แรงเงา ตอนที่ 5
ค่ำคืนนั้นพรพามุตตามาพบกับเสี่ยที่เอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ ภายในห้อง VIP ที่เป็นห้องคาราโอเกะไปด้วยในตัว เสี่ยยังคงใส่เวอร์ซาเช่ปลอม เพชรทองเต็มตัว ถือไมโครโฟนคุยกับมุตตาและพร
สีหน้ามุตตายังคงซีดเผือดแต่ใส่เสื้อเปลือยไหล่ กระโปรงค่อนข้างสั้น พรเหลือบดูนอกผนังกระจกเห็นเวทีมีนักร้องอวบขาวนุ่งกางเกงที่สั้นกว่าบิกินี เด้งบ้างเกาบ้างยั่วแขก แต่แขกไม่ได้มากมายอะไรนัก
“ต๊าย น้องจ๊ะเชียวหรือคะ เสี่ย”
“ม่ายช่ายน่อ ตัวจริงเขาดังแล้ว ฮ็อด ฮ็อด เสี่ยสู้ราคาไม่ไหว”
“อ้าว ก็ตัวปลอมนะซีคะ”
“ไม่ปลอม เขาเรียกก็อปปี้บี นี่น้องจุ๊คุ้นหู ชื่อคล้องกันกว่าจ๊ะอีก”
“ชื่อคล้อง แล้วมีน้องจิ๊ด้วยไหมเสี่ย” พรแซวสร้างบรรยากาศ
เสี่ยส่ายหน้าหันมาหามุตตาแล้วนับเงิน
“ของเก่ายังไม่ได้ใช้ มายืมอีกแล้ว แต่ไม่เป็นไรเสี่ยไว้ใจหนูเสี่ยให้สามหมื่นเลย”
มุตตาอึดอัดรับเงินมา
“ขอบพระคุณค่ะ เสี่ย แล้วหนูจะหามาใช้คืนให้เร็วที่สุด”
“ไม่ต้องห่วงน่อ เมื่อไรก็เมื่อนั้น แหม ดูหนูแต่งตัวอย่างงี้แล้วมาเป็นนักร้องได้สบาย”
“อุ๊ยตาย เกณฑ์เลือกนักร้องเสี่ยนี่แปล๊กแปลก” พรแขวะขำๆ
“เสียงอย่างหนูเป็นนักร้องไม่ได้หรอกค่ะ” มุตตาออกตัว
“ทำไมจะไม่ได้ ดูอย่างหนูจุ๊ที่ร้องอยู่นั่นสียงเหมือนเป็ดผสมห่านแขกยังแย่งกันเกา แทบจะยิงกันตาย”
เสี่ยชี้ให้ดูน้องจุ๊ พรอ่อนใจ มุตตาอายแทน
“หนูทำไม่ได้จริงๆ ค่ะเสี่ย” มุตตายืนกราน
“ตามใจหนู อ้อ หนูพร ช่วยไปหยิบกระเป๋าเสี่ยมาให้ทีอยู่ที่เคาน์เตอร์ข้างนอก”
พรออกไป เสี่ยขยับมานั่งชิดมุตตาทันที มุตตากระถดถอย เสี่ยมองสูงมองต่ำ
“แหม หนูนี่ผิวดีจริงๆ นา เป็นสาวเหนือหรือเปล่า”
“ไม่ใช่ค่ะ”
“สวยไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัว” เสี่ยวางมือแหมะบนเข่ามุตตาแล้วลูบสูงขึ้น มุตตาลุกพรวดแล้ววิ่งออกไป “หนู หนู กลับมาก่อนน่อ”
พรถือกระเป๋าหนีบของเสี่ยเข้ามา
“อ้าว เพื่อนหนูล่ะเสี่ย”
“ไปแล้ว”
“เสี่ยไปทำชีกออะไร เพื่อนหนูไม่ใช่อย่างว่านะ”
“อั้วเปล่าน่า”
พรส่งกระเป๋าให้
“เอ้า เอาไป ให้เอามาทำไม”
“ง่า เอ้อ อ้า ก็ลื้อว่าหนูตามีเคาะอั้วก็เลยจะให้ของขลัง”
พรดึงกระเป๋ามาเทมีปากกา พวงกุญแจและกล่องสี่เหลี่ยมหลายกล่องตกพรูลงบนโต๊ะ
“ไหนๆ ของขลัง ฉันเห็นมีแต่ถุงยาง”
มุตตาเดินแกมวิ่งเข้ามาในซอยมืดคับแค้นใจจนน้ำตาร่วง รถมอเตอร์ไซค์รับจ้างแล่นมา มุตตาหลบเข้าหลังเสาและถังขยะมีรถคันหนึ่งจอดลงเปิดไฟสว่าง ร่างสูงก้าวมาเป็นเงาดำตรงมาหามุตตา มุตตาปาดน้ำตา
“ไปนะ”
“คุณตา นี่ผมเอง วีกิจฮะ”
วีกิจก้าวมามองอย่างห่วงใยเหมือนเคย มุตตายืนนิ่งอึ้งอับอายจนโกรธ
“คุณกิจ”
“คุณเป็นยังไงบ้างฮะ” วีกิจถามอย่างเป็นห่วง
“ฉันยังไม่ตายค่ะ นี่คุณมาทำไมคะ”
“คุณตา ที่ผมมาเพราะผมเป็นเพื่อนคุณ”
“คุณยังเห็นตาเป็นเพื่อนอยู่อีกหรือ เรื่องทั้งหมดตาเองที่ผิดที่ไม่ยับยั้งชั่งใจที่ปล่อยให้ทุกอย่างมันเกินเลยมาขนาดนี้”
“คนเราตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอกฮะ ที่คุณทำอาจจะผิด แต่อาภพต้องผิดด้วย” วีกิจพูดอย่างปลอบโยน มุตตาหลบตา “และที่อานภาทำลงไปก็ไม่ใช่ว่ามันถูก ผมบอกคุณตาแล้วว่าคนทุกคนทำผิดได้แต่เมื่อรู้แล้วจะทำยังไงให้มันถูกต้อง ไม่ให้ผิดซ้ำสองต่างหาก”
มุตตาขมขื่น อับอาย เอาความโกรธขึ้นมากลบ
“ขอบคุณที่เทศนาสั่งสอนตา แต่ตาคงเป็นคนบาปตาไม่รู้แล้วว่าอะไรดีอะไรไม่ดี”
“คุณตา”
“คุณกลับไปเถอะค่ะ อย่ามาห่วงฉันเลย”
“ไม่ฮะ ผมจะไปส่งคุณก่อนแล้วผมถึงจะกลับ” มุตตานิ่งอึ้ง มองวีกิจอย่างขอโทษแต่พูดไม่ออก “มาเถอะฮะ”
วีกิจเดินนำไปรถ มุตตามองแผ่นหลังวีกิจน้ำตาหยดจากดวงตา
รถวีกิจแล่นมาจอดลงที่ลานจอดรถของหอพัก ฤดีกับศรีถลามาดูที่ผนังกระจก ภายในรถมุตตายังคงเอาท่าหมางเมินมากลบไว้วีกิจมองอย่างเข้าใจ
“คุณจะทำยังไงต่อไปฮะ”
“ฉันยังไม่รู้ค่ะ”
“ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีสติ ค่อยๆ คิดนะฮะ” มุตตาพยักหน้า
“คุณกลับไปเถอะค่ะ วีกิจ”
“ชีวิตต้องสู้ต่อไป อย่าเพิ่งหมดหวัง อย่าเพิ่งยอมแพ้นะฮะ”
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณ”
มุตตาลงรถไป วีกิจถอนใจแล้วขับรถไป มุตตามองตามความรู้สึกหลายอย่างประเดประดังจนต้องป้ายน้ำตา มอเตอร์ไซค์รับจ้างพุ่งมาเบรก เบาะที่งอนสูงทำให้พรเบียดกระแทกคนขับ พรทุบหลังคนขับ
“เบาๆ ซียะ จะเบรกให้ซิลิโคนแตกเหรอ” พรลงรถถลามาหามุตตา “หนูตา ไอ้เสี่ยบ้ามันทำอะไร”
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ เห็นท่าไม่ดีก็เลยรีบกลับออกมา”
มุตตาโกหกเมื่อเห็นพรเป็นห่วง
ฤดีกับศรีชะเง้อคอยาว พอมุตตาและพรเข้ามาจึงรีบทำเป็นมีงานง่วน
“หนูขึ้นไปก่อนก็แล้วกัน”
มุตตารับคำเข้าด้านในไป พรไปเกาะเคาน์เตอร์
“ยังไงยะ ท้องจริงๆ ใช่ไหม” ฤดีถาม พรถอนใจ
“จะเหลือเหรอป้า”
“แล้วท้องกะใครคะ คนแก่หรือคนหนุ่ม” ศรีถาม
“ไม่เห็นต้องถามเลย ไอ้แก่ซียะ เมียหลวงถึงมาตบออกสื่อขนาดนั้น”
“ต๊าย แล้วทำไมคนหนุ่มยังมาดูแลพี่ตาอยู่ล่ะคะ เพิ่งกลับไปก่อนเจ๊มานิดเดียวเอง”
พรแปลกใจ แล้วถอนใจ
“ไอ้หนุ่มเอ๊ย รักจริงหวังแต่งซีนะ นังศรีแกตาถึง ส่วนฉันกะหนูตาน่ะตาถั่ว แต่ยังไงหนูตาก็น่าจะสู้มันซักตั้ง”
ต่อนั่งอยู่กับนพนภาที่โซฟาในห้องโถง หนุ่มน้อยกำลังเอาซิมโทรศัพท์เจนภพใส่มือถือเครื่องใหม่ นพนภามองดูอยู่
“เรียบร้อยแล้วฮะ”
“เก่งจังเลยลูกฉัน” นพนภาเอาโทรศัพท์มาเช็กดูมีแมสเสจเข้ามาไม่ขาดสาย นพนภาเช็กแมสเซจจนเหนื่อยจึงส่งคืนต่อ “ไหนต่อดูซิลูก มีอีแจงจิต 1 ส่งแมสเสจมาบ้างไหม”
ต่อเอาโทรศัพท์มาเช็กดู
“ไม่มีนี่ฮะ”
จังหวะนั้นมีโทรศัพท์เข้า ต่อมองดู นพนภาเม้มปากพยักหน้าให้รับ
“ฮัลโหล สวัสดีครับ”
พรอยู่ที่ห้องมุตตา ใช้มือถือตัวเองโทร.หาเจนภพ มุตตานั่งบนเตียงฟังใจจดจ่อ
“สวัสดีจ้ะหนุ่ม ขอสายคุณเจนภพหน่อยค่ะ” พรลดโทรศัพท์ลงแนบอก “คงลูกชายรับ”
“ขอโทษฮะ จากไหนครับ”
“บอกว่าดิฉันชื่อพรนะคะ”
“รอสักครู่นะฮะ”
ต่อลดโทรศัพท์ลงบอกนพนภา
“แม่ฮะ นังดอกส้มโทร.มาแต่สะตอว่าชื่อพรฮะ” ต่อพูดโทรศัพท์ต่อ “โอเค มาแล้วครับ”
นพนภาคว้ามือถือไป
“อุ๊ย ขอบคุณค่า...มาแล้วหนู”
พรส่งโทรศัพท์ให้มุตตา
“ฮัลโหล ผ.อ.หรือคะ”
“จำไว้บ้างซียะว่าผ.อ.น่ะ ย่อมาจากคำว่าผัวคนอื่น นี่เพิ่งด่าไปแหม็บๆ ยังไม่เข็ดนะยะอุตส่าห์ดัดเสียงมาตอแหล” มุตตาตกใจตัวสั่น พรมองดูเริ่มรู้ “ผัวฉันมันเอาแกเล่นๆ รู้ตัวซะทีซี” พรกระชากมือถือมาฟัง “ฟังไว้นะ วันไหนแกโผล่ไปตอแยผัวฉันอีก ฉันจะตบแกให้หน้าแหกหมอไม่รับเย็บ”
“อุ๊ย หล่อนมีมือคนเดียวหรือยะ ถ้าฉันเจอตบ หล่อนก็เจอตีน”
นพนภาอ้าปากค้าง
“ว้าย อี...”
พรยิ้มด่าเป็นชุด มุตตาดึงมือห้ามก็ไม่หยุด
“โถ นังโบท็อกซ์ แต่เครื่องในน่ะรวนจนผัวเหี่ยวเป็นมะเขือเผาต้องเจอมือสาวๆ ถึงฟื้น หล่อนน่ะไม่ใช่น้ำพริกถ้วยเก่าแล้ว แต่เป็นปลาร้าเน่าไหแตกแม้แต่หนอนยังไชไม่ลง อย่าว่าแต่ผัวเลย”
“ว้าย อี อีปากตำแย”
“ค่ะ มันถึงได้คันหู เกากันไม่หวาดไม่ไหวไงคะ”
พรกดวางหูหัวเราะกิ๊ก มุตตาทำหน้าจะร้องไห้ นพนภายังนึกคำด่าไม่ทันนัก ต่อดึงโทรศัพท์มา
“อีปากนรกแตก”
“มันวางหูไปแล้วฮะ”
เจนภพเดินมาจากด้านในบ้าน นพนภาเต้นเร่าๆ ต่อเชิดใส่พ่อเดินเลี่ยงไป
“อะไรกันอีกล่ะ”
“มันโทร.มา อีมุตตามันโทร.มามันด่าฉันไม่มีชิ้นดี เห็นหน้าซื่อๆ ด่าได้ไม่ซ้ำ” เจนภพทำหน้างง
“ก็ดีแล้วนี่ จะได้รู้ว่าคุณไม่ได้มีปากคนเดียว คนอื่นเขาก็มีปากเหมือนกัน”
“ให้ท้ายมันหรือ คอยดูนะมันน่ะมีแค่ปาก แต่ฉันมีมือมีตีนที่จะทำอะไรก็ได้”
นพนภาตาวาว
วันต่อมากริบเดินมาจากฝ่ายสินเชื่อ เห็นมุตตายืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์กำลังฝากเงิน มุตตานับธนบัตรปึกที่ได้จากเสี่ยออกมา 1 หมื่นฝากเข้าบัญชี อีก 2 หมื่นเก็บเข้ากระเป๋า กริบมองดูมุตตา เห็นมีแววหม่นหมองไม่สนใจใคร
เมื่อฝากเงินเสร็จ มุตตาออกจากธนาคารเดินมาตามทางเท้า ข้างทางมีแผงผลไม้ ขายเสื้อผ้า ของกระจุกกระจิก แม่ค้าร้องเรียกเสียงหวาน
“ซื้อผลไม้ไหมคะ อ้อ วันนี้มีฟักทองไหว้ด้วยนะคะ เอาไปถวายเจ้าแม่ เจ้าที่เจ้าทาง เรื่องร้ายจะกลายเป็นดีค่ะ”
เพียงเท่านั้นมุตตาก็แวะเข้าไป
“ฟักทองขายยังไงจ๊ะ”
“ลูกละยี่สิบห้าค่ะ ซื้อทั้งชุดก็ร้อยนึงพอดี”
มีชายร่างสูงแจ็คเก็ตดำแว่นดำก้าวมายืนข้างมุตตา มุตตาเลือกดูฟักทอง
“พี่แว่นดำ เอาอะไรดีคะ”
แม่ค้าถาม มือปืนของประพงค์ยิ้มนิดๆ แม่ค้ายิ้มตอบ มุตตาเหลือบมามือปืนยิ้มให้ แล้วทันใดก็กระชากกระเป๋ามุตตา มุตตาตกตะลึงแล้วพยายามยื้อแย่งคืน มือปืนตบมุตตาผัวะ มุตตาเซซัง มือปืนตบซ้ำ มุตตาผวาล้มลงไป แผงผลไม้ทะลาย ฟักทองมงคลกลิ้งอยู่รอบตัว แม่ค้า ผู้คนร้องเอะอะ ผู้คนกรูกันมา มือปืนวิ่งหายไปในซอกตึก แม้ค้าประคองมุตตาขึ้น มุตตาเบลอแก้มเป็นรอยแดง ปากแตก มุตตาเริ่มได้สติ
รถยุโรปคันยาวแล่นผ่านมากระจกรถตอนหลังเลื่อนลง นพนภามองมาอย่างสมใจแล้วเอนตัวพิงพนักเลื่อนกระจกปิด น้ำตามุตตาเริ่มไหลริน
นพนภายิ้มสุขใจแต่งตัวกรุยกรายอยู่กับบ้าน นภางค์กับเนตรนภิศแวะมาหานั่งอยู่บนโซฟา ที่โต๊ะกาแฟวางกล่องเครื่องเพชรหลายอย่าง เนตรนภิศเฝ้าเชยชม
“นังนั่นกะนายภพได้เสียเป็นเมียผัวกันมาแรมปี แกไม่ระแคะระคายบ้างหรือ”
“พูดแล้วเจ็บใจค่ะ คุณแม่ ผัวหนูมันหลอกหนูว่าอีเด็กนั่นเป็นแฟนนายกิจ อีเด็กนั่นก็ทำหน้าซื่อเล่นละครตบตาหนูไม่รู้กี่หน”
“ยังไงก็น่าจะเร็วกว่านี้”
เนตรนภิศแอบยิ้ม
“ก็ใครจะไปคิดล่ะคะ หนูเช็คสเตทเมนท์ เช็คสลิปบัตรเครดิตก็ไม่มีวี่แววว่าใช้เงินเปลือง ลดลงกว่าปกติด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าเมียน้อยประสาอะไร ราคามันถึงได้ประหยัดสวนกระแสเศรษฐกิจโลกขนาดนี้”
“แปลว่ายังไง นังเด็กนั่นมันควักเงินจ่ายเองเหรอ”
“ผัวหนูบอกว่าเขาแทบไม่ต้องจ่ายเงิน ต๊าย หรือว่าอีเด็กนั่น ค่าม่านรูดก็จ่ายเอง”
“ว้าย เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น หรือว่านังเด็กนั่นรักผัวแกหัวปักหัวปำ ถึงเงินทองอะไรก็ไม่เอาซักแดง”
นพนภาเม้มปาก
“รักเริ๊กอะไรกันคะ อีพวกคันหูเรื้อรัง ที่จริงมันอาจหว่านพืชหวังผลอ่อยมาก่อนตักตวงทีหลังก็ได้”
“อุตส่าห์วางสายเอาไว้ ยายแอบจิตอะไรนั่น ไม่ได้เรื่องเลยหรือ”
“แจงจิตค่ะ”
“แหม มันพวกเดียวกันจะไปได้เรื่องอะไรคะ”
นพนภามองน้องสาว
“เดี๋ยวก่อน ยายแจงจิตมันบอกว่าบอกแกให้มาเตือนฉันตั้งปีมะโว้แล้วทำไมแกเพิ่งมาบอก”
“อย่าไปเชื่อค่ะ มันแค่มาเปรยๆ บ่นๆ จนหนูได้ยายรัชนกไปเป็นสปายน่ะถึงได้เรื่อง”
“อ้อดี วันหลังก็นัดมันมาเจอฉันอีก จะได้ให้รางวัลมัน”
นภางค์ดูสร้อยมุก
“นี่แกไม่เอาแน่หรือ สวยกว่าเส้นเก่าอีก”
“อีสร้อยฝังมุกอะไรนี่ หนูไม่ใส่แล้วค่ะ แค่เห็นก็เจ็บใจแล้ว”
“แหม อีเส้นเก่านั่นก็น่าจะเอาคืนมา ไปถือทำไม”
“เส้นนี้ให้ยายนภิศเถอะค่ะ”
“ยายนภิศมีปัญญาจ่ายที่ไหน มีแต่เจ้าหนี้รอบทิศทาง”
เนตรนภิศกัดริมฝีปาก
“ก็หนูจะซื้อให้มันไงคะ มันอุตส่าห์เป็นหูเป็นตาต้องตบรางวัลกันหน่อย”
“พี่นภา”
เนตรนภิศยิ้มสดใสกอดแขนนพนภา เอาหัวซบไหล่
นพนภายิ้ม ไม่ทันเห็นดวงตายิ้มเยาะของเนตรนภิศ
เนตรนภิศใส่ชุดอยู่กับบ้านแบบหรูหราสวมสร้อยคอและต่างหูมุกที่นพนภาซื้อให้ พิศดูโฉมตัวเองอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ อมรอยู่ที่โซฟามองดูเงียบๆ เนตรนภิศมานั่งข้าง
“พี่สาวคุณเกิดใจดีอะไรขึ้นมาถึงซื้อให้” อมรถามเรียบๆ
“จะอะไรล่ะคะ ก็วิธีตอบแทนใครๆ ของพี่สาวฉันไง เอาเงินฟาดหัวมันเข้ามันจะได้คลานมาหมอบแล้วกระดิกหางทุกครั้งเวลาที่จะเรียกใช้”
เนตรนภิศยิ้มเยาะ
“เห็นว่าพี่สาวคุณไปเฝ้าคุณเจนภพทุกวัน จนเด็กนั่นมาทำงานไม่ได้เลยหรือ”
“ค่ะ น่าขายหน้าจะตาย นึกๆ ดูก็น่าสงสารพี่เขยฉัน”
“ก็ทำตัวเองนี่นา”
“ทำไมเขาต้องเจ้าชู้มักมากขนาดนั้น ทีคุณไม่เห็นเป็น” อมรหัวเราะ
“อย่าชมผมนักเลย ซักวันอาจจะดีแตกก็ได้”
“อยู่กันมาสิบปี ไม่เคยเห็นคุณมองสาวๆ ที่ไหนซักคน”
“ผมอาจจะไม่ชอบสาวๆ ก็ได้”
“ฮึ ถ้าคุณไปมีคนอื่น ฉันคงขาดใจตาย อมรคะ คุณคือทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน ฉันไม่มีอะไรภูมิใจได้เลยนอกจากคุณ”
อมรจูบหน้าผากเนตรนภิศ มีเสียงรถแล่นเข้ามา
“ไอ้พงศ์มาแล้ว”
อมรลุกขึ้นคว้าเสื้อนอกขึ้นมา พงศกรเดินยิ้มร่าเข้ามา เนตรนภิศยิ้มรับ
“โอ้โฮ อะไรกันครับนี่ คุณนภิศแต่งซะเต็มยศเชียว”
“แล้วสวยไหมคะ”
“นี่ไปงานด้วยกันได้เลยนะฮะ”
“ไม่เอาล่ะค่ะ งานเลี้ยงรุ่น คงไม่มีใครพาภรรยาไปหรอก เชิญหัวหกก้นขวิดตามสบายเถอะ”
“ใครจะใจดีเหมือนคุณนภิศไม่มีอีกแล้ว เฮ้ย ไป”
“ฝากมรด้วยนะคะ”
“จะดูแลด้วยชีวิตเลยฮะ ไปล่ะครับ”
อมรกับพงศกรออกไป เนตรนภิศตามไปส่งที่ประตู
พรเอายาทาโหนกแก้มที่เขียวช้ำของมุตตาให้ มุตตานิ่วหน้า
“ต๊ายหนู ซวยซับซวยซ้อนอะไรขนาดนี้ เอ๊ะ หรือว่ายายคุณแม่นั่นแม่นจริง”
“แล้วหนูจะเอาเงินที่ไหนไปให้คุณแม่แก้กรรมล่ะคะ”
“โอ๊ย หนู ช่างมันก่อนเถอะ กรรมเราคนอื่นมันจะมาแก้ให้ได้จริงเร้อ”
“แต่หนูอยากลอง”
“เอาไว้ค่อยคิดอ่านกันทีหลัง เฮ้อ ดึกแล้วพี่ไปนอนก่อน”
มุตตาพึมพำขอบใจ พรออกไปจากห้องกดล็อคให้แล้วปิดประตูลง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมุตตาหยิบมาดูแล้วรีบรับ
“ผ.อ.”
“หายใจเข้าก็ ผ.อ.หายใจออกก็ ผ.อ.”
“คุณ”
“เป็นยังไงบ้าง โดนเข้าไปซ้ายทีขวาทีแบบนั้น”
นพนภานอนระทวยบนโซฟายิ้มเยาะ
“คุณ คุณรู้ได้ยังไง”
“ฉันลืมบอกเด็กฉันไปว่าอย่าทำอะไรรุนแรงนัก ไม่คิดว่ามันจะมาตบซ้ำรอยเดิมที่ฉันตบไว้”
มุตตาเบิกตากว้าง เอามือลูบแก้ม
“คุณทำอย่างนี้ทำไม”
“ฉันต่างหากที่ต้องถามว่าแกทำกับฉันอย่างนี้ได้ยังไง ร่ำรวยเหมือนกันนะพกเงินตั้งสองหมื่น เตรียมไว้เป็นค่าม่านรูดซิท่า”
“หยุดพูดซะที”
“นี่ เรื่องเงินน่ะ ฉันเอาไปทำบุญทำกุศลให้แล้ว รู้ไหม ฉันทำยังไง” มุตตานิ่งฟัง นพนภาลุกขึ้นนั่ง “ฉันเอาไปบริจาคในนามนางสาวมุตตา ให้บ้านเกร็ดตระการช่วยสงเคราะห์ พวกโสเภณีกลับใจเผื่อผลบุญจะทำให้นังโสเภณีอย่างเธอกลับใจบ้าง”
“หยุดนะ”
“หล่อนนั่นแหละ หยุดตอแยผัวฉันซะที”
“ฉันไม่หยุด รู้ตัวซะบ้างว่าเขาไม่ได้รักเธอ เขารักฉัน”
นพนภาเบิกตากว้าง
“แก...อีหน้าด้าน”
“เขาสัญญากับฉันว่า เขาจะเลิกกับคุณมาแต่งงานกับฉัน”
นพนภาตัวสั่นกลัวว่าเป็นความจริง ความโกรธทวีขึ้น
“ฝันเถอะ ต่อให้จริง ฉันก็ไม่มีวันปล่อยแกสองคน”
“ได้โปรดเถอะ เขาไม่ได้เหลือเยื่อใยอะไรกับคุณแล้ว คุณจะยึดเขาไว้ทำไม”
“ไม่จริง นังสารเลว แกไม่มีปัญญาหาผัวเองจริงๆ ใช่ไหม ก็ได้ ฉันจะช่วยจัดให้ ให้สมกับความร่านของแก”
นพนภาตัวสั่นเทิ้ม กดตัดสาย น้ำตาไหล นพนภารีบปาดออก มุตตาวางโทรศัพท์ลงสะอื้นไห้ น้ำตาไหลพรากออกมา
นพนภานั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งพลางพูดโทรศัพท์
“นังนั่นมันร่านนัก ฉันเลยอยากแก้ร่านให้มัน ขอคนเดิมก็แล้วกันนะคะนังนั่นจะได้จำไปจนตาย ค่ะ ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ คุณประพงส์” นพนภาวางหูลงหันมาเห็นต้องยืนกอดอกมองอยู่ นพนภาสะดุ้งสุดตัว “ว้าย นังต้อง เข้ามาทำไมยะ”
“ไม่เข้ามา ก็ไม่ได้ยินแม่วางแผนกับนายมาเฟียซีคะ”
“ไม่ใช่เรื่องของแก”
“กะแค่นางเมียบำเรอชั่วครั้งชั่วคราว แม่ต้องจองล้างจองผลาญขนาดนี้เชียวหรือคะ”
“แกมันลูกพ่อ เลือดพ่อนี่ ก็เข้าข้างกันซี ไป ไปให้พ้นนะ”
“ได้ค่ะ แต่มันบาปกรรมนะคะ”
ต้องหยิบนิตยสารรายการเปย์ทีวีแล้วเดินออกไป นพนภาหน้าเปลี่ยนไป แล้วเข้าข้างตัวเอง
“บาปอะไร ไม่บาป นังนั่นต่างหากที่สร้างบาปก่อน”
วันต่อมาที่ห้องทำงานมุตตา นอกจากมีโต๊ะของนพนภาและอุปกรณ์เสริมฮวงจุ้ยแล้ว ยังเลื่อนเครื่องถ่ายเอกสาร แฟกซ์มาไว้ใกล้ๆ เพื่อนร่วมงานมุตตาสองคนกลายมาเป็นผู้ช่วยนพนภา คนหนึ่งถ่ายเอกสารให้ อีกคนรับแฟกซ์มาส่งให้นพนภา
“แฟกซ์ค่ะ จากเอสเอ็มเรียลเอสเตท”
“ขอบใจ”
นพนภารับแฟกซ์มาดู ประตูเปิดออกมีแขกมาติดต่อราชการ 2 คน เดินมาหานพนภา
“ผมมาติดต่อเรื่องงานเทศกาลกลองนานาชาติครับ”
นพนภามองดูหัวจรดเท้า
“ฉันเหมือนเจ้าหน้าที่รัฐหรือยะ ไป ไปตีกลอง ตีหม้อ ตีไหทางโน้น”
แจงจิต อรพิม ทิพอาภาจะเป็นลม แจงจิตรีบมาดึงแขกที่มาติดต่อราชการไป
“นี่เธอจดลงสมุดนัดที ประชุมวันที่ 19 บ่าย 2” นพนภาสั่งอรพิม แต่อรพิมลุกขึ้นเดินนวยนาดไปห้องทำงานเจนภพ “นี่ หยุดก่อนซิ หมุนตัว” อรพิมทำตาม ทุกผู้คนมองเป็นตาเดียว “กระโปรงสวยนะจ๊ะ ทีหลังก็ผ่าให้มันถึงสะเอวซีจ๊ะ จะได้ก้าวขาถ่างขาได้ถนัด”
“อุ๊ยไม่ได้หรอกค่ะ โต๊ะหนูตรงอ่างธาราภูมิทัศน์” อรพิมชี้อ่างน้ำพุฮวงจุ้ย “เดี๋ยวกระแสเย็นไหลเข้าคูหาหยก พลังชี่หนูจะแปรปรวนเปล่าๆ”
“อย่าให้แปรปรวนแบบนังมุตตาก็แล้วกัน นั่นจดหมายอะไร”
“จดหมายราชการค่ะ ลับสุดยอด”
“เอามานี่” นพนภาดึงจดหมายดูพลิกดู บรรดาผู้คนมองตาปริบๆ “มีจดหมายนังมุตตาสอดไส้มาหรือเปล่า”
“นี่เอกสารสำคัญนะคะ”
“กันไว้ดีกว่าแก้ เดี๋ยวนี้พวกสาวกดอกส้มดอกชมพูมันเยอะ”
นพนภาฉีดจดหมายมาคลี่ดู เจนภพออกมาพอดี
“เฮ้ย นั่นคุณทำอะไร”
“ก็สกรีนจดหมายให้คุณไงคะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาอ่านจดหมายลูกโซ่ จดหมายชิงโชค ดีไม่ดีมีจดหมายชิงผัวปนมาด้วย”
ผู้คนในห้องทำหน้าพิกล บ้างกลั้นหัวเราะ บ้างปลงสังเวช เจนภพอายกระชากจดหมายมา
“เอามานี่”
“กลางวันนี้มีนัดกินข้าวกับท่านอธิบดีใช่ไหม”
“ใช่ ทำไม ไปด้วยไม่ได้หรอกนะ”
“ฉันแค่จะบอกว่าบังเอิญจังเลย คุณแม่ก็นัดฉันกินข้าว ฉันเลยจองโต๊ะข้างๆ ไว้ ก็เลยจะชวนคุณไปรถฉัน”
“ก็ดี จะได้ไม่เปลืองน้ำมันหลวง”
“แต่เปลืองน้ำเงินเมียหลวง” อรพิมบอก
เจนภพตาเขียวมองอรพิม อรพิมตะครุบปาก แจงจิต ทิพอาภาสมน้ำหน้า เจนภพกระแทกประตูปิดปัง นพนภายักไหล่
ประสิทธิ์ชัยอยู่หน้าคอมพิวเตอร์กำลังพิมพ์งาน วีกิจกำลังตรวจเอกสารที่พิมพ์ออกมาแล้วซ้ำ ประสิทธิ์ชัยกดปุ่มหนึ่งภาพบนจอหายวับไป
“อ้าว เฮ้ย ฉิบหายแล้ว ไอ้กิจ ช่วยหน่อย”
วีกิจเลื่อนเก้าอี้มาดู ลองกดปุ่มดู แล้วคว้าคู่มือมาพลิกดู ประสิทธิ์ชัยกุมหัว
“ไปทำอีท่าไหนเข้า”
“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ” วีกิจพยายามแก้ไข ไล่หาไฟล์แต่ไม่เจอ “ยังไงวะ มีหวังได้คืนไหม”
“หมดปัญญาว่ะ”
“ทีคราวคุณตาเห็นแผล็บๆ ก็กู้คืนได้ ทีของเพื่อนล่ะหมดปัญญา” เห็นวีกิจอึ้ง ประสิทธิ์ชัยรู้ตัว “โทษว่ะ ข้าลืมไป”
“ไม่เป็นไร” วีกิจ
ปริมยิ้มเหยียด
“ของบางอย่างมันก็คืนมาได้ง่ายๆ ค่ะ แต่ของบางอย่างถ้าสูญไปแล้ว ก็ไม่มีวันได้คืน”
“ฮะ คนบางคนก็คิดถึงแต่ตัวเองจนสูญเสียความเห็นใจเพื่อนมนุษย์ไปจนหมด” วีกิจเหน็บ ปริมเชิดใส่
“แต่นกเห็นใจพี่ตานะคะ ยังไงนกก็สนิทกับพี่ตา รู้ว่าพี่ตาเป็นยังไง ไม่มีผู้หญิงคนไหนหรอกค่ะที่อยากมาอยู่ในสภาพนี้” รัชนกบอก
“ต๊าย แล้วใครยะที่ว่ายายมุตตาฉอดๆ ต่อหน้าเลย”
“ก็นกผิดหวังจริงๆ นี่คะ ถ้าให้เลือกระหว่างความเป็นเพื่อนกับความถูกต้องนกขอเลือกความถูกต้องค่ะ”
“อุ๊ยตาย ใสซื่อ แสนดี มีหลักการ” ปริมบอกอย่างหมั่นไส้
“แต่จริงนะ อาสะใภ้นายนี่เป็นเมียหลวงมือวางอันดับหนึ่งจริงๆ ถึงขั้นมาเปิดออฟฟิศในสถานที่ราชการได้ ไม่รู้คิดได้ยังไง”
“อย่าว่าแต่เป็นเมียน้อยเลย แค่กลับมาทำงานก็ไม่มีปัญญาแล้ว”
เพื่อนร่วมงานมุตตาคนหนึ่งโผล่มา
“หนูนกคะ คุณนพนภาเชิญไปพบค่ะ”
รัชนกตกใจหน้าซีดลุกขึ้น
“ตายแล้ว มีอะไรก็ไม่รู้”
ปริมเอามือทาบอก
“ต๊าย สงสัยจะเรียกไปตัดไม้ข่มนาม เสร็จล่ะ ยายนก”
5.2-1
ในร้านอาหารหรูหราบนโรงแรมห้าดาว นพนภา เนตรนภิศ และรัชนกชนแก้วไวน์กัน รัชนกยิ้มพริ้มพรายตาแป๋ว
“ขอบใจมาก ที่เป็นหูเป็นตาให้ฉัน”
“หนูทนเห็นอะไรที่ผิดทำนองคลองธรรมไม่ได้ค่ะ คุณพ่อหนูก็มีเมียน้อยหนูเห็นแม่ต้องเจ็บช้ำน้ำใจมาตลอด หนูถึงเข้าใจหัวอกคุณนพนภาดี”
“โถ หนู”
“เห็นไหมคะ หนูบอกแล้วว่าดูคนไม่ผิด”
“ได้ข่าวว่าเธอเป็นแฟนนายประสิทธิ์ชัยหรือ”
“ยังหรอกค่ะ แค่ดูๆ กันอยู่”
“ดีแล้วจ้ะ เป็นผู้หญิงมีอะไรก็เสียทั้งขึ้นทั้งล่องจะไปทำใจเร็วด่วนได้ไม่ได้”
“หนูทราบดีค่ะ”
“ต่อไปนี้เธอก็ช่วยดูแลผัวฉัน อย่าให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยขึ้นมาได้ ถ้ามีอะไรก็คอยรายงานฉัน”
“หนูจะพยายามค่ะ”
“ไว้ฉันจะตอบแทนเธออย่างงาม”
“อย่าเพิ่งไว้ใจหนูเลยค่ะ หนูเองก็ไม่รู้ว่าจะทำได้แค่ไหน”
รัชนกพูดอ่อนๆ ซื่อๆ แต่แฝงแววเร้นลับบางอย่าง
“ยังไงฉันก็ไว้ใจ”
“นี่ตกลงพี่นภาจะคุมประพฤติพี่เขยหนูอีกนานแค่ไหนคะ”
“ก็นานจนกว่า เขาจะไล่นังนั่นออกโทษฐานขาดงานน่ะแหละ”
“นึกๆ ดูก็น่าเวทนา ป่านนี้คงนอนคันหูอยู่”
“ฉันก็สงสารมันเหมือนกัน อยากส่งคัตตั้นบัดไปให้”
นพนภาตาวาวโรจน์
แรงเงา ตอนที่ 5 (ต่อ)
มุตตานอนอยู่บนเตียงหน้าซีดขาวรอยฟกช้ำเห็นเพียงจางๆ มุตตาลุกขึ้นจากเตียงเดินมาที่โต๊ะอาหาร มีกล่องโฟมวางอยู่ หน้ากล่องมีกระดาษโพสท์อิทแปะอยู่ ข้อความว่า 'ซื้อข้าวมาให้ ตื่นแล้วกินซะนะ พร'
มุตตายิ้มน้ำตาคลอ แล้วเปิดกล่องลงมือกินข้าว กินไปเพียงคำเดียวก็ขยักขย้อนลุกพรวดวิ่งไปยังห้องน้ำ โดยไม่เห็นว่าที่ผนังกระจกที่ปิดม่านไว้มีเงาคนสูงใหญ่ยืนอยู่
มุตตาเงยหน้าจากอ่างล้างหน้า หน้าซีด น้ำตาคลอ มุตตาดูเงาตัวเองแล้วใจหายรีบล้างหน้า เอามือลูบผมให้เข้ารูปทรง
มุตตาสดใสขึ้นเมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำ แล้วเปิดประตูกระจกที่ระเบียงออกไปตากผ้า เงาหนึ่งวูบมา มุตตาหันขวับไปอย่างตกใจ เป็นแค่เสื้อสูทที่แขวนไว้ มุตตาถอนใจเดินเข้าห้อง ปิดล็อคประตูอย่างแน่นหนา แล้วปิดไฟเพดานเหลือเพียงโคมหัวเตียงให้แสงสลัวราง
มุตตานั่งลงบนเตียงแล้วกราบลงกับหมอน น้ำตาหยดซึมบนปลอกหมอนเป็นดวง แล้วล้มตัวลงนอนหลับตาลง
ประตูตู้เสื้อผ้าแง้มออก มือปืนในชุดดำก้าวมาตรงไปที่เตียง มุตตายังคงหลับหายใจแผ่วเบา มือปืนนั่งลงบนเตียงพิศดูมุตตาแล้วเอื้อมมือไปลูบไล้แก้ม มุตตายังอยู่ในภวังค์ พึมพำแผ่วเบา
“ผ.อ.” มุตตาลืมตาขึ้น แล้วกลายเป็นเบิกตากว้าง มือปืนชะโงกหน้ามองอย่างพึงใจ มุตตาจำได้ “แก”
มือปืนเอามือตะครุบปากมุตตาไว้ มุตตาดิ้นรน มือปืนขยับขึ้นคร่อมใช้น้ำหนักกดตรึงไว้ มุตตาใช้สองมือหยิกข่วนทุบ มือปืนคลายมือออกจากปาก
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
คนร้ายดึงมีดมา คมมีดเป็นประกายวับ จ่อเข้าที่คอมุตตา
“ร้องเข้าไปซี ร้องให้ดังๆ”
มุตตาเงียบ ดวงตาหวาดกลัวสุดขีด มือปืนเลื่อนมีดออก
“อย่าทำอะไรฉันเลย ได้โปรด”
มือปืนเอานิ้วมือแตะปากมุตตา ทำเสียงชู่ว์ พลางส่ายหน้า มุตตาตัวแข็ง มือปืนเอาปลายมีดลากวนบนแก้ม มุตตากลัวตัวสั่น มือปืนเลื่อนมีดมาที่คอ แล้วลดลงไปที่อก มีดสอดเข้าที่กระดุมเสื้อนอน มุตตาตัวแข็งมันสะบัดมีดขึ้น กระดุมกระเด็นหลุด อกเสื้อนอนแบะออก มุตตารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
มือปืนมองดวงตาเย็นชากลายเป็นหื่นกระหาย มันจูบซอกคอ เลื่อนมาถึงหน้าอก มุตตาเลื่อนมือไปคว้าโทรศัพท์ประจำห้องมาฟาดเข้าสุดแรง โทรศัพท์กระแทกด้านข้างศีรษะ มือปืนมันล้มตะแคงไป
“โอ๊ย”
มุตตากระโจนลุกหนีวิ่งไป มือปืนตามติด กระชากมุตตาหันมาแล้วตบอย่างแรง มุตตาผวา มันตบซ้ำด้วยหลังมือ มุตตากระเด็นไปกระแทกโต๊ะเครื่องแป้งขวดเครื่องสำอางตกกราว มุตตาตะกายหนี มือปืนตามติดต่อยท้อง มุตตาตัวงอทรุดลงมือเหนี่ยวโต๊ะรีดผ้าล้ม เตารีดตกโครมดังสนั่น มือปืนกดมุตตาให้นอนหงาย นั่งทับบนตัวอีก
“อย่า”
“อย่ามาทำเป็นไม่เคย”
“อย่า”
“ไม่ชอบบนเตียงก็ไม่บอก”
มือปืนถอดเสื้อออกเห็นแผงอกกล้ามเป็นมัด มันก้มหน้าลง มุตตาหลับตาเบือนหน้าหนี มันจูบซอกคอแล้วเลื่อนลง มุตตาน้ำตาไหลพรากมือเลื่อนเปะปะไป ทันใดมีเสียงทุบประตู
“หนูตา หนูตา”
มือปืนชะงักมองดูที่ประตู มือมุตตาคว้าเตารีดขึ้นฟาดใส่โหนกแก้มและขมับมือปืนร้องสุดเสียง แผลเปิดเหวอะออกเลือดพรั่งพรูออกมา มันกุมแผลเด้งตัวขึ้น
“โอ๊ย”
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
มีเสียงยาม เสียงฤดี เสียงศรีที่ประตูเพิ่มมาอีก
“ไขเข้าไปเลยนังศรี”
มุตตายันร่างขึ้น มือปืนขยับถอยไปในความมืด ประตูเปิดออก ศรี ฤดี พร รปภ.วัยกลางคนพรวดเข้ามา ฤดีกดสวิชต์ไฟสว่าง มุตตาเอามือรวบชุดที่ขาดวิ่นปิด น้ำตาไหลพราก พรถลามาคุกเข่ากอดมุตตาไว้
“หนูตา”
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
รปภ.กับศรีจดๆ จ้องๆ ไปยังระเบียง เลื่อนประตูเปิดกว้าง ระเบียงนั้นว่างเปล่าไม่มีร่องรอยใครเลย
ศรีเก็บกวาดของที่แตกลงถังขยะ มุตตาสวมเสื้อคลุมอาบน้ำนั่งหน้าเผือดบนเตียงพรนั่งกุมมือ ฤดีเดินสำรวจรอบห้องพลางบ่นบ้า
“เปิดมาเป็นปี ไม่เคยมีเรื่องอะไรแบบนี้ แม่มุตตานะ แม่มุตตา”
“อ้าวป้าพูดดีๆ ซิ หอป้าน่ะแหละรับประกันว่าปลอดภัย แล้วทำไมถึงเกิดเรื่องขึ้นได้” รปภ.โผล่เข้ามา
“ไม่มีวี่แววอะไรเลยครับ คุณนาย”
“อุ๊ยไม่ได้เรื่องเลย ออกไปดูอีกรอบนึง”
รปภ.ออกไป
“แต่ก่อนมียามตั้ง 5 เดี๋ยวนี้เหลือ 2 คน จะไปพออะไรล่ะป้า”
“ค่ะ สปอตไลท์เคยเปิดก็ไม่เปิดค่ะ ปิดมาเจ็ดเดือนแล้ว”
“ฉันจะจ้างยาม 20 คน ติดสปอตไลท์อีก 10 ดวง แต่เพิ่มค่าเช่า 2 เท่าเอาไหมล่ะยะ”
“แหม ป้า”
ฤดีมานั่งลงที่เตียงพิศดูมุตตา
“จำหน้ามันได้ไหมหนู ไอ้พวกวินมอเตอร์ไซค์หรือเปล่า”
“ไม่ใช่ค่ะ แต่คือคนที่กระชากกระเป๋าหนู”
“ว้าย”
“อีนังนั่นใช่ไหม อีนังนั่นส่งมา”
มุตตาพยักหน้า พรถอนใจเฮือก ฤดีพอเดาได้ลุกขึ้น
“ไอ้ความสวยนี่มันก่อเหตุเภทภัยจริงๆ นังศรี”
“ขา”
“แกหน้างอกออกผีแบบนี้น่ะดีแล้ว อย่าไปรักษงรักษามันเลย”
“จะบ้าเหรอป้า เชิญป้าไม่สวยไปคนเดียวเถอะ”
มุตตาเอนตัวพิงฝาผนัง หมดเรี่ยวแรงที่จะสู้ต่อ
เจนภพยืนจิบเบียร์อยู่กับสรรค์ที่ศาลากลางสวน
“ไงวะ เมียเอ็งไปเปิดออฟฟิศที่กระทรวงเลยหรือ” สรรค์แซว
“เมื่อวานท่านอธิบดีเพิ่งเรียกข้าไปด่า บอกให้จัดการเคลียร์ให้จบ”
“แล้วตอนนี้ มุตตาเป็นยังไงบ้าง”
“ข้าติดต่อไม่ได้เลย โธ่ จะติดต่อได้ยังไง แค่กระดิกตัวยังทำไม่ได้ที่เขาเชิญเอ็งมากินข้าวนี่ ก็ถือว่ากรุณาแล้วนะโว๊ย”
“ที่จริง เอ็งก็เลิกไปเลยดีกว่า ดีกับเด็กด้วย ทั้งสาวทั้งสวยขนาดนั้นเดี๋ยวก็มีแฟนใหม่”
เจนภพอึ้งไปนิดหนึ่งแล้วส่ายหน้า
“ไม่มีทาง ตารักข้า ข้าก็แคร์ตามากกว่าใครต่อใครที่ผ่านมา”
“แล้วเอ็งจะให้มันคาราคาซังอยู่อย่างนี้เหรอ เมียเอ็งก็รู้ๆ อยู่ ไม่มีวันยอมเรื่องบ้านเล็กบ้านน้อยหรอก”
“แล้วถ้าข้าเกิดไม่ยอมขึ้นมาบ้างล่ะ”
เจนภพเสียงเข้มขึ้น
“ก็พังกันทุกฝ่ายน่ะซี เอ็งน่ะกล้าเสี่ยงหรือ”
“ก็ไม่แน่ แต่คราวนี้นภาทำเกินไปจริงๆ ไม่ไว้หน้าข้าซักนิด แล้วทำกับตาเหมือนตาไม่ใช่คน”
“มันก็พอกันทั้งนั้นแหละ แต่คนต้นเรื่องน่ะคือเอ็ง”
“แล้วเอ็งน่ะดีนักหรือ”
“ไอ้ภพ หนูแอ๋ว 2 ของข้ามันไม่เหมือนกันโว๊ย ข้าก็แค่เล่นๆ เด็กก็ต้องการแค่เงิน แต่เอ็งน่ะอยากจะมีหลายบ้านให้ปวดกบาลเล่น”
เจนภพอึ้ง แอ๋วกับนพนภาเดินมาสมทบ ถือแก้วพั้นช์มาด้วย แต้วกับยายแหวงเอาอาหารมาวางบนโต๊ะกลาง นพนภาเชิญทุกคนนั่งลง เลื่อนอาหารให้คนนั้นคนนี้
“ไงคะ วางแผนอะไรกันอยู่”
“โธ่ ไม่มีครับ”
“จริงๆ นะคะ คุณแอ๋ว ผัวคุณน่ะตัวดี ช่วยวางแผน ช่วยซิกแซก ช่วยโกหกกันดีนัก”
“ค่ะ ของคุณน่ะจับได้ไล่ทันไปแล้ว แต่ของฉันนี่จับไม่มั่นคั้นไม่ตาย ไม่รู้ว่านังสุดที่รักของไอ้จอมกะล่อนนี่มันเป็นใคร”
“ก็ชื่อแอ๋วไงครับ”
สรรค์สะดุ้งเฮือก เจนภพหัวเราะ สรรค์หัวเราะกลบเกลื่อนตาม แอ๋วค้อนผัว นพนภามองเจนภพอย่างหมั่นไส้
ทิพอาภาแต่งตัวสวยมีเสื้อตัวนอกแบะอก โชว์เสื้อกล้ามตัวเล็กข้างใน ถือแฟ้มเดินตรงไปห้องเจนภพ ผ่านโต๊ะนพนภา นพนภามองดู
“นั่นจะไปไหน”
“เสนอแฟ้มให้ ผ.อ.เซ็นค่ะ”
“กระดุมน่ะกลัดให้มันเรียบร้อยไม่ได้หรือยะ หรือว่าจะเสนอนมมะลิด้วย”
แจงจิต อรพิม และเพื่อนร่วมงานอีกสองคนมองเป็นตาเดียว
“มัน มันไม่มีค่ะ”
“ไม่มีอะไร ไม่มีกระดุมหรือไม่มีนม”
“ไม่มีทั้งสองอย่างค่ะ”
แจงจิตลุกมาดึงแฟ้มจากมือทิพอาภา ทิพอาภาน้ำตาร่วง
“เดี๋ยวฉันเอาเข้าไปเอง หวังว่าชุดดิฉันคงจะเรียบร้อยพอนะคะ”
นพนภามองแจงจิตจากหัวจรดเท้า เห็นชุดแจงจิตมีผ่าข้าง
“ชุดไม่ผ่าน” แจงจิตชะงัก “แต่หน้าผ่าน” แจงจิตยืนอึ้ง ทิพอาภาเช็ดน้ำตาป้อยๆ นพนภาลุกขึ้น “ต๊าย ฉันพูดเล่นนิดหน่อยทำเป็นน้ำหูน้ำตา ไป”
ทิพอาภากลับไปนั่งที่ อรพิมส่งทิชชู่ให้ ทิพอาภารับมาสั่งน้ำมูก แจงจิตถอนใจ นพนภาเดินกรีดกราย
“นี่อึดอัดขัดใจกันนักใช่ไหมที่ฉันมาอยู่ที่นี่ ก็ได้ ตั้งแต่พรุ่งนี้ฉันจะเลิกมา แต่ถ้าวันไหนนังนั่นมันเสนอหน้าอ้ากลีบดอกกลับมา ก็บอกมันด้วยว่าที่มันเจอน่ะแค่น้ำจิ้ม แต่ต่อไปจะเจอจัดเต็ม”
ทุกคนในห้องโล่งอก แต่ก็หวาดหวั่นแทนมุตตา
มุตตายังคงมีแผลฟกช้ำมากมาย นั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งกลัดกลุ้มวุ่นวายใจ มุตตาหยิบโทรศัพท์มาดู
มีสายมิสคอลเป็นสิบครั้ง คนโทรคือวีกิจ มุตตาวางโทรศัพท์ลงขมขื่นใจ ทันใดก็มีสายโทรเข้าอีกคนโทรมาคือวีกิจ มุตตานิ่งอั้นแล้วตัดสินใจรับ
“ฮัลโหล”
“คุณตา เป็นยังไงบ้างครับ”
มุตตาน้ำตาคลอ วีกิจขับรถอยู่
“ตาไม่เป็นไรค่ะ คุณกิจ” วีกิจถอนใจ
“ไม่เป็นไร แต่ทำไมเสียงคุณตาแย่มากเลยล่ะครับ”
“คุณกิจ”
“พี่แจง คุณอร คุณทิพ พยายามติดต่อคุณ แต่ทำไมคุณไม่รับสายล่ะฮะ” มุตตาขมขื่น
“ตารู้ว่าทุกคนหวังดี ทุกคนเตือนตาแล้ว แต่ตาเองที่ไม่ดี ตาไม่มีหน้าไปพูดกับเขาหรอกค่ะ”
“แต่ยังดีที่คุณตายังยอมพูดกับผม” มุตตากลั้นสะอื้น “งั้นเดี๋ยวผมจะแวะไปหาคุณนะครับ”
“อย่านะคะ”
“ไม่ว่ายังไงผมก็จะแวะไป”
มุตตายกมือลูบคลำใบหน้าตัวเอง
“ก็ได้ค่ะ”
รถวีกิจแล่นมาจอดในลานจอดรถของหอพัก พรวิ่งมารับ วีกิจลงมาจากรถ
“ดีจังเลยค่ะที่คุณมา”
“ฮะ ตาอยู่ไหนหรือครับ”
“ทางนี้ค่ะ”
พรเดินนำวีกิจไป
ต่ อ จ า ก ต อ น ที่ แ ล้ ว
ที่ร้านอาหารชั้นล่างด้านหนึ่งของหอพักเป็นร้านไม่ใหญ่นัก ตกแต่งงดงาม ติดแอร์เย็นฉ่ำ ราคาอาหารค่อนข้างแพง ทำให้ไม่มีลูกค้าของหอพักเอง มีเพียงคนนอกกับแขกของคนในหอพักเป็นส่วนใหญ่ ตอนนี้ร้านค่อนข้างว่าง พรเดินนำวีกิจเข้ามาในมุมลับตา
มุตตานั่งอยู่ใส่แว่นตาปิดบังรอยฟกช้ำ คอก็มีผ้าพันคอ แต่โหนกแก้ม มือ ก็ยังมีรอยช้ำเขียวอมม่วงอยู่
“มาแล้วตา” วีกิจมองมุตตาแล้วอึ้ง มุตตาอับอาย “นั่งก่อนเถอะค่ะ” วีกิจนั่งลง “คุยกันสองคนก็แล้วกัน”
พรเดินไป วีกิจมองมุตตาอย่างห่วงใยหวังดี
“คุณตา เกิดอะไรขึ้นฮะ”
“ตาก้าวพลาดไงคะ ตาก้าวพลาด แล้วก็ล้มก็เลยมีแผลแบบนี้”
มุตตาขมขื่น วีกิจขบกราม นึกรู้ว่าฝีมือนพนภา
“อานภาหรือฮะ” มุตตานิ่ง วีกิจถอนใจ “ตอนนี้อานภาเลิกมาเฝ้าอาภพที่กองแล้วนะฮะ แต่ก็ยังส่งคนรถตามประกบอยู่”
“ค่ะ”
“แต่คุณตาอย่ากลัวเลยฮะ กลับไปทำงานได้แล้ว”
“ด้วยสภาพแบบนี้น่ะหรือคะ”
“อีกสองสามวันก็น่าจะหายดีแล้วล่ะฮะ”
“ความอับอายของตา มันไม่มีวันจางหายหรอกค่ะ”
“เราหนีมันไปตลอดไม่ได้หรอกฮะ แล้วก็ไม่มีวันหนีมันพ้นด้วย มีอยู่ทางเดียวคือต้องเผชิญหน้ากับมัน”
“ตา”
“รอไว้อีกซักนิดก็อาจจะดีขึ้นกว่านี้”
“ตาอยากติดต่อ ผ.อ.ค่ะ ตามีเรื่องจะบอกกับเขา”
“อานภาเก็บมือถืออาภพไว้ ยอมให้ติดต่อแค่เรื่องงาน แต่ก็ต้องฟังด้วยตลอดแต่ตอนนี้คุณตาก็โทรเข้ากองได้แล้วมั้งฮะ”
“ค่ะ ตารู้ค่ะ แต่ตาอยากส่งข่าวถึง ผ.อ.คืนนี้เลย
“เอายังงี้ซีฮะ”
เจนภพเดินหน้าขรึมขึ้นมาบนเทอเรซบ้านวีกิจ นายชมเดินตาม วีกิจอยู่ที่โซฟาหวายลุกขึ้นต้อนรับ
“นั่งซีฮะ อาภพ”
“นึกยังไงถึงมาชวนฉันกินเบียร์ ค่ำๆ แบบนี้”
เจนภพและวีกิจนั่งลง นายชมยืนระวังตรง เจนภพหันไปมองอย่างหมั่นไส้
“ไม่มีอะไรครับ แค่เห็นอาภพเครียดๆ”
บัวใส่เสื้อคอกว้างเดินถือจานกับแกล้มมาวาง วีกิจสบตาบัว
“ขอบใจบัว”
“พี่ชม ดีจังเลยอยู่นี่พอดี ขอแรงเลื่อนตู้ในครัวหน่อยเถอะจ้ะ”
นายชมลังเล บัวมองอ้อนวอน
“นี่ฉันคงไม่ปีนรั้วหนีไปตอนนี้หรอก ไอ้ชม”
นายชมถอนใจเดินตามบัวไป
“ตาฝากผมส่งข่าวให้อาภพฮะ”
เจนภพอึ้งไปนิด
“แปลก ที่เขาติดต่อผ่านแก เพื่อนเขาก็มีตั้งหลายคน”
“คงเห็นว่าผมเป็นคนเดียวที่ไม่กลัวบารมีอานภามังครับ อีกอย่างผมก็อยู่ใกล้อาภพแค่นี้”
“อือม์”
“อาภพฮะ สงสารตาให้มากๆ หน่อยนะฮะ”
“ทำไม”
“ตาไม่ใช่คนเข้มแข็ง ตาเปราะบางเกินไปด้วยซ้ำ แล้วสิ่งที่ตาต้องเจอมันรุนแรงเกินไป เด็กผู้หญิงตัวคนเดียวในเมืองใหญ่ถ้าต้องสูญเสียทุกอย่างผมกลัวว่าตาจะทนไม่ได้”
“ฉันจะจัดการให้ดีที่สุดก็แล้วกัน”
“ยังไงฮะ โดยให้ตาเป็นเมียน้อยคอยบำเรอความสุขอาภพตลอดไปหรือฮะ”
เจนภพยิ้มยั่วนิดๆ
“แล้วจะทำไมล่ะ หรือว่าแกเสียดายที่จะไม่ได้รับเดน”
“ผู้หญิงบางคนมีค่าเกินกว่าจะเป็นของเหลือเดนฮะ อีกอย่างเขาว่า ศาลา นารี วิถี คงคา เป็นของกลาง ไม่มีใครเป็นเจ้าของได้ตลอดไป ไม่ใช่หรือฮะ”
“ฮึ เพิ่งรู้ว่าแกมีความคิดแบบนี้”
“ผมเรียนรู้มาจากอาภพมังครับ”
“ไหน ตามีข่าวอะไรมาบอกฉัน”
วีกิจเปิดเมนูเล่นการบันทึกเสียงในมือถือส่งให้เจนภพ เจนภพรับมาฟัง
“ผ.อ.คะ ตามีเรื่องมากมายต้องบอก ผ.อ. เราต้องเจอกัน ตารู้ว่าเขาส่งคนคุม ผ.อ.ไม่ให้คลาดสายตา พรุ่งนี้ตาจะไปรอ ผ.อ.ที่กองตั้งแต่เช้า ตาจะระวังไม่ให้ใครเห็นเจอกัน 6 โมงครึ่งนะคะ”
เจนภพนิ่งฟังยิ้มเศร้านิดๆ นายชมมายืนใหม่
“ง่า...คุณผู้หญิงห้ามคุณผู้ชายใช้โทรศัพท์ครับ”
“ฉันแค่ให้อาภพฟังเพลงแค่นั้นเองน่ะ”
เจนภพถอนใจยาว
คืนนั้นมุตตาสวมชุดแต่งงาน เปิดเวลคลุมหน้าเห็นดวงหน้าซีดมีรอยช้ำจางๆ แต่ดวงตากลับมีความหวังใหม่ ยืนอยู่หน้ากระจกเงา มือหนึ่งถือช่อดอกลิลลี่ อีกมือแตะท้องไว้อย่างทนุถนอม มุตตาเหนื่อยอ่อนทั้งกายใจเธอนั่งลงบนเตียง เอนตัวลงนอนบนเตียง ยกช่อดอกไม้มาพิศดูแล้วหลับตาลงพักสายตา แต่เพียงครู่เดียวก็ผลอยหลับไป
ร่างมุตตาดูขาวเผือด ชุดวิวาห์สว่างโพลน ร่างนั้นนิ่งสนิทดูราวร่างไร้วิญญาณในพิธีศพที่ให้ทุกคนมากล่าวลาเป็นครั้งสุดท้าย
เช้ามืดวันรุ่งขึ้น แต้วกำลังปัดฝุ่นทำความสะอาดตามไซด์บอร์ด เจนภพแต่งตัวเรียบร้อยถือกระเป๋าเอกสารและแฟ้มลงมา แต้วทำตาโต
“ว้าย คุณผู้ชายทำไมมาเช้านักล่ะคะ ยายแหวงยังอยู่ในส้วมเลยค่ะ”
“ขอกาแฟกับแครกเกอร์ก็พอ”
แต้วรับคำเดินไปที่แพนทรี่ เจนภพนั่งลงที่โต๊ะอาหาร ดูนาฬิกาที่บอกเวลา 5.45 น. แล้วพลิกดูหนังสือพิมพ์เช้า แต้วเอากาแฟกับแครกเกอร์มาให้ เจนภพจิบกาแฟ
“นี่จะรีบออกไปไหนแต่เช้ามืด จะไปล้างหน้าไก่หรือ”
เจนภพเกือบสำลัก หันไปเจอนพนภาในชุดอยู่กับบ้านหรูหรา ยืนอยู่กับต่อที่จะออกไปจ๊อกกิ้ง
“มีธุระ”
“ธุระอะไร หรือว่านัดนังนั่นไว้”
“บ้าน่ะ วันนี้มีประชุมผมต้องดีเฟนซ์เรื่องงบของกอง แต่ว่างานเอกสารยังไม่เสร็จซักอย่าง”
“ก็น่าอยู่หรอก ขาดพนักงานเอกสารคนสำคัญไปนี่”
“ถ้าไม่เชื่อ อยากตามไปเฝ้าให้คนลืออีกก็ไปซี เผื่อจะได้ช่วยทำแฟ้มบ้าง”
เจนภพทำรำคาญ ตีบทแตก นพนภาเชื่อ
“เรื่องอะไร เสียเวลาทำมาหากินฉัน แต่อย่าลืมว่าฉันให้ไอ้ชมตามไปเฝ้าด้วย แล้วลูกน้องคุณทั้งกองน่ะ ฉันวางสายไว้หมดแล้ว”
“ก็ดี มันจะได้มีรายได้พิเศษ ไม่ต้องไปขายแอมเวย์ ไปไอ้ชม”
นายชมโผล่มา เจนภพลุกขึ้นคว้ากระเป๋าเอกสารเดินไป ต้องเดินลงมา
“อ้าว ทำไมตื่นแต่เช้าได้ยะ”
“จะไปเฝ้าครูพละคนใหม่ค่ะ ทั้งหล่อทั้งล่ำ ซิกซ์แพ็คเน้นๆ”
“ดูแต่ตา มืออย่าต้องนะยะ เดี๋ยวท้องจะเสีย”
นพนภารู้ว่าต้องแกล้งยั่ว
“รีบร้อนไปแต่เช้ามืด ต่อว่าผิดปกตินะฮะ” ต่อบอก
“อุ๊ยตาย ผู้ช่วยเมียหลวงตัวจริง”
“ก็ใช่น่ะซิ ก็เธอเข้าข้างเมียน้อยอยู่แล้วนี่”
นพนภาเริ่มระแวงขึ้นมาใหม่
นายชมขับรถมาส่งเจนภพที่กระทรวง และอยู่เฝ้าตามเจนภพตามคำสั่งนพนภา เจนภพเปิดคอมพิวเตอร์ นายชมเปิดม่านให้แล้วไปยืนกุมเป้า เจนภพมองอย่างรำคาญ
“ยังมึนอยู่เลย ไปซื้อกาแฟให้ฉันหน่อย”
“แต่คุณผู้หญิง”
เจนภพโบกแบงค์ใบละพัน นายชมชะงัก
“กาแฟดำนะ น้ำตาลซองเดียวพอ เงินทอนแกเก็บไว้”
นายชมดึงธนบัตรวูบเดินออกไป ปิดประตูลง เจนภพนั่งลงดูนาฬิกาบอกเวลา 6.25 น. ประตูห้องเปิดออกช้าๆ เจนภพมองอย่างยินดี เท้าในไฮฮีลยี่ห้อดังเข้ามา นพนภายืนเด่น เจนภพใจหายวาบ
“นภา” เจนภพลุกขึ้น “คุณมาทำไมนี่”
“ก็คุณรีบร้อนจนลืมแฟ้มน่ะซีคะ”
นพนภาส่งแฟ้มให้ เจนภพอึ้งอยากเขกหัวตัวเอง
“เอ้อ ขอบใจจ้ะ ผมนี่แย่จัง”
“ไหนบอกนัดทำงานเช้า ทำไมไม่มีใครซักคน”
“ผมนัดไว้หกโมงสี่สิบห้า แต่วันนี้รถไม่ติดเลยก็ต้องมารอ”
“ไอ้เจ้าชมล่ะ”
“ไปเข้าส้วมมั้ง นี่คุณต้องไปส่งลูกอีกไม่ใช่หรือ ขืนรอช้ารถติดแย่นะคุณ”
เจนภพเดินมาใกล้แทบรุนตัวนพนภาออกไป
“จะเป็นไรไป ฉันกลับไปไม่ทันก็ให้ไปแท็กซี่กันเอง โตจนป่านนี้แล้ว”
เจนภพดูนาฬิกา 6.27 น. นพนภากอดอกมองออกไปนอกประตูที่เปิดกว้างเห็นโต๊ะมุตตา
“นังนั่นไม่มาทำงานกี่วันแล้ว”
“เกือบ 2 อาทิตย์”
“แล้วต้องขาดงานนานเท่าไร เขาถึงจะไล่มันออก”
“โธ่ เขาไม่มาแล้วล่ะนภา”
นพนภามองเจนภพ ยิ้มเครียดๆ
“บางทีฉันก็อยากให้มันกลับมา กลับมาพูดจากันตรงนี้ พูดกันต่อหน้าคุณ”
“จะต้องมาพูดอะไรกันอีก เรื่องมันจบไปแล้วนภา”
เจนภพมีอาการออดอ้อน ซ้อนความกังวลวุ่นวายใจ เดินไปงับประตูปิดลง แต่แง้มไว้เผื่อมุตตามาจะได้รู้ตัวก่อน
“จบแล้วจริงหรือ”
“จบแล้วซี”
ทางด้านนอกแสงยามเช้าทอดมาทำให้ดูเวิ้งว้าง มุตตาก้าวมาช้าๆ เสียงเจนภพลอดมา
“แน่ใจ”
“ผมแน่ใจ ต่อให้เด็กนั่นกลับมา ผมก็ไม่ขอเกี่ยวข้องอะไรอีกทั้งนั้น”
เจนภพพูดหนักแน่น นพนภายิ้ม ใจอยากจะเชื่อ มุตตายืนนิ่งอึ้งอย่างตะลึง หน้าซีดราวแผ่นกระดาษ
แรงเงา ตอนที่ 5 (ต่อ)
เจนภพพูดอย่างหนักแน่น นพนภายิ้มแย้มอย่างพอใจ
“แน่หรือ ไม่มีเยื่อใยอะไรเลยหรือ”
“ก็ให้มีเยื่อใยอะไร ก็แค่เด็กใจแตกที่ผ่านเข้ามาเหมือนคนก่อนๆ นะแหละ”
เจนภพเหลือบดูนาฬิกาที่ผนัง มุตตายืนนิ่งเหมือนโลกที่ฝันไว้เริ่มถล่มลง
“มันบอกว่าคุณรักมันแทบตาย บอกว่าคุณจะหย่าฉันมาแต่งงานกับมัน”
“ไปฟังอะไรเด็กนั่นฮะ นภา เราอยู่ด้วยกันมานาน คุณก็รู้ว่าผู้ชายมันก็ต้องมีแว่บบ้าง เรื่องธรรมดา ยิ่งเด็กมุตตานี่ มันยั่วผมเหลือเกิน” มุตตาแทบทรุดลง เอามือยันผนังไว้ “ผมก็แค่ตอบสนองให้ มันก็แค่เซ็กส์ ไม่มีเรื่องรักเรื่องใคร่อะไรทั้งสิ้น”
นพนภายิ้มสมใจ เบียดตัวเข้าหาเจนภพ
“แน่นะคะ”
“คุณก็รู้ว่าเงินทองผมไม่เคยกระเด็น บางทีค่ากินค่าม่านรูด เด็กมันจ่ายเองด้วยซ้ำ”
เจนภพมุ่งแต่โกหกเอาใจให้นพนภากลับไปเร็วที่สุด นพนภายิ่งเห็นจริง ลืมเลือนเรื่องสร้อยมุก เจนภพเหลือบดูนาฬิกาอีก
“น่าสงสาร มันคิดว่าคุณรักมัน”
“นภา ผมรักคุณคนเดียว เด็กนั่นไม่มีความหมายอะไร คุณเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผม คุณเป็นเมีย เป็นแม่ของลูก เป็นกำลังใจ เป็นแรงหนุนให้ผมมีวันนี้” นพนภาแทบสำลักคำหวาน ลูบไล้แผงอกเจนภพ มุตตาพิงตัวกับผนังหน้าขาวเผือด ดวงตาร้าวราน “ผมไม่เคยรักเด็กคนนั้น นภา...ผมบอกคุณล้านครั้งแล้วว่า คุณคือสิ่งมีค่าที่สุด ในชีวิตผม คุณคือทุกสิ่งทุกอย่าง คือชีวิต คือลมหายใจของผม”
“ภพ”
เจนภพก้มลงจูบ นพนภาหลับตาพริ้ม เจนภพเหลือบดูนาฬิกา มุตตาทรงตัวขึ้นจนยืนตรงหันไปมองประตูที่แง้ม ภาพที่เห็นทำให้ใจกระตูกวูบ เจนภพจูบนพนภามือลูบไล้ นพนภาหน้าแดงหายใจถี่ ผลักเจนภพออก
“พอ พอค่ะ นี่มันห้องทำงานนะ”
“ล็อคประตูซะ ก็เป็นห้องส่วนตัวแล้ว”
“บ้า คุณเนี่ย ฉันจะกลับล่ะ”
เจนภพดูนาฬิกา มันบอกเวลา 6.33 น.
“ผมจะไปส่งคุณที่รถ”
เจนภพโอบนพนภาก้าวออกมายังห้องทำงานด้านนอก ทุกอย่างยังคงว่างเปล่าเงียบสนิท ทั้งคู่เดินออกไป
มุตตาก้าวออกมาจากซอกตู้เอกสาร ห้องทั้งห้องยิ่งเวิ้งว้างว่างเปล่า มุตตาก้าวช้าๆ มากลางห้อง หยุดยืนหน้าโต๊ะตัวเองวางมือบนโต๊ะ น้ำตาหยดหนึ่งหยดลงบนพื้นโต๊ะเป็นดวง มุตตามองดูรอบๆ ห้องนิ่งนาน เสมือนเป็นการดูครั้งสุดท้าย
ตรงทางเดินด้านหลังตึกเป็นทางแคบยาวขนาบด้วยแนวระเบียงและเสาค้ำมากมาย มุตตาเดินมาตามทางอย่างไร้ชีวิตจิตใจ ดวงตาว่างเปล่ามองตรงไปเบื้องหน้า รัชนก ปริม เลอลักษณ์ เดินมาจากด้านหน้าเพื่อเข้าห้องน้ำ
“ว้าย ยายมุตตา”
“ต๊าย นางกล้านะยะ”
มุตตาเดินมาถึงแยก มองดูทั้งสามด้วยสายตาว่างเปล่า รัชนกมองอย่างพิศวง
“พี่ตา”
มุตตาคล้ายไม่ได้ยิน เดินผ่านไปเงียบๆ
“ต๊าย หน้าตายังกะเพิ่งโดนผีหลอกมา”
“ผีหลอกยังไง ก็ไม่น่ากลัวเท่าคนด้วยกันหลอกหรอกย่ะ”
ปริมปรายตาดูรัชนก รัชนกทำท่าไม่รู้เท่า ทั้งสามมองตามมุตตา
วีกิจขับรถมาจอดติดไฟแดงตรงทางที่จะเลี้ยวเข้าประตูกระทรวง วีกิจมองไปเห็นมุตตาอยู่ที่ป้ายรถเมล์ที่ไม่มีใครอื่นเลยอย่างน่าพิศวง ลมยามเช้าทำให้ผ้าพันคอมุตตาปลิวไสว วีกิจไขกระจกลง
“คุณตาครับ คุณตา”
มุตตาหันมามอง ผ้าพันคอปลิวสยายชายหนึ่งสูงไปในอากาศราวเชือกแขวนคอ มุตตามองดูวีกิจ มีแววต่างๆ ผุดขึ้น ตั้งแต่ขอบใจ ขออภัย อับอาย ล่ำลา วีกิจเห็นสายตานั้นก็ชะงักไป ใจหายวูบ มุตตามองวีกิจแล้วสายตาก็เปลี่ยนเป็นว่างเปล่าหันไปทางถนน วีกิจตัดสินใจก้าวลงจากรถเป็นจังหวะเดียวกับที่แท็กซี่แล่นมาจอด มุตตาก้าวขึ้นรถแท็กซี่ไป วีกิจมองตาม
นาฬิกาฝาผนังบอกเวลา 7.15 น. เจนภพยืนเกาะกรอบหน้าต่างมองออกไป แจงจิตมาถึงแล้วกำลังเตรียมงาน อรพิมและทิพอาภาเข้ามา มองเจนภพอย่างแปลกใจ
“หวัดดีค่ะ ผ.อ.”
“เห็นมุตตาบ้างไหม”
“ไม่เห็นค่ะ ทำไมคะ ตาจะมาหรือ”
“นัดกันไว้หรือคะ”
ทิพอาภาหลุดปาก แจงจิตมองตรงมา เจนภพมองทิพอาภาหน้าเคร่ง
“สนใจแต่เรื่องตัวเองดีกว่า”
เจนภพเดินกลับเข้าห้อง ทิพอาภาเบะหน้า อรพิมแปลความให้
“แปลว่า อย่าเฉือก”
“ฮือ”
เจนภพนั่งอยู่ที่โต๊ะอย่างรอคอย เคาะนิ้วกับโต๊ะเป็นจังหวะ แสงจากภายนอกมืดวูบลงจนห้องสลัวรางเพราะเมฆฝน
ขณะนั้นมุตตากลับมาถึงหอแล้ว ห้องมุตตามืดสลัวด้วยเมฆฝนภายนอก มุตตายืนอยู่หน้ากระจกเงาเอาชุดแต่งงานมาทาบตัว มองดูเงาสะท้อนอย่างขมขื่น แล้วทรุดนั่งลงบนสตูลหน้ากระจก ชุดแต่งงานพาดอยู่กับตัก เงาสะท้อนที่มองตอบมาดูน่ากลัว มือมุตตาลูบไล้เลื่อมปักแผ่วเบา ฟ้าแลบสว่างจ้าเข้ามาทั่วทั้งห้อง มุตตานึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาระหว่างเธอกับเจนภพ
“สำหรับผมเขาเป็นแค่คนอื่น ไม่มีความหมายอะไร เทียบตาไม่ได้แม้แต่นิดเดียว”
ฟ้าแลบสว่างทาบลงบนใบหน้ามุตตา
“นภา ผมรักคุณคนเดียว เด็กนั่นไม่มีความหมายอะไร คุณเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผม”
มุตตามองกระจกนิ่ง น้ำตาเอ่อขึ้นเต็มตา
“ผมรู้แต่ว่าผมรักตา ตาคือทุกสิ่งทุกอย่าง คือชีวิต คือลมหายใจของผม”
“นภาผมบอกคุณล้านครั้งแล้วว่า คุณคือสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตผม คุณคือทุกสิ่งทุกอย่าง คือชีวิต คือลมหายใจของผม”
มุตตาน้ำตาไหลพรากหยดลงบนชุดแต่งงาน
“ให้ลูกผมโตกว่านี้อีกหน่อย จากนั้นตาก็จะมีลูกทีเดียว 3 คนไงจ๊ะ”
มุตตาปัดชุดแต่งงานตกจากตักลงไปกองที่พื้นมือลูบไล้กลางลำตัว
“ทำไม”
ฟ้าแลบสว่างจ้าภาพสะท้อนมุตตาในกระจกขาวเผือด แต่ตาเข้มวาววับ ริมฝีปากเป็นสีจัด
“ทำไมน่ะหรือ เพราะเธอมันหน้าโง่ไง คิดว่ามันรักเธอด้วยความรักอันสูงส่งหรือมันหลอกเธอเหมือนกับที่หลอกผู้หญิงหน้าโง่มานับไม่ถ้วน”
มุตตาเบิกตากว้างมองดูเงาตัวเอง
“แต่เรา เรามีลูกด้วยกัน”
“ไม่ใช่เรา ลูกของเธอคนเดียว ลูกที่จะเกิดมาประจานความโง่ของเธอ คิดหรือว่ามันจะยอมให้เด็กเกิดมา คิดหรือว่าเด็กคนนี้จะมีพ่อ”
มุตตาสะอื้น
“แล้วฉัน ฉันจะทำยังไง”
เงาในกระจกคลี่ยิ้มดูชั่วร้าย เหลือบตาต่ำลง มุตตามองต่ำลงบนพื้นโต๊ะเครื่องแป้ง นิตยสารบันเทิงหน้าโฆษณาย่อยถูกเปิดไว้ กรอบๆ หนึ่งเขียนไว้เด่นชัด “มีปัญหาเรื่องประจำเดือน เราช่วยคุณได้”
บริเวณย่านแออัดถนนซอยแคบ รถเข้าซอยติดเป็นทางยาว สายไฟดูรุงรังสกปรก มีโรงน้ำชา คาเฟ่ อาบอบนวดอยู่ติดๆ กัน คนเที่ยว คนขาย คนเชียร์ทำกิจกรรมกันแข็งขัน แสงไฟนีออน ป้ายไฟ ป้ายโฆษณาสีสันแสบตา มุตตาเดินตัวลีบท่ามกลางความวุ่นวาย มุตตาเดินผ่านอาซิ้มที่ออกมาเผากระดาษเงินกระดาษทองในถังโลหะเปลวไฟลุกควันโขมง มุตตาเดินมาหยุดที่คลินิกไร้ชื่อ ผนังกระจกติดฟิล์มมืดสนิทบานใหญ่ เขียนตัวอักษรปรึกษาปัญหาประจำเดือน วีดี ตรวจเลือด ฯลฯ
มุตตายืนลังเลหน้าซีด ยายซิ้มเหลือบมองมีแววดูแคลน หญิงสาวสองคนเดินสวนมาซุบซิบกัน มุตตาคิดไปเองว่าหมายถึงตน มุตตาผลักประตูเข้าไป กระดาษลุกเป็นเปลวลอยขึ้น
ภายในคลินิกเถื่อน ไฟนีออนบนเพดานทำให้สว่างโพลนน่าเกลียด ด้านหนึ่งเป็นม้านั่งยาวมีคนไข้หญิง บ้างคนสวมแว่นดำ บ้างคนก้มหน้าโทรศัพท์ บ้างคนกางหนังสือพิมพ์ ที่เคาน์เตอร์มีพยาบาลนั่งอยู่สองคน มุตตาเกาะเคาน์เตอร์ไว้ อับอาย หวาดหวั่น
“ประจำเดือนขาดไปนานหรือยังคะ” พยาบาลถามมุตตา
“เดือนเดียวค่ะ”
“ดีแล้วค่ะที่รีบมา เชิญนั่งรอก่อนนะคะ”
มุตตานั่งลงที่ม้านั่งยาว หญิงข้างๆ เหลือบดูแล้วเมินไป
ประตูเปิดออก หญิงสาววัยรุ่นหน้าตาสดใส แต่งเครื่องแบบนักศึกษาเดินมาที่เคาน์เตอร์ มุตตามองดู เด็กสาวจ่ายเงินพลางรับยามา
“วิตามินหรือคะ แหม ต้องกินด้วยหรือคะ”
พยาบาลอีกคนส่งบัตรให้
“นี่เป็นบัตรแข็งนะคะ ถ้ามาคราวหน้าหรือพาเพื่อนมา แสดงบัตรนี้นะคะเราลดให้ 20 เปอร์เซนต์ค่ะ”
เด็กสาวยักไหล่เก็บบัตรลงกระเป๋าแล้วหันมาเจอสายตามุตตา เด็กสาวชะงักแล้วชักสีหน้าว่า “หล่อนไม่ดีไปกว่าฉันหรอก” แล้วเดินฉับๆ ออกไป มุตตาถอนใจ ทันใดประตูด้านในเปิดผางออกหญิงสาวในชุดคนไข้ก้าวเซซังออกมา เลือดสีแดงเปรอะชุดเป็นวง มีเลือดไหลรินมาตามขาหยดลงพื้น หญิงสาวหน้าขาวซีด ดูเกือบไม่มีสติสัมปชัญญะ
“ลูก ลูกจ๋า”
คุณหมอหน้าตาแสนดีกับสามีท่าทางวัยรุ่นวิ่งมาคว้าแขน พยาบาลที่เคาน์เตอร์วิ่งออกมาช่วย คนไข้ที่นั่งรอลุกขึ้นกันหมด
“ช่วยกันหน่อยเร็ว”
“อีนี่ มึงบ้าหรือ ก็ตกลงกันแล้ว”
หญิงสาวชี้มือเปื้อนเลือดไปที่หมอและสามี
“แก แกฆ่าลูกฉัน”
หญิงสาวเซมาตรงหน้ามุตตา มุตตาตะลึง หญิงสาวทรุดฮวบลงมือเกาะขามุตตา เลือดเปื้อนชายกระโปรงมุตตา หมอและพยาบาลดึงตัวไว้แล้วลากกลับห้องชั้นใน มุตตาหน้าซีดถอยกรูดไปชนผนัง
“ไม่มีอะไรนะคะ เรื่องปรกติค่ะ”
มุตตาตัดสินใจหมุนตัววิ่งออกไป
มุตตากลับมาที่หอพักยังคงใส่ชุดเดิมนั่งอยู่กับพื้นห้องน้ำเปิดน้ำฝักบัวรินรดตัว สีหน้าเจ็บปวดรวดร้าวสับสน รอยเลือดที่กระโปรงกลับไม่จางหาย มุตตาสะอื้น
เวลาผ่านไป มุตตาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนั่งอยู่บนเตียง มุตตาพับชุดวิวาห์ลงกล่องกระดาษใบใหม่ แล้วหยิบขวดน้ำหอมที่เจนภพให้ใส่ตามไป ใส่เชือกผูกผม ใส่ช่อดอกลิลลี่ที่แห้งเป็นสีน้ำตาล รวมทั้งนิยายโรแมนซ์คลาสสิคของเจนภพ และปิดฝากล่องลงเอากล่องไปใส่ไว้ในก้นตู้เสื้อผ้า
มุตตานั่งลงที่โต๊ะเครื่องแป้ง เปิดลิ้นชักหยิบกล่องของกระจุกกระจิกมาดูการ์ดวันเกิดของอรพิม ทิพอาภา ประสิทธิ์ชัย และมาถึงของวีกิจ มุตตาอ่านและยิ้มเศร้า หยิบรูปที่ถ่ายที่ชายทะเลมาดู รูปกับทิพอาภา อรพิม ประสิทธิ์ชัย ลงท้ายก็คือรูปคู่กับวีกิจ มุตตาเอารูปวีกิจพิงกระจกไว้แล้วหยิบดอกไม้คริสตัลมาดู มันส่งประกายงดงาม มุตตาแตะมันแผ่วเบาแล้ววางลงกับรูปวีกิจ มีเสียงโทรศัพท์ดัง มุตตาหยิบมันขึ้นแล้วน้ำตาคลอ กดรับ
“พ่อจ๋า”
“เป็นอะไรหรือเปล่าลูก ทำไมหมู่นี้พ่อติดต่อหนูไม่ได้เลย”
มุตตายิ้มขมขื่น
“หนูทำมือถือตกแตกจ้ะ เพิ่งจะซื้อเครื่องใหม่”
“แล้วไป พ่อคิดว่าเกิดเรื่องเกิดราวอะไรซะอีก”
มุตตาสะอึกอึ้ง
“จ้ะ”
“แล้วเรื่องงานเรื่องการเป็นยังไงบ้างลูก ที่หนูบอกว่ามีเรื่องมีราวกับหัวหน้าเรื่องเป็นยังไงแล้ว”
มุตตาน้ำตาไหล
“มันจบไปแล้วจ้ะ ไม่มี ไม่มีอะไรแล้ว”
“ดีแล้วลูก บางครั้งยอมแพ้ซะ อโหสิกรรมกันให้หมด มันก็ดีกว่าเอาชนะคะคานนะลูก”
มุตตานิ่งฟัง ในใจสงบขึ้นเล็กน้อย
“หรือจ๊ะ”
“ทางโลกเขาบอกให้สู้ให้มุ่งเอาชนะใช่ไหมลูก แต่ทางธรรมกลับสอนตรงกันข้าม”
“พ่อจ๋า ตาคิดถึงพ่อ คิดถึงบ้าน”
“วันไหนกลับได้ ก็มาซีลูก”
มุตตายิ้มเศร้าๆ
มุตตาตัดสินใจเดินทางกลับบ้านที่เพชรบูรณ์ มุตตาก้าวเข้ามามาปลดผ้าคลุมผมจากศีรษะ มองดูบ้านที่ตัวเองละทิ้งไปเพื่อชีวิตอิสระ มุตตาน้ำตาเอ่อคลอ ลมแรงพัดมาจนหนาวสะท้าน
มุตตาก้าวเข้ามาในบ้าน มองดูรอบๆ ห้อง พิณก้าวมาจากครัว
“อ้าว ยายตาหรือ”
มุตตายกมือไหว้มารดา
“นี่ทำอะไรคะนี่”
“เปลี่ยนเบาะ เปลี่ยนผ้าใหม่ แต่ม่านใหม่ยังติดไม่เสร็จ รับยายนินกลับบ้าน”
“พี่นินจะกลับมาแล้วหรือจ๊ะ”
“เออ อีกวันสองวันนี่แหละ ทีแรกว่าจะมาวันนี้ แต่เห็นว่าเลื่อนฟ้งเลื่อนไฟ้อะไรไม่รู้เลยไม่รู้จะมาวันไหนแน่ ไอ้เราก็อยากไปรับที่สนามบิน ยายนินดันมาห้ามซะนี่” มุตตายิ้มฝืนๆ “แกมาก็ดีแล้วจะได้เจอพี่”
“พี่นินคงไม่อยากเจอหนูนักหรอกค่ะ”
พิณตาเขียวใส่ลูกสาว
“ต๊าย เบื่อน้ำหน้าจริงๆ พูดแต่แบบนี้ พี่น้องอะไรไม่รักกัน ยายนินน่ะ ช่วงหลังๆ เนี่ย เขาถามถึงแกตลอดนะยะ”
“หรือคะ”
มุตตาไม่ค่อยเชื่อ
“ไอ้บริษัทคอมพิ้วที่พี่แกทำที่เมืองนอก มันมาเปิดสาขาในเมืองไทย เขาก็เลยโยกย้ายยายนินมาแถมเลื่อนตำแหน่งให้ด้วย ยายนินเองมันก็บอกว่าเบื่อเมืองนอกเต็มทน”
มุตตารับฟัง แต่ในใจหนักอึ้งเกินจะต่อความ
“แล้วนี่พ่ออยู่ไหนจ๊ะ”
“ก็ลงไปดูไร่น่ะซี แกไม่อยู่ พ่อเขาก็ต้องทำแทน ลูกจ้างน่ะไว้ใจมันเต็มร้อยล่ะก็เสร็จทุกราย”
มุตตาสะเทือนใจ
พิณเปิดหน้าต่างห้องนอนมุตตาให้แสงส่องเข้ามา มุตตามองดูรอบๆ ห้อง เห็นว่ามีการจัดใหม่ ผ้าคลุมเตียง ม่าน โคมไฟเข้าชุดกัน
“แม่จะให้พี่นินนอนกับหนูหรือคะ”
“ก็ใช่น่ะซี ห้องเขาที่ว่างไว้รอให้เขามาจัดเอง ไปอยู่ที่โน่นสี่ซ้าห้าปีกลายเป็นแหม่มแก้มแดงหรือเปล่าก็ไม่รู้ จัดให้เดี๋ยวไม่ถูกใจขึ้นมา”
“จ้ะ”
“เอ๊ะ หรือว่าแกอึดอัด”
“ไม่หรอกจ้ะ ตอนอยู่ร้านก็นอนด้วยกันตลอด”
“ก็ใช่น่ะซี ร้านเก่าพ่อแกน่ะแคบยังกะรังหนู ไม่ได้ยายนินก็ไม่มีบ้านไฮโซอย่างนี้หรอก อยู่ด้วยกันจะได้คุยกันให้หายคิดถึง” มุตตายิ้มฝืน พิณมองดูเพดานบนขื่อมีโมบายหมุนวนอยู่ “อุ๊ยตาย เพิ่งกวาดไปแหม็บๆ อีแมงมุมมาชักใยอีกแล้ว”
“เดี๋ยวหนูจัดการเองค่ะ”
“ไป รีบอาบน้ำอาบท่า จะได้กินข้าวกัน”
พิณเดินออกจากห้อง มุตตานั่งลงบนเตียงเหม่อมองไปไกล
มุตตาเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ก้าวออกมาที่ระเบียง เห็นพ่อกำลังดูกระถางเพาะชำในมุมหนึ่งที่ทำเป็นโรงเรือนเล็กๆ มุตตาน้ำตาคลอ
“ไงลูก”
แปลกถามลูกสาว มุตตาเข้ามากราบที่อกพ่อ แปลกงงงันไปวูบหนึ่งแล้วลูบผมลูกอย่างเคอะเขิน มุตตาผละออก
“พ่อจ๋า”
“หนูผอมไปนะลูก แต่ก็ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ดีไปอยู่ตัวคนเดียวได้ พึ่งพาตัวเองได้อีกหน่อยจะได้เก่งเหมือนยายนิน”
“ไม่หรอกค่ะ ถ้าหนูเป็นเหมือนพี่นินก็คงไม่เป็นอย่างนี้”
แปลกมองรู้ว่าลูกสาวมีเรื่องมาแต่คิดว่าเป็นเรื่องงาน
“ใจเย็นๆ ลูก ไว้ค่อยคิดค่อยอ่านกัน” มุตตาฝืนยิ้ม
“ค่ะ นี่พ่อทำอะไรอยู่คะ”
“รู้ไหมนี่อะไร” มุตตาส่ายหน้า “หัวลิลลี่ไงลูก พ่อเอามาลองเพาะดูแต่ว่าบ้านเรามันคงร้อนไป เลยไม่งอกซักที”
มุตตาสะเทือนใจ
“พ่อปลูกให้หนูหรือคะ”
“ลิลลี่มันบริสุทธิ์สะอาดเหมือนหนูไงลูก”
มุตตาสะอึกเบือนหน้าไปซ่อนน้ำตา
มุตตาตักข้าวต้มใส่ชามเลื่อนให้พ่อกับแม่ แล้วเลื่อนเครื่องปรุงให้
“อ้าว แล้วหนูไม่กินหรือลูก”
“หนู กินอะไรตอนเช้าไม่ค่อยได้ค่ะ”
“ต๊าย พวกคนกรุง กินกาแฟแก้วเดียวอยู่ได้ไปถึงเที่ยง”
“ยายตามันกินกาแฟได้ที่ไหน ยายนินตะหากชอบกินกาแฟ”
แปลกพูด มุตตายิ้ม
“เออใช่ แกน่ะกินได้แต่ชากับโกโก้ แต่แกน่ะชงกาแฟเก่ง ยายนินน่ะชงอะไรรสชาติเหมือนน้ำล้างถ้วย”
พ่อกับแม่พูดถึงความหลัง มุตตาซาบซึ้งจึงลุกขึ้นไปชงกาแฟมา 2 ถ้วย
“ขอบใจลูก”
“มาเอาอกเอาใจอะไรฉัน กาแฟฝรั่งฉันชอบกินที่ไหน”
“ใช่ แกน่ะชอบแบบที่ผสมเม็ดมะขามคั่ว”
“หนูแค่ อยากทำอะไรให้พ่อกับแม่บ้าง”
มุตตาว่าพลางมองพ่อกับแม่เหมือนจะจดจำไว้ตลอดกาล
“หนูกลับมากลางอาทิตย์แบบนี้ ลางานมาหรือลูก”
“เปล่าจ้ะ”
“อ้าว แล้วยังไงกัน” แปลกฉงน
“เออ ดี จะให้เขาไล่แกออกหรือไงยะ” พิณหงุดหงิดทันที
“หนูคงไม่กลับไปอีกแล้วจ้ะ” มุตตาบอก
พิณฟังแล้วกระแทกช้อนดังโครม
“แกนะแก ฉันกะอยู่แล้วเชียวว่าจะไปได้ซักกี่น้ำ อู๊ย กระเสือกกระสนจะไปทำงานกรุงเทพฯให้ได้ ห้ามยังไงก็ไม่ฟัง อวดเก่งอวดดี อยากจะเป็นเหมือนพี่ พอเอาเข้าจริงก็ไม่ได้เรื่อง”
“ถ้ามันหนักหนานักกลับมาก็ดีแล้ว มาช่วยพ่อดูแลไร่”
“ใช่ น้ำหน้าอย่างแกคงต้องดักดานอยู่ในไร่ไปจนตาย พี่เขาน่ะเก่งแสนเก่งแต่แกไม่ได้ความซักอย่าง ดีอยู่อย่างเดียวที่ยังไม่ก่อเรื่องงามหน้าให้พ่อกับแม่ต้องเอาปี๊บคลุมหัว”
มุตตาหน้าเผือด
“นี่ พอซะที แกนี่”
“แม่พูดถูกแล้วค่ะพ่อ หนูไม่น่าเกิดมาเลย”
มุตตาลุกขึ้นช้าๆ เดินออกไป พิณเริ่มคลายโกรธ แปลกมองอย่างตำหนิ พิณทำไม่แยแสแต่ก็มองตามลูก
มุตตาเดินช้าๆ เข้ามาในไร่ แม้ดอกไม้รอบกายจะชูช่อบานสะพรั่งแต่เมฆทะมึนเบื้องบนทำให้ทุกอย่างดูหม่นหมอง คนงานคนหนึ่งหอบดอกกุหลาบกองหนึ่งมาโยนโครมลงใกล้มุตตาที่ยืนอยู่กับคนงานอีกคน
“พวกไม่ได้ขนาดกับโดนแมงกินครับ ตอนนี้เขาเข้มงวดกว่าแต่ก่อน ถ้ามีพวกไม่ได้เกรดปนไปล่ะก็มีเรื่อง”
“แล้วตอนนี้ พวกนี้ทำยังไงจ๊ะ” มุตตาถาม
“ก็เอาไปส่งพวกดอกไม้กำในตลาด ขายถูกๆ ก็ยังไม่ค่อยมีคนซื้อเลยครับ”
“ทุกอย่างก็เป็นอย่างนี้ไม่ใช่หรือจ๊ะ ของมีตำหนิก็ไม่มีค่าอะไรอีกต่อไปแล้ว”
มุตตาหยิบดอกกุหลาบขึ้นมาพิศดูมัน
มุตตาขี่จักรยานมาตามถนนลูกรังเห็นบ้านของรินลดาอยู่ตรงหน้า มุตตาจอดจักรยานลงยืนคร่อมมองดูบ้านอย่างแปลกใจ บ้านรินลดาดูโทรม ต้นไม้รก หญ้าวัชพืชขึ้นรุงรัง บ้านปิดประตูหน้าต่าง ที่บ้านชั้นบนหน้าต่างหนึ่งเปิดอยู่ รินลดาดูผอมบางยืนเหม่อมอง
“ริน ริน”
มุตตาตะโกนเรียก รินลดามองมาแล้วปิดหน้าต่างลง มุตตาแปลกใจ จึงเดินไปที่ประตูกดกริ่ง มุตตายืนรออยู่หลายนาที ลัดดามาชะเง้อที่ประตูรั้วดูหม่นหมองคล้ำเครียด
“น้าดาสวัสดีค่ะ รินกลับมาหรือคะ”
“ตาหรือ”
“รินกลับมาหรือคะ” ลัดดาพยักหน้า
“รินมันไม่สบาย มันไม่อยากเจอใคร เออ น้าตั้งแกงไว้ น้าไปดูก่อนนะ”
ลัดดากลับเข้าบ้านไป มุตตาแปลกใจ
คืนนั้นขณะที่แปลกนอนดูรายการข่าว พิณกำลังคุยอวดกับเพื่อนบ้านที่มานั่งดูโทรทัศน์ LCD จอใหญ่ มุตตานั่งห่างออกมาเอาดอกไม้ที่ถูกคัดทิ้งมาจัดแจกัน
“ฉันอยากทำบุญเลี้ยงพระเลี้ยงคนซักสามวันต้อนรับยายนิน” แปลกอ่อนใจเมีย “ความจริงน่ะฉันอยากให้มันทำปริญญาเอกต่อ จะได้เป็นด็อกเตอร์คนแรกของละแวกนี้”
“ตอนนี้ปินยาตรีน่ะไม่พอแล้ว ฉันน่ะอุตส่าห์ส่งอีนังลูกสาวให้ต่อโท ดั๊นไปมีผัวก็เลยโทต้องท้องโย้กลับมา”
พิณหัวเราะคิก มุตตากำก้านกุหลาบแน่น
“แหม ถึงจะท้องก่อนแต่ง แต่ก็ยังได้แต่งเป็นเรื่องเป็นราว ลูกเขยแม่สายถึงไม่ร่ำไม่รวยแต่ก็รับผิดชอบดี”
“เนี่ย ทีนี้ก็เลยรอมันทำเอกต่อ”
“หา เอกอะไร”
“ก็เอกดอก ออกเด็กไง พี่แปลก”
แปลกอ่อนใจ พิณกับเพื่อนบ้านหัวเราะกัน มุตตาคลายมือออกเลือดซึมจากนิ้วเป็นดวง
มุตตานั่งนิ่งอยู่กลางห้องพระมองดูพระพักตร์สงบนิ่งของพระพุทธรูปแล้วก้มลงกราบพระ แปลกก้าวเข้ามา
“ทำไมไม่จุดธูปจุดเทียนก่อนล่ะลูก”
“พ่อจุดซีจ๊ะ”
แปลกจุดเทียนธูป ควันธูปลอยตลบขึ้น แสงเทียนมลังเมลือง แปลกคุกเข่าลง
“สวดมนต์กับพ่อไหมลูก แต่ก่อนหนูเด็กๆ หนูสวดมนต์กับพ่อบ่อยๆ”
“จ้ะ”
“พอสวดมนต์เสร็จ หนูก็อธิษฐานซะนานเลย ใครถามว่าขออะไรพระหนูก็ไม่ยอมบอก”
มุตตายิ้มขมขื่น
“หนูขออะไรพ่อรู้ไหมจ๊ะ หนูขอให้หนูสวยมากๆ สวยกว่าพี่นิน ให้ใครเห็น ใครก็รักมากกว่าพี่นิน”
“ก็จริงนี่ลูก ยายนินน่ะดื้อหน้าหงิกหน้างอ ถูกแม่เขาตีไม่เว้นแต่ละวัน”
“ถ้าหนูรู้หนูจะไม่อธิษฐานอย่างนั้น มันบาปใช่ไหมคะพ่อ”
“อย่าคิดมากไปเลย คนเราน่ะสร้างกรรมอยู่ตลอดแหละลูก พระท่านถึงสอนให้อโหสิกรรมเป็นนิจ อธิษฐานจิตเป็นประจำไงลูก” มุตตาพยายามฟัง ควันธูปอวลอบมากขึ้น ทันใดมุตตาก็ขยักขย้อน “อ้าว เป็นอะไรลูก”
“เหม็นควันธูปค่ะ”
มุตตาลุกพรวดวิ่งออกไปจากห้อง
แรงเงา ตอนที่ 5 (ต่อ)
กลางดึกคืนนั้นขณะที่มุตตานอนหลับอยู่บนเตียง เธอก็กระสับกระส่ายอยู่ในห้วงของฝันร้าย มุตตากำลังฝันถึงช่วงวันเด็กของตัวเองกับมุนินทร์ มุนินทร์เข้าแย่งยื้อมงกุฎดอกไม้ มุตตาดิ้นรนไม่ยอม มุนินทร์จึงสะบัดสุดแรง ทำให้มุตตาตกน้ำโครม
มุตตาร้องวี๊ดก่อนที่ร่างจะจมหายไปเหลือมงกุฎดอกบัวลอยอยู่บนผิวน้ำ มุนิทร์ยืนเท้าสะเอวยิ้มอย่างสาแก่ใจ
“ดี สม”
มุนินทร์มองลงไปในน้ำเห็นฟองอากาศผุดพรายก็ชะงักหน้าเสีย
มุตตาในชุดนอนบางพลิ้วร่างเธอจมดิ่งลงช้าๆ ผมยาวสยาย อาการดิ้นรนหายไป ดวงตาเบิกกว้างปราศจากชีวิต มุตตาตื่นจากฝันร้ายกุมอกลุกขึ้นมาบนเตียง แล้วเห็นเงาตนเองในกระจกที่โต๊ะเครื่องแป้ง ด้วยแสงสลัวในห้อง ทำให้เงาสะท้อนนั้นดูลึกลับชั่วร้าย
“เธอน่าจะตายซะตั้งแต่วันนั้น จะได้ไม่ต้องโตขึ้นก่อเรื่องน่าอับอายให้พ่อกับแม่”
เงามุตตาที่อยู่ในกระจกบอก มุตตาเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟ ไฟสว่างขึ้น มุตตามองดูเงาสะท้อนตัวเองที่ดูไร้พลังชีวิตอีกต่อไป
มุตตาเอนตัวลงนอนเหม่อมองดูขื่อไม้มืดทะมึนเบื้องบน โมบายหมุนวนช้าๆ
เช้าวันรุ่งขึ้นแปลกถือถุงใส่ปาท่องโก๋และหนังสือพิมพ์เข้ามา พิณกำลังดูโทรทัศน์รายการเล่าข่าวยามเช้าอยู่
“เช้านี้มีอะไรกิน”
“ถามแม่ลูกสาวคนโปรดดูซี เห็นลุกมาทำครัวตั้งแต่ตีห้า”
มุตตากำลังคนโจ๊กที่เคี่ยวด้วยไฟอ่อนอย่างตั้งอกตั้งใจ ใบหน้าเศร้ามีแววสงบแบบแปลกๆ แล้วหันมาใส่ชิ้นปลากระพงที่หั่นไว้ลงไป แล้วหันมาอีกทางเอาไข่ที่แช่ในน้ำร้อนขึ้น
ชามใหญ่มีฝาปิดเข้าชุดถูกวางลงบนโต๊ะอาหารที่จัดเป็นพิเศษ พิณกับแปลกมองดูอย่างแปลกใจ มีจานเล็กที่แบ่งเป็นช่องใส่ผักโรย ขิงซอย หมี่ทอดกรอบ น้ำส้มพริกดอง ทุกอย่างอยู่ในจานชามเข้าชุด และจัดหั่นมาอย่างงดงามเป็นพิเศษ
“อะไรกันฮึ ลูก”
“โจ๊กปลากระพงค่ะ”
“เออดี พ่อซื้อปาท่องโก๋มาให้หนูพอดี กินกะโจ๊กเข้ากันดี”
“แล้วทำไมต้องมาจัดให้มันเลิศหรูฟู่ฟ่าอะไรขนาดนี้”
มุตตาต่อยไข่ลวกใส่ชามให้แปลกและพิณ
“หนูอยากทำให้พ่อกับแม่ เป็นพิเศษหน่อยนะจ๊ะ” มุตตาตักโจ๊ก ใส่ขิง ต้นหอม แล้วนั่งลงดูพ่อกับแม่กิน “อร่อยไหมจ๊ะ”
“ดีลูก”
“ปลาสดดี ขอขิงแม่อีกนิดซิ” มุตตาใช้ช้อนเล็กตักให้
“เอ้า มานั่งดูพ่อกับแม่กินทำไม หนูก็กินซิลูก”
มุตตาตักโจ๊กเพียงทัพพีเดียว
“ต๊ายกินเหมือนแมวดมแบบนี้ ไม่แคล้วเป็นโรคกระเพาะ ถึงได้คลื่นเหียนอยู่เรื่อยๆ”
มุตตานิ่งอั้น
“แล้ววันนี้หนูจะทำอะไรลูก”
“หนูอยากขี่รถไปดูทั่วๆ ค่ะ เออ หนูว่าจะแวะไปเยี่ยมรินซักหน่อย เห็นว่าไม่สบาย”
แปลกชะงัก พิณตาเหลือก
“ว้าย อย่าไปนะ”
“ทำไมหรือจ๊ะ”
“ก็ความลับมันไม่มีในโลกน่ะซี ต๊าย นังรินบอกว่าทำงานดิบดี มาสร้างบ้านอวดรวย บอกเป็นพริตตี้เป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่ที่แท้ก็รับจ๊อบขายตัวให้เสี่ยด้วย” มุตตานิ่งอึ้ง “มาคราวก่อนทำหน้ามายังกะดาราเกาหลี กลับมาคราวนี้ ต๊าย โทรมยังกะศพก็จะอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่เอดส์”
“โธ่เอ๋ย ริน”
“เมื่อเช้าที่ร้านกาแฟเขาพูดกันว่า มีลูกติดท้องมาด้วย”
“ว้าย แล้วลูกจะติดโรคไหมนี่”
“น่าเวทนาเด็ก ไม่รู้ไม่เห็นอะไรต้องมารับกรรม” มุตตาตัวชา
“พวกมักง่ายใจง่ายก็ยังงี้แหละ เป็นอีตัวก็เท่ากับแย่งผัวชาวบ้านเขาเหมือนกันท้องก็หาพ่อไม่ได้”
มุตตาตัวสั่น ดวงตาเจ็บปวดรวดร้าว
“นี่ไม่ใช่แค่รินที่แอบอยู่แต่ในบ้านนะลูก แม่ลัดดาแม่มันก็ไม่ยอมไปไหนมาไหนหลบอยู่แต่ในบ้านเหมือนกัน ไอ้ปากคนแถวนี้ก็เหลือเกิน”
แปลกปรายตามาทางพิณด้วย แต่พิณไม่รู้เรื่อง
“ก็ใช่น่ะซี คนแถวบ้านเราน่ะ ไม่เคยมีเรื่องอื้อฉาวคาวโลกีย์แบบนี้ นี่ไม่รู้มันจะกลับมาประจานตัวเองทำไม”
มุตตาขรึมเศร้าเหม่อมองไปทิศบ้านรินลดา
“หรือจ๊ะ แต่หนูว่ารินก็ยังดีกว่าหนู”
“ว้าย แกพูดอะไรของแก”
“หนูพูดอะไรลูก ดีกว่ายังไง”
“ก่อนตาย รินยังได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ตั้งมากมายไงจ๊ะ”
“ฮื้อ พูดอะไรยังงั้น ไม่เอาลูก”
“แต่จริงนะ ไม่รู้ว่านังรินมันจะกลับมาประจานพ่อประจานแม่มันทำไมแบบนี้ ตายซะดีกว่า”
พิณทำหน้าแสยะเหยียดหยาม
แปลกมองอย่างทุเรศทัศนคติเมีย ไม่ได้มองมุตตาที่ชาไปหมดทั้งตัว ดวงตามุตตาหวั่นไหวถึงขีดสุด
ถนนลูกรังสองข้างทางเป็นไร่ดอกไม้มุตตาขี่จักรยานมาใบหน้าเรียบเฉย ดวงตามีแววตัดสินใจแล้ว มุตตาขี่จักรยานผ่านโรงเรียนเก่าเป็นอาคารไม้สองชั้นดูเก่าแก่ ที่บึงน้ำ ดอกบัวยังคงออกดอกพราว มุตตามองน้ำที่กระเพื่อมเป็นระลอก
มุตตาขี่จักรยานผ่านบ้านรินลดา ที่ตะกร้าหน้ารถมีดอกบัวจากบึงหลายดอก มุตตาหยุดมองบ้านรินลดา หน้าต่างห้องรินลดาปิดเงียบ
เวลาเย็นที่วัดเล็กๆ คนแก่ 4-5 คนนุ่งขาวห่มขาวถือของใช้เดินไปยังอุโบสถ มุตตาอยู่ใต้ต้นลั่นทม รถจักรยานพิงอยู่ มุตตามองดูอุโบสถเล็กๆ นั้น ลมพัดดอกลั่นทมปลิวลง มุตตาหันหลังให้วัดขี่จักรยานออกมาจากที่นั่น
ดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า แสงสีส้มอาบไปทั่ว มุตตายืนอยู่หน้าบ้านมองไปทางไร่และมองดูรอบๆ ตัว ราวจะจดจำไว้เป็นครั้งสุดท้าย รถโฟร์วีลคันหนึ่งขับมาจอดลงใกล้ตัวมุตตา หมอบีก้าวลงมา มุตตาหันไปดูยิ้มให้แต่หม่นเศร้า
“หมอบี คิดว่าหมอยังอยู่อังกฤษซะอีก”
“กลับมาแล้วซี ไปครบปีแล้วนี่”
“ใช่ซี ปีนึงแล้ว อะไรทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว”
“นี่ตาพูดถึงรินหรือเปล่า”
“ตาพูดถึงทุกคนต่างหากหมอ”
“นี่เราเพิ่งไปเยี่ยมรินมา ความจริงรินน่ะยังไม่เป็นอะไรมาก ยาสมัยนี้ดีกว่าแต่ก่อนเยอะ ค่ายาก็ไม่แพงแล้ว แต่...”
“แต่ทำไมจ๊ะ”
“แต่รินไม่มีกำลังใจที่จะสู้แล้วน่ะซี โรคนี้ถ้าไม่มีแรงใจแล้วล่ะก็...”
มุตตายิ้มเศร้าๆ
“เรา เข้าใจรินดี”
แปลกยืนมองมุตตาคุยกับยหมอบี พิณมาชะเง้ออีกคนแล้วหน้าบึ้ง
“นั่นไอ้เจ้าหมอบีมาทำไม”
“แกนี่ มีหมอไปมาหาสู่ยังไม่ดีอีกรึ”
“จะดีได้ยังไง ไม่ใช่ไอ้หมอนี่หรือ ร้านเราถึงไฟไหม้เกือบวอดทั้งหลัง”
“ปู้โธ่ มันเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้แน่ แกนี่เหลือเกินจริงๆ”
พิณค้อนผัว
หมอบีก้าวขึ้นรถ มุตตายืนส่งมองอย่างอ่อนโยน
“เรากลับก่อนล่ะ”
“จ้ะ หมอบี ตอนตาไม่อยู่แล้ว ตาฝากดูแลพ่อกับแม่ด้วยนะจ๊ะ”
หมอบียิ้ม เข้าใจว่ามุตตาหมายถึงการไปอยู่กรุงเทพฯ
“ได้ซี แต่แม่คงไม่อยากให้เราดูแลเท่าไร แต่ไม่เป็นไรหมอบีซะอย่าง เออ เราไปจริงๆ ล่ะ”
“ลาก่อนนะหมอ ลาก่อน”
หมอบีออกรถ รถโฟร์วีลเคลื่อนวนออกไปทางหน้าบ้าน มุตตามองตาม
คืนนั้นมุตตาอาบน้ำแต่งตัวสะอาดสะอ้าน ใบหน้าดูนวลผ่องอย่างประหลาด มุตตานั่งพับเพียบบนเสื่อที่ระเบียงตรงหน้ามีถาดใส่มะลิ กุหลาบสีม่วง มุตตาร้อยพวงมาลัยดอกมะลิสลับกลีบกุหลาบอย่างตั้งใจ
แปลกและพิณนั่งดูละครหลังข่าวอยู่บนโซฟายาว แปลกไม่สนใจนักแต่พิณนั้นอินสุดชีวิตจนกระทั่งจบ มุตตาถือพานวางมาลัยมะลิ อุบะกุหลาบม่วงมา 2 พวง แล้วเดินไปตรงหน้าคุกเข่าลง แปลกยกรีโมทปิดเสียงทีวี
“นี่อะไรของแกฮึ ยายตา”
“ตาอยากกราบพ่อ กราบแม่จ้ะ”
มุตตาวางมาลัยลงในมือแปลก พิณ พิณขัดเขินเล็กน้อย แปลกยิ้มรับมาพิศดู
“ขอบใจลูก”
“สวยดี แกน่ะทำอะไรแบบนี้ได้ดี ไม่เหมือนยายนินทำไม่เป็นซักอย่าง”
มุตตายิ้มเศร้าๆ ก้มลงกราบเท้าพ่อกับแม่ น้ำตาหยดหนึ่งหยดลง แปลกลูบผมลูกสาว
“ตาลา พ่อกับแม่จ้ะ”
“เฮ้อ กลับมาประเดี๋ยวประด๋าวก็จะไปอีกแล้ว ไม่รอเจอพี่สาวแกก่อนหรือ”
“คงไม่เจอกันแล้วจ้ะ”
“จะไปแล้วหรือลูก ทำไมเพิ่งมาบอก”
“แม่จ๋า พ่อจ๋า หนูขอโทษด้วยนะจ๊ะ”
“มาขออโหสิกรรมอะไรกันฮึ ลูกคนนี้”
“หนูไม่เคยทำอะไรได้อย่างใจพ่อกับแม่เลย”
“แกน่ะมันคิดมาก ฉันก็บ่นไปอย่างนั้นแหละ”
“พ่อกับแม่ไม่ถือโทษอะไรหนูหรอกลูก”
มุตตายิ้มจางๆ ก้มลงกราบอีกครั้ง
มุตตาวางแจกันดอกบัวที่เก็บมาสี่แจกัน วางลดหลั่นลงบนโต๊ะหมู่บูชาแล้ววางมาลัยดอกมะลิลงบนพานแก้ว แล้วจุดเทียนทีละดวง จุดธูป ใบหน้าสงบนิ่งนวลกระจ่างจนดูเผือด มุตตาทรุดลงกับพื้นลงกราบพระ ฟ้าแลบสว่างเข้ามาทางหน้าต่างทาบลงบนร่างมุตตา
มุตตานั่งอยู่หน้ากระจกเงา กำลังเขียนจดหมายสั้นๆ ข้อความหนึ่งอย่างสงบ แล้วพับใส่ซอง เขียนหน้าซองว่า “พี่นิน” แล้วเอามันใส่ลงในลิ้นชัก ปิดลิ้นชักลง มองดูกระจกเงาแล้วแปรงผมช้าๆ มองดูเงาสะท้อนอย่างสงบนิ่งแล้วลุกขึ้นหันมากลางห้อง ที่ขื่อไม้มีเชือกเส้นใหญ่ผูกปมห้อยมาดูเป็นสีดำราวอสรพิษ
ฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ฟ้าแลบแปลบปลาบตลอดเวลา บ้านนายแปลกปิดไฟมืดเหลือเพียงไม่กี่ดวง รถตู้แล่นมาจอด ร่างในสูทยาวที่ใช้ผ้ากันน้ำได้ก้าวลงมา
ภายในห้องมุตตายามนั้น มุตตาก้าวขึ้นบนเก้าอี้ที่วางไว้ใต้เชือกขึ้นยืนตรง บ่วงเชือกแขวนอยู่ตรงหน้า มุตตามองบ่วงเชือกนั้นนิ่งแล้วคิดถึงเหตุการณ์ระหว่างเธอกับเจนภพตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน มุตตายืนนิ่งอยู่หน้าบ่วงเชือกจากเศร้าสร้อยขมขื่น ค่อยๆ สงบนิ่ง แล้วปลงตกพูดออกมาอย่างแผ่วเบา
“อโหสิกรรม”
มุตตาหลับตาลง พูดแผ่วเบาจนแทบไม่มีเสียง ฟ้าแลบเข้ามาวูบวาบ
“อโหสิกรรม”
มุตตายิ้มเศร้าๆ ปากพูดอโหสิกรรมแต่ไม่มีเสียง แล้วหลับตาลง เท้ามุตตาถีบเก้าอี้ล้มลง เก้าอี้ล้มฟาดลงกับพื้นพร้อมเสียงฟ้าผ่ากัมปนาท
ลมแรงพัดเข้ามาที่โต๊ะหมู่บูชา ไฟเทียนไขที่ริบหรี่ดับวูบลงเหลือเพียงควันเทียนลอยเป็นสาย
ที่หน้าห้องมุตตา ร่างระหงร่างหนึ่งผลักประตูห้องเปิดเข้าไป จึงเห็นว่าร่างมุตตาแขวนอยู่เบื้องหน้า ฟ้าแลบสว่างทาบลงบนร่างมุตตาที่แขวนอยู่ ดวงหน้านั้นสงบไม่น่าเกลียด ฟ้าแลบสว่างจ้า
พยาบาลและบุรุษพยาบาลเข็นรถพาร่างมุตตามาตามทางเดินยาวสู่ห้องฉุกเฉิน หมอบีก้าวมาตกใจสุดขีด แต่พยายามระงับสติอารมณ์ไว้ ร่างมุตตาถูกเข็นเข้าไป
หน้าห้องฉุกเฉิน แปลกนั่งนิ่งพิงผนัง ดวงตาเจ็บปวดเสียใจ ไม่เข้าใจ พิณร้องไห้คร่ำครวญรำพันพลางดมยาดม ขณะที่ร่างๆ หนึ่งยังอยู่ในเสื้อโค้ทสีเข้มที่ใช้กันฝนยืนมองผ่านช่องกระจกเข้าไปข้างในห้องฉุกเฉิน หมอบีและพยาบาลพยายามดึงรั้งชีวิตมุตตากลับคืนมา
มุตตาดวงตาปิดสนิท ใบหน้าสวยสงบงดงามอย่างน่าประหลาด
แสงฟ้าแลบจางๆ สว่างมาจนถึงเตียง เจนภพนอนกระสับกระส่าย นพนภานอนกอดก่ายสามีไว้
“ตา” เจนภพผวาลุกขึ้น “ตา”
นพนภาลุกตามขึ้นมา เจนภพรู้สึกตัวเต็มที่
“คุณเป็นอะไร”
“ไม่มีอะไร ผมฝันร้ายน่ะ”
“อ๋อเหรอ ฝันร้าย ร้ายยังไง ร้ายมากไหม”
“โธ่ จะมาถามอะไรตอนนี้”
“ต้องถามซี ก็ฉันได้ยินคุณเรียกชื่ออีนังนั่น”
“โธ่”
“ฝันร้าย หรือว่าฝันเปียกกันแน่ฮะ”
เจนภพไม่พูดด้วย ขยับตัวนอนหันหลังให้ นพนภาค้อนผัวแล้วลงนอนหันหลังให้เช่นกัน แต่เจนภพตาสว่างโพลงไม่อาจหลับลงได้
สร้อยคำกำลังเตรียมอาหารอยู่ในครัว วีกิจใส่ชุดนอนเดินเข้ามา สร้อยคำดูนาฬิกาเห็นว่าเพิ่งตีห้า
“ตื่นขึ้นมาทำไมแต่เช้ามืดฮะตากิจ หรือว่าแฮงค์” วีกิจค้อนแม่
“โธ่ ผมออกจะเป็นคนดี เมื่อคืนไม่ได้กินเหล้าซักหยดนึง”
สร้อยคำหลงเชื่อ บัวถือขันตักบาตรทองเหลืองมา
“ค่ะ แต่ว่ากินเบียร์เข้าไป 2 ขวด”
“ต๊าย น้องคนดี”
วีกิจทำหน้าปูเลี่ยน
“แต่ผมไม่ได้ตื่นมาเพราะแฮงค์จริงๆ นะฮะ ตื่นขึ้นมาซักตี 3 เห็นจะได้ แล้วก็นอนไม่หลับอีกเลย มันไม่สบายใจยังไงไม่รู้”
“ฝันร้ายหรือเปล่า”
“ผมว่าเปล่านะฮะ หรือว่าผมจำไม่ได้มั้งฮะ แต่มันไม่สบายใจฮะ”
“นั่นแหละแฮงค์”
วีกิจเกาหัว บัวหัวเราะคิก
“ทำบาปมาเยอะแล้วมาทำบุญบ้าง มาช่วยแม่ทำกับข้าวใส่บาตรมา”
“ทำอะไรฮะวันนี้”
“แม่ว่าจะทำหมูทอด”
“ผมอยากใส่บาตรหลายๆ องค์ฮะ ซักเก้าองค์ได้ไหมครับ”
“มีหมูสับอยู่ 2 แพ็คเอง ทำหมูทอดไม่พอแน่ ต้องเปลี่ยนเมนูแล้วลูก”
สร้อยคำเปิดตู้ดูของสด วีกิจรื้อดูของแห้งดึงได้วุ้นเส้นออกมา
“ทำแกงวุ้นเส้นดีไหมฮะ”
“ได้ๆ มีเครื่องครบพอดี” วีกิจจัดแจงแช่วุ้นเส้น เห็ดหอม สร้อยคำเอาซองดอกไม้จีน ฟองเต้าหู้ เห็ดหูหนูมาอีก พลางดูลูก “ต๊ายคล่องเชียว อีกหน่อยต้องไปทำกับข้าวให้เมียกินแน่”
“ก็ดีซี แต่เขาต้องหาเลี้ยงผมนะฮะ”
สร้อยคำยี้ลูก บัวหัวเราะคิก วีกิจแกะซองแช่เครื่องแกงร้อนอย่างชำนาญ
วีกิจและสร้อยคำตั้งโต๊ะเล็กหน้าประตูรั้ว วางขันข้าว ถาดใส่ถุงอาหาร ขนม และผลไม้ พระสงฆ์เดินมาเป็นทิวแถว สองแม่ลูกช่วยกันตักบาตร
ที่กระทรวงโต๊ะทำงานมุตตายังว่างเปล่า อรพิมถือแจกันแก้วยาวใส่ลิลลี่ดอกเดียวมาวางลง ทิพอาภาหยุดพิมพ์งานหันมามอง
“ดอกไม้อะไร ใครให้เหรอ”
“จะมีไอ้หอยที่ไหนให้ ซื้อเองย่ะ”
“วางไว้โต๊ะตาก็ดี เห็นโต๊ะโล่งๆ แล้วใจหาย”
“ตาไม่มาทำงานสามอาทิตย์แล้วซีนะ”
“เขาว่าเมื่อวันอังคาร อี เอ๊ย ยายปริมเห็นว่าตามา แต่ว่าเมีย ผ.อ.เกิดมาพอดี ตาก็เลยหลบหายไปเลย” ทิพอาภากระซิบบอก
“เฮ้อ ไม่งั้นคงได้ลงยูทูปรอบสอง”
แจงจิตฟังแล้วถอนใจ
“โทรไปก็เหมือนปิดเครื่องตลอดเลย”
“ตาคงอยากตัดขาดทุกอย่างแล้วล่ะมั้ง”
ประตูเปิดออก เจนภพเดินเข้ามา
“ตามาหรือ ดอกไม้อะไร”
“เปล่าค่ะ ดอกไม้หนูเองค่ะ เห็นแล้วนึกถึงตาก็เลยซื้อมา”
อรพิมจงใจกัด เจนภพพยักหน้าเดินเข้าห้องทำงานไป ทิพอาภาค้อน
“ก็ยังดี ยังรู้สึกรู้สมบ้าง ผู้หญิงทั้งคนต้องเสียผู้เสียคนขนาดนี้”
“เอาเถอะถือว่ามุตตาไปดีแล้ว” แจงจิตบอก อรพิมกับทิพอาภาพยักหน้า “แต่เธอสองคนระวังไว้นะจะไปไม่ดี”
อรพิมกับทิพอาภาสะดุ้ง ค้อนแจงจิตขวับ
ที่โซฟาในล็อบบี้หอพัก พรกำลังคุยกับวีกิจ ฤดีชะเง้อคอฟังอยู่ที่เคาน์เตอร์แต่ศรีมาจัดหนังสือพิมพ์ไม่รู้จักเสร็จมองวีกิจพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“หายไปจะอาทิตย์นึงแล้วค่ะ เห็นว่าจะกลับไปบ้าน”
“ดีแล้วฮะ”
“เอ ที่ไหนนะพะเยาหรือดอกคำใต้หรือเปล่าก็ไม่รู้”
“เพชรบูรณ์ครับ”
“เออใช่ ที่คุณมาคราวก่อน เห็นหรือเปล่าคะว่าตาบาดเจ็บ”
“ฮะ ตาบอกผมว่าหกล้ม”
“ค่ะ หกล้มจมเท้า ก็อีตา ผ.อ.หัวหน้าอะไรนี่แหละ เมียเขาน่ะร้ายสุดๆ เลยนะคะ”
“ห๊ะ” วิกิจตกใจ
“มันโทร.มาด่าตานับครั้งไม่ถ้วน แถมยังส่งไอ้โจรมาซ้อมปล้นเงินตาจนหมดตัว” วีกิจถอนใจ “ไม่ใช่แค่นั้นนะคะ นังเมียหลวงยังคงให้ไอ้โจรคนเดิมเข้าไปข่มขืนตาถึงในห้อง” วีกิจตาเบิกกว้าง ตกใจสุดขีด “แต่ไม่สำเร็จค่ะ พวกฉันเข้าไปช่วยทัน”
“นี่ทำกันถึงขนาดนี้เชียวหรือ” วิกิจสะท้อนใจ นึกสงสารมุตตาจับจิต
ที่บ้านเจนภพคืนนั้น นพนภายิ้มพริ้มพรายนั่งดูสมุดภาพจิตรกรรมไทยกับต่อ เจนภพนั่งโซฟาอีกตัวกับต้อมกำลังพลิกดูการ์ตูนภาพเล่มใหญ่ เป็นภาพครอบครัวสุขสันต์ นพนภาปรายตาดูเจนภพ
“เอาภาพนี้ซิลูก”
“แหม มันวาดยากนะฮะ”
“ทำไมหรือ จะทำอะไรกัน” เจนภพถาม
“อ๋อ ตาต่อจะส่งภาพจิตรกรรมไทยเข้าประกวด ก็เลยดูรูปวาดเก่าๆ หาแรงบันดาลใจ”
“เออ เข้าท่าดี แล้วจะวาดรูปอะไรล่ะ”
ต่อสบตานพนภาที่ยิ้มสมใจ
“ภาพนรกฮะ โลหสิมพลีนรก”
“แปลว่านรกต้นงิ้ว สำหรับพวกผิดศีลข้อกาเม เขาว่าต้นงิ้วมีหนามเป็นเหล็กยาวเป็นฟุตแถมลุกเป็นไฟ ผู้หญิงอยู่ทางยอด ผู้ชายอยู่โคนต้น ปีนไปข้างบนก็มีอีกาปากเหล็กคอยจิกลูกตา ข้างล่างก็มีนายนิรยบาลคอยเอาหอกแทง ก็ปีนสวนกันไปสวนกันมา ไม่ได้เจอกันตลอดชาติ”
เจนภพรู้ว่าตกหลุมที่นพนภากับลูกชายขุดล่อ หน้าตึง ปิดหนังสือปัง
“ยี้ คุณแม่เล่านิทานเพ้อเจ้อ”
“ใช่ลูก”
“มันต้องมีจริงย่ะ ไม่งั้นเขาจะคิดขึ้นมาจากไหน”
“ต่อว่ามันอยู่ในใจมากกว่าฮะ ใครที่ทำให้คนอื่นเจ็บช้ำน้ำใจ ตัวเองก็ทุกข์ด้วย”
“ใช่ ตกนรกในใจชาตินี้ ตกนรกจริงๆ ชาติหน้า”
“แล้วคุณล่ะ กะเอาไว้ว่าจะขึ้นสวรรค์ขุมไหน ขุมปั่นหุ้น ขุมโกงเงิน หรือขุมเผาไล่ที่”
“คุณ”
“ไอ้ต่อ ทีหลังก็วาดนรกขุมอื่นๆ ให้แม่แกดูบ้าง”
เจนภพเดินปึงๆ ไป นพนภากลัวแล้วรีบตัดออกจากสมองยิ้มกับต่อ แล้วปรายตาดูต้อม เห็นกำลังฉีกหนังสือการ์ตูน แต้วยกถาดขนมมา
“ว้าย ยายต้อม ฉีกทำไม เล่มละตั้งพัน”
“การ์ตูนทุเรศ นางเอกหน้าเบี้ยวตาก็เหลือก นางแม่มดปลาหมึกเหมือนครูใหญ่บ้านล่าฝัน” ต่อเก็บหนังสือมาดูอย่างเสียดาย “พี่ต่อ วาดการ์ตูนให้หนูที”
“วาดให้แกฉีกทิ้งเหรอ เด็กบ้าชอบทำลายข้าวของ ไม่รู้ดูตัวอย่างมาจากไหน”
นพนภาพยักเพยิด แต้วปรายตามอง คุกเข่าลงวางขนม
“จริงด้วยค่ะ ไม่รู้เอาแบบอย่างมาจากไหน”
“เอ๊ะ นังต้องล่ะ ไปเรียกมันมากินขนมไป”
“ซุกหัวอยู่แต่ในห้องค่ะ”
“ต๊าย งสัยเอาซีดีโป๊มาดู เลือดพ่อมันแรงนัก”
“โธ่แม่ เดี๋ยวนี้ไม่ต้องใช้แล้วฮะ เข้าเน็ตคลิกเดียวก็ป๊อบอัพมาฟาดหน้าแล้ว”
“ว้าย ตายแล้ว”
ที่ห้องนอนต้อง โทรทัศน์จอกว้างขนาดย่อมกำลังมีมิวสิควิดีโอสาวฟังค์ร็อคชื่อดัง ดนตรีโหยหวนไพเราะน่าขนลุก ต้องนอนหงายสะลึมสะลือบนเตียง ดวงตาเคลิ้มฝัน ข้างตัวมียาเม็ดสีสวยกระจายจากขวดที่ล้มกลิ้งอยู่
เช้าวันรุ่งขึ้นที่หอพักฤดี ร่างสูงระหงก้าวมาแหงนมองตัวตึกนิ่ง ขณะนั้นที่เคาน์เตอร์ ฤดีกำลังทำบัญชี ศรีกำลังเป็นโอเปอเรเตอร์
“ต๊าย หายไปเจ็ดวันแล้วยังไม่เสด็จกลับ แล้วค่าห้องฉันจะเก็บที่ไหนยะ”
“หรือว่าคุณตาหลบไปคลอด”
“นังบ้า เพิ่งท้องได้เดือนสองเดือน ฉันกลัวจะไปหาหมอเฉพาะทางให้ทำคลอดก่อนกำหนดมากกว่า”
“ว้ายป้า”
“ถ้าคนทำมีความรู้น่ะยังไม่เป็นไร ถ้าไปเจอหมอเถื่อนมีหวังเลือดออกไม่หยุดตายคาเขียง”
ฤดีกับศรีกำลังเม้าท์กันอย่างเมามัน จึงไม่ได้สังเกตร่างระหงที่ก้าวมาเงียบๆ
“คุณตาตายเหรอ ไม่มีทาง คุณตาไม่ตายหรอก”
ร่างระหงนั้นเหมือนชะงักไปหยุดยืนนิ่ง มือกำกระเป๋าเดินทางเล็กๆ แน่น
“เฮ้อ แม่มุตตานี่ไม่คิดเลยจริงๆ ทีแรกน่ะเหมือนนางฟ้านางสวรรค์ แต่ลงท้าย...”
“ลงท้ายเป็นยังไงหรือคะ” เสียงใครคนหนึ่งดังแทรกขึ้น
ฤดีกับศรีตาเหลือกหันมาดูเห็นมุนินทร์ยืนอยู่คิดว่าเป็นมุตตา แต่กลับดูผิดแผก ชุดที่ใส่มีสีเข้มคัทติ้งเป็นเส้นเฉียบ ผมเป็นคลื่น กายยืดตรงดูแข็งแกร่ง ดวงหน้าดูขาวซีด แต่ดวงตาเข้มเป็นประกายเจิดจ้า ร่างระหงก้าวขยับมาใกล้เคาน์เตอร์เลิกคิ้ว
“ไงคะ? ลงท้าย เป็นยังไง” มุนินทร์ถามย้ำเสียงเรียบเฉย
โปรดติดตาม "แรงเงา" ตอนที่ 6 ต่อ พรุ่งนี้ เวลา 9.30 น.