บ่วงรัก ตอนที่ 2
เวลาต่อมา ขณะที่ยุ้ยนั่งทำงานอยู่ ธานินทร์เปิดประตูนำพิณทองออกมาจากในห้อง
“คุณยุ้ย” ธานินทร์ส่งเอกสารของพิณทองให้ “ช่วยไปที่ฝ่ายบุคคล และยกเลิกคำสั่งลาออกของหนูพิณด้วยนะ”
“อะไรนะคะท่าน” ยุ้ยฉงน
“บอกเค้าให้ยกเลิกคำสั่งลาออกหนูพิณด้วย ได้ยินแล้วใช่มั้ย”
“ค่ะท่าน” ยุ้ยรับเอกสารมาแล้วเดินออกไปเลย
“พิณขอบคุณท่านมากนะคะ ที่กรุณาพิณ”
“ไม่เป็นไร อย่าคิดมากเลย”
ธานินทร์เดินนำพิณทองมาที่ลิฟต์ พิณทองนั้นมีท่าทางดีใจมาก
ธานินทร์นึกได้ “หนูว่าค่าไถ่จักรแม่น่ะ เท่าไหร่นะ”
“ห้าพันค่ะ”
ธานินทร์ล้วงกระเป๋าตังค์หยิบเงินออกมาห้าพัน ส่งให้ “เอานี่”
พิณทองมองเงินตรงหน้า แล้วมองหน้าธานินทร์ “ขอบพระคุณค่ะ แต่พิณรับไม่ได้หรอกค่ะ”
“ฉันให้ยืม พอเงินเดือนหนูออก ฉันก็จะหักคืน”
พิณทองยิ้มออก ยกมือไหว้ และรับเงินมา “ขอบพระคุณมากค่ะ”
“วันนี้มันมีเรื่องเครียดมากแล้ว ทำงานต่อก็คงจะไม่มีความสุข หนูควรจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับมาทำงาน เดี๋ยวฉันจะให้คนรถขับไปส่ง”
“พิณขอบพระคุณท่านมาก ๆ นะคะ” พิณทองไหว้ธานินทร์ ยิ้มกว้างอย่างดีใจ
ธานินทร์ยิ้มสุขใจ “ไปเถอะๆ”
“พิณขอบพระคุณอีกครั้งนะคะ”
พิณทองไหว้ธานินทร์อีก ดีใจมากยิ่งขึ้น พิณทองหันหลังไป และหันกลับมา
“พิณขอบพระคุณอีกครั้งนะคะ”
ธานินทร์หัวเราะ “เดี๋ยวก็ไม่ได้ไปหรอก”
พิณทองเดินออกไป ธานินทร์ยิ้มรับ และยืนยิ้มมีความสุขอยู่คนเดียว
ธานินทร์ยกโทรศัพท์ขึ้นมา และกดโทร.ออก
“ศักดาเหรอ ขึ้นมาหาฉันหน่อยนะ”
ไม่นานนัก รถของธานินทร์แล่นไปบนถนน ภายในรถศักดาเป็นคนขับรถ ศักดามองไปที่กระจกส่องหลังเสียงธานินทร์ดังก้องในหัว
“ส่งเค้าให้ถึงบ้านนะ แล้วกลับมาบอกฉันด้วยว่าบ้านเค้าอยู่ที่ไหน”
ส่วนที่นั่งตอนหลัง พิณทองนั่งอยู่มุมหนึ่ง หน้าตาตื่นเต้น
“น้าคะ ๆ ช่วยจอดตรงนี้ก่อนค่ะ”
“บ้านอยู่ตรงนี้เหรอ” ศักดาถามขณะชะลอรถจอด
“ไม่ใช่ค่ะ แป๊บเดียว เดี๋ยวพิณมา” พิณทองรีบลงรถแล้ววิ่งจู๊ดออกไป
ศักดาฉงน “อ้าว” ก่อนจะลงจากรถมายืนมอง “แล้วมาทำอะไรเนี่ย”
พิณทองตะโกนกลับมา “มาไถ่จักรจ้า”
ศักดางงๆ
พิณทองวิ่งอย่างดีใจไปในบ้านเจ๊วิไล ครู่หนึ่งพิณทองก็วิ่งอุ้มจักรออกมา ท่าทางยินดีสุดๆ วิ่งตรงมาที่รถ
วิไลเดินออกมาดูที่รั้ว
ศักดาถาม “ไอ้เนี่ยเรอะ ที่มาเอา”
พิณทองยิ้มกว้างสดใส “ใช่จ้ะ จักรของแม่พิณ ท่านให้ยืมเงินมาไถ่จักร”
“โอ๊ย ดีจริง ไถ่จักรคืนแม่ มีลูกอย่างนี้รักตายเลย ไป เชิญ ๆ ๆ”
ศักดาขันเปิดประตูรถให้พิณ
“ขอบคุณค่ะ” พิณทองขึ้นรถ
ศักดาขับรถแล่นออกไป พลางถาม
“แล้วไปอีกไกลมั้ยละหนู”
“ใกล้แล้วล่ะจ้ะ”
ศักดามองพิณทองที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างเอ็นดู
ขณะที่พิณทองกอดจักรไว้บนตักอย่างสุขใจ
ส่วนภายในห้องทำงานธานินทร์ยามนั้น ธานินทร์นั่งดื่มกาแฟอยู่ที่โต๊ะทำงาน ชนะศึกเปิดประตู เดินเข้ามาอย่างโกรธจัด
“พ่อทำอย่างนี้หมายความว่าไง”
ธานินทร์มองหน้าลูก ไม่ตอบอะไร ชนะศึกโวยวาย
“ผมไล่เด็กนั่นออก แล้วพ่อก็จ้างกลับมา แล้วอย่างนี้คำสั่งผมจะมีความหมายอะไร ต่อไปใครจะเชื่อฟังผมล่ะ”
“ลูกไล่เค้าออกด้วยความผิดอะไรนะ”
“ก็ที่ทำให้บริษัทเสียหายไงครับ” ชนะศึกมีท่าทีวึดวือ หงุดหงิดรำคาญ “ผมบอกพ่อไปแล้วนี่”
“แต่ลูกบอกว่าลูกค้าเราติดต่อกลับมาใหม่ ก็แปลว่าบริษัทยังไม่ได้เสียหายอะไร...ในเมื่อไม่ได้เกิดความเสียหาย ก็เท่า กับว่าลูกไล่พนักงานออกทั้งๆ ที่เค้าไม่มีความผิดอะไร”
ชนะศึกชักโกรธ “คุณพ่อว่าผมเป็นฝ่ายผิดเหรอครับนี่”
“ในเมื่อไม่เกิดความเสียหาย ก็ไม่ควรมีการลงโทษ ลูกว่าจริงไหมล่ะ”
ชนะศึกโมโหแต่หมดคำพูดจะโต้แย้ง ได้แต่ตึงตังออกไป
พิณทองเดินเข้าภายในบ้านพิณ ในมือหิ้วจักรของแม่เข้ามาด้วย พรรณีออกมาจากในครัว รู้สึกแปลกใจ หันไปดูนาฬิกายังไม่ถึงเวลาเลิกงาน
“กลับมาแล้วจ้ะ”
“เพิ่งจะบ่ายสามเอง ทำไมกลับมาเร็วนักล่ะลูก (เห็นจักรในมือ) แล้วจักรนั่น”
“พิณไถ่จักรมาให้แม่แล้วล่ะค่ะ”
พรรณีสงสัย “พิณไปเอาเงินที่ไหนมา”
“ที่บริษัทเขาให้ยืมน่ะจ้ะ แม่” พิณทองเดินหิ้วจักรไปที่โต๊ะ
พรรณีตามมา แปลกใจมาก “ทำงานวันแรกเขาก็ให้ยืมเงินแล้วเหรอ”
“จ้ะ เจ้านายเขาเป็นคนใจดีน่ะ” พิณทองกอดแม่ยิ้มร่า “เราได้จักรคืนแล้ว ดีไหมจ๊ะ แม่”
“สาธุ คนดีจริง ๆ เพราะเขาเป็นคนดีแบบนี้น่ะซี ถึงได้ร่ำรวย ลูกโชคดีแล้วล่ะรู้ไหม ที่ได้ทำงานกับคนอย่างนี้”
พิณทองเองก็รู้สึกมีความสุข คิดอย่างที่แม่พูด
ค่ำนั้นศักดาเดินมาท่าทีมีพิรุธ ก่อนจะเข้ามาในบ้าน และขึ้นบันไดไป อังคณาแอบเห็นศักดาอยู่ไกล ๆ
และเห็นศักดาเข้ามาในห้องธานินทร์
“เป็นไงศักดา ไปส่งหนูพิณถึงบ้านไหม ที่บ้านเค้าเป็นไง เจอใครบ้าง” ธานินทร์รีบถามอย่างร้อนใจ
ศักดาส่ายหน้า “แกไม่ยอมให้ไปถึงบ้านน่ะครับ บอกว่าซอยแคบ จะกลับรถลำบาก” สุ้มเสียงเอ็นดู “เป็นเด็กน่ารักจริงๆ”
“ฉันสั่งว่าให้ไปส่งถึงบ้านไง”
“อันนั้นผมทราบครับ ผมก็เลยขับรถไปจอดไว้ แล้วเดินตามแกเข้าไปในซอย แล้วก็นี่ครับ”
ศักดาล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา กดมือถือเป็นโปรแกรมเลือกดูรูป แล้วส่งให้เจ้านาย ธานินทร์รับมาดู ระหว่างที่ธานินทร์ดูไป ศักดาก็พูดไป
“ผมต้องหลบแทบแย่แน่ะครับ กลัวชาวบ้านเขาหาว่าเป็นพวกโรคจิต”
รูปจากโทรศัพท์มือถือในมือธานินทร์ เป็นรูปบ้านของพิณทอง ธานินทร์กดดูรูปต่อไป
“รูปหลังๆ พอดี แม่ของแกออกมาหน้าบ้านน่ะครับ”
ธานินทร์กดดูรูปต่อไป แล้วก็มาถึงรูปที่มีพรรณีอยู่หน้าบ้าน ธานินทร์จ้องรูปนั่นนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงรู้สึกตัว
“ขอบใจมาก แล้วอย่าลืม เรื่องนี้รู้กันแค่เรา” ธานินทร์กำชับ
“ครับท่าน รับรองปิดปากสนิทแน่ครับ”
“แกกลับไปเถอะ”
ศักดาเดินออกไป และปิดประตูลง
ธานินทร์ยืนดูภาพพรรณีในโทรศัพท์มือถือ พึมพำออกมา
“ยี่สิบกว่าปีมาแล้วนะ ในที่สุด ฉันก็ได้เจอเธอ”
ภาพในอดีตเมื่อ 20 ปี ก่อนผุดขึ้นมาในความคิดธานินทร์ ราวกับสายน้ำไหล
ตอนกลางวัน วันนั้น ที่ร้านซ่อมผ้าหน้ามหาวิทยาลัย พรรณีในวัยสาว กำลังใช้จักรเย็บผ้าอยู่
ส่วนที่หน้าร้าน เป็นห้องแถว มีอาแปะคนหนึ่งนั่งอยู่ ธานินทร์ในวัยหนุ่มแต่งชุดนักศึกษา ท่าทางเหนื่อยๆ หลังจากเล่นกีฬามา เดินเข้ามาหาอาแปะ
“แปะ ซ่อมเสื้อให้หน่อยซี เล่นบอลหนักไปหน่อย ขาดเลย”
อาแปะตะโกนเข้าไปในร้าน “อาพังนี มารับลูกค้าหน่อย”
พรรณีเดินออกมาที่หน้าร้าน ธานินทร์ถึงกับนิ่งไปเมื่อเห็นหน้าพรรณี
“ขอเสื้อด้วยค่ะ” ธานินทร์ยังมองพรรณีนิ่งอยู่ จนพรรณีอาย “คุณคะ ขอเสื้อค่ะ”
ธานินทร์รู้ตัว “นี่ครับ” ยื่นเสื้อให้
แล้วพรรณีก็เดินกลับไปที่จักร ธานินทร์มองตามไป
วันรุ่งขึ้น ธานินทร์ฉีกเสื้อให้ขาด แล้วยื่นให้พรรณี
“ขาดอีกแล้วจ้ะ”
พรรณียิ้มอายๆ
หลายวันต่อ ๆ มา หลายเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาก ธานินทร์นั่งอยู่ที่จักร พรรณีสอนเย็บ แล้วพลาดโย้เย้ไปหมด ทั้งสองหัวเราะกัน
อีกจังหวะธานินทร์ยื่นถุงกระดาษให้ พรรณีหยิบเสื้อขึ้นมา
“อันนั้นขาดครับ”
“ค่ะ เดี๋ยวจะทำให้นะคะ”
พรรณีก้มลงหยิบของในถุงกระดาษอีกครั้ง ธานินทร์มองแล้วยิ้ม
พรรณีหยิบดอกกุหลาบออกมาจากถุงกระดาษ
“อันนี้ไม่ต้องเย็บจ้ะ แต่ให้ปัก”
ธานินทร์ยิ้มชวนซึ้งจับมือพรรณีกุมไว้ พรรณีอายม้วน
“ปักไว้ที่หัวใจ”
พรรณีเขินอาย
เวลาต่อมาธานินทร์ช่วยพรรณีจัดห้องเก็บของ เห็นมีแผ่นเสียงเก่ามากมาย
“มีแต่เพลงเก่า ๆ”
“ของอาแปะน่ะค่ะ” พรรณีว่า พลางมองธานินทร์ อมยิ้ม “เคยฟังไหมคะ เพราะออก”
ครู่หนึ่งเสียงเพลง อาลัยรัก เปิดดังขึ้น ธานินทร์เข้ามานอนหนุนตักพรรณี ขณะที่พรรณีปักเสื้ออยู่
“ตกลงแล้วจะปักรูปอะไรให้ผมจ๊ะ”
“ไม่บอก”
“งั้นขอดูหน่อยนะ”
ธานินทร์ลุกขึ้นมาแย่งเสื้อจากพรรณี
“ไม่ได้ ๆ”
ทั้งคู่แย่งเสื้อกันไปมา ธานินทร์จูบพรรณีฟอดหนึ่ง
“พรรณีผมรักคุณ ผมสัญญาว่า พอผมเรียนจบ ผมจะแต่งงานกับคุณ”
“แล้วคุณพ่อคุณ จะยอมรับฉันหรือคะ”
“คุณพ่อต้องเข้าใจในความรักของเรา และผมเชื่อว่าคุณพ่อจะต้องรักคุณ เหมือนกับที่ผมรักคุณ”
ตกกลางคืน ธานินทร์ปิดประตูร้านกำลังพาพรรณีเดินออกมา โดยไม่รู้ว่าพ่อของตนมองทั้งคู่ที่จับมือกัน
วันต่อมา ช่วงตอนกลางวัน ตรงถนนหน้าร้านเย็บผ้า ธานินทร์เดินมาหาพรรณีที่ร้าน หยิบนาฬิกาพกออกมาจากกระเป๋า จูบนาฬิกาพกนั้น
“พรรณี”
ธานินทร์รำพึง ยิ้มอย่างมีความสุข และเดินต่อไป เห็นรถพ่อตัวเองจอดอยู่ จึงรีบวิ่งไปดูที่หน้าร้าน
ธานินทร์วิ่งมาถึงกับตกใจ เมื่อเห็นสภาพร้านเย็บผ้าทั้งรกทั้งเละ
“พรรณี ๆ” มองหาพรรณี)
เห็นอาแปะเดินมา
“อาแปะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย แล้วพรรณีล่ะ พรรณีอยู่ไหน” วิ่งเข้าไปหา
“อีหนีไปแล้ว ลื้อไปเลย ลื้ออย่าอยู่ อั๊วเกลียดลื้อ” อาแปะตะเพิด
ธานินทร์ตื่นตกใจ วิ่งออกมา เจอรถพ่อแล่นเข้ามา ธานินทร์พยายามหยุดรถ
“พ่อ ฟังผมก่อน พ่อ พ่อหยุดก่อน”
ธานินทร์เข้าไปหาพ่อที่รถ ถามทันทีน้ำเสียงขุ่น
“พ่อทำอะไรพวกเขา”
พ่อธานินทร์บอก “ฉันให้โอกาสแกแล้ว แต่แกไม่รับเอง ฉันเลยจำเป็นต้องทำแบบนี้ ส่วนแก สิ่งที่แกต้องทำก็คือลืมนังเด็กเย็บผ้านั่น แล้วก็แต่งงานกับคนที่ฉันเลือกให้”
ธานินทร์เถียง “แต่พ่อทำอย่างงี้ไม่ถูกนะพ่อ”
พ่อธานินทร์สั่งให้คนขับรถออกรถไป
“พ่อ พ่อ ทำอย่างงี้ไม่ถูกนะพ่อ”
รถแล่นจากไปช้า ๆ ธานินทร์พยายามตาม ถุงใส่นาฬิกาพกตกที่พื้น รถเหยียบถุงนาฬิกานั้น
รถแล่นห่างออกไป ธานินทร์ล้มลง และมองตาม เห็นถุงนาฬิกาตกอยู่ที่พื้น
ธานินทร์เปิดถุงดู เห็นนาฬิกาแตก อาแปะเดินออกมาจากร้าน โยนห่อกระดาษใส่ธานินทร์
“อ่ะ อีฝากไว้ให้”
ธานินทร์หันไปมอง และหยิบถุงนั้น เปิดออกหยิบเสื้อออกมา เป็นเสื้อปักรูปดอกกุหลาบและข้อความว่า
'รัก...พรรณี'
ธานินทร์ร้องไห้ น้ำตาหยดใส่เสื้อ
ธานินทร์ดึงตัวเองกลับมา ถอนใจเศร้าๆ เมื่อคิดถึงอดีต
นอกห้องห่างออกไป อังคณายืนมองธานินทร์อยู่ที่มุมหนึ่งในบ้าน ด้วยสีหน้าสงสัย
“นี่มันอะไรกัน”
บ่วงรัก ตอนที่ 2 (ต่อ)
เช้าวันต่อมา ศักดากับมนตรีคนรถของอังคณา กำลังล้างรถกันอยู่ที่โรงรถ ครู่หนึ่งอังคณา และชนกนันท์เดินเข้ามา อังคณาถามหาธานินทร์
“คุณผู้ชายล่ะ”
“ออกไปแล้วนี่ครับ” ศักดาบอก
อังคณางง “ไปไหน วันนี้นายเธอต้องไปงานกับฉันนี่”
“เออ..เห็นบอกผมว่าให้ไปเจอกันที่งานเลยครับ” ศักดาแก้ตัวแทน
อังคณาฉุน “อะไรกัน จะออกไปก่อนก็ไม่บอก”
ชนกนันท์สงสัย “แล้วทำไมไม่ขับรถให้คุณพ่อล่ะ”
“ท่านขอขับไปเองน่ะครับ” ศักดาบอก
อังคณาสงสัย “วันนี้เป็นอะไร ทำไมต้องขับไปเองด้วย” หันไปสั่งมนตรี “ไปได้แล้ว”
“ครับๆ”
มนตรีเปิดประตูรถด้านหลังให้อังคณา และชนกนันท์ ขึ้นไปนั่ง มนตรีขับรถแล่นออกไป
ศักดายืนมอง และถอนหายใจ
เวลาเดียวกัน มองจากหน้าบ้านพิณทองเข้าไป ผ่านสายตาธานินทร์ เห็นเตาอั้งโล่ไม่ใหญ่นัก บนเตามีตะแกรงวางไว้ และมีไข่จำนวนหนึ่งกำลังปิ้งอยู่ เมื่อภาพกว้างออก จึงเห็นว่าทุกคนออกมาอยู่หน้าบ้านกัน กำลังช่วยกันปิ้งไข่อยู่อย่างรื่นเริงป้าสำอางค์หยิบไข่สุกออกมาจากเตาใบหนึ่ง
สำอางค์ซู้ดปาก ร้อง “โอ้ย ร้อนๆๆ”
ผึ้งแย่งมา “เอามานี่ ป้า”
“เอ๊ย นังผึ้ง เรื่องอะไรต้องมาแย่งไข่ของข้าด้วยนะ” สำอางค์เอ็ด
“ไข่ของป้าที่ไหน ไข่ของชั้นตะหาก ชั้นเอามาให้” ยิ้มหวาน “คนบ้านนี้กิน” เปลี่ยนเป็นเสียงดุ “คนบ้านอื่นรอก่อน”
ผึ้งเอาไข่มานั่งปอกข้างๆ เพชรแท้
“อ้ะ พี่เพชร กินไข่จ้ะ ผึ้งปอกให้”
พรรณีออกมาพร้อมกับถ้วยแจ่ว
“มาแล้ว มาแล้วจ้า”
ทุกคนล้อมกันกินไข่จิ้มแจ่ว มีความสุข
“ทำอะไร” ผึ้งถาม
“แจ่วจิ้มไข่” พรรณีบอก
ทุกคนร้องโอดโอย
“แซบนะลูก” พิณทองว่า
“มื้อนี้กินไข่ปิ้งอย่างเดียวอิ่มเลย”
พรรณียิ้มเยื้อน “อย่าเพิ่งอิ่มนะ เดี๋ยวแม่จะทำไข่หวานให้กินล้างปาก”
“โห แม่ คาวก็ไข่หวานก็ไข่” เพชรแท้จับหน้าพิณทองมองเพ่ง “เห็นไหม พิณมันชักจะหน้ากลมๆ แล้วนะแม่”
“พี่เพชรนะ มาว่าเค้า”
พิณทองตีเพชรแท้ เพชรแท้หลบ ทุกคนหัวเราะ ครอบครัวกินไข่อย่างมีความสุข
ภาพทั้งหมดอยู่ในสายตาของธานินทร์ ซึ่งยืนแอบอยู่ข้างรั้ว ธานินทร์มองดูครอบครัวของพรรณี แล้วรู้สึกมีความสุขไปด้วย
เสียงโทรศัพท์มือถือธานินทร์ เป็นเบอร์อังคณา ธานินทร์รีบปิดโทรศัพท์มือถือกลัวคนในบ้านพรรณีได้ยิน
บ้านญาติของคุณหญิงนาถฤดี เป็นคฤหาสน์ใหญ่โตหรูหราสมฐานะผู้ดีเศรษฐีใหญ่ ส่วนบริเวณสนามหญ้าหน้าบ้าน จัดเป็นโต๊ะน้ำชาของว่างเตรียมไว้สำหรับเลี้ยงแขก มีแขกยืนคุยกันอยู่บริเวณนั้นจำนวนหนึ่ง ทั้งหญิงและชายอายุห้าสิบขึ้นไป มากันเป็นคู่ ทุกคนล้วนแต่งตัวดี
โดยเฉพาะบรรดาผู้หญิงนั้น แต่ละคนก็แข่งกันประดับเครื่องเพชรพอสมควร
อังคณายืนอยู่กับชนกนันท์ กำลังกดโทรศัพท์มือถือหาธานินทร์
“ดูพ่อแกสิ” โมโห
“อะไรอีกล่ะคะแม่”
“แม่โทร.ไปหลายครั้งแล้ว ดันปิดมือถือใส่ซะงั้น”
“เดี๋ยวก็คงตามมาค่ะ”
“ให้มันจริงเถอะ ไหนบอกว่าจะมาเจอกันที่งานไง” บ่นอุบ “งานแบบนี้ใครเค้าแยกมากันคนเดียว เค้าต้องมาเป็นคู่ให้คนรู้ว่าผัวเมียรักกันดี มาคนเดียวแล้วคนอื่นเค้าจะพูดกันว่ายังไง พ่อเราน่ะ ชอบทำตัวให้แม่อับอายอยู่เรื่อย”
“โธ่แม่ เลิกบ่นได้แล้วค่ะ นกก็มาเป็นเพื่อนแม่แล้วไง”
ทันใดนั้น จิรภา คนรู้จัก ซึ่งเป็นรองนายกอีกคนหนึ่งเข้ามา
“อุ้ย! สวัสดีค่ะ”
อังคณาหันมา พอเห็นว่าเป็นจิรภาก็ไม่ชอบขี้หน้า แต่ก็ฝืนยิ้มให้ ชนกนันท์ไม่รู้เรื่องด้วย จึงไหว้จิรภา
“แล้วคุณธานินทร์ สามีคุณอังคณาล่ะคะ ไม่มา “อีกแล้ว” เหรอคะ” จิรภาแดกดัน
อังคณา และชนกนันท์หน้าเสีย
“ไม่เหมือนคุณประสพโชค” หน้าตาปลื้มปริ่ม “สามีของดิฉัน เวลาที่ดิฉันไปไหนก็เดินตามต้อยๆ”
ชนกนันท์หมั่นไส้พูดลอยๆ “คงมีเชือก ร้อยจมูกอยู่มั้งคะ”
“หมายความว่ายังไงคะ” จิรภางง
ชนกนันท์ยิ้ม “ไม่มีอะไรค่ะ คุณแม่แค่กำลังนึกถึง...ตัวอะไรน้า ที่เราเอาเชือกมาสนตะพาย แล้วจูงไปไหนมาไหนได้ คุณน้านึกออกมั้ยคะ”
“ตัวที่มันเขายาวๆ น่ะค่ะ นึกออกไหมเอ่ย” อังคณาสำทับ
จิรภาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“ว้าย!!” กัดฟัน “หยาบคาย! มิน่า ผัวถึงได้เบื่อ”
จิรภากระทืบเท้าแล้วเดินสะบัดก้นกลับไปหาสามี
อังคณาโมโหบ้างพูดท่าทีเข่นเขี้ยว
“ดู นก ดูมันว่าแม่”
“อย่าไปสนใจค่ะ คุณแม่” ชนกนันท์ปลอบใจแม่ “คุณพ่อรักคุณแม่จะตายไป”
ครู่หนึ่งมีผู้หญิงกับสามีอีกคู่หนึ่งเข้ามาทัก
“คุณอังคณา สวัสดีค่ะ”
อังคณารีบปรับสีหน้ารับไหว้ ชนกนันท์ก็ไหว้ผู้หญิงกับสามีคู่นั้น
“คุณธานินทร์ล่ะคะ” ผู้หญิงคนนั้นถาม
อังคณากับชนกนันท์หันมามองหน้ากันอย่างแสนจะเบื่อ อังคณาฝืนใจหันไปฉีกยิ้มให้
ภายในห้องทำงานธานินทร์มีของใช้มากมาย ล้วนเป็นของที่เสียหายนิดๆ หน่อยๆ ที่รอการซ่อม ธานินทร์นั่งอยู่ที่โต๊ะ กำลังซ่อมโคมไฟอันหนึ่งอยู่ เปลี่ยนสวิทซ์ปิดเปิดที่สายไฟ เสร็จแล้วเสียบปลั้ก แล้วกดเปิดสวิทซ์ ไฟสว่าง ธานินทร์รู้สึกดี
ระหว่างนั้นประตูห้องเปิดออก อังคณาเดินหงุดหงิดเข้ามา
“มีความสุขมากเลยนะ”
สีหน้าท่าทางของอังคณาชวนทะเลาะเต็มที่
ธานินทร์เงยหน้ามองด้วยสีหน้าตกใจ
“คุณเป็นอะไรของคุณ”
“เป็นอะไรของชั้นเหรอ? ก็โมโหไง ต้องบอกด้วยไหมว่าเรื่องอะไร เรื่องที่คุณไม่ไปงานกับชั้นไง แล้วยังปิดมือถือใส่ชั้นอีก”
ธานินทร์อ้ำอึ้งอึกอัก “ก็...ก็แบตมันหมด แล้วผมก็ต้องไปพบลูกค้า”
“แล้วทำไมไม่บอกชั้นก่อน”
“มันกะทันหันน่ะ แล้วอีกอย่างผมบอกคุณแล้วว่าผมไม่ชอบงานแบบนี้”
“คนอื่นเค้าก็ไม่ชอบ เขาก็ไปกัน เพราะเค้าเห็นแก่หน้าเมีย มีแต่คุณเท่านั้นที่ไม่เห็นแก่หน้าใคร เคยคิดบ้างไหมว่าคนอื่นมันจะเอาไปพูดกันว่ายังไง”
“ผมไม่สนใจ พวกที่ชอบนินทาชาวบ้าน”
“แต่ฉันสน เพราะฉันต้องทนฟังมันอยู่ทุกวัน วันๆ ฉันต้องออกไปเจอคนเยอะแยะ แต่คุณซี วันๆ คุณคิดจะทำอะไรให้มันเป็นประโยชน์บ้างไหม”
“ผมทำดีที่สุดแล้ว” ธานินทร์พูดพลางถอนใจ
อังคณายิ่งโมโหใหญ่ “ดีที่สุดของคุณคือขลุกอยู่กับไอ้ของพวกนี้ใช่ไหม” ปัดนาฬิกาตั้งโต๊ะตกลงไปแตก
ธานินทร์มองนาฬิกาที่พื้นอย่างตกใจ
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณจะเห็นของพวกนี้ดีกว่าชั้น” โมโหออกไป
ธานินทร์ลุกจากเก้าอี้ มาก้มเก็บเศษนาฬิกา พลางทอดถอนใจอย่างระอา
อังคณาหน้าบึ้งตึง เดินกระแทกเท้าโครมๆ มาที่ทางเดินหน้าคฤหาสน์ ชนกนันท์ที่เพิ่งกลับเข้ามามองอย่างแปลกใจ
“ใครทำให้โมโหอีกล่ะคะ คุณแม่”
“จะใคร นอกจากพ่อแก” อังคณาเสียงขุ่น
ชนกนันท์เอือมนิดๆ “เรื่องเมื่อเช้าน่ะเหรอคะ นกก็ว่ามีอะไรแปลกๆ เหมือนกัน”
“แกก็สงสัยเหมือนกันเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ คุณแม่ลองคิดดูสิคะ ว่าปกติแล้วคุณพ่อไม่เคยปิดมือถือใส่คุณแม่เลย แต่ทำไมวันนี้...” ชนกนันท์ทำท่าคิด
“พ่อแกเค้าอ้างว่าแบตหมด แม่ก็ว่ามันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล” อังคณาตัดสินใจ “แม่มองไม่ผิดแน่ๆ” ใคร่ครวญครุ่นคิด “เห็นทีแม่จะต้องเริ่มจับตาดูพ่อแกให้ดีซะแล้ว”
“เดี๋ยวนกจะช่วยคุณแม่อีกแรงนึงค่ะ" ชนกนันท์ประจบ
บ่วงรัก ตอนที่ 2 (ต่อ)
เช้านั้น ที่หน้าห้องนวดตัวภายในสปอร์ตคลับ ชนกนันท์ยืนอยู่สีหน้าเหวี่ยง และไม่พอใจ กำลังต่อว่าเกียรติ
เพชรแท้เดินมาหยุดดูที่เสาหนึ่ง มองเหตุการณ์
“1 ชั่วโมง! ฉันจ่ายค่าสมาชิกเป็นแสน แต่ต้องมานั่งรอหมอนวดเป็นชั่วโมงเหรอ”
เกียรติอธิบาย “หมอนวดติดนวดสมาชิกท่านอื่นหมดครับ คุณนกไปเล่นอย่างอื่นก่อนดีไหมครับ”
ชนกนันท์ไม่ยอม “ไม่ ชั้นให้เวลาแค่ไม่เกิน 10 นาทีนะ ไปหาใครก็ได้มานวดให้ชั้น”
“แต่ว่า...”
เกียรติอ้าปากพูดไม่ทันจบคำ นกไม่สนใจฟัง เดินไปเปิดประตูเข้าห้องไป แล้วปิดประตูดังปัง
เพชรแท้เดินเข้ามาหาเกียรติที่ยังเคร่งเครียดอยู่
“ก็ตามใจเค้าหน่อยซี พี่เกียรติ”
เพชรผุดยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา อย่างมีแผนในใจ
ชนกนันท์หลับตา นอนคว่ำ อยู่บนเตียงนวด โดยหันหน้าไปคนละทางกับประตู มีผ้าขนหนูคลุมเกือบถึงไหล่ พอได้ยินเสียงคนเปิดประตูเข้ามาก็ยิ้ม โดยไม่ได้ลืมตาหันมาดูเลย
“ต้องให้ใช้อำนาจใช่ไหม ถึงจะมาได้” ไม่มีเสียงตอบ คุณหนูขาวีนเลยพูดต่อ “เมื่อวานเล่นเทนนิสหนักไปหน่อย ชั้นปวดไหล่มากเลย นวดดี ๆ ล่ะ”
ยินเสียงคนนวดเดินเข้ามาใกล้ และเห็นมือคู่หนึ่ง เปิดผ้าขนหนูของชนกนันท์ลงมาเกือบถึงเอว เผยให้เห็นแผ่นหลังขาวจั๊วะ พร้อมกับที่น้ำมันนวดถูกบีบลงมาที่แผ่นหลังนั้น ก่อนที่มือคู่หนึ่งก็ลูบน้ำมันคลึงไปที่ไหล่
ชนกนันท์ยังหลับตา แต่เริ่มขมวดคิ้ว “นี่ เมื่อก่อนทำนามาหรือไง ทำไมมือสากขนาดนี้” บ่นอุบ “แล้วก็เลิกลูบได้แล้ว นวดซะที นวดแรง ๆ ด้วย”
เพชรแท้ยิ้มอย่างชั่วร้ายแล้วออกแรงบีบลงไปที่ไหล่ทั้งสองของนกอย่างแรง
“โอ๊ย” ชนกนันท์ร้อง พร้อมกับลืมตา หันมามอง “นี่เธอ” พอเห็นว่าเป็นเพชรแท้ ตกใจ รีบเอาผ้าคลุมตัว โวยลั่นห้อง “แก แกเข้ามาได้ยังไง”
“คุณบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่ายังไงต้องหาคนมานวดให้คุณให้ได้ ผมก็มาแล้วไง” เพชรแท้ว่า
“ไอ้บ้า ออกไปนะ ออกไป”
ชนกนันท์หยิบถ้วยใส่น้ำมันปาใส่เพชรแท้ จนเลอะเทอะไปหมด
เพชรแท้ร้อง “เฮ้ย”
ชนกนันท์เอาของขว้างอีก “ไอ้บ้า ไอ้ชั่ว ออกไป๊”
ชนกนันท์กรีดร้องสุดเสียง เพชรแท้หัวเราะแล้วหนีออกไป
เพชรแท้เดินยิ้มสะใจเข้าไปในห้องน้ำ ถอดเสื้อที่เปื้อนออก แล้วเห็นรอยเปื้อนน้ำมันที่กางเกงด้วย
“เปื้อนหมดเลย ยัยบ้าเอ๊ย”
เพชรแท้ยืนอยู่หน้ากระจกสวมผ้าขนหนูผืนเดียว เตรียมจะอาบน้ำ
จู่ๆ ชนกนันท์ในชุดเสื้อคลุมพรวดเข้ามา
“อยู่นี่เองเหรอ แก”
“นี่มันห้องน้ำผู้ชายนะคุณ”
“ไม่ต้องมานอกเรื่อง แกทำผิดแล้วคิดจะหนี ไม่รับผิดชอบงั้นเหรอ”
“ทำผิด” เพชรแท้กวนใส่ “ผมทำอะไร”
“ก็ที่แก...แก... เอ่อ... แก” ชนกนันท์ไม่กล้าพูดออกมา
“อ๋อ” เพชรแท้หัวเราะหึหึ “ที่ผมเห็นคุณแก้ผ้าน่ะเหรอ”
“ไอ้บ้า ไอ้ทุเรศ” ชนกนันท์โมโห ปี๊ดสุดขีด “แกยังพูดออกมาได้อีกเหรอ แกไอ้คนสารเลว ไอ้คนฉวยโอกาส
เพชรแท้เดินเข้ามาหา มองชนกนันท์อย่างพินิจหัวจรดเท้า
“นี่คุณ สารรูปของคุณความจริงก็...พอดูได้น่ะนะ แต่ผมไม่ได้กำรี้กำไรอะไรนักหรอกกับการได้เห็นคุณน่ะ แต่ถ้าคุณคิดว่าการที่ผมเห็นคุณ มันทำให้คุณเสียหาย” ยิ้มๆ “ผมใช้ให้แล้วกัน”
ขาดคำเพชรแท้เอื้อมมือมาที่ปมผ้าเช็ดตัวที่เอว กระตุกพรืด แล้วปาไปที่หน้าชนกนันท์จังๆ
ในสภาพเปลือยครึ่งตัว เพชรแท้ยืนกอดอกมองอย่างสะใจ
“ถือว่าหายกันแล้วนะ พอใจไหม”
นกตกตะลึง ร้องกรี๊ด แล้ววิ่งหนีออกไปเลย
เพชรแท้เดินยิ้มอย่างสะใจเข้าห้องน้ำไป
ภายในห้องจัดเลี้ยงส่วนตัว ขนาดจุ 5-7 คน ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ตรงกลางห้องจัดเป็นโต๊ะประชุมยาว มีคุณหญิงคุณนายนั่งประชุมกันอยู่ มีผู้ชายนั่งร่วมอยู่ด้วย 2-3 คน หนึ่งในนั้นคือ...ธานินทร์
โดยธานินทร์นั่งอยู่กับอังคณา
“วาระต่อไป เกี่ยวกับของชำร่วยที่จะแจกแก่ผู้สื่อข่าว และแขกผู้มีเกียรติในงานแถลงข่าวของเรา มีท่านใดมีอะไรจะเสนอไหมคะ” นาถฤดีเอ่ยขึ้น
สุขหทัยส่งช่อดอกไม้ประดิษฐ์เล็กๆ ช่อหนึ่งให้นาถฤดี “แบบนี้เป็นยังไงคะ เข็มกลัดดอกไม้ผ้าไหม”
นาถฤดีรับมาดู “สวยดีค่ะ” ลังเล ท่าทางเกรงใจ “แต่ว่า ท่าทางคงจะแพง”
จิรภาเสริมอย่างไม่เกรงใจ “เชยด้วยค่ะ สมัยนี้ไม่มีใครใช้กันแล้ว มันต้อง (ชี้ที่ปกเสื้อตัวเองที่ติดเข็มกลัดเพชร) แบบนี้ค่ะ”
สุขหทัยหน้าม้าน ธานินทร์รีบเสริม
“โทษนะครับ ถ้าเป็นผ้าเช็ดหน้าล่ะครับ”
ที่ประชุมเงียบกริบ แล้วหันมามองธานินทร์เป็นตาเดียว โดยเฉพาะอังคณายิ่งแปลกใจที่ได้ยินเสียงธานินทร์ในที่ประชุม
ธานินทร์รีบอธิบายอย่างกระตือรือร้น
“พอดีผมไม่มีตัวอย่างมาให้ดู แต่คงพอจะคิดตามกันได้ ผ้าเช็ดหน้าผ้าไหม ปักโลโก้ของสมาคม แล้วปักลายที่ขอบสวยๆ ทำหลายๆ สีหน่อย สำหรับผู้หญิงบ้าง ผู้ชายบ้าง”
นาถฤดียิ้ม คล้อยตาม “น่าสนใจค่ะ”
สุขหทัยยิ้มด้วย “ค่ะ แล้วที่สำคัญ ได้ช่วยเหลือกลุ่มแม่บ้านที่ทอผ้าไหม อย่างที่สมาคมตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรก”
นาถฤดีเอ่ยชม “คุณธานินทร์มาประชุมครั้งแรก ก็ช่วยได้มากเลยนะคะ คุณอังคณา”
อังคณายิ้มรับไปตามมารยาท แต่ก็อดมองธานินทร์ที่มีหน้าตาเต็มอกเต็มใจ ด้วยความสงสัย
ขณะที่ธานินทร์ยืนดื่มกาแฟอยู่หน้าตึกใหญ่ อังคณาเดินเข้ามาหา
“วันนี้คุณทำฉันประหลาดใจมากๆ”
“เรื่องอะไร”
“ก็ที่ขันอาสาทำของชำร่วยนั่นน่ะซี ทุกทีแค่ขอให้มาร่วมประชุมก็ยากเย็นเหลือเกิน คุณมีเจตนาอะไรกันแน่”
ธานินทร์ทำไก๋ “เจตนาอะไร ก็เจตนาจะช่วยคุณน่ะซี คุณนี่ยังไง ผมไม่ช่วยก็ว่าผม แต่พอผมจะช่วยก็มามองกันในแง่ร้ายอีก”
อังคณามองธานินทร์ไม่วางใจ พยายามล้วงลึกเข้าไปเพื่อจับผิด
“ฉันก็แค่แปลกใจ” แต่แล้วก็เปลี่ยนเรื่อง ยักไหล่ “แต่ก็ดีนะ..แล้วคุณจะเอาไปให้ใครทำล่ะ หวังว่าคุณคงจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง”
“ไม่หรอกน่ะ” ธานินทร์ยิ้ม หน้าตามีความสุขมาก “ทุกคนจะพอใจ เชื่อผมซี” ตัดบท “ผมไปทำงานก่อนนะ สายแล้ว”
อังคณาพยักหน้ารับ ธานินทร์เดินแยกไป ท่าทางอารมณ์ดี จนอังคณาต้องมองตาม แววตาสงสัยสุดขีด
ครู่ต่อมารถของธานินทร์แล่นอยู่บนถนน ธานินทร์นั่งอยู่ด้านหลัง โดยมีศักดาเป็นคนขับ
“จะเข้าบริษัทหรือกลับบ้านครับ ท่าน”
“ยัง... ไปบ้านพรรณีก่อน”
ศักดาขับรถต่อไป
ห่างออกไป รถของอังคณากำลังแล่นตามมา
อังคณาพึมพำอย่างคาใจ “ถ้าฉันเชื่อว่าคุณคิดจะช่วยฉัน ฉันก็โง่แล้ว ธานินทร์...” สั่งมนตรีคนขับรถ “ตามไปเลยติด ๆ อย่าให้คลาดสายตานะ ถ้าพลาด ก็เตรียมตัวออกจากงานได้เลย”
“ครับๆ”
แต่ไม่ทันใจแสนร้อนรุ่มของอังคณา
“เร่งไปอีกหน่อย...เป็นเต่าคลานเลย”
รถของอังคณาตามรถของธานินทร์ไป
ธานินทร์ที่นั่งอยู่ในรถไม่รู้ตัว รถผ่านไปในย่านชุมชนที่จอแจ รถอังคณาตามมาติดๆ อังคณายิ่งแปลกใจมากขึ้น
“ตามไปเร็ว ๆ แซง ๆ หน่อย”
รถของธานินทร์เปิดไฟเลี้ยว เริ่มชิดซ้าย อังคณาพยายามชะเง้อชะแง้ดูว่าจะเลี้ยวเข้าซอยไหน
“เออ..ศักดา ฉันว่าวันนี้อย่าเพิ่งไปดีกว่า” ธานินทร์บอก
“ทำไมล่ะครับ ท่านตั้งใจจะไปพบคุณพรรณีไม่ใช่หรือครับ”
“ฉันอยากไปเจอเค้ามาก แต่ฉันว่ามันเร็วเกินไป คนไม่ได้เจอกันตั้งยี่สิบกว่าปี อยู่ๆ โผล่ไปเดี๋ยวเค้าจะตกใจ อีกอย่างเค้าจะจำฉันได้หรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ครับๆ”
ศักดาเลี้ยวรถไปอีกทางหนึ่ง โดยรถของอังคณาแล่นตามมาห่าง ๆ
จู่ๆ มีรถมากีดขวางด้านหน้า ทำให้มองไม่ถนัด อังคณาหงุดหงิด คนรถหักพวงมาลัยออกซ้ายไปโดยเร็ว
รถของอังคณาชนเข้ากับรถตุ๊กตุ๊กอย่างจัง
อังคณาร้องลั่น “ระวัง ๆ”
แต่ไม่ทันแล้ว ถุงใส่ของขนาดใหญ่บนรถตุ๊กตุ๊กเอียงหกกระจาย ข้าวของหกตกลงพื้นถนนเต็มไปหมด
“ขับรถประสาอะไรวะ ออก” อังคณาไม่แยแส สั่งคนขับรถ
คนขับตุ๊กตุ๊กโวยวาย “เฮ้ย ขับรถประสาอะไรวะ”
ผู้โดยสารในรถตุ๊กตุ๊ก เป็นพรรณี ที่รีบลุกลงมาทันที
ขณะอังคณารีบลงจากรถ แหวใส่ทันที
“ขับรถไง ฮะ ขับรถปาดหน้าเค้าเนี่ย รถคันเบ้อเริ่มไม่เห็นหรือไง”
คนขับตุ๊กตุ๊กกวน ย้อนกลับ “พี่ขับอย่างงัยละครับ พี่อ่ะ”
“ก็ขับมาดีอะ แกอะขับรถปาดหน้าฉัน” อังคณาของขึ้น
คนขับตุ๊กตุ๊กไม่ยอม “ผมก็ขับมาดีๆ”
อังคณาด่าอีกไม่ลดละ “ถ้าขับมาดีจะชนเหรอ”
“นี่คุณ คุณนั่นแหละผิด คุณเป็นคนขับรถปาดหน้าเค้า แล้วยังทำข้าวของฉันเสียหายอีก ว่ายังไงต้องชดใช้ด้วยนะอย่างงี้ ผิดแล้วยังจะมาเถียงอีก”
พรรณีบอกอย่างเหลืออด พร้อมกับกุลีกุจอเก็บของ ผ้าดิบ หลอดด้าย กระดุม ซิป ของที่ใช้ในการตัดเย็บเสื้อผ้า ที่กระจายเกลื่อนพื้น
มือข้างหนึ่งของพรรณีกำลังเอื้อมเก็บกล่องใส่ด้าย เท้าของอังคณามาเหยียบเอาไว้ พรรณีตกใจ เงยหน้าขึ้นมอง เห็นอังคณามองจิกลงมา
“เป็นใคร...แล้วรู้มั๊ยฉันเป็นใคร ถือดียังไงมาว่าฉัน”
พรรณีลุกขึ้นมองอังคณา ท่าทีไม่พอใจ
“ทำไมฉันจะว่าไม่ได้ ในเมื่อคุณขับรถชนเค้า”
อังคณาแหวใส่ “ใครชนใคร”
“คุณนั่นแหละชนเค้า แล้วข้าวของฉันเสียหายอย่างงี้” พรรณีว่า
“ก็เธอปาดหน้าฉันนิ่ นี่ฉันตามคนมานะ ตามไม่ทันเลย พลาดไปเลย เห็นหรือเปล่า รู้มั้ยความเสียหายของฉันมันเท่าไร มันยิ่งกว่าของสับปะรังเคของเธอมากมายหลายร้อยล้านเท่านัก”
“ทำผิดแล้วพาล จะไม่ยอมรับผิดใช่ไหมคุณ นี่ ถ้าพูดกันดี ๆ ไม่รู้เรื่อง งั้นก็รอตำรวจมาก็แล้วกัน” พรรณีบอก
อังคณาหรือจะหวั่นกลัว แถมท้าอีก
“มาเลย เรียกมาเลย ช่วยเรียกมาไว ๆ หน่อยนะตำรวจน่ะ” พูดเสียงเยาะ “นึกเรอะว่าตำรวจจะทำอะไรฉันได้ จะบอกให้นะ ตำรวจน่ะเขามีเอาไว้จับพวกขี้ข้าขี้ครอกหยั่งแก เท่านั้นแหละ แต่คนระดับฉันน่ะ” ปรายตามองพรรณีอย่างเหยียดหยาม “ต่อให้ฉันขับรถทับแกตาย ก็ไม่ต่างอะไรกับขับรถทับแมวตัวนึง”
พรรณีได้ฟังก็โกรธมาก ขึ้นเสียงใส่ “นี่ คุณ! จะมากไปแล้วนะ”
“ไม่มากหรอก พอกันที ฉันเสียเวลามากเกินไปแล้ว .. ความจริงฉันไม่ต้องสนใจแกก็ได้นะ เพราะแกทำอะไรฉันไม่ได้อยู่แล้ว วันนี้ฉันรู้สึกอารมณ์ดีน่ะนะ” หยิบเงินในกระเป๋าออกมาปึกหนึ่ง มองพรรณีด้วยแววตาเหยียดหยันดูแคลน
พรรณีทำท่าจะรับ อังคณาขว้างเงินใส่หน้าพรรณี
“วันนี้ฉันรู้สึกว่าอยากทำทานน่ะ”
จากนั้นอังคณาเดินเชิดกลับขึ้นรถไป
พรรณีมองตามอย่างโกรธแค้น ก่อนจะค่อยๆ ก้มลงเก็บเงินที่เกลื่อนกระจายบนถนนอย่างขมขื่นใจ
บ่วงรัก ตอนที่ 2 (ต่อ)
เวลาต่อมา พรรณีกำลังซ่อมแซมของที่เสียหายอยู่ โดยมี ผึ้ง และป้าสำอางค์โวยวายอยู่ใกล้ๆ
“แหม เสียดาย ฉันไม่ได้ไปด้วย ไม่งั้นจะฉะมันให้หน้าหงายไปเลย”
“นั่นสิวะ บ้าแบบนี้ มันต้องเจอตบให้ปากฉีก กินข้าวไม่ได้ไปซักสองสามวัน”
พรรณีส่ายหน้าเศร้าๆ ไม่เห็นด้วย ผึ้งยิ่งขัดใจ
“น้าณีก็เป็นซะอย่างนี้ คนเลวๆ พรรค์นี้ ไม่น่าไปยอมมัน”
“ไม่ยอมแล้วยังไง” พรรณียิ้ม แต่ช่างขมขื่นเสียนี่กระไร “ก็จริงอย่างที่เค้าว่า เค้ามันรวย มีอำนาจล้นฟ้า คนจนอย่างเรา จะไปทำอะไรเค้าได้”
“ได้ไม่ได้มันก็ต้องอลงดูซักตั้ง ให้มันรู้ว่าไผเป็นไผ” ผึ้งไม่ยอม
พรรณีแววตาเศร้า เหม่อมองออกไป “อย่าเลยผึ้ง น้ารู้ตัวดีว่าน้าเป็นใคร...เกิดมาเป็นคนจนก็ต้องเป็นคนจนอยู่วันยังค่ำ เราเลือกเกิดไม่ได้ แล้วก็ไม่มีทางจะเปลี่ยนแปลงได้หรอก”
ใบหน้าพรรณี หวนคิดถึงอดีตที่ปวดร้าว
ตอนกลางวันของวันนั้น พวกลูกน้องของพ่อธานินทร์อาละวาดพังข้าวของในร้าน อาแปะร้องโวยวายห้าม แต่โดนลูกน้องอีกคนจับโยนไปมุมห้อง ร้านทั้งร้านพังเละเทะ พรรณีแอบตัวสั่นอยู่หลังประตู ร้องไห้
“หยุดเถอะ อั๊วขอร้อง ร้านอั๊วพังฉิกหายหมดเลี้ยว” อาแปะร้องขอ
พ่อธานินทร์ยกมือห้ามลูกน้อง ทุกคนหยุด พ่อธานินทร์กระชากคออาแปะขึ้นมาพูด
“บอกนังเด็กที่ชื่อพรรณีด้วย ว่าทันทีที่เรียนจบ ธานินทร์จะต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่พ่อแม่เลือกให้...นับแต่นี้ไป ฉันขอห้าม ไม่ให้มันมายุ่งกับลูกชายของฉันอีก ไม่งั้น...”
พ่อธานินทร์ปล่อยมือ อาแปะทรุดกับพื้น พ่อธานินทร์พาลูกน้องออกไป
พรรณีออกมาจากที่ซ่อน เข้าไปประคองอาแปะ น้ำตาไหล
“อาแปะ”
“ลื้อได้ยินแล้วใช่ไหม อาพังณี...”
“จ้ะ”
อาแปะเศร้า สงสารพรรณี “แล้วลื้อจะทำยังไง”
พรรณีน้ำตาไหลริน รู้ว่าหมดหนทาง
พรรณีอยู่คนเดียวในห้องดึงตัวเองกลับมา มองภาพถ่ายของตัวเองกับเพชรแท้ และพิณทอง สีหน้าครุ่นคิด
“ฉันเคยเจ็บมามากแล้ว แล้วฉันจะไม่ยอมเจ็บอีก...สำหรับคนจนอย่างเรา มีทางเดียวคือต้องหนี หนีไปให้พ้นจากคนที่ทำให้เราต้องเจ็บช้ำน้ำใจ”
เช้าวันใหม่ ขณะที่ธานินทร์กำลังจะออกไปทำงาน เดินลงมาจากชั้นบน เรืองโรจน์และศักดาที่รออยู่เดินตามมา อังคณาอยู่ในชุดลำลองกรุยกราย เข้ามาดักไว้ หน้าตาหาเรื่อง
“จะไปแล้วหรือคะ”
“ฮื่อ” ธานินทร์ว่า
อังคณาประชดประชันน้ำเสียงขุ่น “รีบไปแต่เช้าเลยนะคะ ไม่รู้จะรีบไปทำงานหรือไปทำอะไร”
ธานินทร์ชะงัก “อะไรอีกล่ะ คุณอังคณา”
“ฉันก็แค่สงสัย เมื่อวานออกจากที่ประชุมสมาคมแล้วคุณไปไหนมา เห็นเรืองโรจน์บอกว่ากว่าคุณจะกลับไปถึงที่ทำงานก็บ่าย”
“คุณตามเช็คผมเหรอนี่” ธานินทร์ตวัดเสียง
“ก็ถ้าคุณไม่มีความลับอะไร ก็ไม่เห็นต้องกลัว” อังคณาย้อน
“ผมไม่เคยกลัว! ที่ผ่านมาที่ผมยอมคุณ เพราะผมไม่อยากมีเรื่อง แต่ผมเตือนคุณก่อนนะ คุณอังคณา ความอดทนของคนมันมีขีดจำกัด คุณทำตัวแบบนี้ ผมอาจจะทนไม่ไหวขึ้นมาซักวัน แล้วอย่าหาว่าผมไม่เตือน”
อังคณาชักสีหน้า ทำท่าชวนทะเลาะต่อ ธานินทร์ตัดบท
“รีบไปเถอะ เรืองโรจน์ ผมรำคาญ พวกสอดรู้สอดเห็น”
ธานินทร์เดินลิ่วออกไปนอกบ้าน ศักดาตามไป
เรืองโรจน์หันบอกกับอังคณา “ผมว่าท่านคงโมโห”
“ฉันไม่สน” อังคณาวางอำนาจ
เรืองโรจน์เตือนสติ “แต่ถ้าหากคุณผู้หญิงบอกท่านว่ารู้เรื่องโน้นเรื่องนี้จากผม อีกหน่อยผมคงจะช่วยคุณผู้หญิงได้ลำบาก”
อังคณาได้สติ “โทษที ฉันอดไม่ได้” มีท่าทีสงบใจลง “แต่ฉันมั่นใจว่าคุณธานินทร์ต้องมีอะไรปิดบังฉันแน่ๆ แล้วเธอต้องช่วยฉัน...”
“คุณผู้หญิงจะให้ผมทำอะไร”
อังคณาตามดูเขา ตั้งแต่นี้ต่อไป... เขาไปไหน ไปกับใคร ทำอะไร ... ฉันอยากรู้ทุกอย่าง เข้าใจไหมเรืองโรจน์
เรืองโรจน์พยักหน้ารับ
ที่บริษัทเบสท์เอนเตอร์ไพร้ส์ ตอนกลางวัน ตรงเคาน์เตอร์โอเปอเรเตอร์ ดาวกับนันทนากำลังคุยอยู่กับพิณทอง
“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะ น้องพิณ น้องน่ะ เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของบริษัทเราเลยรู้ไหม ที่ถูกคุณชนะศึกไล่ออก แล้วยังกลับมาทำงานได้” ดาวว่า
นันทนาเสริม พร้อมกับสัพยอก “ใช่ สงสัยจะมีพระดี”
“เพราะท่านประธานใจดี เมตตาพิณมากกว่าค่ะ” พิณทองยิ้มบอก
“ฮื่อ ท่านประธานน่ะใจดีมาก ไม่เหมือน...” นันทนาค้างคำ ชะงักกึก
สองสาวหันไป เห็นชนะศึกเดินหน้าเชิดเข้ามาในตึก ทุกคนยืนเงียบ ดาวแกล้งทำเป็นปัดฝุ่นไป
ชนะศึกเดินมาถึงเคาน์เตอร์ ทั้งสามหันมาไหว้ชนะศึก ชนะศึกรับไหว้ มองหน้าพิณทองอย่างเอาเรื่อง
พิณทองอึ้ง แทบไม่กล้าหายใจ
นันทนาถามเสียงแผ่ว “คุณชนะศึกมีอะไรหรือเปล่าคะ”
ชนะศึกไม่ตอบ เดินเชิดไป ทุกคนค่อยๆ ระบายหายใจโล่งอกเป็นแถว
“โอ้ย...เกือบจะเป็นลม” พิณทองบอกเป็นคนแรก
ดาวเอาด้วย “นั่นสิ ถ้านานกว่านี้อีกหน่อย พี่คงขาดใจตาย”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น นันทนาหันไปมองเมื่อเห็นว่าเป็นสายภายใน
“สายจากชั้นผู้บริหาร” ทุกคนหันมามองกันไปมา จากนั้นนันทนาก็รับโทรศัพท์ “ค่ะ…อ๋อ ค่ะ อยู่ที่นี่ค่ะ…เดี๋ยวนี้เลยเหรอค่ะ…ได้ค่ะ” นันทนาวางหู แล้วหันมาพูดกับพิณทอง
“อะไรคะ คุณพี่” ดาวชิงถามด้วยความอยากรู้
“เจ้านายให้น้องพิณขึ้นไปพบข้างบน” นันทนาบอกกับพิณทอง
“เจ้านาย”
พิณทองอึ้ง หน้าเสีย รู้สึกกังวลขึ้นมา
ครู่ต่อมาประตูลิฟต์ชั้นผู้บริหารเปิดออก พิณทองก้าวออกมา ยืนลังเลอยู่ ก่อนที่เรืองโรจน์จะเดินเข้ามาหา
“น้องชื่อพิณทองหรือเปล่าครับ”
“ใช่ค่ะ”
“เชิญทางนี้เลย ท่านประธานเรียกพบครับ”
เรืองโรจน์เดินนำไปทางห้องธานินทร์ พิณตามไป
ภายในห้องทำงานของธานินทร์ยามนั้น ธานินทร์นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ ครู่หนึ่งมีเสียงเคาะประตู
“เชิญ”
สิ้นเสียงของธานินทร์ประตูห้องเปิดออก เรืองโรจน์เข้ามา
“ท่านครับคุณพิณทองมาแล้วครับ”
พิณทองตามเข้ามาในห้อง
“ขอบใจมากเรืองโรจน์”
เรืองโรจน์ถอยออกจากห้องไป
“นั่งซี” ธานินทร์เชื้อชวน พิณทองเข้าไปนั่ง “เป็นไง จักร ใช้ได้ดีเหมือนเดิมไหม”
พิณทองยิ้มกว้าง “ค่ะ แม่ดีใจมากเลยค่ะ ฝากขอบพระคุณท่านมาด้วย”
“แม่ของหนูจะได้ทำงานได้เต็มที่ จะได้มีเงินมีทอง ไม่ต้องกินแต่ไข่อีกแล้ว”
พิณทองชะงักนิดหนึ่ง แล้วเปลี่ยนท่าทีเป็นขำ “ท่านพูดอย่างกับตาเห็นน่ะคะ บ้านหนูทานแต่ไข่กันจนไม่อยากเห็นอีกแล้ว เช้าไข่ดาว เที่ยงไข่ต้ม บางทีเย็นก็ไข่” พิณทองทำท่าคิดเมนูไข่อีก
ธานินทร์เย้า “เดี๋ยว ๆ ไข่ลูกเขยมั้ง”
“ใช่ๆ คะ ไข่ลูกเขย”
ธานินทร์หัวเราะ พิณทองพลอยขำไปด้วย
“เออ ที่เรียกหนูขึ้นมานี่ เพราะมีข่าวจะบอก หนูไม่ต้องกลับไปเป็นผู้ช่วยโอเปอเรเตอร์แล้วนะ”
ฟังธานินทร์ว่า พิณทองตกใจมาก คิดว่าจะให้เธอออก “แล้ว จะให้หนูทำอะไรเหรอคะ”
ธานินทร์รีบบอก “อะไร ทำไมทำหน้าอย่างนั้น ฉันมีงานอื่นให้หนูทำ”
พิณทองฉงน “งานอะไรเหรอคะ”
เวลาต่อมาที่หน้าห้องธานินทร์ พิณทองยืนอยู่กับยุ้ย และธานินทร์
“ตรงนี้ที่นั่งใหม่ของน้องนะคะ” ยุ้ยผายมือไปที่เก้าอี้ใกล้ๆ
“ของหนูเหรอคะ หนูไม่เข้าใจค่ะท่าน” พิณทองมองธานินทร์
“ฉันจะให้หนูขึ้นมาช่วยคุณยุ้ยเขาน่ะ งานเขาเยอะ แรกๆ มันอาจจะยุ่งๆ หน่อย แต่ไม่นานก็คงจะเข้าใจ”
พิณทองพยักหน้า ธานินทร์พูดกับยุ้ย
“ยุ้ยก็สอนงานน้องเขาด้วยนะ”
“ค่ะ”
ธานินทร์หันมาทางพิณทอง บอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ตอนนี้เราอยู่ใกล้กันแค่นี้แล้วนะ มีปัญหาอะไรก็บอกฉันได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”
ยุ้ยได้ฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ กับน้ำคำของธานินทร์
พิณทองไหว้ธานินทร์อีกครั้ง “ขอบพระคุณท่านมากค่ะ”
ห่างออกไป เรืองโรจน์มองดูเหตุการณ์ทั้งหมด ด้วยสายตาครุ่นคิด และสงสัย ก่อนจะเดินกลับไป
สุดาเอาเอกสารมาให้เซ็นที่โต๊ะทำงาน ชนะศึกถามสุดา
“สุดา”
“คะ”
“ตกลงเรื่องแฟ้มมิสเตอร์เดวิดน่ะ เรียบร้อยหรือยัง”
“อ๋อ คุณยุ้ยบอกท่านประธานอ่านอยู่ค่ะ” สุดาว่า
“ช้าจริง...” ชนะศึกลุกขึ้น “ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมไปคุยเองดีกว่า”
ชนะศึกเซ็นเอกสารเสร็จ แล้วลุกเดินออกไป
ภายในห้องครัวชั้นผู้บริหาร มีห้องครัวเล็ก ๆ สำหรับเตรียมกาแฟ และอาหารสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ และมีซิงค์สำหรับล้างถ้วยชาม แม่บ้านอายุใกล้ห้าสิบ กำลังสอนพิณทองชงชา
“ท่านต้องรับชาดอกคำฝอยทุกวัน ปกติคุณยุ้ยก็จะสั่งให้ยกเข้าไปเวลานี้แหละ”
พิณทองฟัง มีท่าทีกระตือรือร้น
“งั้นจากนี้ไป หนูจัดการเองค่ะ”
พิณทองเดินถือถาดถ้วยชามาที่หน้าห้องทำงานธานินทร์ ชนะศึกเดินมาถึงหน้าห้อง เห็นยุ้ยกำลังพูดโทรศัพท์อยู่
“แฟ้มแผนกบัญชีเหรอคะ…ส่งคืนไปให้แล้วนี่คะ ตั้งแต่วันศุกร์”
ชนะศึกเรียก “คุณยุ้ย”
ยุ้ยพูดกับปลายสาย “สักครู่นะ” หันมาทางชนะศึก “คะ”
“คุณพ่ออยู่ใช่ไหม ไม่มีแขกนะ”
“อ๋อ ไม่มีค่ะ”
ชนะศึกเดินถอยหลังไปบอกยุ้ย “คุยงานต่อเถอะ ผมเข้าไปเอง ไม่เป็นไรหรอก”
พูดจบชนะศึกเดินถอยหลังไป โดยไม่ทันเห็นว่าพิณทองถือถาดใส่ถ้วยชาร้อน ๆ ออกมาจากห้องครัว
ครั้นชนะศึกหันมาจึงชนเข้ากับพิณทองอย่างจัง น้ำชาร้อน ๆ หกราดลงบนตัว
ชนะศึกร้อง “โอ๊ย”
พิณทองตกใจมาก
พอชนะศึกเห็นว่าเป็นพิณทองก็ยิ่งฉุน “นี่เธออีกแล้วเหรอ”
“ค่ะ”
ขณะพูดชาหกลงบนตัวชนะศึกอีกครั้ง
“ขอโทษค่ะ”
ยุ้ยตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก
พิณทองหันรีหันขวาง วางถาดไว้ แล้วดึงกระดาษทิชชู่ออกมากำใหญ่ แล้วหันกลับไปจะเช็ดที่ตัวชนะศึก
“พิณ...”
“ไม่ต้อง เอามานี่” ดึงกระดาษจากพิณทองมาเช็ดเอง ท่าทีแสบร้อนไปหมด หันมาพูดกับยุ้ย “คุณมาทำอะไรบนนี้”
“พิณย้ายขึ้นมาทำงานบนนี้ค่ะ” พิณทองตอบแทน
“ข้างบนนี้นะ คำสั่งใคร ฉันถามว่าคำสั่งใคร คำสั่งใคร”
“ท่านประธานค่ะ” ยุ้ยบอก
ชนะศึกไม่อยากจะเชื่อ เดินเข้าห้องธานินทร์ไปอย่างฉุนฉียว
ชนะศึกพรวดพราดเข้ามาในห้องทำงานธานินทร์ ถามผู้เป็นพ่อในอาการฉุนเฉียว
“ทำไมเป็นแบบนี้ครับคุณพ่อ”
ธานินทร์เงยหน้าจากเอกสารมามอง
“อะไร นี่ก่อนเข้ามาเคาะประตูไม่เป็นเหรอ แล้วนั่นไปทำอะไร เสื้อผ้าถึงได้เลอะเทอะ อย่างนั้น”
ชนะศึกย้อนเอาน้ำเสียงขุ่น “อยากรู้ใช่ไหมครับว่าทำไมเป็นแบบนี้ ก็ผู้หญิงที่ผมไล่ออก แล้วพ่อจ้างกลับมานั่นแหละครับที่เป็นคนทำ”
“พิณทองน่ะเหรอ เป็นไปได้ยังไง” จะหยิบโทรศัพท์สายในตรงโต๊ะ
ชนะศึกเข้ามาจับมือพ่อไว้ “ช่างมันเถอะครับ ผมต้องการคำอธิบายจากพ่อมากกว่า ทำไมพ่อถึงย้ายเขาขึ้นมาทำงานบนนี้”
“แล้วลูกจะมาซีเรียสอะไรนักหนา พ่อให้เขาย้ายขึ้นมาทำงานให้พ่อ ไม่ได้เกี่ยวกับลูกซักหน่อย”
ชนะศึกพาล “แต่ผู้หญิงคนนั้นผมเป็นคนไล่เธอออก แค่พ่อจ้างกลับเข้ามา ผมก็เสียหน้าแค่ไหนแล้ว นี่ยังเอามานั่งหน้าห้องพ่ออีก อยากจะประจานผมหรือไงครับ”
ธานินทร์ย้อน “พ่อเนี่ยนะ จะประจานลูก ยุ้ยเขาบ่นว่างานเขาเยอะ พ่อก็มองหาคนมาช่วยเขา คนอื่นเขาก็มีงานเต็มมือ เด็กคนนี้เพิ่งมาใหม่ ยังไม่ได้รับผิดชอบอะไรเป็นอัน พ่อก็เลยคิดว่าเหมาะที่สุด”
“เหมาะอะไรครับ ความรู้มีเหรอ ท่าทางก็เบ๊อะบ๊ะจะตาย แค่เสิร์ฟน้ำชายังทำหกใส่ผมได้ บอกผมมาตามตรงดีกว่า พ่อทำแบบนี้ทำไม”
ธานินทร์พูดบอกน้ำเสียงจริงจัง “พ่อไม่จำเป็นต้องตอบ” หยุดนิ่งไปอีกนิดหนึ่ง “ชนะ พ่อไม่เคยขออะไรลูกเลย แต่สำหรับเด็กคนนี้พ่อขอ”
ชนะศึกมองพ่ออย่างหงุดหงิด ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป ด้วยหน้าตาสงสัย และไม่พอใจอย่างมาก
ขณะเดียวกันพิณทองยืนตัวลีบเล็กอยู่หน้าห้อง มีสุดาอยู่ข้างๆ พิณทองเดินเข้าไปที่หน้าห้องธานินทร์ ชนะศึกเดินสวนออกมาจากห้องธานินทร์พอดี มองเลยพิณทองไปพูดกับสุดา
“หาเสื้อให้ใหม่ตัวนึง”
“ค่ะ” สุดารับคำ เดินตามชนะศึกไป
ชนะศึกเดินเข้าห้องตัวเอง พิณทองมองตาม รู้สึกผิด
ชนะศึกเดินมาหน้าห้อง ส่งเสื้อตัวเก่าให้สุดา
“ส่งไปซักให้ด้วย”
จากนั้นชนะศึกก็เข้าห้องไป พิณทองเดินออกมาจากที่ที่ยืนแอบอยู่ ตรงเข้ามาที่โต๊ะของสุดา
“เดี๋ยวพิณเอาไปซักให้มั้ยคะ”
“ไม่ต้องหรอกจ้า”
“ไม่เป็นไรค่ะ พิณเป็นคนทำ พิณต้องรับผิดชอบ”
สุดาพยักหน้า แล้วส่งเสื้อให้พิณทองไป
เรืองโรจน์เดินอย่างรีบร้อนมาตามทาง มาหยุดที่ริมสระว่ายน้ำ เรืองโรจน์มองไปแล้วยิ้มกริ่ม
ชนกนันท์กำลังนอนอยู่ที่เก้าอี้ริมสระ มองมาเห็นเรืองโรจน์ยืนยิ้มอยู่ก็ไม่พอใจ
“นี่นายมายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้”
ชนกนันท์รีบดึงผ้ามาคลุมตัว เรืองโรจน์สะดุ้งรู้สึกตัว
“เออ...ผมมาพบคุณอังคณาน่ะครับ”
“คุณแม่อยู่ข้างใน...ไปได้แล้ว”
“ครับ”
เรืองโรจน์รับคำ แล้วรีบเดินออกไป
อังคณาเดินนำเรืองโรจน์ เข้ามาที่ห้องทำงานส่วนตัวของอังคณาในบ้าน
“ว่ามา มีอะไร”
เรืองโรจน์ออกตัว “ความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่”
อังคณาดักคอ “อย่ามาอ้ำอึ้ง ถ้าไม่มีอะไรเธอคงไม่มาหาฉัน ว่ามา”
“วันนี้ท่านรับผู้ช่วยเลขาฯ คนใหม่ครับ”
อังคณานิ่วหน้าคิดในใจว่ามันแปลกยังไง เรืองโรจน์รีบอธิบายต่อ
“เด็กมาจากไหนไม่ทราบ มาเป็นพนักงานรับโทรศัพท์ได้วันเดียว ก็ถูกย้ายขึ้นมาเป็นหน้าห้องท่าน” อังคณาเครียดขึ้นมาทันควัน “ดูท่านกระตือรือร้นสนใจมาก ถึงกับให้ผมเดินเรื่องเองเลย”
“เด็กผู้หญิงเรอะ” เรืองโรจน์พยักหน้า “สวยมากไหม”
“ก็...หน้าตาดีครับ”
“อายุซักเท่าไหร่” อังคณาซัก
“เพิ่งจบพาณิชย์มาใหม่ๆ ครับ อายุคงไม่เกินยี่สิบ”
อังคณาโมโหปัดแจกันดอกไม้แตกกระจาย สบถออกมา
“ทุเรศ! ไอ้เราก็นึกว่ามีอะไร ที่แท้ก็ไอ้แก่ตัณหากลับ”
“คุณผู้หญิงครับ ผมแค่เห็นว่าแปลก ที่ท่านเป็นถึงประธานกรรมการแล้วมาสนใจพนักงานระดับนี้ เลยมารายงาน แต่มันไม่ได้แปลว่า...”
อังคณายกมือห้าม พร้อมกับตวาด “พอที! ลองอีแบบนี้มันไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้หรอก นอกจากวัวแก่มันคิดจะเคี้ยวหญ้าอ่อน” สั่งการทันที “เรืองโรจน์ ไปสืบมาให้ฉันที ฉันอยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับนังเด็กคนนี้”
เรืองโรจน์ลังเล “เอ่อ แล้วคุณผู้หญิง...”
“ฉันไม่ทำอะไรมันหรอกน่ะ” อังคณาผุดหน้าร้ายกาจ “แค่จะตัดไฟแต่ต้นลมเท่านั้นเอง”
ภายในบ้าน พรรณีกำลังเตรียมตั้งสำรับอาหารเย็น เพชรแท้กับผึ้งช่วยอยู่ด้วย เพชรแท้ฮึดฮัดโมโหไม่หายที่รู้ว่าแม่โดนรังแก
“มันชื่ออะไรรู้ไหมแม่ คนที่มันขับรถชนแม่” พรรณีส่ายหน้า “งั้นจำรถได้ไหม รถยี่ห้ออะไร เลขทะเบียนอะไร จำได้ไหมแม่”
“แล้วก็แล้วไปกันน่ะ เพชร จะไปวุ่นวายกับเค้าทำไม” พรรณีปราม
“เพชรไม่ใช่คนใจดีอย่างแม่นี่...ใครมันทำเพชร เพชรต้องเอาคืน”
ผึ้งเข้าข้าง “ใช่ พี่เพชร มันต้องตาต่อตา ฟันต่อฟัน มันถึงจะสะใจ” จังหวะนั้นหันไปเห็นพิณทองพอดี “อ้าว พิณมา”
พิณทองกลับเข้ามา ในมือนอกจากกระเป๋าถือของเธอแล้ว ยังมีถุงใส่เสื้อของชนะศึกมาด้วยผึ้งออกไปรับ มองไปที่ถุงอย่างสงสัย
“พิณ มาพอดี กินข้าว” เพชรแท้เรียกน้อง
“พี่เพชรกับแม่กินเถอะจ้ะ พิณกินมาแล้ว” พิณทองว่า
“แล้วนั่นซื้ออะไรมาเหรอ” ผึ้งถาม เห็นพิณกอดแน่น ยิ่งอยากดู “ขอดูหน่อยนะ”
พิณทองเบี่ยงหลบ “เปล่า ไม่มีไรหรอก” เอาถุงเสื้อแอบด้านหลัง “แม่จ๋า พิณกินข้าวมาแล้ว พิณขอตัวไปซักผ้าก่อนนะจ๊ะ”
พิณทองเดินเลี่ยงไปหลังบ้าน พรรณีมองตามอย่างแปลกใจ
เพชรแท้บ่นอุบ “ซักผ้า มาซักอะไรตอนนี้”
ตรงลานซักล้างหลังบ้านยามค่ำ กะละมังใบนั้นมีน้ำอยู่แล้ว พิณทองเอาผงซักฟอกแบบซองที่ซื้อมาใหม่ออกมาจากถุง ฉีกซอง แล้วเทลงน้ำในกะละมัง
พิณทองตีน้ำจนขึ้นฟอง แล้วจึงเอาเสื้อของชนะศึกออกมาจากในถุง พิณทองคลี่เสื้อออก ถือไว้ในมือ กลิ่นหอมจากเสื้อของชนะศึกลอยออกมา พิณทองเหลือบมองซ้ายขวาเล็กน้อย แล้วยกเสื้อขึ้นมา สูดกลิ่นหอมจากเสื้อชนะศึกนิดหน่อย แล้วเอาเสื้อชนะศึกใส่ลงไปในกะละมัง พิณทองเริ่มขยี้ที่รอยเปื้อน รู้สึกมีความสุขที่ได้ทำอะไรดีๆ ให้เขา
พรรณีแอบดูพิณทองซักผ้า ในใจหวั่นไหว สงสัยกับการพฤติกรรมของพิณทองครามครัน
โปรดติดตาม "บ่วงรัก" ตอนที่ 3