The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 5
ภายในห้องคอสตูมของโรงละคร เนตรศิตางศุ์กำลังใช้เตารีดไอน้ำ รีดเสื้อผ้าที่ใช้แสดง ส่วนลูกข่างกำลังคุยโทรศัพท์อยู่
“ค่า...ไม่สบายแต่ไม่โทรมาบอก ทีหลังพวกหล่อนทะเลาะกะสามีไส้แตกก็ไม่ต้องโทรมาเลยนะ” ลูกข่างตัดสายทิ้ง “ทำงานอย่างนี้ คงจะเจริญหรอก”
เนตรศิตางศุ์รีดเสื้อไป คอยแอบฟัง เก็บข้อมูลไป อย่างตั้งใจ หันมาอีกทีก็ต้องตกใจเพราะมาริโอ้กับแองเจโล่กำลังยืนจ้องหน้าเธออยู่
“แอบฟังเจ๊ลูกข่างคุยโทรเหรอ”
“เด็กใหม่เจ๊เหรอ ไม่เคยเห็นมาก่อน” แองเจโล่จับเนตรศิตางศุ์หมุนตัว “โหย เจ๊ เด็กคนนี้เหมือนผู้หญิงสุดๆ เลย ดูไม่ออกเลย”
“ยังงี้แสดงว่าผ่าออกไปแล้วสิ”
“ผ่าอะไรคะ” เนตรศิตางศุ์ถามอย่างแปลกใจ
“ก็ผ่าตัดชินจังทิ้งไป...แล้วก็เฉาะ...ให้กลายเป็นมารูโกะ”
“มาริโอ้ แองเจโล่ ถอยไปๆ อย่ามาแทะโลมเด็กใหม่เจ๊...น้องเนตรเป็นหญิงแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ย่ะ”
“ผู้หญิงเหรอ”
“ค่ะ”
“พี่ชื่อแองเจโล่ เป็นแมนแท้ ยังโสด”
“พี่ชื่อมาริโอ้ อย่าไปเชื่อไอ้แองเจโล่ เมียมันดุยังกะยักษ์ แล้วลูกก็ปาไป 6 คนแล้ว...พี่สิจ๊ะ โสด เศร้า เหงา รัก...”
“ไอ้แฝดสองคนนี่ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้เลย ชั้นเพิ่งไล่ลูกสาวเก่าๆ นิสัยแย่ๆ ในทีมออกไป น้องเนตรลูกสาวคนใหม่คนนี้จะต้องอยู่ช่วยชั้น...และที่สำคัญ...หนูเนตรอย่าไปไว้ใจพวกนี้เด็ดขาด ถ้าเผลอเมื่อไหร่ มันกวาดเรียบ...สาวๆ ในละคร โดนกวาดไปไม่รู้กี่คนแล้ว”
“ไปกวาดเค้าทำไมล่ะคะ สกปรกเหรอค่ะ”
“โห...นี่พูดด้วยความซื่อใส หรือร้ายลึกกันครับน้อง”
“ถ้าใบหม่อนไม่ชิงตายไปซะก่อน ก็คงถูกพวกแกกวาดไปแล้ว”
“พูดแล้วก็เสียดาย”
ทันใดปรากฏร่างใบหม่อนขึ้นมา แต่ทุกคนไม่เห็น ใบหน้าใบหม่อนแค้นเคืองคนกลุ่มนี้ทุกคน แต่แล้วน้องออนซ์ก็เดินถือกาแฟเย็นพุ่งเข้ามาหา
“ร้อนๆๆๆ หลบๆๆ” น้องออนซ์เดินไปนั่ง “ยืนอออยู่ได้ นี่ห้องแต่งตัว ไม่ใช่ตลาดนัดข้างถนนนะ”
“อย่างน้อยก็มียัยนี่คนนึงที่พวกเราขอบาย” แองเจโล่แอบกระซิบ
“ชุดนางเอก เรียบร้อยแล้วนะคะ”
เนตรศิตางศุ์เอาชุดที่รีดเรียบร้อยแล้วมาส่งให้ น้องออนซ์หันมาจ้องหน้าเนตรศิตางศุ์ แต่ไม่คิดจะรับชุด เนตรศิตางศุ์ยืนถือชุดรอที่เดิม น้องออนซ์นั่งดูดกาแฟจนหมดแก้ว สบายใจ ลุกขึ้นมา รับชุดจากเนตรศิตางศุ์
“นี่มันอะไร” น้องออนซ์โชว์ชุดให้ดูจุดที่ขาด “เห็นมั้ยเนี่ย ว่าชุดมันขาด...เอามาให้ชั้นใส่ได้ไง จะแกล้งให้ชั้นขายหน้าประชาชนเหรอ”
“มีรอยขาดด้วยเหรอ”
“มีตั้งแต่เมื่อวานแล้วย่ะ ชุดมันไปเกี่ยวกับขอบเวที”
“รู้แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่เมื่อวาน”
“แล้วมันหน้าที่ชั้นที่ต้องบอกเหรอ...ใครมีหน้าที่ดูแลเสื้อผ้า ทำไมไม่ตรวจให้ละเอียด” น้องออนซ์เขวี้ยงชุดใส่ “เอาไปซ่อม ไม่งั้นชั้นไม่ใส่”
“ให้ซ่อมตอนนี้ มันจะไปทันแสดงได้ไง”
“ไม่ทัน ชั้นก็ไม่แสดง แล้วชั้นจะฟ้องคุณปาณัทด้วย ว่าทีมเสื้อผ้าทีมนี้สะเพร่าและห่วย แตกมาก”
น้องออนซ์เดินปึงปังออกไป
“เดี๋ยวเนตรซ่อมให้เองค่ะ”
เนตรศิตางศุ์รีบเก็บชุดเอาไปซ่อม
ที่รูปคู่ปาณัทกับใบหม่อนในกรอบรูปบนโต๊ะปาณัท ปาณัทมองรูปด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
“คุณหมอพอจะเล่ารายละเอียดการตายของคุณใบหม่อนให้ฟังได้ไหมครับ”
“เออ...”
“ผมสัญญาว่าจะเก็บเป็นความลับ นะครับหมอ”
“คุณปาณัทครับ...คุณใบหม่อนเสียชีวิตอย่างเฉียบพลัน น่าจะเกิดจากการถูกยาพิษ ซึ่งมีผลทำให้ระบบการหายใจและการไหลเวียนของหัวใจล้มเหลว”
“ถูกวางยาพิษ! เลยหัวใจวายตายเหรอครับ”
“ผู้ตายมีใบหน้าและริมฝีปากเขียวคล้ำจากการถูกพิษ ทำให้หยุดหายใจ รูม่านตาขยายกว้าง กล้ามเนื้อเกร็งและเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ เมื่อผ่าศพทางนิติเวชศาสตร์จึงเห็นว่ามีเลือดออกในทางเดินอาหาร แต่ไม่พบบาดแผลหรือร่องรอยการถูกทำร้าย”
ปาณัทกุมหัว
“คุณหมอช่วยใบหม่อนด้วยนะครับ ผมอยากให้เธอได้รับความเป็นธรรม...ใคร...ใครมันเลวทรามได้ขนาดนี้”
เนตรศิตางศุ์กำลังซ่อมชุดของน้องออนซ์อยู่ในห้องคอสตูม มาริโอ้กับแองเจโล่แต่งชุดเตรียมแสดงแล้ว กำลังแต่งหน้าทำผม ส่วนลูกข่างกำลังจัดชุดให้นักแสดงอื่นๆ ใบหม่อนโผล่มาข้างๆ เนตรศิตางศุ์
“ไหนเธอบอกจะมาช่วยชั้น” ใบหม่อนถาม เนตรศิตางศุ์จึงกระซิบตอบ
“เนตรไม่ได้ยินที่คุณพูดหรอกค่ะ...แต่เนตรกำลังจับตาดูทุกคน คนที่นี่น่าสงสัยทุกคน...พี่ลูกข่าง เวลาดีก็ดีใจหาย เวลาร้ายก็ร้ายน่ากลัว...ตามาริโอ้กับแองเจโล่ก็เจ้าเล่ห์ ชอบหลอกผู้หญิง...ส่วนคุณออนซ์ คนนี้ร้ายกาจที่สุด...ทุกคนมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นฆาตกรหมดเลย”
“ต้องเป็นยัยออนซ์แน่ๆ” ใบหม่อนชี้ไปที่น้องออนซ์
“พี่สงสัยคุณออนซ์เหรอคะ...อ๋อ ก็เป็นไปได้ที่คุณออนซ์จะทำเพื่อแย่งบทนางเอกจากคุณใบหม่อน”
ลูกข่างเดินมาได้ยินพอดี
“แหม เจ๊ไม่อยากได้ยินคำว่า ใบหม่อนเลย...ใบหม่อนเป็นอดีตนางเอกของที่นี่ เธอดังมาก แสดงเก่ง ร้องเพลงเพราะ คนดูรัก นายทุนส่งเสริม...แต่...พอตายไปแล้วนี่สิ”
“พูดไปเลยว่าใบหม่อนฤทธิ์เดชมากแค่ไหน คนเค้ากลัวกันทั้งโรงละครยังไม่รู้ตัว”
“นี่ พวกแก...เดี๋ยวก็เจอดีหรอก”
“กลัวตายล่ะ โผล่มาสิ พ่อจะเอาหลวงพ่อคูณเขกกะโหลกให้ ตายแล้วไม่รู้จักไปผุดไปเกิด”
ใบหม่อนปราดเข้ามาหาทั้งสามอย่างฉุนเฉียว อ้าปากกรีดร้องอย่างเกรี้ยวกราด จนเนตรสิตางศุ์ตกใจอ้างปากค้าง
“เอ่อ เนตรว่า เลิกพูดถึงคุณใบหม่อนเถอะค่ะ”
“ความน่ากลัวของเธอสาธยายสิบวันก็ไม่หมด”
เนตรศิตางศุ์เห็นใบหม่อนทำท่าจะบีบคอมาริโอ้ เนตรศิตางศุ์รีบดึงมาริโอ้ฉีกออกมาอีกด้าน
“แล้วเป็นไงมาไง ทำไมคุณออนซ์ถึงมาเป็นนางเอกแทนได้ล่ะคะ”
“ยัยน้องออนซ์เหรอ ก็...”
ทันใดนั้นใบหม่อนสะบัดหน้าหันมองออกไปทางนอกห้อง เหมือนได้ยินอะไรสักอย่าง แล้วลอยทะลุประตูอย่างฉุนฉียวด้วยความแค้น เนตรศิตางศุ์เห็นใบหม่อนดังนั้นก็ตกใจรีบตามออกไป
“คุณใบหม่อน...แย่แล้ว”
“อ้าว...ยังเล่าไม่จบเลย”
“ใครไปอยากฟังแก พูดมาก”
“แกพูดน้อยนักนี่”
“เอาอีกแล้ว”
ลูกข่างส่ายหัว
เนตรศิตางศุ์รีบเดินตามหาใบหม่อนมาตามทาง มองหาไปทุกๆ ด้าน แต่ไม่เจอ มองหาตามห้องนั้นห้องนี้ มุมต่างๆ ก็ไม่เจอ เนตรศิตางศุ์เดินเลี้ยวเข้าภายในโรงละคร หลังม่านแล้วต้องชะงักเมื่อเห็นน้องออนซ์ยืนกอดอยู่กับปาณัท
เนตรศิตางศุ์ตกใจรีบมองหาใบหม่อน พบว่าใบหม่อนยืนจ้องเขม็งอยู่ไม่ไกลกัน สีหน้าใบหม่อนโกรธขึ้ง แค้นรุนแรง จนเส้นผมปลิวสยายน่าขนลุก ข้าวของบริเวณนั้น พวกผ้าม่าน มีดดาบพร๊อพ ฯลฯ ขยับเขยื้อน ปลิวคว้าง ว่อนไปหมด จนคนตกใจ ร้องวี้ดว้าย ก้มหลบสิ่งของจ้าละหวั่น
“เกิดอะไรขึ้น” น้องออนซ์ถามอย่างตกใจ
“ใบหม่อน ต้องเป็นใบหม่อนแน่ๆ”
ใบหม่อนไม่หยุด
“พวกแก...ตาย!”
ญาณินกำลังเก็บข้าวของยัดใส่กระเป๋า ป้าอรวรรณเข้ามา
“ป้าออเก็บของ เราจะกลับกรุงเทพ เดี๋ยวนี้”
“คุณหนู แน่ใจแล้วเหรอ...”
“ป้ายังไม่ต้องว่าหนูเลย เอาไว้กลับไปถึงบริษัท แล้วป้าค่อยรุมด่าหนูทีเดียวพร้อมกับเพื่อนๆ”
“คุณหนูใจร้อนไปหรือเปล่าคะ”
“หนูใจเย็นที่สุดแล้วค่ะป้า แต่อีตาฝรั่งดองเค้าไม่เชื่อเรื่องที่หนูบอก เค้าหาว่าหนูเป็นตัวประหลาด ป้าจะให้หนูอยู่อีกเหรอ”
“ป้าไม่ได้จะว่าอะไรหรอก ยังไงป้าก็อยู่ข้างคุณหนูอยู่แล้ว”
“ขอบคุณค่ะ”
“งั้นป้าไปเก็บของๆ ป้านะคะ”
ป้าอรวรรณออกไป ทันใดมีลมพัดแรงมากระทบญาณิน
“คุณหลวง...ใช่มั้ยคะ...หนูขอโทษนะคะ หนูทำเต็มที่ที่สุดแล้ว” ยังคงมีลมพัดวูบมา “มีอะไรกับหนูอีกคะ”
ญาณินตัดสินใจหลับตา
จิตญาณินมาปรากฏตรงบริเวณที่ดินริมน้ำ หลวงพิชัยภักดียืนรอญาณินอยู่
“หนูอยู่ช่วยเจ้าติณห์ มันนานอีกสักนิดไม่ได้หรือ”
“หนูเสียใจค่ะคุณหลวง”
“อย่างน้อยก็ช่วยจนกว่าหลานฉันมันจะเปิดไอ้สอดๆ อะไรของมันได้”
“หลานชายคุณหลวงไล่หนูออกแล้ว จะให้หนูอยู่ต่อไปในฐานะอะไรล่ะคะ”
“ฐานะลูกจ้างของชั้นน่ะสิ”
“ลูกจ้างของคุณหลวง?”
“ชั้นมีทองคำซ่อนอยู่ในที่ดินผืนนี้ มีแต่ชั้นคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน ถ้าหนูรับปากว่าจะทำงานให้ชั้น ชั้นจะบอกที่ซ่อนทองคำให้ ไม่รู้ว่าทองคำสมัยนี้มันบาทละเท่าไหร่”
“บาทละสองหมื่นห้าแล้วค่ะ”
“ชั้นมีทองคำแท่งๆ ละสิบบาท ถ้าหนูยอมช่วยชั้น ชั้นจะยกทองให้หนู...สิบแท่งเลย”
“สิบแท่ง แท่งละสิบบาท....สองล้านห้า”
“คิดเลขไวเชียวนะ หนูตกลงทำงานให้ชั้นใช่มั้ย”
“เอ่อ...หนู...มีเพื่อนอีกสี่คน คุณหลวงเลือกพวกเธอแทนหนูแล้วกันนะคะ”
“นังหนูสองคนนั่นเหมือนกุ้งแห้ง ไอ้ติณห์คงไม่ชอบ ฉันรู้ว่ามันชอบผู้หญิงแบบไหน ส่วนอีกสองคนก็เปราะบางเหมือนตุ๊กตา สรุปว่าหนูถูกใจฉัน เอ๊ย! ถูกใจไอ้ติณห์ที่สุด”
“เอ่อ...”
“หนูไม่สงสารมันเหรอ”
“อย่าคิดนานนักนะ หนูก็เห็นว่าเจ้าติณห์ มีทั้งคนทั้งผีคิดร้ายอยู่เต็มไปหมด เจ้าติณห์ต้องการใครสักคนที่อยู่ข้างมันจริงๆ...เหมือนอย่างหนู ไม่อย่างนั้นมันหายนะแน่ๆ”
ญาณินลังเลใจ เงินไม่ใช่น้อยๆ
“สองล้านห้าแน่ะ...เอาไงดี”
ส่วนที่โรงละคร ข้าวของยังปลิวกระจัดกระจาย ปาณัทกับน้องออนซ์คอยหลบหลีกปัดป้องไม่ให้มีอันตรายเนตรศิตางศุ์รีบวิ่งไปหาใบหม่อน
“คุณใบหม่อน...เนตรกำลังช่วยคุณอยู่ คุณต้องไว้ใจเนตร อย่าทำอย่างนี้ หยุดเถอะนะคะ”
ใบหน้าใบหม่อนซีดขาวตัดกับสีเลือดกับดวงตาที่แดงก่ำ
“แย่งบทชั้นยังไม่พอ ยังจะมาแย่งพี่ปาณัทของชั้นอีก...แกตาย”
“คุณใบหม่อน...มีสติหน่อยสิคะ...คุณตายไปแล้ว คุณกับเขาอยู่คนละภพคนละโลก ไม่มีประโยชน์ที่คุณจะตามหึงหวงเค้าอีกต่อไป...คิดสิคะ...ถ้าคุณอาละวาดอย่างนี้ คนที่คุณรักก็จะพูดถึงคุณว่าเป็นผีร้าย ผีเฮี้ยน และเค้าก็จะเกลียดและกลัวคุณตลอดไป...คุณอยากให้คนที่คุณรักรู้สึกอย่างนั้นเหรอ หยุดเถอะ”
ใบหม่อนหันมาทางเนตรสิตางศุ์ควับ เนตรสิตางศุ์สะดุ้งตกใจ
“แต่เธอต้องสัญญาว่าจะช่วยชั้น”
“ห๊า...อะไรนะคะ...เนตรไม่ได้ยินคุณพูดนะคะ พูดช้าๆ หน่อยค๊า”
ข้าวของยังลอยคว้างอยู่ ปาณัทและน้องออนซ์กระจายไปคนละทิศ
“สัญญา...”
“สัญญา...ค่ะๆ”
“เธอต้องช่วยชั้น”
“ช่วย...ได้ค่ะ...เนตรจะมาที่นี่ทุกวันเลยนะคะ” เนตรศิตางศุ์ยกนิ้ว 3 นิ้ว “เนตรสัญญาค่ะ” ใบหม่อนสงบลง ค่อยๆ หายตัวไป ทุกอย่างกลับสู่ปกติ “ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมาก”
เนตรศิตางศุ์โล่งอก ทันใดเสียงข้อความเข้ามือถือของเนตรศิตางศุ์ดัง เนตรศิตางศุ์หยิบมาดู
“พี่ณัฐ” เนตรศิตางศุ์ดูนาฬิกาแล้วตกใจ “บ่ายสามโมงแล้ว จะถึงเวลาพี่ณัฐมารับกลับบ้านแล้ว...หมอ...หมออยู่ไหน” เนตรศิตางศุ์รีบวิ่งไปทันที เนตรศิตางศุ์วิ่งออกมานอกโรงละคร มองหาหมอวรวรรธ แต่หาไม่เจอ “หมอไปอยู่ไหนเนี่ย” เนตริศตางศุ์หยิบมือถือขึ้นมากดโทร “รับสิหมอ รับๆๆๆ”
ระหว่างนั้นเนตรศิตางศุ์เหลือบไปเห็นรถตู้ กรุงเทพ-พัทยาแล่นผ่านไป เนตรศิตางศุ์มองตามรถตู้นั้นไปตลอด ไม่ละสายตา
ที่ริเวอร์มูนรีสอร์ท เสี่ยปิยะพันธ์ดีใจเมื่อรู้ว่าติณห์ไล่ญาณินไปแล้ว
“ติณห์ไล่อินังนักตกแต่งสาวไปแล้วจริงๆ เหรอ...เยี่ยมมาก เพนนีลูกสาวเตี่ย”
“พรุ่งนี้ ผมจะปล่อยให้คุณติณห์สิ้นหวังและท้อใจอีกวัน แล้วค่อยหาโอกาสไปเกริ่น...”
“เกริ่นเร็วๆ ด้วยล่ะ อย่าปล่อยให้มันไปเอาใครมาแทนอีก”
“คราวนี้คงไม่มีใครแล้วล่ะครับ”
“ดี...แบบนี้ค่อยอารมณ์ดีหน่อย”
“เตี่ยต้องให้ค่าที่ดินคุณติณห์เยอะๆ หน่อยนะคะ คุณติณห์จะได้เอามาจัดงานแต่งงานให้หนูหรูๆ หน่อย”
“ถ้ามันยอมขาย...เตี่ยจะไม่เรียกสินสอดมันเลย แล้วจะสร้างเรือนหอแถมให้ใหม่ในที่ผืนนั้นด้วย แกอยากทรงอะไรล่ะ ทอสกาน่า หรือมาร็อคโค่”
“สร้างทับไอ้เรือนไทยสัปรังเคนั่นไปเลยนะคะ เตี่ย ฮิๆๆๆ”
“พอๆๆ หยุดฝันเฟื่องกันได้แล้วเรา ถ้าเกิดมันยังยืนยันไม่ขายอีกล่ะ”
ทันใดมือถือเสี่ยปิยพันธ์ดัง
“ฮัลโหล...” เสี่ยปิยะพันธ์ตาวาว “ลูกเปรม...ลูกชายพ่อ แกกำลังจะกลับมาแล้วใช่มั้ย ดี...”
“คุณเปรมจะกลับมาเหรอ”
“ถ้าไอ้ติณห์พูดรู้เรื่อง...มันก็จะอยู่ดีมีสุขกะเพนนี ไปตราบชั่วนิจนิรันดร์ แต่ถ้ามันมีปัญหาอีกล่ะก็...ไอ้เปรมลูกเตี่ย มันจะเคลียร์ทุกอย่างแทนเตี่ยเอง ถ้าจุดสุดท้าย...มันกลายเป็นแบบนั้น เพนนี...แกก็ต้องตัดใจซะนะ”
เสี่ยปิยพันธ์บอกหน้าเหี้ยม กำนันพงษ์คิดหนัก เพ็ญนภาหน้าซีด
ณัฐเดชเข้ามาในบริษัทซิกซ์เซ้นส์พร้อมสั่งการลูกน้องตำรวจที่แต่งตัวแบบทีมสืบสวนที่เกิดเหตุ ทุกคนวิ่งแยกย้ายทำงานของตัวเอง หารอยนิ้วมือ หาเศษเส้นผม เก็บใส่ถุงซิปล็อก ราวกับมาจากหนังCSI ก๊องยืนมองอยู่ก่อนแล้ว
สุคนธรส กรรณา กรรัมภาได้ยินเสียงดัง เลยเดินออกมาสมทบ ทุกคนมึนงง
“พี่กรรณ มีใครตายที่นี่เหรอ”
“ทุกคนกรุณาให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ด้วย อย่าทำอะไรที่ไม่ดีต่อรูปคดี...ผู้หมวด เอาตัวไปสอบปากคำ”
“ห๊า”
“พี่ณัฐ...ยัยเนตรแค่หายตัวไป ไม่ได้ถูกฆาตกรรมนะ”
“พี่ใช้เส้นสายส่วนตัว ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เว่อร์วีว่าขนาดนี้ มันไม่ถูกต้องนะคะ”
“ถ้าพวกเธอดูแลยัยเนตรดี พี่ก็ไม่ต้องทำแบบนี้หรอก”
“โห...แบบนี้พี่เนตรคงต้องเป็นโสดไปจนตาย ใครจะกล้ามาจีบ”
ณัฐเดชตาลุก เข้ามากระชากคอก๊อง
“ก็ดีสิ น้องชั้นเป็นโสดตลอดไปก็ดี ดีกว่ามีผู้ชายเลวๆ มาวอแว ฮึ่ย!” ณัฐดชเหวี่ยงก๊อง กระเด็นไป
“เฮ้ย พี่ณัฐ น้องใคร ใครก็รักนะเพ่” กรรณาเข้ามาลูบหัวก๊อง
“พี่คับ...หนูเจ็บ” ก๊องได้โอกาสอ้อน
“พอเลยๆๆ” กรรณาผลักก๊องไป
“พี่ณัฐทำอย่างนี้ ไม่คิดว่ายัยเนตรจะอึดอัดบ้างเหรอ บางทียัยเนตรอาจตั้งใจหายตัวไปเองก็ได้”
“ฮ้า...ยัยรส...พูดแบบนี้...แสดงว่า...พวกเธอรู้เห็นกับการหายตัวไปของยัยน้องหนู...ใช่มั้ย”
อยู่ๆ เนตรศิตางศุ์ก็เดินออกมาด้วยหน้าตาบ๊องแบ๊ว ใสซื่อ
“เกิดอะไรขึ้นคะพี่ณัฐ...ทำไมตำรวจเต็มเลย”
“ยัยเนตร”
อีกด้านหนึ่งที่บ้านเสี่ยจำเริญ เสาวภาพยุงพาอาม่าเดินไปมาช้าๆ ในสนามแล้วสอนอาม่าทำกายภาพ
“เอ่า แกว่งแขน หน้า หลัง หน้า หลัง หนึ่ง สอง หนึ่ง สอง...”
“อาม่าเมื่อยแล้ว”
“อาม่าต้องอดทนสิคะ...อะไรกัน เดินนิดเดียวก็บ่น แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะแข็งแรง” เสาวภาดุ เสี่ยจำเริญเดินมาเห็นเหตุการณ์
“อาอี๊...อย่าดุคนแก่นักสิ”
เสาวภาหันมา ค้อนตาขวาง
“ชั้นแค่ทำหน้าที่คนอาศัยที่มีความกตัญญูเท่านั้นแหละ อยากได้คำพูดหวานๆ ก็ให้เมียตัวเองทำหน้าที่สะใภ้ที่ดีสิ” เสาวภาเดินสะบัดไป เสี่ยจำเริญเหนื่อยใจ กำลังจะเข้าไปดูแลอาม่าเองแต่ไตรรัตน์เข้ามาแทนที่
“มาครับ...ม่า...ผมจะดูแลอาม่าเอง...ม่าเหนื่อยแล้ว...เกาะแขนผมนะ”
“มาพอดีเลยอาตี๋น้อย เพิ่งมาจากตรวจงานตลาดเหรอ” เสี่ยจำเริญถามลูกชาย
“ใช่ครับ”
“อาตี๋เล็ก...ลื้อเป็นเด็กที่ดีมาก ลื้อต้องประสบแต่ความสุข ความเจริญ ได้พบกับเนื้อคู่เร็วๆ นี้ และได้แต่งงานกันอย่างมีความสุข ออกลูกเต็มบ้าน หลานเต็มเมือง สืบตระกูลของเราต่อไป”
เจ๊หญิงเดินเข้ามา ยื่นมือถือให้ไตรรัตน์
“ใครโทรมาหาครับแม่”
“โทรชวนหนูรสไปดินเนอร์เดี๋ยวนี้”
“หา...ทำไมครับ”
“หนูรส...คือผู้หญิงที่ช่วยพวกเราไว้หลายอย่าง ดูอาม่าสิ จากที่เอาแต่นอนแซ่ว เวลานี้เดินออกปร๋อ...แกน่าจะพาหนูรสไปกินอะไรดีๆ เป็นการตอบแทนหน่อย”
“พ่อจองโต๊ะที่โรงแรมไอ้เทพไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”
“โทรเลยๆๆ”
“ผมรู้สึกไม่ค่อยสบาย อาม่า...เราเข้าบ้านกันเถอะ”
“เดี๋ยว...อาม่า...รอก่อน อาตี๋เล็ก...อย่ามาเยอะๆ...โทร”
“พ่อกับแม่ เชื่อไปได้ยังไงว่ายัยทอมเพี้ยนช่วยให้อาม่าอาการดีขึ้น เรื่องไล่ผีหรือเรื่องเข้าทรงอากง เพ้อเจ้อทั้งนั้น...ยัยสุคนธรสก็แค่พวกหาเงินจากความงมงายของคน”
“อีเคยเอาเงินลื้อเหรอ ตี๋เล็ก...อีเอาไปกี่บาท” อาม่าถามซื่อๆ
เสี่ยจำเริญผายมือไปทางไตรรัตน์ เชิงถามว่าได้เท่าไหร่ เพราะจริงๆ เสี่ยจำเริญก็เชื่อว่าสุคนธรสไม่ได้ต้องการ
เอาเงิน...ไตรรัตน์อึ้งไป
“ไม่เคย...แม้แต่บาทเดียว...ไม่เหมือนกับ...” เสี่ยจำเริญลดเสียงเบาลง เกรงใจเมีย “หมอสมคิด”
เจ๊หญิงกดโทรให้เอง มีคนรับสาย
“ฮัลโหล หนูรสเหรอจ๊ะ มีคนอยากพูดด้วย แป๊บนึงนะ...อ้ะ”
เจ๊หญิงยัดมือถือให้ไตรรัตน์ แบบบังคับ
“ถ้าเป็นพ่อ พ่อจะลองปรึกษาหนูสุคนธรส...ว่าเราจะกำจัดไอ้หมอผีงกไปจากแม่เราได้ไง”
เสี่ยจำเริญกระซิบบอก ไตรรัตน์สะดุดใจ คิดได้
สุคนธรสเดินแยกออกมา คุยโทรศัพท์กับไตรรัตน์
“จะชวนชั้นไปกินมื้อค่ำ เนื่องในโอกาสอะไรไม่ทราบ”
ไตรรัตน์กำลังพูดสายพลางควงอาม่าเดินเล่นช้าๆ เสี่ยจำเริญ เจ๊หญิงตามฟัง ตามควบคุมตลอด ไตรรัตน์ทำเป็นพูดดีด้วย
“คุณมีน้ำใจกับครอบครัวผมมาก ผมรู้สึกผิด แล้วก็ซาบซึ้งในสิ่งที่คุณทำ...ผมเลยอยากตอบแทนคุณบ้าง”
สุคนธรสหัวเราะกร้าว
“พ่อแม่นายคงบังคับมาล่ะสิ อาตี๋น้อย”
“ใช่...คุณก็เข้าใจทุกอย่างดีนี่”
“เข้าใจสิ พวกท่านเป็นคนดี แต่เราไม่ต้องตามใจท่านไปทุกเรื่องก็ได้นะ”
“แต่...ผมเอง...ก็มีเรื่องอยากคุยกับคุณ”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องนั้น”
“เรื่องนั้นน่ะ...เรื่องไหน”
“เรื่องของ...คนที่...เป็นเจ้าของสถานที่ๆ เราไปเจอกันครั้งแรกไง”
เจ๊หญิงมอง ลุ้นๆ ไตรรัตน์ฉีกยิ้ม กลบเกลื่อนไม่ให้แม่รู้ทัน
“หมอสมคิด?”
“หัวไวนี่”
“ก็ฉลาดนี่คับ...โอเค งั้นเหมาะเลย ชั้นก็อยากจะรู้ว่านอกจากมันหลอกแม่คุณ แล้วมันยังทำอะไรกะผู้คนทั่วไปบ้าง...เพราะที่มันเคยหลอกเอาเงินและขู่เข็ญหลานสาวของคนรู้จักของฉัน เราก็ยังเคลียร์ไม่จบเลย”
“ผมก็เหมือนกัน”
“งั้น...เอาร้านใกล้ๆ ปากซอยออฟฟิศชั้นนะ กินแบบธรรมดาๆ บ้านๆ ชั้นจะได้รีบไป รีบกลับ”
“ดี ตกลงครับ คุณว่ายังไง ผมก็ว่าตามนั้นครับ...แล้วเจอกันนะ บ๊ายบาย” ไตรรัตน์วางสาย หันมาบอกพ่อแม่ “พอใจรึยังครับ คุณพ่อคุณแม่ คุณอาม่า?”
เจ๊หญิงกับเสี่ยจำเริญดี๊ด๊าหันมาแปะมือกัน สำเร็จ
“ดีมาก หลานม่า...อย่างน้อย แม่หนูคนนี้ อาจจะทำให้ม่าได้คุยกะอากงอีกบ่อยๆ”
สุคนธรสถือสายอยู่ หน้าตามุ่งมั่น
“บางที...จะกระชากหน้ากากหมอสมคิด เราคงจำเป็นต้องร่วมมือกะนายนี่ด้วย”
ส่วนที่เมืองกาญจน์ ป้าอรวรรณกับญาณินเดินขนกระเป๋าของตนเองออกมาจากบ้านพัก ป้าอรวรรณตาโต ร้องลั่นอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“จริงๆ เหรอคะ...คุณหลวงจะจ้างคุณหนูด้วย ทองคำสิบบาท สิบแท่ง...นั่นมันเป็นเงิน...”
“สองล้านห้า”
“สองล้านห้า”
ป้าอรวรรณวางกระเป๋าลงพื้นทันที
“ค่ะ สองล้านห้า”
“สองล้านห้า” ป้าอรวรรณยังคงพูดทวนซ้ำๆ ไม่อยากเชื่อหู
“แต่หนูคิดว่ามันแปลกๆ ที่หนูจะทำงานโดยรับเงินค่าจ้างจากคนแล้วยังรับทองจากผีอีก...มันพิสดารเกินไป...ป้าออว่ามั้ยคะ”
“สองล้านห้า...”
“ป้าออ”
ป้าอรวรรณได้สติ
“โถ คุณหนู...การที่คุณหนูติดต่อกับวิญญาณได้ก็แปลกอยู่แล้ว ไม่มีอะไรแปลกไปกว่านี้หรอกค่ะ...สองล้านห้า”
“แต่ถ้าอีตาฝรั่ง รู้ว่าหนูรับทำงานให้คุณตาของเค้า ซึ่งเป็นผี เค้าต้องตะเพิดหนูแน่...หนูไม่ทำดีกว่า”
ญาณินจะไป โกลเด้นท์โผล่มากำลังว่ายน้ำท่ากบอยู่ในอากาศ ว่ายไปว่ายมา
“เค้าไม่เห็นผี ไม่เชื่อเรื่องผี จะรู้ได้ยังไงว่าเจ๊ทำงานให้ผี แต่ถ้าเจ๊ไม่ทำหนูฟันธงเลยว่าเจ๊จะเสียจายยยย”
“เสียใจเรื่องอะไร”
ป้าอรวรรณมองงงๆ ว่าญาณินพูดอะไรกับใคร
“หนูบอกไม่ได้ แต่หนูรู้ว่าคุณหลวงไม่ได้จะให้เจ๊แค่ทอง...มันมีมากกว่านั้น โฮะๆๆๆ”
“มากกว่าแค่ไหน ชั้นพูดแล้วว่าจะลาออก ชั้นก็ลาออก”
ญาณินเดินออกไป ป้าอรวรรณขนลุกๆ
“คุณหนูพูดกับ...ใครคะ”
“เรารู้กันอยู่...แก่ใจ...ซาบซึ้งเพียงไหน เรารู้กันอยู่แล้วหนา ไม่เคยเอ่ยคำว่ารักกันมากนักหนา ไม่เคยสรรหาคำหวานบอกกันสักคำ”
โกลเด้นท์ร้องบอก ป้าอรวรรณสยอง รีบตามญาณินไป
ที่บริษัทซิกซ์เซ้นส์ เนตรศิตางศุ์ดื้อดึงไม่ยอมบอกณัฐเดชว่าหายไปไหนมา
“เนตรไม่ได้ไปไหนค่ะ”
“แล้วทำไมพวกเราถึงหาไม่เจอ บอกมาตามตรงดีกว่า”
“สงสัยจะตาเซ่อกันหมดอ่ะครับ” ก๊องบอก ณัฐเดชหันมามองก๊องด้วยสายตาดุ “กัวครับ ไปดีๆ ก็ได้ครับ” ก๊อง หมุนตัวกลับ เดินหนีไป
“พี่ณัฐ...เนตรไม่ได้ไปไหนจริงๆ ก็แค่...เมื่อคืนเนตรเลือกลายผ้าม่านที่จะใช้ที่รีสอร์ทเมืองกาญฯทั้งคืน...เช้ามาเลยมึน...เวียนหัว...ไม่ค่อยสบาย...เนตรก็เลยแอบไปหลับในห้องเก็บของ”
“นอนในห้องเก็บของไปได้ยังไง ฝุ่นทั้งนั้น”
“เนตรก็ห่มผ้า...ห่มทั้งตัว มิดชิดหมดเลย ทุกคนเลยหาไม่เจอ มั้งคะ”
“แล้วทำไมพี่โทรไปไม่รับสาย”
“เอ่อ...อ้าว พี่ณัฐโทรมาเหรอ” เนตรศิตางศุ์หยิบมือถือออกมา “อุ๊ย จริงด้วย เนตรปิดเสียงเอาไว้ เลยไม่รู้เรื่อง...แย่จัง”
“แต่พี่โทรไปตั้ง...” ณัฐเดชจะซักต่อ เนตรศิตางศุ์เลยรีบตัดบท
“พี่ณัฐ...กลับบ้านก่อนเถอะค่ะ เนตรเวียนหัวอีกแล้ว ปวดตึ้บๆ เลย” เนตรศิตางศุ์จะลุก แล้วทรุด “ โอ๊ย...”
“เนตร...” ณัฐเดชรีบเข้าประคองด้วยความเป็นห่วง “ไหวมั้ย...ไปๆๆ กลับบ้านก่อน...เรียบร้อยแล้ว กลับๆ”
ณัฐเดชหันไปบอกตำรวจคนอื่นแล้วประคองเนตรศิตางศุ์ออกไป ก๊องโผล่มาแจ๋น
“จากสัญชาตญาณ พี่เนตรโกหก...พวกพี่ว่ามั้ย”
“นายไม่รู้อะไร อย่าพูดมากน่า ไปๆ แยกย้ายไปทำงาน” สุคนธรส กรรัมภาแยกย้ายกันไป กรรณาเห็นมือถือเนตรศิตางศุ์วางอยู่ที่โซฟา หยิบขึ้นมา
“มือถือยัยเนตร...” กรรณาเห็นมิสคอลในมือถือเขียนว่าหมอวรรธ “หมอวรวรรธ?”
ทันใด มือถือสั่น หมอวรวรรธโทรเข้ามาพอดี
“อ้าว...”
-กรรณาลังเลว่าจะรับหรือไม่รับ กำลังจะกดรับสาย อยู่ๆ เนตรศิตางศุ์เข้ามาดึงมือถือคืนไปซะก่อน เนตรศิตางศุ์เอามือถือมา แล้วกดตัดสายทิ้ง
“ขอบใจนะ”
เนตรศิตางศุ์ยิ้มกลบเกลื่อน รีบออกไป
“หมอวรวรรธโทรหายัยเนตรทำไม”
กรรณามองอย่างสงสัย จับผิด
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 5 (ต่อ)
อีกด้านขณะนั้นทนายสมชาติเดินอ้อนวอนไปรอบๆ ตัวติณห์
“คุณติณห์จะปล่อยให้คุณญาณินไปจริงๆ เหรอครับ เปลี่ยนผู้รับเหมาบ่อยๆ งานก่อสร้างไม่เดินหน้านะครับ ตั้งแต่เริ่มก่อสร้างมา ทีมคุณญาณินทำงานได้นานที่สุด และก็ไม่เคยโวยวายเรื่องถูกผีหลอกสักครั้ง...ผมไม่คิดว่าจะมีทีมไหนที่ดีกว่านี้อีกแล้ว”
“กะอีแค่หาผู้รับเหมาใหม่ มันจะยากอะไร เดี๋ยวเพนนีให้ป่ะป๋าช่วยก็ได้”
อยู่ๆ ป้าอวรรณเดินลากญาณินเข้ามา ป้าอรวรรณทำหน้าออดอ้อน หิ้วกระเป๋าเสื้อผ้ามาด้วย
“คุณติณห์คะ...คือเราจะมาบอกว่า”
“ชั้นจะส่งใบเรียกเก็บค่าใช้จ่ายที่ชั้นได้ทำไปแล้วตามมาทีหลัง” ญาณินชิงบอกตัดหน้า
“ต๊าย ช่างกล้าพูด เธอเองก็ต้องจ่ายค่ายกเลิกสัญญาจ้างให้กับติณห์ด้วย”
“อะไรนะ”
“ไม่อยากบอกเลยครับ...ว่าสิบเปอร์เซ็นต์ของราคาจ้าง” ทนายสมชาติบอกอย่างสงบเสงี่ยม
“ห๊า...ก็เป็นล้านเลยสิ ทองก็ไม่ได้ แล้วยังต้องมาเสียเงินอีกเหรอ” ป้าอรวรรณทิ้งกระเป๋า “ไม่...คุณญาณินจะไม่ลาออก! เราจะทำงานต่อ”
โกลเด้นท์โผล่มา
“ไชโยๆๆๆๆๆ”
“ใครบอก? ป้าออ! นินไม่ทำ”
โกหลเด้นท์ทำหน้าสลด
“โอ๊โนๆๆๆๆ”
“คุณหนู...ทั้งหมดนี้จะต้องเป็นแผนการขับไล่เรา เพื่อกินเงินค่าปรับแน่ๆ เราต้องไม่ไป เราต้องทำงานให้เสร็จ...เพื่อเงิน เพื่อทอง และเพื่อประกาศให้โลกรู้ว่าเราทำได้”
“เธอบอกแล้วว่าจะไป ยังไงก็ต้องไป คนเราต้องรักษาคำพูดสิ” เพ็ญนภาบอก
“ถ้างั้น...คุณติณห์ก็ไล่เราออกสิคะ แล้วก็จ่ายค่าปรับมาให้เราแทน” ป้าอรวรรณบอก
“ติณห์ ไล่พวกมันออกไปเลยค่ะ” เพ็ญนภาหันไปบอกติณห์ ติณห์นิ่งคิด
“ตัดสินใจเลยคุณติณห์ ตามสัญชาติญาณของคุณเอง”
ทุกคนเงียบฟัง ญาณินไม่สนใจจะกลับท่าเดียว แต่ป้าอรวรรณดึงเอาไว้
“ถ้าคุณอยากอยู่ทำงานต่อ ผมก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว แต่อย่าพูดจาเพ้อเจ้อเรื่องผี แกรนด์ปาหรือผีบ้าบออะไรให้ผมได้ยินอีก แล้วก็รื้อเรือนไทยซะ”
“ชั้นไม่ได้เพ้อเจ้...อ...เรื่องเรือนไทย ชั้นก็ไม่รื้อ ไล่ชั้นสิ ๆๆ ไล่เลยๆๆ”
“เรื่องอะไรผมจะไล่ให้โง่”
“ติณห์”
“สรุปว่า...”
“สรุปว่าเราอยู่ต่อ เพราะคุณติณห์ไม่กล้าไล่พวกเราออก พวกเราก็ต้องจำใจอยู่ทำงานต่อ...เลิกแถว” ป้าอรวรรณรีบต้อนญาณินกลับ “ไปค่ะคุณหนู ไปๆๆๆ”
ทนายสมชาติช่วยป้าอรวรรณยกกระเป๋าไป
“ผมช่วยถือกระเป๋าครับ”
“โอเล้ๆๆ โอเหล่...”
ติณห์มองตามญาณินไปอย่างหมั่นไส้
“ติณห์...ทำไมติณห์ไม่ไล่มันออก”
“ผมไม่อยากมีปัญหาการฟ้องร้อง”
“แน่ใจนะว่าแค่นั้น ไม่ได้มีอะไรกับมันมากกว่านั้นใช่มั้ย...ใช่มั้ยคะติณห์”
“โอ๊ย...เบื่อยัยนี่จังเลย...”
โกลเด้นท์เป่าลมไปที่เพ็ญนภา เพ็ญนภากระโปรงเปิด
“ว๊ายๆๆ...”
ติณห์ถอนใจ หันเดินหนีเพ็ญนภากลับไป
“ติณห์ๆ อร๊ายๆๆๆ”
“ฮ่าๆ ฮี่ๆ”
โกลเด้นท์หัวเราะชอบใจ
ค่ำวันเดียวกันนั้นที่บริษัทซิกซ์เซ้นส์ ก๊องทำหน้าที่รดน้ำต้นไม้ บรรยากาศรอบๆ น่ากลัว หวิวๆ ลมพัดๆ ก๊องเดินมาหลังบ้าน แล้วสะดุ้งเมื่อเห็นหญิงผมยาวคนนึง ยืนอยู่มืดๆ
“เย้ย...ผีหลอก”
สุคนธรส ที่ใส่กางเกงขาสั้น เสื้อยืด รองเท้าผ้าใบหันมา ในมือถือกระจกที่เป็นเซ็ทแต่งหน้าที่เป็นอายแชโด้ว ที่ปัดแก้ม ลิปสติกแบบเอาพู่กันจิ้มทาปาก พอได้ยินก๊องร้องก็ตกใจ มือที่กำลังใช้พู่กันทาปากป้ายเลยไปที่แก้ม
“จ๊าก...ผีที่ไหนๆๆ”
“อ๊าว...พี่รสเองเหรอ แล้วมาแอบแต่งหน้าตรงนี้ทำไม”
“ไม่ได้แอบย่ะ แต่ไม่อยากให้ใครเห็น เดี๋ยวพวกนั้นก็มาล้อชั้นอีก” สุคนธรสเอากระดาษเช็ดที่เปื้อน กรรณากับกรรัมภาเดินออกมา ชูซิลิโคน 2 อันมา
“สุคนธรส...สิ่งที่เธอต้องการ ไม่ใช่เครื่องสำอางนะ ต้องเป็นไอ้นี่ตังหาก”
“นั่นไงๆ เอาแล้วไง”
“เฮ้...นี่ๆๆ แล้วไปดินเน่อร์กะตานั่น ไม่ควรใส่ชุดประจำวันแบบนั้นนะยะ ต้องนี่...ชั้นให้ยืมย่ะ” กรรัมภาถือชุดแสกสายเดียวสีสดใส่ไม้แขวนออกมา
“เห็นไหม ว่าพูดยังไม่ทันขาดคำ ทุกคนก็มากระหน่ำซ้ำเติมขนาดนี้ เราจะไปกินกันร้านข้างถนน แบบธรรมดาๆ บ้านๆแถวๆนี้จ้า แล้วขอให้รู้ไว้นะว่าที่ชั้นจะไปคุยกะอีตานี่ ...ก็เพราะต้องการกระชากหน้ากากไอ้หมอผีที่หลอกลวงคน ลำพังตัวของไอ้นายไตวายหน้าภาชนะหุงต้มเนี่ยนะ ชั้นรังเกียจมาก รู้ไว้ด้วย เพราะเค้าเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณคน เราช่วยเค้ากี่ที เค้าก็ไม่สำนึก นิสัยส่วนตัวก็ห่วย หาความเป็นสุภาพบุรุษไม่ได้ ชั้นว่านะว่านายไตรรัตน์ต้องมีปมด้อย...เพราะต้องโดนผู้หญิงเฉดหัวทิ้งอย่างไม่ใยดี จนหักอกยับเยินมาแน่ๆ” ทุกคนพากันเงียบ มองไปข้างหลังสุคนธรส “เงียบกันไปทำไม อ๋อ ซึ้งในสุนทรพจน์ของชั้นเหรอ ชั้นจะบอกให้นะ นายไตรรัตน์คนนี้ ยังเป็นคนลืมตัว เหมือนวัวลืมตีนอีกด้วย กล้าดูถูกความเชื่อแบบไทยๆ ความนับถือในพระพุทธคุณ เรื่องเวรกรรม ผีสางเทวดาเค้าก็ไม่เชื่อ สงสัยเพราะไปอยู่เมืองนอกมานาน ไปกลืนน้ำลายฝรั่งมามาก เลยโง่ไง คนแบบนี้ ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา”
มีเสียงกระแอมเบาๆ ข้างหลัง สุคนธรสสะดุ้งหันไป จึงเห็นไตรรัตน์ยืนหน้ามึนๆ อยู่ ใส่ชุดหล่อ
“พร้อมไปดินเนอร์หรือยัง”
สุคนธรสอยากจะอาละวาด หันมามองเพื่อนๆ และก๊องตาลุกเป็นไฟ ทุกคนยิ้มแหะๆ พยายามซ่อนที่หลังอีกคน
ไตรรัตน์เดินนำอาดๆ เข้ามาในโรงแรมหรู
“เชิญครับคุณผู้หญิง...”
สุคนธรสอยู่ในชุดกางเกงขาสั้น เสื้อยืด ดูกะโปโลนิดหน่อย
“ไหนบอกว่าจะไปแถวร้านปากซอย อาหารธรรมดาๆ บ้านๆ แล้วพาชั้นมาโฮเต็ลหรูหราไฮโซทำไม”
“นี่แหละธรรมดาๆ...แบบบ้านๆ”
“บ้านคุณน่ะสิ แต่ไม่ใช่บ้านชั้น...” คนที่ผ่านไปมาเป็นพวกไฮโซชุดสูท-ราตรี “ชั้นเลยกลายเป็นอะไรเอ่ย ไม่เข้าพวก เหมือนคนไม่รู้กาลเทศะไปเลย ดูสิ”
“คนอย่างคุณแคร์ด้วยเหรอว่าใครจะมองยังไง เข้าไป”
ไตรรัตน์ดึงแขนแต่สุคนธรสไม่ยอมไป
“ไม่เอา...ไปกินหอยทอดที่ร้านข้างหน้าดีกว่า”
“ผมจะกินสเต็กๆๆๆ”
“ชั้นจะกินหอยทอดๆๆ”
ไตรรัตน์ดึงกระชาก จนสุคนธรสเสียหลักเซเข้าซบไตรรัตน์พอดี ทุกคนมองกัน คิกคัก ซุบซิบ
“ถ้าไม่อยากให้คนมอง ก็อย่าโวยวาย... ไป”
ไตรรัตน์คว้ามือสุคนธรสมา จูงเข้าไปด้านใน
ไตรรัตน์พาสุคนธรสเข้ามาในลิฟต์แออัดกับผู้ชายใส่สูทกลุ่มหนึ่ง ลิฟต์ปิดสุคนธรสรู้สึกได้ทันทีว่าไม่ได้มีแต่ผีไอ้ธรรมที่ตามไตรรัตน์อยู่ แต่ยังมีวิญญาณอีกตนอยู่ตรงไหนสักที่ สุคนธรสควักหน้ากากขึ้นมาใส่ปิดจมูกทันที
“เอาผ้าอนามัยนั่นออกซะ”
“เขาเรียกหน้ากากอนามัยย่ะ ไม่ใช่ผ้าอนามัย”
คนในลิฟต์แอบมองสุคนธรสเป็นตาเดียว สุคนธรสอายรีบเอาหน้ากากอนามัยออก
“ในลิฟต์นี้ท่าจะเคยมีคนตาย”
สุคนธรสบอกผู้ชายใส่สูททั้งหลายหันมามองสุคนธรสด้วยสายตาดูแคลน สุคนธรสได้แต่ก้มหน้างุดๆ ไตรรัตน์กลั้นหัวเราะจนน้ำตาเล็ด ผู้ชายใส่สูทเริ่มขยับตัวถอยห่างจากเธอ เมื่อลิฟต์เปิดออกไตรรัตน์เดินออก สุคนธรสรีบเดินตามออกมาอย่างรวดเร็ว โดยไม่เห็นวิญญาณที่นั่งบนลิฟต์ซึ่งอยู่ในชุดแบบพนักงานซ่อมลิฟต์ สีหน้าของวิญญาณดูสอยงแต่ผู้ชายใส่สูทไม่รับรู้
ไตรรัตน์ลากสุคนธรสเข้ามาถึงหน้าห้องอาหารอิตาเลี่ยนในโรงแรม พนักงานมองสุคนธรสเหยียดๆ แต่ไม่แสดงออก ทำหน้านิ่งๆ สุคนธรสได้แต่เดินก้มหน้า ไม่กล้าสู้หน้าคน
“นายตั้งใจจะแกล้งชั้นใช่มั้ย”
“มองผมในแง่ดีบ้างสิครับ คนอย่างผมจริงใจ ไม่เคยมีเจตนาแอบแฝง”
สุคนธรสมองๆ จึงเห็นบรรยากาศห้องอาหารอิตาเลี่ยนที่ดูหรูหรา แชนเดอเลียใหญ่โต สง่าแบบสุดๆ แตกต่างกับตัวเธอโดยสิ้นเชิงสุคนธรสอึ้ง ไตรรัตน์ลากสุคนธรสเดินไปที่โต๊ะ
“เชิญครับ...เชิญ”
สุคนธรสกัดฟัน เชิด เดินไปอย่างสง่าเหมือนเดินแบบ ทนกล้ำกลืนต่อสายตาผู้คนที่มอง ไตรรัตน์แอบยิ้ม สะใจ
ทางด้านเพ็ญนภาเมื่อกลับมาบ้านเธอร้องกรี๊ดออกมาอย่างโมโหที่ญาณินไม่ยอมกลับกรุงเทพ
“ยัยยิปซีมันไม่ยอมไปนะคะ เตี่ย...มันกลับลำเฉยเลย หน้าด้านที่สุด”
“อ้าว...แล้วเตี่ยจะทำไงล่ะเนี่ย ตกลง แปลว่าไอ้ฝรั่งมันจะไม่ขายอีกแล้วใช่ไหม เล่นเกมขาย ไม่ขาย ขาย ไม่ขายอยู่แบบนี้ เตี่ยหัวใจวายตายไปว่าไง ใครจะรับผิดชอบ”
“งั้น...เตี่ยจัดหนักให้เพนนีทีสิคะ ไล่มันออกไปจากชีวิตติณห์”
“หมายความว่า...จะให้ชั้น รักจัดหนัก กะอินังหนูรับจ้างออกแบบตกแต่งคนนี้ใช่ไหม”
“เตี่ยจะทำยังไงก็ทำ ให้นังญาณินมันสลายตัวไปให้ได้ก็แล้วกัน เตี่ยก็จะได้ที่ดิน หนูก็จะได้ติณห์...เตี่ยเก็ตไหมล่ะคะ”
เสี่ยปิยะพันธ์คิดจัดการญาณิน
ทางด้านไตรรัตน์กับสุคนธรส ไตรรัตน์ยิ้มยียวนมองสุคนธรสที่กำลังอึ้ง มึนงงกับจาน ช้อน ส้อม มีด แก้วแบบต่างๆ ที่วางเรียงสวยงามแบบครบเซ็ท ถูกหลักสากล
“ผมสั่งอาหารไว้ล่วงหน้าแล้ว...พิเศษ เพื่อคุณโดยเฉพาะ” พนักงานเริ่มยกอาหารมาวางเสิร์ฟ พวกซุป สลัด คอกเทลเล็กๆ “เชิญรับประทานสิครับ” สุคนธรสอึกอัก เริ่มไม่ถูก จะหยิบส้อมข้างจาน แต่เผลอทำเสียงดัง แล้วยังส้อมทำหล่นอีก พวกแขกไฮโซในร้านหันมามองๆ สุคนธรสยิ้มเฝื่อนๆ “คุณดื่มไวน์ไหม”
“ฉันถือศีลห้า สุราเมระยะ...”
“สาธุ” ไตรรัตน์ประนมไหว้พร้อมยิ้มขำขัน
“บาปกรรม...ที่โลกมันวุ่นวายทุกวันนี้ก็เพราะผู้คนพากันมองข้ามศีลห้าเหมือนคุณนี่แหละ”
“โอเค ผมขอโทษที่ล้อเลียนคุณ”
สุคนธรสจ้องหน้าไตรรัตน์อย่างเอาเรื่อง
“ไม่ต้องมาพูดลอยหน้าลอยตา นายก็รู้ว่าชั้นเป็นคนบ้านนอก เป็นเด็กวัด”
“ผมไม่รู้ คุณจบตั้งปริญญา ใครจะไปคิดว่าคุณไม่เข้าใจมารยาทสากล”
สุคนธรสเหลืออด เผลอลุกยืน
“นี่ด่าชั้นเหรอ”
แขกไฮโซหันมาจ้องสุคนธรสอย่างตำหนิ
“ถ้าไม่อยากเด่นมากไปกว่านี้ นั่งสงบๆ ดีกว่านะครับ”
“ได้...ยังไงชั้นก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว งั้นก็ให้มันสุดๆ ไปเลย”
“อะไร! อะไรของคุณ” สุคนธรสยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม แล้วเงยหน้า กลั้วคอ เสียงโครกครากๆ “เฮ้ย...คุณ...จะบ้าเหรอ”
สุคนธรสพ่นใส่หน้าไตรรัตน์
“โห...ทำไมเย็นอย่างงี้...ลิ้นชาหมดแล้ว”
“เฮ้ย... อะไรเนี้ย...” ไตรรัตน์โวยวาย แต่นึกขึ้นได้ รีบเก็บอาการ คนทั้งห้องหันมามอง ไตรรัตน์รีบนั่งลงเอาผ้าเช็ดปากขึ้นมาเช็ดหน้าตา
“หึๆ อายเหรอ อย่าเพิ่งๆ นี่แค่ออเดิร์ฟ ยังมีเมนคอร์สอีก” พนักงานถืออาหารหลักมาเสิร์ฟพอดี “พูดปุ๊บก็มาปั๊บ ว้าว สเต๊ก กินๆๆๆ”
“โอเคๆ หยุดได้แล้ว ผมไม่แกล้งคุณแล้ว”
สุคนธรสเอามีดหั่นเนื้อแบบจงใจให้เกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดๆ
“อะไรนะ”
“อย่าทำแบบนี้...อูยยย...มัน...มันเสียว”
“เสียวจริงอ้ะ”
สุคนธรสเอามีดครูดจานไม่หยุด...ไตรรัตน์ คนในร้าน รวมถึงพนักงานเสียวหูไปตามๆกัน ทุกคนมีอาการบิดๆนิดๆ ไปตามๆ กัน สุคนธรสหั่นสุดแรง สเต็กปลิ้นกระเด็นไปโดนคุณนายโต๊ะข้างๆ
“หยุดๆๆๆ หยุดบ้าได้แล้ว” ไตรรัตน์ทนไม่ได้ ถึงขั้นลุกดึงมีดในมือสุคนธรสมา
“แฮ่ๆ...สงสัยมันยังไม่ตาย” สุคนธรสบกกบคุณนายโต๊ะข้างๆ
“ไป ออกไปเดี๋ยวนี้”
ไตรรัตน์ต้องรีบลากสุคนธรสออกไปจากร้าน
“เนื้ออะไร เหนียวขนาดนี้ หั่นทีกระเด้งข้ามโต๊ะเลย เปิดร้านอาหารได้ไงฟระ” สุคนธรสโวยวาย
ไตรรัตน์ลากสุคนธรสออกมาจากร้านอาหาร
“เธอมันแสบที่สุด”
“แล้วใครหาเรื่องชั้นก่อนล่ะ! เล่นกะใครไม่เล่น...นี่เหรอ ที่บอกว่าจะมาหาทางช่วยกันแก้ปัญหาเรื่องหมอผีขี้โกง...”
สุคนธรสจะเดินไป แต่ไตรรัตน์ตามมาคว้ามือไว้
“จะไปไหน ผมยังไม่หมดธุระกับคุณเลย”
“แต่ชั้นไม่เชื่อนายอีกแล้ว เราต่างคนต่างทำภารกิจของตัวเองไปละกัน นายก็ดูแลพ่อแม่ญาติๆ ของนายไป ชั้นกับเพื่อนๆ จะไปจัดการกับพวกมันแบบของชั้น จบ”
ไตรรัตน์ดึงสุคนธรสแน่น
“อย่าหนีสิ คุณไม่กล้าเผยความจริงใช่ไหม ถึงคิดจะหนี”
“ความจริงอะไร”
“คุณไม่มีอำนาจพิเศษอะไรหรอก คุณกำลังหลอกลวงครอบครัวผม คุณ...กับไอ้หมอสมคิด เป็นคู่แข่งกัน ที่กำลังเล่นเกม...เพื่อแย่งลูกค้าเงินถุงเงินถังอย่างแม่ผม เพราะท่านคือเหยื่ออันโอชะไงล่ะ”
“อีตาบ้า”
สุคนธรสพยายามชก แต่ไตรรัตน์โผเข้าไปใช้ตัวกันเอาไว้ แล้วลากสุคนธรสออกไป
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วยๆๆ”
ไตรรัตน์ลากสุคนธรสขึ้นบันไดหนีไฟ
“ปล่อย...จะพาฉันไปไหน...ไอ้บ้ากาม”
ไตรรัตน์ยิ้มยียวน
“ทำไม...กลัวผมเหรอ งั้นก็สำแดงอิทธิฤทธิ์สิ เสกหนังควายเข้าท้องผมเลย ขอควายตัวเมียด้วยนะ”
“นี่ อย่ามาลบหลู่ชั้นนะ”
“ทำไม ก็ไม่เชื่อนี่ ไม่เชื่อ ก็ต้องลบหลู่สิ”
“นายไตรรัตน์ สิ่งที่ฉันทำได้ ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมาล้อเล่น”
“ไหน ในกระเป๋าคุณนี่ มีเครื่องรางของขลังมากมายไม่ใช่เหรอ ลองควักออกมาโชว์ซิ น้ำมันพรายเป็นไง เก่งจริง...ก็ควักมาป้ายแล้วทำให้ผมหลงรักคุณดูสิ” ไตรรัตน์ลากสุคนธรสขึ้นไปเรื่อยๆ “มาเลย มา มาจัดการกับผมเลย จะเสกอะไรก็จัดเต็มมาเลย”
ไตรรัตน์ดึงตัวสุคนธรสออกมาจากบันไดหนีไฟ ทันใดสุคนธรสก็ต้องตะลึงเพราะเป็นบริเวณสวนชั้นบนของโรงแรม
“ถูกใจมั้ย ขอต้อนรับสู่ลานโชว์ของของคุณได้ เพราะผมอยากลองของคุเต็มทีแล้ว”
สุคนธรสอึ้ง งง
ที่รีสอร์ทของติณห์ ป้าอรวรรณเดินบ่นไปบ่นมา
“อย่าคิดมากสิคะ คุณหนู เราทำ เพื่อทางรอดของบริษัทเรา เราทำเพราะถ้าเราเป็นฝ่ายทิ้งงานไป เราจะโดนปรับ และเราทำเพื่อทองคำในขุมทรัพย์ของผีคุณหลวง สรุปว่าเราไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากทำรีสอร์ทนี้ให้สำเร็จ” ป้าอรวรรณพูดจบ หันมาพบว่าญาณินนั่งเอียงๆ หลับไปแล้ว ป้าอรวรรณมองรอบๆ ตาหวั่นๆ “แบบนี้...แปลว่า...ถอดจิตออกไปแล้วล่ะสิคะ”
ระเบียงภายนอก ต้นไม้ไหวๆ หวิวๆ วังเวงๆ ญาณินกำลังยืนมองหน้ากับหลวงพิชัยภักดีอยู่ หลวงพิชัยภักดีจูงมือกับกุมารินี แต่งตัวแบบยุคละครปริศนา โก้ๆ ญาณินถอนใจ ส่ายหัว
“คุณตาพาพวกเราไปกันๆๆ เร้วๆๆ” กุมารินีเร่งเหมือนจะไปเที่ยวสนุก
“อา น้า ก็พอ...อย่าตาเลยนะ”
สนามหญ้า ที่มืดๆ ร่างกุมารินีในชุดกระโปรงบานปริศนาเดินนำมา แล้วกวาดมือไปตามทางกวาดไปทางไหน จากมืดๆ ก็กลายเป็นกลางวันสวยงามเหมือนสวรรค์ ญาณินเดินคุยมากับหลวงพิชัยภักดี
“อย่ายอมแพ้สิ ญาณิน...เราต้องร่วมมือกัน ปรองดอง สามัคคีกัน ชั้นรับรองว่าสิ่งที่เธอจะได้รับจะคุ้มยิ่งกว่าเงินทองหลายร้อยเท่า”
“หนูก็อยากรับข้อเสนอของคุณหลวงนะคะ...แต่หนูคิดว่าถ้าหนูอยู่ต่อไป ยังไงหนูก็อดจะขัดคอกับหลานชายและหลานสะใภ้คุณหลวงไม่ได้ แล้วหนูจะทนอยู่ให้พวกเค้ามากราดเกรี้ยวตะคอกอารมณ์เสียใส่ทำไม...หนูจะมอบหมายให้เพื่อนสักคน อาจจะเป็นยัยรส ไม่ก็กรรณา มาดูแลโปรเจคนี้แทน”
“หนูขอคัดค้าน” กุมารินีบอก
“ยัยปากแดงไม่ใช่สะใภ้ชั้น เธออย่ามาพูดแบบนี้ ชั้นไม่ยอมรับ”
“คุณหลวงไม่ยอมเข้าใจหนูบ้างเลย”
“ชั้นไม่เข้าใจ เธอคนเดียวเท่านั้นที่เหมาะสมกับเจ้าติณห์”
“หา...” ญาณินชะงัก
“หึๆๆ ชั้นรู้ว่าเธอก็แอบมีใจให้หลานชายชั้นใช่มั้ย ตั้งแต่วันแรกที่เธอมาแล้ว...อ้ะๆ อย่าปฏิเสธ ชั้นเป็นคาสซาโนวารุ่นคลาสสิคนะ เรื่องแค่นี้ ชั้นดูออก...ไม่ต้องเขิน เพราะชั้นก็ถูกใจเธอ ชั้นจะช่วยเชียร์ให้เอง”
“หนูเชียร์ด้วย ฮูเล่ๆ ฮ่าๆ ฮูล่าๆ เฮๆ”
“หยุด ไม่ต้องเชียร์ กองเชียร์สนุกกัน แต่คนที่ต้องลงสนามจะพ่ายแพ้ บาดเจ็บแค่ไหน จะมีใครมารับผิดชอบ พอเลย กุมาริกา คุณหลวง.. หนูกราบลาเลยแล้วกันนะคะ”
“เธอไม่ได้กลัวอารมณ์ฉุนเฉียวของเจ้าติณห์หร๊อก แต่เธอกลัวว่าจะรักหลานชายชั้นใช่มั้ยล่ะ?”
“ใช่ เจ๊จีจ้ากลัวพี่ติณห์จะเลือกเจ๊ปากแดง แล้วเจ๊จะอกหัก ไม่แฮปปี้เอนดิ้ง”
“นี่ไม่ใช่เรื่องของเด็กและคนชรานะคะ”
“บ่ายเบี่ยง ไม่กล้าตอบคำถามตรงๆ”
“หนูไม่ได้กลัว เพราะหนูไม่มีวันรู้สึกอะไรอย่างนั้นกับหลานชายคุณหลวงแน่”
“งั้นก็ไม่ต้องกลับ...อยู่ดูแลหลานชายชั้นก่อน เธอก็เห็นว่าหลานชายชั้นมันไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคนแถวนี้”
“คิดซะว่าทำบุญทำทานให้ดวงวิญญาณอาวุโสแล้วกันนะคะ”
“ใช่ๆ ช่วยชั้นให้เป็นอิสระ จะได้ไปผุดไปเกิดได้ซะที...นะ...ชั้นไม่เคยอยากไปเกิดเลย จนเจอเธอนี่แหละ เธอกับเจ้าติณห์เหมาะมาก ที่ชั้นจะไปเกิด...อย่าทำให้หัวใจน้อยๆ ของชั้นแตกสลายเลยนะ..น๊า...”
“โอ้โอ...สำนวน...”
“และอีกอย่าง เธอต้องช่วยเจ้าติณห์ไขปริศนาการตายของฉัน เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูลฉันกลับคืนมาให้เจ้าติณห์มัน”
ญาณินจนหนทางจะปฎิเสธ
สุคนธรสถูกผลักเข้ามาในสวน เดินถอยห่างไตรรัตน์ที่ก้าวเข้ามา
“เจ้าของโรงแรมนี้เป็นเพื่อนสนิทผม เพราะฉะนั้นผมรับรองได้ว่า ตลอดทั้งคืนนี้ สวนสวรรค์บนนี้จะมีแค่เรา อยู่กันสองต่อสอง ไม่ว่าจะทำอะไร วิตถาร พิสดาร เต็มไปด้วยอิทธิปาฏิหาริย์แค่ไหน ก็จะไม่มีใครเข้ามากวนใจ” ไตรรัตน์ ก้าวเข้ามา ใกล้สุคนธรสมากขึ้นๆ “มามะ...มาเลย...”
“อย่าเข้ามา”
สุคนธรสจะเตะผ่าหมาก แต่ไตรรัตน์คว้าเท้าสุคนธรสไว้ได้ อีกมือจับไหล่ดึงเข้ามาใกล้ตัว
“คุณเป็นอะไร...คิดว่าผมจะทำอะไรคุณ ผมแค่อยากให้คุณช่วยไล่ผีให้ผมหน่อย”
“ไล่ผี?”
ไตรรัตน์ถอยตัวออกจากสุคนธรส บรรยากาศผ่อนคลายลง
“ใช่...ก็คุณบอกว่ามีผีตามอาฆาตผมอยู่ ผมเลยอยากให้คุณช่วยผมให้ได้สื่อสารกับผีตนนั้น เหมือนที่คุณช่วยอาม่ากับอากงผม...แค่นี้เอง”
“แน่ใจว่าแค่นี้”
“คิดว่าผมจะปล้ำคุณเหรอ...โหยยยย ไม่แม้แต่จะคิด แบนยังกับแป้งโรตี” ไตรรัตน์ทำท่าร่อนแป้งแบบแขกขายโรตี “ไม่ใช่รสนิยมผม”
“ไอ้ปากเสีย” สุคนธรสจะเตะอีก แต่ไตรรัตน์ก็คว้าเท้าสุคนธรสไว้ได้อีก “ปล่อยชั้น”
“คุณจะช่วยผมมั้ย”
“ไม่ช่วย”
“ถ้าไม่ช่วย ผมไม่ปล่อยนะ...จะช่วยไม่ช่วย”
“ยังไงชั้นก็ไม่ช่วย...ไม่ช่วยๆๆๆๆ”
สุคนธรสฮึดพุ่งเข้าไปใช้มือคว้าคอไตรรัตน์โน้มกอดเพื่อจะดึงเท้าออก ทั้งคู่หันมาพบว่าตัวเองใกล้ชิดกันมากเกินไปแล้ว ทั้งคู่สบตากัน พอได้สติสุคนธรสรีบผลักไตรรัตน์
“ออกไป”
สุคนธรสเขินทำตัวไม่ถูก เดินลงจากดาดฟ้า ไตรรัตน์ตามมาข้างหลัง
“คุณมันก็แค่สิบแปดมงกุฎ”
“อะไรนะ”
“ทำเป็นอวดอ้างว่ามีวิชาอาคม...ปราบผีได้...เป็นร่างทรง...จริงๆ มันก็แค่มุขหลอกหากิน มายากลข้างถนน ต้มตุ๋นเงินชาวบ้านไปวันๆ คุณมันก็ไม่ต่างอะไรกะไอ้หมอผีสมคิดนั่นแหล่ะ”
สุคนธรสฉุนขาด ถลกแขนเสื้อ เดินพุ่งมาหาไตรรัตน์ กระชากคอเสื้อมา จ้องท้าทาย
“นายได้เจอของจริงแน่”
สุคนธรสเดินเข้ามากลางลานโล่งในบริเวณสวน
“ชั้นจะเชิญวิญญาณที่ตามนายให้มาเข้าร่างชั้น เหมือนตอนที่ชั้นให้อากงคุณเข้าร่างนั่นแหละ เวลานั้นชั้นจะไม่มีสติ ไม่เป็นตัวของตัวเอง...นายต้องเป็นคนคุย”
“ผม? จะให้ผมคุยอะไร”
“คุยเรื่องแก้ปัญหาน้ำท่วมมั้ง...อยากรู้อะไรก็ถามไปสิ เป็นใครมาจากไหน ทำไมคิดทำร้ายฉัน หรือใครใช้ให้แกมา อะไรทำนองนี้...ไหวมั้ยเนี่ย”
“แล้วถ้าเค้าไม่ตอบ”
“แก้ปัญหาเองบ้างเป็นมั้ย...ชั้นจะเริ่มแล้วนะ”
สุคนธรสล้วงมือลงในกระเป๋าแล้วหยิบธูปขึ้นมา 9 ดอก จากนั้นจุดธูปแล้วทรุดตัวลงคุกเข่า สุคนธรสหลับตา พนมมือ
“นะโม เม พระภูมิเทวานัง ธูปะทีปะ จะ ปุปผัง...”
ทันใดฟ้าเบื้องบนเริ่มปั่นป่วน เป็นสีแดง ไตรรัตน์กอดอกมอง เซ็งๆ แต่พอมองเห็นฟ้าก็ผงะ ฟ้าแดงฉาน เป็นวงวน
เวลาเดียวกันนั้นที่สำนักหมอผีสมคิด หมอผีสมคิดนอนหงาย สงบ จมตัวอยู่ก้นสระว่ายน้ำ ทดสอบลมหายใจ หน้านิ่งๆ ตาหมอผีสมคิดที่หลับเบิกตากว้างขึ้น พึ่บ! แล้วร่างหมอผีสมคิดก็ทะลึ่งพรวดขึ้นมา กล้า หาญ โดดลงมายืนในน้ำที่ประมาณเข่าด้วยความตกใจ
หมอผีสมคิดว่ายตรงไปที่ขอบสระ เหนี่ยวตัวขึ้น คว้าเสื้อคลุมมาสะบัดเป็นวงสวย แล้วสวมอย่างสง่างาม หน้าตาโหด กล้า หาญ ตะเกียกตะกายตาม
“ท่านหมอครับ...จะรีบไปไหนครับ”
“เข้าสำนัก มีคนเล่นเด็กข้าซะแล้ว”
“เล่นเด็ก”
“เออ! เด็กตัวโปรดซะด้วย” หมอผีสมคิดรีบเดินจ้ำอ้าวไป กล้ากับหาญรีบตามแทบไม่ทัน
สุคนธรสตัวเริ่มสั่น เหมือนตอนให้อากงเข้าสิง มีลมพัดแรง จนใบไม้ปลิวว่อน ไตรรัตน์มองบรรยากาศรอบๆ แล้วจับตามองสุคนธรส งงงัน
หมอผีสมคิดกำลังเดินเข้าสำนักโดยมี หาญกับกล้าเดินตามมา ในห้องเก็บโถใส่ผี โถใบนึง ที่มียันต์แปะ มีอาการสั่นๆๆๆ ระหว่างทางเดินขึ้นชั้น2 หมอผีสมคิดพยายามสู้ เหงื่อหยด1เม็ดใหญ่ๆ จากขมับติ๋งสู่ขากรรไกร...โถเก็บผีใบนั้นสั่นๆๆ ทันใด ยันต์หลุดลงมากองแผละ
สุคนธรสที่กำลังสั่นๆๆๆ ผวาแรงขึ้นมา แล้วคอพับคออ่อน นิ่งไป
“คุณ...คุณรส...” ไตรรัตน์เรียก สุคนธรสเงยหน้าขึ้นมาอีกที ทีแรกแววตาว่างเปล่าผิดกับเมื่อตอนกินข้าวโดยสิ้นเชิง “คุณรส...ผีเข้ายังวะ”
ทันใดแววตาสุคนธรสก็เปลี่ยน กลายเป็นแววตาอาฆาต อำมหิต เลือดเย็นสุดๆ ผีไอ้ธรรมเข้าสิงร่างสุคนธรสแล้ว แล้วสุคนธรสก็พุ่งผวาเข้าจะบีบคอไตรรัตน์
“มึงต้องตาย” เสียงสุคนธรสเปลี่ยนเป็นเสียงผู้ชาย
ทันทีที่สุคนธรสคว้าถูกคอไตรรัตน์ก็ถูกรัศมีของพระรอดที่ห้อยคอ กระแทกจนร่างกระเด็นถอยหลังมา ทรุดหมอบไปกับพื้นมือร้อนพองร้อง “อ๊าก”
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 5 (ต่อ)
ไตรรัตน์อึ้ง ช็อก ใบ้กิน รีบหยิบพระรอดออกมานอกเสื้อ ขณะนั้นเมฆครึ้มยิ่งขึ้น ลมพัดแรง เป็นบรรยากาศก่อนฝนตก สุคนธรสมีท่าทางหวาดกลัวพระรอดนั้น แต่แววตายังอำมหิต แยกเขี้ยว พร้อมเข้าทำร้ายไตรรัตน์ถ้ามีโอกาส
“กูจะฆ่ามึง...มึง...ต้องตาย”
ไตรรัตน์ชูพระรอดขึ้นมา
“แก...แก...เป็นใคร...” ไตรรัตน์เอาพระรอดขู่ “ฉันถามว่าแกเป็นใคร”
“ธรรม...กูชื่อธรรม”
“ธรรมไหน...ฉันกับแกไม่เคยรู้จักกัน ทำไมแกอยากจะฆ่าฉัน”
“เรื่องของกู”
ไตรรัตน์สะดุ้ง แต่ยังใจดีสู้เสือ กึ่งเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“แต่มันเกี่ยวกับฉัน เพราะฉะนั้นจะเป็นเรื่องของแกคนเดียวไม่ได้”
ฟ้าแลบแปล๊บ...สองคนจ้องหน้ากัน
“กูถูกบังคับ”
“ใคร...ใครบังคับแก”
“กูไม่บอก”
“ทำไม”
“มันขังวิญญาณกูเอาไว้...มันไปขุดกระดูกกูขึ้นมาจากป่าช้าหลังเรือนจำ มันเอากระดูกกูไปทำอาคม แล้วใช้ให้กูไปฆ่าทุกคนที่มันต้องการ...ถ้ากูขัดคำสั่ง มันจะทำลายกู ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอีก”
“แล้วฉันจะช่วยแกได้ยังไง”
“มึงช่วยอะไรกูไม่ได้หรอก”
“ฉันมีเพื่อนเป็นตำรวจ ถ้าแกบอกว่ามันคือใคร ฉันกับเพื่อนอาจหาทางจัดการกับมันได้”
“กูพูดไม่ได้ แต่มัน...มันอยู่ใกล้ครอบครัวมึงมาก มันต้องการจะทำลายครอบครัวของมึง มันต้องการยึดทรัพย์สมบัติของครอบครัวมึงทั้งหม...” วิญญาณไอ้ธรรมพูดไม่ทันจบ อยู่ๆ ก็ร้องเจ็บปวดทรมาน “โอ๊ย”
สุคนธรสดีดดิ้น ร้องเสียงแหบห้าว เจ็บปวด ทุรนทุราย มีอาการแสบร้อน ไปหมดทั้งตัว...ไตรรัตน์จะเข้าไปช่วย แต่ก็ถูกถีบออกมา สุคนธรสแสบร้อนจนเสื้อผ้ามีควันออกมา แสบร้อนจนไฟจะติดเสื้อ สุคนธรสดึงทึ้งเสื้อผ้าของตัวเอง จนเสื้อผ้าขาดวิ่น ถูกฉีกขาดออก กระจุยกระจาย ไตรรัตน์อึ้ง
สุคนธรสฉีกทึ้งๆ แล้วก็ร้องลั่น ก่อนจะฟุบหมดสติไปล้มลงไปตรงนั้น แล้วทันใดฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ ไตรรัตน์ยืนทื่อตากฝน มองเศษเสื้อผ้าที่กระจุยกระจายขาดวิ่นข้างๆ ตัว แล้วหันไปมองที่สุคนธรส เห็นเรียวขา ต้นแขน ต้นคอของสุคนธรสที่โผล่พ้นเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นออกมา ไตรรัตน์กลืนน้ำลายเฮือกกกก
หมอผีสมคิดเดินอย่างเร็วไปสู่ห้องเก็บโถ ประตูห้องโดนผลักออกหมอผีสมคิดก้าวเข้ามา บนพื้นตรงหน้ายันต์อันนั้นวางตกแบ-บนพื้น หาญ กล้า เดินตามมาจะเข้าห้อง หมอผีสมคิดยกมือห้ามไม่ให้เข้า หมอผีสมคิดเดินไปเก็บยันต์ขึ้นมาแล้วมองไปที่โถนั้น
“ไอ้ธรรม...”
ไตรรัตน์อุ้มสุคนธรสที่เปียกปอนพาออกมาที่ทางเดินหน้าห้องพัก เงอะงะ ว่าจะพาไปไหน ทำไงดี เตลิดเปิดเปิง แต่อยู่ๆ เพื่อนเจ้าของโรงแรมเดินตามหลังมาเรียกไว้พอดี
“ไอ้ไตร”
“ไอ้เทพ ชั้นมีเรื่อง...”
เพื่อนไตรรัตน์เห็นสุคนธรส ตาโต
“โหวววว”
“เอาไงดีวะ”
“ชั้นว่าแล้ว คนอย่างแก มีเหรอจะขอปิดสวนสวรรค์เพื่อคุยเรื่องงานเฉยๆ อยากเปลี่ยนบรรยากาศก็ไม่บอก”
ไตรรัตน์ตกใจ รีบหันหลังไม่ให้เพื่อนมองสุคนธรส
“อย่าพูดมากน่ะ ชั้นขอห้องๆ นึงด่วนเลย”
“ได้ เดี๋ยวชั้นจัดห้องสวีทให้เลย”
“ไม่ต้อง” ไตรรัตน์เห็นแม่บ้านที่เพิ่งออกมาจากจัดห้องๆ นึง “เอาห้องนี้”
ไตรรัตน์รีบพาสุคนธรสเข้าห้องไปทันที
“ขอให้ท่านมีแต่ความสุขสนุกสนาน”
ไตรรัตน์วางสุคนธรสลงบนเตียงแล้วถอยออกมา ไม่รู้จะทำยังไงดี
“ผีเข้าจริงๆ เหรอวะ...แต่ถ้าหลอก ก็ไม่น่าถึงขั้นฉีกเสื้อผ้าแบบนี้...” ไตรรัตน์เผลอมองสุคนธรส “ของจริงวะ...เฮ้ยๆๆ” ไตรรัตน์นึกได้ รีบยกมือปิดตา “ไม่ๆๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมอง เราเป็นสุภาพบุรุษ ไม่ใช่คนฉวยโอกาส และเราไม่มีทางรู้สึกอะไรกับยัยทอมนี่แน่นอน”
ไตรรัตน์เผลอแอบมองผ่านร่องนิ้ว แล้วก็ตาโตวาว แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าสุคนธรสตัวเปียกปอน ไตรรัตน์รีบวิ่งเข้าห้องน้ำเอาผ้าเช็ดตัวมา รีบเช็ดหน้า เช็ดหัวให้สุคนธรส
“คุณ...คุณ...ตื่นได้แล้ว...” สุคนธรสยังคงนิ่ง “คุณ ตัวเปียกอย่างงี้เดี๋ยวไม่สบายนะ...ตื่นๆ” ไตรรัตน์เขย่าๆ ตัวสุคนธรส เหมือนเดิมไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับจากสุคนธรส “เออ..แน่ใจนะว่าไม่ตื่น งั้นผมถือวิสาสะนะ” ไตรรัตน์ถอนหายใจ “เริ่มจากไหนก่อนดี...บนหรือล่าง...โอย...กดดันจริงโว้ย”
ไตรรัตน์จับหัวใจตนเองที่เต้นแรงผิดปกติ ไตรรัตน์ตัดสินใจทำสิ่งที่ต้องทำ แบบกระอักกระอ่วน
หมอผีสมคิดที่กำลังยืนเข้าฌานอยู่ ลืมตาโพลงขึ้นมา ปรากฏร่างผีไอ้ธรรมแว่บขึ้นมา ฟุบหมอบอยู่ในสภาพเนื้อตัวขาดวิ่น พุพอง
“คิดจะทรยศกูเหรอไอ้ธรรม”
“เปล่า...ชั้นไม่กล้...า...”
แล้วทันใด ผีไอ้ธรรมก็ลงไปดิ้น หมอผีสมคิดเอาเชือกสายสิญจน์ผูกรัดรอบโกศที่บรรจุกระดูกของไอ้ธรรม รัดและดึงแน่น เสมือนรัดคอไอ้ธรรม
“อ๊าก”
“ตราบใดที่กูยังมีกระดูกของมึง อย่าหวังว่ามึงจะเป็นอิสระ ไม่มีใครช่วยมึงได้ นอกจากกูคนเดียว...หน้าที่มึงคือต้องฆ่ามันให้ได้ ไม่อย่างนั้น กูจะทำให้มึงทรมานขั่วกัปล์ชั่วกัลป์”
“โอ๊ยยยย...”
หมอผีสมคิดมีแววตาร้ายกาจ วิญญาณไอ้ธรรมแอบมองหมอผีสมคิดอย่างอาฆาต ตาแดงก่ำ
วันต่อมาที่รีสอร์ทติณห์ รถแบ็กโฮกำลังทำงานเคลียร์พื้นที่ปรับหน้าดิน ญาณินกำลังอธิบายแบบร่างให้กับโฟร์แมนคุมงานดูอยู่ แต่แล้วญาณินก็หันไปเห็นว่าติณห์เข้ามายืนมองการทำงานอยู่ห่างๆ ป้าอรวรรณถือน้ำดื่มมาเสิร์ฟ เห็นญาณินมองติณห์อยู่ รีบมาปราม
“คุณหนูคะ...สนใจแต่งานพอค่ะ อะไรที่อาจจะทำให้ตบะแตกก็ปล่อยๆ มันไปค่ะ”
ญาณินหันไปทำงานต่อ
“เราไปดูตรงเรือนไทยกันดีกว่าค่ะ”
ญาณินกำลังเชิญโฟร์แมนเดินไปอีกด้าน แต่อยู่ๆ กุมาริกา ก็ชักใยลงมาที่ด้านหลังโฟร์แมน ห้อยหัวลงมาจากกิ่งไม้ เหมือนสไปเดอร์แมน
“เจ๊นิน...โน่น ดูโน่นนนน”
กุมาริกา บุ้ยใบ้ชี้ให้ญาณินหันกลับไปมองที่ติณห์อีกครั้ง ญาณินหันไปมองพบว่ากำนันพงษ์กำลังเจรจาบางอย่างกับติณห์อยู่
“กำนันพงษ์...มาทำไม”
“กำนันพงษ์จะชวนพระเอกของเจ๊ออกไปไหนก็ไม่รู้...คุณหลวงไม่อยากให้พี่ฝรั่งไว้ใจกำนันพงษ์ เจ๊รีบไปดูเร็ว”
ญาณินกำลังจะเดินไป แต่ป้าอรวรรณมาเรียก
“คุณหนู...จะไปไหนคะ”
กุมาริกา ทิ้งตัวลงจากกิ่งไม้ มายืนโพสต์ท่าแบบสไปเดอร์แมนในหนัง
“เจ๊จะให้พี่ฝรั่งไปกับกำนันพงษ์ไม่ได้นะ”
“เชื่อป้านะคะ โฟกัสที่งานอย่างเดียวพอ”
“พี่ฝรั่งจะไปแล้วววว เชื่อกุมาริกาสิ”
“เดี๋ยวหนูมาค่ะป้าออ”
“คุณหนู! จนได้...”
ญาณินตัดสินใจพุ่งเข้าไปหาติณห์ทันที กุมาริกา รีบปล่อยเส้นใยแล้วโหนตัวตามญาณินไป ติณห์กำลังจะเดินออกไปกับกำนันพงษ์ แต่ญาณินเข้ามาเรียกก่อน
“คุณติณห์จะไปไหนคะ”
“เราจะไปอำเภอกันครับ มีปัญหาเรื่องเอกสารก่อสร้างรีสอร์ทนิดหน่อย รีบไปเถอะครับ สายๆ คนจะเยอะ”
“เออ...ทนายสมชาติไม่ได้ไปด้วยเหรอคะ”
“เปล่า...ทำไม”
“ก็...ทนายสมชาติ เป็นทนาย อาจจะช่วยคุณได้เรื่องเอกสาร”
“ผมก็พอรู้เรื่องครับ ไม่ต้องถึงทนายสมชาติมั้งครับ” กำนันพงษ์บอก
“คิดอย่างที่พูดจริงๆ เหรอ ไม่ใช่ว่ามีผีมากระซิบบอกหรอกเหรอ...ผมขอพูดให้ชัดๆ นะ คุณเป็นแค่ลูกจ้าง ไปทำงานของคุณ ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของผม” ติณห์บอกเสียงดุ “เชิญครับกำนันพงษ์”
ติณห์กับกำนันพงษ์เดินออกไปด้วยกัน กุมาริกา ปล่อยใยห้อยตัวไปมา
“เจ๊ ตามไปสิเจ๊ ตามไปห้ามเร็วๆ”
ญาณินยืนอึ้ง ไม่ตามไป เดินแยกไปอีกทาง
ญาณินเดินแยกออกมาคนเดียวที่ริมน้ำ พยายามสงบสติจากการที่ถูกติณห์ต่อว่าแต่แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงหลวงพิชัยภักดีเรียกมา
“ญาณิน...ญาณิน...”
ญาณินรู้ว่าเป็นหลวงพิชัยภักดีเลยตัดสินใจหลับตา ถอดจิตออก ร่างของญาณินยืนนิ่งไม่ไหวติง
จิตญาณินโผล่มาอีกมุมหนึ่งของที่ดิน หลวงพิชัยภักดีรอญาณินอยู่ รีบเข้าไปหา
“ญาณิน ชั้น...”
แต่ญาณินชิงพูดก่อน
“พอค่ะคุณหลวง! หนูไม่ขอยุ่งเรื่องคุณหลวงอีกแล้ว อีตาฝรั่งดองจะซื่อบื้อถูกใครหลอกลวงยังไงก็ช่าง หนูไม่สน หนูจะทำแต่งานของหนูเท่านั้น”
“ใจเย็นๆ ก่อน”
“คุณหลวงเลิกยุ่งกับหนูได้แล้ว”
“ชั้นเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าชั้นมีสมุดจดบัญชี ในนั้นมีรายละเอียดของทุกคนที่ชั้นเกี่ยวข้องด้วย มันต้องอยู่ที่บ้านเจ้าติณห์ มุมไหนสักมุม ไม่ก็ในหีบใบไหนสักใบ...ชั้นอยากให้เธอไปหามัน”
“ไม่ค่ะ”
“ชั้นอยากรู้ชั้นตายได้อย่างไร หรือเพราะใคร”
“จะให้หนูช่วยเยอะไปหรือเปล่าคะ ทั้งเรื่องหลาน ทั้งเรื่องฆาตกร เห็นหนูเป็นซีเอสไอหรือไงคะ”
“ก็มีเธอคนเดียวที่สื่อสารกับชั้นได้”
“หนูไม่ทำ”
ญาณินหายแว่บไปทันที
ญาณินผงะลืมตาขึ้นมาแต่แล้วก็ต้องตกใจ เพราะเพ็ญนภากับเสี่ยปิยะพันธ์จ้องหน้าของเธออยู่แบบใกล้มาก
“ว้าย”
เพ็ญนภากับเสี่ยปิยะพันธ์ที่ส่องๆ ดูร่างของญาณินอยู่ ตกใจ
“พวกคุณมาทำอะไรที่นี่” ญาณินถามอย่างแปลกใจ
“หล่อนนั่นแหละ มายืนหลับอะไรตรงนี้ ชั้นจะฟ้องติณห์ให้ไล่เธอออก”
“ช่วยไล่จริงๆ เถอะค่ะ อยากไปใจจะขาดแล้ว”
“นี่หนู...ชั้นเข้าใจนะว่าพวกเธอเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง การได้ทำงานรีสอร์ทริมแม่น้ำแควโปรเจ็คใหญ่แบบนี้ มันเป็นโปรไฟล์ที่ดี แต่...ความจริง มันไม่สวยหรูอย่างที่คิดหรอกนะ”
“ที่นี่มีการเมืองเยอะ เจ้าถิ่น ขาใหญ่ ไม่เคยปรานีใคร ไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิง”
“ตอนที่ชั้นสร้างริเวอร์มูนรีสอร์ท ชั้นเจอมาหมดแล้ว ทั้งอำนาจมืด ทั้งมือที่มองไม่เห็น หรือแม้แต่สิ่งลี้ลับที่กะเล่นกันให้ถึงตาย”
“ขอตรงประเด็นเลยค่ะ”
“ชั้นแค่เป็นห่วงความปลอดภัยของเธอ...”
“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ แต่ชั้นดูแลตัวเองได้และยังไงชั้นก็จะอยู่ทำรีสอร์ทของคุณติณห์ให้สำเร็จ...ถึงแม้ว่าจะทำเจ้าถิ่นบางคนต้องผิดหวังที่ไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองอยากได้”
“อวดดี! ชั้นเตือนเธอแล้วนะ”
เสี่ยปิยะพันธ์ฉุนเดินกลับไป เพ็ญนภารีบตามไป หลวงพิชัยภักดียืนอยู่หลังญาณินส่ายหัว
“มีเธอคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยหลานฉันได้”
ญาณินตัดสินใจ ช่วยหลวงพิชัยภักดี
“คุณหลวงคะ...หนูเปลี่ยนใจแล้วค่ะ”
ญาณินรีบเดินออกไป หลวงพิชัยภักดีตบเข่าฉาด
“ให้มันได้อย่างนี้สิ”
เสี่ยปิยะพันธ์กับเพ็ญนภาเดินข้ามรั้วกลับมายังรีสอร์ทของตัวเองอย่างฉุนๆ
“พ่อเห็นความร้ายกาจของยัยนั่นแล้วใช่มั้ย”
“โอหัง ไม่กลัวทั้งคน ไม่กลัวทั้งผี...พ่ออยากจะรู้นักว่ามันจะเก่งจริงอย่างปากแค่ไหน เล่นกับใครไม่เล่น” เสี่ยปิยะพันธ์หยิบมือถือมากด “ชั้นอยากส่งผู้หญิงคนนึงไปทัวร์สวรรค์ หรือทัวร์นรกก็ได้ แล้วแต่แก...แกช่วยจัดให้ชั้นที”
กรรัมภาเพิ่งลงจากรถที่บริษัท ขณะนั้นกรรณากำลังเดินว่อนๆ ไปรอบๆ กดโทรหาสุคนธรส แต่ไม่ไม่คนรับสาย
“โทรหาใคร” กรรัมภาถามกรรณา
“ยัยรสน่ะสิ หายไปทั้งคืน ยังไม่กลับเลย...แล้วนี่ โทรเท่าไหร่ก็ไม่รับ”
“คนอย่างแม่หมอสุคนธรสไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก...เผลอๆ นะ ดินเนอร์เมื่อคืนนี้อาจจะลงเอยที่...คริๆๆ”
“ใครเค้าจะเปรี้ยวจี๊ดไฟแรงแบบเธอยัยแก้ม”
กรรณากดโทรอีก ณัฐเดชขับรถเข้ามาส่งเนตรศิตางศุ์
“อ้าว ยัยเนตร หายดีแล้วเหรอ ถ้าไม่ไหวก็นอนพักสักวันสองวันก็ได้นะ ยังไงออฟฟิศเราก็งานเยอะมากกกกกก”
“เห็นมั้ย พี่บอกแล้วว่าเพื่อนๆ เราไม่มีใครว่าอะไรหรอก ไป...กลับบ้านเถอะ”
“เนตรหายดีแล้วจริงๆ ค่ะพี่ณัฐ”
“แน่ใจนะ”
“พี่ณัฐไปทำงานเถอะค่ะ แล้วค่อยมารับเนตรตอนเย็นๆ”
ณัฐเดชจะไปขึ้นรถ แต่หันมากำชับเพื่อนๆ น้องสาว
“แก้ม กรรณ ฝากดูยัยเนตรด้วยนะ ถ้ามีอะไรผิดปกติโทรบอกพี่ทันที เข้าใจมั้ย”
“ค่า...”
ณัฐเดชขับรถออกไป
“โอ้ย...เครียดๆๆๆ ขออนุญาตไปฟังซิงเกิ้ลใหม่ของปาร์คจุนจีดับเครียดก่อนนะ”
กรรัมภาเดินเข้าบริษัทไป ทันใดมือถือของเนตรศิตางศุ์มีข้อความเข้า เนตรศิตางศุ์หยิบมากดดู
“พี่ลูกข่าง...” เนตรศิตางศุ์กดอ่านข้อความที่เขียนว่า“วันนี้ห้ามเบี้ยวนะ พี่มีงานให้ช่วยอย่างแรง” เนตรศิตางศุ์ร้อนใจหาทางจะแว่บออกไปจากบริษัท แต่กรรณายังกดโทรหาสุคนธรสอยู่แถวๆ นั้น เนตรศิตางศุ์ค่อยๆ หาจังหวะที่กรรณาหันหลัง แว่บออกนอกประตูบริษัทไป
เนตรศิตางศุ์ค่อยๆ เดินถอยหลังออกมานอกบริษัท แต่พอกำลังจะหันหน้าก็ต้องตกใจเพราะมีคนมาดึงตัวเอาไว้ เนตรศิตางศุ์จะร้องแต่ถูกมือปิดปาก คนๆ นั้นคือหมอวรวรรธ
“ผมเอง ผมมารอคุณตั้งแต่เช้าแล้ว รอจนพี่ณัฐกลับไปนี่แหละ” หมอวรวรรธปล่อยมือ
“คุณหมอมารอเนตรทำไมคะ”
“มารอว่าคุณน่ะสิ...แสบมากเลยนะ เมื่อวานกลับจากพัทยาก็ไม่บอกไม่กล่าวสักคำ ปล่อยให้ผมตามหาอยู่ได้รู้มั้ยว่าผมใจหายแค่ไหน นึกว่าจะต้องถูกพี่ณัฐฆ่าซะแล้ว”
“เนตรขอโทษคะ แต่...”
“ไม่ต้องแก้ตัว ผิดก็ยอมรับผิดให้มันจบๆ ไป” เนตรศิตางศุ์หน้าจ๋อย “แล้วก็ไม่ต้องร้องไห้ด้วย”
“พาเนตรไปพัทยาอีกทีได้มั้ยคะ”
“อะไรนะ”
“เนตรต้องกลับไปพัทยาอีก”
“ที่ผมพูดไปเมื่อกี้ ไม่ได้เข้าหูเลยใช่มั้ย”
“คุณหมอพาเนตรไปพัทยาอีกครั้งนะคะ ครั้งนี้เนตรสัญญาว่า เนตรจะไม่หนีหมอกลับเองแล้วแน่ๆ”
“ผมไม่พาคุณไปไหนอีกแล้ว”
หมอวรวรรธเดินหนีไม่อยากยุ่งด้วย เนตรศิตางศุ์ตามตื้อ
“นะคะหมอ นะๆๆ”
แต่อยู่ๆ ก๊องโผล่หัวออกมาเจอ
“พี่เนตร” ก๊องมองเนตรศิตางศุ์ มองหมอวรวรรธอย่างสงสัย “เอ๊ะๆๆ...อ๊ะๆๆๆ มาทำอะไรกันตรงนี้สองคนไม่ทราบครับ คุณผู้ชายเป็นใคร...ท่าทางลับๆ ล่อๆ น่าสงสัยยิ่งนัก...มีความลับอะไรกัน ชิมิๆ แบบนี้นี่เอง พี่ณัฐถึงประสาทแตก เพราะพี่เนตรมีกิ๊ก เอ...เราจะฟ้องดี...หรือไม่ฟ้องดี”
เนตรศิตางศุ์หน้าเจื่อนๆ ก๊องจ้องอย่างจับผิดสุดๆ
ญาณินค่อยๆ เดินเข้ามาในบ้านติณห์ ท่าทางระแวดระวังอย่างมากเหมือนตีนแมวมือใหม่กุมาริกา โผล่มานั่งบนคานด้านบน
“เจ๊จีจ้า”
“ว้าย โธ่ ยัยกุมาริกา ตกใจหมด”
“เจ๊ทำท่ายังกะทำอะไรผิด”
“การแอบเข้าบ้านคนอื่น โดยที่เจ้าของไม่อนุญาต มันคือการบุกรุก แล้วชั้นยังมีเจตนามาหาสมุดบัญชีอีก ชั้นเคยทำที่ไหน”
“ต้องดูที่เจตนานะเจ๊ ว่าดีหรือไม่ดี”
“พูดมากอยู่ได้ ช่วยชั้นหาเร็วๆ ว่าสมุดบัญชีของคุณหลวงเก็บไว้ที่ไหน ก่อนอีตาติณห์จะกลับมา”
ญาณินเข้าไปในห้องเก็บของ0เปิดดูตามตู้ต่างๆ...อยู่ๆ โกลด้นท์กระโจนหายแว่บทะลุเข้าไปในตู้ เข้าตู้นั้นออกตู้นี้ ดำผุดดำว่าย แล้วโผล่หัวออกมา
“ตู้นี้มีแต่หนังสือ...ตู้นี้มีแต่เสื้อผ้าเหม็นๆ...ตู้นี้เป็นเครื่องเงิน...ตู้นี้ก็ไม่มี...ตู้นี้...”
ระหว่างที่กุมาริกา สำรวจตู้ ญาณินหันไปมองอีกด้านเห็นประตูๆ นึง ญาณินเดินเข้าไปด้านในพบว่าเป็นที่เก็บของเก่าที่ตกทอดมา
ญาณินมองไปรอบๆ ห้อง แล้วไปสะดุดตากับหีบเล็กๆ ที่วางเอาไว้อยู่มุมหนึ่งญาณินดึงหีบออกมาเปิดออก
ข้างในหีบเป็นสมุดจดบัญชีเก่าๆหลายเล่ม กุมาริกา โผล่แว่บมาข้างญาณิน
“เจอแล้ว”
“ต้องอ่านจนตาแฉะเลยสิเนี่ย” ญาณินหยิบสมุดบัญชีขึ้นมาเล่มนึง เปิดดู “มีรายชื่อคนที่คุณหลวงทำงานด้วย นายมั่น นายชม นายสังข์ นายเกิด ลำดวน...ชื่อคนเยอะแยะไปหมด...แล้วชั้นจะรู้ได้ไงว่าใครเป็นใคร”
“เจ๊ไม่รู้ก็ไว้ไปถามคนที่รู้สิเจ๊”
“ใช่ บางทีถ้าเอารายชื่อพวกนี้ไปให้ตาพุ่ม พ่อของทนายสมชาติดู...ท่านอาจจะนึกจำอะไรขึ้นมาบ้างก็ได้”
“ฉลาดมากเจ๊”
แต่อยู่ๆ ติณห์ก็โผล่เข้ามา หน้าขึงขัง มีกำนันพงษ์ตามหลังมา
“ทำอะไร”
ญาณินอึ้ง ช็อก สมุดบัญชีคาอยู่ในมือ กุมาริกา หายตัวหนีไปทันที
ติณห์เดินดูสมุดบัญชีอย่างพิจารณารวมกำนันพงษ์ที่ร่วมสังเกตการณ์
“สมุดบัญชีสมัยแกรนด์ปา?” ติณห์หันมามองญาณิน “เธออธิบายมาซิ”
“ชั้น...ไม่ใช่นะ...ชั้นไม่ได้มาขโมย ชั้นก็แค่มาหาหลักฐานเกี่ยวกับการตายของคุณหลวง”
“นี่คุณมีปัญหาอะไรกับการตายของแกรนด์ปา”
“เธอไปเอาสมุดคุณหลวงมาจากไหน”
ญาณินไม่สนใจกำนันพงษ์ พยายามอธิบายติณห์ให้เข้าใจ
“สมุดบัญชีพวกนั้น มีรายชื่อคนที่ทำงานให้คุณหลวง ถ้าเราค่อยๆ สืบดู เราอาจจะเจอใครที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่รู้เรื่องการตายของคุณหลวงก็ได้ หรือไม่เราก็อาจได้รู้ว่าใครที่เสียผลประโยชน์ และมีแรงจูงใจที่จะวางยาฆ่าคุณหลวง”
“ทำไมคุณถึงอยากรู้เรื่องการตายของแกรนด์ปาขนาดนั้น คุณต้องการอะไร”
“ชั้นอยากทำให้ความจริงกระจ่าง ถ้าคุณหลวงบริสุทธิ์คุณกับครอบครัวคุณก็ไม่ใช่ลูกหลานของคนโกงชาติ คุณจะได้เลิกมีอคติกับบรรพบุรุษตัวเองอย่างที่เป็นอยู่”
“แน่ใจเหรอว่านี่คือเหตุผลจริงๆ ไม่ได้เกี่ยวกับข่าวลือเรื่องสมบัติคุณหลวง”
“ข่าวลืออะไร ชั้นไม่รู้”
“จะให้เราเชื่อว่าคุณเป็นคนดี ที่อยู่ๆ ก็มาเรียกร้องความยุติธรรมให้บรรพบุรุษคนอื่น งั้นเหรอ? มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ”
“แปลก...แต่ชั้นไม่ได้โกหก ชั้นทำไปเพราะคุณหลวง...” ญาณินเกือบหลุดว่าเพราะหลวงพิชัยภักดีขอร้อง “เอ๊ย...เพราะ...เพราะอะไรก็ช่าง แต่ชั้นไม่เคยอยากได้สมบัติอะไรที่ไม่ใช่ของชั้นเลย นายจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ”
ติณห์มองญาณินด้วยสายตาที่ไม่เชื่อในสิ่งที่ญาณินพูด ญาณินผิดหวัง เดินออกไปกำนันพงษ์มองญาณินอย่างไม่ไว้ใจ
ป้าอรวรรณกำลังจัดดอกไม้อยู่ที่เรือนพัก
“ป้าออ...”
ญาณินวิ่งกลับเข้ามาในบ้าน โผกอดป้าอรวรรณ
“ว้าย คุณหนู...เป็นอะไรคะ มีเรื่องอะไร”
“ทำไม...ทำไมเค้าต้องมองหนูด้วยสายตาแบบนั้น หนูก็แค่อยากช่วย...หนูหวังดี แต่ทำไมหนูต้องกลายเป็นคนเลวในสายตาเค้าด้วย”
ป้าอรวรรณเข้าใจได้ทันที
“คุณหนูคะ...ใครจะมองเราไม่ดียังไงก็ปล่อยเค้าไปเถอะค่ะ เรารู้อยู่แก่ใจของเราก็พอแล้วคุณหนูของป้าเป็นนางฟ้า เป็นเทพธิดา ถ้าใครมองไม่เห็น...คนๆ นั้นก็ไม่คู่ควรกับคุณหนูนินของป้าหรอกค่ะ”
ติณห์ยกกล่องใส่สมุดบัญชีมาที่ห้องรับแขก กำนันพงษ์รออยู่ก่อนแล้ว
“คุณติณห์ครับ..อย่าหาว่าผมมองโลกในแง่ร้ายเลยนะครับ แต่ผมว่าคุณญาณินอาจจะเป็นพวกที่คิดจะมาขุดหาสมบัติของคุณหลวงก็ได้”
“สมบัติแกรนด์ปา?”
“คนแถวนี้รู้กันดีว่าคุณหลวงฝังสมบัติเอาไว้ พอคุณหลวงเสียไปก็ไม่มีใครทราบว่าฝังอะไรไว้ตรงไหน เป็นไปได้ที่จะมีคนอยากตามหาสมบัติพวกนั้น...เพื่อความปลอดภัย ผมว่าคุณติณห์ให้คุณญาณินออกไปดีกว่าครับ” ติณห์มองหน้ากำนันพงษ์ คิดๆ ไตร่ตรอง “ไม่ต้องกลัวเรื่องสัญญานะครับ เพราะพฤติกรรมบุกรุกที่เค้าทำวันนี้ เป็นเหตุผลให้เรายกเลิกสัญญาได้อย่างถูกต้อง...เชื่อผมเถอะครับ มีผู้รับเหมาไม่ดี สู้ไม่มียังดีกว่า”
“เรื่องนี้ผมตัดสินใจเองได้”
“คุณติณห์คิดดีๆ นะครับ”
ติณห์ไม่ตอบอะไรอีก กำนันพงษ์มองหีบใส่สมุดบัญชี
หมอผีสมคิดเดินออกมา หาญเดินรายงานพินอบพิเทามา
“เหยื่อ...เอ๊ย แขกที่ท่านเชิญ...มารอแล้วครับ”
ที่ห้องด้านหน้าพวกครูบาอาจารย์เดินดูนั่นนี่ ตื่นตาตื่นใจ
“ท่านครับ...ผมข้องใจจริงๆ ท่านเชิญพวกครูอาจารย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนต่างๆ จากต่างจังหวัดมาทำไมครับ พวกนี้ไม่ได้มีสตางค์เยอะแยะอะไรเลย” กล้าถามอย่างแปลกใจ
“ช่าย จ้างก็ไม่มีปัญญาจะเอาเงินทองมากองให้ท่านแบบพวกนักธุรกิจรวยๆ พวกซีอีโอ ประธานบริษัท” หาญเห็นด้วยกับกล้า
“หรือพวกเจ้าของกิจการ ตลาดร้านค้าต่างๆ ที่มาขึ้นเป็นศิษย์ท่าน”
หมอผีสมคิดชะงักกึก
“พูดถึงเจ้าของตลาด...เกือบลืม...ขอบใจที่เตือนข้า ไอ้กล้า ไอ้หาญ”
“ครับผม”
“ฤกษ์ดี อีก 30 นาที จะเป็นยามปลอด ที่พวกแกจะทำภารกิจที่ตลาดหญิงจำเริญสำฤทธิ์ผลทุกอย่างตามแผน ให้ไปทำตามเวลา...อย่าช้าแม้แต่วินาทีเดียว”
“ครับผม”
“ใครก็ตาม ที่จะมาขัดขวางไม่ให้นังเจ๊หญิง กับไอ้เสี่ยจำเริญ เลิกมาเป็นศานุศิษย์ของข้า โดยเฉพาะไอ้ไตรรัตน์...มันจะต้องได้รับรู้ ว่าตลาดหญิงจำเริญ...ใครคุม”
“ท่านหมอสมคิดคุมครับ”
“แน่นอน...หมอสมคิด...พ่อทุกสถาบัน...ไม่เชื่อ...พวกแกดูนี่”
หมอผีสมคิดดีดนิ้วไปด้านหน้า ในห้องรับแขกด้านหน้า ทันใดไฟสปอตไลท์จับมาที่ประตูสว่างพึ่บพวกครูบาอาจารน์หันมามองสลอน ทันใดประตูเปิดออกพรมแดงคลี่ออกมาก่อนพึ่บๆๆๆพวกอาจารย์ฮือฮา หมอผีสมคิดเดินออกไปในแสงไฟ ดูสง่าพร่าพราย ยกมือขึ้นอย่างเต็มไปด้วยพลังอำนาจ พวกอาจารย์ทึ่ง ตะลึง ไหว้กัน
“ยินดีต้อนรับ ท่านครูบา อาจารย์ และผู้อำนวยการโรงเรียนทั้งหลาย ผมรู้สึกเป็นเกียรติจริงๆ ที่ได้ต้อนรับพวกท่าน ซึ่งเปรียบประดุจแสงสว่างที่ส่องทิศทางชีวิต ให้ความคิดแก่เหล่าเยาวชนทั่วประเทศ” พวกครูตบมือกราว “วันนี้สำนักบำเพ็ญเพียรของผม...จะขอนำพวกท่าน สู่การฝึกอบรมการบำเพ็ญเพียรภาวนาแนวใหม่ ที่จะทำให้พวกท่านได้พบกับแสงสว่างแห่งปัญญา อย่างที่ไม่มีที่ไหนเคยสั่งสอนมาก่อน นอกจากนั้น ผมยังมีวัตถุมงคล ที่เหมาะกับการเผยแพร่ในวงการศึกษา เพราะถ้าใครพกพาติดตัว จะทำให้มีสติปัญญาเหนือคนอื่น นักเรียนนักศึกษาพกพาไปสอบแข่งขันที่ไหน จะสอบผ่าน เอาชนะสถาบันอื่นๆ ได้อย่างแน่นอนเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก”
หมอผีสมคิดแบมือ เผยอีกาคริสตั้ล ที่เปล่งแสงสีรุ้งพราวพราย ส่องประกายเข้าตาทุกคนพวกครูฮือฮา ที่หลังประตู กล้า หาญสบตากัน
“สมคิด...พ่อทุกสถาบันจริงๆ”
“เฮ้ย...จวนได้เวลาแล้ว อุปกรณ์ที่จะใช้เล่นงานตลาดหญิงจำเริญพร้อมยังวะ”
ทั้งสองรีบย่องไปอีกประตูหนึ่ง
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 5 (ต่อ)
หมอวรวรรธยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอย่างแสนฝืดคอ เมื่อมีสายตาของกรรณา กรรัมภาและก๊อง มองจ้องจับผิด ขณะที่เนตรสิตางศุ์ยืนทำหน้าบ๊องแบ๊วไม่รู้ไม่ชี้ หมอวรวรรธวางแก้วลง...ฉีกยิ้มถามประชด
“โทษนะครับ ผมไม่ได้ทำจมูก กรีดตา หรือต่อคางเลย ไม่ต้องจ้องหาจุดบกพร่องกันขนาดนั้นก็ได้ครับ”
กรรณาหันไปจิกเนตรสิตางศุ์
“สารภาพมา เมื่อวานเธอหายไปกับหมอนี่มาใช่ไหม”
“อ่า...”
กรรณาชี้หน้าขู่
“ถ้าโกหก เราขาดกัน!”
เนตรสิตางศุ์จ๋อย พยักหน้า
“ฮื้อ...ฉันให้หมอพาไปสืบเรื่องใบหม่อน”
“โดยที่ผมไม่เต็มใจเลยแม้แต่น้อย ผมถูกเพื่อนพวกคุณฉุดกระชากลากถูไป”
“ก็หมออยากเป็นหมอทำไมล่ะคะ จรรยาแพทย์..หมอก็ต้องช่วยคนสิ”
“ผู้หญิงกลุ่มนี้เป็นไงกันหมดนะ ยัยรสก็หายหัวไป มันต้องมีอะไรแน่ๆ”
กรรัมภากดโทรหาสุคนธรส ก๊องทรุดนั่งเซ็ง
“นั่นสิครับ พอก๊องมาก็หายกระจายกันหมด...มองข้ามหล่อขั้นเทพอย่างเราไปได้ไง”
“ชิ้วววว...ติดแล้ว ดูซิ มันจะรับสายไหม?”
“แกก็เปิดโฟนเด ฉันจะได้เฉ่งมันด้วย”
กรรัมภากดลำโพง ได้ยินเสียงสัญญาณติด...ตื๊ด...ตื๊ด...
สุคนธรสกำลังนอนสบายอยู่บนเตียง ลืมตาขึ้นมาเพราะเสียงเพลงที่ดังซ้ำไปมา คล้ายกับเสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือของเธอเอง สุคนธรสเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์
“ฮัลโหล”
“ยัยรส นี่แกอยู่ไหนเนี่ย”
“อยู่บนเตียง แกมาถึงบริษัทแล้วเหรอ”
“ก็เออสิ แต่แกไม่กลับมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ”
สุคนธรสสะดุ้งโหยง
“อะไรนะ”
สุคนธรสอยู่ในชุมคลุมกิโมโน พลิกตัวหันมาอีกข้างหนึ่ง เห็นวงแขนล่ำๆ ของใครบางคนวางอยู่ข้างๆ สุคนธรสเห็นว่าคนๆนั้นคือไตรรัตน์ที่อยู่ในชุดคลุมกิโมโนเช่นเดียวกัน
“ว่าไงยัยรส แกอยู่ไหน?”
“เฮ้ย”
สุคนธรสทะลึ่งลุกพรวด ผลักไตรรัตน์จนแทบจะตกเตียง มือถือหล่นไปข้างเตียงทั้งๆ ที่ยังคงโทรอยู่
กรรัมภาตกใจ กรรณาอยู่ข้างๆ
“อะไร มันอยู่ไหน”
“ไม่รู้” กรรัมภาฟังโทรศัพท์ต่อ
“อะไรของคุณ” ไตรรัตน์งังเงียถาม
สุคนธรสสำรวจตัวเอง พบว่าใส่ชุดคลุมอาบน้ำอยู่ เมื่อเปิดดูด้านในก็ต้องผงะ
“ทำไมฉันโป๊ แก...ไอ้ไตวาย ไอ้บ้ากาม...แกทำอะไรฉัน ชั้นในฉันอยู่ไหน”
กรรัมภา กรรณา เนตรสิตางศุ์ ก๊อง แม้แต่หมอวรวรรธได้ยินก็ตกใจอ้าปากค้าง
“ว๊าย”
“ไม่จริ๊งงงง เป็นไปไม่ด้ายยยย”
“ฉะ...ฉะ..ฉันหูฝาดไปหรือเปล่าเนี่ย ยัยรสถูกนายไตรรัตน์หลอกไปปู้ยี่ปู้ยำ”
“ยัยรส” กรรณากำหมัดแค้น “ฮึ่ม...ไอ้พวกผู้ชายรกโลก”
หมอวรวรรธกับก๊องผวาไปด้วย
ที่ห้องพักของโรงแรมไตรรัตน์ยืนอธิบายสุคนธรสอยู่
“ผมก็เปลี่ยนชุดให้คุณ”
“นายถอดเสื้อผ้าชั้นเหรอ! ยังงี้นายก็เห็น...”
“หึๆ ซ่อนรูปเหมือนกันน๊า”
“แก...ไอ้คนฉวยโอกาส แกเล่นทีเผลอ แกข่มขืนชั้น”
“ห๊า”
“แกอย่าอยู่เลย”
สุคนธรสกระโดดขี่หลังเข้ากระชากหัวไตรรัตน์ดึงทึ้งไปมา ไตรรัตน์พยายามดึงสุคนธรสออก แต่สุคนธรสไม่ยอมหลุดง่ายๆ ไตรรัตน์ถูกดึงหัวไป พูดไป
“โอ๊ยยย คุณ...เบาๆ...ฟังผมก่อน...ก็คุณสลบ แล้วฝนตก ถ้าผมไม่เปลี่ยนชุดให้ คุณก็ปอดบวมพอดี”
“ปอดบวม! นี่ยังมาแอบด่าชั้นอีกเหรอ...แกตาย”
“ผมเจ็บนะ”
ไตรรัตน์แกะมือสุคนธรสออก แล้วผลักออกไป สุคนธรสถูกเหวี่ยงล้มไปอีกด้านของเตียง ผมบางส่วนของไตรรัตน์หลุดติดมือสุคนธรสออกมา
“โอ๊ย...เจ็บนะโว้ย...”
“ก็เออสิวะ...นี่ยังน้อยไป...แกต้องตาย” พลันมือของสุคนธรสก็ไปถูกชุดของเธอที่ถูกถอดออกเมื่อคืนและชุดขาดวิ่น “ชุดชั้น...ทำไม...”
“ไม่เกี่ยวกับผมนะ”
“นี่...แก...ฉีกทึ้ง กระชากชุดชั้นขนาดนี้เลยเหรอ ไอ้ซาดิตส์”
สุคนธรสกระโดดกระเด้งเตียงถีบไตรรัตน์จังๆ...เปรี้ยง
“โอ๊ย” ไตรรัตน์กระเด็นกองกับพื้น หน้าหงายเงิบไป เลือดกำเดาไหล
“วันนี้ไม่ชั้นก็แกต้องตายกันไปข้าง”
ไตรรัตน์โดนถีบจนกระเด็นจากห้องนอนออกมาที่ห้องรับแขก สุคนธรสตามออกมาไตรรัตน์ลุกขึ้นมา หน้าไตรรัตน์มีเลือดกำเดาไหลกำลังถือหมอนเป็นโล่ป้องกันตัวเอง มืออีกข้างทั้งห้ามทั้งขู่
“ผมบอกให้หยุด! ให้โอกาสผมอธิบายเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้น...ผมจะใช้กำลังกับคุณบ้างแล้ว” พูดไม่ทันขาดคำก็มีรองเท้าใส่ในห้องของโรงแรมปามา ไตรรัตน์ร้องลั่น “เฮ้ย!”
“นี่แน่ะ! แน่จริงเข้ามาเลย เมื่อคืนฉันหลับใช่ไหม๊ นายเลยทำอะไรฉันไม่หนำใจ คิดจะปล้ำฉันอีกรอบเหรอ ไอ้เก็บกด...ไอ้บ้ากามในคราบลูกเศรษฐี”
สุคนธรสปารองเท้าไปอีกข้าง รองเท้าหล่นไปทางโทรศัพท์ที่เปิดอยู่ ไตรรัตน์ยกหมอนกันหน้า มีเสียงกดออดหน้าห้องดังขึ้น...ติ๊งต๊อง!
“รูมเซอร์วิสคร๊าบ”
สุคนธรสหันขวับไปมอง อารามตกใจ รีบปรี่เข้าผลักไสไตรรัตน์
“ยืนอยู่ทำไม...รีบไปหาที่หลบเข้าซีนายไตวาย”
ไตรรัตน์ชี้หน้าตัวเอง
“ทำไมผมต้องหลบด้วยล่ะ?”
“ยังมีหน้ามาถาม หรือว่านายอยากให้คนอื่นรู้ว่าฉันถูกนายหลอกมาปู้ยี่ปู้ยำในโรงแรมนี้ บอกให้ไปไง...รีบไปหลบเร็ว ไปซี!”
สุคนธรสเปิดประตูออกมา เจอพนักงานโรงแรมยืนยิ้มอยู่กับรถเข็นอาหารเช้า
“อรุณสวัสดิ์ครับ อาหารเช้าเมนูบำรุงร่างกายพิเศษครับ”
“ส่งผิดห้องแล้วน้อง ฉันไม่ได้สั่ง” สุคนธรสจะปิดประตู
“เดี๋ยวครับพี่! ส่งไม่ผิดหรอกครับ เจ้านายผม เจ้าของโรงแรมนี้สั้งให้ส่งมาให้ครับ”
พนักงานส่งการ์ดใบหนึ่งให้ สุคนธรสรับมาอ่าน
“เมนูโด๊ปหลังทำงานหนักมาทั้งคืนเว้ยไอ้ไตร”
สุคนธรสอ่านเสร็จกัดฟัน ควันออกหู
ไตรรัตน์กำลังวิ่งหลบไปทั่วห้อง ขณะที่สุคนธรสหยิบอาหารในรถเข็นปาใส่
“เมนูโด๊ปเหรอไอ้บ้า!ไอ้คนฉวยโอกาส วางแผนหลอกฉันมาเรียกผีเข้าทรงแล้วให้เพื่อนเปิดห้องพาฉันมาทำลายความบริสุทธิ์”
ไตรรัตน์ตาโต
“จริงอ่ะ คุณยังบริสุทธิ์?”
“อี๋ย์...ไอ้...ไอ้ทุเรศ”
สุคนธรสคว้าไข่ลวกปาใส่กระบาลไตรรัตน์ แต่ไตรรัตน์ก้มหลบทัน ไข่ไปกระแทกถูกผนังแตก โพล๊วะ!
ที่บริษัทซิกซ์เซ้นส์ เนตรสิตางศุ์ กรรัมภา ก๊องช่วยกันห้ามกรรณาที่ทำท่าจะผุนผันออกไปเป็นพัลวัน
“ฆ่ามันๆๆๆๆ”
“ว้ายตายแล้ว! ยัยกรรอย่าของขึ้นสิยะ ใจเย็นๆ มั่งเป็นมั้ย”
“ไม่เป็นเว้ย! เพื่อนรักของเราถูกไอ้ลูกเจ้าของตลาดมันย่ำยีขนาดนี้ ฉันไม่มีวันยอม...ไอ้กรรณจะไปแก้แค้นมันเดี๋ยวนี้”
“แล้วเธอรู้เหรอว่านายไตรรัตน์พายัยรสไปค้างโรงแรมไหน?”
กรรณาชะงัก
“เอ่อ...โรงแรม...อ่า...โรงแรมไหนวะ”
“โธ่ไม่น่าถาม...มันก็ต้องเป็นโรงแรมม่านรูดน่ะสิพี่”
กองบอก กรรณาได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งโกรธ
“อ๊ากกก...ฉันจะไปฆ่ามัน อย่ามาห้ามฉัน หลีกไปดิ”
กรรัมภากับเนตรสิตางศุ์หันมาตีก๊องกันใหญ่
“นี่แน่ะไอ้ก๊อง...แทนที่จะห้าม ดันเอาน้ำมันมาราดไฟ”
หมอวรวรรธลุกขึ้นพรวดเอ่ยขึ้นหลังจากที่หลงมาอยู่ร่วมสถานการณ์อยู่นาน
“ผมว่าพวกคุณอย่าตีโพยตีพายไปเลยครับ ฟังจากเสียงมือถือ ดูเหมือนตอนนี้เพื่อนคุณก็กำลังจะฆ่านายคนนั้นอยู่ ป่านนี้นายอะไรนั่นอาจตายไปแล้ว” ทุกคนหันไปฟังที่มือถือเสียงสุคนธรสยังคงปาข้าวของไล่เอาเรื่องไตรรัตน์ดังมาตามสายตลอดเวลา “เคยฟังเพลงเรื่องบนเตียงกันไหม๊ครับ”
“เคยฟังค่ะหมอ ทำไมเหรอคะ?”
“มันเพราะดี” ทุกคนแป่ว! “ผมกลับก่อนนะครับ”
แต่กรรณาขวางชี้หน้าไว้
“นี่นายเห็นเรื่องเพื่อนฉันเป็นเรื่องตลกหรือไงห่ะ”
หมอวรวรรธตกใจ แต่ทำใจดีสู้
“ไม่ใช่อย่างงั้นครับ ผมแค่จะบอกว่า บางทีเรื่องบนเตียงที่เราได้ยิน มันอาจจะไม่ใช่เรื่องชู้สาวเสมอไป ผมไปดีกว่าครับ”
“เอ่อ...เดี๋ยวดิหมอ...หมอคะ”
เนตรสิตางศุ์ยืนหน้าผิดหวัง
ไตรรัตน์กำลังเคาะประตูห้องน้ำปั๊งๆๆๆ
“นี่คุณ...ไม่ต้องสำรวจตัวเองในห้องน้ำหรอก รับรองน่าว่าคุณยังไม่บุบสลาย”
สุคนธรสตบประตูโครมครามสวนออกมา ไตรรัตน์สะดุ้ง
“หุบปากนะไอ้โรคจิต”
“คำก็โรคจิต สองคำก็บ้ากาม คนอย่างผมไม่จำเป็นต้องใช้กำลังกับผู้หญิงหรอก มีแต่คนอยากจะเป็นแฟนผมใจจะขาด หึ...แต่ถ้าคุณอยากจะเชื่อว่าตัวเองถูกปล้ำก็ตาม ใจ...เชิญ”
ไตรรัตน์เดินโวยไปนั่งลงที่โซฟาอย่างหัวเสีย นั่งหงุดหงิดงุ่นง่าน คว้ารีโมตทีวีมากดเปิดดู...แล้วรีโมทเปลี่ยนช่องไปมา แต่แล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อมีข่าวด่วนทางช่อง 3 เป็นภาพไฟกำลังไหม้ตลาดแห่งหนึ่ง มีCaptionขึ้นในจอว่า “ไฟไหม้ตลาดหญิง-จำเริญ”
“เฮ้ย...”
“ขณะที่ไฟกำลังไหม้ร้านค้าด้านข้างตลาดหญิง-จำเริญ ทำให้พ่อค้าแม่ค้าพากันแตกตื่นขนข้าวของหนีกันจ้าละหวั่น เจ้าหน้าที่ดับเพลิงพยายามฉีดน้ำสะกัดกั้นไม่ให้ไฟลุกลาม ต้นเพลิงคาดว่าน่าจะมาจากกองขยะด้านข้าง ส่วนสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้ครั้งนี้ยังไม่แน่ชัดค่ะ”
“ป๊า ม้า อาม่า อาอี๊...ชิบแล้ว”
ไตรรัตน์รีบหันรีหันขวางมองหาเสื้อ คว้ามาใส่
กายในห้องน้ำสุคนธรสก็กำลังแต่งตัว ใส่เสื้อที่มีร่องรอยเสื้อขาด
“ดูมันทำ...กระชากซะขาดเลย ไอ้ซาดิสต์เอ้ย”
สุคนธรสพยายามจะสงบสติอารมณ์โดยหันมาเปิดก๊อกน้ำจะล้างหน้า กล้วต้องช็อคเมื่อเห็นรอยจ้ำแดงที่คอ ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นผีมือของผีนายธรรมที่ทำร้ายเธอเมื่อคืน)
“ห่ะ!” สุคนธรสรีบจับคอจ่อดูร่องรอยที่กระจก แทบกรี๊ด เมื่อคิดว่าคงเป็นฝีมือของไตรรัตน์ “โอ้โห...นี่ถึงขนาดดูดคอเราจนเป็นจ้ำเลยเหรอ มันย่ำยีศักดิ์ศรีลูกผู้หญิง ทนไม่ได้แล้วโว้ย”
สุคนธรสหันรีหันขวาง...คว้าแปรงถูห้องน้ำได้ เปิดประตูห้องน้ำออกไป ขณะนั้นไตรรัตน์กำลังรีบร้อนจะออกจากห้อง
“หยุดนะไอ้กลัดมัน! จะไปไหน?”
ไตรรัตน์หยุดกึก หันไปมอง เห็นสุคนธรสถือแปรงถูห้องน้ำเดินออกมา
“หยุดบ้าได้แล้ว ไฟไหม้ตลาด”
“ไฟบ้าไฟบออะไร ฉันจะฆ่านาย” สุคนธรสโดดใส่
“เฮ้ย!”
ไตรรัตน์รีบเปิดประตูห้อง เผ่นออกได้ ก็ปิดประตูโครมใส่หน้าสุคนธรส สุคนธรสเตะประตู
“จะหนีไปไหน เปิดประตูนะ ฉันบอกให้เปิด!” เสียงเงียบ...สุคนธรสเลยเปิดประตูออก มองไปเห็นไตรรัตน์วิ่งจู๊ดไปไกลแล้ว “นายไตวาย…คิดว่าจะหนีพ้นเหรอ ต่อให้นายมุดหัวลงไปอยู่ในรู ฉันก็ตามไปขุดนายขึ้นมา”
กรรณา กรรัมภา เนตรศิตางศุ์ ก๊องซึ่งเงี่ยหูฟังกันหัวชนกัน ได้ยินทุกคำพูด ทั้งสี่มองหน้ากัน เหวอสุดๆ
“ตะกี๊ได้ยินป่าวพี่ๆ ไฟไหม้ตลาด...ตลาดอะไร...”
ญาณินกับป้าอรวรรณนั่งอยู่ในห้องทำงานทนายสมชาติ ทนายสมชาติมีท่าทีหนักใจ
“คุณแอบเข้าไปขโมยสมุดคุณหลวงทำไมครับคุณณิน?”
“สมุดบัญชีเก่าๆ ไม่ใช่ศิลาจารึกนะคุณทนาย ฉันจะขโมยไปทำอะไรได้ ฉันก็แค่...อยากจะค้นหาสาเหตุการตายที่แท้จริงของคุณหลวงเท่านั้นเอง”
“แล้วคุณหาเจอไหมล่ะครับ”
“ไม่เจอน่ะสิคะ เจอแต่รายชื่อคนที่คุณหลวงทำงานด้วยเต็มไปหมด ชื่ออะไรบ้างน๊า...” ญาณินพยายามนึก “ออ!นายสังข์ นายเกิด ลำดวน นายมั่น นายชม”
“และในฐานะที่พ่อคุณ” ป้าอรวรรณชี้ทนายสมชาติ ทนายสมชาติสะดุ้ง “เป็นคนบันทึกสมุดรับจ่ายเงิน มันต้องมีใครคนไหนบ้างสิคะ ที่คุณทนายรู้ประวัติ” ป้าอรวรรณมองทนายสมชาติอย่างคาดคั้น
“แหม...คุณออเล่นพูดดักคอแบบนี้ ผมไม่รู้ได้เหรอครับ อย่างน้อยก็รู้ 2 คน”
ป้าอรวรรณตบมือผ่าง
“นั่นไง! ไม่เสียชื่อที่เป็นทนายหนุ่มไฟแรง แล้ว2 คนไหนล่ะคะ?”
“คนแรกก็นายสังข์ครับ”
ในอดีตหลวงพิชัยภักดีถือตะพดเลี่ยมเงินลงจากรถไฟ ที่สถานีรถไฟ โบราณๆ แต่งตัวแบบสากลยุคก่อนสงครามใส่หมวกโก้ นายสังข์ใส่ราชปะแตนท์ ท่อนล่างเป็นโจงกระเบน เดินถือกระเป๋าเดินทางขนาดย่อม เป็นหนังน้ำตาลกับกระเป๋าเอกสารหนังตามติด พอผ่านชาวบ้าน ชาวเมืองที่สวนมาทักทายหลวงพิชัยภักดีรับไหว้ นายสังข์ยืนฟัง ร่วมคุยออกความเห็น หลวงพิชัยภักดีลืมอะไรหรือตอบชาวบ้านไม่ถูกก็หันมาถามนายสังข์ นายสังข์กระซิบตอบหลวงพิชัยภักดีก็เอาจากที่นายสังข์บอกไปตอบชาวบ้าน
“พ่อผมเล่าให้ฟังว่าเป็นคนใกล้ชิดคุณหลวงมากที่สุดเป็นญาติฝ่ายไหนผมจำไม่ค่อยได้ เพราะพ่อคุณหลวงมีเมียเยอะ นายสังข์เป็นคนเก่ง คล่องแคล่ว คุณหลวงไว้ใจให้ทำงานในบริษัทแทนท่านทุกอย่าง เรียกว่าเป็นมือขวาของท่านเลยทีเดียว ส่วนมือซ้ายของคุณหลวงก็นายเกิดนี่แหละครับ”
ทนายสุชาติบอกตามที่พ่อเคยเล่าให้ฟัง
ภาพเหตุการณ์ในอดีตริมถนนหลังทางรถไฟ นายเกิดจอดรถยนตร์แบบโบราณรออยู่ หันมาเห็นหลวงพิชัยภักดีกับนายสังข์เดินออกมา รีบเข้าไปช่วยรับของมาใส่รถ แล้วทักทายกอดคอสนิทสนมกับนายสังข์ แล้วเปิดรถให้หลวงพิชัยภักดีและนายสังข์ขึ้นนั่ง ขับรถออกไป หลวงพิชัยภักดี นายสังข์ นายเกิด คุยกัน หัวเราะ เฮฮา สนุกสนานกัน
“เป็นคนดูแลติดต่อซื้อพวกข้าวจากโรงสี น้ำตาลจากโรงงานแทนคุณหลวง เป็นพวกออกท้องที่ประมาณนั้น เก่งเรื่องการต่อรองราคาให้ได้ต่ำที่สุด สร้างกำไร ให้คุณหลวงปีนึงๆ หลายอยู่...นายเกิดคนนี้นี่แหละครับที่เป็นปู่ของกำนันพงษ์”
“ปู่ของกำนันพงษ์เหรอคะ ขอบคุณมากค่ะคุณทนาย ฉันถามได้ถูกคนจริงๆ แล้วตอนนี้ นายเกิด นายสังข์... 2
คนนี้อยู่ที่ไหนล่ะคะ?”
“โอ๊ย...กลับบ้านเก่าไปหมดแล้วล่ะครับ”
“แล้วบ้านเก่าของเค้าอยู่ที่ไหนล่ะคะ ฉันจะได้พาคุณหนูไปหาเดี๋ยวนี้เลย”
“ไปทำไมคะป้าออ กลับบ้านเก่าของคุณทนายหมายถึงเค้าตายแล้วนะคะ”
“ว้าย...กล้วยแขกทอด! งะ...งั้นไม่ไปหรอกค่ะ ว่าแต่...ถ้าหากคุณหลวงถูกฆาตกรรมจริงอย่างที่คุณหนูสงสัย หลักฐานทุกอย่างก็คงจะหากันไม่ได้แล้วนอกจากพยานที่ยังมีชีวิตอยู่”
“ใช่ค่ะ...แล้วตอนนี้ยังมีใครมีชีวิตอยู่อีกบ้าง นอกจากตาพุ่มพ่อคุณทนายคะ?”
“เอ่อ...ผมคิดว่า...”
“ติณห์เค้าจ้างพวกเธอมาตกแต่งรีสอร์ทไม่ใช่เหรอห่ะ” เสียงเพ็ญนภาดังขึ้น ทุกคนสะดุ้งหันไป เพ็ญนภาเดินโพล่งเข้ามา “มาถามเซ้าซี้เรื่องครอบครัว เค้าอยู่ได้ เธอต้องการอะไรกันแน่ห่ะแม่ญาณิน”
ทนายสมชาติหันไปมอง ตกใจ กลัวจะมีเรื่อง
“เอ่อ...คุณเพนนีครับ ผมว่า...”
“คุณก็เหมือนกัน เป็นทนายประสาอะไร เอาเรื่องครอบครัวของเจ้านายมาเล่าให้พวกลูกจ้างชั่วคราว ที่นายจ้างจับได้คาหนังคาเขาว่าแอบดอดเข้าไปขโมยเอกสารคุณหลวงถึงในบ้าน...นังโจร!!ยอมรับมาสิ ว่าที่เธอพยายามจะเข้ามาทำงานให้ติณห์เพราะมีแผนจะมาปอกลอกเค้าใช่ไหม๊”
ติณห์เดินเข้ามา
“Stopเพนนี!”
“เพนนีจะสั่งสอนแม่นี่ให้ยูเอง”
“No! นี่เป็นเรื่องภายในรีสอร์ทของไอ ปัญหาระหว่างไอกับคู่สัญญาณของไอ”
“คู่สัญญาครับ” ทนายสมชาติพูดแก้
“เออ...ปัญหาระหว่างผมกับคู่สัญญาของผม เพราะฉะนั้นผมจะเคลียร์กับเค้าเอง”
ติณห์กับญาณิน จ้องกัน ตาแทบปะทุ
อีกด้านหนึ่งที่ตลาดหยิงจำเริญชาวตลาดกำลังชุลมุนอลหม่าน...ควันไฟตลบอบอวลไปทั่วจากไฟไหม้ที่มาจากด้านข้างตลาด แม่ค้าพ่อค้าต่างพากันขนข้าวของหนีไฟออกมาจากขวัญเสีย มีทั้งตำรวจ มูลนิธิ ตำรวจดับเพลิงวุ่นวายไปหมด ณัฐเดชในชุดนอกเครื่องแบบตำรวจเดินปะปน มองซ้าย ขวา ห่วงใย พลางพูดโทรศัพท์
“ไอ้ไตร...ชั้นมาถึงแล้วนะ เออ...ชั้นยังไม่เห็นป๊ากะม้าแกเลย เค้าบอกเค้ามาแถวนี้ใช่ไหม อือ...แต่คนเยอะมากเลยว่ะ เออ...แกล่ะ ถึงไหนแล้ว...เออๆ รถติดมาก”
ณัฐเดชกวาดตามองไปทั่วๆ แล้วชะงัก เมื่อเห็นหาญ กล้า และสมุนสามคนยืนกอดอก มองภาพข้างหน้าเหมือนดูผลงาน ดูต่างออกไปจากคนที่เดือดร้อน
ณัฐเดชรีบถอยๆๆ แฝงตัว บังเสาแล้วเจาะจง แอบดูคนพวกนั้นอย่างสนใจ
หาญหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วส่งให้สมุนถ่าย แล้วตัวหาญกับกล้าโพสกัน ท่าชูสองนิ้ว และท่าซารางเฮโย ก่อนจะผายมือให้ดูผลงานตลาดที่กำลังไฟลุก ณัฐเดชข้องใจอย่างแรง ค่อยๆ แฝงตัว ย่องจากกลุ่มคนนั้น ไปยังอีกกลุ่ม เพื่อขยับเข้าไปดูหน้าพวกกล้าหาญให้ใกล้ที่สุด
ณัฐเดชแฝงตัวใกล้เข้าไปๆ พวกกล้า หาญยังไม่รู้ตัว ทันใดมีเจ้าหน้าที่มูลนิธิกู้ชีพคนนึง เดินสวนมา เห็นณัฐเดชจึงทักขึ้นเสียงดัง
“อ้าว...ผู้กองณัฐเดช...มาทำไรแถวนี้ครับ” กล้า หาญได้ยิน สะดุ้ง หันขวับมา ณัฐเดชแทบกัดลิ้น รีบหันกลับจะหลบ “ผู้กอง...เอ๊า จำผมไม่ได้เหรอครับ ที่เราเคยไปช่วยคนน้ำท่วมด้วยกันไง ที่ผู้กองใส่เสื้อตำรวจ แล้วผมแซวไง ว่ากลัวคนไม่รู้เหรอ ว่าเป็นตำรวจจริงๆ อ้ะ”
พวกหาญ กล้า ไหวตัวทันที รีบเผ่น วิ่งหนีไป ณัฐเดชหันไปผลักเจ้าหน้าที่คนนั้นกระเด็น แล้ววิ่งตามพวกหาญ-กล้าไป หาญ กล้า หันมาเห็นว่ามีคนตาม รีบโกยอ้าว ผลักคนที่ขวางกระเด็นไป
กล้า หาญและสมุนวิ่งหนี ชนชาวตลาดที่หอบข้าวของหนีไฟกันล้มกระจาย เข้าไปในตรอก ณัฐเดชตามไม่ยั้ง
“เฮ้ย หยุด บอกให้หยุด”
กล้า หาญ สมุน วิ่งเข้ามาในซอย ปรากฏว่าซอยนั้นดันไม่มีคน กล้านึกได้ หยุดหันมาสบตาหาญ ทั้งหมดเข้าใจกัน โดดแฝงตัวในซอกว่องไว ณัฐเดชวิ่งเข้ามาแล้วชะงักที่อยู่ๆ พวกนั้นหาย แล้วในซอยเปลี่ยวเงียบ ณัฐเดชหมุนตัว มองรอบๆ ระวังตัว แล้วขยับมือไปที่ปืน กำลังจะชักออกมา ทันใด กล้าพุ่งเข้ามาพลางร้องจ๊าก โดดเตะหมายที่มือณัฐเดช ณัฐเดชเบี่ยงตัวหลบ โดนปลายตีนเซไป
หาญและสมุนกรูมารุม สู้กันไปได้6-7คิว ณัฐเดชควักปืนออกมาได้ พวกหาญกล้าผงะ ถอยๆ คุมเชิง
“พวกแกเป็นใครหน้าคุ้นๆ...เป็นพวกวางเพลิงตลาดใช่ไหม”
ทันใดเจ๊หญิง เสี่ยจำเริญ วิ่งแตกตื่น โผล่มาจากอีกซอย เห็นภาพณัฐเดชกำลังกราดปืนไปมา โดยมีพวกหาญ กล้า ตีวงรายรอบ
“กรี๊ด อะไรกันน่ะ อาไรก๊านนน...”
ณัฐเดชตกใจ หันไป ทันใด พวกหาญ กล้า สมุนวิ่งจู๊ด สลายตัวไปคนละทาง
“เฮ้ย...กลับมาก่อน อย่าหนีสิวะ” ณัฐเดชยิงปืนขึ้นฟ้าปัง! พวกนั้นเผ่นไม่เหลียว ณัฐเดชงงๆ ไม่รู้จะตามใคร
เจ๊หญิง เสี่ยจำเริญวิ่งเข้ามาหา
“พ่อณัฐ อะไรกันๆ ตะกี๊น่ะ มันพวกเด็กๆ ลูกศิษย์พ่อหมอสมคิดเค้านะ เป็นคนดี ธรรมะธรรมโม ไม่ใช่ผู้ร้าย..พ่อณัฐจะทำอะไรเค้า”
“คุณพ่อ คุณแม่ ผม...ผมสงสัย ว่าพวกมันวางเพลิงนะครับ”
“วางเพลิง...พวกหมอสมคิดเผาตลาดของเราเหรอ พวกเค้าจะทำทำไม”
“ทำไมพ่อณัฐถึงคิดอย่างนั้น พ่อณัฐเห็นอะไร มีหลักฐานอะไร หรือไปรู้อะไรมาเหรอ”
ณัฐเดชอ้ำอึ้ง ทันใดไตรรัตน์วิ่งเข้ามาอีกทาง
“ม้า ป๊า...ไอ้ณัฐ โอย...วิ่งมาซะไกล เค้ากั้นไม่ให้รถเข้า ไฟเป็นไงบ้าง”
“อาตี๋ พวกดับเพลิงกำลังฉีดน้ำเลี้ยงอยู่ แต่ยังเอาไม่อยู่เลยลูก”
ทุกคนอึ้ง
รถมอไซค์รับจ้างคันหนึ่งขับฝ่าคนที่วิ่งขนของอลหม่าน เข้ามาจอด...สุคนธรสลงมายืนมองรอบตัว
“ตายแล้ว...แย่แล้ว ไฟไหม้ตลาดหญิงจำเริญเหรอเนี่ย”
สุคนธรสจะเข้าไป พวกดับเพลิงมากั้นไว้
“ห้ามเข้าครับๆ”
สุคนธรสยืน งงๆ มองดูสภาพต่างๆ อีกมุมนึงกรรัมภาวิ่งเข้ามา มองหารอบๆ ไม่เห็นใคร กรรณาวิ่งฝ่าคนตามกรรัมภามา หันไปเห็นสุคนธรสก็ดีใจ
“ยัยรสอยู่นั่น...ยัยรสๆ สุคนธรส”
สุคนธรสหันไปมองเห็นกรรณา เนตรสิตางศุ์ กรรัมภา ก๊องรีบร้อนเข้ามา กรรณาถึงก่อนก็คว้าตัวสุคนธรสเข้ามากอด
“โธ่...ยัยรส แกเป็นยังไงบ้าง”
สุคนธรสงงๆ ปิดๆ บังๆ
“เอ่อ...เป็นอะไรเหรอ...ปล่าวนี่”
“ฉันผิดเองที่ปล่อยให้แกไปดินเน่อร์กับไอ้ลูกชายเจ้าของตลาดสองต่อสอง”
“ฉันก็ผิดเหมือนกัน ที่ไม่ไปเป็นเพื่อนแก”
“เรื่องแบบนี้ไม่น่าเกิดขึ้นกับเธอเลย”
เนตรสิตางศุ์เริ่มแบะปากน้ำตาคลอ
“มันอยู่ไหน ผมจะไปฆ่ามัน ไอ้พวกเศษมนุษย์ รังแกผู้หญิงตัวเล็กๆ ไม่มีทางสู้”
“หา! เวรล่ะ พวกเธอรู้ได้ไงเนี่ยะ”
“ก็เมื่อตะกี้ แกลืมปิดมือถืออ่ะ”
“แล้วพวกเราเปิดออกอากาศ ฟังกันทั้งบ้านเลย”
“โธ่เอ้ย...น่าเขกกะโหลกตัวเองนัก”
สุคนธรสยกมือตบหน้าผากตัวเอง ทำท่าเหมือนอยากจะตายให้ได้
“ดูดิ...เสื้อแกขาดรุ่งริ่งแบบนี้ เพราะมันฉีกทึ้งเสื้อแกใช่ไหม๊”
“ว้ายๆ...ที่คอแกด้วย...นั่นมันรอยเอ่อ...”
“หยุด! พอเถอะ พวกแกไม่ต้องย้ำแล้ว ฉันไม่ได้อยากจะนึกภาพ”
“มันคือรอยอะไรเหรอ...” เนตรศิตางศุ์ถามอย่างสงสัย
“คืออย่างนี้นะ พี่เนตร ก๊องจะอธิบายให้ฟังนะ...คือ...ในธรรมชาตินะ ก็มีดอกไม้ ใช่ป่าว แล้วในดอกไม้นะ มันเกสรตัวผู้กะเกสรตัวเมีย แล้ววันนึง ก็มีผึ้งบินมา...”
“ไอ้บ้าก๊อง หยุดไปเลย”
“แกไม่ต้องกลัวไอ้รส ฉันจะกู้ศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงให้เพื่อนเอง ไปแจ้งความให้พี่ณัฐจัดการเลย”
ก๊องเหลือบไปเห็นณัฐเดช ไตรรัตน์ เจ๊หญิงและเสี่ยจำเริญกำลังเดินเข้ามา
“นั่น! พี่ณัฐอยู่นั่นไงครับ”
สี่สาวหันไปมอง
“เหมาะเหม็งเลย อยู่ครบทั้งเจ้าหน้าที่ ทั้งจำเลย แถมพ่อแม่ด้วย เข้าไปเลยยัยกรรณ”
กรรณาถลกแขนเสื้อ เดินพุ่งจะเข้าไปเอาเรื่อง
“อย่ายัยกรรณ…สงบใจไว้ก่อน...ไม่ใช่ที่นี่ คนล้านเจ็ด ยัยกรรณหยุดๆๆ”
สาวๆ กระโดดล็อคคอกรรณาไว้
โปรดติดตามตอนต่อไป