xs
xsm
sm
md
lg

รักเกิดในตลาดสด ตอนที่ 10

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 10  
    
ภายในร้านอาหาร รัศมีใส่ผ้าคลุมหัว รุกรี้รุกรนตลอดการนั่งสนทนากับฤทธิ์ จนอีกฝ่ายถามขึ้น
“อะไรกันกินข้าวกับผัวทั้งที ถึงกับต้องคลุมหน้าคลุมตากันขนาดนี้เลยเหรอ” ฤทธิ์เอ่ยขึ้น
“อย่าพูดแบบนี้ได้มั้ย ชั้นไม่ได้เป็นอะไรกับพี่แล้วนะ” รัศมีเอ่ยขัดขึ้น
“สายใยสวาทน่ะมันตัดกันขาดง่ายๆขนาดนั้นเชียวเหรอ” ฤทธิ์บอก
“ว่าแต่พี่ออกมาจากคุกตั้งแต่เมื่อไหร่” รัศมีชวนเปลี่ยนเรื่อง
“ก็ตั้งแต่เมียรักลืมส่งเงินเดือนให้พี่ยังไง เลยต้องออกมาทวง” ฤทธิ์เอ่ยขึ้น
“คือ ช่วงนี้ชั้นมีปัญหาเรื่องเงินน่ะ” รัศมีเอ่ย
“อะไรกัน ทำไมผัวเสี่ยถึงปล่อยให้เมียพี่เงินขาดมือขนาดนี้” ฤทธิ์ทำหน้าไม่เชื่อ
“ที่ห้างมันมีปัญหาวุ่นวายเยอะแยะน่ะ ความจริงถึงจะอยู่ในคุกพี่ก็ยังหาเงินจากข้างนอกได้อยู่ตลอดไม่ใช่เหรอ ก็ไม่น่าจะต้องมาขอเงินชั้นใช้อีก” รัศมีบอก
“มันเหมือนกันที่ไหน ส่วนของเธอน่ะคือค่าปิดปากชั้นไม่ให้บอกไอ้เสี่ยชายศักดิ์ว่า เด็กที่มันหลงให้ใช้นามสกุลมาตั้งเกิดน่ะลูกใคร แต่ถ้าคิดจะเบี้ยวล่ะก็ พ่อบังเกิดเกล้าคนนี้คงได้เวลาเปิดตัวซักที” ฤทธิ์รื้อฟื้นความทรงจำให้รัศมี
“อย่าเชียวนะ ถ้าพี่ยังอยากจะได้เงินของชั้นต่อไป” รัศมีร้อนรน
“แหม มาเจอกันทั้งที ไม่โรแมนติกอย่าที่คิดไว้เลย สงสัยต้องชวนกันไปรำลึกความหลังซะหน่อย หมีรู้มั้ยว่าพี่เหงาแค่ไหนตอนที่อยู่ในคุก” ฤทธิ์จับมือรัศมี รัศมีพยายามจะดึงมือออก
“ไม่ ชั้นไปไหนกับพี่ทั้งนั้น” รัศมีขัดขืน
“ไม่เอาน่ะ อย่าพูดกับพี่อย่างนี้ เพราะถ้าพี่เสียใจ หมีก็รู้ว่าอะไรๆมันจะยากขึ้นอีกเยอะ” ฤทธิ์บีบมือรัศมีแน่นจนเจ็บเชิงขู่ รัศมีรีบพยักหน้าเพราะไม่อยากมีปัญหากับฤทธิ์สามีเก่าที่เพิ่งออกจากคุกและคือพ่อที่แท้จริงของศักดิ์ชาย

เวลาเดียวกันนั้น กิมลั้งจับต๋องเป็นหุ่นลองใส่ผ้ากันเปื้อน ผ้าโพกหัว แล้วมีผ้าผูกคอให้ดูเก๋ไก๋ ที่ตลาดผ้าพาหุรัดและเลือกสินค้าประดับตกแต่งแผงที่สำเพ็งอย่างสนุกสนาน
“เรียบร้อย ใช้ได้มั้ย เครื่องแบบของพวกเรา” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“ว้าว แจ่ม พ่อค้าแม่ค้าตลาดเราต้องดูเท่แน่ๆ” ต๋องส่องกระจกแล้วยิ้มชอบใจ
“งั้นเอาตามนี้เลยนะ” กิมลั้งเอ่ยอย่างมีความสุข
“จ้ะ แฟนว่ายังไง แฟนก็ว่าอย่างงั้น” ต๋องเอ่ย
“เว่อร์” กิมลั้งเขินตีแขนต๋อง
“ใช่ หน้าแดงเว่อร์ ทำไมต้องเขินขนาดนั้น” ต๋องแซวกลับ
“ใครบอกว่าเขิน เอ้อ เดี๋ยวเธอจะซื้ออะไรอีกมั้ย” กิมลั้งเปลี่ยนเรื่อง
“ก็ซื้อของแต่งร้านอีกนิดหน่อยก็เสร็จ เธอจะรีบกลับเลยใช่มั้ย” ต๋องย้อนถามกลับ
“อ๋อ เปล่า ชั้นว่าจะชวนเธอไปที่ที่หนึ่ง” กิมลั้งรีบเอ่ย
ต๋องงง
“ที่ไหนเหรอ”
บ่ายนั้น กิมลั้งพาต๋องไปวัดเล่งเน่ยยี่ ซึ่งเป็นที่ตื่นตาตื่นใจและอาจดูแปลกตามากสำหรับคนไทยแท้อย่างต๋อง
“งงล่ะซิ ไม่เคยเข้าวัดจีนเลยใช่มั้ย” กิมลั้งเอ่ยถามต๋อง
“ครั้งแรกในชีวิต” ต๋องตอบ
“รู้มั้ยว่าชั้นมาที่นี่ตั้งแต่ยังอยู่ในท้องม้า หลังจากนั้นก็มาทุกๆวันเกิด” กิมลั้งเอ่ย
“อย่าบอกนะว่าวันนี้วันเกิดเธอ” ต๋องหันมายิ้มกับกิมลั้งก่อนจะถามขึ้น กิมลั้งพยักหน้าแทนคำตอบ
“โอ๊ย ชั้นไม่รู้ได้ยังไงเนี่ยว่าวันนี้วันเกิดแฟน” ต๋องพูดไปพลางยิ้ม
“ไม่เป็นไรหรอก” กิมลั้งยิ้มตอบกลับ
“ชั้นขอโทษ” ต๋องเอ่ย
“ชั้นชินกับการเห็นว่ามันเป็นวันธรรมดาวันหนึ่งมานานแล้วล่ะ ปกติที่บ้านชั้นก็ไม่ได้ความสำคัญกับอะไรแบบนี้อยู่แล้ว แต่ถึงยังไง ทุกวันเกิดชั้นจะมาไหว้พระแล้วก็ทำบุญที่นี่ให้เป็นมงคลชีวิตน่ะ” กิมลั้งเผย
“ชั้นดีใจนะที่ได้มาที่นี่กับเธอวันนี้” ต๋องเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ
“ชั้นก็ดีใจ ไป เข้าไปข้างในกัน” กิมลั้งยิ้มตอบอย่างอ่อนโยน
ทั้งคู่พากันเข้าไปในวัด ต๋องกับกิมลั้งปักธูปไหว้พระประธานในวัดเล่งเน่ยยี่ ต๋องทำตามกิมลั้งอย่างเก้ๆกังๆเพราะไม่เคยเข้าวัดจีนมาก่อน

กิมลั้งพาต๋องมาไหว้ที่หน้าเทพเจ้าไฉ่ซิ่งเอี๊ย
“นี่คือเทพไฉ่ซิ่งเอี๊ย เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภน่ะ คนจีนจะบูชาท่านเพื่อให้เสริมบารมี มีทรัพย์สินเงินทอง ทำมาค้าขึ้น อยากได้อะไรก็ขอท่านเองนะ รับรองว่าท่านต้องช่วยคนขยันทำมาหากินอย่างเธออยู่แล้ว” กิมลั้งรีบอธิบายให้ต๋องฟัง
“แล้วถ้าชั้นขอท่านเรื่องความรักล่ะ” ต๋องเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย
“ที่มีอยู่นี่ยังไม่พอรึยังไง” กิมลั้งแกล้งค้อนใส่ต๋อง
“พอจ้ะพอ” ต๋องเอ่ยขึ้น

ต่อจากนั้น ทั้งคู่เดินมาที่ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ ย่านเยาวราช
“เป็นยังไง เข้าวัดจีนแล้วรู้สึกแปลกๆมั้ย” กิมลั้งถาม
“ไม่หรอก ชั้นว่าจะวัดจีนหรือวัดไทย ก็เป็นที่พึ่งทางใจได้เหมือนกัน ความจริงจะศาสนาไหน ถ้ามีมาเพื่อทำให้คนเชื่อมั่นในความดี ชั้นว่าก็เพียงพอแล้ว” ต๋องตอบ
กิมลั้งฟังแล้วคิดถึงกิมฮวยขึ้นมา
“นั่นซิ จะคนไทย คนจีน ถ้าเป็นคนดีมันก็น่าจะพอแล้วเหมือนกัน” กิมลั้งเอ่ยด้วยใบหน้าเศร้า
“เธอหมายถึงเรื่องที่แม่ไม่อยากให้มารักกับคนไทยอย่างชั้นใช่มั้ย” ต๋องรู้ทันว่ากิมลั้งหมายถึงสิ่งใด

“ชั้นก็ไม่เข้าใจเลยนะ ทำไมม้าถึงไม่สนใจคนตรงที่เค้าเป็นยังไงมากกว่าเค้าเป็นใคร” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“มันไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกที่จะเปลี่ยนความเชื่อที่แม่เธอมีมาทั้งชีวิต” ต๋องเอ่ยอย่างเข้าใจ
“ถ้ามันยากขนาดนั้น เรากลับไปขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยหน่อยดีกว่ามั้ย” กิมลั้งว่า
“ไม่ต้องหรอกกิมลั้ง เรื่องแบบนี้ชั้นต้องทำด้วยตัวเอง ถ้าจะต้องขออะไรชั้นขอเป็นกำลังใจจากเธอดีกว่า” ต๋องเอ่ย
“ได้ เจ้าแม่กิมลั้งจัดให้เธอเดี๋ยวนี้เลย เพี้ยง เป็นไง กระชุ่มกระชวยขึ้นมั้ย” กิมลั้งไม่พูดอย่างเดียว ยังทำพิธีเป่ากระหม่อมให้ต๋องด้วย
“วันหลังอมโบตันก่อนเป่าได้มั้ย” ต๋องรีบเข้าไปกระซิบกลับกิมลั้งทันที
“บ้า”
กิมลั้งหัวเราะออกมาจนลืมเครียด แล้วลอดซุ้มประตูอย่างมีความสุข

บ่ายวันเดียวกัน ฤทธิ์นัวเนียกับรัศมีในบ้านเช่าอย่างเคลิบเคลิ้ม
“พอแล้วพี่ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า” รัศมีเอ่ยขึ้น
“แล้ววันหลังมาใหม่นะ” ฤทธิ์พูดแล้วเข้าไปหอมแก้วรัศมี
“เดี๋ยว” รัศมีรีบเดินออกไป แต่ฤทธิ์เรียกไว้
“ลืมอะไรรึเปล่าจ๊ะ” ฤทธิ์ว่าแล้วรีบเดินเข้าไปหา
รัศมีนึกขึ้นได้รีบหยิบปึกหนึ่งขึ้นมายื่นให้ฤทธิ์ อีกฝ่ายหอมเงินที่รับมาอย่างมีความสุข
“แหม หอมพอๆกับแก้มเธอเลย” ฤทธิ์เอ่ยอย่างมีความสุข
“งั้นชั้นไปนะ” พลอดรักเสร็จ รัศมีขอตัวกลับราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ครู่หนึ่งรัศมีเข้ามานั่งในรถแล้วร้องกรี๊ดลั่น
“อ๊าย จะออกจากคุกมาทำไมตอนนี้ ศึกกับนังสดศรียังไม่สำเร็จ ยังจะต้องมาคอยรบกับแมงดาตัวพ่ออีกเหรอเนี่ย อ๊าย” รัศมีเอ่ยอย่างอัดอั้นตันใจ

เวลาเดียวกัน หลังจากรัศมีกลับออกมา ฤทธิ์นับเงินที่ได้มาจากรัศมี ครู่นึงมือถือดังขึ้น ฤทธิ์กดรับสาย
“ฮัลโหล ว่าไง อะไรกันวะ เรื่องขี้หมูขี้หมาแค่นี้ต้องให้ถึงมึงกู เลยเหรอ เออๆ บอกเฮียว่าเดี๋ยวกูไปจัดการให้”
ฤทธิ์กดวางสายอย่างอารมณ์เสีย แล้วรีบเดินไปเอาเสื้อมาใส่อย่างรีบเร่ง

บ่ายนั้นอีกมุมหนึ่ง เลื่อนกับรักเร่โดนรุมสกรัมอย่างแรงจนกระเด็นมากระแทกผนัง แถมยังโดนตามมากระทืบซ้ำจนลงไปนอนกองกับพื้น ทันใดนั้นเลื่อนกับรักเร่เห็นเท้าคู่หนึ่งเดินมาเขี่ยหัวทั้งคู่
“โจ๋นักใช่มั้ยพวกมึง” ฤทธิ์ อดีตสามีเก่าของรัศมีเอ่ยขึ้น เขาเอื้อมมือมาจิกหัวเลื่อนกับรักเร่ให้ลุกขึ้นนั่ง
“ตกลงว่ามึงจะจ่ายมั้ย” ฤทธิ์ขู่ซ้ำ
“ขอเวลาพวกชั้นอีกนิดนะพี่” รักเร่รีบว่า
“มึงขอกูก็ให้” ฤทธิ์พูแล้วส่งสัญญาณให้ลูกน้องไปกระทืบเลื่อนกับรักเร่ซ้ำ
“ถึงพี่จะกระทืบพวกชั้นให้ตาย ตอนนี้ชั้นก็ไม่มีให้พี่จริงๆ” เลื่อนรีบห้ามไว้
“งั้นกูมีทางเลือกให้พวกมึง” ฤทธิ์สั่งให้ลูกน้องหยุด
“ได้พี่ได้ จะให้ชั้นทำอะไรก็บอกมา” เลื่อนเอ่ย
“พวกมึงต้องขายยาบ้า” ฤทธิ์ว่า
“ยาบ้า!” เลื่อนกับรักเร่ตกใจ
“ให้ชั้นขายยาคูลท์แทนได้มั้ย อย่างน้อยมันก็ดีต่อสุขภาพ” เลื่อนรีบโพล่งขึ้น
“แต่มันคงไม่ดีกับสวัสดิภาพมึงแน่” ฤทธิ์พูดจบแล้วตบหน้าเลื่อนอย่างแรง
“กูคงรอมึงขายยาคูลท์จนกว่าจะได้เงินมาใช้หนี้ครบหรอกนะ” ฤทธิ์ด่า
“นี่คือล็อตแรกที่มึงต้องจัดการภายในคืนนี้ ได้ข่าวว่าพวกมึงมีเพื่อนแก๊งเตะบอลเยอะแยะไม่ใช่เหรอ ก็เอาไปปล่อยที่นั่นซิ” ฤทธิ์รับถุงยาจากลูกน้องมาแล้วขว้างใส่หน้าเลื่อนกับรักเร่
“แต่พี่ครับ พวกนักกีฬาเค้าไม่พึ่งพายาเสพติด” รักเร่รีบโต้ขึ้น
“งั้นมึงก็เลือกเอาว่า จะขายหรือจะตาย” ฤทธิ์บีบคอเลื่อนกับรักเร่แน่นจนตาเหลือก กระเสือกกระสน แล้วจึงปล่อยมือ
“นี่แค่ตัวอย่างนาทีแห่งความตายให้พอเห็นภาพ ถ้ายังคิดจะมีปัญหารับรองว่ามึงได้เจอจัดเต็ม”
ฤทธิ์ขู่เลื่อนกับรักเร่เสร็จ เดินออกไปพร้อมพรรคพวก ปล่อยให้เลื่อนกับรักเร่อยู่ในอาการช็อกน้ำตาคลอกับสิ่งที่เกิดขึ้น

เวลาต่อจากนั้น ต๋องกับกิมลั้งกลับมาจากเยาวราชเดินกลับเข้ามาผ่านแผงปลา พอเจอกิมฮวยทำตาเขียวใส่ถึงกับหัวเราะค้างกลางอากาศ
“งั้นชั้นไปก่อนนะ” ต๋องหันไปคุยกับกิมลั้ง
ต๋องเดินแยกไปแผงผัก
“อากิมลั้ง อั๊วมีเรื่องต้องพูดกับลื้อจริงจัง” กิมฮวยหันไปบอกกิมลั้งเสียงจริงจัง
กิมฮวยเดินออกไปนอกตลาด กิมลั้งหันไปมองต๋องด้วยอาการลังเล แต่ในที่สุดกิมลั้งตัดสินใจเดินตามกิมฮวยไป ส่วนต๋องมองตามกิมลั้งตาละห้อย
“งานเข้าจนได้”

กิมฮวยเดินมารอลูกสาวด้านนอกตลาด กิมลั้งเดินตามมาด้วยอาการเซ็งๆ
“ม้าจะพูดเรื่องต๋องอีกใช่มั้ย” กิมลั้งถามขึ้น
“ใช่” กิมฮวยตอบ
“อั๊วว่าอั๊วพูดให้ม้าฟังไปหมดแล้วนะ” กิมลั้งรีบตอบ
“อั๊วจะชวนต๋องไปกินข้าวที่บ้านเราเย็นนี้” กิมฮวยรีบแทรกขึ้นในขณะที่กิมลั้งยังพูดไม่ทันจบ
“จริงเหรอม้า” กิมลั้งแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“ก็ในเมื่ออั๊วห้ามให้พวกลื้อรักกันไม่ได้ อั๊วก็คงต้องทำใจ แล้วก็พยายามทำความรู้จักอาต๋องให้มากขึ้น” กิมฮวยแกล้งว่า
“ม้าไม่ได้เป็นอะไรใช่มั้ย” กิมลั้งยังไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน
“เป็นแม่ลื้อไง แม่ที่เป็นห่วงลื้อ แล้วก็อยากให้ลื้อสบายใจ ทางเดียวที่จะทำให้อั๊วลงรอยกับอาต๋องได้ก็คือจับเข่าคุยกัน” กิมฮวยเอ่ย
“ขอบคุณมากม้าจ้ะ งั้นอั๊วไปบอกต๋องเดี๋ยวนี้เลยนะ” กิมลั้งได้ยินดังนั้นดีใจที่สุดในชีวิต รีบเข้าไปจับมือกิมฮวย กิมฮวยส่งยิ้มนางงามอย่างมีแผนการให้ลูก กิมลั้งวิ่งออกไปหาต๋องอย่างดีใจ

คืนนั้น ที่บ้านกิมฮวย ต๋องพร้อมด้วยเป้ใบน้อย เดินมากดออดหน้าบ้านในอาการประหม่า
ครู่หนึ่งกิมลั้งในอาการตื่นเต้นไม่แพ้กันรีบออกมาเปิดประตูให้
“ต๋อง” กิมลั้งเอ่ยอย่างตื่นเต้น
“กิมลั้ง” ต๋องเดินเข้ามาอย่างกล้าๆกลัวๆเช่นกัน
“ตื่นเต้นมั้ย” กิมลั้งถามขึ้น
“มาก นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ชั้นจะได้เข้าบ้านเธอในฐานะแขกรับเชิญ” ต๋องเอ่ยอย่างดีใจ
“ถือซะว่าเป็นก้าวแรกที่ดีของเราสองคนละกัน สู้ๆนะ เธอรู้ใช่มั้ยว่าชั้นเอาใจช่วยเต็มที่” กิมลั้งว่า
“รู้ซิ” ต๋องรีบเอ่ย
“ไป เข้าบ้าน” กิมลั้งรีบชวนต๋องเข้าบ้าน
ต๋องกับกิมลั้งเข้ามาในบ้าน เห็นกิมฮวยกับเคี้ยงยืนรออยู่
“หวัดดีครับ” ต๋องเอ่ยทักแล้วรีบยกมือไหว้
“หวัดดีต๋อง เชิญๆ นั่งก่อนนั่ง” เคี้ยงต้อนรับขับสู้อย่างดี

“นั่นมันเก้าอี้ประจำเฮียเคี้ยง” ต๋องจะลงนั่งเก้าอี้ แต่กิมฮวยร้องขึ้น
“อ๋อ จ้ะ” ต๋องเลื่อนไปจะนั่งเก้าอี้อีกตัว
“นั่นก็ที่ประจำอั๊ว” กิมฮวยรีบโพล่งขึ้น
ต๋องเห็นท่าไม่ดีจึงลงไปนั่งกับพื้น เคี้ยงกับกิมลั้งตกใจ
“นั่งข้างบนก็ได้อาต๋อง” เคี้ยงเอ่ยขึ้นแต่พอต๋องจะลุกขึ้นนั่ง
“ช่างอีเถอะเฮียเคี้ยง อีเป็นคนไทย เลยมีมารยาทรู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ รู้จักว่าอะไรสูง อะไรต่ำ” กิมฮวยรีบพูดขึ้นมา ต๋องเลยจำต้องนั่งพื้นตามสถานการณ์ กิมลั้งรีบนั่งลงข้างๆด้วย ต๋องเปิดเป้หยิบกล่องขนมสีดำออกมา
“ชั้นเอาของมาฝากน้าเคี้ยงกับน้ากิมฮวยจ้ะ เป็นคุกกี้ธัญพืช มีประโยชน์ต่อร่างกาย หวานน้อยไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ” ต๋องพูดพลางยื่นคุ้กกี้ให้
“ขอบใจมากอาต๋อง ความจริงไม่ต้องลำบากก็ได้” เคี้ยงเอื้อมมือไปรับ
“นั่นซิ ลื้อนี่มีน้ำใจจริงๆ แต่เห็นทีคงต้องแบกน้ำใจลื้อกลับไปด้วย แล้วล่ะ” กิมฮวยรีบเอ่ยขึ้น
พร้อมหยิบกล่องขนมจากมือเคี้ยงส่งคืนให้ต๋อง
“เอ้า ทำไมล่ะม้า” กิมลั้งถามขึ้นอย่างแปลกใจ
“กิมลั้งลื้อไม่เห็นเหรอว่ากล่องขนมมันสีดำ สีดำคือความตาย ขืนอั๊วรับไว้ก็เหมือนถูกแช่ง ลื้อคงไม่อยากให้อั๊วอายุสั้นใช่มั้ยอาต๋อง” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“อุ๊ย ชั้นขอโทษจ้ะ ชั้นไม่รู้ธรรมเนียมจริงๆ” ต๋องเก็บกล่องขนมลงเป้อย่างรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรอาต๋อง ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ยังไงลื้อก็เจตนาดี ไป ไปกินข้าวกันเลยดีกว่า วันนี้พวกเราจัดโต๊ะให้ลื้อเป็นพิเศษข้างนอกเลยนะ” เคี้ยงรีบช่วยต๋อง แล้วชวนทุกคนเปลี่ยนเรื่อง

ทุกคนเดินไปยังสนามหญ้าหน้าบ้าน กิมแชกำลังตักข้าวด้วยอาการเวียนๆหัวและดูซูบไปเพราะฤทธิ์ยาลดความอ้วน
“ทำไมตั้งแต่กินยา ใจมันหวิวๆนะ” กิมแชเริ่มบ่นพึมพำกับตัวเอง
ครู่หนึ่งต๋อง กิมลั้ง เคี้ยง และกิมฮวยเดินเข้ามา
“หวัดดีพี่ต๋อง” กิมแชจึงเอ่ยทักทาย
“หวัดดีกิมแช” ต๋องเอ่ยทักกลับ
“หล่อเชียวนะพี่วันนี้” กิมแชชมจากใจ
“เอ้า พี่ก็คิดว่าพี่หล่อทุกวันซะอีก” ต๋องเอ่ยกลับอย่างกวนๆกิมฮวยได้ยินแล้วหมั่นไส้แต่กลั้นไว้
“ลื้อไม่นั่งเหรออาต๋อง” กิมฮวยโพล่งขึ้น
ต๋องนั่งลงด้วยอาการลนๆ แล้วรีบยกชามาดื่มแก้เขิน
“นี่ เด็กเค้าไม่ดื่มชาจนกว่าจะเห็นผู้ใหญ่ยกถ้วยขึ้นดื่มหรอกนะ ลื้อคงต้องเรียนรู้ธรรมเนียมจีนอีกเยอะ” กิมฮวยดุต๋องอีกรอบ
“ค่อยๆเรียนรู้กันไปไม่ต้องเครียดอาต๋อง มา กินข้าว” เคี้ยงรีบพูดช่วยอีกแต่พอหันมาเจออาหารในจานวันนี้
แต่ละจานมีแต่ของทรงกลมและ ชิ้นใหญ่กว่าปกติ
“เฮ้ย ทำไมอาหารวันนี้มีแต่ทรงกลมๆ ชิ้นใหญ่ๆ ชอบกลฮะอากิมแช” เคี้ยงถามอย่างสงสัย
“ก็ม้าสั่งให้อั๊วทำอย่างนี้นี่” กิมแชรีบตอบ
กิมฮวยรีบพูดภาษาจีนกับเคี้ยง
“ม้าบอกว่า เลี้ยงแขกทั้งทีต้องชิ้นใหญ่ใจป้ำหน่อย เดี๋ยวต๋องจะหาว่าม้างกน่ะ”กิมลั้งเลยกระซิบบอกต๋องพร้อมคำแปล
“อ๋อ” ต๋องพยักหน้าเข้าใจ
กิมฮวยคุยภาษาจีนกับทั้งเคี้ยง กิมลั้ง และกิมแชไม่เลิก ตั้งใจเจตนาให้ต๋องกลายเป็นคนนอก ต๋องพยายามหัวเราะตามไปด้วยอย่างไม่รู้เรื่อง
“กิมฮวย ลื้อพูดภาษาไทยเถอะ อาต๋องอีงงไปหมดแล้ว” เคี้ยงเบรกให้กิมฮวยหยุดพูดภาษาจีน
“แหม ชีวิตปกติของพวกเราเป็นยังไง อาต๋องก็ควรจะได้รู้ไว้ซิ ลื้อไม่ถือสาใช่มั้ย” กิมฮวยว่า
“ไม่เลยจ้ะไม่” ต๋องเอ่ยอย่างเริ่มเสียอาการ
“เอ้า งั้นก็เจี๊ยะปึ่ง”
ทุกคนใช้ตะเกียบยื่นมาคีบอาหาร มีเพียงต๋องที่ใช้ช้อน กิมฮวยเอื้อมมือมาตีมือต๋อง จนอีกฝ่ายตกใจ
“อุ๊ย” ต๋องสะดุ้ง
“ทำไมลื้อไม่ใช้ตะเกียบ” กิมฮวยเอ่ย
“ต๋องเค้าไม่ค่อยถนัดน่ะม้า” กิมลั้งรีบตอบแทน
“ช่างอีเถอะกิมฮวย อาหารมันก็ดูคีบยากๆ อีสะดวกยังไงก็ให้อีกินอย่างนั้นล่ะ” เคี้ยงช่วยต๋องอีกคน
“พูดแบบนี้ก็เท่ากับส่งเสริมให้อีมักง่ายน่ะซิ คิดจะรักจะชอบกับคนจีน ก็ต้องรักที่จะทำความรู้จักกับความเป็นจีนด้วย ไม่งั้นถือว่าไม่ให้เกียรติกัน” กิมฮวยแกล้งทำซีเรียส
“แต่ม้า...” กิมลั้งพยายามจะค้าน
“น้ากิมฮวยพูดถูกแล้วล่ะกิมลั้ง ชั้นกินตะเกียบได้ไม่ต้องห่วง” ต๋องเอ่ยพร้อมกิมลั้งก่อนจะหยิบตะเกียบข้างหนึ่งแล้วเอื้อมไปแทงเสียบอาหาร
“ไอ้หยา” กิมฮวยเห้นเข้าถึงกับตกใจ
“พี่ต๋อง เอาตะเกียบเสียบอาหารแบบนั้นไม่ได้จ้ะ คนจีนถือ มันเหมือนกับยกนิ้วกลางให้” กิมแชเห็นต๋องใช้ตะเกียบแทงอาหารบนโต๊ะจึงรีบเอ่ย
“ไม่เป็นไรต๋อง เดี๋ยวชั้นตักให้เอง” กิมลั้งเอ่ยขึ้นรีบช่วย ดึงตะเกียบต๋องออกจากอาหาร แล้วจะตักอาหารให้
“ไม่ได้นะอากิมลั้ง ถ้าลื้อต้องคอยตักอาหารให้อาต๋องอย่างนี้ ลื้อก็คงต้องตักให้อีไปตลอดชีวิต งั้นอีก็คงไม่เหมาะที่จะมาดูแลลื้อแทนอั๊วกับป๊าแล้ว” กิมฮวยรีบเบรก
“แต่แค่ใช้ตะเกียบเป็นหรือไม่เป็นมันไม่ได้ช่วยตัดสินอะไรเลยนะม้า” กิมลั้งเอ่ยค้าน
“ช่วยซิ ตะเกียบน่ะมันไม่ใช่แค่อุปกรณ์ตักอาหารลื้อเข้าใจมั้ย คนจีนใช้มันมาสองพันกว่าปีแล้ว พวกเราใช้มันจนเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของร่างกาย ไอ้ไม้สองข้างนี่มันไม่ใช่แค่ไม้ แต่มันคือวิถีชีวิตแบบเราอากิมลั้ง แล้วยังไงซะมันก็มีแต่คนที่ใช้ตะเกียบเท่านั้นที่เข้าใจคนใช้ตะเกียบด้วยกัน ไม่ใช่คนที่ใช้ช้อนส้อม”
กิมฮวยเอ่ยอย่างมีอารมณ์ก่อนจะเดินลุกออกจากโต๊ะไป ปล่อยให้ต๋องกับกิมลั้งมองหน้ากันด้วยความเครียด

เวลาต่อจากนั้น กิมฮวยยืนหงุดหงิดอยู่ที่มุมหนึ่งของบ้าน ครู่หนึ่งต๋องเดินเข้ามา กิมฮวยพยายามจะเดินหนี
“ชั้นรู้นะว่าน้ากิมฮวยไม่ได้ตั้งใจจะชวนชั้นมากินข้าวที่นี่จริงๆหรอก” ต๋องโพล่งขึ้น
“ถ้ารู้อย่างนั้นแล้วลื้อจะมาทำไม” กิมฮวยหันไปเผชิญหน้ากับต๋อง
“ชั้นมาเพราะชั้นอยากเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ด้วย ไม่ใช่แค่ส่วนหนึ่งของกิมลั้งเท่านั้น” ต๋องเอ่ยอย่างพร้อมปรับตัว
“ลื้อก็เห็นแล้วว่าสิ่งที่ลื้ออยาก มันไม่มีทางเป็นไปได้ ต่อให้ลื้อกับกิมลั้งจะรักกันมากแค่ไหน แต่ความแตกต่างมันจะทำให้ทั้งลื้อ ทั้งกิมลั้ง ทั้งคนในบ้านนี้ไม่มีความสุขอยู่ดี” กิมฮวยว่า
“ไม่มีที่ไหนไม่มีความแตกต่างหรอกน้ากิมฮวย แค่ความเป็นผู้หญิงผู้ชายก็ต่างกันแล้ว พ่อก็ต่างจากแม่ พ่อแม่ก็ไม่เหมือนลูก บ้านนี้ก็ไม่เหมือนบ้านนั้นเพราะมันคนละพ่อแม่เดียวกัน คนละครอบครัว คนละสถาบัน คนละความเชื่อ คนละความชอบ แต่เราก็ยังเป็นคนเหมือนกันไม่ใช่เหรอน้ากิมฮวย ถึงน้าจะเชื้อชาติจีน แต่คนจีนก็อาศัยร่มบรมโพธิสมภารอยู่ในเมืองไทยมาตั้งกี่ร้อยปีแล้ว มีคนไทยคนไหนทำให้น้ารู้สึกว่าเป็นคนอื่นมั้ย ทั้งพ่อไทยลูกไทยก็อ้าแขนรับน้าให้อาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้ ทำมาหากินที่นี่ แล้วก็เรียกน้าว่าคนไทยเหมือนกัน มีแต่น้านั่นล่ะที่พูดกรอกหูตัวเองว่าไม่ใช่คนที่นี่ ทั้งที่เกิดที่นี่ พูดภาษาไทยชัดขนาดนี้” ต๋องร่ายยาว
“ไอ้ต๋อง นี่ลื้อด่าอั๊วเหรอ” กิมฮวยรีบโกรธ
“เปล่าเลยน้ากิมฮวย ชั้นแค่สงสัยว่ามันจะอะไรนักหนา จะกินตะเกียบจะกินช้อนส้อม มันก็คือวิธีกินให้มีชีวิตรอดอยู่ต่อไป คนที่คิดมันมาเมื่อสองพันปีที่แล้วคงไม่สบายใจหรอกนะถ้ารู้ว่าคนรุ่นหลังใช้มันมาเป็นยันต์เพื่อกันตัวเองออกจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ถ้าน้าใช้ตะเกียบผิดๆแบบนั้น มันก็ไม่ต่างอะไรจากการใช้ปืนไล่ยิงทำร้ายคนอื่นเลย” ต๋องเอ่ย
กิมฮวยยืนโกรธตัวสั่น แต่เถียงไม่ออก ส่วนเคี้ยง กิมลั้ง และกิมแช ยืนมองทั้งคู่อยู่ด้วยความกังวล

ไม่นานนักศึกสงบลง กิมลั้งเดินมาส่งต๋องหน้าบ้าน
“ขอโทษด้วยนะที่เกิดเรื่องวันนี้ขึ้น เหมือนชั้นพาเธอมาให้ม้าเชือดถึงบ้านยังไงก็ไม่รู้” กิมลั้งรีบเอ่ยขอโทษต๋องถึงเรื่องคืนนี้
“ไม่เอาน่ะ ความจริงชั้นดีใจซะอีกนะที่ได้มาวันนี้ อย่างน้อยๆชั้นก็ได้บอกสิ่งที่ชั้นคิดให้แม่เธอรู้” ต๋องเอ่ย
“ถ้าเธอท้อก็บอกชั้นนะ ถ้าอะไรๆจะต้องเปลี่ยนแปลง ชั้นเข้าใจ” กิมลั้งเอ่ยอย่างเข้าใจต๋อง
“นี่เธอคิดว่าเรื่องที่เกิดมันจะทำให้ชั้นรักเธอน้อยลงเหรอ” ต๋องถามกลับ
“ก็ถ้าชั้นเป็นเธอ ชั้นก็คงทนแม่ตัวเองไม่ไหวเหมือนกัน” กิมลั้งว่า
“ชั้นเข้าใจนะ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะแม่เธอรักเธอมากน่ะ ตอนนี้ชั้นก็แค่มีหน้าที่ทำให้แม่เธอเชื่อให้ได้ว่าชั้นก็รักเธอไม่ได้น้อยไปกว่ากัน” ต๋องเอ่ยอย่างมุ่งมั่น
“ขอบคุณนะต๋องที่เข้าใจชั้น” กิมลั้งจับมือต๋อง
“อ้อ เกือบลืมเลย” ต๋องหยิบสมุดเล่มใหญ่ออกมาจากเป้แล้วยื่นให้กิมลั้ง
“อะไรอ่ะ” กิมลั้งถามอย่างแปลกใจ
“ความจริง ชั้นรู้ตั้งนานแล้วล่ะว่าวันนี้วันเกิดเธอ” ต๋องเผยความจริง
“เธอรู้เหรอ” กิมลั้งถามอย่างสงสัย
“รู้ซิ แล้วตั้งแต่วันที่ชั้นรู้ ชั้นก็นั่งทำของขวัญชิ้นนี้ให้เธอมาตลอด แล้ววันนี้ก็ถึงเวลาส่งมอบให้เธอซักที”
ต๋องเอ่ยพลางยื่นสมุดให้กิมลั้ง
กิมลั้งเปิดออกด้วยความตื่นเต้น แต่พอเห็นรูปภาพของตัวเองมากมายที่ถูกแปะอย่างสวยงามอยู่ในนั้น กิมลั้งปลื้มใจอย่างบอกไม่ถูก
“ต๋อง” กิมลั้งเอ่ยอย่างตื่นเต้นดีใจ
“นี่เป็นรูปที่ชั้นใช้มือถือแอบถ่ายเธอตั้งแต่วันที่เรารู้จักกัน ก็แค่อยากให้เธอรู้น่ะว่าเธอสำคัญกับชั้นตั้งแต่วันแรกที่ชั้นเห็นเธอแล้ว” ต๋องอธิบาย
“ต๋อง รู้มั้ย เธอเป็นพรที่ดีที่สุดที่ชั้นได้รับจากเทพเจ้าในวันเกิดปีนี้เลยนะ” กิมลั้งเอ่ยแล้วโผเข้ากอดต๋อง
“ขอบคุณนะที่เห็นว่าชั้นมีค่ากับเธอขนาดนั้นไป เข้าบ้านเถอะ เดี๋ยวแม่เธอจะกังวล” ต๋องเอ่ย
“จ้ะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้”
กิมลั้งเอ่ยลาอย่างเปี่ยมสุขในวันเกิดที่แสนพิเศษของเธอ
อ่านต่อหน้า 2



“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 10 (ต่อ) 
    

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป จะเด็ดบริกรรมคาถาเจิมป้าย CLEAN FOOD , GOOD PRICE , NICE PLACE “อาหารสะอาด ตลาดของถูก บรรยากาศกู๊ดเก๋” ลูกค้า และแขกเหรื่อยืนอยู่ที่ปากทางเข้ามากมาย พ่อค้าแม่ค้าใส่เครื่องแบบชุดใหม่ ต๋องยืนมองพิธีการแล้วซุบซิบกับกิมลั้ง
“ชั้นไม่เข้าใจเลยว่าจะให้น้าจะเด็ดมาทำพิธีอะไรนี่ทำไม ให้คุณนายสดศรีร้องเพลงปลุกใจก่อนเปิดงานยังจะเป็นมงคลซะกว่า” ต๋องเอ่ยขึ้น
“เอาเถอะน่ะต๋อง ถ้าพิธีมันจะทำให้คนในตลาดรู้สึกฮึกเหิมมีกำลังใจ มันก็ได้ทำหน้าที่ที่ดีของมันแล้วล่ะ” กิมลั้งกระซิบตอบ
จะเด็ดบริกรรมคาถาอย่างต่อเนื่อง
“ขออันเชิญเทพยดาทั้งหลายในสามโลกช่วยอำนวยพรให้โครงการ CLEAN FOOD , GOOD PRICE , NICE PLACE หรือโครงการ อาหารสะอาด ตลาดของถูก บรรยากาศกู๊ดเก๋ มีแต่ เฮง เฮง เฮง ด้วยเทอญ”
เอาล่ะ นี่ก็ได้ฤกษ์ยามแล้ว ขอเชิญคุณนายสดศรีตัดริบบิ้นเปิดงานบัดเดี๋ยวนี้” จะเด็ดว่า
สดศรีตัดริบบิ้นเปิดงาน
“เฮ” ชาวตลาดส่งเสียงดีใจปรบมือกันลั่นตลาด
จะเด็ดรีบลงมือสาดน้ำมนต์
“นับจากวินาทีนี้ไปขอเชิญลูกค้าทุกท่านเข้าใช้บริการและสัมผัสบรรยากาศโฉมใหม่ของตลาดร่วมใจเกื้อได้เลยค่ะ” ณดาหันไปบอกลูกค้า
ชาวตลาดส่งเสียงเฮฮากันอีกครั้งอีกทั้งลูกค้าพากันกรูเข้าไปในตลาดอย่างกระตือรือร้น ต๋องมองตามอยู่กับกิมลั้งด้วยความดีใจ

เวลาเดียวกัน มีเด็กยืนแจกใบปลิวตลาดแนวใหม่ของร่วมใจเกื้ออยู่หน้าห้างเวรี่แฮปปี้ ลูกค้าที่กำลังจะเข้าห้างพอได้อ่านใบปลิวแล้วยืนวิพากษ์วิจารณ์กันพักเป็นกลุ่มๆ
“ไปดีมั้ย” ลูกค้าอีกกลุ่มลังเล
“ลองไปดูก่อนก็ได้นี่ไม่เสียหาย ใกล้กันแค่นี้เอง” ลูกค้าอีกกลุ่มบอก
“งั้นไป”
ลูกค้าหลายคนพากันเดินออกไปตลาดร่วมใจเกื้อแทนที่จะเดินเข้าห้างเวรี่แฮปปี้ของชายศักดิ์และรัศมี
พอรัศมีจะเดินเข้าห้างเห็นผู้คนที่รับแจกใบปลิวแล้วไม่ยอมเข้าห้างเธอตกใจรีบเดินไปที่เด็กแจกใบปลิว แล้วดึงกระดาษมาอ่าน
“อะไรกันน่ะ” รัศมีรีบหยิบกระดาษมาอ่าน
“โครงการ CLEAN FOOD , GOOD PRICE , NICE PLACE ของตลาดร่วมใจเกื้อที่มีการเขียนข้อมูลชัดเจนว่าถูกและดีกว่าห้างเวรี่แฮปปี้แน่นอน ให้แวะมาชม” รัศมีฉีกใบปลิวด้วยความแค้น
“แกกล้ามากนะสดศรี” รัศมีโกรธหันไปตะเพิดเด็กแจกใบปลิวด้วยความโกรธ
“ไอ้เด็กเวร ไปให้พ้นหน้าห้างชั้นเดี๋ยวนี้เลยนะ” รัศมีไล่
“มาไล่กันได้ยังไงป้า นี่มันทางสาธารณะ” เด็กแจกใบปลิวย้อน
“เอ้า เร็วจ้ะเร็ว ของสด ของถูก ของดี ที่ตลาดร่วมใจเกื้อ รับรองว่าถูก กว่าที่ห้างเวรี่แฮปปี้แน่นอน” เด็กแจกใบปลิวหันไปตะโกนกับผู้คนโดยไม่สนใจรัศมี
“อ๊าย” รัศมีกรี๊ดเพราะทำอะไรไม่ได้

วันนั้น ในตลาดคึกคักไม่น้อย โดยเฉพาะร้านข้าวแกงของป้าพิณกับส้มตำคำมูล ที่แน่นขนัดไปด้วยลูกค้า
“ทานอะไรดีจ๊ะ เชิญจ้า” ป้าพิณรีบเรียกลูกค้าทันที
“แวะมาชิมข้าวแกงอร่อยที่สุดในโลกก่อนนะคะ แกงเหลือง แกงป่า แกงกะหรี่ สั่งอะไรเรามีทั้งนั้น แต่ถ้าสั่งแกงเขียวหวาน เดี๋ยวเสิร์ฟทั้งอาหาร ทั้งคนป้อนเลยค่า” เขียวหวานช่วยป้าพิณเรียกลูกค้าด้วย
“ไม่น่าเชื่อเลยนะป้าพิณว่าคนจะเยอะอย่างกะแจกของฟรีขนาดนี้ นี่ยังไม่ทันครึ่งวัน ชั้นขายจะได้จะสองพันแล้วนะ” คำมูลเสิร์ฟอาหารเสร็จเดินมาสมทบป้าพิณกับเขียวหวาน
“ข้าน่ะไม่ได้สนใจเงินที่ได้เท่าไหร่หรอกเว้ย แต่ชื่นใจมากกว่าที่เห็นคนเข้าตลาดเรามากเป็นประวัติการณ์ขนาดนี้” ป้าพิณพูดอย่างชื่นใจ

ที่เขียงหมู เต๊กไฮ้กับลักษณ์ ช่วยกันหั่นหมูมือเป็นระวิง
“แหม คาถาเรียกคนของอาจะเด็ดนี่เด็ดจริงๆลื้อว่ามั้ย วันนี้อั๊วทำสถิติหั่นหมูต่อเนื่องสามชั่วโมงไม่ได้วางมีดเลย” เต๊กไฮ้เอ่ยขึ้น
“แน่ใจเหรอเฮียว่าฝีมือพ่อจะเด็ด งานนี้ถ้าไม่ได้ต๋องจะเด็ดก็อาจจะดับนะ” ลักษณ์จะไม่ค่อยเห็นด้วย
“เอ๊ะ อาลักษณ์ หมู่นี้ลื้อขยันทำตัวเป็นแฟนคลับไอ้ต๋องมากไปหน่อยแล้วนะท่องเข้าไว้ซิว่ามันเป็นมารหัวใจลูกชายเรา” เต๊กไฮ้รีบว่า
“เฮียน่ะเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ หัดแยกแยะให้ออกบ้างซิ ถ้าเห็นเด็กมันทำดีก็ต้องยอมรับ ไม่งั้นคนดีมันจะหมดกำลังใจทำดีนะ” ลักษณ์เอ่ยขึ้นอย่างมีเหตุผล
เต็กไฮ้ฟังแล้วฮึดฮัด สับหมูระบายอารมณ์อย่างไม่พอใจ

ตลาดร่วมใจเกื้อ คึกคักผิดหูผิดตา แผงผักของต๋องและแผงปลาของกิมฮวยคึกคึกไม่ต่างจากแผงอื่นๆ ลูกค้าอุดหนุนไม่น้อย ป้าคนหนึ่งยื่นผักให้ต๋องชั่งน้ำหนัก ต๋องเอื้อมมือไปหยิบมะเขือเทศแถมให้
“อยากให้ป้าสวยนานๆ งั้นชั้นแถมมะเขือเทศไปให้กินต้านอนุมูลอิสระนะจ๊ะ” ต๋องว่า
พอส่งตะกร้าให้ป้าแล้ว ต๋องเหลือบมองไปที่กิมลั้งซึ่งหันมามองต๋องพอดี ต๋องส่งยิ้มหวานให้กิมลั้ง แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนขึ้นมาจากกระเป๋าแล้วชี้ไปที่กิมลั้งแล้วเอาผ้ามาซับๆเหงื่อที่หน้าตัวเองโชว์เพื่อจะส่งภาษาใบ้บอกให้กิมลั้งซับหน้าตัวเองบ้าง กิมลั้งพยักหน้าแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับหน้าตามที่ต๋องบอกอย่างเชื่อฟัง ระหว่างนี้ณดาเดินตามสดศรีเข้ามาสำรวจสถานที่มองเห็นอาการของต๋องกับกิมลั้งเข้าเริ่มหมั่นไส้

ต๋องยังเล่นไม่เลิก รีบเอาผ้าเช็ดหน้ามาจุ๊บปากแล้วส่งไปให้กิมลั้ง ในจังหวะที่กิมลั้งทำตามแล้วส่งจุ๊บผ่านผ้าเช็ดหน้ากลับไปให้ต๋องกิมฮวยหันมาเห็นพอดี เลยรีบคว้าผ้าเช็ดหน้าจากมือกิมลั้งเอามาเช็ดคมมีดอีโต้ในมือโชว์ข่มขวัญต๋อง ต๋องกับกิมลั้งถึงกับกร่อย

ครู่หนึ่งมีเสียงสัญญาณดังขึ้นจากลำโพงของตลาด พ่อค้าแม่ค้าตื่นตัวพากันลงมายืนตรงทางเดิน กิมลั้งลงมายืนที่ทางเดินแล้ว แต่กิมฮวยทำท่าอิดออด
“ม้า มาเร็ว เราตกลงกันแล้วนะว่าทุกคนในตลาดต้องทำเหมือนกัน” กิมลั้งชวนกิมฮวย
“อั๊วรู้แล้วน่ะ”
กิมฮวยเดินลงทางเดินตลาดอย่างจำใจ ลูกค้าในตลาดยังงงว่าพ่อค้าแม่ค้าจะทำอะไรเมื่อลงมาบนทางเดินพร้อมกัน
ครู่หนึ่งเสียงนกหวีดยาวดังขึ้น จากนั้นเพลงจังหวะคึกคักดังตามมา พ่อค้าแม่ค้าทุกคนเต้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ไม่เว้นแม้แต่สดศรีกับณดา มีเพียงกิมฮวย กับเต๊กไฮ้ที่ดูเขินๆแต่ก็ยอมเต้นด้วยดี
ลูกค้ายืนดูการเต้นด้วยความชอบใจ และปรบมือตามจังหวะ พอเพลงจบลงทุกคนหยุดเต้นแล้วพูดพร้อมกันเสียงดังฟังชัดว่า
“ขอให้สนุกสนานกับการจับจ่ายในตลาดร่วมใจเกื้อค่ะ / ครับ”
ลูกค้าปรบมือกันดังสนั่น บ้างเป่าปากอย่างชอบใจ ลูกค้ามากมายเฮฮาอย่างสนุกสนาน ในนั้นมีรัศมีปลอมตัวแอบปะปนกับลูกค้าเพื่อมาสำรวจสถานการณ์
“ประกาศค่ะประกาศ วันนี้ถ้าใครเอาถุงผ้า เอาตะกร้ามาใส่ของแทนถุงพลาสติก ทางเราขอสมนาคุณลูกค้าที่ช่วยลดโลกร้อนด้วยของขวัญพิเศษ แจกตอนนี้ ทันทีเดี๋ยวนี้ที่หน้าสำนักงานตลาดเลยค่ะ” สดศรีปรบมือเรียกลูกค้า
ลูกค้าส่งเสียงเฮดีใจกันยกใหญ่ แล้วมุ่งหน้าไปที่สำนักงานของตลาด
“นังบ้า แกจะดูดลูกค้าทั้งโลกมาไว้ที่นี่รึยังไงกันฮะ” รัศมีหน้าเครียด บ่นพึมพำกับตัวเอง
ณดาหันไปมองต้นเสียง
“คุณแม่คะ นั่นยัยรัศมีนี่” ณดาเอ่ยขึ้น
“ตายแล้วพวกเรา มีแขกมาเยี่ยมถึงที่เลย” สดศรีเสียงดังขึ้นมา ปรี่ไปหารัศมีทันที ชาวตลาดหันไปมองที่รัศมี กิมฮวยรีบถลาเข้าไป
“เอ้า หาน้ำหาท่ามาให้แขกหน่อยเร้ว” สดศรีโพล่งขึ้น
แม่ค้ายกถังน้ำเดินมุ่งหน้าไปหารัศมีทำท่าจะสาด
“อย่านะ อย่าทำอะไรชั้นนะถ้าไม่อยากขึ้นโรงพักอีก” รัศมีรีบขู่
“พวกชั้นก็ไม่อยากแปดเปื้อนเสนียดจัญไรให้เสียฤกษ์วันมงคลหรอก ว่าแต่เธอ มาที่นี่ทำไม ลงทุนแปลงร่าง คิดว่าจะอำพรางตัวมิดเหรอ” สดศรีเอ่ย
“นั่นซิ ถ้าไม่อยากให้คนเค้าจับได้ วันหลังลื้อก็ต้องเอาปี๊บคลุมหัวเข้ามา” กิมฮวยเสริมขึ้น
“กิมฮวย ปี๊บน่ะเค้าเอาไว้ให้คนที่มีความรู้สึกอับอายขายหน้าคลุมนะ” สดศรีว่า
“อ๋อ ถ้าหน้าหนาไร้ยางอายมากๆอย่างนังนี่ ปี๊บก็เอาไม่อยู่ใช่มั้ยคะ” กิมฮวยกับสดศรีรับส่งกันดี
“ตลาดนี้ขายเนื้อหมาด้วยเหรอ ทั้งเจ้าของทั้งแม่ค้าถึงได้เห่ากันเก่งนัก” จนรัศมีโวยขึ้น
“ถ้าพวกชั้นเป็นตัวกินหมา เธอก็น่าจะเป็นตัวกินไก่นะ เพราะเธอไม่เห่า แต่เธอ เหี้ยม” สดศรีเอ่ยขึ้น
“แกว่าชั้น เหี้ยมเหรอ” รัศมีโกรธ
“อู๊ย อย่างแกน่ะทั้งเหี้ยมทั้งห่ามเลยล่ะ” สดศรีด่าอีก
“อ๊าย” รัศมีโกรธจัด ปรี่เข้ามาหาสดศรีกับกิมฮวย
“เอ้าพวกเรา แขกหิวน้ำ” สดศรีจึงตะโกนขึ้น
ชาวตลาดยกถังน้ำจะสาดใส่รัศมี รัศมีรีบเลี้ยวกลับแล้ววิ่งออกไปอย่างหัวซุกหัวซุน พ่อค้าแม่ค้ายืนหัวเราะชอบใจ

รัศมีวิ่งไปหลบอยู่มุมหนึ่ง
“แล้ววันนึงพวกแกจะหัวเราะไม่ออก” รัศมีเอ่ยอย่างเจ็บใจ
ชมพู่กับคิตตี้ที่ยืนอยู่ข้างหลังรัศมีครู่ใหญ่ เอามือตบถุงพลาสติกที่อัดลมแน่นพร้อมๆกันดังปัง
“อ๊าย” รัศมีสะดุ้งตกใจสุดตัววิ่งหนีกระเจิดกระเจิง
“เป็นไงล่ะ หัวเราะไม่ออก” ชมพู่กับคิตตี้หัวเราะลั่นด้วยความสะใจ

บ่ายวันเดียวกัน กิมแชอยู่บ้านอย่างเคย เธอแอบกินยาลดความอ้วน พอกินเสร็จเอื้อมไปหยิบไม้กวาดจะกวาดบ้านต่อ แต่แล้วกิมแชเซจนต้องลงนั่งเก้าอี้
“โอ๊ย ใจสั่นอีกแล้ว” กิมพูดพลางหยิบขวดยามามองดู
“เอาน่ะ อยากผอมต้องยอมทน นึกถึงหน้าพี่รงค์เข้าไว้” กิมแชพูดกับตัวเอง
พูดจบเสียงออดดังขึ้น
“ใคร” กิมแชรีบออกไปดู

กิมแชออกไปหน้าบ้าน พบว่าจาตุรงค์มายืนอยู่หน้าบ้าน พร้อมพิซซ่าอีกหลายกล่อง
“พี่รงค์” กิมแชพูแล้วรีบเปิดประตูให้
“พี่ทนไม่ไหวแล้วกิมแช พี่ทนไม่ไหวแล้ว” จาตุรงค์เอ่ยขึ้น แล้วเดินเข้ามาในบ้าน กิมแชรีบตามไปอย่างงงๆ จาตุรงค์ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา กิมแชตามมานั่งข้างๆด้วยความเป็นห่วง
“พี่รงค์เป็นอะไร หิวเหรอ” กิมแชถาม
“โธ่เว้ย ไม่ใช่ กิมแช จริงรึเปล่าที่กิมลั้งประกาศต่อหน้าน้ากิมฮวยว่าเป็นแฟนไอ้ต๋อง” จาตุรงค์พูดแล้วเขย่าตัวกิมแชแรงขึ้น
“เอ่อ...” กิมแชพูดไม่ออก
เห็นอาการกิมแชจาตุรงค์เดาได้ว่าทุกอย่างต้องเป็นเรื่องจริง
“ตกลงว่าจริง จริงๆด้วย ทำไมน้องกิมลั้งไม่เคยคิดจะรักพี่บ้างเลย พี่จะทำยังไงต่อไปดี” จาตุรงค์ถามย้ำ
“ไม่ต้องทำไง ถ้าพี่อยากรักเจ้ พี่ก็แค่รักต่อไปเท่านั้น” กิมแชพูดสั้นๆ
“แค่รักต่อไปเท่านั้นเหรอ แล้วมันจะมีอะไรดีขึ้นมั้ย” จาตุรงค์ยังหาทางออกไม่ได้
“เรื่องของวันข้างหน้า กิมแชตอบแทนพี่ไม่ได้ กิมแชรู้แต่ว่าถ้าเรารักใครซักคน ต่อให้เค้าไม่รักเรา เราก็จะรักเค้าต่อไปแล้วรักให้มากกว่าเดิมด้วย เพื่อที่ซักวันเค้าจะได้รู้ว่าเรารักเค้ามากแค่ไหน” กิมแชพูดราวกับเรื่องตัวเอง
“พูดอย่างกับว่าทุกวันนี้เค้าไม่รู้” จาตุรงค์เอ่ยขึ้น
“ไม่ เค้าไม่เคยรู้” กิมแชเอ่ยอย่างลอยๆ
“เค้าจะไม่รู้ได้ยังไง” จาตุรงค์เอ่ย
“ก็เพราะเค้าไม่เคยคิดจะรู้น่ะซิ” กิมแชเริ่มเสียงดัง
“นี่ตกลงกิมแชพูดถึงใคร” จาตุรงค์เริ่มงง
“เอ่อ คือกิมแชก็หมายถึงเจ้นั่นล่ะ เจ้เค้าอาจจะไม่รู้ว่าพี่รักเค้าจริงจังแค่ไหน” กิมแชเริ่มรู้สึกตัว
“ตอนนี้รู้ไม่รู้มันจะสำคัญอะไร ในเมื่อน้องกิมลั้งเรียบร้อยโรงเรียนไอ้ต๋องไปแล้ว กิมแชรู้มั้ย พี่เครียดมาก เครียดจนต้องไปหาซื้อพิซซ่า เพราะมันจะเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยบำบัดพี่ในเวลานี้ได้ ไปกิมแช ไปเวฟมากินย้อมใจกัน หกกล่องที่พี่ซื้อมาวันนี้ต้องกินให้หมด” จาตุรงค์ชวนกิมแชกินพิซซ่าในเวลาลดความอ้วน
“ฮะ” กิมแชตกใจ
“กิมแชไม่หิวน่ะพี่” จาตุรงค์ลุกขึ้นคว้ามือกิมแช แต่กิมแชดูไม่อยากกินเพราะลดความอ้วนอยู่
“ไม่ นี่ต้องไม่ใช่คำพูดที่ออกจากปากกิมแชแน่ๆ นี่มันของโปรดกิมแชนะ” จาตุรงค์เอ่ย
“แต่ว่า...” กิมแชอึกอัก
“ไหนเคยบอกว่าจะอยู่เคียงข้างพี่ไงไม่ว่าทุกข์หรือสุข” จาตุรงค์เอ่ยขึ้นอย่างทวงสัญญา
กิมแชเถียงไม่ออก ต้องเออออตามจาตุรงค์

อีกมุมที่ตลาดร่วมใจเกื้อ โครงการของต๋องทำให้บรรยากาศของตลาดคึกคัก ต๋องกับกิมลั้งยังสามารถแอบส่งภาษาใบ้ให้กำลังใจกันได้ตลอด กิมฮวยหมั่นไส้เลยโยนจานตักหอยทิ้งลงตรงหน้ากิมลั้ง จนอีกฝ่ายสะดุ้ง
“เดี๋ยวอั้วจะแวะไปหาหมอหน่อยนะ” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“เอ้า ม้าเป็นอะไร” กิมลั้งถามด้วยความตกใจ
“มีลูกไม่ได้ดังใจ ก็เลยจับไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว” กิมฮวยประชด
“ตกลงว่าม้าเล่นมุขใช่มั้ย” กิมลั้งเอ่ยขึ้นอย่างเริ่มรู้ทัน
“มุขอะไร อั๊วเป็นไข้ตั้งแต่ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่อย่างว่าล่ะ ลื้อมันจะสังเกตสังกาอะไร วันๆลูกกะตาคอยแต่จะสอดส่ายไปแต่ที่ไอ้แผงผักนั่น” กิมฮวยแอบน้อยใจ
“งั้นอั๊วไปเป็นเพื่อน” กิมลั้งว่า
“ไม่ต้อง ลูกค้าเยอะแยะ ไปกันหมดก็เสียรายได้พอดี” กิมฮวยรีบพูดแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์เตรียมเดินออกไป
“อ้อ อั๊วกลับมาหวังว่าจะไม่เห็นเศษผักเน่าๆมันตกหล่นอยู่แถวนี้น่ะ”
กิมฮวยพูดจบเดินเชิดออกไป กิมลั้งรู้ดีว่าแม่แอบกัดต๋องเช่นเคย

เวลาเดียวกันนั้น กิมแชนั่งมองจาตุรงค์กินพิซซ่าที่บ้านอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ตกลงกิมแชจะไม่กินจริงๆเหรอเนี่ย” จาตุรงค์เอ่ยขึ้นอย่างสงสัย
“กิมแชบอกจะอยู่เคียงข้างพี่ ก็ทำอย่างที่บอกแล้วไง” กิมแชตอบ
“นี่มันนั่งข้างๆ ไม่ใช่เคียงข้าง มา กินหน่อยน่ะ” จาตุรงค์คะยั้นคะยอ
“กิมแชไม่อยากกินจริงๆพี่” กิมแชไม่ยอมบอกว่าลดความอ้วนอยู่
“ลองชิมก่อนซิ อร่อยมากนะ พี่อุตส่าห์ตั้งใจมาชวนกิน ไม่รู้ล่ะ พี่บังคับแล้ว” จาตุรงค์หยิบพิซซ่าป้อน กิมแชอึ้งไป ยอมกินเพราะเกรงใจจาตุรงค์
“เป็นไง อร่อยมั้ย” จาตุรงค์รีบถาม
“อืม อร่อย”
กิมแชยิ้มแล้วกินพิซซ่าเข้าไป แต่ยังไม่ทันไรกิมแชอาเจียนออกมา แล้วจู่ๆเป็นลมจนจาตุรงค์ตกใจแทบรับไม่ทัน
“กิมแช”
จาตุรงค์ร้องเรียกกิมแชเสียงหลง

บ่ายนั้น กิมฮวยมาโรงพยาบาล และเดินไปยังช่องจ่ายยา อีกมุมไม่ไกลกันหน้าห้องตรวจ พยาบาลเดินออกมาจากห้องตรวจแล้วขานเรียก
“คุณอรนภาค่ะ” จังหวะนั้นกิมฮวยเดินมาเห็นเคี้ยงกำลังประคองอรนภาที่ดูหมดเรี่ยวแรงเข้าไปพบแพทย์ในห้องตรวจ
“เฮียเคี้ยง” กิมฮวยถึงกับอึ้ง ปล่อยถุงยาหลุดจากมือ

อรนภากับเคี้ยงรับยามาเรียบร้อยกำลังเดินออกมาจากเคาน์เตอร์ เคี้ยงยังคงประคองอรนภา พร้อมทั้งลูบหัวด้วยความห่วงใย
“ต่อไปนี้ต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ กินข้าวเยอะๆ” เคี้ยงรีบบอก
“ค่ะ” อรนภารับคำ
ครู่หนึ่งมือถือเคี้ยงดังขึ้น พอเห็นเป็นเบอร์กิมฮวยถึงกับสีหน้าเปลี่ยน
“อรนั่งก่อนนะ” เคี้ยงเดินแยกมาคุยอีกมุมหนึ่ง
“ฮัลโหล”
“เฮียอยู่ไหนน่ะ” กิมฮวยแอบยืนพูดโทรศัพท์อยู่ที่มุมหนึ่งไม่ไกลจากเคี้ยง และพยายามระงับอาการ
“อยู่ เอ่อ...บ้านเต็กกอน่ะ” เคี้ยงตอบ
พอกิมฮวยเห็นว่าเคี้ยงโกหกยิ่งเสียใจ และมั่นใจว่าทุกอย่างเป็นอย่างที่คิดแน่
“เหรอ งั้นอั๊วขอพูดกับเต็กกอหน่อยซิ ไม่ได้คุยกันนานแล้ว” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“เต็กกอมันเข้าห้องน้ำอยู่น่ะ ว่าแต่ลื้อมีอะไรรึเปล่า” เคี้ยงโกหกต่อ
“ทำไม เดี๋ยวโทรหาลื้อต้องมีอะไรด้วยเหรอ” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“ไม่ใช่อย่างงั้น” เคี้ยงหันไปเห็นอรนภาเหมือนจะอาเจียนยิ่งตกใจ
“กิมฮวย แค่นี้ก่อนนะ อั๊วมีสายเข้าน่ะ” เคี้ยงรีบวางสาย
“เดี๋ยว”
เคี้ยงกดวางสายโดยไม่ฟังกิมฮวยต่อ แล้วรีบเข้าไปประคองอรนภาให้ลุกขึ้น
“เป็นไงอร” เคี้ยงถามอรนถาอย่างห่วงใย
“อรจะอ้วกค่ะ” อรนภาอาการไม่ดี
“งั้นพี่พาไปห้องน้ำ”
เคี้ยงประคองอรนภาไปห้องน้ำ กิมฮวยยืนมองดูอยู่ทุกขั้นตอนถึงกับน้ำตาคลอ

เวลาเดียวกัน ในบ้านกิมฮวย จาตุรงค์เอายาดมอังจมูกให้กิมแชที่นอนเป็นลม ครู่หนึ่งกิมแชลืมตาขึ้น
“เป็นไงบ้างกิมแช” จาตุรงค์ถามขึ้น
กิมแชเห็นหน้าจาตุรงค์ลางๆเหมือนภาพในความฝัน
“พี่รงค์ พี่รงค์จ๋า พี่รงค์” กิมแชตาอาการคล้ายคนเพ้อ ยกแขนขึ้นเหมือนจะจับมือจาตุรงค์ จาตุรงค์จึงรีบคว้ามือกิมแชไว้
“จ้ะ พี่อยู่นี่” จาตุรงค์เอ่ย
“กิมแชรักพี่รงค์นะ” กิมแชยิ้มเพ้อ
“ฮะ? กิมแชไม่สบายมากรึเปล่าเนี่ย” จาตุรงค์งง
“กิมแชรักพี่รงค์ตั้งแต่วันแรกทีได้เห็น แล้วก็รักมาจนถึงวันนี้” กิมแชเอ่ยบอกรักจาตุรงค์เต็มปาก
“ผิดคนแล้วกิมแช” จาตุรงค์ยังงงไม่หาย
“กิมแชรู้ว่าพี่ไม่ได้รักกิมแช เพราะกิมแชไม่สวย ไม่เก่งเหมือนเจ้กิมลั้ง แต่กิมแชก็จะรักพี่ตลอดไปไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ตาม” กิมแชโพล่งออกมา
“นี่กิมแชรักพี่จริงๆเหรอ กิมแชรักพี่” จาตุรงค์ถึงกับอึ้งไม่เชื่อหูตัวเอง
กิมแชเริ่มได้สติมาเมื่อได้ยินเสียงดังของจาตุรงค์ กิมแชหน้าตื่นทันทีเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย
“กิมแชบอกว่ากิมแช รักพี่” จาตุรงค์เอ่ยอย่างงงๆ
“กิมแชพูดอะไรออกไป” กิมแชสะดุ้งลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ กิมแชช็อก
“กิมแชบอกว่ารักพี่” จาตุรงค์ตกใจไม่ต่างกัน
กิมแชอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี ลุกพรวดพราดวิ่งออกไปนอกบ้าน
“กิมแช” จาตุรงค์ตะโกนบอกรีบวิ่งตาม
กิมแชวิ่งกระหืดกระหอบมาที่สนามหญ้า ครู่หนึ่งจาตุรงค์โผล่เข้ามา
“มันน่าเกลียดมากใช่มั้ยที่กิมแชพูดอะไรน่าไม่อายแบบนั้นออกไป” กิมแชเอ่ย
“กิมแชก็แค่พูดความรู้สึกจากก้นบึ้งในหัวใจออกไปน่ะ” จาตุรงค์ดูคล้ายพระเอกที่รู้สึกว่าตัวเองหล่อมากขึ้น
“แต่กิมแชเป็นผู้หญิง ไม่ควรจะบอกรักผู้ชายออกมาอย่างนั้น” กิมแชอาย
“บางทีผู้ชายบางคน ก็ทำให้ผู้หญิงหักห้ามใจไม่ได้ขนาดนั้นจริงๆ” จาตุรงค์พูดด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ
“แปลว่าพี่เข้าใจ” กิมแชถามกลับ
“พี่เข้าใจ” จาตุรงค์เอ่ยขึ้น
“เข้าใจว่า” กิมแชรีบถามกลับอย่างตื่นเต้น
“เข้าใจว่า ก่อนที่กิมแชคิดจะรักใคร กิมแชต้องรู้จักรักตัวเองก่อน” จาตุรงค์ตอบ
“พี่หมายความว่าอะไร ?” กิมแชเอ่ยถามกลับ
“เมื่อกี้พี่เห็นขวดยาลดความอ้วน” จาตุรงค์ตอบ
กิมแชตกใจ ที่จาตุรงค์รู้ความจริง
“ที่กิมแชไม่สบายก็เพราะยานั่นใช่มั้ย กิมแชนึกยังไงถึงเอาชีวิตไปเสี่ยงกับเรื่องอันตรายอย่างนั้น” จาตุรงค์บอก
“ผู้หญิงก็ต้องอยากหุ่นดีกันทั้งนั้น ผู้ชายเองก็ชอบผู้หญิงหุ่นดีไม่ใช่เหรอ” กิมแชอ้างเหตุผล
“ถ้าถามพี่ พี่คงชอบผู้หญิงหุ่นดีที่มีสติ แต่ถ้าว่ากันจริงๆพี่ก็ไม่ได้ชอบ ผู้หญิงที่หุ่นขนาดนั้นนะ กิมแช.....พี่ว่าอย่าเอาคุณค่าของตัวเราไปแขวนไว้กับความอ้วนความผอมดีกว่า ทำไมไม่คิดอีกมุมหนึ่งล่ะว่า บางทีอาจจะมีผู้หญิงสวยหุ่นดีอีกหลายคนที่เค้าอยากทำกับข้าวเก่ง แล้วก็ร้องเพลงเพราะเหมือนกิมแช” จาตุรงค์บอก
“วันนี้กิมแชคงเป็นผู้หญิงที่ดูโง่มากในสายตาพี่” กิมแชหน้าเครียดขึ้นมา
“ถ้ากิมแชจะโง่ก็เพราะชอบดูถูกตัวเองตลอดเวลานี่ล่ะ งั้นพี่ไปก่อนนะ นัดกับเพื่อนไว้”
จาตุรงค์พูดแล้วเดินออกไป ส่วนกิมแชยังยืนอึ้งปนงงอยู่ตรงนั้น

จาตุรงค์กลับออกไปไม่นาน กิมแชขึ้นไปบนห้องนอนตัวเอง แล้วมองยาลดความอ้วนในมืออย่างชั่งใจ แล้วนึกถึงคำพูดของจาตุรงค์ขึ้นมา
“ถ้าถามพี่ พี่คงชอบผู้หญิงหุ่นดีที่มีสติ แต่ถ้าว่ากันจริงๆพี่ก็ไม่ได้ชอบผู้หญิงที่หุ่นขนาดนั้นนะกิมแช พี่ว่าอย่าเอาคุณค่าของตัวเราไปแขวนไว้กับความอ้วนความผอมดีกว่า ทำไมไม่คิดอีกมุมหนึ่งละว่า บางทีอาจจะมีผู้หญิงสวยหุ่นดีอีกหลายคนที่เค้าอยากทำกับข้าวเก่ง แล้วก็ร้องเพลงเพราะเหมือนกิมแช”
หลังจากนั้นกิมแชตัดสินใจทิ้งขวดยาลดความอ้วนลงถังขยะไปอย่างมีสติ
บ่ายนั้น กิมฮวยเดินกลับเข้ามาในตลาดด้วยสภาพหมดเรี่ยวแรง ภาพเคี้ยงประคองหญิงคนอื่นที่โรงพยาบาลยังคงติดตา
“ลื้อทำอย่างงี้กับอั๊วได้ยังไง เฮียเคี้ยง” กิมฮวยรำพึงรำพันยืนพิงกำแพงร้องไห้
กิมฮวยยืนร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง ลักษณ์เดินผ่านมาเห็นเข้าจึงตกใจ
“เจ๊กิมฮวย เจ๊ร้องไห้เหรอ” ลักษณ์เอ่ย
กิมฮวยพยายามหลบหน้า
“เจ๊เป็นอะไร” ลักษณ์จับตัวกิมฮวยถามด้วยความห่วงใย
“เป็นอะไร บอกอั๊วซิ” ลักษณ์ถามด้วยความห่วงใย กิมฮวยจึงปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น
“อาลักษณ์...”
กิมฮวยโผเข้ากอดลักษณ์ไว้แน่นอย่างต้องการที่พึ่งระบายความในใจ
ครู่หนึ่ง ในมุมปลอดคนในตลาด ลักษณ์ฟังเรื่องทั้งหมดจากกิมฮวยแล้วอึ้งไปไม่น้อย
“เฮ้อ ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าเฮียเคี้ยงจะเป็นแบบนี้ เห็นเชื่องๆ” ลักษณ์เอ่ย
กิมฮวยสะดุ้งเมื่อได้ยินลักษณ์ว่าสามี
“เอ่อ ชั้นหมายถึงเห็นเฮียแกเชื่องเหมือนแมวน่ะ ไม่คิดว่าจะเป็นแมวนอนหวด” ลักษณ์อธิบาย
“แมวนอนหวด?” กิมฮวยทำหน้าสงสัย
“ก็พวกแมวที่ทำซื่อๆซึมๆให้เราตายใจแต่ที่จริงแสบไงเจ๊” ลักษ์ณ์รีบอธิบาย
“อาลักษณ์ ลื้ออย่าไปเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเชียวนะ อั๊วไม่อยากให้เรื่องมันไปถึงหูเฮียเคี้ยง อั๊วไม่อยากให้อีรู้ว่าอั๊วรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว” กิมฮวยว่า
“เอ้า ทำไมล่ะเจ๊ ความจริงไหนๆก็ไปเห็นกับตาแล้ว เจ๊น่าจะเดินเข้าไปถามเฮียต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยว่าอะไรมันเป็น อะไรกันแน่” ลักษณ์ว่า
“อั๊วกลัว” กิมฮวยพูดน้ำเสียงเบาลง
“ขนาดนั้นแล้ว เจ๊ยังจะกลัวอะไรอีก” ลักษณ์เอ่ย
“อั๊วต้องแย่แน่ๆ ถ้าเฮียบอกว่าเป็นอะไรกับผู้หญิงคนนั้น” กิมฮวยเอ่ย
“แต่เจ๊ ความก็คือความจริง ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายนะ” ลักษณ์บอก
“แต่อั๊วนี่ล่ะที่จะตาย ลื้อเข้าใจมั้ยอาลักษณ์ อั๊วทนไม่ได้ถ้าเฮียเห็นคนอื่นดีกว่าอั๊ว ห่วงคนอื่นมากกว่าอั๊ว ถ้าต้องได้ยินเฮียพูดว่าไม่รักอั๊วแล้ว เอาอั๊วไปฆ่ายังดีซะกว่า”
กิมฮวยร้องไห้จนตัวสั่น ลักษณ์รีบเข้าไปกอดปลอบใจ
“เอาล่ะ ๆ อั๊วเข้าใจเจ๊แล้ว ถ้าเจ๊ยังรักเฮียอยู่มันก็มีทางเลือกเดียวเท่านั้น” ลักษณ์เอ่ยขึ้น
“ยังไง?” กิมฮวยยังสงสัย
“เจ๊ก็ต้องสู้เพื่อผัว หมายถึงสู้เพื่อเอาเฮียคืนมาจากผู้หญิงคนนั้นให้ได้” ลักษณ์อธิบาย
“แล้วอั๊วจะสู้อีได้ยังไง ในเมื่ออีทั้งสาวทั้งสวยกว่าอั๊ว” กิมฮวยพูดด้วยความท้อใจ
“จะยากอะไร เจ๊ก็แค่เรียกความสวยความสาวกลับคืนมา” ลักษณ์ว่า
“ลื้อพูดอย่างกะว่าแค่กวักมือเรียกแล้วมันจะกลับมางั้นล่ะ มันง่ายอย่างนั้นซะที่ไหน” กิมฮวยย้อนขึ้น
“เอาน่ะ แล้วชั้นจะจัดการเป็นธุระให้เอง เจ๊แค่ทำตามที่ชั้นบอกเท่านั้น” ลักษณ์บอก
กิมฮวยยังงงว่าลักษณ์จะช่วยแก้สถานการณ์เรื่องเคี้ยงอย่างไร
อ่านต่อหน้า 3



“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 10 (ต่อ) 
    

เวลาต่อจากนั้น ลักษณ์พากิมฮวยมาร้านเสริมสวยของน้อยหน่า ที่พร้อมประโคมครีมนวดหน้าให้ชุดใหญ่

“แหม ร้อยวันพันปีเจ๊กิมฮวยไม่เคยเสียตังค์ให้ร้านนี้ นี่มันเกิดอะไรกันขึ้นเนี่ย” ชมพู่เอ่ยขึ้นแล้วปรี่เข้ามาทาเล็บให้กิมฮวยด้วยความแปลกใจ
“นังชมพู่ คนเราพอแก่ เอ๊ย อายุมากขึ้น มันก็ต้องหันมาใส่ใจตัวเองบ้างซิ จะปล่อยให้สังขารมันร่วงโรยตามไปตามกาลเวลาได้ยังไง” ลักษณ์รีบชิงตอบแทนกิมฮวย
“อ๋อ แล้วไป ชั้นก็นึกว่าเป็นเพราะเฮียเคี้ยงแอบไปมีเมียน้อยซะอีก” ชมพู่เอ่ยขึ้น
กิมฮวยได้ฟังถึงกับสำลักน้ำลายขึ้นมา
“เจ๊เป็นอะไร ชั้นนวดแรงไปเหรอ” น้อยหน่าตกใจ
“เปล่าๆ แรงๆน่ะดีแล้ว เนื้อครีมมันจะได้ซึมซาบเข้าไปไวๆ” กิมฮวยเอ่ยกลบเกลื่อน
“แหม ใจร้อนจริงๆเลยนะเจ๊ ไม่ต้องห่วงนะ ทำเสร็จแล้วรับรองว่าเจ๊จะลืมหน้าเหี่ยวๆไปเลย” น้อยหน่าว่า
“นี่อั๊วหน้าเหี่ยวขนาดนั้นเลยเหรอ” กิมฮวยได้ยินคำว่าเหี่ยวถึงกับใจหายวาบ
“ก็ใช่น่ะซิ พูดกันแบบไม่ตอแหลนะ จากสภาพหนังหน้าเดิมของเจ๊เนี่ยถ้าชั้นเป็นเฮียเคี้ยง ชั้นทิ้งเจ๊ไปมีเมียใหม่นานแล้ว” น้อยหน้าว่า
“อ๊าย” กิมฮวยได้ยินถึงกับร้องกรี๊ดออกมา
“อุ๊ย เจ็บเหรอเจ๊” น้อยหน้าถามขึ้น
“เปล่าๆ นานๆหน้าเจ๊แกจะถูกคลึงเคล้าน่ะ ก็เลยชอบใจ มันได้อารมณ์ใช่มั้ยเจ๊” ลักษณ์รีบแก้ต่างแทนกิมฮวย
“ใช่ๆ ได้อารมณ์มาก อ๊าย...อ๊าย...อ๊าย....” กิมฮวยรีบมุขลักษณ์ทันที
“ยังไงวันนี้แกสองคนช่วยช่วยทำสวยให้เจ๊แกหัวจรดเท้าเลยนะเท่าไหร่เท่ากัน เจ๊กิมฮวยไม่ยั่น” ลักษณ์เอ่ยขึ้น
“ไม่ต้องห่วงจ้ะ เชื่อใจน้อยหน่าได้ ถ้าไม่สวยไม่คิดตังค์”
น้อยหน้ากับชมพู่ช่วยกันเสริมสวยให้กิมฮวยอย่างจริงจัง

บ่ายวันเดียวกัน ต๋องเดินเข้าตลาดเดินดูดโอเลี้ยงมาอย่างอารมณ์ดี มืออีกข้างถือถุงชาเย็นมาด้วย ส่วนอีกมุมหนึ่งของตลาด เลื่อนกับรักเร่เดินเข้าตลาด พอหันไปเห็นต๋องจะรีบเลี้ยวหันหลังกลับแทบไม่ทัน จังหวะนั้นต๋องเหลือบไปเห็นทั้งคู่พอดี
“เฮ้ย เลื่อน รักเร่” ต๋องตะโกนทัก
เลื่อนกับรักเร่ชะงัก หน้าตาเหยเก แต่แล้วจำต้องหันหลังกลับไปยิ้มแฉ่งให้ต๋อง ที่รีบวิ่งมาหา
“หายหัวไปไหนมาวะเอ็งสองคนน่ะ ติดต่อไม่ได้เลย” ต๋องถามขึ้น
“พวกชั้นยุ่งๆนิดหน่อยน่ะพี่” เลื่อนรีบตอบ
“พวกเอ็งรู้มั้ยว่าตลาดมีงาน เนี่ยคนกำลังเยอะ รีบไปเอารถเข็นมาเดี๋ยวนี้เลย จะได้ไม่เสียรายได้” ต๋องเอ่ย
“เอ่อ คือพวกชั้นไม่ว่างน่ะพี่” รักเร่รีบตอบทันที
“จะมีอะไรสำคัญไปกว่าเรื่องทำมาหากินวะ”ต๋องโพล่งขึ้น รักเร่มองหน้าเลื่อนแบบมีความผิดในใจ
“คืองี้พี่ ที่ชั้นหายไปก็ไปทำงานนี่ล่ะ” เลื่อนรีบช่วยแก้ตัว
“หมายความว่าพวกเอ็งจะไม่ทำงานที่นี่แล้ว” ต๋องเอ่ยถามขึ้น
“ไม่ใช่จ้ะพี่ มันเป็นจ็อบพิเศษ เห็นเงินมันดี พวกชั้นเลยรีบตะครุบ” รักเร่ว่า
“งานอะไรของเอ็งวะ รายได้ดีขนาดนั้นเชียว” ต๋องถามขึ้น
“เอ่อ แมสเซ็นเจอร์เฉพาะกิจน่ะพี่ บริษัทเค้าเพิ่งเปิดใหม่เลยต้องส่งของนั่นนี่กันเยอะ”
เลื่อนรีบเห็นด้วยกับรักเร่
“ใช่พี่ใช่ อุย นี่ก็สายแล้ว เดี๋ยวชั้นไปทำงานกันก่อน ไปล่ะพี่” เลื่อนรีบคว้ามือรักเร่จูงออกไป
“อะไรของมัน รุกรี้รุกรนชอบกล” ต๋องมองตามเลื่อนกับรักเร่ด้วยความงง

เวลาต่อจากนั้น ต๋องเดินเข้ามาในตลาด ยื่นถุงชาเย็นให้กิมลั้งที่จัดแผงปลาอย่างขยันขันแข็ง
“รับน้ำใจเย็นๆซะหน่อยมั้ยจ๊ะน้องสาว” ต๋องแหย่กิมลั้ง
“ไม่เอาอ่ะน้ำใจ กินเข้าไปก็ไม่หายเหนื่อย แต่ถ้าน้ำถุงนี้ก็ว่าไปอย่าง” กิมลั้งรับมุขทันแล้วตอบกลับทันที กิมลั้งคว้าถุงชาเย็นมา ทำท่าจะดูดแต่แล้วเธอสะดุ้งหันกลับไปถามต๋องว่า
“เอ๊ะ ไม่ได้ใส่อะไรลงไปใช่มั้ย”
“โธ่ จะต้องใส่อะไรลงไปทำไม แค่นี้เธอก็ทั้งรักทั้งหลงชั้นจะแย่แล้ว” ต๋องแกล้งว่า
“แหวะ” กิมลั้งถึงกับเขิน
“อย่าทำอะไรอย่างนี้น่ะกิมลั้ง เดี๋ยวคนเค้าจะคิดว่าเธอเบนโล” ต๋องเอ่ยขึ้น
“พูดบ้าๆ กลับแผงไปเลยไป” กิมลั้งอาย
“แหม อุตส่าห์มาคุยเป็นเพื่อน เห็นอยู่คนเดียวเหงาๆ ว่าแต่ทำไมป่านนี้ม้าเธอยังไม่กลับจากโรงบาลอีก ตกลงเป็นอะไรมากรึเปล่า” ต๋องถามขึ้น
“เปล่าหรอก ม้าโทรมาบอกว่าเผอิญเจอเพื่อนเก่า ก็เลยชวนไปกินข้าวกันต่อ” กิมลั้งบอก
“เหรอ ? งั้นก็ทางสะดวกน่ะซิ” ต๋องได้โอกาส
“สะดวกยังไง ?” กิมลั้งถาม
“ก็โลกจะได้เป็นของเราแค่สองคนไง จริงมั้ย” ต๋องเอ่ยขึ้นพร้อมทำแววตาซึ้ง
“จริง” ลูกค้าที่จ้องดูต๋องกับกิมลั้งอยู่รีบตอบพร้อมกัน
ลูกค้าหลายคนที่เลือกปลาอยู่จ้องทั้งคู่อยู่ด้วยใบหน้าอมยิ้ม
“กลับแผงไปเดี๋ยวนี้เลยนะ” กิมลั้งเขินจนต้องไล่ต๋องกลับแผงผัก
ต๋องล่าถอยไปด้วยอาการเขินไม่แพ้กัน

เวลาเดียวกันนั้น ที่ร้านเสริมสวย ลักษณ์นั่งรอกิมฮวยเสริมสวยจนหลับอยู่ตรงโซฟา
“พี่ลักษณ์” ชมพู่รีบเรียก
ลักษณ์สะดุ้งตื่น
“เรียบร้อยแล้วพี่” ชมพู่พูดพลางยื่นหน้ามายิ้มแฉ่งใกล้ๆ
“ไหนๆ” ลักษณ์ลุกขึ้นฉับไวเพราะอยากเห็นกิมฮวย
“นี่ไงจ๊ะ”
น้อยหน่าหมุนเก้าอี้ที่กิมฮวยนั่งให้หันไปทางลักษณ์ที่ตำลึงเมื่อเห็นกิมฮวยในความสาวและสวยกว่าเดิม
“เจ๊กิมฮวย” ลักษณ์จ้องกิมฮวยตาไม่กะพริบ
“ถึงกับอึ้งเลยเหรออาลักษณ์” กิมฮวยลุกขึ้นยืนพร้อมทำตาแอ๊บแบ๊วให้เข้ากับผมหน้าม้า
“โห กระชากวัยสุดๆ จากห้าสิบเหลือสิบห้า” ลักษณ์เอ่ยขึ้น
“ตกลงว่ามันดีหรือไม่ดี” กิมฮวยเริ่มไม่มั่นใจว่าตกลงชมหรือไม่
“โธ่ ยังไงสิบห้ามันก็ต้องดีกว่าห้าสิบอยู่แล้ว มันต้องอย่างนี้ล่ะ” ลักษณ์เอ่ย
“ตกลงเรียบร้อยแล้วนะ อั๊วจะได้ไปขายของ” กิมฮวยเอ่ยขึ้นก่อน จะลุกออกไป แต่ลักษณ์รีบคว้าแขนไว้
“เดี๋ยวๆเจ๊ ภารกิจวันนี้ยังไม่จบนะ” ลักษณ์ยังมีโครงการต่ออีก
“ฮะ อั๊วต้องทำอะไรอีก” กิมฮวยทำหน้างงๆแต่ก็จำยอมโดยดี

ไม่นานต่อจากนั้น ลักษณ์กับกิมฮวยยืนอยู่หน้าทางเข้าร้านเสื้อผ้า กิมฮวยเห็นชุดเซ็กซี่ โฉบเฉี่ยวที่โชว์อยู่ในหุ่นแล้วหันมามองลักษณ์ด้วยอาการลังเลจะเดินกลับ ลักษณ์รีบเดินไปขวางกิมฮวยไว้ จนต้องเดินถอยหลังเข้าร้านไปในที่สุด

ภายในร้านเสื้อผ้า หน้าห้องลองกิมฮวยที่สวมชุดใหม่เปิดประตูห้องออกมา ลักษณ์เห็นแล้วคิ้วขมวด กิมฮวยทำหน้าแปลกใจ ลักษณ์เลยเดินเข้าไปหากิมฮวยแล้วปลดกระดุมหลายเม็ดที่ติดจนถึงคอออก จนกิมฮวยเซ็กซี่ขึ้นทันตา กิมฮวยดูตกใจ ลักษณ์ส่งชุดใหม่ให้กิมฮวยไปลอง กิมฮวยไม่มั่นใจเพราะชุดโป๊ แต่ลักษณ์ไม่ฟังผลักกิมฮวยยัดเข้าไปห้องลองปิดประตูเสร็จสรรพ กิมฮวยลองอยู่หลายชุดตามที่ลักษณ์เลือกให้ ทั้งเว้า ทั้งผ่า ทั้งรัดรูป จนได้เสื้อผ้าที่พอใจ
“ลื้อแน่ใจแล้วเหรอให้อั๊วใส่เสื้อผ้าพวกนี้ แต่ละตัว ไม่เว้าหน้าก็เว้าหลัง” กิมฮวยเอ่ยขึ้น ทั้งที่ใส่ชุดใหม่พร้อมถุงเสื้อผ้าพะรุงพะรัง
“โธ่ เจ๊ แค่นี้ก็ไม่สู้ซะแล้ว ถ้าเป็นผู้หญิงคนนั้นนะชั้นว่ามันทำได้ทุกอย่างเพื่อมัดใจเฮียเคี้ยง ต่อให้ต้องสลัดผ้า ผ่านม ลงนะหน้าทอง ลองของแปลก มันก็พร้อมจะแลกทุกอย่างล่ะ แล้วดูเจ๊ซิ แค่ต้อง
ใส่ชุดโชว์นิดโชว์หน่อย ก็ถอยซะแล้ว” ลักษณ์เอ่ยขึ้น
“ได้ งั้นไป รีบกลับ อั๊วอยากใส่ชุดเด็ดโชว์เฮียเคี้ยงใจจะขาดแล้ว” กิมฮวยฟังแล้วปรี๊ดขึ้นมา
“เดี๋ยวเจ๊ ยังกลับไม่ได้ หลักสูตรเร่งรัดของเราวันนี้ต้องจบที่ร้านหนังสือ” ลักษณ์เอ่ยขึ้นอีก
“ร้านหนังสือ ?” กิมฮวยทำหน้างง แต่เดินเข้าร้านหนังสือตามที่ลักษณ์ว่าโดยไม่ขัดขืน

เย็นนั้น กิมแชอยู่บ้านคนเดียว และหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาจาตุรงค์ แต่ปลายสายไม่รับกิมแชถึงกับเศร้า
“ทำไมตั้งแต่เกิดเรื่อง พี่รงค์ไม่ยอมรับสายกิมแชเลย” กิมแชเอ่ยขึ้นทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างหมดอาลัยตายอยาก

เวลาเดียวกันนั้น ต๋องช่วยกิมลั้งยกข้าวมาวางไว้หน้าบ้าน
“วางตรงนี้ล่ะ เดี๋ยวชั้นเรียกกิมแชมาช่วยขนเข้าบ้านไปเอง” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“กลัวม้าเธอมาเห็นใช่มั้ย ก็บอกม้าไปซิว่าม้าเล่นหายไปทั้งวัน แฟนอั๊วก็เลยต้องมาช่วยขนของเป็นธรรมดา” ต๋องเริ่มกวน
“เรียกว่าอยากมีสงคราม ได้ๆ งั้นเดี๋ยวเชิญรับประทานอาหารเย็นร่วมกันเพื่อเป็นเกียรติ” กิมลั้งสวน
“โอ้ ขอไม่รับเกียรติดีกว่า เดี๋ยวชั้นต้องออกไปตามล่าไอ้เลื่อนกับรักเร่อีก เผอิญมีจ็อบด่วนพิเศษเข้ามา” ต๋องยิ้มก่อนตอบ
“ทำไมไม่โทรไปล่ะ” กิมลั้งถามขึ้น
“ติดต่อมันได้ที่ไหนล่ะโทรไปก็ไม่รับ ไม่งั้นก็ปิดเครื่อง เลยกะว่าจะไปตามที่บ้าน” ต๋องตอบ
“งั้นก็รีบไปเถอะ ขอบใจมากนะที่มาส่ง” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“เปลี่ยนจากคำขอบใจเป็นให้มาส่งทุกวันแทนได้มั้ย” ต๋องยังกวนต่อ
“ก็ลองไปปรึกษาม้าดูซิ” กิมลั้งเล่นมุขกลับ
“งั้นชั้นลาล่ะ” ต๋องพูดแล้วแกล้งทำท่าขนลุกก่อนเดินออกไป กิมลั้งมองตามอย่างอารมณ์ดี

เวลาต่อจากนั้น ต๋องเดินไปที่บ้านเลื่อนกับรักเร่ เคาะประตูเรียกอยู่นานแต่ไม่มีคนเปิด
“เลื่อน รักเร่ หกโมงกว่าแล้วยังไม่กลับอีก ไปอยู่ไหนของมันเนี่ย เอ๊ะ หรือว่า”
ต๋องคล้ายคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบออกไปทันที

เย็นนั้น กิมฮวยถือของพะรุงพะรังเข้าบ้าน กิมลั้งกับกิมแชนั่งอยู่ที่โซฟาเห็นแล้วงงไปตามๆกัน กิมแชรีบเอ่ยขึ้น
“อุย มาขายอะไรถึงในนี้คะเนี่ย ไม่ซื้อค่ะไม่ซื้อ” กิมแชจำแม่ไม่ได้ คิดว่าคนมาขายของ
“อั๊วเอง” กิมฮวยรีบเอ่ยทัก
“ม้า” กิมลั้งกับกิมแชเห็นชัดๆว่าเป็นกิมฮวยพากันตกใจ
“นี่เพื่อนม้าชวนไปกินอะไร ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“ทำไม ? ไม่ดีเหรอ ?” กิมฮวยเสียความมั่นใจ
“ก็ดีนะม้า แปลกตาดี แต่ก็แปลกใจว่านึกยังไงม้าถึงได้ลงทุนแปลงโฉมขนาดนี้” กิมลั้งรีบชม
“ก็เพื่อนๆอั๊วน่ะซิ พอเห็นอั๊วแล้วก็ตกใจรับไม่ได้กันใหญ่ เลยพาไปขัดสีฉวีวรรณ อั๊วเกรงใจก็เลยต้องตามน้ำไป” กิมฮวยรีบแก้ตัว
“แล้วม้าชอบมั้ย ?” กิมลั้งถาม
“มันสำคัญว่าป๊าลื้อชอบรึเปล่า” กิมฮวยลืมตัวเผลอพูดออกไป
กิมลั้งกับกิมแชมองหน้ากันงงๆ
“ก็แหม คนเป็นเมียน่ะ จะคิดจะทำอะไรก็ต้องนึกถึงผัวก่อนใช่มั้ยล่ะ” กิมฮวยเพิ่งรู้สึกตัว จึงรีบเฉไฉ
“ที่ผ่านมาอั๊วว่าม้าไม่ได้ทำอย่างงั้นกับป๊านะ แต่ถ้าแปลงร่างมาแล้วรู้จักคิด เอ๊ย เปลี่ยนความคิด ก็โอเคอ่ะ” กิมแชเอ่ย
“อากิมแช” กิมฮวยชักสีหน้า
“แต่อั๊วว่าป๊าน่าจะชอบนะ” กิมลั้งรีบแทรกขึ้นก่อนมีเรื่อง
“ลื้อพูดจริงๆนะ” กิมฮวยดีใจออกนอกหน้า
“ก็น่าจะจริง เจอม้าลุคนี้เข้าไปก็เหมือนได้เมียใหม่ ใครจะไม่ชอบ” กิมแชว่า
“ลื้อนี่พูดอะไรดีๆเป็นเหมือนกันนะ งั้นอั๊วขึ้นไปอาบน้ำก่อนดีกว่า เหนียวตัวไปหมดแล้ว” กิมฮวยหยิกแก้มกิมแชด้วยความเอ็นดู แล้วฮัมเพลงขึ้นบ้านไปอย่างอารมณ์ดี
“เจ้ว่าม้าเป็นอะไรมากมั้ย?” กิมแชรีบหันไปเม้าท์กับพี่สาว
“ม้าอารมณ์ดีก็ดีแล้วไง” กิมลั้งว่า
“เหรอ?” กิมแชยังสงสัย
สองพี่น้องมองหน้ากันแล้วยักไหล่พร้อมกันในความเปลี่ยนแปลงไปของแม่ที่ยังไม่รู้ว่าแท้จริงกิมฮวยเปลี่ยนแปลงตัวเองเพราะเห็นเคี้ยงอยู่กับหญิงคนอื่น

ใต้สะพานแห่งหนึ่ง ที่เตะฟุตบอลประจำของเลื่อนกับรักเร่ ต๋องเดินมุ่งหน้าไปที่กลุ่มนักฟุตบอล และพยายามเล็งหาเลื่อนกับรักเร่แต่ก็ไม่เห็น
“ตกลงที่นี่ก็ไม่อยู่” ต๋องพึมพำกับตัวเอง
ขณะนั้นบอลกระดอนจากสนามแข่งข้ามมา ต๋องจึงวิ่งตามไปช่วยเก็บให้ พอตามเก็บลูกบอลได้ต๋องเตะโด่งลูกบอลกลับไปที่สนาม จุดที่ต๋องยืนอยู่นั่นเองพอมองทะลุซอก ต๋องเห็นเลื่อนกับรักเร่ที่ทำท่าลับๆล่อๆขณะยื่นถุงยาบ้าให้ลูกค้าซึ่งเป็นเพื่อนนักฟุตบอลด้วยกัน
“มิน่า มันถึงทำตัวแปลกๆ” ต๋องเห็นแล้วถึงกับหน้าเปลี่ยนสีด้วยความผิดหวัง
เลื่อนกับรักเร่ขายยาบ้าเสร็จทำท่าจะเดินมาทางต๋อง ต๋องรีบถอยไปหลบหลังรถที่จอดอยู่ เลื่อนกับรักเร่เดินผ่านไป ต๋องรีบออกจากที่ซ่อนแล้วค่อยๆย่องตามเลื่อนกับรักเร่ไป

คืนนั้น ต๋องสะกดรอยตามเลื่อนกับรักเร่มาถึงตึกร้างแห่งหนึ่ง แล้วตามเข้าไป ขณะที่เลื่อนกับรักเร่กำลังเดินอยู่นั้น มีมือคู่หนึ่งมาจับบ่าของทั้งคู่ ทั้งสองคนสะดุ้งเฮือก ยกมือขึ้นเหนือหัวทันทีเพราะคิดว่าเป็นตำรวจ
“ข้าเอง ไม่ใช่ตำรวจ” ลูกน้องฤทธิ์เอ่ย
เลื่อนกับรักเร่หันหลังมามองลูกน้องฤทธิ์อย่างหน้าเสีย
“โธ่พี่ ขวัญกระเจิงหมด” เลื่อนว่า
ต๋องยืนแอบอยู่หลังผนังในระยะประชิด เหงื่อแตกเต็มหน้า
“เกือบไป” เลื่อนว่า
“ทำไมมาสายวะ พี่เค้ารออยู่ตั้งนาน” ลูกน้องฤทธิ์ถามขึ้น
“เพิ่งขายหมดน่ะ ชั้นไม่ทำให้พวกพี่ผิดหวังหรอกน่ะ” รักเร่ว่า
“งั้นก็รีบขึ้นไป” ลูกน้องฤทธิ์รีบสั่ง
ต๋องออกมาจากหลังผนังตึกแล้วย่องตามไป

เลื่อนกับรักเร่ ส่งเงินปึกหนึ่งยื่นให้ฤทธิ์ ต๋องยังแอบยืนดูอยู่อย่างประชิด
“ดีมาก ขายเก่งนี่เอ็งสองคน”ฤทธิ์เอ่ยชม
“ไม่เก่งก็ต้องเก่งล่ะ ตกลงว่าหนี้ระหว่างเราไม่มีอะไรติดค้างกันแล้วนะพี่” เลื่อนไม่อยากรับคำชมนั้น
“เฮ้ย ทำไมพูดจาไม่มีเยื่อใยอย่างนั้น ข้าว่าพวกเอ็งน่าจะขายต่อไปนะเพราะเอ็งมีพรสวรรค์กันทางนี้” ฤทธิ์เอ่ย
“เรียกพรนรกดีกว่า ตั้งแต่ขายมันมาอาทิตย์นึง พวกชั้นไม่เป็นสุขเลย” รักเร่รีบสวนขึ้น
“บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าที่ผ่านมาเอ็งขายได้เท่าไหร่ก็ต้องเอามาใช้หนี้บอลหมดก็ได้ แต่ต่อไปนี้หนี้เอ็งก็ไม่ต้องใช้ ถ้าขายต่อไปเอ็งรวยเละแน่” ฤทธิ์ว่า
“ไม่ล่ะพี่ ชีวิตช่วงที่ผ่านมามันทำให้ชั้นรู้แล้วว่าเงินไม่ได้ช่วยอะไรเลยงั้นถ้าไม่มีอะไรแล้วชั้นขอตัว” เลื่อนรีบปฏิเสธ
ก่อนจะเดินกลับแต่ลูกน้องฤทธิ์เดินเข้ามาขวางไว้ ทั้งคู่หันมาพูดกับฤทธิ์
“นี่พี่จะทำอะไร” เลื่อนถามขึ้น
“เอาของไปขายต่อ” ฤทธิ์ปาห่อยาบ้าให้เลื่อนกับรักเร่
“ไม่” ทั้งคู่รีบตอบพร้อมกันแบบไม่ได้นัดหมาย
เลื่อนกับรักเร่โยนยาไว้ที่พื้น ฤทธิ์เดินเข้าไปต่อยท้องของเลื่อนกับรักเร่ จนทั้งสองลงไปนั่งทรุด
“ถ้ายังดื้อแพ่ง ไม่ยอมขายยาต่อ มึงสองคนได้เข้าไปนอนซังเตแน่” ฤทธิ์ขู่
“หมายความว่ายังไง” เลื่อนตกใจ
“พวกกูน่ะแอบถ่ายรูปตอนที่มึงขายยาบ้าให้เพื่อนๆไว้ คิดดูซิว่าถ้ารูปพวกนั้นตกไปอยู่ในมือตำรวจ แล้วอนาคตพวกมึงจะเป็นยังไง” ฤทธิ์เล่นไม่ซื่อ
“ไอ้เลว” เลื่อนด่าอย่างสุดแค้น

จะเข้าไปหาฤทธิ์ แต่ถูกลูกน้องฤทธิ์เข้ามาต่อยร่วงซะก่อน ต๋องอดรนทนไม่ไหวจึงต้องปรากฏตัว
“หยุดนะ” ต๋องตะโกนลั่น
“พี่ต๋อง” เลื่อนกับรักเร่ถึงกับช็อก
“มึงเป็นใคร?” ฤทธิ์และลูกน้องตกใจ
“ก็เป็นคนที่จะลากพวกมึงเข้าคุกเหมือนกันไง” ต๋องเอ่ย
“นี่มึงสองคนเล่นตุกติกเหรอ”ฤทธิ์มองไปที่เลื่อนกับรักเร่
“อย่าคิดว่าพวกมึงมีหลักฐานอยู่ฝ่ายเดียว ถ้ามึงงัดรูปพวกนั้นมาใช้เมื่อไหร่ กูก็จะส่งทั้งภาพนิ่งภาพเคลื่อนไหวของมึงเข้าประกวดบ้าง” ต๋องเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับฤทธิ์อย่างไม่เกรงกลัว
“เลิกตอแยเลื่อนกับรักเร่ ไม่งั้นมึงกับมันได้วิ่งแข่งกันเข้าคุกแน่” ต๋องเอ่ยขึ้น
“ไปเว้ย” ต๋องหันไปสั่งเลื่อนกับรักเร่ ต๋องจะเดินออก แต่แกล้งเหยียบเท้าฤทธิ์ จนอีกฝ่ายร้องขึ้น
“โอ๊ย”
“อย่าสำออยน่ะ นี่ไม่ได้ครึ่งกับที่มึงทำกับน้องๆกูเลย”
ต๋องเดินออกไปโดยมีเลื่อนกับรักเร่ตามไปด้วยติดๆ
คืนเดียวกันนั้น กิมฮวยหน้าแดงเพราะฤทธิ์ไวน์เดินมาหน้ากระจกถอดเสื้อคลุมออกเผยด้วยชุดนอนเซ็กซี่ แต่แล้วเหมือนไม่มั่นใจอะไรบางอย่างจึงตวัดเสื้อคลุมกลับมาใส่ทับใหม่
“ไม่ได้ซิ” กิมฮวยกลั้นใจสะบัดเสื้อคลุมออกแล้วโยนทิ้งไป
“ต้องย้อมใจอีกซักแก้ว” กิมฮวยคว้าไวน์ที่วางเอาไว้ใต้โต๊ะขึ้นมารินใส่แก้วใหญ่แล้วยกซด
“ถึงเวลาแล้วกิมฮวย”
กิมฮวยจ้องตัวเองในกระจกแล้วนึกถึงที่หนังสือที่เพิ่งอ่านจบลงไปเมื่อกลางวันทั้ง “เสน่ห์ปลายจวัก”, “สุภาษิตสอนหญิง” , “กามมาสุตรา” และ “เคล็ดลับมัดใจผัว” ซึ่งกิมฮวยกำลังเปิดอ่านอยู่ด้วยใบหน้าตะลึงพรึงเพริด
“ร้อยแปดลีลา ซูซ่า เซ็กซี่” กิมฮวยอ่านต่อ
ในหนังสือมีตัวอย่างการโพสต์ท่าเซ็กซี่ยวนใจของผู้หญิงราวนางแบบนิตยสาร
“ไอ้หยา อั๊วจะทำได้มั้ยเนี่ย”

ในห้องนอนคืนนั้น กิมฮวยโพสท่าเซ็กซี่ท่าเดียวกับในหนังสือ พอเริ่มเมายิ่งโพสยิ่งสนุก ถึงกับถลันไปทำท่าเด็ดอยู่บนเตียง จังหวะนั้นเคี้ยงเปิดประตูห้องเข้ามาพอดี ต่างคนต่างช็อก เคี้ยงงงถึงกับเปิดประตูออกไปจากห้อง แล้วครู่หนึ่งเปิดประตูกลับเข้ามาใหม่
“อากิมฮวย นี่ลื้อจริงๆเหรอ” เคี้ยงเอ่ยขึ้น แล้วรีบจ้องแทบไม่อยากเชื่อสายตา
“ก็ใช่น่ะซิเฮีย” กิมฮวยรีบเข้ามาหาเคี้ยงด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“เกิดอะไรขึ้น ลื้อทำอะไรกับตัวเองเนี่ย” เคี้ยงถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“ทำไมเหรอเฮีย อั๊วดูไม่ดีเหรอ” กิมฮวยถึงกับหน้าเสีย
“ไม่ใช่ๆ แค่มันดูเหมือนไม่ใช่ลื้อน่ะ” เคี้ยงตอบ
“แหม คนเราก็ต้องเปลี่ยนแปลงกันบ้าง เฮียว่าอั๊วสวยขึ้นมั้ยล่ะ” กิมฮวยพูดไปแอบโพสท่าประกอบไป
“ลื้อก็สวยมาตั้งนานแล้ว” เคี้ยงเอ่ยขึ้น
“จริงนะเฮีย” กิมฮวยเข้าไปแนบอกเคี้ยงแล้วถามด้วยเสียงกระเส่า
“จริงซิ” เคี้ยงตอบ
กิมฮวยเดินวนรอบเคี้ยงโพสท่าต่อ ด้วยท่าทางแปลกขึ้น ทั้งก้มทั้งโก่งตามไปด้วย
“ลื้อเป็นอะไร กล้ามเนื้ออักเสบเหรอ” เคี้ยงถามกลับอย่างแปลกใจ
กิมฮวยจึงรีบเปลี่ยนจากโพสท่าเป็นนวดเส้นแทน
“เอ่อ วันนี้แบกของเยอะ ก็เลยต้องยืดเส้นยืดสายหน่อย” กิมฮวยเปลี่ยนเรื่อง
“ให้อั๊วทายาให้มั้ย” เคี้ยงรู้สึกเป็นห่วงมากกว่า
“ดีเลยเฮีย ช่วยอั๊วหน่อยนะ” กิมฮวยตอบรีบทันที
กิมฮวยลากเคี้ยงไปที่เตียง แล้วคว้าหลอดยาที่หัวเตียงใส่มือเคี้ยง แล้วโพสท่าเซ็กซี่ต่อ
“ลื้อปวดตรงไหน” เคี้ยงถาม
กิมฮวยเอามือแตะไปทั่วร่างกายคล้ายโลมไล้ตัวเอง
“ตรงนี้ ตรงนี้ ตรงนี้ ตรงนี้ แล้วก็ตรงนี้” กิมฮวยอ้อนเคี้ยง แล้วรีบชี้ไปที่ปาก
“แน่ใจนะว่าจะให้อั๊วทาที่ปากด้วย” เคี้ยงย้อนถามกลับ
“งั้นเอาตรงนี้ก่อนละกัน” กิมฮวยคว้ามือเคี้ยงมาวางที่บ่า เคี้ยงทายาจากทางด้านหลัง กิมฮวยรีบคิดแผนจะทำอย่างไรต่อไปดี พอเคี้ยงคลึงเคล้าตัวยาที่บ่า กิมฮวยร้องครวญเสียงกระเส่าขึ้นมาอีก
“อู้ว อ้า” กิมฮวยทำหน้าเซ็กซี่ พร้อมร้องคราง
“ร้อนเหรอ” เคี้ยงตกใจคิดว่ากิมฮวยแสบเพราะฤทธิ์ยา
ทันใดนั้นกิมฮวยพลิกตัวมาเผชิญหน้ากับเคี้ยง แล้วเอาขาล็อกตัวเคี้ยงไว้
“ใช่ ร้อน อั๊วร้อนรุ่มไปหมดแล้ว” กิมฮวยตอบ
ทั้งคู่จ้องมองหน้ากัน แล้วเคี้ยงค่อยๆโน้มหน้าไปหากิมฮวย ที่หลับตาพริ้มรอรับจูบ แต่จังหวะที่หน้าเคี้ยงจะประกบหน้ากิมฮวย เคี้ยงกลับหยุดชะงัก สำรวจกลิ่นไปมา
“ว่าแล้ว ลื้อกินเหล้าจริงๆด้วย” เคี้ยงรีบถาม
กิมฮวยลืมตาขึ้นอย่างเสียอารมณ์ที่เข้าใจผิดคิดว่าเคี้ยงจะจูบ
“ใครบอกว่าเหล้า อั๊วกินไวน์ต่างหาก” กิมฮวยเถียง
“มันก็เหมือนกันล่ะ นี่ลื้อกินเข้าไปมากเลยล่ะซิ มันถึงได้ร้อนไปทั้งตัวขนาดนี้ไง” เคี้ยงตอบ
กิมฮวยถึงกับเซ็งเพราะเคี้ยงไม่ได้จูบ
“เอาล่ะเฮียเคี้ยง อั๊วจะไม่อ้อมค้อมแล้วนะ ลื้อรู้มั้ยว่าอั๊วรักลื้อมากมายแค่ไหน ความรักมันจะล้นอกอยู่แล้วเห็นมั้ย” กิมฮวยเล้าโลมเคี้ยง มองไปอกอันอวบอั๋นของตัวเอง แล้วส่ายอกโชว์ เคี้ยงมองตามด้วยความตกใจ
“เห็น เห็นชัดมาก” เคี้ยงว่า
“แล้วลื้อรักอั๊วบ้างมั้ย” กิมฮวยถามขึ้น
“แล้วทำไมถึงคิดว่าอั๊วไม่รักลื้อล่ะ” เคี้ยงย้อนถาม
“ก็...ก็ลื้อคิดว่าอั๊วเป็นของตายไง แต่ต่อไปนี้อั๊วจะแปลงร่างเป็นของเด็ด ของใหม่ ให้ลื้อของขึ้นทุกวัน เริ่มต้นที่วันนี้” กิมฮวยเพ้อ
กิมฮวยเปลี่นใจไม่พูดเรื่องเคี้ยงกับหญิงคนอื่น แล้วคล้องแขนตัวเองเข้าที่คอเคี้ยง แล้วโน้มร่างเคี้ยงเข้ามาหาตนพร้อมส่งสายตายั่วยวนอย่างท้าทาย เคี้ยงออกอาการตื่นราวกับเป็นหนุ่มน้อย ในขณะที่ริมฝีปากกิมฮวยจะสัมผัสริมฝีปากเคี้ยง จู่ๆกิมฮวยหลับกลางอากาศ คอตกไปแนบกับอกเคี้ยงเอาเสียดื้อๆด้วยความเมา
“อ้าว...”
คืนเดียวกัน ต๋องนั่งบ่นเลื่อนรักเร่เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“เฮ้อ พวกเอ็งนะพวกเอ็ง มีเรื่องสำคัญขนาดนี้ทำไมถึงไม่บอกกัน” ต๋องรีบโวย
“ก็มันจะขู่ฆ่าพวกชั้น” รักเร่รีบอธิบาย
“แต่ถ้าเอ็งรับมือไม่ได้ก็ต้องรู้จักปรึกษาคนอื่นซิวะ ไม่งั้นก็จะจบปัญหาด้วยวิธีโง่ๆอย่างการเล่นพนัน แล้วก็ลามปามไปจนถึงขายยา ถ้าข้ารู้เรื่องช้ากว่านี้เอ็งไม่เลยเถิดไปถึงขั้นฆ่าคนตายเหรอ” ต๋องเอ่ยขึ้น
“ก็พวกชั้นไม่มีทางออกจริงๆนี่พี่” เลื่อนรีบแจง
“ไม่ใช่ไม่มีทางออกหรอก แต่พวกเอ็งไม่มีปัญญา ไม่มีความรู้ ไม่มีข้อมูลมันก็เลยจัดการชีวิตไม่ได้ ตอนนี้มีอย่างเดียวเท่านั้นที่จะช่วยพวกเอ็งได้” ต๋องพยายามอธิบาย
“อะไรพี่” เลื่อนถามขึ้น
“การศึกษา การศึกษาเท่านั้นที่จะทำให้พวกเอ็งฉลาดขึ้น เอางี้ดีกว่า พรุ่งนี้ข้าจะพาพวกเอ็งไปสมัครเรียน” ต๋องบอก
“เด็กโข่งอย่างชั้นโรงเรียนไหนเค้าจะรับ” เลื่อนรีบโวย
“เห็นมั้ยว่าเอ็งมันโง่ เค้ามีโรงเรียนเปิดสอนภาคพิเศษมานานแค่ไหนก็ไม่เคยรู้ อาทิตย์นึงเอ็งเรียนวันเดียวก็ได้ บางที่เค้าก็มีเรียนตอนเย็น” ต๋องเอ่ย
“ให้ชั้นไปเรียนแล้วจบมาทำออฟฟิศ ทำบัญชี อะไรแบบนี้น่ะเหรอ มันจะไหวมั้ยพี่” เลื่อนถามต่อ
“เค้ามีสารพัดวิชาที่จะทำให้เอ็งออกมาทำมาหากินได้น่ะ ขนาดวิชาช่างยังเปิดสอนเลย ถ้าขยันก็ต่อไปจนจบปริญญาตรียังได้” ต๋องว่า
เลื่อนกับรักเร่ฟังแล้วตาลุกวาว
“โห งั้นชั้นก็มีสิทธิ์เป็นเจ้าของร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้วซิ” รักเร่ว่า
“ส่วนชั้นก็จะได้สานฝันคนที่บ้าน เอาปริญญาไปให้แม่ดูเป็นบุญตาซักใบ” เลื่อนเอ่ย
“ถ้ามีความรู้มันก็ทำได้ทุกอย่าง เอ็งจะได้ไม่ต้องมานั่งเข็นรถกันจนตายไง” ต๋องว่า
“ขอบคุณนะพี่ พี่นี่เปรียบเหมือนแสงตะวัน แสงจันทร์ แสงดาว ของพวกชั้นจริงๆ” เลื่อนรีบขอบคุณต๋อง
“แต่ถ้าคืนนี้ได้แสงโสมจากพี่มาฉลองซักแบน จะขอบคุณมากๆ” รักเร่ว่า
“อืม ดี” เลื่อนว่า
“งั้นเอาแสงของ้าวไปก่อนละกัน” ต๋องจึงสวนขึ้น
พร้อมคว้าไม้ยาวในบ้านมาจะไล่ฟาด เลื่อนกับรักเร่วิ่งหนีกันให้วุ่น
อ่านต่อหน้า 4



“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 10 (ต่อ) 
    
เช้าวันใหม่ เลื่อนกับรักเร่ในชุดนักศึกษาเรียบร้อยพร้อมสมัครเรียนเดินออกมาจากในบ้านด้วยอาการเริงร่า

“ตื่นเต้นจังเลยว่ะไอ้เลื่อน ชีวิตนี้ข้าไม่คิดเลยนะว่าจะได้กลับมาเป็นนักเรียนอีกครั้ง” รักเร่เอ่ยขึ้น
“เอาวะ คิดซะว่าชีวิตเราจะดีขึ้นแล้ว ต่อไปใครจะมาเรียกพวกเราว่าไม่มีการศึกษาไม่ได้แล้วนะเว้ย ลุย” เลื่อนว่า
ทั้งคู่เดินผึ่งผายออกไปแต่แล้วต้องเบรกตัวโก่ง เมื่อเจอกับลูกน้องของฤทธิ์ที่เดินดาหน้ามา
“เอ ถ้าชั้นจำไม่ผิด เราเคลียร์ทุกอย่างเข้าใจกันตั้งแต่เมื่อคืนแล้วใช่มั้ยพี่” เลื่อนทำใจดีสู้เสือ
“โทษทีว่ะ เผอิญพวกข้าสมองช้า พี่ฤทธิ์เลยให้ตามมาเคลียร์ต่อวันนี้พี่ฤทธิ์บอกว่าเมื่อคืนท่าทางพวกมึงยังไม่เข้าใจอะไรดี ถึงได้ไม่รู้ว่าใคร เป็นใคร เลยให้พวกกูตามมากระตุ้นสมองมึงกันหนักๆหน่อย” ลูกน้องฤทธิ์ว่า
“อ๋อ ไม่เป็นไรพี่ พี่ลองพูดมาก่อนก็ได้ ชั้นสองคนอาจจะเข้าใจอะไรได้ปรู๊ดปร๊าดในทันที” รักเร่รีบตอบ
“อย่าดีกว่าว่ะ พวกกูถนัดทำให้มึงเห็นภาพ เฮ้ย”
ลูกน้องฤทธิ์หันไปส่งซิกให้พรรคพวกจัดการ เลื่อนกับรักเร่ เห็นไม่ได้การออกวิ่งทันทีแต่ก็ไม่พ้นเงื้อมมือของลูกน้องฤทธิ์ ทั้งคู่ถูกอัดเสยคาง แล้วโดนลากไปรุมยำต่อในบ้าน

เช้าวันนั้น ที่บ้านกิมฮวย เคี้ยงเดินลงบันไดมาแล้วกวาดสายตาหากิมฮวย
“อากิมฮวยไปไหน ทำไมวันนี้ตื่นก่อนได้” เคี้ยงพูดกับตัวเอง
“อั๊วอยู่นี่...” กิมฮวยรีบส่งเสียง
เคี้ยงหันไปเห็นกิมฮวยนั่งอยู่แทบเท้ายิ่งตกใจ แต่แล้วยิ่งช็อกหนักเมื่อเห็นกิมฮวยก้มลงกราบแทบเท้าตน
“เฮ้ย” เคี้ยงตะลึง รีบก้มลงไปประคองกิมฮวยขึ้นมา
“ลุกขึ้น ลื้อทำอะไรของลื้อนี่” เคี้ยงงง
“เอ้า ภรรยาที่ดี ก็ต้องกราบสามีเช้าค่ำไงเฮีย” กิมฮวยว่า
“ลื้อไม่เห็นต้องทำขนาดนี้” เคี้ยงแปลกใจ
“ไม่ได้หรอก สามีก็เหมือนพระของบ้าน เหมือนพ่อที่คอยคุ้มครองดูแลเรา ชีวิตอั๊วคงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเฮีย อุย” กิมฮวยพูดอย่างเอาอกเอาใจไม่เหมือนคนเดิม
“น้ำชาร้อนๆเฮีย” กิมฮวยรีบหยิบน้ำชามารินให้เคี้ยง
“ดื่มกระตุ้นลำไส้หน่อย เดี๋ยวกินข้าวจะได้ย่อยดีๆ”
กิมฮวยเสิร์ฟชาให้เคี้ยงแทบจะป้อน

ครู่หนึ่งกิมฮวยเดินโอบเอวเคี้ยงมาที่โต๊ะอาหาร พร้อมๆกับกิมแชที่ยกหม้อข้าวมา และกิมลั้งเอาช่อดอกรักมาปักที่แจกันบนโต๊ะกินข้าว
“อากิมลั้ง ลื้ออารมณ์ไหนเนี่ย เด็ดดอกรักมาปักแจกัน” เคี้ยงทนไม่ไหวต้องทักขึ้น
“อั๊วไม่เกี่ยวนะป๊า ม้าเป็นเป็นคนสั่ง” กิมลั้งรีบตอบ
“แหม เฮีย ดอกรักก็แทนความรักที่อั๊วมีให้ลื้อไง” กิมฮวยรีบตอบ
“ม้ารักป๊า แต่ให้อั๊วไปเด็ดมาเนี่ยนะ” กิมลั้งว่า
“ก็แปลว่าลื้อก็รักอั๊วไง” กิมฮวยบอก
“งั้นวันนี้ม้าก็คงรักอั๊วมาก ถึงลงทุนเข้าครัวทำกับข้าวทั้งหมดแทนอั๊วในรอบสิบปี” กิมแชรีบรายงาน
“กับข้าวทั้งหมดนี้ลื้อทำเองคนเดียวเลยเหรอ” เคี้ยงถามกิมฮวยด้วยความแปลกใจ
“ใช่ น้ำซุปเนี่ยอั๊วลงทุนตุ๋นตั้งแต่เมื่อคืนเลยเฮียทานเยอะๆนะ” กิมฮวยรีบตอบ แล้วรีบตักซุปใส่ถ้วยให้เคี้ยงไปด้วย เคี้ยงซดน้ำซุปเข้าไปถึงกับสำลัก กิมฮวยรีบกุลีกุจอหยิบทิชชู่ส่งให้อย่างดูแล
“เป็นไงเฮีย ไม่อร่อยเหรอ” กิมฮวยถามขึ้น
“มันเค็มน่ะ” เคี้ยงตอบ
“งั้นกินอย่างอื่นแทนละกันนะ”
ขณะที่กิมฮวยกำลังตักกับข้าวอย่างอื่นใส่จานเคี้ยง มือถือเคี้ยงดังขึ้น เคี้ยงเห็นเบอร์แล้วชะงักไป แต่เห็นว่าทุกคนโดยเฉพาะกิมฮวยจ้องอยู่จำต้องกดรับ
“ฮัลโหล เหรอ ? ได้ๆ จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ” เคี้ยงพูดกับปลายสายก่อนกดวางสาย แล้วลุกขึ้นเตรียมตัวไปจะออกนอกบ้าน
“เอ่อ วันนี้ลื้อไปตลาดเองได้มั้ยอากิมฮวย เต็กกอโทรมาว่ามีปัญหากับที่บ้านอีกแล้ว อั๊วต้องรีบไปช่วยเคลียร์ด่วนก่อนที่บ้านจะแตก” เคี้ยงเอ่ยขึ้นอย่างรีบร้อน
“กินข้าวก่อนก็ไม่ได้เหรอ” กิมฮวยรีบสกัดอารมณ์
“คือ เดี๋ยวไม่ทันน่ะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวอั๊วกลับมากินมื้อเที่ยงก็ได้ อั๊วไปนะ”
เคี้ยงรีบออกไปก่อนที่จะไม่ได้ไป แล้วกิมฮวยตัดสินใจอะไรบางอย่างกะทันหันขึ้นมา
“อุ๊ย อั๊วลืมไปเลยว่านัดเพื่อนไว้ งั้นอั๊วรีบไปก่อนนะ จะได้ติดรถป๊าออกไป”
กิมฮวยรีบตามเคี้ยงไปทันที ลูกๆมองตามพ่อกับแม่ตัวเองอย่างงงๆ
“ออกไปกับเพื่อนอีกแล้ว วันนี้กลับบ้านมาไม่รู้ม้าจะแปลงร่างเป็นอะไรเนอะเจ้เนอะ” กิมแชรีบเอ่ยขึ้น
กิมแชเผลอตักซุปเข้าปาก แล้วต้องพ่นออกจากปากทันทีด้วยความแรงจนกิมลั้งตกใจ
“อี๊ น้ำซุปหรือน้ำเกลือเนี่ย”

เวลาต่อจากนั้น กิมฮวยนั่งรถมากับเคี้ยงด้วยบรรยากาศอึมครึม
“จอดตรงนี้ล่ะเฮีย เดี๋ยวอั๊วเรียกแท็กซี่ต่อไปเอง” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
เคี้ยงจอดรถ แล้วพยายามฝืนยิ้ม
“แล้วอย่าลืมกลับไปกินข้าวเที่ยงที่บ้านนะ แล้วรายงาน เอ้ย บอกอั๊วด้วยว่ารสชาติเป็นยังไง” กิมฮวยเอ่ยขึ้นอย่าง
“จ้ะๆ” เคี้ยงรีบรับปาก
กิมฮวยลงรถไป โบกมือบ๊ายบาย แถมส่งจูบให้เคี้ยงด้วย ทันทีที่เคี้ยงขับรถออกไป กิมฮวยหุบยิ้มแล้วเรียกรถแท็กซี่รีบตามไปทันที
“ตามรถคันนั้นไป”
กิมฮวยสั่ง แท็กซี่ขับตามรถเคี้ยงไปทันที

เวลาต่อจากนั้นที่ตลาด เมื่อได้ฟังเรื่องเลื่อนกับรักเร่จากต๋องแล้วกิมลั้งถึงกับตกใจ
“จริงเหรอเนี่ย ไม่คิดเลยนะว่าจะเกิดเรื่องอะไรแบบนี้กับเลื่อน รักเร่
น่ากลัวจัง” กิมลั้งว่า
“ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วล่ะ เจอชั้นขู่เข้าไปพวกมันคงไม่กล้า” ต๋องเอ่ย
“เธอแน่ใจเหรอ คนพวกนี้มันธรรมดาที่ไหน เอาตัวไปแลกกับมัน ระวังเถอะ” กิมลั้งพูดอย่างห่วงใย
“ก็ดีกว่าต้องตกเป็นเครื่องมือของคนเลวๆแบบนั้นไปทั้งชีวิต” ต๋องว่า
“แล้วไหนบอกว่านัดสองคนนั่นจะพาไปสมัครเรียนไง” กิมลั้งเอ่ยถาม
“ก็นั่นน่ะซิ ป่านนี้ทำไมยังไม่มาก็ไม่รู้ ไม่ได้เรื่องเลย” ต๋องบ่นเลื่อนกับรักเร่
“โทรไปเร่งซิ” กิมลั้งเสนอ
ต๋องหยิบมือถือมากด เตรียมด่าเลื่อนกับรักเร่เต็มที่ แต่พอได้ยินปลายสายต๋องถึงกับตกใจ
“ฮัลโหล ตกลงว่าไงวะเนี่ยพวกเอ็ง เฮ้ย เอ็งเป็นอะไรน่ะ เออๆ งั้นเดี๋ยวข้าจะไปหาเดี๋ยวนี้” ต๋องวางสายไป
“เลื่อนกับรักเร่เป็นอะไร” กิมลั้งถามขึ้น
“มันโดนพวกนั้นซ้อมเมื่อเช้าจนสลบไป เพิ่งฟื้นเมื่อกี้ ชั้นไปก่อนนะ” ต๋องเอ่ย
“ชั้นไปด้วย” กิมลั้งบอก
“ไม่เป็นไรกิมลั้ง อย่าดีกว่า” ต๋องห้าม
“ไม่ ชั้นจะไปด้วย เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยกันได้” กิมลั้งไม่ยอม
“แล้วใครจะเฝ้าแผงเธอล่ะ” ต๋องเอ่ยอย่างกังวล
“เดี๋ยวชั้นโทรบอกกิมแชก็ได้ ไป รีบไปดูสองคนนั้นก่อน” กิมลั้งตอบ
ต๋องรับไปหาเลื่อนกับรักเร่อย่างไม่รอช้า

ไม่นานต่อจากนั้น กิมลั้งกับต๋องไปถึงบ้านเลื่อนกับรักเร่ กิมลั้งทำแผลให้เลื่อนกับรักเร่ ต๋องเห็นสภาพหน้าบวมบูดของทั้งคู่เริ่มโมโหจนถึงกับเตะข้าวของในบ้าน
“ไอ้พวกช้าสารเลว แบบนี้ต้องเล่นงานมันกลับบ้าง” ต๋องโพล่งด้วยความโกรธ
“เราจะไปทำอะไรมันได้ล่ะพี่ ไอ้หลักฐานที่พี่บอกว่าจะเอาไปเล่นงานมันก็เป็นแค่เรื่องที่กุขึ้นมาเท่านั้น” รักเร่เอ่ย
“ตกลงเราต้องไปขายยาให้มันอีกเหรอเนี่ย แล้วอนาคตทางการศึกษาของชั้นล่ะ” รักเร่ว่า
“ของชั้นด้วย” เลื่อนเอ่ยตาม
“ไม่มีทาง ข้าไม่ยอมให้เอ็งกลับไปทำอะไรอย่างนั้นอีกแน่” ต๋องมุ่งมั่น
“ชั้นว่าดีไม่ดี มันจะให้พี่ขายด้วย ต่อไปแผงพี่คงได้เป็นแผงผักยัดยาม้า” เลื่อนว่า
“ฮะ? แล้วเราจะทำยังไงต่อไปกันดีล่ะต๋อง เห็นมั้ย ชั้นบอกแล้วว่าเรื่องมันไม่ง่ายอย่างที่เธอคิดหรอก” กิมลั้งฟังแล้วถึงกับตกใจ
“ไม่ต้องห่วงกิมลั้ง ชั้นจัดการได้” ต๋องจริงจัง

เวลาต่อจากนั้น ฤทธิ์กับลูกน้องนั่งทอดอารมณ์กันในบ้านเช่า จู่ๆเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ของมาส่งแล้วมั้ง มึงไปดูซิ” ฤทธิ์รีบหันไปพูดกับลูกน้อง
ทันทีที่ลูกน้องฤทธิ์ไปเปิดประตู ตำรวจพร้อมอาวุธวิ่งเข้ามาเป็นพรวน แล้วเข้าชาร์จตัวฤทธิ์กับพวกราวผู้ต้องหา บ้างถูกเอามือไพล่หลัง บ้างถูกยันเข้ากำแพง แต่ฤทธิ์ถูกจับนอนคว่ำแล้วเอาเท้าเหยียบหลังไว้
“มันอะไรกันครับเนี่ยคุณตำรวจ” ฤทธิ์ถามขึ้น
“ที่นี่มั่วสุมทำสิ่งผิดกฎหมายใช่มั้ย” ตำรวจเอ่ยขึ้น
“ผู้กองพูดถึงอะไร” ฤทธิ์ยังตกใจไม่หาย
“พวกมึงค้ายากันใช่มั้ย” ตำรวจจับฤทธิ์พลิกตัว แล้วกระชากคอขึ้นมา
“ฮะ” ฤทธิ์เริ่มเครียด
“มีคนแจ้งว่าที่นี่เป็นแหล่งทำยาปลอม เลียนแบบยาขมชะนีทอง ทุบกระดองเต่าที่กำลังดังอยู่ตอนนี้” ตำรวจเอ่ย
“อะไรนะ ?” ฤทธิ์ฟังแล้วงงปนตกใจ

ไม่นานต่อจากนั้น ฤทธิ์นั่งลงอย่างโล่งอก
“ไอ้พวกตำรวจเวร เล่นเอาใจกูตกไปที่ตาตุ่ม อยากรู้นักใครเป็นสายให้ แม่งโง่ชิบหาย” ฤทธิ์เอ่ยขึ้น จู่ๆเสียงมือถือฤทธิ์ดังขึ้น
“ใคร ฮัลโหล” ฤทธิ์รีบรับสาย
“เป็นไง ตื่นเต้นดีมั้ย มีแขกในเครื่องแบบไปเยี่ยมถึงที่” ต๋องที่ยืนอยู่บ้านเลื่อนกับรักเร่ พูดสายอย่างยียวน
“มึงเป็นใคร” ฤทธิ์ถามด้วยความโกรธ
“พูดเพราะๆแล้วจะบอก” ต๋องกวนหนัก
“มึงเป็นใครครับ” ฤทธิ์เอ่ย
“แสดงว่าไม่อยากรู้” ต๋องยียวน
“บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่ามึงเป็นใคร” ฤทธิ์ตะโกนเสียงดัง
“กูเอง ต๋อง พ่อทุกสถาบัน รวมทั้งมึงด้วย จำไว้ว่าอย่ามายุ่งกับเลื่อนรักเร่อีก ไม่งั้นคราวหน้ากูจะส่งหน่วยคอมมานโดของจริงไปเหยียบหน้ามึง” ต๋องเอ่ย
ฤทธิ์กำมือแน่นด้วยความแค้นใจ
“ไอ้ต๋อง”

ต่อจากนั้น ที่บ้านเลื่อนกับรักเร่ ต๋องสบายใจที่เอาคืนพวกฤทธิ์ได้ ขณะที่กิมลั้งดูเครียด
“ทำแบบนั้นไม่เท่ากับเอาน้ำมันไปรดไฟเหรอต๋อง” กิมลั้งเอ่ย
“แล้วจะนั่งอยู่เฉยๆ รอให้ไฟนรกอย่างพวกมันมาเผาเราเหรอ ถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ต๋องว่า
“แล้วทำไมไม่ปล่อยให้เรื่องที่เหลือเป็นหน้าที่ของตำรวจล่ะ” กิมลั้งเอ่ย
“ก็เพราะชั้นรู้ว่าหลายๆทีตำรวจก็ช่วยคุ้มครองชีวิตเราไม่ได้ไง ยิ่งพวกมันเป็นพวกมีอิทธิพลแบบนี้ยิ่งไปกันใหญ่ สุดท้ายมันไม่มีใครรักชีวิตเราเท่าตัวเราเองหรอก” ต๋องตอบ
“หวังว่ามันจะไม่กลับมาเล่นงานเราอีกนะพี่” เลื่อนเอ่ยขึ้น
“ถ้าจะทำมันก็คงคิดหนักหน่อยล่ะ เพราะตอนนี้มันรู้แล้วล่ะว่าเราไม่ใช่กวางน้อยไร้เดียงสาให้มันล่าได้ง่ายๆ” ต๋องเอ่ยอย่างไม่กลัวอิทธิพลใดๆ

เวลาเดียวกันนั้น เคี้ยงขับรถมาจอดที่หน้าห้องเย็น ไกลออกมา รถแท็กซี่จอด ครู่หนึ่งกิมฮวยลงมาจากรถแล้วหาที่หลบแถวนั้น กิมฮวยเห็นเคี้ยงเปิดประตูรถลงมา แล้วอรนภาเดินออกมาจากบ้านที่เป็นห้องเย็นเพื่อมารับเคี้ยงที่รถ
“นี่เฮียถึงกับมาซื้อบ้านอยู่กับมันเลยเหรอ” กิมฮวยน้ำตาคลอ
กิมฮวยเห็นอรนภาเอามือลูบท้องตัวเองเบาๆ แถมเคี้ยงเอื้อมมือไปลูบหัวด้วยความเอ็นดู กิมฮวยคิดถึงเหตุการณ์ที่โรงพยาบาลวันนั้นขึ้นมาทันที
“เป็นไงอร” เคี้ยงถาม
“อรจะอ้วกค่ะ” อรนภาตอบ
“งั้นพี่พาไปห้องน้ำ” เคี้ยงดูแล
“หรือว่าผู้หญิงคนนั้นท้องไม่จริงนะไม่ ไม่” กิมฮวยยิ่งนึกถึงภาพวันนั้นแล้วยิ่งโกรธและเต็มไปด้วยความกลัว แต่พยายามสะกดอารมณ์ไว้ ทั้งเคี้ยงและอรนภาหัวเราะเริงร่าราวกับเยาะเย้ยกิมฮวย
“ไม่ ไม่” กิมฮวยใกล้ตบะแตกเต็มที
ทันใดนั้นเคี้ยงกับอรนภาจะเดินเข้าบ้าน แต่อรนภาเหยียบก้อนหินจึงเสียหลักจะล้ม แต่เคี้ยงไว้ได้ทัน กิมฮวยเห็นภาพนั้นถึงกับทนไม่ไหว
“ไม่ ไม่ ไม่ไหวแล้ว” กิมฮวยโกรธพุ่งไปหาทั้งคู่ แล้วตะโกนลั่นสุดเสียง
“เฮียเคี้ยง” กิมฮวยสุดโกรธ
เคี้ยงกับอรนภาหันมาเห็นกิมฮวยถึงกับช็อก
กิมฮวยเก็บอาการไม่อยู่ หลังจากเห็นเคี้ยงประคองอรนภาอย่างสนิทสนม รีบพุ่งเข้ามาหาเคี้ยงกับอรนภา
“กิมฮวย” เคี้ยงตกใจสุดขีด เมื่อเห็นกิมฮวยตรงดิ่งเข้ามาหา
“ลื้อทำอย่างนี้กับอั๊วได้ยังไง” กิมฮวยพูดเสียงเครือ
“อั๊วทำอะไร” เคี้ยงงง
กิมฮวยมองอรนภาในอ้อมกอดของเคี้ยงด้วยความโมโหจนตัวสั่น เคี้ยงเห็นดังนั้นจึงรีบปล่อยอรนภา
“อ้อ อากิมฮวย นี่อรนะ” เคี้ยงรีบรายงานตัว
“อ๊าย นี่ลื้อยังมีน่ามาแนะนำเมียน้อยให้เมียหลวงรู้จักอีกเหรอ” กิมฮวยยิ่งทวีความโกรธเข้าไปอีก
จึงทุบตีเคี้ยงอย่างไม่ฟังความ
“ลื้อเข้าใจผิดแล้ว อรเค้าเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเต็กกอ” เคี้ยงรีบอธิบาย
“มิน่า ลื้อถึงเอาเต็กกอมาอ้างตลอดเวลาที่ขลุกอยู่กับนังนี่ แล้วลื้อน่ะ ผู้ชายหล่อๆหนุ่มๆสภาพดีมันหมดโลกแล้วรึไงถึงต้องมายุ่งกับไอ้แก่นี่ อ้อ หรือชอบคนเที่ยวบินสูง” กิมฮวยหันไปด่าอรนภา
“มันไม่ใช่” อรนภารีบปฏิเสธ
“อย่ามาตอแหล” กิมฮวยไม่ยอมหยุด ยิ่งรุกหนักใส่อรนภาเข้าไปอีก
“อย่าทำอะไรอรนะอากิมฮวย” เคี้ยงรีบเข้ามาขวาง
“นี่ลื้อปกป้องมัน ลื้อเห็นมันดีกว่าอั๊วใช่มั้ย ใช่ซิ ไม่งั้นลื้อจะคิดมาลงหลักปักฐาน ซื้อบ้านช่องอยู่ด้วยกันขนาดนี้เหรอ” กิมฮวยน้อยใจโพล่งออกมา
“โธ่...” เคี้ยงอึกอัก อยากพูดแต่พูดไม่ออก
“โธ่อะไร” กิมฮวยคาดคั้น
“ไอ้ที่เห็นอยู่นี่ อั๊วก็ทำให้ลื้อน่ะล่ะ” เคี้ยงพูดน้ำเสียงจริงจัง แต่คล้ายไม่กล้าบอก
กิมฮวยนิ่ง เคี้ยงจึงเข้าใจว่ากิมฮวยเข้าใจแล้ว ทันใดนั่นกิมฮวยปรี๊ดแตกขึ้นมาอีก
“ถ้าทำให้อั๊วจริง แล้วลื้อมาเปิดซิงใช้สถานที่กับมันเพื่อเจิมรึไงฮะ กระจ๋องงองกระจองงอง เจ้าข้าเอ๊ย ออกมาดูนังหน้าด้าน ไม่มีปัญญาหาผัวเร็ว” กิมฮวยตะโกนเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ
อรนภาที่ยืนฟังอยู่ทนไม่ไหว จึงโพล่งขึ้น
“หยุดซักที ชั้นน่ะผัวสาม ลูกหก เพิ่งจะตกลงแต่งงานกับคนที่สี่ เห็นมั้ยล่ะนี่ แหวนหมั้น”
กิมฮวยกับเคี้ยงต่างพากันตกใจอรนภา ที่เพิ่งรู้สึกตัวเลยกลับมาเสียงอ่อนหวานอย่างเก่า
“คือ อรแค่จะบอกว่าอรก็มีปัญญาหาผัว เอ่อ สามี แล้วที่อรมาง่วนอยู่ที่นี่ก็เพราะเฮียเคี้ยงจ้างมาทำห้องเย็นไว้ให้เจ๊เก็บอาหารทะเล” อรนภารีบอธิบายเพราะกลัวว่ากิมฮวยเข้าใจผิดไปกันใหญ่
“ฮะ” กิมฮวยถึงกับร้องเสียงหลง

เวลาต่อจากนั้น เคี้ยงพากิมฮวยเข้ามาในบ้านโดยมีอรนภาตามมา คนงานเดินไปมาวุ่นวาย กิมฮวยเห็นบรรยากาศแล้วอึ้งปนงง เคี้ยงจึงรีบอธิบาย
“ที่อั๊วกลับบ้านดึกดื่นทุกวันแล้วเอาเต็กกอมาอ้างก็เพราะที่นี่ล่ะ รู้มั้ยความจริงอั๊วกะจะเก็บมันไว้เซอร์ไพร์สลื้อวันครบรอบแต่งงานของเราที่จะถึงมะรืนนี้”
“จริงเหรอเฮีย” กิมฮวยรู้สึกผิด
“จริงค่ะ เฮียขอให้อรเก็บเรื่องทั้งหมดไว้เป็นความลับ ที่ผ่านมาอรถึงมาเจอเจ๊ไม่ได้เลย โทรศัพท์ไปทีเฮียก็ต้องคอยแอบรับเพราะว่ากลัวความจะแตก” อรนภารีบเสริม
“อรเค้าทุ่มเทกับงานนี้มากนะ เร่งงานที่นี่ไม่ได้หลับไม่ได้นอนจนเมื่อวานต้องลากไปโรงพยาบาลเพราะโรคกระเพาะกำเริบ” เคี้ยงรีบอธิบาย
“อั๊วขอบคุณลื้อมากนะอาอร แล้วก็ขอโทษที่เข้าใจลื้อผิด” กิมฮวยทำตาพริบๆเพิ่งเข้าใจว่าภาพที่เห็นที่โรงพยาบาลคืออะไรกันแน่
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะอรเข้าใจ อรก็ขี้หึงไปไม่น้อยกว่าเจ๊กิมฮวยเลย อุย ขอโทษค่ะ ว่าแต่เจ๊กับเฮียจะเข้าไปเช็คดูเลยก็ได้นะคะ อรให้ช่างเค้าเปิดเครื่องไว้ตั้งแต่เช้าแล้ว” อรนภาเอ่ย
“ไป” เคี้ยงรีบตอบ
เคี้ยงจูงมือกิมฮวยเดินผ่านม่านพลาสติกใสเข้าไปในห้องเย็น

ในห้องเย็นนั้น บรรยากาศสุดโรแมนติก ครู่หนึ่งกิมฮวยกับเคี้ยงจูงมือกันเข้ามา เคี้ยงหันมามองหน้ากิมฮวยแล้วยิ้มให้
“เหมือนจูงมือกันเข้าพิธีแต่งงานในโบสถ์เลยนะ” เคี้ยงเอ่ยขึ้น กิมฮวยเขินแต่แอบยิ้มดีใจ
“บ้า แต่ชอบ” กิมฮวยแอบเขิน
“แล้วชอบของขวัญที่อั๊วทำให้นี่มั้ย” เคี้ยงเอ่ยขึ้น
“ชอบซิ เฮียก็รู้ว่าความฝันบั้นปลายของอั๊วคือการมีห้องเย็นไว้แช่ของขาย เราจะได้เก็บของไว้นานๆ แล้วก็ขายให้ลูกค้าได้หลายเจ้าขึ้น” กิมฮวยตอบ
“วันนี้ฝันของลื้อเป็นจริงแล้วนะกิมฮวย” เคี้ยงดีใจแม้จะความแตกเสียก่อน
“ขอบคุณเฮียนะที่ทำทุกอย่างเพื่ออั๊วมาตลอดชีวิต แต่อั๊วก็ยังอุตส่าห์เข้าใจผิด คิดอะไรไม่ดีกับเฮียได้ เฮียไม่โกรธอั๊วใช่มั้ย” กิมฮวยเสียงอ่อนลง
“อั๊วจะโกรธคนที่อั๊วรักได้ยังไง” เคี้ยงแอบหยอดหวาน
“ยิ่งเฮียดีกับอั๊วเท่าไหร่ อั๊วก็ยิ่งรู้สึกผิด เพราะจะว่าไปแล้วอั๊วก็ไม่ใช่เมียที่ดีของลื้อซักเท่าไหร่” กิมฮวยพูดจากใจ
“ถ้าลื้อไม่ดี งั้นอั๊วไปมีเมียใหม่ละกัน” เคี้ยงแกล้งหยอก
“ไม่ได้นะ” กิมฮวยรีบตอบ
“ใช่ไง ไม่ได้ เมียไม่ใช่ข้าวของที่ไม่พอใจแล้วจะทิ้งเปลี่ยนใหม่ คนเรา ถ้าจะรักใครซักคน มันคงไม่ใช่แค่ว่าเค้าดียอดเยี่ยมรึเปล่า แต่ความรักคือการมองเห็นคนที่มีข้อบกพร่องว่าเค้าก็มีข้อดีที่เยี่ยมยอดอยู่ด้วย” เคี้ยงพูดจากใจ
“เฮียเคี้ยง” กิมฮวยซึ้ง
“อั๊วพูดดีมั้ย” เคี้ยงถามกลับ
“ดีมาก” กิมฮวยชม
“งั้นต้องให้รางวัล”
เคี้ยงยื่นแก้มไปหากิมฮวย ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม กิมฮวยหอมแก้มเคี้ยงด้วยความเขินอาย

เวลาเดียวกันนั้น ที่แผงขายหมูของเต๊กไฮ้
“เอ้อ หมู่นี้อั๊วมัวแต่ง่วนอยู่ที่แผง เลยไม่ได้เดินไปทักทายอากิมฮวยเลยลื้อได้เจออีบ้างรึเปล่า”
เต๊กไฮ้เอ่ยขึ้น
“เจอ อีก็สบายดี สวยขึ้นด้วยนะ” ลักษณ์รู้เรื่องเคี้ยงแต่ยังไม่อยากเล่า เพราะรู้จากกิมฮวยว่าเคี้ยงมีสาวอื่น
“เฮ้ยเป็นไปได้ยังไง ปกติอีรักสวยรักงามซะเมื่อไหร่ เอ๊ะ หรืออีจะมีชู้” เต๊กไฮ้สวนขึ้น
“เฮีย คิดได้ยังไงเนี่ย ลื้อก็รู้ว่าอีรักเฮียเคี้ยงจะตาย” ลักษณ์พูดพลางเอามือฟาดเต๊กไฮ้

ครู่หนึ่งจาตุรงค์เดินหน้ามึนๆมาที่แผง
“ป๊า แม่” จาตุรงค์เรียกเสียงดัง
“ว่าไง มาแบมือของเงินอีกล่ะซิ เมื่อไหร่จะหาการหางานทำซักที” ลักษณ์รู้ทัน
“งั้นผมกลับล่ะ” จาตุรงค์น้อยใจ พูดแล้วจะเดินออก
“เฮ้ยๆ เดี๋ยวซิอาจาตุรงค์ เอ้า จะเอาเท่าไหร่ว่ามา” เต๊กไฮ้รีบหยิบเงินในตะกร้า ลักษณ์มองอย่างเหนื่อยหน่าย
“อีกแล้วนะเฮีย”
“ผมไม่ได้มาเอาตังค์...” จาตุรงค์หันหลังกลับมาอีกครั้ง
“ฮะ” พ่อกับแม่ฟังแล้วต่างแปลกใจ
“ผมแค่จะมาบอกว่าต่อไปนี้ไม่ต้องให้ตังค์ผมอีก” จาตุรงค์บอก
“เฮ้ย” เต๊กไฮ้กับลักษณ์ยิ่งมองหน้ากันงงเข้าไปใหญ่ เพราะแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“เพราะผมได้งานทำแล้ว” จาตุรงค์เอ่ยขึ้น
เต๊กไฮ้กับลักษณ์ได้ยินถึงกับช็อก
“อะไรนะ!”
“ญาติเพื่อนผมเค้ามีบริษัทรับทำอีเวนต์น่ะ ผมก็เลยไปขอทำกับเค้าเป็นจ็อบๆไป” จาตุรงค์เอ่ยต่อ
เต็กไฮ้กับลักษณ์ออกจากหลังแผงมา กอดจาตุรงค์ด้วยความดีใจ
“ไหนหอมที ลูกแม่เก่งจริงๆ”
“งั้นเย็นนี้ต้องไปฉลองกันหน่อยแล้ว” เต๊กไฮ้ว่า
“อย่าเลยป๊า เปลือง ไว้ปิดจ็อบเงินออกผมจะเลี้ยงป๊ากับแม่เอง” จาตุรงค์รีบขัด
“อะไรดลใจให้ลื้อเป็นอย่างนี้เนี่ย นี่ อาลักษณ์ เราต้องบอกเรื่องนี้ให้อากิมฮวยรู้นะ บ้านอีจะได้อุ่นใจว่าอาจาตุรงค์มีการมีงานทำ ไม่ใช่พวกเลื่อนลอยไร้หลักอีกต่อไป รับรองว่าอากิมลั้งฝากชีวิตไว้ได้แน่” เต๊กไฮ้ได้แทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“พอแล้วล่ะป๊า เราอย่าไปยุ่งกับบ้านนั้นเค้าอีกเลย อั๊วเบื่อแล้วที่ต้องคอยยัดเยียดตัวเองให้คนอื่น คนเราจะอยู่ด้วยกันมันก็ต้อง พึงใจกันทั้งคู่ ไม่งั้นก็ไม่มีความสุขไปทั้งชีวิต ผมไปก่อนนะ” จาตุรงค์พูดจบเดินออกไป ปล่อยให้พ่อกับแม่ยืนงงในความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีของจาตุรงค์

ต่อจากนั้น จาตุรงค์เดินออกจากตลาด กิมแชเดินถือถุงโอเลี้ยงเข้ามาพอดี ทั้งคู่เจอกันแล้วต่างคนต่างอึ้งพอจะพูดดันพูดพร้อมกัน
“กิม …/พี่...”
ต่างคนต่างหยุดให้อีกฝ่ายพูดก่อน แต่พอพูดขึ้นมาดันพูดพร้อมกันอีก
“พี่…/ กิม…”
“คือ…/ เอ่อ...”
คราวนี้เลยต่างคนต่างไม่กล้าอ้าปากพูด กิมแชผายมือไปที่จาตุรงค์เพื่อให้พูดก่อน
“กิมแชมาหาน้ากิมฮวยเหรอ” จาตุรงค์ถามขึ้น
“เปล่า วันนี้มาขายของแทนม้ากับเจ้ เค้าติดธุระกัน” กิมแชเอ่ยขึ้น
“งั้นพี่ไม่กวนกิมแชดีกว่า” จาตุรงค์จะเดินออกไป กิมแชตัดสินใจขวางไว้
“พี่ไม่อยากกวน หรือไม่อยากพูดกับกิมแชกันแน่” กิมแชพูดอย่างน้อยใจ
“ทำไมพี่ต้องไม่อยากพูดกับกิมแช” จาตุรงค์ย้อนถามกลับ
“ไม่งั้นตั้งแต่เกิดเรื่อง พี่จะไม่รับโทรศัพท์กิมแชทำไม” กิมแชเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
คือช่วงนี้พี่เพิ่งได้งานน่ะ ก็เลยยุ่งๆ ไม่ค่อยว่าง” จาตุรงค์ตอบทันที
“แต่...” กิมแชจะพูดต่อ แต่จาตุรงค์รีบแทรกขึ้นทั้งที่กิมแชยังไม่ทันพูดจบ
“งั้นพี่ไปก่อนนะ ต้องรีบไปทำงานต่อน่ะ”
จาตุรงค์พูดจบแล้วเดินออกไป กิมแชมองตามน้ำตาคลอเข้าใจผิดคิดว่าจาตุรงค์อยากตีตัวออกห่าง ตั้งแต่เผลอลืมตัวบอกรักไปในวันนั้น

บ่ายนั้น ที่สำนักงานในตลาดร่วมใจเกื้อ พนักงาน 6 -7 คนตั้งหน้าตั้งตาพิมพ์คอมพิวเตอร์ขะมักเขม้น
สดศรีกับณดาเดินตรวจตราอยู่อย่างมุ่งมั่น
“ณดา หนูแน่ใจนะว่าพวกนี้จะทำงานคุ้มค่ากับที่อุตส่าห์เสียเงินจ้างมาพิเศษ” สดศรีถามขึ้น
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะคุณแม่ คนพวกนี้น่ะถนัดเรื่องปล่อยข่าวทางอินเทอร์เน็ตอยู่แล้ว รับรองเห็นผลทันตาแน่ คุณแม่นับถอยหลังรอได้เลย” ณดาเอ่ยอย่างมั่นใจ
“ขอให้มันจริงอย่างนั้น ไอ้ห้างนั่นจะได้เข้าใจซะใหม่ว่าไม่ใช่พวกมันเท่านั้นที่จะเป็นฝ่ายรุก คิดจะแหย่เสือหลับอย่างสดศรี แล้วมันจะได้รู้ดีว่าจะเจออะไร” สดศรีเอ่ยขึ้น
จบตอนที่ 10
อ่านต่อตอนที่ 11 พรุ่งนี้เวลา 09.30น.
 


กำลังโหลดความคิดเห็น