อง และบิดลองเครื่อง ไทขับรถมอเตอร์ไซค์ลองเครื่องเป็นรถมอเตอร์ไซค์เล็กกว่า 4 สูบ น้าอี๊ดยืนมองรู้สึกพอใจ
เวลาผ่านไป บรรยากาศสนามแข่งมีรถมอเตอร์ไซค์รอเข้าแข่งหลายคัน มีพริตตี้สาวสวยมากมาย มุมหนึ่งมีโชว์ดิ๊ปรถ ทำโดนัท (ใช้ล้อหลังมอเตอร์ไซค์บดยางให้ไหม้เป็นวงกลม) บรรยากาศคึกคักสนุกสนาน น้าอี๊ดกับลูกน้องเอารถมาจอด มันเป็นมอเตอร์ไซค์คันใหม่ ข้างๆ มีรถเฮียหมูมาจอดเทียบทั้งคู่จับเดิมพันกัน เฮียหมูเจ้าของรถฝ่ายตรงข้ามเดินเข้ามาหาน้าอี๊ดแล้วสอบถามอย่างยียวน
“จะแข่งกันยังไง”
“ความเร็ว”
เฮียหมูมองไปที่รถของน้าอี๊ดที่กำลังบิดทดลองเครื่อง
“ดู พี่อี๊ดจะเชื่อรถของพี่เหลือเกินนะ”
“ไม่ใช่แค่รถ คนขี่ด้วย”
“ได้ข่าวว่าไอ้มืดเด็กพี่อี๊ดรถล้มขาหักไม่ใช่หรือ”
“ข้ามีคนขี่คนเดียวที่ไหนล่ะเฮียหมู”
เฮียหมูลองเชิงเพราะรู้ว่าไอ้มืดรถล้มขาหัก น้าอี๊ดมองมาบริเวณที่เขาดิ๊ปรถกัน เขาส่งสัญญาณเรียกใครบางคน แล้วมอเตอร์ไซค์คันนึงก็สไลด์เข้ามาคนขี่ถอดหมวกออก จนเห็นว่าเป็นไทเดินผ่านโฟร์กราวด์เข้ามาอย่างเท่ห์
ขณะนี้ไทโตเป็นหนุ่มแล้ว ระหว่างทางเดินมีสาวๆ มองไทอย่างยั่วยวน ไทเดินมาที่น้าอี๊ด เฮียหมูรู้สึกสนใจไท
“หน่วยก้านไม่เลวนี่”
ไทเดินผ่านไปที่รถแล้วบิดลองเครื่อง เขามองน้าอี๊ดเป็นบางครั้ง
ทุกคนต่างเอารถเข้าที่ ไทเอาเข้าไปเทียบกับรถของลูกน้องเฮียหมูทั้งคู่มองตากัน แล้วเบิ้ลเครื่อง เตรียมพร้อม
มีพริตตี้เซ็กซี่ชูมืออยู่ตรงกลางถ้าเอามือลงแสดงว่าให้ออกรถได้เลย
“เอาล่ะทุกคน ในเมื่อพร้อมกันแล้ว กติกามีง่ายๆ คือใครถึงเส้นชัยแล้ว คว้าไฟแช็กมาจุดได้ก่อนจะเป็นผู้ชนะ
เฮียหมูเดิมพันครั้งนี้แสนนึง กับรถด้วย ใครชนะกินรถไปเลย”
ขาโจ๋ประจำสนามยืนบนลังใบใหญ่แล้วประกาศ
“เอาล่ะเพื่อนๆ ทุกคน ใครที่จะแข่งก็เอารถมาเข้าที่ได้เลย น้องๆ ของเรารออยู่แล้ว ใครใคร่วางเดินพันก็จับกันได้ ขอให้รวดเร็วด้วย ถ้าตำรวจมาก็ตัวใครตัวมันนะเพื่อน”
ไทเอากระจกที่หมวกลงปิดหน้าแล้วเตรียมพร้อม พริตตี้เอามือลง รถวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ไทบิดด้วยความชำนาญ สูสีคู่แข่ง ทั้งคู่นำรถคันอื่นแล้วผลัดกันแซงดูหวาดเสียว น้าอี๊ดและพวกยิ้ม ขณะที่เฮียหมูมีสีหน้ามั่นใจ ลูกน้องเฮียหมูพยายามจะโกงด้วยการจะปาดให้ไทล้ม แต่ไทดึงจังหวะหลบได้ ไทคิดเอาคืนด้วยการปาดคืนและกันไม่ให้แซง จังหวะหนึ่ง ลูกน้องเฮียหมูแซงได้ แต่ไทก็บี้มาติดๆ
ที่เส้นชัย ไฟแช็กตั้งอยู่บนถังสองร้อยลิตร ไทกับคู่แข่งวิ่งตรงเข้ามาอย่างสูสี ทั้งคู่วิ่งมาคว้าไฟแช็กพร้อมกัน ไม่รู้ว่าใครได้ไป เพราะมันเร็วมาก ทุกคนในสนามลุ้นเพราะไม่แน่ใจว่าเป็นใครได้ไฟเช็กไป จนกระทั่งไฟแช็กถูกจุดขึ้นและคนที่จุดก็คือไท ไทเป็นผู้ชนะ ทุกคนปรบมือโห่ร้อง ไทขี่รถเข้ามาที่จอดรถ เฮียหมูหน้าเสีย น้าอี๊ดเดินเข้ามาหา
“ถือว่าวันนี้เฮียหมูโชคไม่ดีก็แล้วกัน เอาเงินกับกุญแจรถมาตามสัญญา”
เฮียหมูจะโกงน่าด้านๆ เขาโยนซองเงินให้แต่ไม่ให้กุญแจรถ
“เอ้า...เงิน แต่รถฉันคงให้ไม่ได้ ถือซะว่าเมื่อกี้ฉันพูดเล่นก็แล้วกัน”
“อย่างนี้มันโกงกันนี่หว่า”
ไทและคนอื่นๆ ต่างเดินเข้ามาสมทบ
“เขาไม่ได้เรียกว่าโกง เขาเรียกว่าไม่ให้ ไม่เข้าใจหรือไง”
สิ้นเสียงเฮียหมูลูกน้องของน้าอี๊ดก็ชาร์จเข้าทันที เกิดการตะลุมบอนกันขึ้น ผู้ร่วมงานทุกคนกระเจิงไป มีการตะลุมบอนกันครั้งใหญ่ น้าอี๊ดยืนมองคุมเชิงสีหน้าเข้ม เฮียหมูก็ยืนมองคุมเชิงเหมือนกัน ลูกน้องคนหนึ่งเซมาที่น้าอี๊ด เขาซัดมันกระเด็นไป ไทชกกับคู่แข่งรถจังหวะหนึ่ง เฮียหมูหยิบปืนออกมาจากเอว เขาหมายจะยิงน้าอี๊ด ไทเห็นก่อน เขาชกคู่แข่งกลิ้งไปแล้วตรงเข้าแย่งปืนเฮียหมู เกิดการแย่งกันไปมาพอดีปืนลั่น เฮียหมูตายคาที่ ทุกคนตกตะลึง

ไทก็ตะลึงมันเป็นครั้งแรกที่เขายิงคนตาย แต่เขาไม่ได้ตั้งใจ

ไทถือปืนดูเฮียหมูนอนตาย ผู้คนต่างค่อยๆ มารุมไทช้าๆ ทุกคนคิดว่าไทฆ่า แต่น้าอี๊ดรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไทส่ายหน้าเหมือนกับบอกว่าเขาไม่รู้เรื่อง ทุกคนจะเข้ามารุมไท

น้าอี๊ดเอาปืนที่ไทมาแล้วยิงขึ้นฟ้าลูกน้องเฮียหมูและทุกคนแตกกระเจิงหนีไป น้าอี๊ดมองไทอย่างเป็นห่วงแล้วตัดสินใจ
“หนีไปซะไท เอารถคันนั้นไป”
“แล้วทางนี้ล่ะน้า”
น้าอี๊ดหน้าตาจริงจัง

ไทขับรถมาจอดที่หน้าผาแห่งหนึ่งแล้วมองไปที่แม่น้ำไกล เขานั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์แล้วคิดไปเรื่อยๆ
“จริงอย่างที่พ่อบอก ชีวิตของผมมันเริ่มต้นได้ใหม่เรื่อย แต่ก็หาจุดหมายปลายทางไม่เจอ มีงานก็มีเงิน มีเงินก็มีชีวิตอยู่ได้ แม่ผมสอนอย่างนั้นเสมอผมทำงานสารพัด ไม่เคยเลือกงาน แต่เลือกที่จะมีชีวิต”
หลังจากวันนั้นไทก็เปลี่ยนงานไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ขับรถบรรทุกคอนเทรนเนอร์ เป็นช่างเชื่อมโลหะที่โรงงานเล็กๆ
ซ่อมรถบรรทุก ไททำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยแต่ก็ยังยิ้มสู้

ไทขี่มอเตอร์ไซค์มาตามทางหลวง เขาเปลี่ยนชุดธรรมดามีเป้อยู่หลังรถ เขาขี่ไปอย่างไร้จุดหมาย
“คำว่าหนีของน้าอี๊ด ผมรู้ว่ามันไกลแค่ไหน แต่สำหรับผมมันไม่มีระยะทาง คำๆ นี้พาผมไปเจอกับอะไรหลายสิ่งหลายอย่างมากมาย และสิ่งต่างๆ เหล่านี้มันหล่อหลอมชีวิตผมให้รู้จักคำว่า ลูกผู้ชาย”

2 ปีผ่านไป
บนเครื่องบินโดดร่ม ไทแต่งชุดโดดร่มเรียบร้อย เอี่ยวนั่งตรงกันข้าม มีนักโดดร่มหลายคน กำลังพร้อมจะโดด
ในมือเอี่ยวเด้งลูกบอลเล่นไปมา เขาหยอกไท
“เพิ่งมาเข้าทีมหรือ ฉันชื่อเอี่ยว”
เอี่ยวยื่นมือให้จับ ไทจับมือ
“ไท”
“ขอต้อนรับสู่ความ สูง เสียว เสี่ยง”
ไทพยักหน้า ยิ้มรับและแสดงความมั่นใจ
ข้างล่างเป็นจุดผู้เข้าชมมีเต็นท์ใหญ่เป็นศูนย์อำนวยการ มีคณะกรรมการมาดูเป็นสักขีพยาน โฆษกคอยบรรยาย
“อีกไม่กี่นาทีเท่านั้นนะครับ เราก็จะได้เห็นการโดดร่มที่จะทำลายสถิติโลก ลงกินส์เนสบุ๊คเวิลด์ออฟเร็คคอร์ด ประเภทท่าทางและจับกลุ่มกันมากที่สุด โดยการกระโดดครั้งนี้จะสร้างวงกลมซ้อนกันถึง สี่วง ซึ่งไม่มีใครเคยทำมาก่อน”
บนเครื่องบิน หัวหน้าทีมเช็คความพร้อม
“ทุกคนพร้อมนะ โดดตามที่ซ้อมกันไว้ โอเค เอาล่ะ ไปได้”
นักโดดร่มชุดที่ 1 โดดลงไป จากเครื่องบินเห็นนักโดดร่มเริ่มลอยตัวเข้าจับกัน
“ชุดแรกลงมาแล้วครับ กำลังจัดกระบวนกันอยู่ครับ ดีครับ ยังไม่มีอะไรผิดพลาดครับ”
ชุดที่ 1 ทำได้ตามที่ซ้อม หัวหน้าสั่งการต่อ
“ชุด 2 ไป”
ไทกับเอี่ยวอยู่ในชุดนี้ด้วย แล้วชุดสองก็โดดลงไป ข้างล่างโฆษกบรรยายอย่างเห็นภาพ
“ชุดสองโดดมาแล้วครับ แหมสวยงามมาก กำลังจัดขบวนเข้าหากันแล้วครับ” เอี่ยวกับไท พยายามร่อนเข้าหากันแล้วจะจับมือกันแต่พลาด “อุ๊ย...แหม พลาดไปหน่อยครับ ไม่เป็นไรครับตั้งลำใหม่ เอาล่ะครับคู่เมื่อกี๊จัดขบวนใหม่ได้แล้วครับ”
เอี่ยวกับไทจัดขบวนได้แล้วร่อนเข้ากลุ่ม หัวหน้าปล่อยชุดสุดท้าย รวมทั้งตัวเองด้วย
“ไปได้”
นักโดดร่มทั้งหมดลงมาจากเครื่องหมดแล้ว กำลังพยายามจัดเข้ารูปตามที่ซ้อมไว้ โฆษกบรรยาย ผู้คนและกรรมการที่มีกล้องส่องดูอย่างลุ้น
“ลงมาหมดแล้วครับ ตอนนี้กำลังจัดขบวนแล้วครับ สวยงามจริงๆ” นักโดดร่มต่อเป็นรูปร่างได้อย่างสวยงาม
“ต่อกันได้สวยงามและสมบูรณ์มากครับ” กรรมการยืนมองชื่นชม “เอาล่ะครับ เหลืออีกชั้นเดียว กำลังจะเข้าขบวนแล้วครับ” นักโดดร่มต่อขบวนได้สำเร็จ “เรียบร้อยครับ สำเร็จแล้ว ต่อกันได้สวยงามจริง เป็นอันว่าทำลายสถิติโลกได้ครับ”
กรรมการและผู้คนพากันปรบมือกันใหญ่ ไทยิ้มกับเอี่ยว นักโดดร่มทุกคนพอใจ หัวหน้ายิ้มแล้วให้สัญญาณกระตุกร่ม ทุกคนกระตุกร่ม ทีละคน ร่มที่กระตุกจะถูกดึงขึ้นแล้วกาง
“เป็นอันเรียบร้อยครับ ทุกคนดึงร่มแล้ว”
ไทยังไม่ได้ดึงร่ม เขาเหลือบไปเห็นพื่อนร่วมทีมดึงร่มแล้วพันเขาดิ้นรนแก้ ตัวม้วนไปม้วนมากำลังดิ่งลงพื้น
โฆษกเห็นก็ตกใจ
“เอ๊ะ...นั่น นักโดดคนหนึ่งร่มพันครับ คุณพระช่วย จะทำยังไงครับ เหลือไม่ถึง 4 พันฟุตแล้วด้วย”
ไทตัดสินใจพุ่งตัวเข้าไปหาเพื่อนคนนั้น สีหน้าเขาจริงจังและกล้าตาย เพื่อนเขายังพยายามแก้ร่มอยู่ร่างร่วงลงเรื่อยๆ ไทพุ่งตัวลงมาอย่างรวดเร็ว โฆษกเห็นว่าไทกำลงมาช่วย
“เดี๋ยวก่อนครับ มีคนกำลังมาช่วยครับ เร้ว...เร็ว เข้า...”

ผู้คนที่ดูต่างฮือฮา

ดุจตะวันดั่งภูผา ตอนที่ 1 (ต่อ)

เอี่ยวกระตุกร่มแล้วมองไทด้วยสายตาเป็นห่วง หัวหน้ากระตุกร่มแล้วเป็นห่วงเหมือนกัน ไทพุ่งเข้ามาใกล้ถึงตัวอยู่แล้ว เขาเอามือคว้าแต่พลาดไปพลาดมา

“มาช่วยแล้วครับ คว้า คว้า แล้วพลาดไปครับ แหม อีกนิดดน่าพ่อหนุ่ม เร็วเข้า ใจเย็นๆ โอยหัวใจจะวาย”
ไทพยายามอีกครั้งคราวนี้ เขาเข้าไปคว้าได้สำเร็จแล้วเอามีตัดสายร่มที่พันออก แต่มันก็ยังลำบาก “คว้าได้แล้วครับ โอ้โห กำลังตัดสายร่มครับ เร็ว...เร็ว...อีกแค่สองพันฟุตเอง เร็ว”
ผู้คนต่างพากันลุ้น กรรมการด้วย ไทตัดร่มหลุดออกแล้วกระตุกร่มสำรองให้เพื่อนคนนั้นกางออก เพื่อนถูกดึงตัวขึ้นไป ไทโล่งอกแล้วกระตุกร่มของเขาทันทีร่มกางอย่างสมบูรณ์
“เรียบร้อย โอ้โห ไม่น่าเชื่อช่วยจนได้ แหม เหลือเชื่อจริงๆ ยอดเยี่ยมมากครับ”
ทุกคนลงมาข้างล่างอย่างปลอดภัย เพื่อนคนที่ร่มไม่กางเดินมาหาไท
“ขอบคุณเพื่อน ขอบคุณจริงๆ”
เอี่ยวกับหัวหน้าเข้ามา
“เยี่ยมมากไท”
“นึกว่าเอ็งไม่รอดแล้ว เยี่ยมจริงๆ ว่ะเพื่อน”
ทั้งหมดกอดคอกันเดินไปสมทบกับนักโดดร่มคนอื่น ทุกคนขอบใจไท คนดูกับกรรมการพากันปรบมือให้ไทเป็นการให้เกียรติและขอบคุณ ไทยิ้มอย่างภูมิใจซึ่งเป็นภาพที่ไม่ได้เห็นบ่อยนัก ห่างออกไปมีชายลึกลับคนหนึ่งจับตาดูไทอยู่ เขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด

ไทขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง ภายในร้านเจ้าของร้านอ้วนท่าทางขี้เกียจ นั่งครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ที่เคาน์เตอร์ เขาเห็นไทก้าวเข้ามาเขาจึงร้องเรียกพนักงาน
“แจ๋วแหวว มีลูกค้ามา”
ปลายฟ้าอยู่ในชุดนักศึกษาหันหลังล้างจานอยู่ด้วยท่าทางวุ่นวาย เธอมองนาฬิกาตลอดเวลาเหมือนกับมีนัดอะไรสักอย่าง
“ค่า... จะมากินอะไรกันตอนนี้นะคนยิ่งรีบอยู่”
ไทกับเอี่ยวนั่งที่โต๊ะอย่างไม่รีบร้อน เขาต้องการสั่งอาหาร เจ้าของร้านเร่งปลายฟ้า
“แจ๋วแหวว...”
“มาแล้วค่า”
ปลายฟ้าเช็ดมือลวกๆ แล้วรีบมารับออเดอร์ ไทนั่งที่โต๊ะเห็นปลายฟ้ามายืน รอจดออเดอร์ ไทก้มหน้าดูเมนูแล้วสั่ง
“รับอะไรคะ”
“ปลารากกล้วยทอดกระเทียม, แกงเขียวหวานผัดแห้ง, น้ำพริกมะขาม, ทอดมันปลากราย, ยำก้านคะน้าใส่ไข่ต้ม, ผัดพริกแกงหมูป่า, ต้มยำ”
“และก็ข้าวเปล่า”
“ขอน้ำส้มคั้นกับน้ำเปล่าด้วย”
“แค่นี้แหละ”
ปลายฟ้าฉุนเพราะจะรีบไปธุระ
“นี่คุณ จะสั่งอะไรให้มันยากนักหนา ฉันมีธุระจะรีบไป สั่งพวกที่ทำง่ายๆ แบบแซนวิชไม่ดีหรือ กินอิ่มเหมือนกัน”
ไทสะอึกแล้วเงยหน้ามองปลายฟ้าที่หน้าตามอมแมม
“เอ่อ ก็ได้ งั้นเอาแบบที่เธอแนะนำก็แล้วกัน”
ปลายฟ้ารีบไปทันทีท่าทางเธอร้อนรนมาก
“ร้านแบบนี้ก็มีด้วยแฮะ” ไทหัวเราะในลำคอ เอี่ยวมองดูไทแล้ววิเคราะห์
“นายมันนักล่าเหมือนกันหรือ”
“ก็แค่หาเลี้ยงปากท้อง”
“ถ้าอยากหาเงินอีกก็ลองไปที่สนามยิงปืนสิ”
ไทพยักหน้าเล็กๆ และเห็นด้วย
“ก็ไม่เลวนี่”
สักพักปลายฟ้ารีบเอาแซนวิชมาเสิร์ฟ
“ได้แล้วค่ะ” ปลายฟ้ารีบไปทันทีเธอไปบอกเจ้าของร้าน “หนูไปสอบก่อนนะคะ”
“ตามสบาย”
ปลายฟ้าวิ่งออกไปทางหน้าร้านทั้งชุดกันเปื้อน ไทมองตามแล้วนั่งกินแซนวิช

ที่มหาวิทยาลัยดนตรี แป้งกำลังสอบไวโอลินอยู่ในห้อง ด้านหน้ามีนักศึกษาถือเครื่องดนตรีประจำตัวรอสอบอยู่ ปลายฟ้าแบกเชลโล่คู่ใจมาตามถนนในมหาวิทยาลัย ท่าทางรีบเร่งเธอแทบจะชนทุกอย่างที่ขวางหน้าเธอ

“โธ่เว้ย หลีกหน่อย”

ที่ห้องสอบ แป้งสอบเสร็จแล้วออกมานอกห้องอาจารย์บอกให้เรียกคนต่อไปเข้ามาเลย

“คนต่อไปปลายฟ้าข้ามไปก่อนชนิดา”
แป้งอยู่ที่หน้าห้องแล้วถามเพื่อนที่นั่งอยู่สีหน้าไม่ดี
“ปลายฟ้ายังไม่มาอีกหรือ”
“ยังเลยแป้ง”
“ตาย ตาย อาจารย์แหม่มคนนี้ยิ่งเฮี๊ยบอยู่ด้วย”
เพื่อนส่ายหน้า แป้งมีสีหน้าเป็นห่วง ปลายฟ้ารีบแบกเชลโล่วิ่งมาตามทางอย่างทุลักทุเลผมเผ้ายุ่งเหยิง
อาจารย์เริ่มหงุดหงิดเดินออกมาเรียกเอง
“ปลายฟ้ายังไม่มาอีกหรือ”
แป้งรีบแก้ตัวให้
“เอ่อ กำลังจะถึงแล้วค่ะ”
“ฉันไม่มีเวลามากนักนะฉันให้อีกห้านาทีถ้าไม่มาก็ตัดสิทธิ์ไป”
อาจารย์เข้าไปในห้องสอบแป้งชะเง้อมองในใจลุ้น ปลายฟ้าหิ้วเชลโล่ มาที่ตึกแล้วรีบไปตามทางหน้าตึก
อาจารย์ดูเวลาที่ข้อมือแล้วส่ายหน้า เธอขีดกากบาทที่ชื่อปลายฟ้า
“คนต่อไป ธีรภัทรเข้ามาได้”
คนที่แบกเชลโล่เข้ามาคือปลายฟ้า
“มาแล้วค่ะมาแล้ว”
อาจารย์ที่ก้มหน้าอยู่เงยหน้าขึ้นมามองแล้วประชด
“เธอชื่อธีรภัทรหรือ”
ปลายฟ้าแก้ตัว แบบกะล่อนให้ดูน่าสงสาร
“โธ่ แหม่ม นี่รีบเต็มที่แล้วนะคะ กว่าจะทำงานที่ร้านเสร็จ ให้หนูเข้าสอบนะคะ”
อาจารย์มองปลายฟ้ามาทั้งผ้ากันเปื้อนที่มีชื่อร้าน
“เธอทำงานที่ร้านนี้หรือ”
“ค่ะ ทำพาสไทม์ค่ะ”
“บอกเขาด้วยนะว่าพลาสต้าเขาน่ะรสชาติห่วยมาก ไปประจำที่ เออ ถอดผ้ากันเปื้อนออกด้วย”
ปลายฟ้าหน้าเสียเมื่อมองผ้ากันเปื้อนที่ลืมถอด

ไทเข้าไปซ้อมยิงปืนในสนามแข่ง เขาใช้ปืนกระบอกสวยที่พ่อเขายิงตัวตาย เขายิงมันเข้าเป้าอย่างแม่นยำเขานึกถึงอดีตตอนที่พ่อสอนเขายิงปืน
“การยิงปืนเราต้องตรวจดูก่อนว่าลูกกับปืนอยู่ด้วยกันหรือเปล่า ที่สำคัญต่อไปคือวิธียิงถ้าจะยิงให้แม่นนะ การยิงปืนต้องยืนตัวตรง ในแต่ละครั้งให้มีสมาธิดูที่เป้า สนใจดูที่เป้าแล้วยกปืนขึ้น หลับตาซ้ายเล็งตาขวา ศูนย์หน้าเล็งขณะยกศูนย์หน้า ค่อยๆ เหนี่ยวไก เหมือนกับหยดน้ำหยดจากใบไม้” เทอดยิงเสร็จ “ทำได้ไหม ทีนี้ตาลูกแล้ว” ไทถือปืน “ยืนให้มั่นคง”
“พ่อปืนหนัก”
“ถ้าหนักเราก็ยิงสองมือสิลูก” ไทเล็งปืน “ศูนย์หน้าตรงบากศูนย์หลัง...ยิง” ไทยิง
เทอดสอนไทให้หัดยิงปืนตอนเขาอายุ 14 เขาสอนท่าทางให้ไทจับปืนและยืนอย่างทะมัดทะแมง
“การยิงปืนต้องถือปืนให้ถูกต้องอย่างนี้ การยืนต้องยืนให้มั่นคง นี่ อย่างนี้ ทีนี้ก็เล็ง ใช่ อย่างนั่น แล้วกลั้นลมหายใจแล้วค่อยๆ เหนี่ยวไกช้าๆ นุ่มๆ อย่ากระชาก เหมือนเรากำลังบีบยาสีฟัน นั่น...อย่างนั้น” ไททำตามที่เทอดบอก เขายิงถูกเป้าหมายอย่างแม่นยำ “แม่นเหมือนกันนี่ไอ้เสือ จำได้แล้วใช่ไหม”
“ครับ”
ไทวางปืนเทอดสอนต่อ
“การใช้ปืนมันไม่ใช่แค่เล็งแล้วยิงให้ถูกเป้านะ มันต้องมีสมาธิ มีสติ ที่สำคัญเราต้องมีคุณธรรมในการใช้เพราะปืนสามารถนำไปทำได้ทั้งความดีและความชั่วจำไว้นะลูก”

ที่สนามยิงปืน ไทซัดไปอีกสามนัดเข้าเป้าทั้งหมด มีเสียงชื่นชมมาจากข้างหลัง
“ฝีมือไม่เลวนี่ พ่อหนุ่ม ปืนก็สวย มาแข่งกับเขาหรือ”
“ครับ” ไทยังซ้อมต่อไป ยิงเสร็จไทขอตัวไปก่อน “ขอตัวนะครับ”
ผู้พันฌอนเป็นชายชาตินักรบท่าทางน่าเกรงขาม เขาผ่านสมรภูมิมามาก ที่ตาซ้ายบอดมีสายคาดหนังสีดำคาดไว้

ผู้พันมองไทอย่างชื่นชมแล้วเดินจากไป

ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่ห้องสอบดนตรี ปลายฟ้าลงมือบรรเลงเชลโล่อย่างอ่อนหวาน อาจารย์ฟังอย่างพอใจ แต่แล้วความซวยก็มาเยือนเมื่อสายเชลโล่ขาดผึงไปสายหนึ่ง

อาจารย์ที่กำลังเคลื้มสะดุ้งเล็กน้อยจ้องปลายฟ้าตาเขม็งปลายฟ้ายิ้มแห้งๆ
ปลายฟ้าเดินแบกเชลโล่แบบเซ็งๆ แป้งเดินมาด้วยกันปลายฟ้าบ่น
“เซ็งเป็นบ้าจะจบเพลงอยู่แล้วเชียวสายดันมาขาดซะนี่ สงสัยคงไม่ได้ทุนไปเรียนที่ออสเตรียแน่เลย”
“ช่างมันเถอะอย่างน้อยแกก็เรียนจบกันแล้วนี่ กลับไปฟิตสักปี ปีหน้าก็มาสอบใหม่ก็ได้นี่ ดูฉันสิยังเฉยๆ เลย แต่แกนี่ก็จริงๆ เลย ทำไมแกไม่เตรียมให้มันเรียบร้อยน้า สายมันเก่ามากมันก็ขาดน่ะสิ ทำไมไม่ซื้อใหม่ล่ะ”
ปลายฟ้ายิ่งเซ็งเข้าไปใหญ่
“แกว่าตอนนี้ฉันเหลือตังค์ติดกระเป๋าเท่าไหร่...5 บาท เป็นไงรันทดไหม”
“อ้าว แล้วร้านที่แกทำงานเงินเดือนยังไม่ออกหรือ”
“ออกบ้างไม่ออกบ้าง ร้านแกมีคนเข้าที่ไหนล่ะ ขนาดอาจารย์แหม่มยังบอกว่าพลาสต้ารสชาติห่วยเลย นี่กะจะหางานใหม่ทำแล้วล่ะ อีกตั้งปี แล้วจะทำอะไรดีนะ เออฉันว่าเราไปหางานทำที่อื่นกันดีไหมฉันว่าเมืองนี้มันเริ่มแคบแล้วล่ะ”
“เออดีเหมือนกันลองผจญภัยดูบ้างเผื่อเจออะไรดีๆ”
“งั้นอยู่หอให้ครบเดือน แล้วลุยกันเลย”
“โอเค”
“เออ เมื่อกี้ฉันเห็นเขาประกาศรับนางแบบถ่ายโฆษณาสินค้าที่บอร์ดด้วยล่ะ นี่ไงฉันจดมาด้วย แกไปกับฉันไหม”
“ไม่เอา ฉันไม่กล้าหรอก”
“เหอะน่า ขำ ขำ เผื่อจะดัง นี่ถ้าแกไม่ถ่ายก็ไปเป็นเพื่อนฉันก็ได้ นะ”
“ก็ได้ แต่ต้องพรุ่งนี้นะ”
“ได้”
“งั้นฉันไปส่งงานอาจารย์ก่อนนะ วิชาสุดท้ายแล้ว จะได้จบพร้อมแก”
“เออ ไปเหอะ”
แป้งแยกไปปลายฟ้าเดินไปเรื่อยๆ แบบๆ ไร้จุดหมาย

ที่ร้านขายมอเตอร์ไซค์เป็นร้านขายมอเตอร์ไซค์จำพวกรถต่างประเทศ มีฮาเลย์ฯ ฯลฯ นอกจากนั้นมีรถเวสป้าคันหนึ่งติดป้ายขายไว้ด้วยปลายฟ้าเดินเข้ามายืนมอง เธอรู้สึกสบายใจและมีความสุขที่ได้เห็นมัน เสียงไทดังมาจากข้างหลัง
“ชอบมันหรือ”
ปลายฟ้าหันไปเห็นเป็นไท ซึ่งไทดูสุภาพเป็นมิตรเธอจึงคุยด้วย
“นายนั่นเอง ชอบสิ ฉันมาดูมันทุกวันเลย”
“เธออยากได้”
“ก็อยากไง ที่มาดูมันทุกวันเนี่ยมาดูว่ามันยังอยู่หรือเปล่า ฉันกำลังเก็บเงินซื้อมันอยู่ ฉันตั้งชื่อให้มันว่า เจ้าป๊อปเบอร์ เป็นชื่อของนักเชลโล่เป็นไอดอลมากๆ”
ไทเข้าใจ แล้วมองที่เชลโล่
“เธอเป็นนักดนตรีหรือ”
“ฉันเรียนที่วิทยาลัยดนตรี ที่ฉันรีบเมื่อเช้านี้ก็เพราะต้องไปสอบนี่แหละ”
“เกือบได้หรือเกือบตกล่ะ”
ปลายฟ้าทำหน้าเซ็งแล้วเริ่มเดินไปตามถนนไทเดินไปด้วยกัน
“เกือบได้”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“พอดีสายมันขาดเสียก่อน เฮ้อ ช่างมันเถอะปีหน้ายังมี” ปลายฟ้าหันไปดูรถไทแต่ไม่เห็น “เอ่อ รถนายไปไหนล่ะ”
“ฉันจอดให้เขาเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแล้วก็เปลี่ยนเบรค คงเป็นวันๆ กว่าจะเสร็จ ฉันเลยไม่รู้จะไปไหน”
ปลายฟ้ามีข้อเสนอแกมเจ้าเล่ห์
“ถ้านายเลี้ยงข้าวฉันนะ ฉันจะพานายไปเที่ยวให้ทั่วเลย เอาป่ะ”
“ฉันไม่ได้มาเที่ยว ฉันมาธุระ”
“ก็ตอนนี้นายว่างไม่ได้ทำอะไรนี่ ไป ไป อย่าปล่อยเวลาให้สูญเปล่า นี่นายรู้ไหมว่าถ้านายฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ วันหนึ่งเวลาจะย้อนกลับมาฆ่านาย จริงๆ นะ”
ไทหัวเราะกับคำพูดของปลายฟ้า
“ตกลงเธอเรียนดนตรีหรือเรียนปรัชญากันแน่ เอ้าไปก็ไป ฉันไม่ได้อยากเที่ยวนะ แต่กลัวถูกเวลาฆ่า”
“นั่น ต้องอย่างนั้น งั้นไปเลี้ยงข้าวฉันก่อนก็แล้วกัน ฉันหิวมากเลย ตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย”
ปลายฟ้าทำหน้าตาน่าสงสาร ไทยิ้มแล้วพยักหน้า “ไปเลย ฉันรู้จักร้านอาหารอยู่ที่นึงนะ ไม่แพงด้วย นี่ช่วยถือหน่อยสิ”

ทั้งคู่เดินไปด้วยกัน ปลายฟ้ามีท่าทางร่าเริง ไทช่วยถือเชลโล่ให้

ปลายฟ้าพาไทมากินอาหารบนแพริมแม่น้ำ ปลายฟ้าสั่งอาหารเต็มโต๊ะ แล้วโบกไม้โบกมือว่าไม่แพง ปลายฟ้ากินคนเดียวแทบจะหมด เห็นก้างปลาและเปลือกกุ้งแม่น้ำตรงที่ของปลายฟ้า ส่วนไทไม่ค่อยได้กิน

ไทจ่ายเงินค่าอาหารเป็นแบงค์ 500 หลายใบ ปลายฟ้านั่งเอามือบังหน้าท่าทางตลก
ไทกับปลายฟ้านั่งรถสามล้อรอบเมืองกาญจน์ท่าทางสนุกสนาน ไทพลอยเพลินไปด้วย ปลายฟ้าพาไทไปเที่ยววัด ทั้งคู่มาเดินดูของที่ระลึกต่างๆ ดูเครื่องประดับ เข้าไปดูพิพิธภัณฑ์สงคราม
ไทกับปลายฟ้าไหว้พระในถ้ำ ปลายฟ้ากับไทล่องเรือดูวิวกันสนุกสนาน ปลายฟ้ากับไทเดินเล่นบนทางรถไฟ รถไฟวิ่งมาทั้งสองวิ่งหนีกันหน้าตั้ง ปลายฟ้าเดินมาบนสะพานแม่น้ำแคว เธอเดินมาเจอคนใบ้สีไวโอลิน ปลายฟ้าชวนไทเข้าไปเล่นกับคนใบ้ เต้นสนุกสนาน ปลายฟ้ากับไทยืนถ่ายรูปกันบนสะพานแม่น้ำแคว ปลายฟ้ากับไทนั่งรถไฟสายน้ำตก แล้วจบลงตรงที่สะพานข้ามแม่น้ำแควทั้งคู่มายืนชมพระอาทิตย์ตก
“เฮ้อ สนุกจังเลย”
“ตกลงเธอพาฉันเที่ยวหรือเธอหลอกให้ฉันพาเที่ยวเนี่ย”
ปลายฟ้าแก้เขิน
“โธ่ นายก็ มันก็ปนๆ กันไปนั่นแหละ ฉันเห็นนายเหงาเลยอยากชวนเที่ยวแค่นั้นเอง”
“พระอาทิตย์ที่นี่สวยเนอะ”
“นอกจากเจ้าบ๊อบบี้แล้ว เวลาฉันเหงาฉันก็จะมาดูพระอาทิตย์ที่นี่นี่แหละ” ทั้งคู่ดูพระอาทิตย์โดยไม่ได้พูดกันอยู่ครู่หนึ่ง “นายจะกลับเมื่อไหร่”
“ยังไม่รู้เลยแต่พรุ่งนี้ฉันมีธุระต้องทำที่นี่”
ปลายฟ้ารู้สึกเสียดายและอยากให้ไทอยู่ต่อในใจนึกชอบเขา
“นายน่าจะอยู่ต่อนานๆ นะ”
“ทำไม”
ปลายฟ้ายิ้มเขินๆ
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”
ทั้งคู่มองพระอาทิตย์ตกดินด้วยกัน

วันต่อมาปลายฟ้ากับแป้งเดินมาตามถนนแล้วมาหยุดที่หน้าบริษัทนิตยสารแห่งหนึ่ง ปลายฟ้าหยิบกระดาษที่จดไว้มาดู
“แป้ง นี่ไงที่เขารับสมัครนางแบบถ่ายนิตยสาร ตกลงแกไม่เปลี่ยนใจนะ”
แป้งมีท่าทางไม่มั่นใจ
“ไม่เอาหรอก ฉันไม่กล้า”
“แต่ฉันกล้า ถ้าไม่เอาแกก็ไปเป็นเพื่อนฉันก็ได้ ไหนๆ ก็มาแล้ว ไป ไปเป็นนางแบบกันเถอะ”
แป้งจำยอม แล้วเดินไปด้วยกัน ปลายฟ้าเดินโพสท่าเข้าไปด้วยท่าทางติงต๊อง
ปลายฟ้ากับแป้งนั่งรออยู่ที่ที่รับรองในสำนักงาน สักครู่เจ้าของงานเดินบ่นออกมากับช่างภาพ
“อะไรกันเนี่ย ประเทศไทยเป็นอะไรไปหมดแล้ว นางแบบมันหายไปไหนหมด นี่ฉันจะเอาหน้าที่ไหนไปเจอเจ้าของสินค้าเขาเนี่ย”
“ใจเย็นๆ ครับ ผมว่ามันต้องโดนเข้าสักคนน่า”
เจ้าของเดินมาที่ด้านหน้าแล้วถามพนักงาน เมื่อมองไปที่ปลายฟ้ากับแป้ง
“สองคนนี่มารอสัมภาษณ์เป็นแม่บ้านหรือ”
ปลายฟ้าเลือดขึ้นหน้าแล้วลุกขึ้นพูดอย่างใจเย็น
“มาสมัครเป็นนางแบบถ่ายปกค่ะ”
เจ้าของงานทำหน้าเหยมองปลายฟ้าไปทั่วตัวโดยเฉพาะหน้าอกแล้วส่ายหน้า เธอมองไปที่แป้งที่นั่งอยู่เหมือนกับพอจะมีความหวังแล้วสั่ง
“ไหนเธอลงยืนขึ้นซิ”
แป้งยืนขึ้นอย่างไม่ค่อยมั่นใจ เจ้าของงานมองดูแป้งโดยเฉพาะที่หน้าอกแล้วยิ้ม
“อืม มันต้องอย่างนี้ เอาคนนี้แหละ มา เธอตามมา”
แป้งไม่กล้าแล้วปฏิเสธ
“เอ่อ หนู ไม่ได้มาถ่ายหรอกค่ะ หนูมาเป็นเพื่อน เพื่อนน่ะค่ะ”
“แหม เสียดาย ถ้าต้องชวดเงินไป 5 พัน นี่เธอเดี๋ยวโทรหาโมญดูนะ ฉันคิดว่าน่าจะมีเด็กใหม่ๆ เข้ามาบ้าง”
แป้งตาโต
“ห้าพันหรือคะ”
“อืม สนไหมล่ะ ถ้าสนก็ตามมา”
แป้งยิ้มพยักหน้าเดินตามเข้าไปข้างในเหมือนถูกมนต์สะกด ปลายฟ้ามองตามงงๆ แล้วถามพนักงาน
“อะไรวะ ได้ไงน่ะ พี่ พี่ ถามหน่อยสิว่าเขาถ่ายสินค้าอะไร”
“อ๋อ ชุดชั้นในค่ะน้อง”
ปลายฟ้าหน้าเจื่อนมองหน้าอกตัวเองแล้วเข้าใจ
“โอเค เข้าใจละ ชุดชั้นใน”
ปลายฟ้าหัวเราะแก้เขิน

แป้งเดินนับเงินประมาณ 5,000 บาทมาตามถนนกับปลายฟ้า
“ไม่น่าเชื่อถ่ายแป๊บเดียว ได้ตั้ง 5 พัน เดี๋ยวเรากลับไปอาบน้ำอาบท่าแล้วฉันจะพาแกไปกินปลาคังที่แกชอบกันไง ตัวโตๆ ไปเลี้ยงวันนี้ขอกินอาหารทะเลดีๆ ให้เต็มคราบสักวันหนึ่งเถอะ”
“ปลาคังเหรอ ฉันเพิ่งกินมาเอง เปลี่ยนไปกินอะไรที่หรูๆ ไม่ได้เหรอ เอาเหอะ ตามใจเจ้าภาพก็แล้วกัน”
“ดีนะที่มาเป็นเพื่อนแก เลยได้ถ่ายแบบ แต่ฉันไม่เข้าใจเลยว่าแกสวยกว่าฉันตั้งเยอะ ทำไมเขาไม่เลือกแกวะ”
ปลายฟ้าเซ็งที่ถูกตอกย้ำเธอรู้ว่าแป้งไม่ได้ตั้งใจ เธอทำเป็นกลบเกลื่อน
“วงการมายามันก็อย่างนี้แหละ เอาแน่นอนอะไรไม่ได้หรอก”
“นั่นสิ จริงของแก”
ปลายฟ้าเห็นแป้งถือถุงกระดาษใบใหญ่
“ว่าแต่นั่นถุงอะไรน่ะ ตั้งแต่ออกมายังไม่ได้ถามเลย”
“อ๋อ ชุดชั้นในที่ฉันใส่ถ่ายไง เขายกให้ฉันหมดเลยสวยๆ ทั้งนั้นเลยดูสิ แกจะแบ่งเอาไปใส่บ้างก็ได้นะ”
ปลายฟ้าคิดในใจว่าเอาเข้าไป ตอกย้ำกันเข้าไป ตัวเองอยากได้แต่ใส่ไม่ได้

“ไม่เป็นไร ขอบใจ เอ่อ เขาไม่ได้ให้ฟองน้ำมาบ้างหรือ”

ดุจตะวันดั่งภูผา ตอนที่ 1 (ต่อ)

ที่สนามแข่งขันยิงปืนรณยุทธ มีผู้เข้าแข่งขันรองสุดท้าย สองคนเป็นรอบชิงชนะเลิศ โฆษกสนามประกาศ

“การแข่งขันยิงปืนประเภทรณยุทธรอบชิงชนะเลิศก็มาถึงแล้วนะครับ จากผู้เข้าแข่งขันกว่า 100 คน บัดนี้คงเหลือระดับหัวกระทิสองคนเท่านั้น คือ ไท ธัญธรณี กับ ผู้พันฌอนเมล์น หนึ่งในสองคนนี้จะเป็นผู้ครอบครองเงินรางวัล 100,000 บาทพร้อมถ้วยเกียรติยศ ส่วนที่สองก็จะได้รับเงินรางวัล 50,000 บาทพร้อมถ้วยเกียรติยศเช่นกัน ตอนนี้สนามของเราพร้อมแล้ว ของเชิญทั้งคู่ประจำที่ครับ”
ไทกับผู้พันฌอนเข้าประจำที่แข่งขัน ทั้งคู่มองหน้ากันแววตาจริงจัง ในใจคิดเป็นกีฬา ทั้งคู่จับจ้องที่ปืนที่วางไว้ตรงหน้า โฆษกประกาศ
“นักกีฬาทั้งสองท่านพร้อม เตรียมตัวระวัง เริ่มได้...”
ไทกับผู้พันฌอนต่างรีบคว้าปืนแล้วยิงตามเป้าที่กำหนดด้วยความเร็วมีกรรมการจับเวลา ไทกระสุนหมดเขาใส่กระสุนอย่างชำนาญ ผู้พันฌอนก็ไวมาก เขายิงแม่นและโดนทุกเป้า ไทแววตาจริงจังเข้าเล็งและถูกเป้าเช่นกันพร้อมกับความเร็ว การแข่งขันจบลง กรรมการรวมคะแนนแล้วประกาศ
“ทีนี้การแข่งขันก็จบลงแล้วนะครับ เราจะมาดูกันว่าใครเป็นผู้ชนะ ดูท่าทางจะมีเหตุการณ์ผิดปกตินะครับ เวลาเท่ากันทั้งคู่เลยนะครับ คือ 25.53 วินาที และตอนนี้เราก็ต้องตัดสินกันที่เป้าสุดท้ายนะครับ”
กรรมการเข้าไปดูแต้มแล้วยกนิ้วบอกคะแนน ฝั่งไทได้ 9 แต้ม ส่วนผู้พันฌอนได้ 10 แต้ม
“ขอแสดงความยินดีกับผู้พันฌอนเมล์น ด้วยนะครับ โอ้โหชนะกันแค่แต้มเดียว ถือว่าฉิวเฉียดจริงๆ ครับผู้ชนะได้แก่ ผู้พันฌอนเมล์น”
ทุกคนต่างปรบมือให้ผู้พันฌอน เขามองไทแบบชื่นชม ไทยิ้มและพยักหน้าให้แล้วเดินจากไป

ไทยืนนับเงินรางวัลที่ด้านหน้า เขาวางถ้วยรางวัลไว้ที่โต๊ะ เมื่อนับเสร็จเขาก็สะพายเป้แล้วเดินออกไปโดยไม่สนใจถ้วยรางวัล ผู้พันฌอนเดินเข้ามาแล้วเรียกไท
“เดี๋ยวพ่อหนุ่ม นายลืมของแน่ะ”
ไทหันกลับมาแล้วยิ้มให้ เขาไม่ลืมแต่จงใจวางมันไว้
“ผมมาแข่งเพราะอยากได้เงิน”
ผู้พันฌอนรู้สึกถูกชะตาไท
“นายนี่แปลก คนเข้าแข่งเป็นร้อยเขาอยากได้ถ้วยใบนี้มากกว่า”
“ถ้วยกินไม่ได้ครับ”
“นายอยู่ที่ไหน ทำงานอะไร”
“ไม่มีหลักแหล่ง ไปมันเรื่อยๆ พอใจที่ไหนก็หางานทำ”
ผู้พันฌอนมีความคิดบางอย่าง
“อยากทำงานกับฉันไหมล่ะ”
ไทมองหน้าแววตาตกลง

ปลายฟ้ารีบแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย แล้วเร่งแป้งที่กำลังแต่งตัว ท่าทางปลายฟ้ามีความสุขที่จะได้กินของดีๆ
“เร็วหน่อยแป้ง ท้องฉันร้องแล้ว”
“เสร็จแล้วย่ะ ฉันสวยยัง”
“สวยแล้ว”
“ไป พร้อมหรือยัง”
“พร้อมตั้งแต่เทอมที่แล้วแล้ว”
ทั้งคู่หัวเราะอย่างมีความสุข และเปิดประตูห้องออกมาแต่ก็ต้องตะลึงเมื่อเจอเจ้าของห้องเช่าพอดีเจ้าของห้องทวงค่าห้องแบบอารมณ์ดี
“อะไรแก จะไปไหนกันจ๊ะ แต่งตัวซะดีมีราศีเชียว เอ สงสัยจะมีค่าห้องมาจ่ายแล้วใช่ไหมล่ะ”
ปลายฟ้าทำท่าจะผลัดผ่อน
“เอ่อ ตอนนี้....”
“เอ๊ะ อย่านะ อย่าบอกว่าไม่มีนะ โกรธตายเลย อย่าให้พี่ต้องล็อคห้องเลยนะ”

ปลายฟ้ากับแป้งมองหน้ากัน ปลายฟ้าเพยิดหน้าให้แป้งประมาณว่าจ่ายไปก่อน

ถนนริมแม่น้ำยามเย็นมีคนมาเดินเล่นและซื้อของนั่งกินกัน ที่ขนมจีนที่หาบมาขายปลายฟ้ากับแป้งนั่งยองๆกินขนมจีนกันอยู่ ปลายฟ้าบ่น

“แต่เพราะยายป้าเจ้าของห้องทีเดียว เราเลยอดกินปลาคังเลย”
แป้งยังมองโลกในแง่ดี
“ยังไงก็ดีกว่ากินบะหมี่ที่ห้องล่ะน่า”
“แต่ฉันเสียดายนี่หว่า”
“เสียดายอะไร”
“เสียดายเงินที่แกอุตส่าห์เอาหน้าอกแกไปโชว์น่ะสิ”
“บ้า”
“เดี๋ยวเงินเดือนฉันออกฉันจะเอาส่วนของฉันมาคืนแกนะ”
แป้งพยักหน้ารับทั้งคู่นั่งกินขนมจีนต่อ

วันต่อมาที่โรงยิมของสนามยิงปืน ไทวิ่งบนเครื่องวิ่ง เวลาผ่านไป ไทวิดพื้น ดันข้อ ซิทอัพ วิ่ง ยกน้ำหนักฯลฯ
“ฉันทำงานนอกราชการ รับจ้างรบ ถ้านายสนใจก็เชิญ” ผู้พันฌอนบอกขณะเดินคุยกับไท “ฉันอยากได้คนอย่างนายมาร่วมทีม ค่าตอบแทนคุ้มค่าแต่ไม่มี สวัสดิการ ไม่มีเหรียญกล้าหาญ ไม่มีเกียรติ ตายไปจะไม่มีใครจดจำ นาย โอเคไหม สิ่งแรกที่นายต้องทำคือความพร้อม”
ผู้พันฌอนพูดเสร็จถอยรถจี๊ปออกไป ไทฝึกยิงปืนแบบซุ่มยิงที่สนามยิงปืน

ไทเตรียมแต่งชุดให้รัดกุม เขาสวมเสื้อกันกระสุนและเตรียมอาวุธ ลูกบอลยางใบเล็กขนาดเท่าลูกเทนนิสกลิ้งมาที่เท้าเขา เขาก้มมองมันแล้วหยิบขึ้นมาไทคุ้นลูกบอลแบบนี้
“ขอของฉันคืนด้วยเพื่อน”
ไทเงยหน้าขึ้นเห็นเอี่ยวยืนอยู่ไม่ห่างนักเขากำลังเดินยิ้มเข้ามาอย่างอารมณ์ดี ไทขว้างบอลออกไปเขารับได้อย่างรวดเร็ว
“ฉันนึกแล้วว่านายต้องมาจบที่นี่ ผู้พันต้องเลือกนายแหงๆ”
“ฉันไม่ได้มาจบที่นี่ แต่ฉันมาเริ่มต้นต่างหาก แล้วนายล่ะ มาจบหรือมาเริ่มต้น”
“ฉันมาทำก่อนนายได้นิดหน่อย ที่ผ่านมาก็ทำโน่นทำนี่ เฉียดคุกไปเฉียดคุกมา เลยอยากจะเปลี่ยนฟิวส์มาเฉียดความตายดูบ้าง”
“ขอให้นายสมหวังก็แล้วกัน”
เอี่ยวหัวเราะ แล้วกอดคอไท
“เวลาอยู่ในสนามรบน่ะ มันก็เท่ากับว่าตายไปครึ่งตัวแล้วโว้ย ถามจริงๆ นายไม่กลัวหรือ”
“กลัว”
“กลัวแล้วมาทำไม”
“ไม่ได้กลัวตาย กลัวไม่มีจะกิน”
ทั้งคู่มีไมตรีต่อกันแล้วทำกิจกรรมร่วมกัน ผู้พันฌอนเดินเข้ามาด้วยท่าทางพอใจ
“นี่คุ้นเคยกันดีแล้วใช่ไหม”
“ครับ ผู้พัน แกกับผู้พันหลอกฉันซะสนิทเลย”
“เฮ้ย เค้าไม่ได้เรียกว่าหลอกเว้ย เค้าเรียกว่าวางแผนซะแนบเนียน เป็นไงสายตาผมใช้ได้ไหมครับผู้พัน”
“ดี ผมว่าไทเหมาะที่จะร่วมทีมกับเราผมขอแนะนำอีกสองคน นี่ จ่าเค และนี่หมวดหม่อง สองคนนี้จะอยู่ในทีมเรา”
ทั้งหมดมองหน้ากันและพยักหน้าให้กันแบบนักรบ ใบหน้าจ่าเคมีแต่แผลเป็นท่าทางจะกร้านศึก ผมยาวเอาผ้าโพกไว้ เขาเคี้ยวหมากฝรั่งตลอดเวลา หมวดเคหนุ่มไว้ผมทรงโมฮ็อก ใส่ต่างหู ชอบเล่นเกมส์เพลย์ตลอดเวลา

“ได้เวลาเดินทางแล้ว ส่วนภารกิจเราจะคุยกันในรถ”

กลางหุบเขาในป่าลึก พวกกองทัพขนยาเสพติดของกระเหรี่ยง ตั้งแคมป์อยู่ในแอ่งของหุบเขา มีเต็นท์ใหญ่ซึ่งเป็นเต็นท์อำนวยการและเก็บยาเสพติด มีทหารประมาณ 18 คนรวมทั้งหัวหน้าด้วย

ทั้งหมดกำลังเตรียมตัวเก็บของออกเดินทางต่อ มีม้าพื้นเมือง 3 ตัว และลังข้าวของวางพอที่จะเป็นที่หลบและกำบังตัวได้ ยังมีรถจี๊ปจอดอยู่ และมีราวตากผ้าตากผ้าเต็นท์ผืนใหญ่
ผู้พันฌอน และทีมทหารรับจ้าง 5 คน ค่อยๆ ซุ่มเดินมาตามป่า อย่างระมัดระวัง
“นี่เป็นภาระกิจสำคัญ ทุกคนจำไว้ว่า เราต้องการจับหัวหน้าของพวกมันเป็นๆ ค่าหัว 4 ล้าน ส่วนยาเสพติดที่จับได้ รัฐบาลจะจ่ายให้ 10 เปอร์เซ็นต์ของราคาที่ขายในท้องตลาด”
ทั้งหมดเดินมาถึงหน้าผาเตี้ยๆ ด้านล่างเป็นแอ่งเห็นว่ามีชายประมาณ 18 คนกำลังบรรจุยาเสพติดใส่หลังม้าพื้นเมืองและกำลังจะออกเดินทาง บางคนกำลังเก็บเต็นท์ มีหัวหน้าคอยสั่งการ
“นั่น หัวหน้ามัน ทำตามแผนที่วางไว้ เอี่ยวนายลงไปแล้วลอบเข้าไปวางระเบิดตามจุดสำคัญ หมวดหม่องนายคุมไปทางด้านโน้น จ่าเคไปกับผมพอเอี่ยววางระเบิดเสร็จให้กลับมาสมทบกับหมวดหม่อง แล้วฉันจะกดระเบิด เริ่มเข้าชาร์จเลย ไปอย่างเร็วและเงียบที่สุด ส่วนไท นายคอยซุ่มยิง ถ้าเห็นว่าเหตุการณ์ไม่ดีก็ให้เก็บทีละคน เอาล่ะ ไปได้”
ทุกคนแยกกันไป ไทเตรียมปืนให้พร้อมแล้วเช็คระยะจากกล้องที่ติดปืน จ่าเคค่อยๆ วิ่งหลบไปตามลัง รถจี๊ป และราวตากผ้า แล้ววางระเบิด ตามส่วนต่างๆ เขาส่งสัญญาณหมวดหม่องรู้ ไทใช้กล้องจากปืนดูความเคลื่อนไหวเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ผู้พันฌอนกับเอี่ยวเคลื่อนตัวไปใกล้ที่ค่าย ในระยะ 200 เมตร หมวดหม่อง ลงไปใกล้ในระยะ 100 เมตร จ่าเคบุกเข้าไปใกล้อีก แต่มีฝ่ายกระเหรี่ยงคนหนึ่งมองเห็นแต่ไม่แน่ใจว่าเป็นอะไรจึงวิ่งมาดู แล้วใช้ปืนเล็งตรงแนวซ้าย เห็น 2 คนเดินมา ไทเห็นจากกล้องติดปืนจึงยิงฝ่ายกระเหรี่ยงตายคาที่
ฌอนส่งสัญญาณ ไททำมือ OK เอี่ยววางระเบิดเสร็จ ไทมองผ่านกล้องเห็นฝ่ายกระเหรี่ยงจะยิงด้านหลังของจ่าเค ไทเก็บมันมันที จ่าเครอดอย่างหวุดหวิด
จ่าเควางระเบิดหมดแล้วเขาส่งสัญญาณให้ทุกรู้ ขณะที่กำลังจะเข้าโจมตี ทหารกระเหรี่ยงคนหนึ่งมาเห็นเพื่อนที่โดนยิงตายจึงร้องโวยวายให้ทุกคนรู้ หัวหน้ากระเหรี่ยงตื่นตัวตะโกนสั่ง
“วู้ด (หลบ)”
“ซะดี (ระวัง)”
ทุกคนเอาตัวรอดเร็ว มีคนบุกมาแล้ว หัวหน้าสั่งเป็นภาษากระเหรี่ยง
“ระวังตัว คุ้มกันของด้วย”
ทหารทุกคนตื่นตัว ไทเก็บทหารคนที่โวยวายไปอีกคน ผู้พันฌอนตัดสินใจกดระเบิด ระเบิดสามจุดระเบิดขึ้น
ทหารกระเหรี่ยงแตกตื่น ฝูงม้าต่างตื่นร้องกันเสียงดัง ฝ่ายผู้พันฌอนตัดสินใจยิงปืนเข้าใส่แล้วบุกเข้าชาร์จ หัวหน้ากระเหรี่ยงสั่งสู้ตายและตอบโต้
“ยีน ไซ ซะ(สู้ ลุย)”
“สู้ตาย สู้ตาย ซะ (ลุย)”
การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด ไทพยายามซุ่มยิงทีละคน แต่แล้วหัวหน้ารู้ตัวจึงสั่งปืนกลยิงมาทางไท แต่เขาหลบไปได้ ฝ่ายกระเหรี่ยงเริ่มตั้งตัวได้ และคุมสถานการณ์ไว้ได้ จากที่อยู่ในวงล้อมผู้พันฌอน บัดนี้พวกมันยิงทหารของผู้พันฌอนตายไปสองคน คงเหลือ ผู้พันฌอน เอี่ยว ไท และตอนนี้ผู้พันฌอนกับเอี่ยวกำลังตกในวงล้อมของทหารกระเหรี่ยง
ไทลอบเข้ามาหาซึ่งผู้พันฌอนถูกยิงบาดเจ็บที่ขา ส่วนเอี่ยวยังไม่เป็นอะไร
“เอายังไงดีไท”
ผู้พันฌอนถามไท ไทจึงตอบอย่างประชด
“เราล้อมมันไว้ดีไหม? ยังไงก็ต้องฝ่าออกไปครับ”
ไทพูดยังไม่ทันขาดคำก็มี จรวด RPG มาตกลงข้างๆ ร่างของเขาลอยสติขาดลงในหัวมีแต่เสียงวิ้งแล้วไทก็เห็นภาพในอดีตตอนที่เขาเดินป่ากับพ่อ
ไทได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด เทอดตระหนก ไทกลัว
“ไปไท สงสัยมีการปะทะกัน”
เทอดวิ่งไปตามเสียง ไทวิ่งตามไป ข้างหน้ามีการยิงต่อสู้กันระหว่างพวกเจ้าหน้าที่กับพวกตัดไม้ เทอดไปสมทบ ไทถูกระสุนยิงต้านไว้ห่างออกไปเทอดตะโกน
“ไท ไม่ต้องกลัวนะลูก ก้มหัวไว้ พ่อกำลังไปช่วย”
ไทหลบที่ซอกหินจนตัวลีบ เขากลัว พ่อของเขามาหาเขาจริงๆ เขากอดพ่อแน่น ไทเอามือปิดหูหลับตากลัวไม่สนใจโลกภายนอก เทอดเรียกไทรู้สึกตัว

“ไท ไท ไม่ต้องกลัว นี่พ่อไง ไท”

ไทตื่นขึ้น เขาถูกล้อมเหมือนเหตุการณ์ในอดีตไม่มีผิด เสียงที่พ่อเรียกไทกลับเป็นเสียงของเอี่ยว ไทรู้สึกตัวแล้วฟื้นขึ้น

“ไท ไท”
แม้ว่าเหตุการณ์จะคล้ายตอนเด็ก แต่บัดนี้เขาคือไทที่แข็งแกร่งและพร้อมเป็นผู้นำไทตั้งตัวแล้วฮึด
“ไป”
ทุกคนพยักหน้ารับแล้วลุยออกไปเอี่ยวยิงปืนนำหน้า ไทพาผู้พันฌอนออกมา ยังมีระเบิดที่ยังไม่ได้กดอีกสองลูก ผู้พันฌอนกดระเบิด ระเบิดระเบิดขึ้นตูม มีไฟวูบลูกใหญ่ด้านหลังของเขากับไท หัวหน้ากระเหรี่ยงกับลูกน้องวิ่งออกมาจากเปลวเพลิงแล้วยิงใส่หลังไท ลูกปืนวิ่งเข้าที่ไหล่ด้านหลังทะลุหน้า เขาทรุดลงพาเอาผู้พันฌอนทรุดด้วย แต่ก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้นผู้พันฌอนซัดมันด้วยมีดสั้นปักคอทหารขาดใจตายทันที หัวหน้ากระเหรี่ยงเห็นท่าไม่ดีจึงหนีไป
เอี่ยววิ่งมายิงคุ้มกัน พวกทหารกระเหรี่ยงตายเป็นเบือ ผู้พันฌอนกดระเบิดลูกสุดท้าย ทหารกระเหรี่ยงถูกยิงล้มลงหลายคน ไทยิงเข้าใส่อย่างใจเย็น บางอารมณ์ก็บ้าเลือด เอี่ยวยิงใส่ทหารกระเหรี่ยงอย่างบ้าคลั่งด้วยปืนกล
เวลาผ่านไปทุกอย่างสงบลง ไท ผู้พันฌอน เอี่ยว ยืนโชกเลือดอยู่ท่ามกลางศพและควันไฟ ทุกอย่างถูกเผาหมด ยังมีม้ายืนอยู่สองสามตัว
กลุ่มหัวหน้าโจรจะนำทหารมา หัวหน้าโจรพูด
“ถล่มพวกมันอย่าให้เหลือ”
“ได้เลย”
ทุกคนรับรู้
ผู้พันฌอนกับเอี่ยวสู้กับพวกศัตรูไม่นานก็ได้ยินเสียงระเบิดจึงหันมาดูเห็นไทโดนแรงระเบิดเลือดท่วมตัว
“เอี่ยว ไปดูไท”
ผู้พันฌอนบอกเอี่ยว แล้วหันไปสู้กับคนร้ายต่อ เอี่ยวเข้าไปดูไทแล้วแบกไทเข้ามาทั้งหมดพากันถอย
“พวกเราอยู่ที่ต่ำกว่าเราเป็นฝ่ายเสียเปรียบพวกมัน”

บนหน้าผาไท เอี่ยว ผู้พันฌอน นั่งรถเข็นมีคนเข็นให้ ทั้งหมดยืนมองไปตามที่ตัวเองอยากมอง ผู้พันฌอนทำลายความเงียบ
“ภาระกิจอาจจะลุล่วงแต่มันไม่สมบูรณ์ หัวหน้ามันหนีไปได้”
“เราไปตามมันต่อไม่ได้หรือครับ ผู้พัน”
“มันไม่มีคนจ้างน่ะสิ เรามันทหารรับจ้าง จะทำงานก็ต่อเมื่อมีคนจ้าง”
“ทำไมเขาไม่จ้างเราต่อ”
“มันเป็นเรื่องของการเมืองที่มันไม่แน่ไม่นอน แต่ที่แน่ๆ เราต้องยุบทีมแล้วแยกย้ายกันไป”
ไทกับเอี่ยวหันมามองผู้พันฌอนแบบตั้งคำถาม
“หัวหน้ามันไม่ตายมันคงไม่ปล่อยให้พวกเราลอยนวลหรอก ฉันรู้จักไอ้บ้านี่มันดี พวกเราหายไปสักพักแล้วค่อยว่ากัน เอ้า นี่ค่าเหนื่อย เอาล่ะเจอกันเมื่อชาติต้องการ”
ไทกับเอี่ยวรับเงินไปเมื่อผู้พันฌอนพูดจบทุกคนต่างแยกเดินไปคนละทาง เอี่ยวหันมาถามไท
“แกจะไปไหนวะไท”
“ฉันว่าจะไปทางใต้”
“งั้นฉันไปทางเหนือแล้วกัน”
“โชคดีเพื่อน”
“เจอกันเมื่อชาติต้องการ”

ทั้งหมดแยกย้ายกันไป

ดุจตะวันดั่งภูผา ตอนที่ 1 (ต่อ)

เช้าวันรุ่งขึ้นปลายฟ้ามาที่หน้าร้านที่เธอทำงานหวังจะเบิกเงินเดือนแต่ก็แทบช็อคเพราะร้านปิด มีป้ายติดหน้าร้านว่าเซ้งด่วน

“เจริญล่ะข้าพเจ้า โอ๊ยทำไมถึงซวยอย่างนี้ สอบดนตรีสายก็ขาด ไปถ่ายแบบอกก็แฟบ จะมารับเงินเดือนเจ้าของร้านก็ปิดร้านหนี จะมีอะไรซวยอีกไหมเนี่ย” ปลายฟ้าหันออกมาจากร้านอย่างเซ็ง แล้วเห็นไทนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ฝั่งตรงข้าม เธอเดินไปหา “นายนั่นเอง จะมากินอาหารเหรอ เสียใจด้วยนะ ร้านปิดกิจการไปแล้ว”
“ฉันไม่ได้จะมากินหรอก เอ ดูเธอน่าจะเสียใจกว่าฉันนะ”
“ช่างมันเถอะ ว่าแต่นายมาที่นี่ทำไม นั่นแน่ อย่าบอกว่ามาหาฉันนะ เขินตายเลย นานๆ จะมีหนุ่มๆ มารอจีบซะที”
ปลายฟ้าทำท่าอายๆ เขินๆ ไทส่ายหน้าแต่ก็เอ็นดูในความทะเล้น
“ใช่ ฉันมาหาเธอ แต่ไม่ได้มาจีบหรอก ฉันจะมาบอกว่าฉันต้องไปแล้ว”
ปลายฟ้านิ่งมองไทแบบอาลัยและสงสัย

ไทยืนมองแม่น้ำที่สะพานข้ามแม่น้ำแควปลายฟ้าเดินเข้ามา
“นายจะไปไหน”
“ฉันยังไม่รู้เลย” ปลายฟ้านิ่ง เงียบ เธอเก็บความรู้สึก “แต่มันต้องไป บางทีฉันอาจจะเจอจุดหมายของฉันก็ได้”
“ฉันเข้าใจ ทุกคนต้องมีจุดหมาย ต่างกันที่ว่าจุดหมายของใครนั้นจะอยู่ใกล้หรืออยู่ไกล ยังไงฉันขอให้นายโชคดีนะ”
ไทรู้สึกว่าปลายฟ้าจริงใจ
“เธอด้วย เอ้า”
ไทยื่นซองสายเชลโล่ชุดใหม่ให้ปลายฟ้า ปลายฟ้ารับไปดู
“สายเชลโล่”
“เธอต้องใช้มันพาไปสู่จุดหมาย”
ปลายฟ้ารู้สึกดี
“ขอบใจนะ ฉันต้องไปแล้วล่ะ โชคดีนะ” ปลายฟ้ายิ้มสดใสสดชื่น แล้ววิ่งจากมา เธอหยุด ไทหันมามองเธอ
“สู้เขานะ”
ปลายฟ้าวิ่งไป ไทมองตามยิ้ม รู้สึกชอบความสดใสและติงต๊องเธอ
ไทขี่มอเตอร์ไซค์มาตามถนนหลวง
“หลายอย่างผ่านมาแล้วก็ผ่านไป บางอย่างอยู่ในความทรงจำ แต่บางอย่างก็หายไปในระหว่างทาง”

4เดือนผ่านไป ในผับหรูพีทนั่งกับผู้หญิงของเขาท่าทางมีความสุข ห่างออกไปมีเจ้าถิ่นชื่อแจ็คกี้นั่งอยู่ มีผู้หญิงโอบล้อม ท่าทางเก๋า มีลูกน้องรายล้อมทั่วไป แจ็คกี้ มองมาทางพีทอย่างไม่ค่อยพอใจแล้วถามลูกน้อง
“ไอ้หมอนั่นมันเป็นใครวะ”
“ไม่รู้พี่ ไม่เคยเห็นหน้า”
แจ็คกี้แววตาเข้มในหน้ายิ้มเขายังเฉยๆ ดูเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ อีกมุมหนึ่งปลายฟ้ากับแป้งนั่งดื่มกันอยู่ แป้งท่าทางเมา ปลายฟ้าก็มึนๆ แป้งคุยเสียงดัง
“เรียนจบจนได้ ฉลองกันให้เต็มที่เลย”
“แต่เก็บเงินไว้บ้างก็ดีนะ อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบมาตั้งนาน”
“เออน่า ขอเต็มที่สักวันเถอะน่า แล้วค่อยหางานใหม่ทำ นะ มาดื่ม”
“ก็ได้ มาดื่ม ไม่นึกเลยว่าเมืองนี้จะศิวิไลซ์ขนาดนี้ท่าทางจะมีงานเยอะ รู้งี้มาตั้งนานแล้วทะเลก็สวยปีหน้าค่อยไปเจอหน้ายายอาจารย์แหม่มนั่นใหม่ คอยดูนะฉันจะสอบให้ได้เลย”
ปลายฟ้าเสียงเหมือนจะร้องไห้ แป้งกอดปลอบใจ แป้งเริ่มเมาเละเทะ
“น่า นะ อย่าไปเสียใจเลย เออ ปีหน้าเขาย้ายไปสอบที่วิทยาเขตแล้วนะ”
แป้งกอดปลายฟ้าแล้วปลอบแต่ตัวเองกลับร้องไห้แทน
“รู้แล้วน่ะ นี่ตกลงแกปลอบฉันหรือ ฉันปลอบแกกันแน่นะเนี่ย ฉันไปห้องน้ำก่อนดีกว่า”
ปลายฟ้าลุกไปห้องน้ำแป้งนั่งคนเดียวท่าทางเพลิน พีทบอกสาวๆ ว่าเขาจะไปห้องน้ำ แป้งสั่งเหล้าที่บาร์อีกแก้ว

“ขอเหมือนเดิมอีกแก้ว”

จังหวะที่แป้งรับข้อศอกเธอไปโดนแก้วเปล่าข้างๆ ตกลง มันกำลังจะตกลงพื้นแต่มีมือมาคว้าไว้ ซึ่งก็คือมือพีทนั่นเอง

“น้องเอามาใหม่แล้ว” พีทสั่ง
“อุ๊ย ขอบคุณค่ะ”
พีทยิ้มให้แป้งอย่างมีไมตรี แป้งยิ้มตอบอย่างมีไมตรีเช่นกัน
“นั่งด้วยคนได้ไหมครับ”
“ยินดีค่ะ”
“มาคนเดียวหรือครับ”
“มากี่คนไม่สำคัญหรอกค่ะ สำคัญที่ว่าตอนนี้มีเราสองคนมากกว่า”
แป้งทำตาเยิ้มยั่วยวน พีทยิ้มนึกในใจว่าวันนี้โชคดีจริงๆ
“งั้นผมนั่งเป็นเพื่อนนะครับ”
แป้งหรี่ตายั่วยวน
“ลองไม่นั่งดูสิ”
แป้งทำท่าเสือสาว พีทนั่งลงแป้งเอนตัวมาใกล้ๆ
“ทำไมดุจังนะแม่เสือสาว”
“เฉพาะกับคนถูกใจแค่นั้นแหละค่ะ”
“งั้นเรามาดื่มกัน”
“ได้เลย”
พีทจะชนแก้วแต่แป้งส่ายหน้าแล้วคล้องแขนดื่มกัน พีทยิ้ม ดื่มเสร็จแป้งก็โอบพีทแล้วซบไหล่
ปลายฟ้าส่องกระจกดูความเรียบร้อยในห้องน้ำเสร็จแล้วเดินออกมา แป้งกำลังคุยกับพีทอย่างสนุก แป้งเอามือสองข้างโอบพีทราวกับเป็นคู่รักกัน
“คุณนี่น่ารักจังเลย มีแฟนยังอ่ะ”
“โสดครับ แล้วคุณล่ะ”
“อุ๊ย เหมือนกันเลย”
แป้งหัวเราะ ปลายฟ้าตกใจรีบเดินมาหาแป้งแล้วเอามือออกจากคอพีท พีทงง
“แป้ง ตายแล้ว เมาอะไรกันขนาดนี้ ไป ไป กลับได้แล้ว”
ปลายฟ้ามองหน้าพีทแบบต่อว่าว่าฉวยโอกาส พีทนิ่งไม่พูดอะไรสะดุดตากับใบหน้าของปลายฟ้า ปลายฟ้าพาแป้งเดินออกไป
“อ้าว กลับแล้วหรือยังไม่เมาเลย”
“ต้องลากออกมานี่นะ ยังไม่เมา”
พีทมองตามทั้งคู่ที่ทางออก แล้วตัดสินใจเดินตามไป
“ผมไปส่งมั้ยครับ”
“ช่วยอะไรหน่อยสิ ช่วยจ่ายตังค์ให้ที”
แจ็คกี้กับชายร่างใหญ่เดินเข้ามาขวางไว้ เขาพยักหน้าให้ผู้หญิงที่โต๊ะพีท แจ็คกี้ท่าทางกร่างและกวน สาวลุกไปอย่างจำใจ ปลายฟ้าประคองแป้งออกไปนอกร้าน พีทมองตามแบบเสียดายอยากจะไปแต่ไปไม่ได้ พีทเก็บอาการแต่รู้สึกเสียหน้า ในมือถือแก้วเหล้ามีเหล้าครึ่งแก้ว
“ท่าทางนายจะเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า”
พีทถามแจ็คกี้
“ไม่เข้าใจผิดอะไรหรอก นังนั่นเป็นเด็กลูกพี่อั๊ว”
“เด็กลูกพี่ชื่อนายเหรอ อั๊วไม่รู้นี่หว่า นังนั่นอยู่กับฉันตั้งแต่แรกแล้ว”
“แกนั่นแหละเข้าใจผิด นี่มันคนของฉัน เด็กเข้าที่นี่ก็ที่ของฉัน ขอแนะนำว่าแกควรจะดื่มๆ ให้เมาแล้วไสหัวไปซะ”
พีทไม่กลัว เขามองไปรอบๆ เห็นลูกน้องหลายคน
“วันนี้ฉันไม่อยากดื่มแล้ว ฉันฝากเหล้าไว้ก่อนก็แล้วกัน”
“ได้”
พีทสาดเหล้าใส่หน้าแจ็คกี้อย่างรวดเร็ว แจ็คกี้ไม่ได้ตั้งตัว พีทต่อยแจ็คกี้ไปหมัดนึ่ง แจ็คกี้เซไป ลูกน้องร่างใหญ่เข้ามาจะต่อยพีท พีทคว้าขวดเหล้าตีหัวมันจนแก้วแตก ลูกน้องทุกคนแจ็คกี้ชักปืนออกมาพีทสีหน้าไม่หวั่น ผู้หญิงของพีท กลัวกอดพีทแน่น
“เธอออกไปรอข้างนอก”
ผู้หญิงรนรานออกไป ลูกน้องขึ้นนกปืน อย่างไม่ทันระวัง อาฮวดชักปืนสอดเข้ามา ทุกคนตกใจ ลูกน้องแจ็คกี้ที่เหลือต่างชักปืนเข้ามาจ่อกันทีละคน ลูกน้องอาฮวดก็ชักปืนขึ้นมาเหมือนกัน ทั้งหมดจ้องหน้าดูเชิงกัน
“เจ๊กฮวด”
“นายน้อยไปก่อน”
“สงสัยจะไม่ได้มั้งป๊า”
อาฮวดและลูกน้องแจ็คกี้จ้องตาแข็งไม่มีใครยอมใคร
“งั้นก็เหนี่ยวไกเลย”

สีหน้าทุกคนตัดสินใจ

แต่ก่อนที่ทุกคนจะทำอะไร นายใหญ่ก็เดินเข้ามา นายใหญ่เดินตรงมาที่อาฮวดด้วยท่าทางยียวน

“ใจเย็นๆ พี่ฮวดอุตส่าห์ข้ามถิ่นมาทั้งที ให้เกียรติพี่เขาหน่อย”
“ขอบใจ ฉันจะเอาคนของฉันกลับ”
นายใหญ่มากระซิบข้างหูอาฮวด
“ได้”
อาฮวดค่อยๆ พาพีทออกไปแล้วพานายไปส่งที่รถ ลูกน้องทั้งหมดออกไปด้วย นายใหญ่มองตาม แจ็คกี้ไม่พอใจ
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่ามีเรื่องในนี้แล้วก็พยายามอย่าใช้ปืน มันหนวกหู”
นายใหญ่ต่อว่าแจ็คกี้
“แต่ข้ามถิ่นแบบนี้มันหยามกันเกินไปนี่ครับ”
“ก็ไปคุยกันข้างนอกสิ” นายใหญ่ยิ้มเป็นนัย แจ็คกี้พอเข้าใจรีบเดินออกไป
อาฮวดส่งพีทจนขับรถออกไป เขาเบาใจแล้วเดินกลับไปที่รถกับพวกลูกน้อง ที่รถอาฮวด แจ็คกี้กับลูกน้องประมาณ 7 คนยืนดักอยู่ในมือทุกคนมีอาวุธเช่นไม้เบสบอล โซ่ ประแจเลื่อน ฯลฯ อาฮวดยืนประจันหน้าระวังตัว
“ฉันนึกอยู่แล้วว่าพวกชอบกลืนน้ำลายตัวเอง ถอยไปจากรถฉันแล้วฉันจะไว้ชีวิตพวกแก”
“คงยากนะป๊า เพราะนอกจากฉันจะไม่ถอยไปแล้วฉันจะทำแบบนี้ด้วย”
พูดจบแจ็คกี้เพยิดหน้าให้ลูกน้องเอาไม้เบสบอลตีกระจกรถอาฮวด อาฮวดแววตากร้าวแล้วสั่งลูกน้องเบาๆ
“อย่าเพิ่งใช้ปืน”
ลูกน้องรับรู้และเกิดการตะลุมบอนกัน พวกของอาฮวดสยบพวกแจ็คกี้ได้หมดทุกคน แจ็คกี้ยอม
“ยอม ยอมแล้ว”
อาฮวดเอาหัวมันกระแทกกับรถไปสองสามทีแล้วกลับ ลูกน้องขับรถออกไป

ปลายฟ้าพาแป้งเดินมาตามถนน ทางที่จะกลับบ้าน ทั้งคู่กอดคอกันร้องเพลงกันอย่างสบายใจ ทั้งคู่หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
“มันจังเลย วู้”
พีทขับรถมาอีกฝั่งของถนน ข้างๆ มีผู้หญิงนั่งมาด้วย เขาขับสวนกับปลายฟ้ากับแป้งก็จำได้ พีทรีบจอดรถบอกให้ผู้หญิงลง
“ขอโทษนะ เจอคนรู้จัก”
พอผู้หญิงลงจากรถพีทก็กลับรถมาเทียบที่ปลายฟ้า
“สวัสดีครับ จำผมได้ไหม เมื่อกี้เราเจอกันในผับไง”
แป้งคอตกปลายฟ้าพูดยียวนกับพีท
“จำไม่ได้ พอดีฉันความจำสั้น”
พีทสะอึกแล้วทำใจเย็น
“ให้ผมไปส่งไหมครับ มืดๆ อย่างนี้มันอันตรายจะตายไป”
“ไม่เป็นไร ฉันมีหน้าตาเป็นอาวุธอยู่แล้ว” พีทขำ
“สวยๆ อย่างคุณนี่นะ น่าขึ้นมาเถอะผมไปส่ง ดูท่าเพื่อนคุณจะแย่แล้ว” ปลายฟ้าทำหน้าตาแบบดูทุเรศ พีทพยายามอดทนและตื้อ “นี่คุณไม่เมื่อยกันบ้างเลยหรือ”
ปลายฟ้าฉุกคิดแล้วกระซิบแป้งที่คอตกอยู่
“เออว่ะฉันแบกแกมาตั้งนานแล้วเมื่อยชะมัดเลย นายจะไปส่งฉันแน่นะ”
ปลายฟ้าถามพีท พีทยิ้มแล้วยักคิ้ว
รถพีทแล่นออกไปอย่างเร็วปลายฟ้าร้องเล่นอย่างสะใจ
“วู้”
“จะให้ไปส่งที่ไหนครับ”
“ถึงแล้วจะบอก”
แป้งนั่งหลังรถแล้วชูมือสองข้าง
“ไปสวรรค์เลยเราสองคนเป็นนางฟ้า นางฟ้าตกบันไดเอ๊ยตกสวรรค์ขาเลยเจ็บเดินไม่ไหวต้องส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือบราโวบราโวเมเดย์เมเดย์จะอ้วกอยู่แล้วย้ำจะอ้วกอยู่แล้ว”
“เฮ้ย แป้งไม่เอานะ”
แป้งชะโงกหน้าออกไปอ้วก ปลายฟ้าหันกลับมาเซ็ง พีทไม่ว่าอะไร
“เพื่อนคุณท่าจะเมามาก”
“ประมาณนั้น” ปลายฟ้าเห็นแป้งเงียบไปจึงหันไปดูแป้งที่เบาะหลังเห็นว่าแป้งหลับในท่าทุเรศมากเอาขาก่ายประตูกับประทุนหลัง “ยายแป้งเอ๊ย”
ปลายฟ้าหัวเราะแก้เขินแล้วซนเปิดโน่นหยิบนี่ในรถมั่วไปหมด
“ผมชื่อพีทคุณชื่ออะไร”
“ไปส่งบ้านต้องถามชื่อด้วยหรือ”
“แหม ก็แค่อยากรู้จักทีผมยังบอกชื่อคุณเลย”
“ก็ฉันอยากรู้ที่ไหนล้า” ปลายฟ้าค้นรถไปมาแล้วหยิบเสื้อในของผู้หญิงขึ้นมา “นี่อะไรน่ะ”
พีทตกใจเสียฟอร์มแล้วรีบดึงมาแล้วโยนทิ้งไป
“คนเมื่อกี้เขาคงลืมไว้น่ะ”

รถวิ่งผ่านถนนไป

พีทขับรถมาถึงที่หนึ่งเป็นบริเวณซอยเล็กๆ ระหว่างตึกปลายฟ้าบอกให้จอด

“จอดตรงนี้แหละ”
พีทจอดรถแล้วถามแบบแววตามีเลศนัย
“บ้านคุณอยู่แถวนี้หรือ”
“ใช่อพาร์ทเม้นต์ฉันอยู่ในซอยนี้แหละ คงไม่ต้องไปส่งมากกว่านี้นะ”
“แน่นอนผมมันสุภาพบุรุษอยู่แล้ว”
“แป้งตื่นถึงแล้ว”
ปลายฟ้าลากแป้งเดินเข้าไปในซอยพีทขับรถผ่านซอยไปแล้วจอดสีหน้าเขาเจ้าเล่ห์
“ปล่อยไปก็ไม่ใช่พีทนะสิ”
พีทเดินเข้าไปในซอยมืดพีทลับไปปลายฟ้าก็โผล่ออกมาจากซอกด้านในแล้วแบกแป้งออกมาสีหน้าเธอรู้ทัน
“นึกอยู่แล้วไอ้จิ้งจอกเอ๊ย”
ปลายฟ้าพาแป้งเดินออกไป พีทเดินเข้าไปถึงกลางซอยแล้วผิดสังเกต
“หายไปไหนเร็วจังนะ พรุ่งนี้เจอกัน”

วันต่อมาพีทเดินเข้ามาในซอยที่มาส่งปลายฟ้าเมื่อคืน เขามองหาบ้านหรือพาร์ตเม้นท์แต่ไม่เจอ
“ไม่มีวี่แววจะมีอพาร์เม้นต์เลย” มีคนขายของอยู่ข้างทางพีทจึงเข้าไปถาม “ขอโทษครับข้างในนี้มีพวกอพาร์ตเม้นท์หรือบ้านเช่าไหมครับ”
“อพาร์ตเม้นท์เหรอ ข้าอยู่ที่นี่มา 20 กว่าปีแล้ว เข้าไปในนี้มีแต่บ้านคนนะพ่อหนุ่ม”
“ขอบคุณครับ...ยายนี่แสบจริงๆ” สีหน้าพีทบอกว่าวันนึงจะต้องเจอให้ได้ “ยายแสบเอ๊ย เธออยู่ไหนนะ”

6 เดือนผ่านไปที่จังหวัดพังงา เรือแบบพานักท่องเที่ยวดำน้ำวิ่งมาตามทะเล ไทขับเรือไปเรื่อยๆ ในเรือมีนักท่องเที่ยวกำลังเพลินกับบรรยากาศและเตรียมดำน้ำ รอบๆ ไท นักท่องเที่ยวต่างพลอดรักกัน บางคนซบไหล่กัน บางคนจูบกัน ไทลอบมองพวกเขาบ่อยๆ ขุนเพื่อนของไทอยู่ข้างๆ สังเกตเห็นแล้วอมยิ้ม
สมอเรือถูกทิ้งลงทะเล ไทบอกขุน
“เราจะดำกันตรงนี้แหละ”
ขุนและผู้ช่วยของเขา เอาชุดและอุปกรณ์ดำน้ำไปให้ลูกค้า ไทช่วยใส่และสอนให้ลูกค้าใช้อุปกรณ์ต่างๆ
จากนั้นนักท่องเที่ยวและลูกน้องของไทก็ลงดำน้ำ ไทนั่งพักที่หัวเรือ เขานั่งคิดอะไรเพลินๆ
“ลูกค้าลงไปหมดแล้ว คิดอะไรอยู่วะ” ขุนถามขึ้นมา
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”
“ไม่จริงมั้ง กูเห็นมึงมองฝรั่งพวกนั้นพลอดรักกันอยู่ อิจฉาเขาหรือ เหงาก็หาสักคนสิ อย่างเอ็งมันหล่อเลือกได้อยู่แล้ว จะเอาไทย จีน ฝรั่ง แขก ได้หมด ข้าอิจฉาเอ็งจริงๆ ว่ะ แหมพูดเรื่องนี้แล้วมันอยากไปเกิดใหม่จริงๆ คราวนี้จะเอาให้แบดพิทท์ น้ำตาซึมเลย” ขุนหันกลับมามองหาไทแต่ไม่เห็น “อ้าว ไอ้ไท ไปไหนแล้ว ปล่อยให้กูพูดคนเดียว ไอ้เวร”
ขุนหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
ใต้ทะเล ขณะนั้นไทดำน้ำแหวกว่ายไปเรื่อยๆ ด้วยท่าทางชำนาญ เขามองหาหอยมุกใต้ทะเลแล้วก็เจอมัน เขาเอามีดที่ขามาแงะเห็นว่ามันเม็ดใหญ่พอสมควร เขารีบขึ้นบนผิวน้ำ ขุนกำลังนั่งอยู่หัวเรือ จู่ๆ ไทก็พุ่งพรวดขึ้นมา ขุนตกใจ
“เฮ้ย ไอ้ไท เล่นเอากูตกใจหมด”
ไทยิ้มแล้วโยนไข่มุกให้ขุน ขุนรับได้แล้วตาวาว
“เอ้า ค่าทำขวัญ”
“โอ้โห ไอ้ไท ไปเอามาจากไหนวะเนี่ย เม็ดนี่เหยียบหมื่นเลยนะเนี่ย”
เวลาผ่านไป ไทนั่งคุยอยู่กับขุน ขุนดูมุกแล้วคืนให้ไท
“เอ็งนี่มันแน่จริงๆ ว่ะ เล่นมุกมาเม็ดเบ้อเร่อเลย”
“เอาไปเถอะ ฉันให้นายถือซะว่าเป็นค่าที่ฉันมาอาศัยอยู่ตั้งเกือบปี”
“เฮ้ย คิดอะไรอย่างนั้นวะเพื่อน ข้าเอาของแกไม่ลงหรอก” ไทยิ้ม
“เงินมันไม่สำคัญเท่ามิตรภาพหรอก เงินมันหาที่ไหนก็ได้ แต่มิตรภาพมันไม่มีซ่อนอยู่ทุกที่หรอก” ขุนยิ้ม
“ข้าซึ้งเอ็งจริงๆ ว่ะ แต่เงินมันก็คือเงินนะโว้ย เก็บไว้บ้างก็ดี ยามแก่ตัวไปจะได้มีบำนาญส่วนตัวกิน”
“ขอบใจที่เตือน ฉันก็คิดอยู่เหมือนกันนะว่าอยากจะหาที่ตั้งหลักแหล่งเสียทีเละเทะมาหลายปีแล้ว”
“คิดอย่างนั้นได้ก็ดี แล้วเอ็งคิดจะไปที่ไหนล่ะ”
ไทมีสีหน้าครุ่นคิด
“ไม่รู้สิ อยากหาที่สงบๆ ที่ที่ไม่มีใครรู้จักที่ไหนสักแห่งเริ่มต้นทำงานและใช้ชีวิตที่นั่น”
“เอา ข้าเอาใจช่วย ประเทศไทยออกกว้างใหญ่คงมีสักที่ล่ะวะที่ให้เอ็งเริ่มต้นชีวิตอย่างที่เอ็งอยากได้ เออ ถามหน่อยสิ เอ็งจะมีเมียสักกี่คนวะ” ไทมองขุนยิ้มๆ เขายังไม่มีเรื่องนี้ในหัวใจ “เอาซักโหลดีไหม เลี้ยงไม่ไหวแบ่งมาให้ข้าช่วยเลี้ยงบ้างก็ได้”

ไทรู้สึกขันในคำพูดของขุน มองไปที่ขอบฟ้าแล้วก็คิดเรื่องนี้ขึ้นมา ไทยิ้มคนเดียว บางทีเขาอาจจะเจอคนที่ถูกใจก็ได้ จากนั้นไทก็โดดลงน้ำอีกรอบ

โปรดติดตาม "ดุจตะวันดั่งภูผา" ตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น