The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 9
ส่วนที่อยุธยาสุคนธรสยังคงสลบอยู่ แต่หว่างคิ้วเริ่มขมวดหน้าเครียดตึงเพราะภาพตอนที่สู้กับหมอผีสมคิดอย่างดุเดือนยังอยู่ในความคิดของสุคนธรส สุคนธรสกระสับกระส่าย อึดอัดกับความฝันจนกระทั่งถึงตอนที่เพลี้ยงพล้ำ
“อ๊าก”
จู่ๆ สุคนธรสก็เบิกตาโพลง กระเด้งลุกพรวด ปากจุ๊บกับปากของไตรรัตน์ที่กำลังโน้มหน้ามาดูสุคนรสเข้าเต็มๆ
ทั้งสองค้างอึ้งตาเหลือก สุคนธรสถอยแล้วเหวี่ยงหมัดฟาดหน้าไตรรัตน์อย่างแรง
“ไอ้เลว”
ไตรรัตน์กำหมัดสุคนธรสได้ทัน
“อ้ะ...อย่าด่านะ ผมไม่ได้ฉวยโอกาส ไม่ได้ขโมยจูบคุณ คุณนั่นแหละที่เอาปากมาชนปากผมเอง”
“แล้วทำไมไม่หลบ”
สุคนธรสเหวี่ยงหมัดอีกข้างฟาดหน้าไตรรัตน์
“โอ๊ย”
สมศักดิ์กับสมศรีเข้ามา
“ยัยรส ทำไมรุนแรงกับคุณไตรอย่างนี้ โถ...เจ็บไหมพ่อคุณ”
ไตรรัตน์ส่ายหน้า สมศรีตีสุคนธรส
“ใจร้ายจริงเลยเรา เดี๋ยวแม่ฟาดด้วยก้านมะยมซะเลยนี่”
“เรานี่ก็เหลือเกินเลยนะ ชอบตีกับเด็กต่างสถาบัน เรียนจบตั้งนาน ยังแค้นกับอริเก่าโรงเรียนตรงกันข้ามอีก นี่ถ้าไม่ได้คุณไตรรัตน์ช่วยไว้...”
“โรงเรียนตรงกันข้าม...”
สุคนธรสมองไตรรัตน์ ไตรรัตน์ยักคิ้ว สุคนธรสนึกเคือง
สุคนธรสลากไตรรัตน์ลงมาจากบนบ้าน
“ใครสั่งให้นายโกหกพ่อแม่ฉัน ที่ผ่านมาเรายังบาปไม่พอหรือไง”
“ก็แล้วคุณโดนอะไรมาล่ะ”
“โดนของ...ของจอมขมังเวทย์...”
สุคนธรสขยับปากจะด่าแต่ไออย่างแรง รีบนำผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงมาปิดปาก สุคนธรสเปิดผ้าเช็ดออกเลือดอยู่บนผ้า ไตรรัตน์ใช้ปลายนิ้วค่อยๆ ปาดเลือดที่มุมปากของสุคนธรสแล้วถูนิ้วตัวเองไปมา เช็คว่าเป็นเลือดจริงไหม แล้วเขาก็อึ้ง ใจไม่ดีขึ้นมา
“โดนของ...หมายถึงคุณไสยน่ะเหรอ แล้วนี่... มันเลือดจริง...คุณ...โดนของอะไร...ถึงขั้นกะอักเลือดเลย”
“ชั้นอาจไม่ได้ตามดูแลนายไปตลอด ถ้านายบวชได้จริงจะดี หลวงลุงท่านเป็นพระท่านไม่โกหกนายกำลังตกอยู่ในอันตรายจริงๆ”
ไตรรัตน์จ้องหน้าสุคนธรสอย่างไม่แน่ใจ เสียงเคธี่ดังขึ้น
“ไฮ...ธไรย์”
ไตรรัตน์กับสุคนธรสหันไปเห็นเคธี่ยิ้มสดใส
“เคธี่”
ใบหน้าไตรรัตน์ซีดเผือด
เนตรศิตางศุ์เดินทางมาพัทยาพร้อมกับกรรัมภา กรรณาและก๊อง ก๊องเดินตามสามสาวเข้ามาในโรงละคร แล้ว
มองซ้ายขวาอย่างตื่นเต้นสนใจ
“หลังเวทีเป็นอย่างนี้เหรอ...สวยจริงๆ”
ปาณัทเดินผ่านมา
“สวัสดีค่ะคุณปาณัท นี่เพื่อนๆ เนตรค่ะ วันนี้จะมาดูละครกัน”
“งั้นไม่ต้องซื้อบัตรนะ ถือว่าเป็นการตอบแทนที่วันนั้นคุณช่วยออนซ์และพวกเรา”
“แต่...”
“คุณปาณัท...ดีใจจัง ที่ได้เจอตัวจริง ขอจับมือหน่อยสิคะ”
กรรัมภาถอดถุงมือตั้งจิตตอนจับมือกับปาณัท ทั้งหมดสังเกตมือปาณัท แต่ภาพที่กรรัมภาเห็นไม่มีอะไรผิดปกติ มีแต่ภาพความทรงจำดีๆ ระหว่างปาณัทและใบหม่อนในโรงละคร
“นี่เจ้าของโรงละครเหรอพี่” ก๊องกระซิบถามกรรัมภา
“อืม”
กรรัมภามองเนตรศิตางศุ์ กรรณา แล้วส่ายหน้าว่าไม่ใช่คนนี้ ก๊องรีบแยกไปยืนเดี่ยวเก๊กหน้าขรึม ทอดสายตาออกไปด้านนอก
“แผ่นฟ้าเบื้องบน...กว้างไกล สุดสายตา... เมฆขาวบนฟ้า...”
ก๊องร้องเพลง ปาณัทยิ้มขำก๊อง
“ผมขอตัวก่อนนะ ชมละครให้สนุกนะครับ” ปาณัทเดินออกไป
“อ้าว...คุณ ผมยังร้องเพลงละครมิวสิเคิ่ลไม่จบเลย”
กรรณาบิดหูก๊อง
“ไอ้บ้าก๊อง แกทำบ้าอะไร พวกฉันอายนะโว้ย”
“ผมจะแสดงศักยภาพให้เขาเห็นไง เผื่อเขาจะเอาผมไปเล่นละครบ้าง เป็นดารา เป็นนักแสดงดีจะตาย ทำงานสบาย เงินก็ดี เดินไปไหนก็มีแต่คนกรี๊ด”
“ไม่จริ๊ง” ใบหม่อนบอกเสียงดัง กรรณารีบปิดหู ทนฟังเสียงหวีดไม่ไหว เนตรศิตางศุ์หันไปเจอใบหม่อนยืนอยู่ก็สะดุ้ง “บอกไปสิว่าฉัน...ใบหม่อนนางเอกชื่อดัง ดาวเด่นของที่นี่ตายยังไง พวกมันอิจฉาฉัน มันถึงฆ่าฉัน ฮือๆๆ”
ใบหม่อนร้องไห้
“ช่วยพูดช้าๆ ทีละคำนะคะ เป็นประโยคยาวๆ ฉันจับความไม่ได้”
กรรณาบอก กรรัมภามองรอบๆ กระซิบถามเนตรศิตางศุ์กับกรรณา
“มาแล้วสิ”
เนตรศิตางศุ์พยักหน้า กรรัมภาจับตัวเนตรศิตางศุ์จึงเห็นใบหม่อน
“เธอหายไปไหนมา” ใบหม่อนโวยวาย
“เขาถามว่าแกหายไปไหน”
กรรณาบอกเนตรศิตางศุ์ ก๊องเห็นท่าทางสามสาวก็กลัว กระเด้งไปยืนหลบหลังสาวๆ
“เนตรถูกขู่ค่ะ” เนตรศิตางศุ์หยิบซองจดหมายในกระเป๋าออกมา “คุณใบหม่อนรู้ไหมคะว่าใครเป็นเจ้าของจดหมายฉบับนี้” ใบหม่อนมองจดหมาย...นิ่วหน้าคิด สามสาวลุ้น แต่ใบหม่อนส่ายหน้า “คุณลองคิดให้ดีๆ นะคะ เพราะถ้าเราตามหาเจ้าของจดหมายนี้เจอ เราก็จะรู้ว่าใครเป็นคนฆ่าคุณ”
“ฉันไม่รู้ ใบหม่อนตายแล้วๆๆ เขียนเข้าไปได้ยังไง หยาบคายที่สุด”
“งั้นคุณสงสัยใคร หรือคิดว่าใครที่ไม่น่าไว้ใจบ้างคะ”
พลันใบหม่อนหันขวับไปด้านหนึ่ง เสียงหวีดดังแรงขึ้น กรรณาปิดหู
“คุณใบหม่อนโกรธอะไรวะ”
“หูจะแตกอยู่แล้ว”
ใบหม่อนลอยออกไป เนตรศิตางศุ์กับกรรัมภาตาม กรรณากับก๊องตามไป
“ตายล่ะ หยุดก่อนคุณใบหม่อน ใจเย็นๆ ค่ะ”
มาริโอ้กับแองเจโล่กำลังนั่งป้อสาวๆ อยู่มุมหนึ่งของโรงละคร
“พี่สองคนเนี่ยซี้ปึ้กกับคุณปาณัทเลย ใครมาออดิชั่น คุณปาณัทจะต้องมาให้พวกพี่ฟันทุกคน”
สาวๆ ทำท่าสะดุ้ง
“ฟันธงครับ ฟันธง”
“งั้นพี่ช่วยพวกหนูได้ไหมคะ” สาวส่งตาหวาน
“ได้สิจ๊ะ งั้นวันหลังเรานัดทานไอติมกันดีกว่า พวกพี่จะได้ติวแอ็คติ้งให้”
เนตรศิตางศุ์ กรรัมภา กรรณา ก๊องวิ่งเข้ามายืนมองสองแฝดกำลังเม็มเบอร์สาวๆ ใบหม่อนโผล่ไปยืนกลางโต๊ะ แต่ไม่มีใครเห็น ใบหม่อนก้มมองสองแฝดอย่างโกรธๆ
“ไอ้พวกเลว อย่าให้นังพวกนี้เข้าใกล้คุณปาณัทของฉัน”
“หรือสองคนนี้จะเป็นคนร้าย” กรรณาบอก
“ไม่น่าเป็นไปได้ พี่ๆ เค้าไม่ใช่คนใจร้ายนะ แค่ขี้หลีนิดหน่อย”
“อย่างนี้ไม่นิดหน่อยแล้วพี่เนตร เข้าข่ายล่อลวงนะ”
“งั้นต้องดูให้แน่ใจ”
หญิงสาวเดินออกไป แองเจโล่ มาริโอ้โบกมือให้...ส่งจูบๆ
กรรัมภาเดินเข้าไปหามาริโอ้กับแองเจโล่ เนตรศิตางศุ์ กรรณา ก๊องตกใจว่ากรรัมภาทำอะไร จึงรีบตาม
แองเจโล่กับมาริโอ้เห็นกรรัมภาก็ตาลุกวาว รีบลุกไปหา
“สวัสดีครับ พี่สองคนเป็นนักแสดงของที่นี่ เล่นเป็นพระเอกด้วย น้องมาทำอะไรแถวนี้ครับ อ้าว...น้องเนตร”
“พี่ๆ คะ นี่แก้ม กรรณ ก๊อง เพื่อนเนตรค่ะ”
ทุกคนไหว้สองแฝด
“เอ๊...เมื่อตะกี้พี่ๆ บอกว่าพี่เป็นพระเอกด้วยเหรอคะ”
สองแฝดมองเนตรแล้วอึกอัก
“เอ่อ...พี่หมายถึงเรื่องหน้าน่ะจ้ะ เห็นคุณปาณัทบอกว่าจะทำเรื่องอิน-จัน”
“อิน-จันแฝดสยาม...โอ...ใช่เลยค่ะ ในอนาคตพี่ๆ จะดังมาก”
“แหม...คุณน้องพูดอย่างกับเป็นหมอดูงั้นแหละ”
“พี่ๆ สนใจอยากให้แก้มดูให้ไหมคะ แต่ต้องมีการถูกเนื้อต้องตัวกัน...จับมือกัน...นิดนึง”
“ว้าว...งั้นจับเลยครับ...เอ๊ย ดูให้พี่เลยครับ”
สองแฝดแบมือ กรรัมภาจับดู ตั้งจิตเพ่ง เนตรศิตางศุ์ กรรณา ก๊องมองๆ กัน มีเลศนัยไปมา
เย็นวันเดียวกันนั้นหมอวรวรรธขับฮาร์เลย์มาจอดหน้าบริษัทซิกส์เซ้นส์ หมอวรวรรธมองเข้าไปในบริษัทไม่เห็นใครจึงลงมายืนหน้าประตู แต่ยังไม่ทันกดออด บานประตูไม้ก็เปิดดังแอ๊ดทั้งที่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น
หมอวรวรรธคิ้วขมวด แต่ก็ตัดสินใจก้าวเข้าไปบริษัท ทันใดประตูไม้ก็ปิดทันทีและใส่กลอนเองดังคลิก
“สวัสดีครับ ผมมาหาคุณเนตรครับ มีใครอยู่ไหมครับ...เอ...เมื่อเช้าก็ยังอยู่กันเต็มเลยนี่นา”
ไม่มีเสียงตอบ หมอวรวรรธตัดสินใจเดินต่อไป หยุดยืนใกล้ประตูตัวบ้านได้ยินเสียงดังตุบๆ เหมือนมีคนกระโดดไปมาอยู่รอบตัว
“มีใครอยู่มั้ยครับ”
กุมาริกาโผล่มาด้านหลังหมอวรวรรธ กุมาริกาตัวยืดสูงกว่า 2 เมตร หมอวรวรรธรู้สึกตัว ลมเย็นๆ วาบด้านหลัง จึงหันหลัง ก่อนจะเห็นกุมาริกา กุมาริกาก็ตัวหดเล็กลงมาเหลือเท่าเดิม
“คนน่ะไม่มีจ้ะ มีแต่กุมาริกาเท่านั้น” กุมาริกาลอยหน้าลอยตาบอก แล้วหัวร่อเมื่อเห็นหมอวรวรรธชะงัก “พี่เนตรออกไปธุระค่ะ”
ท่านเจ้าที่กับหลวงพิชัยภักดีโผล่ออกมาเดินผ่านหมอวรวรรธไปทางโต๊ะนั่งเล่นใต้ต้นไม้ใหญ่
“คุณหมอมาจีบเนตรเหรอ”
หมอวรวรรธไม่ตอบ แต่สาวเท้าตามไปที่โต๊ะนั่งเล่น ซึ่งพบว่ากุมาริกามานั่งอยู่บนโต๊ะแล้ว
“เฮ้ย...ทำไมหนู...”
“ชอบเล่นๆ หรือชอบจริงๆ ล่ะ”
“ทำไมผมมาที่นี่บ่อยๆไม่เคยเห็นพวกคุณเลยล่ะครับ แล้วแต่งชุด...”
หมอวรวรรธงงกับชุดที่ทั้ง 3 ใส่
“คุณหมอมีแฟนรึยัง”
“ยังครับ”
“มีลูก เมีย กิ๊ก หรืออีหนูซ่อนบ้างไหม”
“ห๊า...ไม่มีครับ”
“แล้วเคยติดยา หรือมีโรคติดต่อร้ายแรงไหม”
“ไม่เคยติดยา ไม่มีโรคติดต่อ เออ...คุณเนตรไปไหนล่ะครับ”
กุมาริกาโดดลงมาจากโต๊ะแล้วถาม
“ระหว่างสาวสวยเซ็กซี่กับสาวน่ารักไร้เดียงสา คุณหมอชอบแบบไหน”
ท่านเจ้าที่กับหลวงพิชัยภักดีแว๊บกลายเป็นสาวสวยเซ็กซี่กับสาวน่ารัก หมอวรวรรธเงยหน้ามองแล้วตาโต
“อ้าว...”
“ว่าไง...พ่อหนุ่ม...”
หมอวรวรรธหันตามเสียงพบหลวงพิชัยภักดีมาอยู่หลังตัวเองกับกุมาริกาแล้ว
“โอย...” หมอวรวรรธเริ่มกลัว “ชอบสาวน่ารักครับ...” หมอวรวรรธหันกลับไปไม่เจอสองสาวแล้ว ท่านเจ้าที่นั่งอยู่บนต้นไม้
“เอาละ คำถามสุดท้าย...คุณหมอเชื่อเรื่องผีมั้ย...”
หลวงพิชัยภักดีและกุมาริกาที่อยู่หลังหมอวรวรรธแปลงกายเป็นผี แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกใส่โดยที่หมอวรวรรธไม่เห็น...
“ชะชะ...เชื่อครับ”
ท่านเจ้าที่โดดลงมายืนอย่างนิ่มนวล
“หมดคำถามแล้ว”
“ยินดีด้วย...คุณผ่านการสัมภาษณ์ของพวกเรา”
“พวกเราอนุญาตให้คุณจีบยัยเนตรต่อไปได้”
“แล้วคุณเนตรไปไหนล่ะครับ”
“พัทยา”
“ห๊า...ไปพัทยาอีกแล้ว...”
หมอวรวรรธเป็นห่วงเนตรศิตางศุ์ กลัวจะตกอยู่ในอันตราย
หมอวรวรรธสตาร์ทมอเตอร์ไซค์แล้วรีบบึ่งออกไปอย่างเร็ว
“พ่อหนุ่มนี่ใจหนักแน่นดีนะ ที่เจอพวกเราแล้วไม่วิ่งเผ่นแนบกลับไป”
“ใช่ค่ะ...คุณหลวง”
ทันใดร่างของหลวงพิชัยภักดีและกุมาริกาเริ่มจางลง จางลง
“เป็นอะไรน่ะ” ท่านเจ้าที่ถามอย่างแปลกใจ
“ชั้นยังไม่อยากกลับ...ขออีกแป๊บ”
หลวงพิชัยภักดีบอกแต่หลังจากนั้นร่างทั้งสองก็หายแว๊บไปกับสายลม
“โธ่เอ๊ย...นานๆ จะมีเพื่อนที ยังไม่หายสนุกเลย”
ท่านเจ้าที่บ่นอย่างอารมณ์เสีย
หลวงพิชัยภักดีและกุมาริกามาโผล่ที่รีสอร์ทติณห์ ฝุ่นกระจาย ใบไม้ปลิว ญาณินยืนถือธูป 1 ดอกยกมือพนมไหว้อยู่
“เธอเอง...ฉันยังอยากอยู่บางกอกต่อ เรียกฉันกลับมาทำไม”
“คุณหลวงรู้ไหมเกิดอะไรขึ้นที่นี่บ้าง มัวแต่จะเที่ยวอยู่ได้”
“เกิดอะไรขึ้น หลานชั้นเป็นไง”
“อารมณ์เปลี่ยนเร็วจัง...คุณหลวง”
“เดี๋ยวก็รู้เองแหละคุณหลวง ขี้เกียจเล่า”
ขณะนั้นเพ็ญนภาเดินตามติณห์อยู่ในบ้าน
“ติณห์ขา ติณห์อย่าโกรธเพนนีสิคะ ไปดินเนอร์กันในเมืองดีกว่านะคะ เราไม่ได้ทานอาหารอิตาเลี่ยนกันนานแล้ว”
“เพนนี...ผมไม่ได้โกรธอะไรคุณ แต่วันนี้ผมยุ่งมาก ผมไม่มีอารมณ์ออกไปไหนทั้งนั้น”
“นั่นไง คุณโกรธเพนนีจริงๆ ด้วย”
เพ็ญนภาทำท่าเวียนหัว ติณห์เข้าประคอง ญาณินจะเข้ามาถามติณห์โดยมีป้าอรวรรณมาด้วยแต่พอเดินเข้ามาก็เจอติณห์ประคองเพ็ญนภาอยู่ จึงรู้สึกไม่พอใจทันที
“คุณพร้อมหรือยังคะ” ญาณินถามเสียงแข็ง)
“ไหนติณห์บอกว่าจะไม่ออกไปไหนแล้วไงล่ะคะ โอย...โลกหมุนค่ะติณห์”
“ผมไม่ได้จะออกไปข้างนอก...คุณญาณิน ทนายสมชาติ ผู้รับเหมา หัวหน้าคนงาน นัดประชุมสรุปรายการสิ่งของที่พี่ชายคุณทำเสียหาย...รวมทั้งคนที่โดนทำร้าย...จะขอค่าทำขวัญ...จะได้ส่งรายการค่าเสียหายให้พ่อคุณพรุ่งนี้เลยไง”
กุมาริกา หลวงพิชัยภักดี ยืนฟังอยู่ใกล้ๆ
“เป็นอย่างนี้นี่เอง”
ติณห์กับญาณินเดินไป
“เดี๋ยวระหว่างประชุม ป้าจะเอาพวกสลัดอร่อยๆ ไปเสิร์ฟนะคะ จะได้ไม่หนักเกินไป” ป้าอรวรรณบอกติณห์
“แต๊งกิ้วครับ”
เพ็ญนภาวิ่งตาม
“ติณห์ เพนนีประชุมด้วย”
“ไปไม่ได้นะคะคุณ แล้วลืมอาการเวียนหัวแล้วเหรอคะ” ป้าอรวรรณถาม
“ยุ่งน่ะ” เพ็ญนภาไม่สนป้าอรวรรธรีบตามติณห์ไป
“เธอไม่ควรมารู้ความลับบริษัทนะ ยัยปากแดง” หลวงพิชัยภักดีบอก
“จงหยุด”
กุมาริกาขัดขา
“อูปส์” เพ็ญนภาสะดุด เกือบล้ม “อะไรกันเนี่ย” เพ็ญนภามองหารอบๆ ไม่เห็นอะไร “บ้าไปแล้ว ยังกับสะดุดอะไรแน่ะ” เพ็ญนภาก้าวต่อ หลวงพิชัยภักดีเอาไม้เท้ามาแหย่บ้าง เพ็ญนภาสะดุดอีก “ว้าย”
เพ็ญนภามองหา ไม่เจออะไรอีกจึงเดินต่อ กุมาริกาเอาขาขัดอีก เพ็ญนภาแทบหัวทิ่ม พอก้าวอีก หลวงพิชัยภักดีก็ใช้ไม้เท้าขัด ให้สะดุดอีก เพ็ญนภาเหมือนสะดุดนั่นนี่ไปตลอดทาง
“เป็นอะไรคะ คุณ...เข่าเสื่อมเหรอ ยังสาวยังแส้” ป้าอรวรรณถาม เพ็ญนภามองหาพวกติณห์เดินทิ้งห่างไปมากแล้ว “ไม่สบายไม่ใช่เหรอคะ ฉันให้คนงานไปส่งที่บ้านไหม”
เพ็ญนภางงตัวเอง หน้าเสีย
เพ็ญนภากลับมาที่รีสอร์ทตัวเอง จากนั้นก็เอาหมอนฟาดๆ เปรม
“เพราะพี่เปรมคนเดียวๆๆๆ”
“เฮ้ย! ที่ไอ้เปรมมันไปทำทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เพื่อรักษาศักดิ์ศรีให้น้องสาวสุดที่รักคนนี้นะ”
“ก็พี่เปรมทำให้ติณห์เขาโกรธเพนนีไปด้วย แล้วเค้าอาจโกรธเตี่ย...โกรธครอบครัวเราทั้งหมด แล้วสิ่งที่เราพยายามทำกันมาตั้งนาน อาจจะล้มเหลวหมด เพราะคนไม่มีสมองอย่างพี่”
“ยัยเพนนี แกดูถูกไอ้เปรมมันเหรอ โธ่ ไอ้เปรมมันเจ็บปวด ไอ้เปรมมันเซนซิทิฟ...ไอ้เปรมมันเสียใจ! ไอ้เปรมมันไม่มีสมอง แต่มันมีหัวใจ แต่ไม่มีใครเห็น”
“ชั้นก็มีหัวใจเหมือนกัน แต่หัวใจชั้น...มันกำลังจะแหลกสลาย เพราะนังบิชชี่แพศยา”
“นังแพศยา...ที่แสนสวย...หยิ่ง ทระนง ลึบลับ ไม่ก้มหัวให้กับผู้ชาย...สุดยอด...ถ้าได้เป็นเมีย ไอ้เปรมมันจะไม่มีวันลืมพระคุณ”
เพ็ญนภาหัวเราะใส่หน้าพี่ชาย
“ขี้โม้...คนอย่างพี่เปรม ไม่มีผู้หญิงที่ไหนจะยอมหรอก...ชาตินี้ อย่าหวังว่าจะแอ้มคนสวยๆ”
เพ็ญนภาแกล้งพูดสบประมาท
“อ๋ายยยย...อย่ามาดูหมิ่นคนอย่างไอ้เปรมมันนะ ไอ้เปรมมันอยากได้อะไร มันต้องได้”
เปรมอึดฮัด ฟึดฟัด ทำหน้าเจตนามาดหมาย เพ็ญนภาแอบยิ้มร้าย
ที่อยุธยาเคธี่ใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปตัวเองกับสุคนธรส เคธี่ร่าเริงมาก แต่สุคนธรสยืนแข็งทื่อ ส่วนไตรรัตน์มีสีหน้าอึดอัด ไม่รู้ว่าเคธี่มาทำไม
“ไม่ได้ถ่ายรูปติดบัตรนะคะคุณรส ขอท่าโพสต์เก๋ๆ หน่อยค่ะ อย่าให้เสียชื่อว่าที่เจ้าสาวของธไรย์สิคะ ทำแบบนี้ค่ะ” เคธี่ชูสองนิ้วแนบแก้ม ทำแก้มป่องๆ ตาโตๆ แอ๊บแบ๋วมาก สุคนธรลังเล “ทำสิคะคุณรส”
สุคนธรสจำใจชูสองนิ้ว ทำแก้มป่อง ตาโตตามเคธี่ ไตรรัตน์ยืนอึ้ง เคธี่ถ่ายรูปเสร็จก็กดหน้าจอโทรศัพท์โพสต์ลงเฟชบุ๊ค สุคนธรสหันไปทำตาเขียวใส่ไตรรัตน์
“เคธี่ คุณมาที่นี่ได้ยังไง”
เคธี่ไม่สนใจที่ไตรรัตน์พูด หัวเราะคิกคัก
“เพื่อนเคที่กดไลน์รูปเราเพียบเลย อุ๊ย! มีคอมเม้นด้วย คุณรสอ่านสิคะ”
เคธี่ส่งโทรศัพท์ให้สุคนธรส สุคนธรสรับไปอ่านด้วยความจำใจ
“ว่าที่เจ้าสาวธไรย์ฮาจัง” “ไม่น่าเชื่อว่ารสนิยม ธไรย์จะเปลี่ยนไป”
“อุ๊ย” เคธี่รีบเอาโทรศัพท์คืนกลับมา แสร้งทำสีหน้ากระอักกระอ่วน
“อย่าถือสาเพื่อนเคธี่เลยนะคะ พวกนี้ก็ชอบเม้นอะไรไปเรื่อย”
ไตรรัตน์ยืนจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่คิดว่าจะเจอเคธี่ที่นี่ สุคนธรสมองๆ ทั้งคู่ ขณะนั้นมีกบอยู่ใกล้ๆ เท้าไตรรัตน์
“ธไรย์ กบ” เคธี่ชี้บอก
“เฮ้ย” ไตรรัตน์ผละออกจากสุคนธรสทันที เคธี่หัวเราะ
“ธไรย์ยังกลัวกบอยู่อีกเหรอคะ”
“รอให้มันเปลี่ยนหน้าตาเมื่อไหร่ ผมก็จะเลิกกลัวเมื่อนั้น บรึ๋ย...มาได้ไง”
“สงสัยหลุดมาจากบ่อหลังบ้าน” สุคนธรสบอก
“บ้านคุณเลี้ยงกบ” ไตรรัตน์ถามเสียงหลง
“ทำไม ไม่รู้จักเศรษฐกิจพอเพียงหรือไง เมื่อตะกี้ที่แม่ฉันมาเก็บผักก็จะเอาไปทำอาหารเลี้ยงคุณเคธี่กับนาย เห็นไหม...อยากกินอะไรก็ได้กิน ไม่ต้องเข้าซูเปอร์มาเก็ตให้เสียเงิน”
เคธี่นึกอะไรได้
“ขนาดเถียงกันยังน่ารักเลย เคธี่ไม่ไหวแล้ว ขอตัวเข้าห้องน้ำเอาน้ำดับไฟที่ตาก่อนนะคะ”
“รสพาไปค่ะ”
“ไม่ต้องค่ะ เคธี่ไปเองได้ คุณรส Take care ธไรย์เถอะค่ะ”
เคธี่เดินออกไป
“นี่แฟนเก่านายใช่ไหม” สุคนธรสถาม ไตรรัตน์ไม่ตอบ แต่หน้าจ๋อยๆ เหี่ยวๆ “ทำหน้าอย่างนี้ถูกทิ้งแหงๆ แต่ดีแล้วล่ะ คนน่ารักๆ อย่างคุณเคธี่ไม่คู่ควรกับนายเลยสักนิด”
“ไม่ต้องยุ่งสักเรื่องได้ไหม” ไตรรัตน์เดินออกไปอย่างฉุนๆ
“เฮ้ย! ด่าฉันว่าสอใส่เกือกเรอะ เดี๋ยวแม่ยัดกบใส่ปากซะเลยนี่”
สุคนธรสเดินตามไปด่า
ขณะนั้นสมศรีกำลังโขลกพริกแกงอยู่ในครัว เคธี่เดินเข้ามา
“หอมจังเลยคะคุณแม่ อาหารไทยนี่ดังมากที่ USA นะคะคุณแม่”
“ก็แน่นอนอยู่แล้ว คนไทยโบราณเขาใส่ศิลปะลงไปในอาหารด้วยนะ ถึงน่ากินน่าดูขนาดนี้”
“ค่ะ...แล้ววันนี้ทำอะไรให้พวกเราทานบ้างละคะ”
“มีต้มโคล้งปลากรอบ น้ำพริกผักสด ผัดผัก ไข่เจียวค่ะ คุณทานได้ไหมคะ”
“ได้คะ เคธี่ไม่เรื่องมากอยู่แล้ว แต่ธไรย์สิคะ เห็นบ่นๆ อยู่ว่าอยากกินของโปรด”
“ของโปรด? อะไรเหรอจ๊ะ”
เคธี่ยิ้มอย่างมีแผน
ค่ำวันเดียวกันนั้นระหว่างทานอาหารเย็นไตรรัตน์ตักผัดกระเพรากินอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่รู้ว่าผัดกระเพราอะไร ไตรรัตน์กินจนเหงื่อแตกพลั่กๆ
“หนูเคธี่จะพักกับเราที่นี่ไหมล่ะ” สมศักดิ์ถาม
“ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ เคธี่จองโรงแรมที่นี่เอาไว้แล้วค่ะ ขอบคุณมากค่ะคุณพ่อ” เคธี่ยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม
“ไหว้สวยจริงๆ ไม่เหมือนคนโตต่างประเทศเลยนะ” สมศรีเอ่ยชม
“ยัยรสซะอีก ไหวกระโดกกระเดก มือแข็งเป็นลานปูนเลย”
สุคนธรสสำลักข้าวเล็กๆ
“อ้าวพ่อ...ใครสั่งสอนฉันมาล่ะ”
“มันสวนพ่อตัวเอง...ดูสิ...”
“ใครสอนวิธีการไหว้ การพูดไทยให้หนูล่ะคะ เคธี่”
“ธไรย์สอนหนูทุกอย่างเลยค่ะ ตอนเขาเรียนกับหนูที่ USA น่ะค่ะ”
ไตรรัตน์สำลักข้าวพรวดออกมา แล้วรีบตบหน้าอกตัวเอง หายใจไม่ออก สุคนธรสมองไตรรัตน์ แล้วแอบมองหุ่นเคธี่เปรียบเทียบกับตน ต่างกันหลายขุม
“ค่อยๆ กินไอ้หนุ่ม อาหารมีอีกเยอะ แม่ศรีเข้าแม่ศรีเรือนด้านทำอาหารอยู่แล้ว”
“เออ...วันหลังลองกินแบบทอดกระเทียมพริกไทยดูนะ ตอนเด็กๆ ยัยรสชอบกินมาก กินทีเป็นสิบๆ ตัว ถึงขนาดเอาไปฝันว่าโดนวิญญาณกบไล่ฆ่า”
แก้วน้ำที่กำลังจะเข้าปากไตรรัตน์ชะงักกึก
“วิญญาณอะไรนะครับ”
“กบอ๊บๆ”
แก้วในมือไตรรัตน์ร่วงลงพื้น
ไตรรัตน์รีบออกมาอาเจียนโดยมีเคธี่ลูบหลังให้
“คุณรสรู้ว่าธไรย์เกลียดกบ ทำไมถึงยังให้คุณแม่ทำผัดกบให้ธไรย์ทานอีก ดีนะคะที่ไม่แพ้”
“ฮึ่ย...ยัยตัวแสบ”
สุคนธรสเข้ามา
“พ่อแม่ให้มาดูว่านายเป็นอะไร”
“คุณน้าให้มาดูหรือคุณจะมาดูผลงานตัวเองกันแน่ เป็นไง...เอากบยัดปากผมได้แล้ว สะใจคุณแล้วใช่ไหมล่ะ”
“นี่นายหาว่าฉันแกล้งเอากบให้นายกินเหรอ”
ไตรรัตน์ก้าวเข้าไปใกล้สุคนธรส พูดให้ได้ยินแค่สองคน
“ผมจะบอกให้นะ คิดจะแก้แค้นผมเรื่องนั้นยังไงก็ไม่สำเร็จหรอก ต่อให้ผมกินกบเป็นสิบๆ ตัวแลกกับ” ไตรรัตน์ทำหน้าหมั่นเขี้ยวและตาเจ้าเล่ห์ใส่สุคนธรส “ได้ชิมของแบนๆ ยังไงมันก็คุ้ม”
“ไอ้โรคจิต” สุคนธรสเดินปึงปังออกไป ไตรรัตน์มองตามอย่างสะใจแต่ก็ยังขนลุกที่เพิ่งกินกบ สุคนธรสถือกะละมังใบใหญ่กลับมา “สิบตัวมันไม่คุ้ม ฉันจัดให้ร้อยตัวเลย”
สุคนธรสเอากบเป็นๆ นับร้อยตัวในกะละมังโยนใส่ไตรรัตน์ ไตรรัตน์เบิกตาโพลง
“อ๊ากกก” ไตรรัตน์หงายหลังผึง
“ธไรย์”
สุคนธรสออกไป ไตรรัตน์นอนแผ่บนพื้นชักกระแด่วๆ บนตัวเต็มไปด้วยกบ เคธี่แอบยิ้มเยาะที่แผนสำเร็จ
อ่านต่อหน้า 2
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 9 (ต่อ)
ส่วนที่โรงละครเนตรศิตางศุ์ กรรัมภา กรรณากำลังคุยกัน ขณะที่ก๊องส่องกระจก หวีผม เช็คความหล่อ
“มือของพี่สองแฝดขาวไป มือที่ฉันเห็นในนิมิต มันดำคล้ำเลยนะ เพราะฉะนั้นประเด็นใครเป็นคนเขียนจดหมายขู่ยัยเนตร ตัดพี่สองแฝดน้ำเดือดทิ้งได้เลย”
“มือคุณปาณัทล่ะ”
“ก็ยังไม่ใช่”
“หรือไอ้เจ้าของมือมันกินกลูต้า ผิวก็เลยขาวขึ้น” ก๊องออกความเห็น
“ถ้าขาวเร็วขนาดนั้น ก็ใกล้ตายแล้วแหละ”
ลูกข่างเดินเร็วๆ เข้ามาแล้วเห็นเนตรศิตางศุ์
“ว้าย...หนูเนตร ไอมิสยู เดี๋ยวหนูไปเตรียมชุดให้นักแสดง แสดงเสร็จก็เก็บให้เจ๊ด้วยนะ เจ๊สั่งนังตุ้มไว้แล้วแหละ แต่หนูไปช่วยมันอีกแรงแล้วกัน หม่อมแม่ของเจ๊ลื่นล้มในห้องน้ำ เจ๊ต้องกลับบ้านด่วน”
“ค่ะ”
ลูกข่างกำลังจะออกไป แต่หันไปเห็นก๊องก็ชะงัก...กระพริบตาปิ๊ง
“ใครอะ”
“ก๊อง น้องของกรรณ เพื่อนเนตรเองค่ะ”
“ว้าว...หน้าตาอย่างเงี่ย ขอกดไลน์ร้อยทีได้ปะ” ก๊องทำหน้าสยอง
“กดตรงไหนครับ”
“อุ๊ย พูดจา ท้าทาย ชี้โพรงให้กระรอกมากๆ” ลูกข่างจับแก้มก๊องหยิกแบบเด็กๆ “แก้มแดงซะด้วยสิ”
“เอ่อ...ใครโพรง ใครกระรอกครับ”
“ไอ้ก๊อง แกจะต่อปากต่อคำให้เข้าตัวไปมากกว่านี้ทำไม” กรรณาดุก๊อง
กรรัมภาเห็นมือลูกข่างชัดๆ ซึ่งลักษณะเหมือนมือที่กรรัมภาเห็นตอนจับจดหมาย กรรัมภาถึงกับอึ้ง
“พี่ให้น้องเป็นกระรอกก็ได้...คริๆๆ น้องเนตร ฝากดูทุกอย่างให้เรียบร้อยนะ”
ลูกข่างส่งจูบให้ก๊องแล้วเดินออกไป ก๊องยิ้มแหยๆ
“แก...มือ...พี่ลูกข่าง”
“ฮะ”
สามสาวมองหน้ากัน แล้วได้ไอเดีย หันมารุมมองก๊อง
“อะไร พี่ๆ...มามองผมแบบนี้เพื่อ”
กรรณาหรี่ตา มือคว้าบ่าก๊องหมับ กรรัมภาคว้าบ่าก๊องอีกข้าง
“ก๊อง...คือเดือน...ในหมู่ดาว...”
“อะไรนะ”
“รีบไปถ่วงพี่ลูกข่างไว้ก่อนเร็ว อย่าเพิ่งให้เขาไป”
“ห๊า”
ลูกข่างเดินเร็วๆ ลงบันไดแล้วเดินไปขึ้นรถ ก๊องวิ่งตามมา มัวแต่ยึกยัก หันไป หันมา ถอยไปถอยมา ไม่อยากรับหน้าที่นี้ แต่ไม่ทันลูกข่างขับรถออกไปแล้ว เนตรศิตางศุ์ กรรณา กรรัมภาตามมา ก๊องหันไปเห็นพวกสาวๆ แกล้งทำท่าเรียกลูกข่าง
“พี่! เดี๋ยวพี่”
“ไม่ทันจนได้ เพราะแกคนเดียวไอ้ก๊อง สร้างปัญหาให้พวกฉันตลอด”
กรรณาไล่เตะก๊อง ก๊องวิ่งหลบ
“แก้มแน่ใจเหรอว่าเป็นมือพี่ลูกข่าง”
“ดำขนาดนี้ ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง”
เนตรศิตางศุ์ไม่สบายใจ
เนตรศิตางศุ์ กรรัมภา กรรณา ก๊องเดินมาที่รถ
“กลับกันได้รึยัง ก๊องง่วงแล้ว”
ทันใดเสียงหวีดแหลมของใบหม่อนลอยเข้ามากรรณาปิดหู
“คุณใบหม่อนไม่อยากให้เรากลับกรุงเทพฯ”
ก๊องกระโดดหลับหลังกรรณา
“แต่ว่า...”
ไฟให้แสงสว่างด้านนอกโรงละครแตกเรียงกัน เพล้ง เพล้ง เพล้ง!
“ตกลงค่ะ ไม่กลับก็ไม่กลับ”
“จะนอนโรงแรมไหนก็ได้ ฉันไม่เรื่องมาก ขอสามดาวอัพก็พอ” กรรัมภาบอก
“ฉันไม่ได้รวยอย่างแกนะ กรุณาเห็นใจกันด้วย นอนห้องถูกห้องแพงมันก็มีหมอนมีผ้าห่มเหมือนกัน” กรรณาบอก
“แต่ความปลอดภัยมันต่างกัน เดี๋ยวถ้าไอ้คนที่มันเขียนจดหมายขู่เนตรมันสะกดรอยตามเราไป แล้วบุกเข้าไปหาเราถึงห้องล่ะ ไม่แย่กันหมดเหรอ”
“พี่แก้มลืมไปหรือเปล่าครับว่ามีผมอยู่ด้วย”
“ไม่ลืม แต่ไม่นับ เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้น ก๊องคงช่วยพวกพี่ไม่ได้”
“เจ็บ”
“เรื่องค่าที่พักไม่ต้องห่วงนะ เนตรออกให้เอง เนตรไม่อยากให้ใครต้องลำบากเพราะเนตร”
“ไม่ต้อง ถึงฉันจะจนแต่ก็มีศักดิ์ศรีเฟ้ย ถ้าเลือกไม่ได้ก็นอนในรถแล้วกัน”
“จะบ้าเรอะ”
หมอวรวรรธขับมอเตอร์ไซค์เข้ามา
“แหม...โทรหาคุณเนตรก็ไม่รับสาย ดีนะที่มาทันพอดี”
“หมอมีธุระอะไรเหรอคะ”
“ก็แวะมาดูเผื่อจะช่วยอะไรคุณได้บ้าง”
“ดีเลยค่ะหมอ พวกเรากำลังหาที่พักแบบมีสไตล์ สะอาด ปลอดภัย ราคาไม่แพง คุณหมอพอจะแนะนำได้ไหมคะ”
“มีครับ รับรองว่าได้ทุกอย่างที่พวกคุณต้องการ แถมไม่ต้องเสียเงินสักบาท”
“หมออย่าบอกนะคะ ว่าเป็น...”
หมอวรวรรธพาทุกคนมาบ้านป้าสุดใจ ป้าสุดใจเดินไปเดินมาพิจารณาเนตรศิตางศุ์ กรรัมภา กรรณา ก๊องที่นั่งหัวหดเรียงกัน กรรณากระซิบกับกรรัมภา
“นี่มันบ้านคนหรือห้องคุณครูฝ่ายปกครองวะ น่ากลัวฉิบโผง”
ป้าสุดใจหันขวับมองกรรณา ชักไม่เรียวจากหลังเหมือนชักดาบฟาดลงโต๊ะปัง ทุกคนสะดุ้ง
“สำเนียงส่อภาษา กริยาส่อสกุล คำว่า “วะ” กับคำว่า “ฉิบโผง” เป็นคำสบถที่ไม่ควรเอ่ยออกมา เพราะมันจะแสดงถึงชาติตระกูลของเธอ”
“หนูไม่ถือหรอกค่ะ ถึงไม่พูดดูภายนอกก็รู้แล้วว่าหนูจน”
“จน ไม่เกี่ยวกับความหยาบคาย คนจนที่เป็นผู้ดีมีถมไป คำว่าผู้ดี หมายถึง ผู้ที่ประพฤติดีทั้งกาย วาจา ใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลังไม่เกี่ยวกับฐานะทางการเงิน จำใส่สมองไว้”
“คุณป้าพูดถูก ทุกคน ท่องพร้อมกันซิ” หมอวรวรรธบอก
“อะไรนะ”
“ผู้ดี...คือ...เอ่อ...อ่า อะไรนะคะ หมอวรวรรธ” เนตรศิตางศุ์ถาม
“แค่นี้ก็จำไม่ได้ ทุกคน...พูดตามชั้น ผู้ดี คือผู้ประพฤติดีทั้งกาย วาจาใจ”
“ผู้ดี คือผู้ประพฤติดีทั้งกาย วาจาใจ” ทุกคนพูดตาม
“ทั้งต่อหน้า และลับหลัง”
“ทั้งต่อหน้า และลับหลัง”
“เป็นผู้ชาย ทำไมใส่ต่างหู” ป้าสุดใจหันไปถามก๊อง ก๊องถึงกับสะดุ้ง
“เอ่อ พอดี...ผมเป็นกระเทยครับ”
“กระเทย...ไม่เป็นไร เธอจงมั่นใจ อย่ามีปมด้อย จะเป็นเพศไหนไม่สำคัญ...สำคัญคือขอให้เป็นคนดีพอ”
“ครับ...ผมจะตั้งใจทำความดี ละเว้นความชั่วครับ”
“ดีมาก...อ่อ...อย่าลืมนะ ตาหนู ควบคุมเด็กๆ ให้ดี”
กรรัมภา กรรณา ก๊อง แอบๆ ขำที่ได้ยินป้าสุดใจเรียกหมอวรวรรธว่า “ตาหนู” หมอวรวรรธหน้าแดงอาย
“ผู้ชาย นอนข้างล่าง ผู้หญิง นอนข้างบน อย่าปะปนกัน อ้อ...แต่เธอ...ห้ามนอนเตียงเดียวกับหลานชายชั้นล่ะ...เดี๋ยวผีผลัก”
ทุกคนอึ้งๆ
หมอวรวรรธหอบหมอน ผ้าห่มส่งให้เนตรศิตางศุ์
“ถ้าไม่พอ บอกได้นะครับ”
“ค่ะ หมอคะ เนตรถามหน่อยเถอะค่ะ เนตรคงไม่ได้คิดไปเองว่าคุณป้าคุณไม่ค่อยสะดวกต้อนรับแขก แต่ทำไมคุณถึงต้องพาเนตรกับเพื่อนๆ มานอนค้างที่นี่ด้วยคะ”
“เพราะผมรู้จักคุณป้าผมดี ถึงภายนอกแกจะดูเฮี้ยบ แต่จริงๆ แล้วแกใจดี ชอบช่วยเหลือคนอื่นและที่สำคัญแกเหงา”
เนตรศิตางศุ์ยิ้มเข้าใจ
“ก่อนนอนอย่าลืมล็อคประตูให้ดีนะ ไม่จำเป็นอย่าออกมาตอนกลางคืน แล้วถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลโทรเรียกผมได้เลย”
“ขอบคุณค่ะ”
“ครับ...กู๊ดไนท์ครับ”
เนตรศิตางศุ์ยิ้มแล้วเดินเข้าไปในห้อง หมอวรวรรธยังยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าสุขใจ
คืนเดียวกันนั้นที่รีสอร์ทติณห์ ป้าอรวรรณกำลังปิดหน้าต่าง ล็อคประตู แต่ได้ยินเสียงก่อกแก่ก ป้าอรวรรณนิ่วหน้า
“ใครน่ะ” ไม่มีเสียงตอบ “ฉันถามว่าใคร ออกมาเดี๋ยวนี้นะ”
ป้าอรวรรออกไปดู หลวงพิชัยภักดีปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าป้าอรวรรณ แต่ป้าอรวรรณไม่เห็น
“อย่าออกมา...กลับเข้าไป...กลับเข้าป๊ายยย” หลวงพิชัยภักดีทั้งผลักทั้งดันป้าอรวรรณแต่มือก็ทะลุร่างป้าอรวรรณ “กลับเข้าไป...กลับเข้าไป”
ป้าอรวรรณออกไปนอกบ้านชะเง้อดูหาที่มาของเสียง แต่ไม่เห็นอะไร พอหันกลับไปป้าอรวรรณก็ตาโตตกใจ เห็นอะไรบางอย่าง หลวงพิชัยภักดีตกใจ
“ม่ายยยยย” หลวงพิชัยภักดีหายตัวไป
ขณะนั้นญาณินกำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับสุคนธรส
“โห...ไอ้หมอผีนั่นมันทำกับแกขนาดนั้นเลยเหรอรส แล้วนี่เล่าให้พวกนั้นฟังหรือยัง”
หลวงพิชัยภักดีปรากฏตัวขึ้น พยายามเรียกญาณิน
“หนูญาณินแย่แล้ว! รีบออกไปช่วยป้าออเร็ว ไม่เอาๆๆ ออกไปก็อันตราย รีบวิ่งไปหาไอ้ติณห์ก็ได้ ไปเร็ว”
แต่ญาณินไม่ได้ยิน เพราะมัวแต่เม้าท์
“เออ...ไม่เล่าดีแล้ว เดี๋ยวจะแตกตื่นพาแห่กันไปหาแกแน่ๆ แค่แกรับมือกับคุณไตวายของแกก็พอแล้วแหละ อะจ้า...ไม่ใช่ของแกก็ได้”
หลวงพิชัยภักดีวิ่งรอบตัวญาณิน
“หนูณินวางสายเดี๋ยวนี้! ทำไมคนสมัยนี้มันถึงมีเรื่องคุยกันเยอะนัก”
“แค่นี้ก่อนนะ”
ลูกบิดประตูหมุนแกร็ก ญาณินกับหลวงพิชัยภักดีหันขวับไปที่ประตู
“ตายล่ะหวา...”
“ป้าออเหรอคะ” ไม่มีเสียงตอบ “ป้าออ”
ญาณิณเดินไปที่หน้าประตู มือญาณินเปิดประตูหลวงพิชัยภักดีตะโกน
“ญาณินอย่า”
ญาณินหันหลังกลับไปมองหาหลวงพิชัยภักดี
“คุณหลวง”
แต่ไม่เห็นใคร ญาณินหันกลับไปที่ประตูเห็นเปรมกับลูกน้องยืนอยู่ตรงหน้า
“จ๊ะเอ๋เบบี๋”
ญาณินตกใจอ้าปากจะร้อง แต่ก็ถูกลูกน้องเปรมใช้ผ้าโปะยาสลบโปะหน้า ญาณินพยายามดิ้นและส่งเสียงร้อง เปรมหัวเราะชอบใจ
ดวงตาญาณินปรือเกือบจะสลบแล้วแต่ญาณินฝืนเอาไว้แล้วและดิ้นไม่หยุด
“ฤทธิ์เยอะๆ อย่างสิ ฉันชอบ”
“พวกแกอย่ามาแตะต้องว่าที่หลานสะใภ้ของช้าน”
หลวงพิชัยภักดีเบ่งกล้ามรวบรวมพลังที่มีกระโดดถีบลูกน้องเปรม
“อ๊าก”
ลูกน้องเปรมกระเด็นออกจากญาณินอัดไปติดข้างฝา หลวงพิชัยภักดีวิ่งเข้าไปกระชากผ้าในมือของลูกน้องเปรม เปรมกับลูกน้องเห็นว่าผ้าลอยออกไปนอกหน้าต่างก็งง
ญาณินไอสำลักอย่างแรง พยายามสูดลมหายใจ แต่ยืนไม่ค่อยอยู่ เพราะฤทธิ์ยาสลบ
“ทำไมโง่นักวะ จัดการ”
ลูกน้องอีกคนจะเข้าไปหาญาณิน หลวงพิชัยภักดีเบ่งกล้ามรวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายคว้าคอเสื้อของลูกน้องเปรมแล้วเหวี่ยงไปใส่ลูกน้องอีกคนล้มลงไปกับพื้น
“ไอ้พวกโง่ เดี๋ยวจะให้กินหญ้าแทนข้าว” หลวงพิชัยภักดีหอบแฮ่กๆ ร่างจางมาก พลังจะหมดแล้ว “ไอ้เปรมจัดการเองก็ได้”
เปรมปราดเข้าไปหาญาณิน ญาณินถีบเต็มแรง
“โอ๊ย”
เปรมเซชนโคมไฟโครมใหญ่ กองกับพื้น ญาณินวิ่งโซซัดโซเซออกไป
ญาณินวิ่งโซซัดโซเซ ตาปรือเพราะฤทธิ์ยาสลบ
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วยค่ะ”
หลวงพิชัยภักดีวิ่งตามมาด้วย ร่างหลวงพิชัยภักดีโปร่งใสมาก
“ใส่เกือกผีวิ่งเร็วเข้าหนูญาณิน เร็วๆๆ”
ญาณินสะดุดล้มลง พยายามประคองตัวลุกขึ้น แต่ลุกไม่ไหว
“หนูญาณินสู้ๆๆ เกิดเป็นหลานสะใภ้ของฉันต้องอดทน หนูณินทนได้ หนูณินสู้ๆๆ” ญาณินลุกขึ้นได้ “เย้”
ญาณินกำลังจะวิ่งไปแต่ถูกเปรมดึงแขน แล้วชกท้องอย่างแรง ญาณินจุก...สีหน้าเจ็บปวด แล้วค่อยๆ ทรุดตัวล้มลง
“หนูญาณิน” หลวงพิชัยภักดีพยายามจะผลัก จะเตะจะต่อยพวกเปรมแต่ไม่มีแรงเลย “โธ่วุ้ย...ทำไมมาหมดพลังเอาตอนนี้วะ...”
เปรมเชยคางญาณิน
“อยากได้ฉากเป็นกลางสวนก็ไม่บอกไอ้เปรมตั้งแต่แรก”
“อย่ามา...ยุ่ง...กับ...ฉัน” ญาณินบอกอย่างอ่อนแรง
“ยังกับม้าพยศเลย...ชอบๆ เฮ้ย...เตรียม”
ลูกน้องเตรียมโทรศัพท์ถ่ายคลิปวีดีโอ เปรมก้มลงล็อคแขนญาณินขึงกับพื้น
“อย่า...”
“อย่าช้าใช่ม้า...”
เปรมหัวเราะสะใจแล้วก้มลงไซร้ซอกคอญาณิน ญาณินดิ้นๆ และร้องไห้ อยู่ๆ มีคนมาขวางเลนส์กล้องโทรศัพท์เต็มจอ ลูกน้องที่กำลังถ่ายอยู่ฉุน
“เฮ้ย...อย่ามาขวางสิวะ กำลังถ่ายอยู่...”
คนนั้นยังไม่ออกจากเฟรม ลูกน้องเลยแพนกล้องขึ้นไปที่หน้าคนยืนขวาง กลายเป็นติณห์
“เฮ้ มันต้องแบบนี้สิวะไอ้หลานชาย” ติณห์ถีบลูกน้องเปรมเต็มพุงจนมันลอยกระแทกพื้น “อ๊าก” ติณห์พุ่งเข้าไปกระชากเปรมพลิกแล้วชกหน้าเปรม เปรี้ยง! เปรมกลิ้งตามแรงหมัด “สุดยอดเลยไอ้ติณห์...วุ้ปปี้...”
ลูกน้องอีกคนคว้าท่อนไม้เตรียมจะฟาดติณห์ที่กำลังสู้กับเปรม หลวงพิชัยภักดีกับญาณินเห็นก็ตกใจ
“คุณติณห์ระวัง”
แต่ติณห์ไม่ได้ยิน ลูกน้องเปรมเงื้อมือจะฟาดจังหวะนั้นกุมาริกาทำนิ้วเป็นจรวดจิ้มก้นลูกน้องเปรม
“นี่แน่”
ลูกน้องเปรมกระเด้งไปข้างหน้า ไม้หลุดมือ
“กุมาริกา”
หลวงพิชัยภักดีกับญาณินดีใจที่กุมาริกามาทันเวลา กุมาริกาคว้าไม้แต่ลูกน้องเปรมไม่เห็นกุมาริกาจึงเห็นไม้ลอยเอง
“กุมาริกามาแล้วจ้า”
กุมาริกาควงไม้แล้วฟาดลงไปที่ขาของลูกน้องเปรม ลูกน้องเปรมทรุดลงกับพื้น กุมาริกาฟาดที่หัวอีกทีลูกน้องเปรมถึงกับสลบเหมือด
“ฮาๆ เสร็จไปหนึ่ง เหลืออีกหนึ่ง”
กุมาริกาหายตัวไปโผล่บนคอของลูกน้องอีกคนของเปรมแล้วจิกผมไว้สองข้าง
“เฮ้ย! อะไรวะเนี่ย” ผมลูกน้องเปรมตั้งสองข้าง
“เล่นขี่ม้าส่งเมืองกันหน่อยนะจ๊ะพี่จ๋า”
กุมาริกาบังคับหัวของลูกน้องอีกคนให้วิ่งไปมา จนลูกน้องทนไม่ไหว วิ่งจ่ำอ้าวหนีไป
“ไปแล้วนะนาย...ไม่ไหวแล้ว...”
กุมาริกาหัวเราะชอบใจ แล้วหันไปทางติณห์
“ช่วยไอ้ติณห์เร็วกุมาริกา...”
ติณห์ยังชกกับเปรม ทั้งคู่แลกกันคนละหมัด ถูกมั่งไม่ถูกมั่ง ติณห์เสียท่าถูกเปรมเตะล้มลง เปรมกำลังจะเข้าไปซ้ำ แต่กุมาริกาดึงกางเกงเอาไว้
“อย่างนี้เขาเรียกว่า ไม่มีพ่อแม่สั่งสอน กุมาริกาจะสอนให้เอง”
กุมาริกาเหวี่ยงเปรมหมุนเป็นวงกลม ติณห์อึ้ง...สายตาติณห์เห็นกุมาริกาจับเปรมหมุนและหัวเราะชอบใจ ติณห์ขยี้ตามองไปอีกทีก็ไม่เห็นกุมาริกาแล้วกุมาริกาหยุดหมุนเปรม เปรมงงตาลาย โลกหมุมเคว้ง ติณห์ได้โอกาสลุกขึ้นไป สาวหมัดใส่เปรมเต็มกราม
“น็อค...ไม่น็อค...”
โครม เปรมล้มทั้งยืน กุมาริกา ตีระฆังดัง เกร็งๆๆ หลวงพิชัยภักดีมายืนข้างๆ ติณห์ ยกมือติณห์ขึ้นแบบผู้ชนะบนสังเวียน ติณห์งงที่แขนตัวเองยกเอง
“ติณห์ ศิษย์คุณหลวง ชนะเป็นเอกฉันท์”
ติณห์ลดแขนลง แล้วรีบวิ่งไปหาญาณิน ที่ได้สติกลับมา ติณห์ประคองหน้าญาณินอย่างห่วงใย
“มันทำอะไรคุณหรือเปล่า” ญาณินส่ายหน้า น้ำตาเปรอะแก้ม ติณห์ใช้ปลายนิ้วปาดน้ำตาให้ “ขอโทษนะ ผมดูแลคุณไม่ดีพอ”
“ไม่ใช่ความผิดสักหน่อย”
ทั้งสองมองตากันนิ่งราวกับถูกมนต์สะกด กุมาริกาปรากฏตัวข้างญาณิน
“พี่ญาณินหนูขอโทษนะ หนูหลับเพลินไปหน่อย” ติณห์ตะลึง “ว้าย หนูลืมซ่อนตัว เห็นหนูจนได้นะคุณติณห์”
“โอ้ว...มาย...ก๊อด”
ติณห์เป็นลม ล้มหงายหลังผึง
ภายในบ้านป้าสุดใจปิดไฟมืด หมอวรวรรธในชุดนอนล็อคประตูบ้านเช็คหน้าต่างว่าปิดแล้ว เสียงกรนดังขึ้นสนั่น หมอวรวรรธสะดุ้งหันขวับไปทางเสียง เห็นก๊องนอนแผ่อยู่บนพื้น กรนดังลั่น หมอวรวรรธถอนหายใจโล่งอก โทรศัพท์หมอวรวรรธสั่น หมอวรวรรธรับสาย
“ครับคุณเนตร”
เสียงเนตรศิตางศุ์ดังลอดออกมานอกโทรศัพท์
“ช่วยพวกเราด้วยค่ะ”
หมอวรวรรธตกใจเปิดลิ้นชักคว้าปืนลูกซองแล้ววิ่งขึ้นไป
หมอวรวรรธวิ่งถือปืนลูกซองเข้ามาถีบประตูอย่างแรง ประตูเปิด หมอวรวรรธเล็งปืนเข้าไปในห้อง
“ยกมือขึ้น” สามสาวยกมือพร้อมกันและร้องว้ายด้วยความตกใจ หมอวรวรรธมองหารอบห้อง “มันอยู่ไหนครับ”
“มันไหนคะ”
“ก็ไอ้คนที่จะทำร้ายคุณไง อยู่ที่ไหน”
“หมอเป็นไรเนี่ย ดูหนังบู๊มากไปปะ”
“อ้าว...ก็คุณเนตรโทรไปขอความช่วยเหลือ”
“ใช่ค่ะ เราอยากให้หมอช่วยต้มมาม่าให้หน่อยน่ะค่ะ พอดีพวกเราหิวแต่ไม่กล้าลงไปทำเอง เดี๋ยวโดนป้าสุดใจว่า”
ป้าสุดใจเข้ามา ถือไม้กวาดมาด้วย
“เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่มีอะไรหรอกครับป้า ผมละเมอเอง”
“ละเมอถือปืนเนี่ยนะ” ป้าสุดใจตีหมอวรวรรธเพี๊ยะ “จะบ้าไปแล้วเรอะ เอาปืนไปเก็บแล้วไปนอนเลย”
“โอ๊ย ป้าเจ็บนะ” หมอวรวรรธหันมาบอกเนตรศิตางศุ์ “เดี๋ยวทำมาม่ามาให้นะ ป้า...ผมเจ็บ”
หมอวรวรรธกับป้าสุดใจออกไป เนตรศิตางศุ์ปิดประตู
“สงสารหมอว่ะ ถูกตีเพราะพวกเราแท้ๆ”
“แต่ดูหมอเขาห๊วงหวงแกนะเนตร” กรรัมภาตาลอยคว้าง “เฮ้อ...ลงทุนควบฮาร์เล่ย์มาหา อะไรจะแมนขนาดนี้”
“ไม่เห็นจะแมนเลย มาทีไรเอาแต่ดุ สั่งให้ทำนู่นทำนี่ ผู้ชายแมนของแท้ต้องเป็นสุภาพบุรุษตัวจริงแบบพี่ณัฐต่างหาก คนบ้าแบบนี้เขาไม่เรียกแมนหรอก”
“โห...ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมา ฉันยังไม่เห็นคุณหนูเนตรว่าใครได้ยาวเท่านี้มาก่อน”
“นั่นดิ...ถ้าไม่ใช่เพราะเกลียดขี้หน้าเขามากก็ต้องเป็นเพราะรักมาก ฮ่าๆๆ”
เนตรศิตางศุ์อมยิ้ม รู้สึกดี
ทนายสมชาติเดินเร็วๆ มุ่งหน้าไปทางบ้านพักของญาณิน แล้วเห็นป้าอรวรรณนอนสลบอยู่ในพุ่มไม้
“คุณออ” ทนายสมชาติเข้าไปหา แตะตัวสะกิด “คุณออ...คุณออครับ”
ป้าอรวรรณรู้สึกตัว
“คุณสมชาติ” ป้าอรวรรณโผกอดทนายสมชาติ “ช่วยด้วยค่ะ พวกมันจะทำมิดีมิร้ายดิฉัน” ทนายสมชาติค้างเหมือนหุ่น...แก้มแดงปลั่ง ป้าอรวรรณผละออกแล้วเขย่าทนายสมชาติ “คุณชาติคะ”
ทนายสมชาติรู้สึกตัว
“ครับ...ครับ ใครทำร้ายคุณนะครับ”
“ใครก็ไม่รู้ค่ะ พวกมันโปะยาสลบออที่บ้าน...คุณหนู”
ป้าอรวรรณกอดญาณิน ขณัที่ติณห์นอนสลบอยู่บนโซฟา หลวงพิชัยภักดีกับกุมาริกานั่งใช้มือพัดให้ติณห์
“โถ...คุณหนูของป้า คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองแท้ๆ”
“ไม่ใช่พระไม่ใช่เจ้าที่ไหนหรอกค่ะ แต่เป็นคุณหลวง กุมาริกาแล้วก็... คุณติณห์ค่ะ”
“ในเหตุการณ์ร้ายก็มีเรื่องดีๆ เข้ามาแทรกอยู่นะ”
“จริงด้วยค่ะ”
“คุณญาณินกับคุณออไม่ต้องห่วงนะครับ ยังไงเรื่องนี้...คุณติณห์ก็จะต้องจัดการให้ถึงที่สุด คุณณิณกับคุณออเป็นเพศแม่เขาแท้ๆ รังแกกันอย่างนี้ได้ยังไง อย่างนี้มันต้องลากเข้าไปนอนในคุก”
“ใจเย็นๆ นะคะคุณสมชาติ เดี๋ยวความดันขึ้น”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่มีความดัน คอเลสตอลรอลสูงอย่างเดียว”
ติณห์ค่อยๆ ลืมตา
“เจ๊ คุณติณห์ฟื้นแล้ว”
ญาณิน ป้าอรวรรณ ทนายสมชาติเข้าไปหาติณห์
“คุณติณห์เป็นยังไงบ้างคะ”
“โกส ! I saw death people”
“อะไรคือโกด” ป้าอรวรรณถามอย่างแปลกใจ
“โกสแปลว่าผีค่ะ” ญาณินบอก
“หา! คุณติณห์เจอผี ผีอะไรคะ”
“กุมาริกาค่ะ คุณติณห์คะ เด็กผู้หญิงที่คุณเห็นแกเป็นกุมารทองค่ะ แต่ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงจะเรียกว่ากุมาริกา แกตายไปตั้งแต่เด็กๆ ปู่ของยัยรสที่เป็นพระเป็นคนเลี้ยงแกเอาไว้ พอฉันมาทำงานที่นี่ยัยรสก็เลยส่งกุมาริกามาช่วยดูแลฉันกับคุณ” ติณห์พยักหน้า เหงื่อแตกพลั่ก “แกอาจจะซนไปนิด แต่แกเป็นวิญญาณที่ดี”
“น่ารักด้วย” กุมาริกาโผล่มาให้ติณห์เห็นคนเดียว ติณห์กระเด้งขึ้นนั่ง
“นี่ไง...อยู่นี่ไง” ติณห์ชี้ไปที่กุมาริกา
“ไหนครับ ไม่มีอะไรเลย...คุณติณห์คงจะมึนอยู่นะครับ” ทนายสมชาติบอก
“แกจะคอยช่วยดูแลเราหรือถ้าใครส่งผีมาทำร้าย แกก็จะคอยเตือนเราค่ะ คุณไม่ต้องกลัวแกนะคะ” ญาณินบอก
“ผมจะพยายาม เมื่อตะกี้คุณเรียกแกว่าอะไรนะ”
“กุมารทองค่ะ”
“หือ?”
“ทองก็โกลเด้น กุมารก็เบบี๋”
“อ๋อ...โกลเด้นเบบี๋”
“โกลเด้นเบบี๋”
“โกลเด้นเบบี๋”
“เจ๋งเป้ง หนูชอบชื่อโกลเด้ลเบบี๋ ดูกิ๊บเก๋ดีอะ” กุมาริกากระซิบข้างหูติณห์ “ขอบคุณนะคะพ่อรูปหล่อ” ติณห์อึ้ง ขนลุกเกรียว “อยู่นี่ไม่มีอะไรสนุกละ ไปหาพี่รสดีกว่า ปิ๊ง!”
กุมาริกาหายตัวไป ติณห์เป็นลมไปอีกรอบ ญาณินส่ายหน้าเหนื่อยใจ
ไตรรัตน์ยังอยู่ที่อยุธยาขณะเดินแยกมารับโทรศัพท์ที่ชานบ้าน โดยมีกุมาริกาโผล่แว่บมานั่งมองอยู่บนต้นไม้
ต้นไม้สั่นๆ ไตรรัตน์หันไปมองไม่เห็นอะไรกลับมาสนใจคุยโทรศัพท์ต่อ
“ถึงห้องพักแล้วใช่มั้ยครับเคธี่”
“ค่ะ ถึงโรงแรมแล้ว แต่เคธี่ว่าจะนั่งดื่มอะไรนิดหน่อย สักดริ้งก์สองดริ้งก์ จะได้หลับสบาย ไม่ต้องคิดมากเรื่อง... ช่างมันเถอะค่ะ แล้วธไรซ์ล่ะ ยังไม่ง่วงเหรอ”
สุคนธรสเดินผ่านมา ชะงักมอง กุมาริกาโผล่แว่บมาข้างๆ ทันที
“คุยอยู่กับคนชื่อเคธี่อยู่” สุคนธรสมองกุมาริกาประมาณว่าใครถาม “แหมๆ อย่าบอกนะว่าไม่อยากรู้”
“ผมยังไม่ง่วงครับ ยังไม่ใช่เวลานอนของผม”
“ใช่ๆ ธไรซ์เป็นคนนอนดึกมากกก เคธี่จำได้ว่าธไรซ์ไม่ยอมหลับยอมนอน เอาแต่ดูหนัง ซีรี่ส์จะญี่ปุ่น ฝรั่ง เกาหลี ธไรซ์ดูหมด แล้วก็ชอบเอามาแกล้งเล่าให้เคธี่ฟังทุกที ฮะๆ...แล้วคุณรสแฟนธไรซ์ชอบดูหนังมั้ย”
“เอ่อ ชอบ ชอบสิ”
“ดีจังที่ธไรซ์มีคนนั่งดูหนังด้วย ไม่เหมือน...” เคธี่รีบตัดบท “ธไรซ์ไปดูหนังกับแฟนเถอะ เคธี่ไม่กวนแล้ว เคธี่ดีใจนะที่ได้เจอธไรซ์อีก ขอให้ธไรซ์มีความสุขกับการแต่งงานนะ”
เคธี่วางสาย ยิ้มสมใจ ขณัที่ไตรรัตน์ยืนกำมือถือแน่น ตะลึง ทำอารมณ์ไม่ถูก เครียด เศร้า เสียศูนย์
อ่านต่อหน้า 3
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 9 (ต่อ)
“ถ้าคิดถึงกันมาก ทำไมไม่ไปหากันที่โรงแรมซะเลยล่ะ” สุคนธรสบอก
“ช่าย” กุมาริกาเห็นด้วย
“เค้าอุตส่าห์กลับมาง้อนายแล้ว จะเก๊กทำไม?”
“ใช่”
“อ๊ะ อย่าบอกนะว่าตัดใจได้แล้ว เด็กอนุบาลสองยังดูออกเลย จะกลัวอะไร? กลัวเสียฟอร์มหรือกลัวถูกทิ้งอีก”
“ใช่”
“อย่ามายุ่งเรื่องของผมได้มั้ย”
ไตรรัตน์ตวาดอย่างหงุดหงิด สุคนธรสอึ้ง น้อยใจ กุมาริกาหุบปากทันที
“เออ คิดว่าอยากยุ่งมากหรือไง”
“ใช่”
สุคนธรสหันเดินหนีปึงปังออกไปจากบ้าน กุมาริกางอนไปด้วย เชอะ ไตรรัตน์รู้สึกผิดที่เผลอตวาด
“เอ่อ เดี๋ยว...คุณรส”
สุคนธรสเดินปึงปังออกมาแล้วตรงไปขี่มอเตอร์ไซค์ สตาร์ทจะออกจากบ้าน แต่อยู่ๆ กุมาริกาโผล่มาซ้อนท้าย รถกระเด้ง
“หนูไปด้วย”
“ใครใช้ให้มาซ้อนท้าย ลงไป”
“พี่รสงอนได้ หนูก็งอนได้ แต่หนูงอนแปลว่างอน ไม่ใช่งอนที่แปลว่ารักเหมือนใครบางคน”
“กุมาริกา”
“กลัวๆ ไปและ”
กุมาริกาหายแว่บไป แต่อยู่ๆ ไตรรัตน์วิ่งมาขวางสุคนธรสไว้
“เดี๋ยวๆ คุณจะไปไหน”
“ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของชั้น นายจะทำอะไรก็เชิญ ตัวใครตัวมัน พรุ่งนี้เจอกันทีเดียวตอนจะกลับกรุงเทพ”
“คุณรส ผมไม่ได้ตั้งใจตวาดคุณนะ ก็ผมกำลังเครียด”
“ชั้นไม่อยากรับรู้ หลบไป”
สุคนธรสจะขี่รถฝ่าไปให้ได้ ไตรรัตน์ตัดสินใจโดดขึ้นซ้อนท้ายด้วย
“งั้นผมไปด้วย”
กุมาริกามาซ้อนท้ายอีกคน
“หนูไปด้วย”
กุมาริกากอดไตรรัตน์ ไตรรัตน์กอดสุคนธรสเอาไว้ ไม่ยอมปล่อย
“คุณไปไหน ผมไปด้วย”
“เอามือออกไป” สุคนธรสโวยวาย ไตรรัตน์กอดแน่น ไม่ยอมปล่อย “ปล่อยชั้น ชั้นบอกให้ปล่อย”
“ไม่ปล่อย”
บนบ้านสมศักดิ์ สมศรียืนมองอยู่
“ทำไมนังรสมันทำอะไรประเจิดประเจ้อแบบนี้”
“เห็นแล้วคิดถึงสมัยเราสองคนเนอะพ่อ อิๆ”
“ใช่ สมัยเรานะ...เคย...” สมศักดิ์นึกได้ “เฮ้ย ไม่ได้ นี่มันลูกสาวเรา ฉันจะลงไปเอาเรื่องซะหน่อย”
“ไม่ทันแล้วพ่อ มันขี่รถออกไปนู่นแล้ว”
สุคนธรสขี่รถมาจอดบริเวณงานวัด
“ลงไป”
“ว้าว คุณรู้ได้ยังไงว่าผมชอบมางานคาร์นิวัล”
“คาร์นิวัล กระแดะ กลัวไม่รู้หรือไงว่าจบนอก เรียกง่ายๆ ว่างานวัดก็ได้ย่ะไปๆ อยากไปเล่นอะไรก็ไป เผื่อจะได้หายบ้าเรื่องยัยคาที่บ้าง แล้วขากลับก็โบกตุ๊กๆ กลับเอง เข้าใจ๋” สุคนธรสจะเดินแยกไป แต่อยู่ๆ ไตรรัตน์มาคว้ามือไว้
“เฮ้ย”
สุคนธรสงง มองไปพบว่ากุมาริกาคว้ามือไตรรัตน์มาจับสุคนธรสไว้
“มาด้วยกัน ไปด้วยกันเซ่”
“เอ่อ ไปเล่นด้วยกันสิ”
ไตรรัตน์ไม่ฟังคำตอบ ลากสุคนธรสไปเลย สุคนธรสร้องเสียงหลง
“เฮ้ย ชั้นไม่ได้มาเล่นกับนาย”
“ฮิๆ เห็นหนุ่มๆ สาวๆ กุ๊กกิ๊กกันแล้วมันชุ่มชื่นหัวใจจริงจริ๊ง ปล่อยหนุ่มสาวอยู่กันสองต่อสองดีกว่า เราไปเล่นอะไรประสาผู้ใหญ่ดีกว่า ว้าว ม้าหมุน” กุมาริกาหายแว่บไป
ไตรรัตน์กับสุคนธรสเล่นเครื่องเล่นต่างๆ ในงานวัดด้วยกัน เช่น ชิงช้าสวรรค์ ม้าหมุน รถบั๊ม ช้อนปลา หรือบ้านลูกบอล ไตรรัตน์สนุกสนานมาก สุคนธรสแอบมองไตรรัตน์ในมุมร่าเริงที่ไม่เคยเห็นไตรรัตน์เล่นเกมส์อะไรก็ชนะ เช่น ยิงปืน โยนห่วง ปากระป๋อง ปาลูกดอก ฯลฯ ไตรรัตน์ได้รางวัลใหญ่เป็นตุ๊กตาตัวโตๆ ไตรรัตน์รับตุ๊กตาจากเจ้าหน้าที่แล้วยื่นให้สุคนธรส ตัวแรกสุคนธรสก็รับมาอย่างปลื้มๆ เขินๆ ประทับใจ
ไตรรัตน์เล่นเกมส์ ชนะทุกเกมส์ ได้ตุ๊กตาตัวโตมากี่ตัวๆ ก็ส่งต่อให้สุคนธรสทั้งหมด สุคนธรสยืนหอบตุ๊กตาตัวโตๆ 7-8 ตัว ถือจนล้นตัว สุคนธรสยืนอยู่คนเดียวกับกองตุ๊กตา มองหาไตรรัตน์ว่าหายหัวไปไหน แต่แล้วก็เห็นว่าไตรรัตน์กำลังซื้อลูกโป่งสวรรค์กับลุงคนขายอยู่
“โน่น พี่เค้ากำลังซื้อลูกโป่ง”
กุมาริกาบอก สุคนธรสรีบเข้าไปหาไตรรัตน์
“นายจะซื้อลูกโป่งทำไม ฉันไม่เอานะ”
“ใครบอกจะให้คุณ อ่ะ นี่เงินครับ” ไตรรัตน์ยื่นเงินให้ลุงคนขาย 60 บาทแล้วรับลูกโป่งมา “ลุงแกเหลือแค่สามใบเอง”
“พวกลูกคนรวย ใช้เงินทิ้งๆ ขว้างๆ”
ไตรรัตน์หันไปกวักมือเรียกเด็กสองคนพี่น้องที่นั่งอยากได้ลูกโป่งอยู่แถวนั้น พวกเด็กวิ่งมา
“อ่ะ พี่เห็นเราจ้องนานแล้ว อยากได้ใช่มั้ย พี่ให้คนละใบ”
เด็กๆ เลือกลูกโป่งแล้ววิ่งดีใจออกไป ไตรรัตน์เหลือลูกโป่งอีกใบ
“ทำเป็นรักเด็ก แหวะ”
“อ่ะ” ไตรรัตน์ยื่นลูกโป่งให้สุคนธรส “ผมให้คุณ”
“ชั้นไม่เอา”
“ทำไม”
“ชั้น ชั้นไม่ใช่เด็กๆ แล้ว จะได้เล่นลูกโป่ง”
“อย่าปฏิเสธน้ำใจผมหน่อยเลยน่า” ไตรรัตน์ดึงลูกโป่งมา ใช้มือจับที่ตัวลูกโป่ง แล้วยื่นให้ “เอ้า”
สุคนธรสผวา ตกใจ
“เฮ้ย! บอกว่าไม่เอาๆ ไง”
“ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย เป็นอะไร หน้าคุณซีดๆ นะ อ๊ะๆ หรือว่าคุณกลัว” ไตรรัตน์จับลูกโป่งด้วยมือตั้งท่าจะทำให้เกิดเสียง
“อย่า” สุคนธรสร้องเสียงหลง ไตรรัตน์หัวเราะ
“ฮ่าๆจริงๆ ด้วย นี่คุณกลัวลูกโป่งเหรอ ผู้หญิงก๋ากั่นที่ไม่กลัวตุ๊กแก ไม่กลัวผี ไม่เคยกลัวอะไรเลย แต่กลับกลัวลูกโป่งเนี่ยนะ ก๊ากๆ ทำไม เสียงมันเสียวหูใช่มั้ย นี่แน่ะ” ไตรรัตน์เอามือลูบๆ บิดๆ ลูกโป่งให้เกิดเสียง
“หยุดนะ หยุดๆ”
สุคนธรสวิ่งหนี ไตรรัตน์วิ่งตามแกล้ง
“ชอบแกล้งผมดีนัก นี่แน่ะๆ”
สุคนธรสทนไม่ไหว เลิกหนี วิ่งพุ่งเข้าไปจะแย่งลูกโป่ง แต่ไตรรัตน์ชูสุดแขน ไม่ยอมให้ได้ไป สุคนธรสพยายามแย่ง จะดึง เลยเผลอเข้าไปในอ้อมแขนไตรรัตน์โดยไม่รู้ตัว ไตรรัตน์โอบสุคนธรสเอาไว้ ทั้งคู่เผลอมาสบตากัน แล้วจู่ๆ กุมาริกาก็ลอยโผล่หน้ามาตรงกลาง
“มอง เธอสาวเธอสวยฉันจึงได้มอง หากเธอไม่สวยฉันจะไม่มอง หากเธอไม่แจ่มฉันจะไม่จ้อง ฉันจะไม่มองให้หัวใจเต้น”
สุคนธรสเห็นกุมาริกามาแซว ได้สติ รีบผลักไตรรัตน์ออก
“ออกไป”
ไตรรัตน์ผวา เสียหลัก ลูกโป่งในมือหลุดลอยขึ้นฟ้าไป
“อ้าว”
สุคนธรสชี้หน้าไตรรัตน์อาฆาต
“ถ้านายเอาลูกโป่งมาแกล้งชั้นอีก นายเจ็บตัวแน่”
สุคนธรสเดินหนีทันที กุมาริกาหัวเราะคิกคักๆ
สุคนธรสวิ่งหนีมาแถวหน้าบ้านผีสิง ไตรรัตน์ตามมา
“คิดว่าจะแน่ เอาเข้าจริงก็มีจุดอ่อนเหมือนกันแหละว้า ก๊ากๆ กรี๊ดกร๊าดสาวแตกก็เป็นกะเค้าด้วยนะเธอ”
สุคนธรสหันมา กำหมัด
“นาย”
“ทำไม อย่านะ ถ้าคุณคิดทำอะไรผม รับรองว่ากลับกรุงเทพไป ผมจะไปเหมาลูกโป่งมาให้หมดภูเขาทองเลย”
สุคนธรสยับยั้งหมัดไว้
“บ้า”
“หูย ไม่อยากเชื่อ แม่หมอบ้าพลังอย่างพี่รส จะสิ้นฤทธิ์ ยอมสยบให้ง่ายๆ”
“เธอด้วยเงียบไปเลย”
สุคนธรสหันไปตวาดกุมาริกา กุมาริกาเอามือรูดซิปปาก ปากกลายเป็นซิปที่ปิดลง ไตรรัตน์มองงงๆ
“แน่ อย่าทำเป็นไก๋เปลี่ยนเรื่อง”
สุคนธรสยับยั้งปากและหมัดไว้ ฮึดฮัด ขัดใจ หันเดินหนีต่อไป แต่แล้วก็ชะงักเพราะตรงหน้าเป็นบ้านผีสิง สุคนธรสคิดสนุก คิดแกล้งไตรรัตน์จึงหันกลับมายิ้มๆๆ
“ยิ้มอะไร”
“หึๆ”
“เป็นอะไรของคุณ”
สุคนธรสคว้ามือไตรรัตน์
“มานี่”
สุคนธรสลากไตรรัตน์ไปทันที
“เฮ้ย จะลากผมไปไหน”
พนักงานเข้ามาขวาง
“ขอโทษนะครับ เราจะปิดให้บริการแล้ว”
“พี่คะ ขอเราเข้าไปเป็นคนสุดท้ายนะพี่ คืองี้ค่ะ หนูอยากทดสอบว่าผู้ชายที่หนูคบอยู่ตอนนี้ เป็นแต๋วแอ๊บแมนหรือเปล่า”
“เฮ้ย ผมไม่เข้า ผมไม่ใช่แต๋ว”
สุคนธรสไม่สนใจไตรรัตน์พูดกับพนักงานต่อ
“สงสารหนูเถอะนะคะพี่ นะคะ”
“อ่ะๆให้เป็นคู่สุดท้ายนะ รีบเข้าไป”
สุคนธรสกระชากลากไตรรัตน์เข้าไป
“หวาย บ้านผีสิง บรื๋อ ไม่เอา หนูกลัวผี รอข้างนอกดีกว่า”
สุคนธรสผลักไตรรัตน์ให้เดินไปตามทาง
“ผมไม่เล่นอะไรไร้สาระหรอกนะ”
ไตรรัตน์จะเดินออกไป แต่สุคนธรสหยิบหน้ากากประจำตัวมาคาดและขวางไตรรัตน์ไว้
“ทำไม แค่นี้ป๊อดแล้วเหรอ”
“ผมไม่ได้ป๊อด ในนี้มีอะไรให้กลัว รู้ๆ กันอยู่ว่ามันเป็นของปลอม ผีพวกนี้เป็นแค่กลไกหลอกเด็กทั้งนั้น”
“ถ้าไม่กลัว งั้นก็เดินไปสิ”
สุคนธรสผลักให้ไตรรัตน์เดินไป
ทันทีที่ทั้งคู่เดินไปก็เห็นผีไอ้ธรรมยืนอยู่ในเงามืด แววตาอาฆาต ตามไตรรัตน์ไป
สุคนธรสเดินมาตามทาง เจอกลไกผีที่ผุดขึ้นมาหลอกจากโลงศพก็ร้องกรี๊ด ในขณะที่ไตรรัตน์นิ่ง
“คุณจะกรี๊ดผีพวกนี้ทำไม นี่ไง เซ็นเซอร์มันอยู่ตรงนี้ พอเราเดินผ่าน ผีมันก็โผล่มาจากโลงแบบนี้ เห็นมั้ย”
“นายช่วยมีจิตนาการหน่อยได้มั้ย”
“คุณช่วยหยุดเล่นเพ้อเจ้อเป็นเด็กๆ จะดีกว่า ไป รีบเดิน รีบออกไปได้แล้ว ผมเบื่อ”
ไตรรัตน์เดินนำไป สุคนธรสหมั่นไส้ ทั้งสองเดินมาถึงทางแยก
“มาทางนี้”
“ไม่ ชั้นจะไปทางนี้ ไม่กลัวไม่ใช่เหรอ งั้นก็แยกกันเดิน”
“คิดว่าปล่อยผมไว้คนเดียวแล้วผมจะกลัวเหรอ โอเค ทางใครทางมัน แล้วไปเจอกันข้างนอก” ไตรรัตน์เดินแยกไป ผีไอ้ธรรมลอยวูบตามหลังไตรรัตน์ไปติดๆ
สุคนธรสกำลังจะเดินแยกไป แต่หางตาดันเห็นอะไรแว่บๆ ผ่านไป เอะใจ ตะหงิดๆ แต่ไม่ติดใจอะไร
“โธ่ ก็พวกผีปลอมนั่นแหละ ประสาทไปแล้วสิเรา ไม่มีอะไรหรอก”
สุคนธรสเดินแยกไปอีกทาง
ไตรรัตน์เดินมาตามทาง ผ่านหุ่นตัวนึงไป หุ่นขยับ พร้อมเสียงครวญ ไตรรัตน์ยียวน ล้อเลียน
“อุ๊ย ผี กลัวจังเลย กลัวขี้จะแตกแล้วเนี่ย” ไตรรัตน์เดินถอยหลัง แล้วเดินผ่านเซ็นเซอร์ใหม่
“อุ๊ย ผีมาอีกแล้ว ตัวเดิม ท่าเดิมเป๊ะๆ ใครกลัวแกก็ปัญญาอ่อนแล้ว”
ไตรรัตน์เดินผ่านหุ่นนั้นไป แต่แล้วหุ่นตัวนั้นกลับขยับขึ้นมาอีก พร้อมเสียงครวญ ไตรรัตน์หันมามอง งงๆ ไม่ได้เอะใจอะไร เดินต่อไป
ผีไอ้ธรรมยืนอยู่ตรงเซ็นเซอร์ตรงนั้นเป็นเหตุทำให้หุ่นผีขยับไม่หยุดสุคนธรสเดินมาอีกทาง ผ่านหุ่นผีต่างๆ สุคนธรสไม่กลัว ไม่สนใจ
“ไม่เชื่อเรื่องผีนักใช่มั้ย นายไตวาย เดี๋ยวนายได้หัวใจวายแน่”
สุคนธรสรีบเดินจะไปดักข้างหน้า เตรียมแกล้งไตรรัตน์
ไตรรัตน์เดินมาตามทาง รู้สึกเหมือนมีอะไรแว่บๆ วูบๆ ผ่านหลังไป ไตรรัตน์หยุดเดินชะงัก หันกลับไปมอง แต่ไตรรัตน์ไม่เห็นอะไร แต่พอหันกลับมาวิญญาณไอ้ธรรมยืนอยู่ตรงหน้าจังๆ แต่ไตรรัตน์ไม่เห็น
“มึงต้องตาย กูจะได้เป็นอิสระ”
ไตรรัตน์มองไม่เห็นผีไอ้ธรรม จะเดินไปต่อ แต่อยู่ๆ กลไกบริเวณนั้นกลับทำงานเองทุกอย่าง หุ่นทุกตัวขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
“เฮ้ย อะไรเนี่ย ระบบรวนเหรอวะ” อยู่ๆ มีหุ่นผีที่ในมือถือเหล็กแหลม พุ่งเอียงมาที่ไตรรัตน์ เหมือนจะแทงไตรรัตน์ “เฮ้ย”
ไตรรัตน์ตกใจ ผวาถอยหลังไปชิดอีกด้านที่เป็นลูกกรง กลไกผีในกรงทำงาน ร้องครวญ ชวนขนลุกๆ แต่หุ่นผีที่ถือเหล็กแหลมนั้นชะงัก แล้วถอยกลับไปที่เดิมแล้วก็พุ่งลงมาใหม่ แล้วก็ถอยกลับไปที่เดิม...เป็นไปตามกลไกของมัน
ไตรรัตน์โล่งอก แต่พอไตรรัตน์จะขยับตัว ก็ขยับไม่ได้ เพราะกางเกงไปเกี่ยวกับแง่งมุมของลูกกรงด้านหลัง
“เฮ้ย! กางเกงตัวโปรดด้วย”
ไตรรัตน์พยายามจะแกะกางเกงออก แต่แกะไม่ถนัด เพราะต้องเอี้ยวตัวแกะ หุ่นผีที่ถือเหล็กแหลมยังคงเคลื่อนไหวตามกลไก กระแทกลงมาเหมือนจะแทง แล้วกลับไป แล้วกระแทกมา โดยมีผีไอ้ธรรมเกาะหลังหุ่นนั้นอยู่
ผีไอ้ธรรมมีแววตาอาฆาต น่ากลัว เจตนาจะฆ่าไตรรัตน์ ทุกครั้งที่หุ่นผีถือเหล็กแหลมกระแทกมา น็อตที่ยึดหุ่นผีตัวนี้ก็ค่อยๆ คลายตัว ขณะที่ไตรรัตน์ยังง่วนกับการดึงกางเกงออกโดยไม่รู้ตัวว่ามีอันตรายรออยู่
สุคนธรสเดินมาถึงทางที่ทางแยกมาบรรจบกัน กำลังดักรอไตรรัตน์อยู่
“ทำไมยังไม่มาอีก หรือว่าหัวใจวายตายไปแล้ว” อยู่ๆ สุคนธรสก็เอะใจ
“หรือจะมีอะไร...ไม่หรอก...” แล้วสุคนธรสก็ทนเป็นห่วงไม่ได้เลยถอดหน้ากากประจำตัวออก
“หื้ม มีแต่กลิ่นวิญญาณเร่ร่อน ไม่มีกลิ่นวิญญาณอาฆาต”
สุคนธรสกำลังจะใส่หน้ากากตามเดิม แต่แล้วก็ชะงัก ตาโต ตกใจ เพราะได้กลิ่นรุนแรง
ไตรรัตน์แกะกางเกงไม่ออก ไม่รู้จะทำยังไง มองซ้ายมองขวา ไม่มีใคร เลยตัดสินใจถอดกางเกงออกเพราะจะได้แก้กางเกงที่ติดออกได้ง่ายขึ้น
“คงไม่มีใครมาตอนนี้นะ”
ไตรรัตน์ถอดกางเกงออก แล้วรีบแก้กางเกงให้หลุดจากแง่งที่เกี่ยว หุ่นผีถือเหล็กแหลมยังเคลื่อนไหวตามกลไก
น็อตคลายตัวเกือบจะหลุดแล้ว สุคนธรสเดินตามกลิ่นย้อนกลับมาจนกระทั่งเจอไตรรัตน์
“นายไตวาย”
ไตรรัตน์ผุดลุกยืน ตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะมีใครมาเห็น
“เฮ้ย ไม่ใช่นะ ผมไม่ได้โรคจิต”
“ระวัง”
สุคนธรสวิ่งเข้าไปดึงไตรรัตน์ออก ให้รอดพ้นจากหุ่นผีถือเหล็กแหลมที่น็อตหลุดออกมาพอดี สุคนธรสกับไตรรัตน์กลิ้งไปกระแทกกับฉากลูกกรงด้านหลัง ลูกกรงหลุด หล่นฟาดหัวไตรรัตน์จนสลบไป ล้มใส่สุคนธรสอย่างแรง สุคนธรสรับน้ำหนักไม่ไหว เสียหลักล้มไป หัวฟาดกับพื้น สลบไปอีกคน โดยมีลูกกรงและพวกหุ่นผี แผ่นไม้ล้มทับถมทั้งคู่ทั้งคู่สลบ นอนทับกัน
เช้าวันต่อมาที่บ้านป้าสุดใจ เนตรศิตางศุ์ถือโทรศัพท์มือถือที่กำลังดังเพราะณัฐเดชโทรเข้ามา เนตรศิตางศุ์ยื่นให้เพื่อนๆ ดู ท่าทางตกใจ
“พี่ณัฐโทรมา”
กรรัมภา กรรณา ก๊องตกใจด้วย
“รับสิ ถ้าไม่รับได้เป็นเรื่องใหญ่แน่”
“เดี๋ยวๆ ก่อนรับสาย ตั้งสติให้ดีก่อน เอ้า หายใจเข้า หายใจออก หายใจเข้า...”
เนตรศิตางศุ์กดสปีกเกอร์ รับสาย
“พี่ณัฐคะ...”
ณัฐเดชเพิ่งจอดรถเสร็จ ที่หน้าสำนักงานนิติเวช พูดใส่มือถือเป็นชุด
“ทำไมเมื่อคืนไม่กลับบ้าน ทำไมไม่โทรบอก ทำไมพี่โทรไปที่บริษัทก็ไม่มีคนรับ ตอบมาว่าทำไม”
เนตรศิตางศุ์อึกอัก ตอบไม่ถูก ป้าสุดใจกำลังจะออกไปสอนหนังสือแต่เห็นพวกเนตรศิตางศุ์คุยอยู่ ชะงัก ฟัง
“เนตร...เนตรไม่ได้อยู่บริษัทค่ะ...ตอนนี้เนตรอยู่...อยู่เมืองกาญฯค่ะพี่ณัฐ”
“ไปทำอะไร ไปตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เรามาเมื่อคืนค่ะพี่ณัฐ รีสอร์ทเริ่มก่อสร้างแล้ว เจ๊จีจ้าคุมคนงานคนเดียวไม่ไหว...พวกเราเลยขับรถมาด้วยกันหมดออฟฟิศเลย จริงมั้ยพวกเรา”
กรรณากับก๊องส่งเสียงทักทาย เจื้อยแจ้ว
“ใช่ค่ะ / ใช่ครับ”
“พี่ณัฐไม่ต้องห่วงนะคะ จะรีบทำงาน แล้วรีบกลับทันทีค่ะ”
“รับรองได้เลยว่าจะไม่เถลไถล”
“ใช่ ตั้งแต่มาถึงก็ทำแต่งาน ยังไม่ได้ออกไปเห็นทะลงทะเลเลยด้วยซ้ำ”
“ก๊อง”
กรรณา กรรัมภา เนตรศิตางศุ์เรียกก๊องอย่างตกใจ
“ทะเล?”
ณัฐเดชทำเสียงแปลกใจ
“ก๊องหมายถึงเขื่อนศรีนครินทร์เมืองกาญฯอ่ะครับ ยังไม่ได้เห็นเลย” ก๊องรีบแก้ตัว
“พวกเรา คุณติณห์เรียกประชุมงานแล้ว ไปเร็วๆ”
เนตรศิตางศุ์รีบวางสายทันที ท่าทางโล่งอกที่รอดมาได้ และทุกคนหันมารุมประนามก๊องว่าเกือบทำแผนแตกแล้ว แต่อยู่ๆ ป้าสุดใจก็โผล่มา
“ทำไมต้องโกหกว่าอยู่เมืองกาญฯ แสดงว่าพวกเธอแอบหนีผู้ปกครองมาที่นี่ใช่มั้ย! หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา โทรกลับไปบอกความจริงเดี๋ยวนี้”
“แต่...”
ป้าสุดใจชูไม้เรียวขู่
“จะโทรหรือไม่โทร”
หมอวรวรรธรีบออกมาห้ามป้าสุดใจเอาไว้ก่อน
“ป้าครับ อย่าตีครับ ฟังกันก่อนครับ”
“อ๋อ ตาหนู นี่แกก็รู้เห็นเป็นใจด้วยใช่มั้ย ไอ้หลานนิสัยเสีย นี่แน่ะ” ป้าสุดใจหันไปตีหมอวรวรรธ
“โอ๊ยๆเดี๋ยวๆ”
“โดนตีอีกแล้ว”
กรรณามองหมอวรวรรธอย่างสงสาร
ณัฐเดชเดินมาตามทางบนตึกนิติเวช ณัฐเดชเปิดประตูห้องทำงานหมอวรวรรธ ไม่พบหมอวรวรรธพบแต่หมอนิติเวชอีกคนกำลังทำงานอยู่
“ขอโทษครับ หมอวรวรรธอยู่มั้ยครับ”
“หมอวรวรรธเห็นว่าไปต่างจังหวัดตั้งแต่เมื่อวานน่ะครับ รู้สึกจะเป็นพัทยาครับ”
“พัทยา”
ที่บ้านป้าสุดใจ ขณะนั้นป้าสุดใจกำลังต่อว่าหมอวรวรรธ
“มาช่วยงานแก แกเป็นหมอนิติเวช แล้วสาวๆ พวกนั้นจะมาช่วยอะไร ช่วยยังไงชันสูตรศพเหรอ นี่แกโกหกป้าอีกแล้วใช่มั้ย”
ป้าสุดใจคว้าไม้เรียว
“ผมไม่ได้โกหกนะครับ สาบานได้”
“งั้นทำไมนังหนูเนตรต้องบอกว่าอยู่เมืองกาญฯ หือ?”
“อันนี้มันเป็นเรื่องในครอบครัวคุณเนตร หนูไม่อยากไปยุ่ง”
“ไม่ยุ่งไม่ได้! คนทำผิดศีล ถ้าเราเห็นแล้วปล่อยปละ ไม่สนใจ มันก็เท่ากับเราสนับสนุนการทำผิดศีลนั้น...ก็เท่ากับเราผิดศีลด้วยตัวเอง”
“อย่าตีหมอวรวรรธเลยค่ะป้าสุดใจ” เนตรศิตางศุ์เข้ามาห้าม
“มาแล้วเหรอแม่เด็กเลี้ยงแกะ กลับตัวกลับใจตอนนี้ยังทัน เพราะคนที่โกหกพ่อโกหกแม่ ชั้นไม่เคยเห็นเจริญสักคน”
“เนตรไม่ได้อยากโกหกนะคะ แต่ถ้าเนตรพูดความจริง พ่อแม่และพี่ณัฐจะเป็นห่วงเนตร กลัวเนตรจะมีอันตราย แล้วก็จะไม่ยอมให้เนตรออกไปไหน”
“พ่อแม่เป็นห่วง มันไม่ดียังไง”
“มันไม่ดีตรงที่ พอทุกคนรู้สึกรักและหวังดีทีไร ทุกคนก็จะจับเนตรขังเอาไว้ในบ้านทุกที ทุกคนทำเหมือนเนตรไม่มีความรู้สึก แต่เนตรก็เป็นคนเหมือนทุกคน มีหัวใจ มีความฝัน ทำไมไม่เคยมีใครถามเนตรบ้างว่าอยากทำอะไร ไม่อยากทำอะไร ทุกคนเอาความคิดความรู้สึกของตัวเองมาตัดสินทุกอย่างในชีวิตของเนตร แล้วก็อ้างว่ารักว่าหวังดี...แล้วความรู้สึกของเนตรล่ะ มีใครสนใจบ้าง เนตรก็แค่อยากมีชีวิตแบบที่เนตรต้องการ เนตรต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่าเนตรโตแล้ว ดูแลตัวเองได้แล้ว”
“เป็นไงล่ะครับ อยู่ดีๆ หาเรื่องดราม่า”
“ชั้นเห็นใจเธอนะ แต่ยังไงเรื่องที่เธอโกหกพ่อแม่ มันก็ไม่ถูกต้องอยู่ดี เอาเป็นว่าชั้นจะอนุโลม ให้เธอติด ร.ไว้ก่อน ระหว่างนี้ หาเวลาโทรไปบอกความจริงกับคนที่บ้านซะ เข้าใจมั้ย”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
“ว่าตามชั้นอย่าหัดพูดโกหก พกความผิด มันจะติด นิสัย จนกายดับ จงรักศีล รักสัตย์ หัดบังคับ ถึงกายลับ เลื่องลือ ชื่อไม่ตาย”
หมอวรวรรธกับเนตรศิตางศุ์ท่องตาม
ญาณินกำลังเดินคุยกับหัวหน้าช่างที่ไซต์งานก่อสร้าง
“ต้นไม้ต้นไหนที่จะเก็บเอาไว้ นินทำมาร์คไว้ที่ต้นแล้วนะคะ ส่วนต้นที่ไม่เอา ให้ย้ายทั้งรากเอาไปไว้ที่ป่าท้ายรีสอร์ทนะคะ ห้ามตัดทิ้งเด็ดขาด เพราะนินไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้น้ำท่วมกรุงเทพ...นะคะ”
ป้าอรวรรณกับทนายสมชาติเข้ามา
“คุณหนู...นี่ยังจะทำงานอีกเหรอคะ พอๆๆ ไม่ต้องทำแล้ว มานี่ค่ะ คุณทนายมีเรื่องจะสอบถาม เรื่องสกปรกบัดสีที่อีตาลูกชายริเวอร์มูนรีสอร์ทมันทำกับคุณหนูเมื่อคืนนี้ไงคะป้าจะให้คุณทนายแจ้งความและฟ้องเอาเรื่องพวกมัน”
“คุณเปรมเจตนาข่มขืนหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยา เรามีทั้งพยานและหลักฐานเพียบ เอาผิดเขาได้แน่ครับ ผมร่างเอกสารมาแล้ว อยากให้คุณญาณินช่วยอ่านและเซ็นต์รับรอง”
“ไม่ค่ะ นินไม่ฟ้อง”
“คุณหนู”
“นินอยากให้เรื่องนี้จบๆ ไป ไม่อยากยืดเยื้อ วุ่นวาย เสียเวลาทำงาน”
“ไม่ได้นะคะ นี่มันไม่ถูกต้อง คนทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ ไม่อย่างนั้นมันก็ยิ่งกร่าง แล้วอาจจะไปเที่ยวไล่ปล้ำใครอีกก็ได้”
“ป้าออคะ หนูขอร้องล่ะคะ นะคะ หนูอยากรีบทำงาน รีบสร้างรีสอร์ทให้เสร็จ แล้วเราจะได้กลับกรุงเทพกันซะที นะคะ”
“ไม่ ป้าไม่ยอม”
ญาณินไม่สน เดินแยกไปทำงานต่อ ป้าอรวรรณขัดใจๆ ทนายสมชาติจับมือปลอบใจ ป้าอรวรรณสะบัด ไม่ยอมเคลิ้ม
อ่านต่อหน้า 4
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 9 (ต่อ)
ญาณินเดินมา เจอติณห์ดักไว้
“ญาณิน เรื่องเมื่อคืนนี้ คุณ...โอเคหรือเปล่า”
แต่อยู่ๆ ป้าอรวรรณเข้ามา ทนายสมชาติตามมา
“ไม่โอเคค่ะ คนจะถูกข่มขืนและถูกทำร้ายร่างกาย มีใครที่ไหนโอเคบ้าง และที่สำคัญผู้ร้ายดันเป็นพี่ชายของว่าที่ภรรยาของเจ้านายอีก”
“ป้าออ”
“ถ้าคุณดูแลความปลอดภัยให้พวกเราไม่ได้ คุณก็ไม่ต้องมาเข้าใกล้พวกเราอีก และขอให้รู้ไว้ว่า ชั้นจะฟ้องเอาเรื่องนายเปรมและคุณอย่างถึงที่สุด”
“หา! จะเอาเรื่องคุณติณห์ด้วยเหรอ” ทนายสมชาติถามอย่างตกใจ
“ใช่สิคะ ถึงเราจะเป็นลูกจ้าง แต่ตามกฎหมายเราก็มีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองและความปลอดภัยภายในพื้นที่ทำงาน ซึ่งนายจ้างต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่เหรอคะคุณทนาย”
“ก็ใช่ครับ แต่...” ทนายสมชาติอึกอัก เพราะฝ่ายนึงก็เจ้านาย
“ชั้นคิดว่าคุณจะเป็นคนดี เห็นแก่ความถูกต้องมากกว่าพวกพ้อง ชั้นมองคนผิดสินะ ไม่เป็นไร ชั้นจะหาทนายคนใหม่ก็ได้ ไปเถอะค่ะคุณหนู”
ป้าอรวรรณพาญาณินแยกออกไป ติณห์กับทนายสมชาติถึงกับเซ็ง
ส่วนที่อยุธยาเคธี่ถือตระกร้าผลไม้มาที่หน้าบ้านสุคนธรส
“ธไรซ์คะ ธไรซ์...”
สมศักดิ์กับสมศรีเดินออกมาจากในบ้าน ทั้งคู่กำลังจะออกไปตามหาสุคนธรส
“คุณพ่อคุณแม่คะ พอดีเคธี่ผ่านมา เลยแวะซื้อผลไม้มาฝาก นี่ค่ะ”
“วางไว้ตรงนั้นแหละ” สมศักดิ์บอกและจะรีบไป
“เดี๋ยวค่ะๆ” เคธี่รีบขวาง “ แล้วธไรซ?ล่ะคะ อยู่ในบ้านหรือเปล่า”
“ไม่อยู่ ไม่รู้หายหัวไปไหนทั้งคืน”
“อ้าว เมื่อคืนธไรซ์ไม่ได้นอนที่นี่เหรอคะ” เคธี่แอบยิ้มสมใจ “โถ ธไรซ์คงจะมีเรื่องให้คิดมาก...ยังงี้คุณรสไม่เสียใจแย่เหรอ”
“มันสองคนออกไปด้วยกันเมื่อคืน จนป่านนี้ยังไม่กลับเลย”
“อะไรนะคะ”
“พวกข้าจะออกไปตามมันนี่ไง หลบไปๆ”
สมศักดิ์ สมศรีรีบร้อนเดินออกจากบ้านไป เคธี่อึ้ง
สมศักดิ์กับสมศรีมาที่งานวัด เคธี่วิ่งตามมา
“ธไรซ์กับคุณรสจะอยู่ที่นี่แน่เหรอคะ”
“ชั้นก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าก่อนที่นังรสจะออกจากบ้าน มันบอกว่าจะมาเดินเล่นที่งานวัด”
“ตรงนั้นเค้ามุงอะไรกัน”
สมศักดิ์ชี้ไปที่ด้านนึง มีชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ของงานวัดกำลังรุมๆ มุงๆ กันอยู่ รีบพากันเข้าไป แต่แล้วยายเมี้ยนก็ผละออกจากกลุ่มไทยมุงนั้น เข้ามาหาสมศักดิ์กับสมศรี
“ตาศักดิ์ นังศรี มาเร็วๆ นี่ๆ”
ยายเมี้ยนหยิบรองเท้าสุคนธรสมาโชว์
“นี่รองเท้าของนังรสลูกแกใช่มั้ยวะ”
“ใช่ รองเท้านังรสจริงๆ ด้วยพ่อ”
“แล้วตัวมันล่ะ นังรสอยู่ไหน เกิดอะไรขึ้นกับมัน”
“นี่กางเกงใคร?”
เจ้าหน้าที่ถาม ยายเมี้ยนรีบถลาเข้าไป
“กางเกงผู้ชาย ทำไมไปถอดในบ้านผีสิง”
พอดีกับเจ้าหน้าที่ช่วยกันยกแผ่นไม้ที่ทับด้านบนออก เผยให้เห็นสุคนธรสนอนทับอยู่บนตัวไตรรัตน์ที่ใส่กางเกงบ็อกเซอร์ ทุกคนอึ้ง
“นังรส”
“ธไรซ์ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย แล้วกางเกงธไรซ์หายไปไหน”
“กางเกง ฮ้า นี่ก็กางเกงของผัวนังรสเหรอ...เข้าบ้านผีสิง ถอดกางเกงทำไม”
สมศักดิ์กับสมศรีช่วยยกเศษนั่นนี่ออกจากสุคนธรส
“เมื่อคืน ผมกำลังจะปิดอยู่แล้ว อยู่ๆ ผู้หญิงคนนี้ก็มาขอร้อง ขอเข้าไปเป็นคู่สุดท้าย เพราะอยากจะทดสอบความเป็นแมนของแฟน” พนักงานบอก
“ทดสอบความแมน กางเกงหลุด” ยายเมี้ยนตาโตวาว
“โอ้ๆ พระเจ้าช่วยกล้วยทอด...หรือว่าสองคนนี้จะมาเปลี่ยนบรรยากาศออกมาชะชะช่ากันนอกสถานที่”
“ชะชะช่าอะไรของแกนังเมี้ยน พูดให้มันดีๆ นะ”
“ชั้นว่า ไอ้ที่บ้านผีสิงพัง ไม่ใช่ความบกพร่องของการติดตั้งหรอก แต่มันดันมีคนเข้าไปใช้งานแบบผิดๆมากกว่า...แบบว่าระเบิดภูเขา เผากระท่อม ตีลังกา ปาระเบิด บ้านผีสิงก็เลยทนไม่ไหวน่ะสิ อุ๊ย เรื่องดีๆ แบบนี้ต้องขยาย”
ยายเมี้ยนรีบแยกออกไป ท่าทางดี๊ด๊า อยากเม้าท์มาก เคธี่มีสีหน้าไม่พอใจนึกแค้น
“ไม่จริง เคธี่ไม่ยอม ธไรซ์เป็นของเคธี่ เป็นของเคธี่คนเดียว”
ทางด้านติณห์ ขณะนั้นกำลังคาดคั้นเพ็ญนภาเรื่องเปรม
“ติณห์อย่ามองเหมือนเพนนีเป็นคนทำผิดสิ พี่เปรมจะไปทำอะไร กับใคร เพนนีไม่เคยรู้เรื่องด้วยอยู่แล้ว”
หลวงพิชัยภักดีโผล่แว่บเข้ามา
“โกหก! อย่าไปเชื่อยัยปากแดงมันนะเจ้าติณห์”
“ใครจะไปรู้ จริงๆ แล้ว นังยิปซีอาจจะเป็นฝ่ายมาให้ท่ายั่วยวนพี่เปรมก่อนก็ได้ พอพี่เปรมไม่เล่นด้วย มันก็โวยวายหาว่าพี่เปรมจะปล้ำมัน”
“ทำไมยัยนี่ถึงตลบตะแลงเก่งขนาดนี้ ถ้าจะมีใครใช้ลูกไม้พรรค์นั้น ก็มีแต่หล่อนนั่นแหละยัยปากแดง”
“ยัยแม่มดนั่นมันเห็นใครรวยมันก็คิดจะจับหมดนั่นแหละ เหมือนที่มันคิดจะจับติณห์ไง”
“คุณอย่าพูดเหลวไหล คุณญาณินไม่ใช่คนอย่างนั้น”
“ติณห์แน่ใจได้ยังไง ติณห์รู้จักมันมานานแค่ไหนกัน ไม่มีคนชั่วที่ไหนหรอกนะที่จะแสดงตัวเองว่าเป็นคนชั่ว มีแต่ยิ่งชั่วมาก ยิ่งทำดีมาก เพื่อจะได้หลอกคนดีๆ อย่างเราให้ตายใจยังไง ถ้าติณห์ไม่อยากโง่ อย่าไปไว้ใจมันเลยจะดีกว่า”
“ถ้าแกไม่อยากโง่ แกควรจะแยกแยะออกว่าต้องฟังใคร” หลวงพิชัยภักดีบอกแต่ไม่มีใครได้ยิน
“เชื่อเพนนีนะคะติณห์ เพนนีรักและหวังดีกับคุณนะ”
“ผม ผมว่าคุณนินไม่ใช่คนชั่ว เซ้นส์ผมบอกว่า เขาไว้ใจได้”
“ติณห์”
เพ็ญนภาจ้องติณห์ ไม่พอใจ ที่ติณห์ไว้ใจญาณิน ติณห์เดินผละจากเพ็ญนภาไป หลวงพิชัยภักดีสะใจ
เพ็ญนภากลับมาที่ริเวอร์มูนรีสอร์ท ปาข้าวของใส่เปรม พวกหนังสือแมกกาซีน หมอนอิง ตรงบริเวณล็อบบี้รับรองลูกค้า
“ไอ้พี่เฮงซวย ดีแต่สร้างปัญหา”
“เฮ้ย เป็นบ้าแล้วเหรอ หยุด แกคิดว่าแกเฟี่ยงเป็นคนเดียวเหรอไง ไอ้เปรมมันก็เฟี่ยงเป็นนาเว้ย”
เปรมคว้าข้าวของเขวี้ยงคืน เสี่ยปิยะพันธ์เดินเข้ามา
“เฮ้ย หยุดๆ พวกแกจะทะเลาะอะไรกัน ก็หัดเกรงใจแขกเหรื่อของรีสอร์ทบ้าง มีเรื่องอะไร”
“ยัยเพนนีสิเตี่ย ผู้ชายไม่รัก แล้วมาพาลกับไอ้เปรมมัน”
“พี่เปรมเตรียมตัวเป็นไอ้ขี้คุกได้เลย นังนั่นมันจะแจ้งความจับพี่”
“ห๊า ไม่นะ ไอ้เปรมมันไม่ยอมเข้าคุก เตี่ย ช่วยไอ้เปรมมันด้วยค้าบ”
“สมน้ำหน้า”
“ยัยเพนนี แกไม่ต้องห่วงไอ้เปรม ไม่ว่าพวกแกจะผิดหรือถูก ยังไงเตี่ยก็อยู่ข้างลูกๆ ของเตี่ยเสมอ ใครหน้าไหนก็มาทำลูกเตี่ยไม่ได้”
เสี่ยปิยะพันธ์บอกอย่างมั่นใจ
ทางด้านสุคนธรส ขณะนั้นกำลังทายาที่แผลถลอกตามต้นแขนและหน้าแข้งอยู่ พ่อกับแม่เข้ามาคาดคั้น เอาเรื่อง เพราะรับไม่ได้
“เอ็งเป็นโรคจิตเหรอนังรส”
“พ่อ อะไรกันจ๊ะพ่อ”
“แกเป็นพวกวิตถาร ชอบโลดโผนนอกสถานที่ เพราะมันทำให้แกตื่นเต้น เสียวๆ ลุ้นๆ ว่าจะถูกจับได้หรือไม่ได้ ใช่มั้ย”
“ทำไม พวกข้าสอนเอ็งมาไม่ดีใช่มั้ย เอ็งถึงเป็นคนแบบนี้” สมศรีสะอื้น
“เสียแรงที่หลวงปู่และหลวงลุงยกให้เอ็งเป็นศิษย์รัก เอ็งไม่ละอายแก่ใจบ้างเหรอที่ทำตัวเย้ยฟ้าท้าดินแบบนี้ ป่านนี้ยายเมี้ยนคงไปป่าวประกาศทั่วสำเภาล่มหมดแล้ว แล้วพวกฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“หนูอับอายมากที่ต้องมาเป็นโกลเด้นท์เบบี้ของพี่...หนูจะไปหาหลวงลุง ขอย้ายสังกัด หนูจะย้ายค่ายไปอยู่กับคนอื่น” กุมาริกาบอก
“ฉัน ฉันไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้น มัน มันเป็นอุบัติเหตุ”
“แกเรียกมันว่าอุบัติเหตุเหรอ แบบนี้ใช่มั้ยที่เค้าเรียกว่า รักสนุกแต่ไม่คิดผูกพัน แม่เอ็ง ข้าเสียใจ ฮือๆ”
“พ่อเอ็ง ข้าก็รับไม่ได้ ฮือๆ”
สมศักดิ์กับสมศรีกอดกันร้องครวญๆ กุมาริกาน้ำตาไหลออกล้นตัวไหลนองเต็มพื้น สุคนธรสเซ็ง
อีกมุมหนึ่งของบ้าน เคธี่กำลังพันแผลที่ต้นแขนให้ไตรรัตน์
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
เคธี่มองไตรรัตน์แล้วอมยิ้มๆ
“คุณยิ้มอะไร”
“เปล่าค่ะ”
“คุณก็คิดเหมือนคนอื่นใช่มั้ย”
“ไม่ต้องอายหรอกค่ะ มันไม่ใช่เรื่องผิดบาปอะไร ก็ธไรซ์กับคุณรสคบกันอยู่นี่นา เคธี่ก็แค่ประหลาดใจนิดหน่อย เพราะเมื่อก่อน ตอนที่เราคบกัน ธไรซ์ไม่ใช่คนแบบนี้”
“ก็ ” ไตรรัตน์ไม่อยากให้เคธี่เห็นว่ายังตัดใจไม่ได้
“ใช่ๆ ผมก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะกล้าได้ขนาดนี้ แต่พอลองแล้ว มันก็สนุกดีนะ ทั้งตื่นเต้น ทั้งลุ้น มันบรรยายความรู้สึกไม่ถูกเลย คุณต้องลองดูเอง”
“เคธี่ดีใจนะคะที่เห็นว่าธไรซ์มีความสุข
เคธี่ยื่นหน้าเข้าไปใกล้หน้าไตรรัตน์ ไตรรัตน์ทำอะไรไม่ถูก
“ใช่ๆ ผมมีความสุข สุขมากๆ ชีวิตนี้ผมคงจะมีความสุขมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
“ชีวิตนี้ผมคงจะมีความสุขมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว หึๆ” เคธี่ทวนคำ
“ทำไมเหรอ”
เคธี่ยื่นหน้าเข้าไปใกล้กว่าเดิม จมูกเกือบแตะกัน
“ธไรซ์จำได้มั้ยว่าธไรซ์เคยพูดแบบเดียวกันนี้กับเคธี่ ตอนที่เราคบกัน”
ไตรรัตน์ถอยหน้าออกห่างเคธี่ ไตรรัตน์อึ้ง จำได้ แต่บ่ายเบี่ยง
“เหรอ ผมพูดตอนไหนเหรอ ไม่คุ้นเลย ลืมไปหมดแล้ว” เคธี่จ้องสบตาว่าไตรรัตน์จะแสดงอาการยังไง ไตรรัตน์พยายามไม่แสดงอาการอ่อนแอให้เคธี่เห็น หาทางบ่ายเบี่ยง “เอ่อ เอ้อ ผมขอบคุณหรือยังที่ทำแผลให้ ขอบคุณนะ”
“ธไรซ์รักคุณรสจริงๆ หรือเปล่า”
“รักสิ ไม่เห็นต้องถาม”
“เหรอคะ”
“คุณรสเป็นคนดี เป็นผู้หญิงที่วิเศษสุดๆ เธอรักผม คอยดูแลและปกป้องผม ห่วงใยผมด้วยใจจริง ตั้งแต่เรายัง
ไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ...ผมโชคดีมากที่ได้เจอคุณรส แล้วผมจะไม่รักได้ยังไง จริงมั้ย”
เคธี่ตีหน้าเศร้า
“เคธี่อยากให้ตัวเองโชคดีแบบธไรซ์บ้าง”
เคธี่น้ำตารื้น เหมือนมีเรื่องไม่ดีในชีวิต ไตรรัตน์อึ้ง งง
“เคธี่ ทำไม...”
เคธี่ปาดน้ำตา
“ช่างมันเถอะค่ะ ที่เคธี่กลับมาเมืองไทยก็แค่อยากรู้ว่าธไรซ์เป็นยังไงบ้าง ได้เห็นอย่างนี้แล้ว เคธี่ก็ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วเคธี่กลับก่อนดีกว่า ฝากลาคุณรสด้วยนะคะ” เคธี่จะเดินออกไป ไตรรัตน์นึกเป็นห่วง
“เคธี่ เดี๋ยวก่อน”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง เคธี่ดูแลตัวเองได้”
เคธี่ตีหน้าเศร้าเดินจากไป ไตรรัตน์มองตามอย่างเป็นห่วง
“นายไตวาย อาลัยอาวรณ์แฟนเสร็จหรือยัง ถ้าเสร็จแล้วก็ช่วยมารับผิดชอบแก้ปัญหาที่นายก่อขึ้นด้วย...ทุกคนเข้าใจผิด จนวุ่นวายไปหมดแล้ว นายจะทำยังไง” สุคนธรสบอกไตรรัตน์จะเดินหลบไป แต่สุคนธรสคว้าไว้ “เฮ้ย จะไปไหน คิดจะทิ้งปัญหาไว้ให้ชั้นแก้คนเดียวเหรอ ชั้นไม่ยอม”
“คิดว่าคุณมีปัญหาคนเดียวหรือไง”
ไตรรัตน์ผละออก แล้วเดินแยกไป สุคนธรสอึ้ง งง
“บ้าเอ๊ย”
หมอวรวรรธกำลังขี่รถกลับกรุงเทพ แต่อยู่ๆ มือถือดัง หมอวรวรรธเบารถแล้วจอดข้างทาง หยิบมือถือออกมากดรับสาย
“พี่ณัฐ...”
ณัฐเดชกำลังแวะเติมน้ำมันในปั๊ม
“แกไปพัทยาทำไม”
“หา พี่ณัฐ ใครบอกพี่ว่าผมไปพัทยา มั่วแล้ว”
“แกไม่ต้องโกหก ผู้ช่วยแกบอกว่าแกมีธุระด่วน ไปพัทยาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แกไปได้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับคดีคุณใบหม่อนเพิ่มเติมแล้วไม่บอกชั้นหรือเปล่า”
“เปล่า”
“แกมีอะไรปกปิดชั้นอยู่ใช่มั้ย”
“ปกปิดอะไร ไม่มี๊ พี่อยู่ที่ออฟฟิศใช่มั้ย เดี๋ยวจะไปหาพี่เดี๋ยวนี้เลย”
“ไม่ต้อง ชั้นจะถึงพัทยาแล้ว แกรอเจอชั้นที่โรงละครเลย”
“หา พี่ณัฐๆ” ณัฐเดชวางสาย
“พี่ณัฐอยู่พัทยา ถ้าเจอกับคุณเนตรล่ะก็ ตายๆ”
หมอวรวรรธรีบหักรถเลี้ยวกลับ
เนตรศิตางศุ์ กรรณา กรรัมภากำลังหารือกันอยู่ที่โรงละคร
“เท่ากับว่า ตอนนี้เรามีผู้ต้องสงสัยสองคน คือ คนที่1 พี่ลูกข่าง ที่อาจจะเป็นคนเขียนจดหมายขู่เนตร กับ คนที่2 หมอรุทธ์ ที่เป็นหมอผ่าตัดทำสวยให้คุณใบหม่อน ทั้งสองคนมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นฆาตกรพอๆ กัน เราจะเริ่มสืบใครก่อนดี”
“ไม่มีทางเป็นหมอรุทธ์แน่” กรรัมภาบอก
“แกอย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับงาน ยังไงหมอรุทธ์ก็เป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย”
“ยังไงก็ต้องไม่ใช่หมอรุทธ์ คุณอยู่หรือเปล่า”
กรรัมภาหันไปเรียก ก๊องที่นั่งอ่านหนังสือบอลอยู่แถวนั้น งงๆ คิดว่าเรียกตน
“อยู่ครับ”
“ไม่ใช่แก”
“ชั้นอยู่นี่”
ใบหม่อนบอก กรรัมภาคว้ามือเนตรศิตางศุ์ข้างนึง คว้ามือกรรณาข้างนึง กรรัมภามองเห็นและได้ยินใบหม่อนก๊องรู้ได้ทันที รีบไปหลบหลังสามสาว
“พวกพี่หมายถึงใคร อย่าบอกนะว่า บรื๋อ”
“ตอนที่คุณมีชีวิตอยู่ คุณกับพี่ลูกข่าง เคยมีเรื่องบาดหมางใจกันรุนแรงบ้างหรือเปล่า” กรรัมภาถาม
“ไม่มีก็แปลกแล้ว ฝีปากนังลูกข่างร้ายกาจขนาดนั้น ชั้นไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่จะทนให้มันจิกกัดได้หรอก”
“แล้วเรื่องที่ทะเลาะกันรุนแรงที่สุดล่ะ”
“ก็คงจะเป็นเรื่อง นายบอยไม่ได้ชอบพี่ลูกข่างแต่แรกอยู่แล้ว เขาก็แค่ทำดีด้วยไปตามมารยาท แต่พี่ลูกข่างเพ้อไปเอง คิดไปเองว่าเขามีใจ แล้วพอนายบอยมา มีอะไรกับชั้น”
ใบหม่อนเล่าเหตุการณ์ตอนนั้น...
บอยเดินอยู่ ลูกข่างโผล่มาดัก ก้มหน้ายื่นข้าวหลามให้ บอยรับมายิ้มขอบคุณไปตามมารยาท แล้วเดินเข้าห้องแต่งตัวไป ลูกข่างเขินตัวลอย กำลังจะเดินไป แต่ชะงักทำตาขี้เล่นแล้วเดินวกกลับจะไปหาบอยที่ห้องแต่งตัว แต่พอถึงหน้าห้องก็ต้องชะงัก เพราะมองเข้าไปเห็นบอยกอดเอวใบหม่อนอยู่ ลูกข่างช็อก
“พี่ลูกข่างเลยเป็นบ้า จงเกลียดจงชังชั้น”
“แล้วคุณก็ไปคบคุณปาณัท นี่แหละ มูลเหตุจูงใจให้พี่ลูกข่างฆ่าคุณ” กรรัมภาสรุป
“รีบสรุปไปหรือเปล่า แล้วหมอรุทธ์ล่ะ” กรรณาถาม
“หมอรุทธ์ เป็นคนดี เป็นที่พึ่งเรื่องความสวยความงามให้กับทุกคนที่นี่ เขาปลื้มชั้นมาก ให้ชั้นเป็นสมาชิกวีไอพี ทั้งที่คลินิกและสปาของเขา เขาอาสาทำหน้าและดูแลรูปร่างให้ชั้นฟรีตลอดชีวิต ชั้นก็เลยเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้เขาแลกเปลี่ยน”
ใบหม่อนนั่งอยู่ในห้อง หมอรุทธ์เอาปากกามาร์คจุดช่วงหางคิ้ว กำลังอธิบายว่าจะยกให้สวยขึ้นยังไงๆ
“อ๊าย ไม่จริ๊ง ไม่จริง” กรรัมภาขัดขึ้นมา
“จริงสิยะ”
ใบหม่อนบอก จากนั้นก็เล่าเหตุการณ์ต่อ...
ใบหม่อนเดินออกมาจากในห้อง หมอรุทธ์ตามมาส่ง ปาณัทนั่งอ่านหนังสือรออยู่เข้ามาโอบใบหม่อน ยิ้มแย้มทักทายกับหมอรุทธ์อย่างดีและพากันออกไป หมอรุทธ์มองตามไปแล้วยิ้มๆ ชื่นชมๆ
“ใช่ แต่เขารู้อยู่แล้วว่าชั้นรักและกำลังคบหากับคุณปาณัทอยู่ หมอรุทธ์บอกว่าเขารักและมีความสุขที่ได้ทำหน้าให้ชั้นสวย เขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้ แล้วเขาก็ไม่เคยทำอะไรให้ชั้นรำคาญใจเลยจริงๆ”
“ฟังจากที่คุณใบหม่อนเล่ามา มันเป็นไปได้มากที่ฆาตกรจะเป็นพี่...” เนตรศิตางศุ์ยังพูดไม่จบเพราะจู่ๆ ลูกข่างก็เดินโผล่เข้ามา
“นี่ พวกเธอมาทำอะไรกันตรงนี้ ทำไมไม่ไปทำงาน ไปทำงาน ไปๆ”
ทุกคนวงแตก แยกย้ายไป
ลูกข่างเอารองเท้านักแสดงมาวางกองในห้องคอสตูม
“อ่ะ งานพวกเธอวันนี้ ขัดรองเท้านักแสดงทุกคู่ ถ้าไม่เสร็จ ห้ามออกจากห้องนี้เด็ดขาด” ลูกข่างหันจะไป แล้ว0คว้าตัวก๊อง “ส่วนตัวเองมานี่ มีงานผู้ชายให้ทำ”
พวกสามสาวซุบซิบกัน
“จะให้ชั้นมาขัดรองเท้าให้คนอื่น ปราด้าคู่ละเหยียบแสนชั้นยังไม่เคยขัดเองเลย”
“เอาน่า รีบๆ ขัดเถอะ จะได้รีบไปสืบ”
“ถ้าขัดหมดนี่ วันนี้ก็ไม่ต้องคิดสืบอะไรกันพอดี เอางี้ พี่ลูกข่างค่ะ อย่าเพิ่งให้น้องก๊องทำงานได้มั้ยคะ ให้น้องก๊องไปทานข้าวก่อน คือน้องก๊องเป็นโรคกระเพาะ ทานอาหารผิดเวลา เดี๋ยวอาการจะกำเริบ” กรรณาบอก
“อ้าว ตัวเองเป็นโรคกระเพาะเหรอ”
“ผมป่าวเป็น”
“โถ ไม่ต้องเข้มแข็งหรอกน้องพี่” กรรณาแอบตุ๊ยท้องก๊องหนักๆ
“เป็นก็ได้”
“นี่ไง อาการกำเริบแล้วสิ”
“ตายแล้ว ไปๆๆ เดี๋ยวพี่พาไปกิน”
“ฝากด้วยนะคะพี่”
ลูกข่างล็อกแขนก๊องลากออกไป
“ทีนี้ก็ทางสะดวกแล้ว”
ส่วนที่ไซต์งานสร้างรีสอร์ท ญาณินกำลังพักดื่มน้ำ อยู่ๆ มีใครบางคนก้าวมายืนด้านหลัง ญาณินรู้สึกไม่ปลอดภัยหันกลับไปมอง แล้วต้องผงะเพราะคือเปรมที่ยืนอยู่
“นาย”
“ผมชื่อเปรม เรียกชื่อไอ้เปรมมันสิ คุณญาณินคนสวย”
“อย่าเข้ามานะ”
เปรมยิ้มกวนมองญาณินหัวจรดเท้า แล้วเดินเข้าหา ญาณินถอยหนี แต่แล้วป้าอรวรรณก็วิ่งพรวดเข้ามาขวาง ผลักเปรมออก
“ถ้าแกจะทำอะไรคุณหนู ข้ามศพชั้นไปก่อน”
ป้าอรวรรณโวยวาย คนงานเห็นเปรม จึงพากันถอยหนี เพราะขยาดกลัว ทนายสมชาติตามมา ถือจอบติดมือมาด้วย
“คุณไม่กลัวเกรงกฎหมายเลยนะคุณเปรม”
เพ็ญนภา เสี่ยปิยะพันธ์รีบเข้ามาห้าม ติณห์ตามมา
“หยุดๆ”
“อ๋อ นี่มากันทั้งครอบครัวเลยใช่มั้ย เห็นพวกเราเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ แล้วคิดจะรุมกันเหรอ”
“ป้า เมาน้ำเต้าหู้มาหรือไง ใครจะทำอะไรพวกป้า พี่เปรมจะมาขอโทษยัยยิปซีต่างหาก”
“ขอโทษ?”
“ก็เรื่องที่มันก่อเอาไว้คืนก่อนไง มันไม่ได้ตั้งใจ มันก็แค่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ตอนนี้มันสำนึกแล้วเลยจะมาขอโทษ...ใช่มั้ย เปรม”
“ใช่”
“งั้นก็ขอโทษคุณญาณินสิ”
“ขอโทษนะจ๊ะ น้องสาว ไอ้เปรมมันไม่ได้ตั้งใจ”
“เปรม” เสี่ยปิยะพันธ์เอ็ด เปรมรีบทำหน้าหงอยๆ จ๋อยๆ กวนๆ
“ญาณิน ผมรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะให้อภัย ก็แล้วแต่คุณตัดสินใจนะ” ติณห์บอก
ญาณินมองติณห์อย่างน้อยใจและผิดหวัง
“ถ้าคุณไม่อยากให้ชั้นเอาเรื่องครอบครัวพ่อตาคุณ ชั้นก็จะไม่เอาเรื่อง แต่อย่าให้เค้ามายุ่งกับชั้นอีก จบปัญหาแล้วใช่มั้ยคะ ขอตัว”
ญาณินผิดหวัง เดินออกไป
“ไม่ใช่อย่างนั้น ผม...ผมขอตัว เดี๋ยว ญาณิน เว้ทๆๆ” ติณห์รีบตามญาณินไป
“ติณห์คะ จะไปไหน ติณห์”
เพ็ญนภาจะตามติณห์ แต่ทนายสมชาติและป้าอรวรรณยืนขวางเพ็ญนภาเอาไว้ไม่ให้ตามไป เสี่ยปิยะพันธ์ดึงเพ็ญนภาไว้
“พวกแกมันแย่ที่สุด อย่าคิดนะว่าชั้นจะยอมง่ายๆ ชั้นไม่ยอม”
“พอเถอะครับคุณออ”
ป้าอรวรรณมองทุกคนแค้นๆ
“ป้าอยากโดนของไอ้เปรมมันมั่งรึไง”
ทนายสมชาติรีบปลอบ
ญาณินกำลังจะเข้าบ้านพัก แต่ติณห์ตามมาขวาง ขอคุยด้วย
“เดี๋ยวก่อนคุณ”
“มีอะไรอีก”
“ผมไม่ได้บังคับให้คุณไม่เอาเรื่องนะ ผมแค่...”
“คุณไม่ต้องมาอธิบายอะไรทั้งนั้น ชั้นเข้าใจคุณทุกอย่าง คุณก็ต้องปกป้องพี่ชายแฟนมากกว่าลูกจ้างอย่างชั้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นคุณไม่ต้องมาแคร์ว่าชั้นจะรู้สึกอะไรยังไง...ไปห่วงแฟนคุณเถอะ”
“คุณพูดประชดหรือพูดจริง”
“พูดจริง”
“เอาจริงๆ สิ อย่าประชด ผมเป็นฝรั่ง ไม่เข้าใจเวลาคนไทยประชด”
“คุณดูอะไรไม่ออกทั้งนั้นแหละ”
“เอาเป็นว่า ผมรับปากว่าต่อไปนี้จะดูแลความปลอดภัยของคุณให้ดีที่สุด จะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”
“หึ เป็นพระคุณอย่างสูง”
“นี่ ประชดใช่มั้ย”
“เออ”
“เดี๋ยว”
ญาณินผลักติณห์ออก
“อย่ามายุ่งกับชั้น! ชั้นจะเป็นตายร้ายดียังไง ชั้นดูแลตัวเองได้ไม่ต้องมาปกป้อง ไม่ต้องมาสนใจ ไปดูแลแฟนคุณไป”
ญาณินเดินกลับเข้าไปในบ้านพักปิดประตู แล้วยืนพิงประตูอย่างช้ำใจ ผิดหวัง ติณห์ยืนอยู่หน้าบ้านด้วยความรู้สึกผิด
เนตรศิตางศุ์ กรรัมภา กรรณาออกมาจากห้องคอสตูมมองซ้ายมองขวา ทางโปร่งโล่งจึงออกมา
“ไปที่ห้องส่วนตัวคุณใบหม่อน ยัยแก้มอาจจะสัมผัสอะไรได้เพิ่มเติม”
ทุกคนกำลังจะไป แต่อยู่ๆ มาริโอ้กับแองเจโล่เดินสวนมา
“อ๊ะอ้าว สาวสาวสาว จะไปไหนกันเหรอ”
“จะยุ่งอะไรด้วย”
“พวกพี่เห็นน้องๆ เป็นเด็กฝึกงานมาใหม่ เลยเป็นห่วง กลัวจะหลง เพราะโรงละครนี้ มีซอกหลืบ มุมมืดๆ เยอะพวกพี่เลยอยากอาสาเป็นไกด์”
“พวกเรายอมหลงดีกว่าอยู่ใกล้แฝดหัวงูอย่างพวกพี่ หลบไป”
กรรณาบอก แองเจโล่กับมาริโอ้ก้าวมาขวาง
“พวกพี่ให้ไปไม่ได้ จนกว่าจะบอกมาก่อนว่าจะไปไหน ไปทำอะไร”
“ถึงมาฝึกงานก็ไม่ใช่เดินเพ่นพ่านได้”
“ยกเว้นน้องเนตรคนดีคนเดียว”
มาริโอ้เข้ามาใกล้กรรัมภา ยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย แต่แล้วอยู่ๆ แองเจโล่ก็ยกเท้าถีบมาริโอ้จนถลาไปไกล พอมาริโอ้ตั้งหลักได้ หันมามอง เห็นแองเจโล่ยืนยกเท้าคาอยู่
“แกถีบชั้นทำไม”
“ชั้นเปล่า”
“เท้ายังคาอยู่ ยังจะมาบอกเปล่าอีก”
“ชั้นเอาเท้าลงไม่ได้” แองเจโล่กดเท้าตัวเองลงไม่ได้
มาริโอ้จะเข้าไปเอาเรื่อง แต่อยู่ๆ แองเจโล่ก็เอาเท้าลงได้ แล้วยกมือตบหัวมาริโอ้เต็มๆ
“โอ๊ย”
เนตรศิตางศุ์มองไปที่แองเจโล่ เห็นใบหม่อนเป็นคนจัดการจับมือแองเจโล่ฟาด
“ชั้นไม่ได้ตั้งใจ” แองเจโล่บอกแล้วมือก็ตบหัวอีก
“แกไม่ได้ตั้งใจเหรอ” มาริโอ้ตบหัวแองเจโล่คืน
“ชั้นก็ไม่ได้ตั้งใจ”
มาริโอ้กับแองเจโล่กลายเป็นทะเลาะกันเอง
“ขอบคุณมากคุณใบหม่อน ไป กรรณ แก้ม พวกเธอรีบไป เดี๋ยวชั้นอยู่ทางนี้ให้”
กรรณากับกรรัมภารีบแยกไป แต่อยู่ๆ หมอรุทธ์เข้ามา
“เกิดอะไรขึ้นครับคุณเนตร”
“หมอรุทธ์!”
จบตอนที่ 9
อ่านต่อตอนที่ 10 พรุ่งนี้ เวลา 09.30น.