ท่ามกลางการทำธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูง ทำให้นักธุรกิจสาวมาดมั่น ซึ่งมีเป้าหมายที่ความสำเร็จในหน้าที่การงานและความมั่นคงทางการเงิน กลายเป็นคนเจ้าอารมณ์โดยไม่รู้ตัว
แต่การไปร่วมปฏิบัติธรรมตามคำชักชวนของเพื่อนๆ ทำให้ ‘คุณเหมียว’ รัตดา ภัทโรดม กรรมการบริหาร บริษัท อมิตี คอนซัลติ้ง จำกัด พบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตแบบไม่ตั้งใจ
ทุกวันนี้เธอกลายเป็นคนใจเย็น ยิ้มง่าย มองคนอื่นด้วยความเมตตาและเข้าอกเข้าใจ จนคนรอบข้างต่างพากันแปลกใจในความเปลี่ยนแปลงของเธอ นอกจากนั้น เธอยังเปลี่ยนความคิดจากนักธุรกิจที่ตั้งสมการความสำเร็จที่ตัวเลขกำไรขาดทุน มาเป็นการช่วยเหลือแบ่งปันโดยไม่มีเงื่อนไข และไม่ต้องการสิ่งตอบแทน
• ธรรมะเปลี่ยนอารมณ์
คุณเหมียวเล่าว่าการก้าวเข้าสู่เส้นทางธรรมของเธอ เป็นเรื่องบังเอิญอย่างยิ่ง เธอไปปฏิบัติธรรมเพราะขัดเพื่อนไม่ได้ แต่การไปครั้งนั้น ทำให้เธอได้พบกับความวิเศษของธรรมะ ที่นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงในชีวิตอย่างที่เธอเองก็คิดไม่ถึง
“ครั้งแรกที่ไปปฏิบัติธรรม เพราะเพื่อนๆพี่ๆที่ชอบไปดำน้ำด้วยกันชวนไปที่ “ธรรมอาภา” จังหวัดพิษณุโลก เราก็เลยต้องไปกับเขาด้วย ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องที่อยู่ในหัวเลย ตอนแรกที่ปฏิบัติธรรมก็ไม่เข้าใจนะว่า การหลับตาแล้วเคลื่อนความสนใจเราไปดูนั่นดูนี่ สัมผัสโน่นนี่ในร่างกาย มันจะช่วยเราตรงไหน จนกระทั่งครบ 10 วันแล้วออกมา มันเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยที่เราไม่รู้ตัว
อย่างเช่น เฮ้ย...เมื่อกี้คนขับรถปาดหน้า ต้องโมโหนี่หว่า เออ..เจ๋งว่ะ จากโกรธวันละ 10 ครั้ง ก็จะเหลือวันละ 9 ครั้ง จากโกรธเป็นชั่วโมงก็จะเหลือ 50 นาที
ยิ่งปฏิบัติ ความโกรธก็จะยิ่งลดลง แล้วอยู่ๆก็มีความรัก ความเมตตาปรารถนาดีเกิดขึ้นมาเอง โดยที่เราไม่ได้เติมลงไป ซึ่งจริงๆ ความเมตตาปรารถนาดี มันมีอยู่ในใจเราทุกคน แต่มันถูกกดไว้เพราะมัวแต่ไปโมโหโน่นโมโหนี่ พอเราเลิกโมโห ความปรารถนาดีเลยโผล่ออกมา
แต่ก่อนเป็นคนใจร้อนมาก ใครพูดจาไม่ดีก็จะปรี๊ดเลย แต่เดี๋ยวนี้ไม่เป็น สมมุติเขาพูดไม่ดีกับเรา เราก็จะยิ้ม แล้วก็บอกขอบคุณนะคะ ไม่ได้เอาคำพูดนั้นเข้ามากระทบใจเลย แล้วไม่ใช่ว่าเราตั้งใจยิ้มหรือตั้งใจว่าจะไม่ตอบโต้นะ มันเป็นอัตโนมัติ เหมียวคิดว่าการปฏิบัติธรรมเป็นประโยชน์ตรงที่ทำให้คนรอบข้างเรามีความสุขขึ้น เพราะเราไม่ปรี๊ดแตก” คุณเหมียวเล่าด้วยรอยยิ้มละไม
• ยิ่งปฏิบัติธรรม
ชีวิตก็ยิ่งมีความสุข
คุณเหมียวบอกว่ายิ่งปฏิบัติธรรม ชีวิตก็ยิ่งมีความสุข เพราะการปฏิบัติธรรมเหมือนการหมั่นลับจิตให้คม เพื่อนำจิตที่คมนั้นไปตัดกิเลส ส่งผลให้ความทุกข์จากรัก โลภ โกรธ หลง จางหายไป ทำให้เกิดปัญญาในการมองโลกอย่างรอบด้าน และมองด้วยจิตที่เมตตา ซึ่งทุกอย่างจะเป็นไปแบบอัตโนมัติ โดยที่เธอเองก็ไม่รู้ตัว
“การทำอาณาปานสติหรือการฝึกสมาธิ เป็นการลับจิตของตัวเองให้คม ให้ละเอียด เพื่อเอาจิตที่คม ที่ละเอียดผ่าเข้าไปในใจของเรา เพื่อเอากิเลสต่างๆ เช่น โลภะ โทสะ โมหะ ออกมา ส่วนวิปัสสนานั้นวัตถุประสงค์คือให้เกิดปัญญา สามารถมองสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นได้ครบทุกมุม ถามว่าเอามาจากไหน ก็เอามาจากการหลับตาแล้วมองเข้าไปข้างใน
วิปัสสนาเนี่ยะจิตไม่ได้อยู่เฉยๆนะ ต่างจากการทำสมาธิที่จิตนิ่งจดจ่ออยู่กับอะไรสักอย่าง แต่วิปัสสนาจิตจะทำงานตลอดเวลา โดยใช้ร่างกายของเราเป็นห้องแล็บ จริงๆในร่างกายของเรามีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นตลอดเวลานะ แต่เราไม่รู้ เพราะมัวแต่ลืมตาดูเปิดหูฟังทุกอย่าง แต่ถ้าเราปิดการรับรู้ข้างนอก แล้วพุ่งความสนใจเข้าไปในร่างกาย เราจะสามารถสัมผัสความเคลื่อนไหวภายในได้ การที่เราบอกว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง เกิดดับไม่แน่นอน ปากก็พูดได้หรอก แต่พอถึงเวลาลูกตาย คนที่รักตาย จะปล่อยวางยังไง
เพราะฉะนั้นการที่รู้อนิจจังจากประสบการณ์โดยตรง เห็นการเกิดดับ ไม่ใช่เอาตาเห็นนะ ต้องใช้ใจดู ต้องรู้ด้วยการปฏิบัติ เหมือนขับรถหรือขี่จักรยาน พอเราขับเป็นแล้วทุกอย่างมันอัตโนมัติ เราไม่ต้องตั้งใจขับนะ ไม่ต้องคิดว่าจะต้องเข้าเกียร์ จะต้องเหยียบคันเร่ง มันไปเอง เรียกว่าเป็นทักษะของการใช้ชีวิต
การปฏิบัติธรรมมันเป็นทักษะของการใช้ชีวิตให้มีความสุข เพราะถ้าเราปล่อยให้ทุกอย่างมากระทบใจเรา ก็แสดงว่าเราไม่มีทักษะในการใช้ชีวิต คือ ธรรมะเนี่ยะต่อให้เรามีความรู้แค่ไหน แต่ไม่ได้นำมาปฏิบัติ ก็ไม่มีประโยชน์ เป็นเรื่องที่ต้องฝึกเพราะมันเป็นประสบการณ์ตรง”
• หันมาทำเพื่อคนอื่นมากขึ้น
นอกจากธรรมะจะทำให้คุณเหมียวมีความสุขในทุกวันของชีวิตแล้ว ความเปลี่ยนแปลงอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับเธอก็คือ ความเมตตาและอยากจะช่วยเหลือแบ่งปันให้กับคนทั่วไป โดยเฉพาะคนที่ด้อยโอกาสในสังคม โดยบุคคลที่เป็นต้นแบบให้เธอก้าวตามก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงใช้เวลาทุกวินาทีทุ่มเททำงาน เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของพสกนิกรชาวไทย
และวันนี้ เธอจึงขอใช้เวลาที่มีอยู่ออกไปช่วยเหลือผู้คน เพื่อแบ่งเบาภาระของพระองค์ท่าน เท่าที่ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอจะทำได้ โดยเลือกที่จะทำโครงการเกี่ยวกับข้าวและป่าไม้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ในหลวงทรงห่วงใยและให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ
“หลังจากปฏิบัติธรรม ชีวิตเหมียวเปลี่ยนแปลงไปเยอะ จากเดิมมุ่งทำงานเพื่อธุรกิจของตัวเอง แต่ปัจจุบันเราทำเพื่อคนอื่นมากขึ้น คือความคิดและการทำงานตรงนี้มันเกิดขึ้นเอง เพราะเรามีเวลามากขึ้นมีปัญญามากขึ้น มีความเมตตากรุณามากขึ้น
ที่มาทำโครงการส่งเสริมการปลูกข้าวและโครงการเกี่ยวกับป่า เพราะเรารักในหลวง พระองค์ทรงทำเพื่อประชาชนด้วยความรักและเมตตาแบบไม่มีเงื่อนไขและไม่มีขอบเขต ซึ่งเหมียวก็ถามตัวเองว่า เรารักในหลวง แล้วเราทำอะไรเพื่อพระองค์ท่านบ้าง เราอาจจะเป็นพลเมืองที่ดี ช่วยเหลือคนเท่าที่เราจะช่วยได้ แต่เรายังไม่ได้ทำอะไรจริงจังเลย ก็มานั่งคิดว่า ในหลวงทรงให้ความสำคัญในเรื่องใดบ้าง ก็พบว่าพระองค์ท่านมักพูดถึงเรื่องข้าวกับป่าไม้ เราก็เลยจับเรื่องป่าก่อน”
• ตั้งกองทุนช่วยป่าไม้
ทำโครงการเพื่อชาวนา
โครงการเกี่ยวกับป่านั้นคุณเหมียวได้ตั้งกองทุนสวัสดิการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เพื่อให้มีกำลังใจในการต่อสู้กับนายทุนที่ตัดไม้ทำลายป่า
“ตั้งกองทุนสวัสดิการให้แก่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ โดยทำกองทุนผ่านมูลนิธิสืบนาคเสถียร เพื่อช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่เขาดีขึ้น คือเจ้าหน้าที่ป่าไม้เป็นกลุ่มคนที่เสียสละมาก งานของเขาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพราะต้องเผชิญหน้ากับผู้มีอิทธิพล เขาเฝ้าป่ารักษาป่าให้เรา แต่กลับต้องทำงานแบบไม่มีใครช่วยเขาเลย งบประมาณต่างๆลงไปไม่ถึง เงินเดือน 4,200 บาท ไม่มีสวัสดิการ ไหวไหมล่ะ”
ส่วนโครงการเกี่ยวกับข้าวนั้น คุณเหมียวมีเป้าหมายที่จะพัฒนาอาชีพชาวนาไทยให้อยู่ได้อย่างยั่งยืน และยึดตามพระราชดำรัสของในหลวงคือ “ต้องสอนให้เขาตกปลา ไม่ใช่เอาปลาไปแจกให้เขากิน” โดยเธอใช้วิธีส่งคนเข้าไปรับซื้อข้าวจากชาวนาในราคาสูง เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตข้าวที่มีคุณภาพดี ปราศจากสารพิษ และลดต้นทุนการผลิต ช่วยให้เขาหลุดพ้นจากการเป็นหนี้ สามารถยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง
“เมื่อ 3 ปีที่แล้วเราเริ่มรับซื้อข้าวจากชาวนา โดยให้ตัวแทนออกไปกว้านซื้อข้าวในราคา 2 เท่าที่เขาขายปกติ พอเขาได้ประโยชน์จากเรา ก็จะเกิดความเกรงใจ เราก็บอกให้เขาเลิกใช้รถไถนา เพราะน้ำมันที่ออกมาจากเครื่องยนต์มันเคลือบดินทำให้ดินเสีย ทำให้สัตว์เล็กสัตว์น้อยในท้องนาอยู่ไม่ได้
ขอให้เขาหันมาใช้วัวควายไถนาเหมือนสมัยก่อน เลิกใช้สารเคมี เลิกใช้ยาฆ่าแมลง เปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยชีวภาพ ซึ่งผลผลิตมันอาจจะต่ำ ก็ให้เขาไปจดมาว่าบ้านนี้มีที่กี่ไร่ ได้ผลผลิตเท่าไร ที่ผ่านมาเคยได้เท่าไร ถ้าใช้ปุ๋ยชีวภาพเราจะให้เขาเท่ากับรายได้ที่เขาเคยได้
เหมียวซื้อข้าวจากชาวนาในกลุ่มปีละหลายสิบตันนะ ซื้อจาก 2-3 หมู่บ้านในจังหวัดทางภาคอีสาน ตอนนี้ก็มีชาวนาอยากเข้ากลุ่มกับเรามากขึ้น ตอนนี้คนก็รับรู้ว่าเรารับซื้อข้าวแพง
เราก็ขอแรงคนที่เขามีความรู้ด้านนี้ลงไปให้ความรู้กับชาวนา ว่าจะปลูกยังไงให้ได้ผลดี โดยที่ไม่ต้องใช้สารเคมี ตั้งแต่เลิกใช้สารเคมีมันก็เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ดี ปีที่แล้วข้าวที่เราซื้อจากชาวนาในกลุ่ม หอมมาก อร่อยมาก แล้วคุณภาพดินก็ดีขึ้น เราซื้อข้าวเปลือกมาสี แล้วก็แพ็คถุงขาย แต่ราคาซื้อมันสูงกว่าราคาขาย ก็ขาดทุนทุกปี อย่างปีที่แล้วขาดทุนไปแสนกว่าบาท ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ได้ซีเรียสอะไร เพราะเราตั้งใจทำ
ปีหน้าเรากำลังดูว่าจะทำยังไงให้ชาวนาเลิกดื่มเหล้า ซึ่งต้องทำเป็นโครงการว่า ถ้าใครจะเข้ากลุ่มขายข้าวให้เรา จะต้องห้ามดื่มเหล้า ห้ามเล่นการพนัน โดยเราต้องส่งคนลงไปคอยดู ถ้าพบว่าใครดื่มเหล้า เล่นการพนัน ก็ให้ออกจากโครงการไป”
ชีวิตของนักธุรกิจสาวที่เปลี่ยนจากการเป็นผู้รับ มาเป็นผู้ให้โดยไม่หวังผลตอบแทนเป็นเม็ดเงินนั้น นำมาซึ่งความสุขใจอย่างที่สุด อย่างชนิดที่เงินก็หาซื้อไม่ได้
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 142 ตุลาคม 2555 โดย กฤตสอร)