สาวน้อย ตอนที่ ๑๕
“อะไรกัน”
เสียงพระยาธรรมนูญดังขึ้น ช่อผการีบลดมือลงทำตาแป๋วมองไปเห็นพระยาธรรมนูญกับคุณหญิงมะลิก้าวเข้ามา
“เสียงอะไรดังโครมคราม” คุณหญิงมะลิถาม
ลัดดาคลานไปยกกระโถนตั้งขึ้นแล้วยิ้มแห้งๆ
“กระโถนมันล้มเจ้าค่ะ”
พระยาธรรมนูญก้าวมามองนิดใกล้ๆเห็นหนังสือที่ขาดอยู่ในมือ นิดคุกเข่าลงช้าๆ ด้วยสีหน้าขมขื่น
ช่อผกาเข้ากอดแขนคุณหญิงมะลิ
“ยังไง ช่อผกา” พระยาธรรมนูญถาม
“เอ้อ ลูกกำลังเอ็ดนังนิดอยู่ค่ะ”
“ทำไม นิดไปทำอะไรเข้า” คุณหญิงมะลิถาม
“เจ้าคุณพ่อกับคุณแม่ดูซีคะ นังนิดมันกำเริบเอาหนังสือเจ้าคุณพ่อมาอ่าน ลูกแค่ถามดูมันก็ปาหนังสือทิ้งจนขาดวิ่นสิ้นดีค่ะ”
นิดมองช่อผกาแล้วหลุบตาลง พระยาธรรมนูญมองดูท่าทีนิด
“ลูกให้ลัดดาพาไปเรียนเจ้าคุณพ่อ มันกลับอาละวาดถีบลัดดาจนล้มจมกระโถนเลยค่ะ”
“จริงเจ้าค่ะ มันถีบลัดดาสองตี .. เอ้ยสองเท้าเลยเจ้าค่ะ” ลัดดาว่า
พระยาธรรมนูญเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ คุณหญิงมะลิมองช่อผกาอย่างมีแววรู้ทันลูกสาวและลัดดา
ช่อผกาทำหน้าซื่อ คุณหญิงปลดมือลูกสาวเดินไปยืนข้างพระยาธรรมนูญที่มองอย่างครุ่นคิด นิดกำลังประกบหนังสือเข้าด้วยกันอย่างทะนุถนอมกดไว้เป็นรูปเล่ม
“นิด...มีอะไรจะพูดไหม”
“นิดขอประทานโทษเจ้าค่ะที่เอาหนังสือมาดูก่อนท่านจะอนุญาต”
“แล้วที่ช่อผกากับนังลัดดากล่าวโทษเธอเล่า”
ลัดดามีพิรุธ ช่อผกาสะดุ้งกระทืบเท้า
“เจ้าคุณพ่อ นี่เจ้าคุณพ่อว่าลูกใส่ความมันหรือคะ”
“นี่ แม่ช่ออย่าเพิ่งทำเป็นตุ๊กแกกินปูนร้อนท้อง” คุณหญิงว่า
“ว่ายังไงนิด”
“พูดไปซีนังนิด เรียนเจ้าคุณพ่อว่าฉันใส่ความแก”
“คุณช่อผกาเป็นผู้ดี เป็นลูกชาติลูกตระกูล คงไม่มาระรานใส่ความแค่บ่าวในเรือนหรอกเจ้าค่ะ”
ช่อผกาผิดคาดนิดหนึ่งแล้วยิ้มพยัก พระยาธรรมนูญรู้นัยคำพูดของนิดก็ถอนใจ
“นั่นเห็นไหมคะเจ้าคุณพ่อ มันยอมรับออกมาแล้ว”
“แม่ช่อผกา...เธอหุบปากเธอได้แล้ว” พระยาธรรมนูญตวาด
ช่อผกาค้อนขวับถอยไป คุณหญิงมะลิสบตาสั่นศีรษะให้หุบปาก
“แล้วท่านจะว่ากระไรเจ้าค่ะเรื่องแม่นิดกับหนังสือนี่”
ช่อผกาสบตาลัดดา คุณหญิงมะลิมองนิดอย่างมาดร้าย
“หนังสือพวกนี้มีค่ามาก ฉันถึงได้เก็บงำไว้อย่างดี”
คุณหญิงลอบยิ้มนิดหนึ่ง นิดก้มหน้าลง
“แต่หนังสือจะมีค่าจริงๆ ก็เมื่อมีคนมาอ่านไม่ใช่มีไว้เก็บ การที่นิดเอาหนังสือมาอ่านจึงไม่ใช่เรื่องผิดกลับเป็นเรื่องที่ฉันชื่นชมด้วยซ้ำ”
นิดมองพระยาธรรมนูญอย่างซาบซึ้ง ช่อผกา คุณหญิงมะลิผิดคาด
“ส่วนที่หนังสือที่ฉีกขาดเสียหายไปจะเป็นด้วยฝีมือใครก็ตาม”
พระยาธรรมนูญปรายตาดูช่อผกาที่ทำไม่รู้ไม่ชี้
“มันขาดก็ซ่อมได้ไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไร”
นิดก้มลงกราบพระยาธรรมนูญกับพื้น ช่อผกาเกือบเต้น คุณหญิงมะลิถลึงตาให้เงียบไว้ ลัดดาเลิ่กลั่กเพิ่งรู้ว่าเจ็บตัวฟรี
ใต้สะพานในตอนสาย แก้วแต่งตัวเป็นผู้ชายเขียนหนวดเรียวโผล่มาจากหลังกองลังไม้ฉำฉา ห่างออกมามีชายจรจัดมอซอ ๒ คนนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ข้างกายมีขวดเหล้ากลิ้งอยู่ ๒-๓ ใบ แก้วมองอย่างสะท้อนใจ
“ไอ้หนุ่มเอ็งมีเงินบ้างไหมว่ะ” ชายคนแรกถามแก้ว
“ข้าสองคนไม่ได้กินข้าวกินปลามาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
“อ้าว...ก็พี่สองคนเล่นกินยอดข้าวแทนอยู่นี่”
แก้วล้วงกางเกงแบมือออกให้ดู ในมือมีเพียงเหรียญห้าสิบสตางค์ ๒ เหรียญเท่านั้น
“เหลืออยู่บาทนึงพี่สองคนเอาไปสองสลึงก็แล้วกัน”
แก้วดีดเหรียญไปให้เหรียญหนึ่ง ชายจรจัดรับไว้อย่างดีใจ
“ขอบใจเอ็งจริงๆ ว่ะ” ชายคนแรกบอก
“ขอให้เอ็งเจอน้องสาวเอ็งเร็วๆ” อีกคนบอก
แก้วอึ้งไปนิดหนึ่ง
“ว่าแต่ว่า วันนี้เอ็งจะตามหาน้องที่ไหนวะไอ้หนุ่ม”
“พวกผู้ดีมีสตังค์ที่กรุงเทพฯ เค้าอยู่ที่ไหนกันมั่งล่ะ พี่ชาย” แก้วถาม
ถนนย่านการค้าแห่งหนึ่งเมื่อตอนสาย
บุญมานั่งจิบกาแฟอยู่ที่ร้านกาแฟข้างถนน ตาเหล่มองดูสาวๆที่เดินผ่านไปมา สาวบ้าง สะเทิ้นเขินอายบ้าง บ้างก็ค้อนเล่นหูเล่นตา บุญมาส่ายหัวกับตัวเองว่าแบบนี้ไม่ใช่
อนงค์กับรตีช้อปปิ้งถือถุง, กล่องเดินผ่านมา บุญมารีบยกหนังสือพิมพ์บังหน้าข่าวพาดหัววันนี้ “เตรียมการตั้งรัฐบาลใหม่” ทั้งสองเดินผ่านไป
บนถนน อาล็อกกำลังลากรถเจ็กโด่เด่มาคันเดียว ในถนนมีรถยนต์ และสามล้อถีบเป็นส่วนใหญ่ แม่บ้านรูปร่างขนาดผีเสื้อสมุทรโบกมือเรียกรถเจ็ก อาล็อกดีใจแต่เมื่อเห็นลูกค้าก็หน้าเสีย
หน้าร้านเป็ดย่าง ข้างๆ ร้านกาแฟ คนจีนกำลังเอาเป็ดสีแดงอร่ามมาเต็มถาดเตรียมจัดหน้าร้าน แก้วเดินเตร่ไปมา สายตาแก้วมาหยุดที่เป็ดย่าง แก้วลูบท้องแล้วกลืนน้ำลาย
ในถนน อาล็อกวิ่งลากรถแม่บ้านผีเสื้อสมุทรที่นั่งยิ้มเผ่ อาล็อกเกร็งกำลังสุดแรง ผ่านมาถึงหน้าร้านเป็ดย่าง
บริเวณร้านกาแฟ บุญมามองดูสาวสวยนางหนึ่ง ชายท่าทางนักเลงที่มาด้วยเดินเข้ามาจะมีเรื่องกับบุญมา จนบุญมาต้องขอโทษขอโพยบอกว่า ตัวเองเป็นนักเขียนกำลังหาแรงบันดาลใจ
หน้าร้านเป็ดย่าง จีนคนขายยืนมองบุญมากับชายคนนั้นมีเรื่องกันอย่างสนุก พอหมดเรื่องก็หันมาสับเป็ดต่อ แต่เห็นถาดว่างเปล่า จีนขายเป็ดมองไปที่แก้ว แก้วทำไม่รู้ไม่ชี้ มือหิ้วเสื้อนอกเดินกรายออกไป ทันใดก็มีน้ำเป็ดหยดมาจากเสื้อลงพื้น คนจีนร้องสุดเสียงวิ่งไล่ แก้ววิ่งหนีไปทางร้านกาแฟ
แก้ววิ่งมาชนโครมจนกาแฟหกรดเสื้อบุญมาเลอะไปหมด บุญมาคว้าข้อมือไว้ได้ คนจีนขายเป็ดร้องเสียงโหวกเหวกเงื้อปังตอสูง แก้วสะบัดหลุด วิ่งหนีต่อไป
แก้ววิ่งผ่าเข้าไปชนกับอนงค์กับรตีที่เดินออกมาจากร้านค้าล้มคว่ำลงบนแผงแม่ค้าผลไม้ แม่ค้าร้องหวีด แก้ววิ่งหนีไป สองนางโผล่ขึ้นจากกองซาก บนหัวมีผลไม้ประดับบนหมวก บุญมาและคนจีนขายเป็ดวิ่งตามมาเป็นพรวนเพื่อมาเอาเรื่องแก้ว
ตรงบริเวณถนนซึ่งเป็นทางลาดลงสะพาน อาล็อกวิ่งลากรถมาอย่างเร็วด้วยแรงดึงดูด แก้ววิ่งตัดถนนมาแล้วสะดุดล้มลงกลางถนน อาล็อกตาเหลือกโพลง แก้วตกตะลึงแหกปากร้องสุดเสียง อาล็อกพยายามเบรคเท้าตัวเอง แต่แรงส่งของทางลาดทำให้ไม่สามารถหยุดได้ บุญมากับคนจีนขายเป็ดตามมาถึงชูปังตออย่างสะใจ แก้วยังคงแหกปาก รถทั้งคันพุ่งมาใกล้ ในที่สุดอาล็อกก็เบรกกึกลง เท้าอยู่ตรงหน้าแก้วในวินาทีนั้น แรงส่งมหาศาลทำให้แม่บ้านผีเสื้อสมุทรยั้งกายไว้ไม่ได้จนร่างพุ่งหวือข้ามหัวอาล็อกไป
แก้วอ้าปากค้างมองตาม อาล็อก อนงค์ รตีมองตาม บุญมาร้องอุทานหงายหลังหลบ ร่างแม่บ้านผีเสื้อสมุทรตกจูบลงทับคนจีนขายเป็ดจนนอนแบนคล้ายกล้วยทับ ปังตอหมุนคว้างไปตกลงใกล้หว่างขาบุญมา
แก้วลุกพรวดขึ้นชูเอาเป็ดขึ้นมาดูเห็นว่ายังดีอยู่แล้วหันไปมองบุญมาแลบลิ้นหลอก บุญมาชี้หน้าลุกพรวดขึ้น แก้ววิ่งข้ามถนนหายลับไป บุญมามองตามอย่างฝากไว้ก่อน
แก้วนอนอยู่ในวงล้อมของลังไม้ฉำฉาหัวหนุนกระเป๋าเดินทาง มือถือน่องเป็ดแทะกินอย่างเอร็ดอร่อย บนลังวางเจดีย์อัฐิและเทียนไขสว่างวับแวม แก้ววางเป็ดและแกะส้มกินต่อพลางกระดิกเท้า
ทันใดมีเสียงประหลาด แก้วเลิ่กลั่กวางส้มยันกายลุก
“เสียงอะไรน่ะ”
มีเสียงดังมาอีกฟังดูน่าสะพรึงกลัว แก้วหน้าซีด เจดีย์อัฐิทาบเงามหึมาไปบนผนังปูน แก้วพนมมือ
“แม่จ๋า แม่หรือเปล่า ความจริงฉันไม่อยากโขมยเขากินหรอกแต่ฉันหิวจริงๆ”
ลมแรงพัดมาเปลวเทียนวูบวาบ เงาเจดีย์ไหวส่ายไปมา แก้วกลัวจนสีหน้าเหมือนจะร้องไห้
“ทีหน้าทีหลังฉันจะไม่ขโมยเขากินแล้วจ้า”
ทันใดมีอะไรดำๆ ตกวูบลงมาที่ใกล้เจดีย์ดังปุบ เทียนไขล้มดับวูบ แก้วร้องวิ๊ดสุดเสียง
“ฮือ แม่เชื่อฉันเถอะนะ”
แก้วขีดก้านไม้ขีดแล้วควานเทียนไขมาจ่อจุด แสงไฟสว่างขึ้น ดวงหน้าของแก้วอยู่ในระดับลังไม้มีสิ่งหนึ่งอยู่ในระยะประชิด มันอ้าปากแจ๋ร้องดังตัวลายพร้อยหลากสี แก้วร้องสุดเสียงอีกครั้ง
บริเวณห้องโถงชั้นบน หลวงจินดายังคงสอนพิเศษให้ช่อผกาพลางหว่านเสน่ห์ตามเคย ช่อผกาให้ท่าให้ทางหลวงจินดาตามปรกติ ที่หน้าประตู นิดนั่งแอบอยู่คอยฟังคำสนทนา คำศัพท์แล้วจดคำที่ได้ยินเป็นภาษาไทยลงสมุด พระยาธรรมนูญเดินมาจากปีกตึกหนึ่งมองดูนิดอย่างพิศวงแล้วเดาได้ว่าทำอะไร พระยาธรรมนูญยิ้มอย่างพึงใจ
ภายในโถงบ้านธรรมนูญภักดีในเวลากลางคืน
พระยาธรรมนูญ คุณหญิงมะลิและช่อผกาอยู่ที่โต๊ะอาหาร ลัดดาและนิดกำลังเลื่อนสำรับอาหารคาวลง และนำของหวานรวมถึงผลไม้ที่ปอกเรียงไว้อย่างงดงามและกาแฟมาเตรียมเสิร์ฟ
“นี่ขนมอะไรนังคนสวย” ช่อผกาถาม
“ข้าวเหนียวเปียกเจ้าค่ะ”
“หน้าตาน่าเกลียดเอาออกไป ฉันไม่กิน”
“แกนี่นะ เลือกดิบเลือกสุกทุกประการ” คุณหญิงว่า
“ต่ก็ดีกว่ากินไม่เลือกไม่ใช่หรือคะ คุณแม่”
คุณหญิงมะลิค้อนลูกสาว นิดยกขนมไป ลัดดายิ้มเยาะ
“เป็นยังไงบ้างล่ะที่หลวงจินดาสอนพิเศษให้” พระยาธรรมนูญถาม
นิดถอยไปคุกเข่ามองดูแวบหนึ่ง
“แหมดีค่ะ คุณหลวงสอนอะไรหนูตั้งเยอะ”
“ที่สอนน่ะหวังว่าเป็นเรื่องเรียนเท่านั้นนะ” คุณหญิงพูดดักคอ
“คุณแม่หมายความว่ากระไรคะ”
“อ้าว นี่แกก็ใกล้จะสอบแล้วไม่ใช่หรือ น่าจะเรียนเน้นตรงที่สอบก่อนไม่ใช่ไปเรียนอย่างอื่น” คุณหญิงว่า
“อย่างงั้นก็ดีแล้ว มาดูซิว่าเธอเรียนอะไรมาบ้าง How do you do?”
ช่อผกาชะงักงงไปนิดหนึ่ง นิดมองดูช่อผกาตอบ
“I’m fine thank you”
พระยาธรรมนูญขมวดคิ้วตบโต๊ะฉาด จานแก้วดังเปรี่องปร่าง ช่อผกาสะดุ้งสุดตัว ลัดดาเผลอร้องว้าย
“อะไร นี่แค่คำถามแรกก็ไม่ได้เรื่องแล้ว”
“เจ้าคุณพ่อก็มันไม่ใช่หรือคะ”
“ฉันทักทายเธอไม่ได้ถามเธอว่า How are you?”
นิดมองปากขมุบขมิบโดยไม่รู้ตัว พระยาธรรมนูญหันมา
“ไหนนิด” พระยาธรรมนูญเรียก
“เจ้าค่ะ”
“ถ้าฉันถามเธอว่า How do you do? เธอจะตอบว่ากระไร”
คุณหญิงมะลิงงงัน ช่อผกาแปลกใจระคนโกรธเสียหน้า
“อะไรกันคะเจ้าคุณพี่”
นิดกัดริมฝีปากอย่างลังเล ช่อผกาเชิดหน้า
“ต้าย นังคนเซอะจากป่าจากดงมันคงรู้หรอกนะคะ”
“นิด ตอบมาเถอะ How do you do?”
นิดเห็นแววตาพระยาธรรมนูญก็ชั่งใจแวบหนึ่งแล้วตัดสินใจตอบ
“How do you do?”
พระยาธรรมนูญหัวเราะ
“ดีมาก นิด ดีมาก”
คุณหญิงมะลิอึ้ง ช่อผกาผุดลุกขึ้น ลัดดายังงงๆ เพราะว่าไม่ใคร่รู้เรื่องนัก พระยาธรรมนูญพูดเรียบๆ
“คนป่าคนดงที่ใฝ่รู้กับคนกรุงที่ละทิ้งโอกาสใครกันแน่ที่เป็นคนเซอะ”
ช่อผการ้องกรี๊ดลุกขึ้นปาผ้าเช็ดปากลงใส่หัวลัดดาแล้วเดินกระทืบเท้าออกไป พระยาธรรมนูญโกรธแต่ข่มใจไว้ นิดก้มหน้าหนักใจ คุณหญิงมะลิมองนิดอย่างประเมินค่าใหม่
บ้านเนาวรัตน์ตั้งตระหง่าน รถของคุณหญิงมะลิแล่นมาตามถนนเข้าไปยังเทอเรซหน้า ที่ห้องโถงชั้นบนบ้านเนาวรัตน์อันเป็นห้องเครื่องลายคราม พระยากีรติกับคุณหญิงบัวผันและคุณหญิงมะลินั่งอยู่ที่โต๊ะกลาง คุณเฟื่องนั่งบนเก้าอี้ห่างไป สาวใช้เดือนและคนรับใช้พระยากีรตินั่งอยู่ที่พื้น
“ใต้เท้าสบายดีหรือ แม่มะลิ” พระยากีรติถาม
“อุ้ย สบายดีค่ะ ยิ่งเดี๋ยวนี้มีตัดถนนใหม่ๆ ก็ยิ่งชอบนั่งรถเที่ยวไปที่นั่นที่นี่ แล้วนี่เรื่องตั้งรัฐบาลใหม่ เป็นยังไงบ้างคะ”
“เดือนหน้าก็คงจะเรียบร้อยล่ะ”
“นี่หลวงพิบูลก็เพิ่งจะมากินข้าวกันบอกว่าอยากให้เจ้าคุณพี่นั่งตำแหน่งเดิม” คุณหญิงบัวผันบอก
พระยากีรติมีแววภาคภูมิอยู่บนสีหน้าแต่ทำเป็นดุภรรยา
“ฮื้อ ยังไม่มีอะไรแน่นอน อย่าเพิ่งพูดไปน่ะแม่บัวผัน”
“แหม เรื่องการบ้านการเมือง อิฉันไม่ไปพูดต่อหรอกค่ะ เอานี่หลานๆ ไปไหนกันหมดค่ะ” คุณหญิงมะลิถาม
“ตาเสวกไม่อยู่ไปชะอำเป็นเพื่อนพ่อสรรค์”
คุณหญิงมะลิพยักหน้ารับรู้ คุณหญิงบัวผันพูดต่อ
“แต่ยายน้องนะแต่งตัวอยู่ เดี๋ยวคงมา...อย่าบอกนะว่าที่มานี่ จะมาหาแม่สุวลี”
คุณหญิงมะลิยิ้มกลบเกลื่อนไป
ในเวลาต่อมา สุวลีและคุณหญิงมะลิมานั่งคุยกันอยู่อีกมุม เฟื่องคอยดูต้นทางอยู่ไม่ห่าง
“เด็กนั่นเป็นยังไงหรือคะคุณน้า”
“มันมีอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชมากกว่าที่น้าคิดไว้เยอะน่ะซี ตอนนี้น่ะมันแผนสูง มันรู้ว่าท่านเจ้าคุณรักคนใฝ่เรียน มันอ่านหนังสือจบเป็นเล่มๆ กระทั่งมันขโมยเรียนภาษาฝรั่งมังฆ้องจนมันเกือบจะรู้ดีกว่าแม่ช่อแล้ว”
สุวลีหัวเราะเบาๆ แต่แววตาใคร่ครวญ
“ขันจริง .. นี่แปลว่ามันเป็นคนฉลาดไม่ได้โง่ได้ซื่อเหมือนอย่างที่ใครๆคิด”
“มันก็แค่บ่าวในเรือนจะร่ำเรียนเขียนอ่านไปทำไมคะคุณหญิง เฟื่องไม่เข้าใจ”
“ฉันก็ไม่รู้ น้าก็แค่อยากจะมาเล่าให้หนูรู้ไว้”
“อย่ากังวลไปเลยค่ะ คุณน้า .. เด็กนั่น ก็ยังไงก็แค่ลูกไก่ในกำมือของคุณน้า .. ไม่ใช่หรือคะ”
มะลิยิ้มยิ้มรับดวงตาแวววาว สุวลียิ้มนิดๆ หน้ายังคงหวานละมุนแต่ดวงตาแข็งกระด้าง
นิดนั่งอ่านหนังสือศกุนตลาที่ซ่อมแซมเรียบร้อยแล้วอยู่บริเวณริมหน้าต่างที่ดอกไม้หน้าหนาวออกดอกบานสะพรั่ง
“ยิ่งแลดูแหวนแสนรัก ทรงศักดิ์ยิ่งคะนึงถึงโฉมฉาย
ร้อนกลุ้มรุมทั่ววรกายพระฤๅสายคลั่งคล้มกลุ้มกมล”
นิดเงยจากหน้าจากหนังสือ นกคู่หนึ่งบินมาเกาะที่กิ่งไม้คลอเคลียพร่ำพลอดกัน
“พี่เสียมจ๋า สักวันนึงพี่เสียมจะจำศกุนตลาของพี่เสียมได้ใช่ไหมจ้ะ”
บริเวณสถานีรถไฟหัวลำโพงเมื่อเวลากลางวัน สรรค์ เสวก บุญมาเดินมาด้วยกัน ทางด้านหลังตามมาด้วยสมพงษ์ นายไม้ และคนรับใช้ของเสวก คนขับรถพระยากีรติหอบบรรดากระเป๋า รูปสีน้ำมันราว 5-6 ภาพ ชะลอมของฝาก ตามมาเป็นทิวแถว
“ทำไมรีบกลับกันนักวะ” บุญมาถาม
“ก็ไอ้เจ้านี่น่ะซี มันคิดถึงแสงสีจนทนไม่ไหวแล้ว”
“เฮ่ย อย่าพูดถึงพี่เขยในแง่ลบมันไม่ดี” เสวกว่า
“ยัง! แค่ว่าที่ .. ว่าที่พี่เขย” บุญมาบอก
ทุกคนมาถึงที่รถ เสวกบอก
“ไปก่อนล่ะ อยากอาบน้ำเต็มแก่แล้ว”
“เออ เดี๋ยวเย็นนี้จะแวะไปหา”
“แล้วจะบอกคุณน้องให้ แต่ยังไงถึงบ้านก็โทรศัพท์บอกคุณเธอซะหน่อย ป่านนี้คงคิดถึงแกแย่แล้ว”
“เออ รู้แล้ว”
เสวกขึ้นรถแล้วขับออกไป สรรค์หันไปสั่งสมพงษ์
“เอารูปมาใส่หลังรถบุญมานะสมพงษ์ แล้วแกก็ไปกับนายไม้ ฉันจะไปกับบุญมามัน”
“ครับ คุณสรรค์”
รถของสรรค์จอดต่อท้ายรถของบุญมาที่หน้าเทอเรซบ้านโพธิธารา สมพงษ์ ไม้ลงจากรถและขนข้าวขนตามของลงมา บุญมายืนมอง
“ได้รูปมาเยอะเลยนี่หว่า”
“ก็รูปวิวทิวทัศน์ทะเลพื้นๆ ไม่มีอะไรพิเศษ วาดฆ่าเวลา มันไม่มีชีวิตชีวา ไม่มีมนต์ขลังอย่างที่ฉันอยากทำให้ได้”
สรรค์มีแววฝันบางอย่าง บุญมาเข้าใจ สรรค์รำพึง
“ดูเหมือนเทวีแห่งแรงดลใจจะทอดทิ้งฉันแล้ว”
“อย่าว่าแต่แกเลย ท่าทางเทวีแห่งแรงดลใจก็ทิ้งฉันเหมือนกัน ไอ้นิยายเรื่องใหม่ของฉันเงื้อง่ามาครึ่งค่อนปีแล้วยังไม่ลงตัวซะที”
แม่ผินกับบัววิ่งออกมารับ แม่ผินออกอาการเกินกว่าเหตุตามเคย
“คุณหนูขาเป็นยังไงบ้างคะ สบายดีไหม”
“ฉันไปเที่ยวมาก็ต้องสบายดีซี”
“ดูทำท่าเข้าอย่างกับว่าเจ้าสรรค์มันหายตัวไปอีกก็ไม่ปาน” บุญมาว่า
“อะไรนะ”
บุญมานึกได้ว่าต้องปิดเรื่องที่สรรค์หายตัวไป
เปล่าๆ... อ้าว แม่ผิน ช่วย ดูขนของเข้าบ้านก่อนเถอะ”
แม่ผินกระวีกระวาดทำหน้าที่หัวเรือใหญ่ทันทีพลางเดินไปยังสมพงษ์กับไม้
“อ้าว รีบขนของลง รูปวาดคุณสรรค์น่ะเอาขึ้นไปห้องคุณสรรค์เลย เสื้อผ้าใช้แล้วไปหลังเรือน ของเค็มก็เอาไปเรือนครัวเลย ไป”
สรรค์และบุญมาเดินเข้าตัวบ้าน
“ช่วงนี้มีข่าวสารบ้านเมืองอะไรบ้างล่ะ” สรรค์ถาม
“ข่าวใหญ่ก็เรื่องฟอร์มรัฐบาลคิดว่าหลวงพิบูลขึ้นเป็นนายกแน่”
“แล้วข่าวเล็กล่ะ”
“ก็มีโจรขโมยหมวกออกอาละวาดแถวคลองหลอด”
“อะไรนะ โจรขโมยหมวก!”
“ใช่ เดี๋ยวออกจากบ้านแกแล้วฉันว่าจะดูแถวนั้นซักหน่อย”
สะพานข้ามคลองดูปลอดคน แก้วยืนแอบที่บริเวณหัวสะพานโผล่ออกมามองหาเหยื่อที่ใต้สะพาน ร่างหนึ่งเดินทอดน่องมือกางหนังสือพิมพ์เดินอ่านอยู่ ชายผู้นั้นสวมหมวกทันสมัยเนื้อดีมีราคา แก้วตวัดไม้ยาวคล้ายคันเบ็ดมาหย่อนวูบลงไป ที่ปลายเบ็ดมีเชือกผูกอะไรอย่างหนึ่งมันลงใกล้หมวกลงไปเรื่อยๆ
ลมพัดมาหนังสือพิมพ์ลู่มาปิดหน้าชายหนุ่มคนนั้น จังหวะนั้นแก้วก็หย่อนเบ็ดที่ปลายเชือกคือตุ๊กแกสายพร้อยตัวเดิม มันกางตีนทั้งสี่ออกจรดลงบนเนื้อหมวก แก้วดึงเบ็ดวูบขึ้นไป หมวกติดตีนตุ๊กแกลอยหวือขึ้นไป ชายหนุ่มร้องอุทานเบาๆ แต่ดูไม่ตกใจนัก
บุญมา ทิ้งหนังสือพิมพ์ลงแล้วหันไปมองดูหมวกของตนที่กำลังเหมือนปลิวขึ้นบนสะพานข้ามคลอง
แก้วยัดหมวกเข้าอกเสื้อนอกที่ดูหลวมเร่อร่า ยิ้มกริ่มอย่างพอใจ เมื่อหันมาก็เจอกับบุญมาในระยะประชิด แก้วตกใจปล่อยไม้หลุดมือ บุญมามองคันเบ็ดในมือแก้ว
“แกใช่ไหมไอ้โจรตกหมวก”
“เฮ่ย เว้ย แกพูดอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง”
แก้วทิ้งคันเบ็ดจะวิ่งหนี แต่บุญมาคว้าข้อมือแก้วไว้แล้วจ้องหน้าเขม็ง
“เฮ้ย ฉันเคยเห็นแกนี่หว่า แกไอ้เด็กเวรที่ปีนรั้วบ้านเพื่อนฉัน”
“ไม่ใช่ คนนั้นไม่มีหนวด”
“แล้ววันก่อนแกก็วิ่งราวเป็ดย่างจนฉิบหายไปทั้งถนน”
“ฉันเปล่า”
“แล้วแกก็ยังเตะผ่า...”
ยังไม่ทันขาดคำ แก้วก็ยกเข่าผ่าหมากอีก บุญมาร้องโอ้กทรุดลง แก้วขยับหนีแต่บุญมาพุ่งรวบขา แก้วเสียหลักล้ม บุญมาระงับความจุกขึ้นนั่งคร่อม กดแก้วไว้
“ไหน แกเอาหมวกซุกไว้ที่ไหน นี่ใช่ไหม”
บุญมาล้วงเสื้อนอกแก้ว แก้วตาเหลือก
“อย่า อย่าล้วง เดี๋ยวโดน...”
แก้วชะงักคำไว้
“เดี๋ยวโดนอะไร”
บุญมาไม่ฟังจะล้วงเข้าตำแหน่งที่แก้วยัดหมวกไว้ แก้วดิ้น แล้วกระแทกเข่าเข้าที่หว่างขาบุญมาอีกครั้ง บุญมาร้องสุดเสียง ดิ้นลงไปกองกับพื้น ตัวงอ แก้วหัวเราะ เห็นกระเป๋าสตางค์ของบุญมาตกอยู่จึงดึงมาด้วย บุญมามองอย่างฝากไว้ก่อน แก้วยิ้มยียวนแล้ววิ่งปรู๊ดไป
สาวน้อย ตอนที่ ๑๕ (ต่อ)
ภัตตาคารหยาดสวรรค์ในเวลากลางคืน นักร้องสาวออกมาครวญเพลงอยู่บนเวที ที่โต๊ะตัวหนึ่ง บุญมา สรรค์และเสวกนั่งดื่มกันอยู่ มีสาวพาร์ตเนอร์นั่งเคียงตัวเสวกหนึ่งคน เสวกหัวเราะก๊าก
“มันล้วงไปหมดเลยหรือวะ” เสวกถาม
“เออ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวคืนนี้ฉันเป็นเจ้ามือเอง” สรรค์บอก
เสวกพูดกับสรรค์
“ เออ ทำไม แกถึงไม่ไปงานกับคุณน้องวะ”
“งานวันเกิดเพื่อนคุณสุ …ฉันไม่คุ้นสักเลยคน ไม่อยากไปนั่งเป็นเบื้ออยู่คนเดียว”
“เออจริง คุณน้องมีเพื่อนอยู่เต็มพระนครไปหมด” เสวกว่า
บุญมามองสรรค์แล้วถาม
“ตั้งแต่แกหายป่วยนี่ดูเหมือนโรคเบื่อสังคมนายกำเริบขึ้น”
“ฉันไม่ได้เบื่อสังคม...ฉันแค่เบื่อที่จะต้องปั้นหน้ากับคนที่ฉันไม่อยากคบต่างหาก”
“สปีคออฟเดอะเดวิล” บุญมาว่า
“พากษ์ไทยว่า พอพูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา” เสวกบอก
เสวกและบุญมามองไปเห็นธนาและนพเดินยิ้มเข้ามา สรรค์ เสวกลุกขึ้น
“อ้าว คุณสรรค์ คุณเสวกกลับจากชะอำแล้วหรือครับ”
“ครับ”
“ดูเหมือนคุณจะรู้ความเคลื่อนไหวของพวกผมดีจริง”
“ก็แค่คุณสุพูดให้ฟังเท่านั้นแหละครับ”
ธนายิ้มๆ อย่างสุภาพ เสวกไม่พอใจแต่สรรค์กลับไม่ค่อยรู้สึกอะไร
“ไงคุณสรรค์ ออกจากราชการแล้วทำอะไรต่อไป” นพถาม
สรรค์หน้าตึงแล้วฝืนยิ้ม
“กำลังดูๆ อยู่ครับ”
“คุณสรรค์คุณจะรังเกียจไหม ถ้าจะมาทำงานกับผม”
บุญมาซึ่งนั่งฟังอยู่เปรยเบาๆ
“รังเกียจว่ะ”
ธนาทำเป็นไม่ได้ยิน
“งานธนาคารของเรามั่นคง..ดีไม่ดี...เงินเดือนสูงกว่าราชการด้วยซ้ำ” นพบอก
เสวกเป่าลมจากปากนั่งลงอย่างไม่อยากเสวนาต่อไป
“ว่าไงครับคุณสรรค์” ธนาถาม
“งานเกี่ยวกับเงินๆทองๆ ไม่เหมาะกับผมหรอกครับ”
“ทำไมหรือ หรือคุณกลัวจะอดใจไว้ไม่อยู่ไปยักยอกใครเข้า” นพว่า
เสวกกับบุญมาสบตากันแล้วมองนพเป็ฯตาเดียว ธนาเองก็มองนพอย่างปรามๆ
“นพ! พูดอะไร”
“ที่ผมว่าไม่เหมาะกับผมเพราะดูเป็นงานของพวกเสือกินนอนกินค้ากำไรเกินงาม หรือไม่ก็พวกทำนาบนหลังคน”
ธนาอึ้ง นพตาวาว สรรค์ยิ้มนิดๆ
“นี่ คุณว่าใคร” นพถาม
“ว่าพวกหน้าเงินที่นับถือเงินเป็นพระเจ้าไงครับ”
เสวกกับบุญมาร้องเฮชนแก้วเหล้ากัน นพฮึดฮัด ธนาดึงนพไป
“งั้นผมไม่รบกวนแล้ว ขอตัวก่อนครับ”
สรรค์นั่งลง สีหน้ายิ้มกลายเป็นเครียด บุญมาจับความรู้สึกได้ก่อน
“เฮ้ย สรรค์...อย่าไปคิดมากกับคำของคนพรรค์นี้เลย”
ภายในเรือนครัวบ้านธรรมนูญภักดี นิดดูสะสวยผุดผ่องกำลังล้อมวงกินข้าวกับแม่ชื่นและถวิลที่ตั๋งวงใหญ่อยู่หน้าเรือนครัว
“นิดไม่รู้ว่าทำไมคุณช่อถึงได้จงเกลียดจงชังนิดนัก” นิดพูดขึ้น
ชื่นกับถวิลสบตากัน
“นี่ไม่นิดไม่รู้ตัวกระมังว่าแม่นิดเป็นคนสวย” ชื่นบอก
“สวยแบบคนบ้านนอกจะไปสู้สาวชาวกรุงได้ยังไงกันจ้ะ”
“อุ้ย แต่ป้าว่าสู้ได้”
“ไม่งั้นคุณช่อจะอิจฉานิดหรือ” ถวิลว่า
“จริงหรือจ้ะไม่น่าเชื่อเลย เฮ้อ งั้นความสวยนี่...ไม่ได้ดีกับนิดเลย”
“แต่ภายหน้า แม่นิดอาจจะได้ดิบได้ดีเพราะความสวยนี่บ้างก็ได้”
“ขอให้จริงเถอะจ้ะ ยังดีที่ท่านเจ้าคุณกับคุณหญิงท่านเมตตานิด”
ชื่นกับถวิลสบตากันอีก
“ท่านเจ้าคุณน่ะท่านดีแสนดี แต่คุณหญิงน่ะ แม่นิดแน่ใจหรือ” ชื่นถาม
“ทำไมหรือจ้ะ คุณหญิงท่านเป็นยังไงหรือ”
“แหม มันพูดยาก”
ถวิลเหลียวซ้ายแลขวาแล้วลดเสียงพูดลง
“แต่ฉันเคยสังเกตเห็นเวลาที่นิดไม่รู้ตัว คุณหญิงจะจ้องนิดเขม็ง ท่าทางเหมือนคิดแค้นอะไรอยู่ แต่พอนิดมองมาคุณหญิงก็จะทำยิ้มแย้มเหมือนเดิม”
“จริงหรือจ้ะ”
“คุ้มดีคุ้มร้ายแบบนี้ ถ้าให้ข้าเดาก็คือ” ชื่นว่า
“อะไรป้า”
“กำลังคิดเรื่องเสียไพ่ กะวางแผนเอาคืน”
“วู้ยป้า” ถวิลว่า
ชื่นกับถวิลหัวเราะกัน นิดยิ้มด้วยแต่ดวงตาเริ่มระแวงระวัง
ช่อผกานั่งอยู่ตรงข้ามหลวงจินดาที่โต๊ะกลมกลางห้องโถงบ้านธรรมนูญภักดี
“คุณครูขา French bread นี่อะไรคะ”
“ก็ขนมปังฝรั่งเศสไงครับ”
“อ๋อที่ทำเป็นแท่งยาวเอาหนีบรักแร้ไปไหนต่อไหมใช่ไหมค่ะ แล้ว French window ล่ะคะ”
“หน้าต่างฝรั่งเศสที่ยาวจรดพื้นไงครับ”
ช่อผกายิ้มมองตาหลวงจินดา
“แล้ว French kiss ล่ะคะ คุณครู”
หลวงจินดาอึ้งไปแล้วมองช่อผกาอย่างยิ้มกริ่มดวงตาวาว ยื่นมือมากุมมือลูกศิษย์สาว
“แหม ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง .. มันยาก”
หลวงจินดาขยับตัวลุกขึ้นก้าวมาใกล้พลางจ้องตาอย่างมีความหมาย
“งั้นทำให้ดูดีไหมคะ”
ช่อผกาลุกขึ้นๆ ช้ามาประจันหน้า ปากเผยอ หลวงจินดาก้มลงริมฝีปากใกล้จะสัมผัส ที่ประตูที่แง้มอยู่นิดก้าวเข้ามาแล้วชะงักตัวแข็ง หลวงจินดามองเลยมาเห็นนิดก็สะดุ้งโหยงเผลอตัวผลักช่อผกากระแทกนั่งโครมไปบนเก้าอี้
“ว้าย อะไรกันคะคุณหลวง”
หลวงจินดาไม่ตอบบุ้ยบ้ายไป ช่อผกาหันขวับไปเห็นนิดก็หน้าบึ้งลุกพรวดขึ้น
“มาลับๆ ล่อๆ อีกแล้วหรือฮะนังนิด”
นิดก้มหน้าก้าวเข้ามาแล้วนั่งลงกับพื้น
“มีโทรศัพท์ถึงคุณค่ะ คุณช่อ”
ช่อผกาตาโตเพราะยังเห่อโทรศัพท์
“อุ้ยเหรอ จากใคร”
“จากคุณสุพรเจ้าค่ะ”
ช่อผกาทำหน้าเบ้
“เชอะ อ้อคงจะเพิ่งติดโทรศัพท์ได้ล่ะซี ถึงเที่ยวโทรมาหาคนนั้นคนนี้ พวกยาจกตื่นมี”
ช่อผกาเดินตัวปลิวออกไป ชายกระโปรงแทบฝาดหัวนิด เมื่อช่อผกาเดินลับไป นิดก็ลุกขึ้นจะเดินออกไป แต่หลวงจินดาก้าวมาขวางประตู
“เดี๋ยวก่อน นิด”
“คะ”
“ไง เดี๋ยวนี้ยังแอบฟังฉันสอนคุณช่ออยู่อีกหรือเปล่า”
“ไม่แล้วค่ะ คุณช่อห้ามไว้ ท่านเจ้าคุณเลยหาแบบเรียนมาให้ดิฉันแทน”
หลวงจินดามองดูนิดคล้ายจะชื่นชมเด็กขยันเรียน แต่สายตาโลมเลียเกินกว่านั้น
“อ่านจากแบบเรียนจะไปรู้เรื่องอะไรให้ฉันสอนให้ดีกว่า”
“ดิฉันไม่มีเงินทองจ้างคุณหลวงหรอกเจ้าค่ะ”
“โธ่ ใครจะไปคิดเงินทองกับเธอได้ลง ฉันเต็มใจสอนให้เธอเปล่าๆ”
“ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ดิฉันไม่อาจเอื้อมถึงขนาดนั้น”
“โธ่เอ๋ย อาจเอื้อมอะไรกัน”
“ดิฉันทำงานค้างอยู่ ดิฉันขอตัวนะเจ้าคะ”
นิดก้มตัวจะเดินหลีกไป แต่หลวงจินดาคว้าข้อมือไว้
“อย่าเพิ่งซี”
นิดตกใจนิดหน่อยแต่พยายามขืน หลวงจินดาดึงนิดมา
“อย่าเจ้าค่ะ”
“โธ่ ฉันแค่ขอดูมือเธอนิดเดียวแหละ ฉันดูลายมือเป็นนะ”
นิดเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จินดาจับมือนิดดู นิดตัดสินใจไม่ขัดขืน
“ไม่น่าเชื่อเลย เธอนี่มีมือของศิลปินเชียวนะนี่ ถ้าฉันดูไม่ผิดต่อไป...เธอต้องได้ดิบได้ดีแน่ๆ”
โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย หลวงจินดาดึงมือนิดมาลูบ นิดตกใจ
ประตูเปิดออกช่อผกายืนเด่น ลัดดาอยู่ข้างหลัง
“ว้าย นี่อะไรกัน”
ช่อผกาก้าวฉับๆ เข้ามา หลวงจินดาขยับถอย นิดถอยหลังไป
“นังนิด คุณหลวง”
“ไม่มีอะไรซักหน่อย”
ช่อผกามองค้อนขวับแล้วหันมาหานิดเพื่อคุกคาม
“นี่แกให้ท่าให้ทางคุณหลวงใช่ไหม”
“ดิฉันเปล่าเจ้าค่ะ”
“ต้องใช่แน่เจ้าค่ะ” ลัดดาสอดขึ้น
“ต้าย นี่ฉันลงไปแค่อึดใจ แกก็ล่อลวงให้คุณหลวงจูบมือแล้ว นี่ถ้าฉันลงไปนานกว่านั้น”
“มันคงล่อคุณหลวงเข้าในที่ลับแน่เจ้าค่ะ” ลัดดาสอพลอ
“ไม่จริงนะเจ้าคะ”
“ไม่ต้องมาลอยหน้าตอแหล นี่แน่ะ”
ช่อผกาตบฉาดจนนิดหน้าสะบัด นิดนิ่งหันมามองช่อผกาอย่างดูแคลน ช่อผการ้องกรี๊ด เต้นเร่าๆ
“นี่แกกล้ามามองหน้ากินเลือดกินเนื้อฉันหรือ”
ช่อผกาตบนิดนิดซ้ำแล้วผลักจนนิดเซทรุดนั่งพับเพียบ หลวงจินดาเข้ายุดมือช่อผกาที่ร้องร้องวี๊ดๆ คุณหญิงมะลิก้าวเข้ามาถาม
“นี่อะไรกันหยุดเดี๋ยวนี้นะ”
“นังนิดค่ะ นังนิด นังนิดมันทำมารยาสาไถยให้คุณหลวงจูบมือ”
“แน่ใจหรือแม่ช่อ ไม่ใช่คุณหลวงไปรุ่มร่ามกับแม่นิดเข้าก่อนนะ”
“โธ่ คุณหญิง”
“ฮึ คุณหลวงคงไม่ชอบไปเกลือกกลั้วกับโคลนตมหรอกค่ะ”
“ว่าได้หรือ เอาเถอะๆ พอกันซะที อย่าเอะอะไปให้อายคนเลย แม่นิดไปรอท่านเจ้าคุณข้างล่าง แม่ช่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว”
นิดคลานออกไป ช่อผกามองค้อนแม่กับหลวงจินดา แล้วเดินปึงๆไปอีกทาง คุณหยิงมะลิมองจินดา
“ส่วนคุณหลวง คงต้องคุยอะไรกับฉันหน่อยแล้วล่ะ”
คุณหญิงมะลิมองหลวงจินดาอย่างไว้ตัวด้วยสายตาตำหนิกำราบจนหลวงจินดายิ้มแหย
แสงยามเย็นทอดเข้ามาทางช่องหน้าต่างเป็นลำยาวทาบทับลงบนร่างนิดที่นั่งพิงฝาห้องห้องนอนที่อยู่ นิดดวงตาแห้งผากมีแววขมขื่นระคนเจ็บแค้น นิดข่มความรู้สึกไม่สะอื้นไม่คร่ำครวญแต่น้ำตาก็รินไหลไม่ขาดสาย
ที่ตั่งใหญ่ ป้าชื่นกับถวิลนั่งเย็บกระทงเล็กๆ แบบง่ายๆ อยู่ 2-3 ใบอยู่ที่เรือนครัวเมื่อตอนกลางวัน
“แปลกนะ อยู่ดีๆ คุณหญิงก็ใจดี ปล่อยให้พวกเราไปเที่ยวลอยกระทงได้ตั้งแต่หัววัน”
“อ้าว แล้วปีก่อนละป้า”
“ก็ต้องรอตั้งสามสี่ทุ่มถึงค่อยแอบย่องออกไปน่ะซี”
ชื่นวางกระทงที่ยังไม่ประดับดอกไม้ในมือลง
“ใบนี้ให้แม่นิดก็แล้วกัน”
“สงสารนิดมันนะป้า ถูกนัง เอ้ย คุณช่ออาละวาดเอาขนาดนั้น”
“แต่ก่อนน่ะแค่ริษยาที่มันสวยแต่ตอนนี้กลายเป็นเรื่องหึงหวงแล้ว”
“อีตาคุณหลวงน่ะหรือป้า คนอะไรเจ้าชู้บรรลัยวายป่วง”
“หา ยังไง นังหวิน”
“ขนาดฉันหน้างอกออกผี วันก่อนฉันขึ้นไปเก็บผ้า ก้มลงหยิบตะกร้ามันยังมองลอดเสื้อฉันเลย ตอนฉันออกมาก็มองก้นฉันอีก”
“เฮ้อ แล้วนิดมันจะไม่โดนได้ยังไง้ .. สงสารมัน”
นิดกำลังนั่งบี้แป้งเม็ดกับฝ่ามือแล้วเอาลูบไล้ใบหน้าที่โต๊ะเล็กมีกระจกเงาพิงอยู่ นิดหยิบกล่องแหวนของสรรค์มาเปิด แหวนพลอยทอประกายวูบวับ
“พี่เสียมจ๋า พี่เสียมเห็นแหวนแล้วจะจำนิดได้เหมือนท้าวทุษยันต์ใช่ไหมจ้ะ”
สรรค์แต่งตัวหรูหราเดินลงบันไดมา สมพงษ์เดินตาม เสียงพระชาญชลาศัยดังขึ้นมา
“พุทโธ่ ฉันแก่ปานนี้แล้วจะให้ไปเที่ยวงานลอยกระทงทำไม”
ที่ห้องโถงพระชาญชลาศัยคุยกับมารศรีอยู่ที่โซฟา
“แหม ก็ไปขอขมาลาโทษพระแม่คงคาไงคะ”
“ฉันไม่เคยไปลบหลู่พระแม่คงคานี่”
มารศรียิ้มหวานหางตาเห็นสรรค์เดินเข้ามาทางด้านหลังพระชาญชลาศัย มารศรีจงใจพูดเสียงดัง
“แต่อาจลบหลู่พระสมุทรนะคะ”
“เธอพูดอะไรของเธอ”
“ก็คุณพระทำให้ลูกสาวท่านคนนึง ต้องมาตกระกำอยู่ในพระนครนี่ไงคะ”
พระชาญชลาศัยเพิ่งรู้ว่าตกกับดักมารศรีเมื่อสรรค์เดินเข้ามา คุณพระชะงักคำพูด มารศรีมองสรรค์ที่ตีสีหน้าเรียบเฉยแล้วขยับลุก
“งั้นดิฉันกลับเรือนก่อนนะคะ”
สรรค์มองเห็นมารศรีไม่มีแววประชดก็ใจอ่อนลง แต่ก็ยังคงเรียบเฉยและพูดอย่างธรรมดา
“ไม่ต้องไปหรอก เธออยู่เป็นเพื่อนคุณพ่อก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันก็ออกไปแล้ว”
มารศรีตาโตกับท่าทีสรรค์แล้วลังเลนิดหนึ่งก่อนจะก้มศีรษะขอบคุณ พระชาญชลาศัยยินดีที่สรรค์ไว้หน้ามากขึ้น
“เดี๋ยวสุวลีจะมารับแกหรือ ทำไมไม่เอารถแกไป”
“คุณสุกำลังเห่อรถใหม่น่ะครับ ท่านเจ้าคุณซื้อให้นายเสวก แต่คุณสุชอบ นายเสวกเลยยกให้เอารถคุณสุไปใช้แทน”
มารศรีอดไม่ได้
“ท่าทางคุณสุวลีคงเป็นคนที่ .. อยากได้อะไรเป็นต้องได้ใช่ไหมคะ”
สรรค์รู้ว่าโดนแขวะ แต่อีกใจก็เห็นด้วยกับคำพูดของมารศรี คุณพระมองมารศรีอย่างปราม
“ไม่เอาน่า”
สรรค์มานั่งลง แม่ผินถือกระทงมาสองใบเต็มสองมือเป็นกระทงเย็บอย่างประณีตใช้ดอกกุหลาบดอกใหญ่ประดับ บัวเดินตามมา
“คุณหนูขา แม่ผินเตรียมกระทงไว้ให้คุณหนูกับคุณหนูสุวลีแล้วนะคะ”
แม่ผินเพิ่งเห็นมารศรีนั่งอยู่ด้วย
“ต๊าย ทำไมยังลอยหน้าเสนอนวลอยู่”
แม่ผินหลุดปากล้ำเส้นจนพระชาญชลาศัยโกรธ แต่มารศรียิ้มยั่ว
“ฉันน่ะเสนอนวลจริงแต่ไม่ได้ลอยหน้าซักหน่อยนะ แม่ผิน”
“แม่ผิน พูดอะไร”
แม่ผินเลิ่กลั่กนิดหนึ่งก็แก้ได้เพราะไวปัญญา
“อิฉันว่านังบัวต่างหากคะ”
บัวมองสบตากับสมพงษ์แล้วเอานิ้วชี้อกตัวเอง - เหรอ
“หล่อนน่ะแหละย่ะ ฉันถือกระทงมาเต็มสองมือจะช่วยรับช่วยถือก็ไม่มี มัวแต่ลอยหน้า เส้นมือฉันจะพลิกอยู่แล้ว”
บัวรับคำเข้ารับกระทง แม่ผินค้อนมารศรีจนคอเคล็ด
ที่เรือนครัวบ้านพระยาธรรมนูญในเวลาเย็น ลัดดาดึงเสงี่ยมมานั่งด้วย ชื่นกับถวิลเบื่อน้ำหน้า เสงี่ยมกินอะไรเล็กๆน้อยๆ รองท้อง
“ไอ้เหงี่ยมแกจะไปลอยกับฉันที่ไหนดี”
“ที่ปากน้ำไหมจะได้ลอยให้ออกทะเลไปเลย”
“นี่...ฉันไม่ใช่เถ้ากระดูกผีนะ”
ชื่นกับถวิลกลั้นหัวเราะ ลัดดามองค้อนทั้งผัว ทั้งเพื่อนคนใช้
“นั่นทำเผื่อนังนิดด้วยหรือ โถมันจะแบกหน้าไปไหนได้ถูกตบขนาดนั้น คงจะหน้าบวมไปแล้วกระมังขนาดนี้”
ลัดดาอ้างปากค้างเมื่อนิดก้าวมา เสงี่ยมช้อนหลุดจากมือ ชื่นกับถวิลหันมาดู
“แม่คุณ” ชื่นอุทาน
“สวยเหลือเกิน” ถวิลว่า
นิดยืนใส่ซิ่นผืนงามกับเสื้อที่ใส่ในงานแต่งงาน มีผ้าพันคอบางคล้องคอ ใบหน้างามแอร่มเฉิดฉายด้วยความหวังบางอย่าง แหวนพลอยในมือวูบวับจับตา
พระจันทร์ดวงกลมโตโผล่ขึ้นจากทิวไม้
ภายในบ้านโพธิธารา ในเวลาเดียวกัน พระชาญชลาศัยย้ายมานั่งที่โต๊ะกินข้าว มารศรีนั่งอยู่ข้างๆ สรรค์ยืนหมุนหาคลื่นวิทยุจนเจอสถานีที่เปิดเพลงจึงเดินมาที่โต๊ะกินข้าว
“สรรค์พ่อลองไปคุยๆ กับคุณพระปลัดเรื่องแกกลับเข้าทำงานน่ะ ความจริงยังเป็นไปได้นะ”
“แต่ว่าผมต้องกลับไปนับหนึ่งใหม่น่ะหรือครับ”
“โธ่ เวลาผ่านไปยังกะติดปีกบินแบบนี้ แค่ปีครึ่งปีแกก็กลับไปนั่งตำแหน่งเดิมได้แล้ว”
“ไปเป็นลูกน้องของอดีตลูกน้องผมน่ะหรือครับ”
พระชาญชลาศัยถอนใจยืดยาวแต่ไม่หมดความพยายาม
“บ้านเราน่ะรับราชการสนองพระเดชพระคุณมาตั้งแต่สมัยต้นกรุงจะให้มาสิ้นสุดแค่ฉันแค่นั้นหรือ”
“แต่ตอนนี้งานราชการสนองดูเหมือนจะไปสนองคุณนักการเมืองมากกว่านะครับ”
“แล้วแกจะไปทำอะไร ไปเป็นศิลปินหรือ ไอ้งานขายรูปน่ะมันไม่มีเกียรติมีศรีอะไรหรอกนะ”
พระชาญชลาศัยเริ่มขึ้นเสียง มารศรีมองแล้วถอนใจ
“เหมือนกับงานขายเสียงของดิฉันใช่ไหมคะ”
“เธอมาเกี่ยวอะไรด้วย”
สรรค์มองดูมารศรีที่พูดยิ้มๆ แต่ดวงตาขุ่น
“เปล่าหรอกคะ ดิฉันแค่สงสารบรรดาคนทำมาหากินทั้งหลายที่ไม่มีค่าอะไรเลยในสายตาคุณพระ”
“นี่เธอ...”
แม่ผินยิ้มร่าเข้ามาตามมาด้วยสุวลีในชุดหรูเรียบมีเพชรแพรวพราว บัวตามมาคุกเข่าดูสุวลีอย่างหลงใหล พระชาญชลาศัยกับสรรค์ลุกขึ้นยืนต้อนรับ
“คุณหนูสุวลีมาแล้วค่ะ”
สุวลียกมือไหว้ พระชาญชลาศัยรับไหว้
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ได้ยินเสียงรถเลย”
“รถคันใหม่น่ะค่ะ เสียงเครื่องยนต์เบากว่าคันเก่ามาก”
สรรค์ยิ้ม สุวลียิ้มรับแล้วเบือนสายตาไปที่มารศรีแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่า “แม่นี่มาอยู่นี่ได้ยังไง”
มารศรีลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า
“แหม คุณสุวลีมาได้จังหวะพอดี เรากำลังพูดเรื่องเกียรติกันอยู่”
สุวลีมองดูพระชาญชลาศัยและสรรค์แล้วพูดลอยๆกับสรรค์มากกว่าจะตอบมารศรี
“กำลังคุยธุระกันอยู่หรือคะ”
“ไม่มีอะไรหรอกสุ คุยกันเรื่องผมทำอะไรต่อไปเท่านั้นแหละ สุเข้ามาทำให้ห้องนี้สว่างไสวไปหมด”
“จนดิฉันแทบตาบอดไปแน่ะคะ” มารศรีต่อประโยคให้
พระชาญถลึงตาใส่ มารศรีทำหน้าซื่อ สุวลีทนไม่ไหวก้าวมาและยอมลดตัวมาต่อปาก
“เพราะอะไรหรือ”
“เพราะความงามกับแสงเพชรไงคะ”
“งั้นหรือ คิดว่าเพราะความอิจฉาและริษยาเสียอีก”
แม่ผินกลับเข้ามาเอาน้ำส้ม น้ำเย็นมา
“คุณหนูสุวลีรับประทานน้ำเสียก่อนนะคะ อ้อ แล้วนี่กระทงค่ะ อิฉันทำกระทงไว้ให้”
“หรือจ๊ะ ขอบใจ”
“ไป เดี๋ยวอิฉันเอาไปไว้ที่รถให้”
แม่ผินคว้ากระทงจากโต๊ะเล็กเดินออกไปหน้าบ้าน
“เราจะไปดูหนังกันต่างหากค่ะ สรรค์”
“แต่เราแวะไปดูงานซักหน่อยก็ได้นี่ น่าสนุกออก”
“ไม่ดีกว่าค่ะ สุไม่ชอบไปเบียดเสียดสีกับคนอื่น”
“ค่ะ ยิ่งกับชาวบ้านไม่มีเกียรติมีศรีแบบนี้ด้วย”
มารศรีพูดกระทบทั้งสุวลีและพระชาญชลาศัยที่มองตาเขียว
สรรค์มองหน้ามารศรีเป็นเชิงว่า ฉันยอมให้อย่ามากไปกว่านี้ มารศรียิ้มทำหน้าซื่อ สุวลียิ้มแต่ดวงตาดุ
“ไปกันเถอะค่ะสรรค์ อย่าเสียเวลากับ...เรื่องไม่เป็นเรื่องเลย”
บริเวณหน้าบ้านโพธิธารา ผ้าพันคอของนิดปลิวไสวในลมยามค่ำ ในมือมีกระทงเปล่าที่ปักธูปเทียนไว้แต่ยังไม่มีดอกไม้ ประตูรั้วบ้านโพธิ์ธาราเปิดออก รถสุวลีแล่นออกมา นิดแอบเข้าหลังเสาไฟฟ้ามองดูเห็นสุวลีชัดเจนแต่ไม่เห็นสรรค์ รถนั้นแล่นเลยไป
นิดก้าวมามองเมียงเข้าไปในรั้วบ้าน เห็นรถของสรรค์ยังจอดอยู่ก็ใจชื้นพลางมองชะเง้อชะแง้ ประตูบ้านเปิดออกอีก มารศรีก้าวออกมาอย่างอึดอัดขัดใจ
“คุณมารศรี”
“นิดเองหรือ”
“พี่เสียมกลับมาจากชะอำแล้วใช่ไหมจ๊ะ”
“กลับมาได้สี่ห้าวันแล้ว”
“วันนี้ลอยกระทง คุณว่า...”
มารศรีถอนหายใจอย่างสงสาร
“คุณสุวลีมารับออกไปดูหนังเพิ่งออกไปเมื่อกี้เอง”
นิดผิดหวังอย่างรุนแรง
“หรือจ๊ะ”
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าไปดูโรงไหนเรื่องอะไร เธอคงกะว่าจะได้เจอสรรค์ที่งานลอยกระทงล่ะซีท่า”
“ค่ะ .. ถึงไม่ได้เห็นหน้าแค่ได้รู้ว่าได้ลอยกระทงร่วมกันก็ยังดี”
มารศรีมองนิดอย่างสะเทือนใจแล้วไม่พูดอะไรแล้วเดินกลับไป นิดยืนนิ่งงันอยู่ ความผิดหวังพุ่งขึ้น
ดวงจันทร์กลมโตอยู่กลางฟ้า ต่ำลงมามีพลุเล็กๆ ระเบิดแตกกระจายไม่ขาดสาย
ถนนเล็กแคบดูยาวเหยียด แสงไฟจากเสาส่องมาเป็นระยะ ในถนนค่อนข้างว่างวาย เพราะเป็นเวลาเกือบห้าทุ่ม ผู้คนอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวกันหมด นานๆ จึงมีคนผ่านมา
มีรถสามล้อคันหนึ่งผ่านมา หนุ่มสาวบนรถนั่งอิงแอบกัน นิดมองตาม เมื่อหันมาเดินต่อก็เห็นหนุ่มสาวอีกคู่เกี่ยวก้อยกันเดินพร่ำพรอดสวนมา
นิดเดินมาตามถนน มือถือกระทง ใบหน้าหมองเศร้า เท้าก้าวเดินไปเรื่อยๆ แบบไม่รู้ทิศทาง ลมแรงพัดผ้าพันคอบางเบากระพือไหวแทบจะปลิวไปตามลม
บริเวณสวนสาธารณะที่มีการจัดงาน ในสระใหญ่มีกระทงลอยอยู่ แสงเทียนสว่างพร่างพราว แต่ผู้คนที่มาลอยไม่มากนัก เพราะจะมีกลุ่มที่รอลอยกระทงตอนเที่ยงคืน ความงดงามเบื้องหน้าไม่ทำให้ใจแช่มชื่นขึ้น นิดก้าวไปแล้วนึกได้ว่ากระทงยังไม่มีดอกไม้
ที่พุ่มไม้อันไม่ได้รับการดูแลนัก มีดอกหญ้า วัชพืชและต้นไม้บางต้นมีมีดอกบานอยู่ บนพุ่มไม้มีเถาพวงชมพูสะพรั่ง นิดย่อตัวลงค่อยๆ เด็ดมันอย่างทะนุถนอม แหวนพลอยทอประกายวูบวับ
กระทงใบน้อยถูกวางด้วย ดอกบานเย็น ดอกหญ้า และดอกพวงชมพูดูงดงามแปลกตา นิดมองดูมันแล้วยิ้มเศร้าๆ
ที่ข้างสระน้ำเป็นดินลาดค่อนข้างชัน นิดถือกระทงอยู่ในมือก้าวเดินลงไปอย่างระมัดระวัง แต่ร่างก็โงนเงนไปมา มือนิดประคองกระทงไว้มั่น ลมแรงพัดมาอีก ผ้าพันคอเบาบางปลิวไสว แหวนพลอยในมือกระทบแสงไฟ แสงเทียน และแสงจันทร์ ทอประกายวาบขึ้นดูน่าอัศจรรย์
เท้านิดเหยียบบนดินลื่นเป็นเทือกจากฝีเท้าคนที่มาก่อน นิดเซซวนจะล้ม แต่สองมือกลับประคองกระทงไว้มั่น
ร่างสูงใหญ่ก้าวมารับนิดไว้ทัน นิดตกใจเอียงกายอยู่ในอ้อมแขน แล้วมองดูร่างสูงนั้น ใบหน้าสรรค์มองลงมาอย่างมีน้ำใจ นิดเบิกตากว้างตะลึงตะไล
“พี่เสียม”
จบตอนที่ ๑๕
สาวน้อย ตอนที่ ๑๖
ก่อนหน้านี้ รถยนต์ของสุวลีแล่นมาตามถนน คนขับรถแต่งเครื่องแบบนั่งขับรถไปอย่างระมัดระวัง ที่เบาะหน้ามีกระทงสองใบของแม่ผินวางอยู่ ทางตอนหลังสรรค์นั่งกุมมือสุวลีที่เอียงซบไหล่สรรค์ ดวงตาสดใส สรรค์มองตอบด้วยแววตาซาบซึ้ง
“หนังสนุกดี การ์โบ (๑)ก็สวยจังนะคะ สรรค์”
“ไม่เห็นสวยเลย”
สุวลีขมวดคิ้ว สรรค์พูดต่อ
“เปรียบกับสุแล้ว แพ้สุราบคาบ”
“แหม ขวางจริง สรรค์นี่”
สุวลียิ้มค้อนสรรค์นิดหนึ่ง
พลุลูกย่อมๆ ระเบิดขึ้นกลางฟ้าแล้วกระจายตัวทาบลงบนกระจกหน้ารถ ภายในรถสรรค์เอียงตัวมองลอดหน้าต่างรถเพื่อดูพลุ
“ที่นี่ก็มีงานด้วยเราลงไปลอยกระทงกันหน่อยดีไหมจ้ะ สุ”
สุวลีไม่พอใจนัก แต่ก็ยอมตามใจด้วยใบหน้ายิ้มละไม
“ตามใจสรรค์ซีคะ”
รถของสุวลีเข้าจอดเทียบบาทวิถี
ภายในสวนธารณะมีคนบางตา บ้างก็กำลังกลับ สรรค์ถอดเสื้อนอกทิ้งไว้ในรถเดินเคียงมากับสุวลีที่ดูหรูหราจนโดดเด่นออกมาจากผู้คน คนขับรถถือกระทงกุหลาบทั้งสองใบเดินมา สรรค์มีทีท่าปลอดโปร่ง สุวลีนั้นมีอาการเย็นชาไว้ตัวนิดๆ เพราะรู้สึกแปลกที่ผู้คนชั้นกลางและล่างที่เดินสวนมามองสรรค์และสุวลีเป็นตาเดียว
“คนไม่มากเท่าไหร่คงจะเป็นเพราะดึกมากแล้ว”
“ค่ะ”
“ลงไปที่สระกันดีกว่าจ้ะ”
ทั้งคู่มาหยุดที่แนวถนนซึ่งเป็นเนินหญ้าลาดลงไปถึงสระที่ลอยกระทงกัน สรรค์จับมือสุวลีก้าวเดินไป
“อุ๊ย”
ทั้งคู่ชะงัก ร้องเท้าส้นแหลมของสุวลีจมลงไปในดินอ่อน สุวลีเซซวน
“แย่จริง จะทำยังไงดีสุหรือว่าสุไม่ต้องลงไป” สรรค์บอก
สุวลีอารมณ์เสียแต่ก็ระงับไว้ ยิ้มอย่างคนไม่เรื่องมาก
“แหม มาแล้วทั้งที สุมีรองเท้าแตะในรถ”
สุวลีหันไปสั่งคนขับรถ
“นี่ เธอไป... พาฉันกลับไปเปลี่ยนรองเท้าหน่อย สรรค์ รออยู่นี่ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวสุไปกับคนรถเอง”
สรรค์พยักหน้า สุวลีเดินกลับไปกับคนขับรถ
เมฆฝนบนฟ้าบดบังดวงจันทร์ไว้
สรรค์มองดูรอบๆ แล้วมือล้วงกระเป๋ากางเกงดึงกลักไม้ขีดขึ้นมาดูแล้วมองไปที่ริมสระก็เห็นสาวร่างน้อยแบบบางกำลังถือกระทงยืนอยู่มีผ้าพันคอคลุมผมด้วย ห่างออกไปมีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังลอยกระทง สรรค์มองดูอย่างธรรมดาไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก
ทันใด ลมแรงพัดมา เสียงใบไม้ไหวเสียงกระดิ่งลมดังวิเวกหวานคล้ายมีเสียงดนตรีประหลาดดังแว่วมา
เมฆฝนเคลื่อนออก ดวงจันทร์เต็มดวงทอแสงเจิดจ้า
ในพริบตานั้น ภาพตรงหน้าพลันเปลี่ยนไป ผ้าพันคอที่ร่างน้อยนั้นปลิวไหวคล้ายหมอกควัน มือที่ยกขึ้นกดผ้าไว้เกิดแสงสะท้อนสว่างวูบวาบ เจิดจ้า แล้ววูบดับเป็นระยะราวแสงจากประภาคาร
สรรค์มองภาพนั้นอย่างพิศวงดื่มด่ำในบรรยากาศทั้งหมด เท้าก้าวลงเดินไปริมน้ำ
สรรค์ก้าวไปใกล้ ร่างน้อยตรงหน้าขยับก้าว ผ้าพันคอปลิวไหว สรรค์ก้าวไปอีก ทันใดร่างแบบบางนั้นก็เซเหมือนจะเอนล้ม สรรค์ก้าวไปรับตัวไว้ทัน สรรค์มองดู เห็นสาวน้อยในวงแขนหลับตาอย่างตกใจ แล้วลืมตาขึ้น สรรค์มองดูเห็นเป็นเด็กสาวชาวบ้านหน้าตาหมดจดแต่ดวงตาโตงดงาม แล้วดวงตานั้นก็เบิกกว้างตะลึงตะไล
“พี่เสียม”
สรรค์มองดูอย่างงงๆนิดหนึ่ง แล้วค่อยๆประคองให้นิดยืนตรง นิดใจเต้นไม่เป็นส่ำมองสรรค์อย่างไม่เชื่อสายตา ความรู้สึกนานาประดังประเดขึ้นมา นิดพูดแผ่วเบา
“พี่เสียม”
สรรค์มองดูนิดด้วยดวงตาอันว่างเปล่า จำไม่ได้แม้แต่ว่า นิดคือหญิงสาวชาวบ้านที่มากับพระชาญชลาศัยที่โรงพยาบาลเมื่อ 2 เดือนก่อน มีแต่ความแปลกใจกับท่าทีนิด ท่าทีนั้นทำให้นิดรู้ว่า ควรระงับท่าที จึงถอยห่างแต่หน้ายังซีด ตัวสั่นน้อยๆ สรรค์ขมวดคิ้ว
“อะไรกันทำไมเธอต้องตกใจขนาดนั้น”
นิดระงับความรู้สึกอย่างสุดความสามารถ
“เปล่าค่ะ เพียงแต่คุณเหมือนคนที่ฉันรู้จัก”
“เขาคงชื่อเสียมซีนะ”
นิดยิ้มอย่างขมขื่นบอก
“ค่ะ ขอโทษนะคะที่ฉันจำคนผิด”
“ไม่เป็นไร คนเราบางคนมีอะไรคล้ายๆ กันจนทักผิดเป็นเรื่องธรรมดา”
นิดยิ้มขื่นๆ มองสรรค์และมองเลยไปทางด้านถนน
“คุณมาจากไหนกันคะ เมื่อกี้ดิฉันไม่เห็นมีใครแถวนี้เลย”
สรรค์ยิ้มนิดหนึ่งมองดูที่มือนิดแล้วเห็นแหวน
“ก็เพราะแหวนในมือเธอนี่ไง เมื่อกี้ฉันอยู่บนนู้น แหวนเธอส่องประกายจ้าจนฉันต้องเดินมาดู แล้วก็เลยทันรับเธอไว้พอดี”
นิดยิ้มอย่างปลื้มใจ ดีใจ และขอบใจแหวนในมือ สรรค์ก้มดูแหวน
“แหวนเธองามมาก”
“พี่เสียมเป็นคนให้ฉันค่ะ”
“เขาเป็นใครหรือ”
“เขาเป็นสามีของดิฉันค่ะ เขาเพิ่งตายจากฉันไป...เมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมานี่เอง”
สรรค์มองนิดอย่างเห็นใจ
“ฉันเสียใจด้วย คืนนี้ เธอก็เลยต้องมาลอยกระทงคนเดียวสินะ”
“ฉัน...ฉัน”
นิดรู้สึกสับสน ตื้นตัน สรรค์เหลือบไปข้างหลัง
“อ้อ นั่นคู่หมั้นฉันมาแล้ว”
นิดผวารู้สึกเหมือนมีสายฟ้าฟาดลงมา สรรค์ไม่ทันสังเกต
“ฉันขอตัวก่อนนะ”
สรรค์ไม่ได้ร่ำลาเพราะคิดว่านิดยังคงอยู่ตรงนี้ สรรค์เดินย้อนขึ้นไป นิดมองสรรค์แล้วเบือนสายตาไปที่สุวลีที่ยืนเด่นอยู่เบื้องหลัง
สุวลีมองลงไปเห็นนิดยืนอยู่เป็นเงาดำ ผ้าพันคอไหวตามลมก็ขมวดคิ้วและรู้สึกแปลกใจมากกว่ารู้สึกอย่างอื่น สรรค์ขึ้นมาถึงพอดี
“เมื่อกี้ สรรค์อยู่กับใครหรือคะ”
สรรค์จับมือสุวลีพาเดินลงมาพลางพูดไปด้วย คนขับรถถือกระทงตามมาติดๆ
“ผู้หญิงชาวบ้านน่ะสุ .. อ้าว หายไปไหนแล้ว”
สรรค์และสุวลีมองลงไปก็ไม่เห็นนิดยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว
“เขาทักคนผิดน่ะสุ บอกว่าผมเหมือนคนที่เขารู้จัก”
“ตายจริง คิดว่ามีแต่ผู้ชายใช้ลูกไม้นี้กับผู้หญิง”
“ไม่หรอกสุ เขาดูซื่อๆ พูดตรงๆ ไม่มีอะไรปิดบัง”
“คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจหรอกนะคะ”
สรรค์และสุวลีมาถึงริมน้ำ สรรค์ล้วงกลักไม่ขีดมาจุดธูปเทียนในกระทงที่คนขับรถถืออยู่ ตามองดูรอบๆ บริเวณ เห็นแต่ต้นไม้ใหญ่ ไม้พุ่มแต่ไม่มีวี่แววของนิด
แสงเทียนมลังเมลืองขึ้นควันธูปลอยเป็นสาย สรรค์ส่งกระทงให้สุวลี สุวลีรับมาด้วยใบหน้างามละมุนในแสงเทียน สรรค์มองอย่างสุดรัก สุวลีมองตอบอย่างหวานเชื่อมแล้วเห็นสร้อยข้อมือที่ธนาให้แกว่งไหวเป็นประกายวูบวาบ
บริเวณหลังพุ่มไม้ใบหนา นิดเหนี่ยวกิ่งไม้แหวกมองอยู่อย่างใจสั่นวูบวาบ เจ็บปวด น้ำตาเอ่อขึ้นเมื่อเห็นสรรค์และสุวลีคุกเข่าเคียงกัน ทั้งคู่ปล่อยกระทงลอยเคียงกันไปในสระน้ำใหญ่แล้วหันมาสบตากัน
“สุ อธิษฐานว่าอะไรหรือ”
“สุก็ขอขมาลาโทษกับขอบคุณพระแม่คงคาไงคะ”
สุวลีแกล้งตอบ สรรค์ทำจมูกย่น
“ผิดกับผม ผมขอให้ได้มีสุเคียงข้างอยู่แบบนี้ตลอดไป”
“ขอบคุณค่ะสรรค์ ขอบคุณ”
สุวลีวางสองมือลงในมือสรรค์ สรรค์เคลื่อนมาจูบหน้าผากสุวลีเบาๆ นิดหนึ่ง นิดตะลึงตะไลมือปล่อยกิ่งไม้ที่แหวกอยู่ให้ปิดเหมือนเดิม นิดเบือนหน้าหนีน้ำตาหยดลงที่ใบหน้า
ฝ่ายสุวลีขยับถอยเหลือบมองดูรอบกาย คนขับรถเมินทำไม่รู้ไม่เห็น รอบกายไม่มีใคร
“เรากลับเถอะค่ะ”
“ไปซีจ้ะ”
สรรค์มองดูรอบๆ ตัวอีกครั้งหนึ่งเหมือนจะมองหานิด แล้วด้วยอะไรบางอย่าง สรรค์จงใจวางกลักไม้ขีดลงบนตอไม้หนึ่งแถวนั้นแล้วเดินกุมมือสุวลีขึ้นไป
นิดก้าวออกมาจากพุ่มไม้มองขึ้นไป ผ้าคลุมผมไหวสะบัดป่วนปั่น
สรรค์และสุวลีเดินกุมมือแนบชิดกันลับกายไป
นิดหยิบไม่ขีดขึ้นมาจากตอไม้มองราวเป็นของมีค่าที่สุดแล้วเดินไปที่ริมสระเห็นกระทงกุหลาบยังคงลอยวน นิดมองดูกระทงดอกหญ้าดอกพวงชมพูในมือ
“พี่เสียมจ๋า คุณสุวลีคือกุหลาบแต่นิดเป็นแค่ดอกหญ้า”
นิดขีดไม้ขีดจุดเทียนและธูปสว่างขึ้น น้ำตาเทียนหยดแต่น้ำตาคนแห้งแล้ว นิดยิ้มกับสิ่งที่ตนเองเลือก
“นิดขอเพียงได้ข่าวคราวพี่ ได้ยินเสียงพี่ ได้เห็นพี่อยู่ห่างๆ อย่างนี้ก็พอแล้ว”
นิดลอยกระทงของตนลงในน้ำ กระทงของสรรค์ สุวลีลอยเคียงกัน กระทงของนิดลอยตามไป
ดึกมากแล้ว นิดอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวจะเข้านอน แสงจันทร์เพ็ญส่องสว่างเข้ามาในห้อง นิดนั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง นิ้วคีบแหวนพิศดู
“แหวนจ๋า ขอบใจนะจ้ะที่ทำให้พี่เสียมเห็นนิด ถึงพี่เสียมจะจำนิดไม่ได้แต่ก็ดีเพราะนิดไม่คู่ควรกับพี่เสียมอีกแล้ว”
นิดเก็บแหวนลงในกล่องวางมันในกลักไม้ขีด แล้วดึงลิ้นชักออกเพื่อเก็บของ นิตยสารรูปสุวลีในลิ้นชักคล้ายจะมองนิดอย่างตำหนิ นิดหน้าซีดลง
“คุณสุวลีคะ คุณได้ทำตามสัญญา คุณดูแลพี่เสียมอย่างดีที่สุด ต่อไปนี้ นิดก็จะรักษาสัญญาให้ดีกว่านี้ นิดจะไม่ไขว่คว้าไม่หวังให้พี่เสียมจำได้ เมื่อคุณรักษาสัญญานิดก็จะรักษาสัญญาเหมือนกัน”
รูปสุวลีก็ยังคงมองมาเป็นรอยยิ้มเหมือนดูแคลน นิดเลื่อนลิ้นชัดปิดแล้วได้ยินเสียงคล้ายคนเดินข้างนอกเรือนในสวน นิดหันขวับอย่างแปลกใจ
ภายในสวนบริเวณใกล้เรือนคนใช้มีไม้ใหญ่หนามากมาย แสงจันทร์เพ็ญลอดลงมาได้เพียงบางจุด ทุกอย่างอยู่ในเงามืด นิดก้าวมาใต้ซุ้มไม้อย่างระวังระไว มีร่างเป็นเงาดำของชายคนหนึ่งวิ่งก้มตัวลัดเลาะมาอย่างกลัวคนเห็น นิดเบียดตัวเข้าซ่อนในซุ้มไม้แล้วมองตามเงามืด
ร่างชายผู้นั้นตรงไปยังประตูเล็กที่กำแพงรั้วเพื่อไขกุญแจแล้วหันมามองไปยังตึกใหญ่ ใบหน้าต้องแสงจันทร์เต็มที่วูบหนึ่งเห็นว่าเป็นใบหน้าหล่อเหลาของหลวงจินดา นิดใจหายวาบ หลวงจินดาผลุบหายไป
นิดหันไปมองที่ตึกใหญ่ หน้าต่างห้องช่อผกาเปิดออก ช่อผกาใส่ชุดนอนบางเยี่ยมหน้ามาคล้ายชมจันทร์ นิดถอนใจยืดยาว หรือเธอจะออกมาส่งให้คนรัก ?
ภายในห้องโถงบ้านโพธิธาราวันรุ่งขึ้น สรรค์นั่งกินอาหารเช้ากับพระชาญชลาศัย แม่ผินและบัวคอยบริการเลื่อนนั่นขึ้นเลื่อนนี่ลงบนโต๊ะอยู่ไปมา
“น่า เจ้าสรรค์กลับข้ารับราชการใหม่ พ่อคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่เอาไว้แล้ว”
สรรค์นิ่งมีอาการอึดอัด
“ตอนแรกคงมีคนครหาหรือพูดอะไรบ้าง แต่พอแกทำงานผลงานออกมาดีก็ไม่มีใครมาพูดอะไรได้อีก”
สรรค์นิ่ง พระชาญชลาศัยยิ่งรำคาญใจแต่ข่มความไม่พอใจไว้ แม่ผินอดไม่ได้จึงช่วยหว่านล้อม
“นะคะ คุณหนูคิดว่าเห็นแก่คุณพ่อ”
มารศรีเดินจากเรือนเล็กเข้ามาจากทางด้านหลังบ้าน
“ถ้าไม่เห็นแก่พ่อก็ให้เห็นสุวลีบ้าง แกจะให้สุวลีต้องมาเป็นเมียนายสรรค์ชาวบ้านธรรมดาคนนึงเท่านั้นหรือ”
คราวนี้สรรค์นิ่งอึ้งมีอาการคล้อยตามบ้าง มารศรียืนนิ่งฟังอยู่
“จริงค่ะ คุณสุวลีน่ะอาจไม่ว่ากระไร แต่บรรดาคนรู้จักใครต่อใครต้องค่อนว่าให้เธอต้องรำคาญใจแน่ค่ะ”
“ครับ...ผมอิ่มแล้ว ขอตัวก่อนนะครับ”
สรรค์จิบกาแฟแล้ววางถ้วยลุกขึ้นเดินไป พระชาญชลาศัยกับแม่ผินสบตากันอย่างลิงโลด
“เฮ้อ ฉันชักแม่น้ำทั้งห้ามาซะอ่อนใจ”
“อิฉันบอกแล้วว่าให้อ้างคุณหนูสุวลี เห็นไหมคะ คุณหนูเธอยอมแล้ว”
ผินกำลังจะฟุ้งแต่หันมาเห็นมารศรีเข้าก็ชะงักค้อนขวับ มารศรีเดินยิ้มมานั่งลง
“เธอยอม....แต่คงฝืนใจอยู่มากนะคะ”
“พอทีเถอะ เธอไม่ต้องออกความเห็นจะดีกว่า”
“แหม ดิฉันไม่อาจเอื้อมถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ”
“รู้ตัวก็ดี เจียมปากเจียมคำไว้บ้าง” ผินบอก
มารศรียิ้มรับ พระชาญชลาศัยมองหน้าแม่ผิน แม่ผินใช้มุขเดิม
“นะนังบัว เรื่องอะไรที่ไม่ใช่เรื่องของเราก็อย่าแส่”
บัวหน้าเหรอแล้วก็รับมุขอย่างเบื่อๆ
“ค่ะ คุณแม่บ้าน”
“แต่ถ้าดิฉันจะแส่ ก็ไม่รู้นะคะว่าคุณสรรค์เธอจะฟังความเห็นดิฉันบ้างหรือเปล่า”
มารศรีพูดทำท่าสงบเสงี่ยมแต่ดวงตามีแววท้าทายบางอย่าง
ในเวลากลางวัน มารศรีเห็นสรรค์นั่งครุ่นคิดอยู่ที่ศาลากลางสนามหน้าบ้านจึงส่งเสียงเจื้อยแจ้วบัญชาการให้สมพงษ์ นายไม้ รามซิงค์ช่วยยกกระถางต้นไม้มาประดับรอบๆ บริเวณศาลากลางสวน จงกลกับราตรียืนประดับบารมีอยู่
“เอ้า นี่ไว้ตรงนั้น เอ ไม่เหมาะไหนย้ายมาตรงนี้ซี”
สมพงษ์ นายไม้และรามซิงค์ยกกระถางกันหลังแอ่น เหงื่อแตกซิก
“ตรงไหนกันแน่ครับคุณผู้หญิง”
มารศรีแกล้งพูด
“เอ ไม่รู้สิ ฉันก็ไม่ค่อยมีหัวเรื่องนี้ซะด้วย”
สรรค์ทนไม่ไหวเดินขมวดคิ้วเข้าไปสั่งการ
“นี่ ต้นสูงนี่เอาไว้เป็นฉากหลัง พวกใบไม้นี่ไว้ด้านหน้า”
มารศรีอมยิ้มอย่างสมใจ
ไม้กระถางถูกจัดอย่างลงตัวอย่างงดงามไม่มีที่ติ สรรค์ยืนดูกับสมพงษ์ มารศรีก้าวมาหา จงกลกับราตรีรู้งานยืนอยู่ห่างๆ
“คุณนี่เกิดมาเพื่อจะเป็นศิลปินเอกจริงๆ นะคะ”
สรรค์อึ้งไปนิดหนึ่งมองหน้ามารศรี แล้วพูดอย่างกลางๆ แม้คำพูดจะเหมือนดูถูกก็ตาม
“เธอมารู้อะไรด้วยเรื่องศิลปินนี่”
“แหม ถึงดิฉันอาจจะความรู้น้อยแต่ดิฉันก็มีตานะคะ ภาพเขียนทุกภาพของคุณงามอย่างวิเศษทั้งนั้น”
“เธอยอฉันเกินไปแล้ว อย่างดีฉันก็แค่ช่างฝีมือยังไม่ถึงขั้นศิลปิน”
“ครูแมกกินนีของคุณเคยบอกว่า ตอนนี้ถึงฝีมือคุณจะยังไม่ถึงขั้น...แต่ว่าก็ใกล้เต็มที่แล้ว”
สรรค์มองหน้าอย่างรู้สึกดีกับมารศรีขึ้นมานิดหนึ่ง
“งั้นรึ”
“ถ้าคุณไม่มามัวพะวักพะวนกับงานอื่น ทุ่มเทใจกายไปกับงานเขียนเพียงอย่างเดียว คุณก็น่าจะไปถึงจุดนั้นได้เร็วขึ้นนะคะ”
สรรค์นิ่งคิดตาม มารศรีลอบยิ้มกับตัวเอง
บริเวณเทอเรซข้างบ้านเนาวรัตน์ สรรค์และสุวลีนั่งอยู่ตรงข้ามกัน สรรค์คุยอวดสุวลีอย่างกระตือรือร้น คุณเฟื่องกับจวนอยู่ห่างๆ ทางด้านหลัง
“สุ ผมจะไม่เข้ารับราชการแต่ทำงานเขียนรูปเต็มตัวล่ะ”
สุวลีสะอึกแต่ซ่อนความรู้สึกไว้ คุณเฟื่องมองเขม็ง จวนลอบมอง
“ทำเป็นอาชีพงั้นหรือคะ”
“จ้ะ สุ ผมจะเปิดร้านเขียนรูป มีรูปที่สำเร็จแล้วขายแล้วก็รับวาดรูปพอร์ทเทรตด้วย”
“ค่ะ”
“รายได้ตอนแรกอาจจะไม่มากเท่าไหร่แต่ต่อไปคงจะดีขึ้นเรื่อยๆ บุญมาบอกว่าตอนนี้มีพวกนูโวริช (๒) มากมายที่อยากยกระดับตัวเอง คนพวกนี้แหละที่จะมาเป็นลูกค้าของเรา”
สุวลีมองในดวงตาสรรค์เห็นแววฝันกระตือรือร้นก็ยิ้มรับ
“สุเคยบอกสรรค์แล้วไงคะว่า สุยินดีสนับสนุนสรรค์ในทุกเรื่อง”
“แต่ผมจะไม่ได้เป็นข้าราชการแล้ว สุไม่ว่าอะไรใช่ไหม”
“จะเป็นไรไปคะ ถ้ามันทำให้สรรค์มีความสุขแค่นั้นก็พอแล้ว”
“สุ ขอบใจสุจริงๆ”
สรรค์ยกมือสุวลีมาจุมพิต สุวลียิ้มละไม
ภายในห้องนอน สุวลีอยู่หน้ากระจกเงามองดูรูปวาดของสรรค์ที่ผนังด้วยสีหน้าไม่พอใจ คุณเฟื่องตามมาเซ้าซี้ จวนนั่งอยู่ที่พื้น
“คุณน้องคะ เรื่องคุณสรรค์”
สุวลียกมือห้าม
“สรรค์มุ่งมั่นมากค่ะ สุไม่อยากขัดใจ”
คุณเฟื่องพยักหน้า จวนมองดูแวบหนึ่ง
“แต่สุคิดว่าร้านของสรรค์ไม่น่าจะไปได้ ให้สรรค์ลองดูซัก 3 เดือน 6 เดือนพอขาดทุนมากๆ เข้า สรรค์ก็คงล้มเลิกไปเอง”
“อ๋อ”
เฟื่องเข้าใจและยิ้มกว้าง จวนมองสุวลีแบบคิดไว้แล้วไม่มีผิด
“ถึงตอนนั้น สุจะเกลี้ยกล่อมให้เขากลับไปรับราชการ หรือลงทุนทำธุรกิจอะไรซักอย่างก็ไม่ใช่เรื่องยากหรอกค่ะ”
สุวลีถอดแหวนของสรรค์ออกวางลงในถาดเงิน
ที่เรือนคนใช้ นิดก้าวออกจากห้องเอากุญแจคล้องสายที่ประตูแล้วกดล็อก ห้องนิดนั้นอยู่สุดปลายระเบียง ห้องลัดดาอยู่ห่างไปอีกสองห้อง ลัดดากำลังเดินออกมาล็อกห้องตัวเองด้วย
“ต๊าย แม่เศรษฐีกลัวสมบัติจะกระจัดพลัดพรายไปไหนหรือ ลั่นกุญแจซะขนาดนั้น”
“ขอบใจจ้ะ”
“ว้าย มาขอบใจอะยะ”
“ก็ที่มียกให้ฉันเป็นเศรษฐีน่ะซี”
ถวิลออกจากห้องตรงกลางพลางล็อกกุญแจด้วย ลัดดามองค้อนนิดตาคว่ำแล้วล็อกกุญแจต่อ
“เชอะ มีกองเท่าหนวดกุ้ง”
“แต่ของเอ็งน่ะเท่างวงช้างกระมัง ถึงได้ลั่นกุญแจไม่รู้กี่ดอกต่อกี่ดอก” ถวิลว่า
ลัดดามองค้อนถวิลแล้วล็อกกุญแจตัวที่ 3 ต่อ
นิดยืนอยู่หน้าตู้หนังสือที่เปิดอ้าไว้ภายในห้องสมุด หนังสือในตู้ถูกเอามาเรียงบนโต๊ะ นิดเอาผ้าหมาดเช็ดหนังสือแล้วเช็ดซ้ำด้วยผ้าแห้ง แล้วจึงเรียงไว้ในชั้นให้เหมือนเดิม หนังสือในตู้นี้เป็นหนังสือภาษาอังกฤษทั้งหมด พระยาธรรมนูญเดินเข้ามา นิดทำท่าจะคุกเข่าลง
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง เธอทำงานไปเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
“เดี๋ยวฉันจะออกไปธุระข้างนอก เธอจัดตู้นี้เสร็จก็ไปพักได้ ฉันไม่มีอะไรจะให้เธอทำแล้ว”
“เจ้าค่ะ”
พระยาธรรมนูญเดินไปที่ตู้หนังสืออีกใบ เห็นหนังสือโหว่ไปหลายเล่ม
“เอ๊ะ นี่ใครเอาไปอ่านกันนี่ ขนไปทำไมตั้งก่ายตั้งกอบ”
“คุณหญิงชอบอ่านหนังสือตอนบ่ายๆ เจ้าค่ะ”
“พอเสร็จงานแล้วเธอไปดูซิว่า อ่านเสร็จหรือยัง ถ้าอ่านแล้วก็เอามาเก็บเข้าที่ให้ที”
“เจ้าค่ะ”
“ใครจะเอาไปอ่านน่ะฉันไม่ว่าแต่ขอให้เอาไปทีละเล่ม อ่านแล้วก็เก็บก็งำให้เรียบร้อย เฮ้อ ฉันน่ะบ่นเป็นตาแก่หงำเหงือก” พระยาธรรมนูญภักดีบ่นอุบ
พระยาธรรมนูญบ่นบ้าออกไป นิดอมยิ้ม แล้วหยิบนิยายเล่มต่อไปมาเช็ดต่อแล้วชะงักตาโต
นิดถือหนังสือนิทานภาษาอังกฤษเรื่อง The Little Mermaid and other talesหน้าปกเป็นรูปรูปนางเงือกน้อยนั่งระทดระทวยบนโขดหิน นิดยิ้มบนใบหน้าสุกปลั่งพลิกดูรูปวาดประกอบมากมายอย่างตื่นเต้น
นิดนั่งอยู่ใกล้หน้าต่างอยู่ภายในห้องเมื่อเวลาเย็นก้มหน้าดูหนังสือเงือกน้อยอย่างใจจดใจจ่อ ราวจะพยายามอ่านมันให้ออก แสงอาทิตย์ข้างนอกเริ่มอ่อนแสงลง หน้าสุดท้าย... เงือกน้อยกลายร่างเป็นฟองอากาศ เทพยดาพาเธอไปสู่ฟากฟ้า
นิดยิ้มเศร้าน้ำตาเอ่อท้น ดวงใจวับวาบด้วยความเศร้าระคนสุขเมื่อนิดถึงคนเล่านิทานให้ฟัง
นิดปิดหนังสือลงช้าๆ เงยหน้าขึ้นเห็นแสงข้างนอกก็ตกใจ
“ตายจริง นี่จะเย็นแล้วหรือนี่”
นิดเดินมาอย่างรีบเร่งที่ตั่งหน้าครัว แม่ชื่นกับถวิลกำลังช่วยกันเด็ดผัก ลัดดานอนจนพับผ้าถุงแหวกอยู่ข้างๆ พร้อมส่งเสียงกรนเบาๆ ชื่นกับถวิลเห็นแล้วนึกปลงสังเวช
“นี่ยังไม่มีใครกลับมาอีกหรือจ๊ะ” นิดถาม
“ท่านเจ้าคุณยังไม่กลับแต่คุณหญิงน่ะกลับมาแล้ว” ชื่นบอก
“อ้าว แล้วทำไม”
นิดมองดูลัดดาที่ขยับพลิกตัวเกาก้นแกรกกราก
“นังลัดดาน่ะหรือ วันนี้คุณหญิงเสียยุบเสียยับก็เลยนอนไม่ฟื้นนเลย”
“ด่านังลัดดาเปิดเปิง แล้วก็ห้ามใครขึ้นไปเสนอหน้าชั้นบนเด็ดขาด” ถวิลว่า
“หรือจ๊ะ”
ในเวลาต่อมา นิดเอาหนังสือเงือกน้อยเก็บเข้าตู้หนังสือที่ทำความสะอาดเรียบร้อย แล้วหันไปเห็นอีกตู้ที่หนังสือโหว่อยู่หลายเล่ม นิดเบิกตากว้าง นึกถึงคำพูดของพระยาธรรมนูญภักดี
“พอเสร็จงานแล้วเธอไปดูซีว่า อ่านเสร็จหรือยัง ถ้าเสร็จแล้วก็เอามาเก็บเข้าที่ให้ที”
“ตายแล้ว ลืมไปเลย”
นิดขึ้นบันไดมาอย่างช้าๆ อย่างไม่แน่ใจ แล้วเดินไปตามทางเดินยาว แล้วมาหยุดลงตรงหน้าห้องคุณหญิงมะลิ เห็นประตูปิดกลอนไว้แน่นหนา นิดถอนใจ ตัดสินใจว่าจะรอไว้ก่อน แล้วหมุนตัวเดินไป
ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะระริกของคุณหญิงมะลิลอดมาเบาๆ
“วุ้ย คุณหลวง ไม่เหน็ดไม่เหนื่อยบ้างหรือไร”
“คุณหญิงน่ะเหมือนกับอาหารทิพย์ ใครได้ลิ้มชิมแล้วก็มีแต่จะอยากกินซ้ำอีกซ้ำแล้ว...ไม่มีวันเบื่อ”
นิดตาเบิกกว้าง
ภายในห้อง คุณหญิงมะลินอนคว่ำใส่ชุดนอนแบบเปิดหลัง แผ่นหลังเปลือยดูระทดระทวยอยู่บนเตียง ผ้าแพรเพลาะคลุมตัวส่วนที่เหลือเอาไว้ หลวงจินดาเปลือยแผงอกถือแก้วไวน์อยู่ในมือหนึ่ง อีกมือก็ลูบไว้ต้นแขนคอคุณหญิง
“ผมน่ะมึนเมาไปหมดแล้วด้วยเสน่ห์ของคุณหญิง”
“ฉันไม่ใช่เหล้าซักหน่อยคุณหลวงจะมาเมาได้ยังไง”
“เมาได้ซีขอรับแบบนี้ไง”
จินดาเทไวน์ลงบนแผ่นหลังและไหล่ คุณหญิงมะลิผวา หลวงจินดาก้มลงจูบลิ้มชิมไวน์ ตุณหญิงมะลิหรี่ตาพริ้ม
นิดหน้าซีดเผือดขยับถอยหลังออกจากประตูห้องนอนไปชนโต๊ะเล็กน้อยจนแจกันล้มเอียงลง
“อุ๊ย”
นิดไขว่คว้าแจกันแต่ไม่ทัน มันตกลงจากโต๊ะกระทบพื้นแตกกระจาย
“ว้าย คุณหลวง”
คุณหญิงมะลิผวา หลวงจินดาตาเหลือกผวาไวน์หกรดราดตัวเอง
ประตูห้องนอนมะลิเปิดผางออก มะลิสวมเสื้อคลุมนอนโผล่หน้าออกมา
“ใคร มีใครขึ้นมาบนนี้”
คุณหญิงมะลิมองดูแจกันที่แตกกระจาย ด้วยสีหน้าเครียดและระแวง ก้าวระวังออกมามองซ้ายมองขวาตามทางเดินยาวเห็นไม่มีใครก็ใจชื้นขึ้น มะลิรวบเสื้อคลุมเดินดูให้แน่ใจ หลวงจินดาหน้าซีดเผือดเยี่ยมหน้าออกมาจากประตูห้อง พูดเบาๆ
“ว่ายังไงขอรับคุณหญิง”
“ออกมาได้แล้วค่ะคุณหลวง”
หลวงจินดาก้าวออกมาพร้อมกลัดกระดุมเสื้อไปด้วยเห็นว่าไวน์หกรดตั้งแต่เป้ากางเกงไปถึงขาด้านหนึ่ง คุณหญิงมะลิดูดูเศษแจกันอย่างไม่คลายใจ
“จู่ๆ แจกันนี่ตกแตกได้ยังไง”
มีลมแรงพัดมา กระชากหน้าต่างหลุดจากขอสับดังปึงปัง ลมพัดพรูมาจนผ้าปูโต๊ะปลิว
“คงเป็นเพราะลมนี่แหละครับคุณหญิง”
หลวงจินดาเข้าเบียดชิดทางด้านหลังมะลิ
“เรากลับไปชิมไวน์กันต่อดีกว่า”
มะลิผลักไส
“พอได้แล้ว เดี๋ยวยายช่อผกาก็กลับมาแล้ว คุณหลวงไปเตรียมตัวจะดีกว่า”
“ขอรับ”
ที่ห้องเก็บของเล็กๆ ถัดจากห้องคุณหญิงมะลิ มีพวกไม้กวาด ไม้ขนไก่หลายอันวางอยู่ นิดยืนตัวลีบกลั้นหายใจ มองลอดบานเกล็ดไม้ออกไปข้างนอก เห็นคุณหญิงมะลิเดินออกมาส่งหลวงจินดาที่แต่งตัวเรียบร้อย
“แล้วก็เพลาๆ เรื่องเกี้ยวพาราสียายช่อลงบ้าง”
“โธ่ คุณช่อต่างหากที่เกี้ยวผม ความจริงน่ะดีออก.. ใครๆจะได้ไม่สงสัยเราไงขอรับ”
นิดสังเวชใจ
ย่านการค้า ตึกรามงดงาม รถยนต์ รถรับจ้าง สามล้อแล่นกันขวักไขว่
บริเวณห้องอาหารหรูที่เห็นวิวทิวทัศน์พระนคร สรรค์เดินเคียงคู่สุวลีเข้ามา ที่โต๊ะตัวหนึ่งใกล้หน้าต่าง ธนานั่งอยู่กับนพ สรรค์และสุวลีมองไป สรรค์ตาขุ่นไปนิดหนึ่ง สุวลีสีหน้าผิดปรกติไปแวบหนึ่งก่อนจะยิ้มละมุนงดงาม
“เจอเจ้านูโวริช ผู้ดียุโรปคู่นี้อีกแล้ว”
“จุ๊ๆ สรรค์”
นพมองมาแล้วยักไหล่ทำท่าดูแคลนแล้วสะกิดธนาให้มองไป ธนามีสีหน้าเปลี่ยนไปแล้วยิ้มกลบเกลื่อนลุกขึ้น สรรค์และสุวลีเดินเข้ามา นพลุกขึ้นทีหลังอย่างเกียจคร้าน
“อ้าว บังเอิญจริง คุณสรรค์ คุณสุวลี”
“โลกชักกลมเกินไปหน่อยแล้ว คุณธนา คุณนพ”
สุวลีค้อนสรรค์เป็นเชิงว่าฝืนใจหน่อย ธนาก็ทำเป็นไม่รู้ว่าโดนแขวะแต่หน้าบึ้ง
“ขอเชิญร่วมโต๊ะกับเราเลยนะครับ” ธนาว่า
“จะไม่เป็นการรบกวนหรือค่ะ”
“โธ่ เราสองคนกลับจะรู้สึกเป็นเกียรติด้วยซ้ำ”
“ว่าไงคะ สรรค์”
“ตามใจสุซีครับ”
ธนาเผลอจะช่วยเลื่อนเก้าอี้ให้สุวลีแต่สรรค์ทำให้ก่อน สรรค์และธนานั่งลงแต่นพกลับยืนอยู่
“อ้าว นายนพ”
“ขอโทษทีเพิ่งนึกได้ว่ามีงานด่วน ต้องขอตัวก่อน”
“ท่าทางคุณนพจะยุ่งมากนะคะ”
“ทำยังไงได้ คนมีงานล้นพ้นตัวก็อย่างนี้แหละครับ ใจจริงผมก็อยากออกมานอนเล่นเฉยๆเหมือนกัน”
สรรค์มองหน้านพ สุวลีคว้ามือสรรค์ไว้ ธนามองนพด้วยสายตาปราม
“ไปทำธุระด่วนของนายได้แล้ว”
นพก้มศีรษะให้อย่างประชดแล้วเดินไป บ๋อยเข้ามาคำนับนำเมนูมาให้แล้วถอยไป บ๋อยอีกคนวางแก้วรินน้ำให้
“ผมได้ข่าวว่าคุณสรรค์จะเปิดร้านเขียนภาพ”
“ข่าวไปไวจริง”
“ผมมีตึกแถวสร้างใหม่แถวๆ แพร่งนรา คุณสรรค์สนใจไหม”
“คงไม่ละครับเพราะทางบ้านผมก็มีตึกแถวเฟื่องนครกับรองเมืองเหมือนกัน”
สุวลีเหนื่อยใจเล็กน้อยที่เห็นสรรค์ไม่ยอมอ่อนข้อให้ธนา สุวลียกน้ำขึ้นจิบเห็นสร้อยข้อมือเพชรวูบวาบ ธนามองแล้วยิ้มในหน้า
“สร้อยสวยจังครับ คุณสุ”
สุวลีชะงักและรู้สึกแย่ลงนิดหนึ่งแล้วยิ้มกลบเกลื่อน
“ขอบคุณค่ะ”
ธนาเปลี่ยนเรื่องทันที
“คุณสรรค์นี่หัวก้าวหน้ามากนะครับที่จะเขียนรูปเป็นอาชีพเหมือนที่ยุโรป ที่นั่นให้เกียรติศิลปินมาก มากกว่าขุนน้ำขุนนางด้วยซ้ำ”
“แต่เมืองไทยยังถือคติ สิบพ่อค้าไม่เท่าพระยาเลี้ยงอยู่”
ธนาอึ้งไปนิดเหมือนโดนสรรค์แดกดัน สรรค์มองดูแล้วขอโทษจริงๆ
“ขออภัย แต่ผมไม่ได้คิดว่าพ่อค้าต่ำต้อยนะครับ ผมแค่จะพูดว่าที่เมืองไทยศิลปินต่ำต้อยไปกว่านั้นอีก”
ธนายิ้มแต่แน่ใจว่าสรรค์แขวะ สุวลีรีบกลบเกลื่อนให้
“พูดถึงศิลปินดูอย่างฮอลลีวูดซีคะ พวกสตาร์น่ะร่ำรวยล้นฟ้าถือเป็นพระราชวงศ์ของอเมริกันด้วยซ้ำไป”
“แต่เมืองเราเป็นแค่พวกเต้นกินรำกินเท่านั้น ศิลปินแขนงอื่นก็ไม่ดีกว่ากันเท่าไร” สรรค์ว่า
“สยามกำลังพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปเราอาจจะเหมือนยุโรปเหมือนอเมริกาก็ได้” ธนาบอก
“และมีสรรค์เป็นไพโอเนียไงคะ”
ทั้งสามยิ้มสรวลเสกลบเกลื่อนความจริงภายใต้หน้ากากสังคมไว้
หมายเหตุ - ผู้เรียบเรียง
๑ การ์โบ - เกรทา การ์โบ (Greta Garbo) เป็นนักแสดงชาวสวีเดนในช่วงภาพยนตร์เงียบของฮอลลีวูดและเป็นส่วนหนึ่งในยุคทองของฮอลลีวูด การ์โบเคยได้รับรางวัลออสการ์ รางวัลเกียรติยศในปี 1954 จาก ผลงานการแสดงที่ไม่อาจลืมได้ และในปี 1999 ติดอยู่อันดับ 5 ในการจัดอันดับของสถาบันภาพยนตร์อเมริกันในหัวข้อนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล
๒ นูโวริช - เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลตรงตัวว่า คนรวยใหม่ หมายถึงคนที่มีเงินมาจากการค้าขาย ทำธุรกิจ แต่ ไม่ใช่พวกตระกูลผู้ดีที่มีเงินทองเป็นทรัพย์มรดกสืบทอดกันมา
สาวน้อย ตอนที่ ๑๖ (ต่อ)
ห้องโถงชั้นล่างบ้านธรรมนูญภักดี
บริเวณโซฟานั่งเล่น พระยาธรรมนูญนั่งคู่คุณหญิงมะลิ หลวงจินดานั่งบีบเนื้อบีบตัวอยู่ตรงข้าม พระยาธรรมนูญกำลังเอากล้องถ่ายรูปรุ่นล่าสุดมาดู คุณหญิงมะลิทำปั้นปึ่งคล้ายไม่ค่อยชอบหลวงจินดานัก
นิดและลัดดานั่งรอรับใช้อยู่ที่พื้นคนละมุม นิดมีสีหน้าปรกติแต่คอยลอบมองท่าทีของคุณหญิงกับหลวงจินดา ส่วนลัดดาเมื่อนั่งนานเข้าก็หาวหวอด
“วันก่อนทดสอบภูมิรู้ แม่ช่อผกาดูภาษาอังกฤษกระเตื้องขึ้นเยอะ คุณหลวงนี่เก่งจริง”
“ขอบพระเดชพระคุณขอรับ”
“ว่าไงคุณหญิง”
คุณหญิงมะลิวางมาดเชิดแล้วบอก
“อย่าชมมากเลยค่ะจะเหลิงเสียเปล่าๆ”
หลวงจินดาทำหน้านิ่งเจียมตัว คุณหญิงมะลิมองด้วยหางตา นิดลอบถอนใจกับละครผู้ดี
“วันนี้อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันนะคุณหลวง เย็นนี้ แม่ชื่นทำอะไรบ้างล่ะลัดดา ลัดดา”
ลัดดาผวาจากภวังค์หลับหน้าเหรอหรา
“เจ้าขา”
“เออ เวร”
“แหมนังนี่ แกนี่ต้องธรณีสารหรือไงยะ ท่านเจ้าคุณถามว่าเย็นนี้มีอะไรกิน”
“ง่า ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
พระยาธรรมนูญส่ายหน้ามองดูนิด
“วันนี้เป็นอาหารฝรั่งเจ้าค่ะมีสลัด ซุป และสเต็กเจ้าค่ะ” นิดว่า
“นี่ดูอย่างนิดไว้นะ นังลัดดา”
คุณหญิงมะลิยิ้มมองนิดอย่างปราณี นิดก้มหน้าไม่อาจสนิทใจได้ ลัดดาหันมาค้อนขวับ
“ไปนังลัดดาไปบอกข้างล่างว่า คุณหลวงจะกินข้าวเย็นกับเราด้วย”
“ขอบพระเดชพระคุณขอรับใต้เท้า”
ในเวลากลางคืน ที่โต๊ะอาหารใหญ่จัดเป็นพิเศษกว่าปกตินิดหน่อย พระยาธรรมนูญนั่งหัวโต๊ะ คุณหญิงมะลินั่งอยู่ด้านหนึ่ง หลวงจินดานั่งตรงข้ามกับคุณหญิง ช่อผกานั่งถัดมาจากหลวงจินดา แม่ชื่นมายืนดูแลมื้ออาหารอยู่ทางหนึ่ง ส่วนนิดและลัดดาหลังเสิร์ฟแล้วก็ไปนั่งคุกเข่ากันอยู่คนละมุม
อาหารที่เสิร์ฟอยู่เป็นเมนคอร์สคือสเต็ก ทุกคนบนโต๊ะใช้มีดและส้อมอย่างคล่องแคล่ว ช่อผกาต้องระงับความระริกลงเพราะอยู่ต่อหน้าพ่อ ช่อผการินเกรวี่เพิ่มให้ในจานหลวงจินดา
“ขอบใจจ๊ะ คุณช่อ”
“ไง สเต็กรสชาติเป็นยังไงบ้าง คุณหลวง”
“รสชาติเยี่ยม ยังกะอาหารทิพย์แน่ะครับ”
พระยาธรรมนูญหัวเราะ จินดาสบตาคุณหญิงมะลิที่ทำตาวาวแล้วยกไวน์ขึ้นจิบ นิดมองอย่างสลดใจ ช่อผกาหัวเราะคิกคัก
“วุ้ย คุณครูเคยไปรับประทานอาหารทิพย์ที่ไหนมาคะ”
“ก็เคยแถวๆ นี้แหละครับ”
คุณหญิงมะลิตาวาว พระยาธรรมนูญรินไวน์จากขวดแก้วเจียระไนลงแก้วให้หลวงจินดาอีก
“เติมไวน์ซะนิดนะคุณหลวง”
“ขอบพระเดชพระคุณขอรับ”
“ช่อขอเติมบ้างซีคะ เจ้าคุณพ่อ”
“แกดื่มครึ่งแก้วน่ะพอแล้ว”
“ฮึ แต่คุณแม่น่ะเติมเป็นแก้วที่ 3 แล้วนะคะ”
“ท่าคุณหญิงคงจะโปรดไวน์ วันหน้าวันหลังผมจะหาไวน์ดีๆ มาให้คุณหญิงชิมอีก ดีไหมขอรับ”
คุณหญิงมะลิตาวาว นิดรู้ว่าทั้งสองพูดจาแบบซ่อนนัยกัน
“วันหน้าวันหลังนี่ วันไหนกันละคะ”
“ซักวันมะรืนดีไหมขอรับ”
ช่อผกาไม่รู้เรื่องด้วย หัวเราะคิกคัก
“ฮึ ฝากแต่คุณแม่...แล้วไม่มีอะไรฝากช่อบ้างหรือคะ”
ช่อผกาเลื่อนมือลงไปใต้โต๊ะบีบต้นขาคุณหลวง หลวงจินดาสะดุ้งเล็กน้อยเกือบจะพร้อมกันทางฝั่งคุณหญิงก็สลัดส้นสูงจากเท้ายื่นไปเขี่ยถูไถขาหลวงจินดา หลวงจินดาสยิว นิดเห็นเต็มสองตาแทบจะร้องอุทานยกมือปิดปาก
ที่ห้องโถงชั้นบน พระยาธรรมนูญอยู่ที่โต๊ะกับคนขับรถคนใหม่ชื่อประสงค์ กำลังสอนประสงค์เรื่องการใช้กล้อง ห่างออกไป นิดคุกเข่ารอรับใช้อยู่
“แกลองดูแล้วกันนะ ประสงค์ กล้องสมัยใหม่นี่ใช้ง่ายกว่าเมื่อก่อนเยอะ”
ประสงค์มองพระยาธรรมนูญแล้วพูดอย่างมีนัยยะ
“ขอรับ เดี๋ยวกระผมจะเอาออกไปลองถ่ายดูเวลาใช้งานจริงจะได้ไม่พลาด”
พระยาธรรมนูญหน้าขรึมลง
“อึม ไปได้แล้ว”
ประสงค์หยิบกล้องออกไป พระยาธรรมนูญเริ่มเขียนจดหมาย นิดลอบมองอย่างเป็นห่วงและสงสารแต่ก็น้ำท่วมปากไม่สามารถพูดอะไรได้ ได้แต่ถอนหายใจน้อยๆ พระยาธรรมนูญมอง
“แม่นิดมีอะไรหรือ”
“เปล่านี่เจ้าคะ”
พระยาธรรมนูญภักดีจ้องหน้า
“เธอมองดูฉันแปลกๆ มาหลายทีแล้ว มีอะไรว่ามา”
“เอ้อ ดิฉันนึกถึงพ่อน่ะเจ้าค่ะ” นิดพูดโกหกกลบเกลื่อน
“พ่อเธอที่อยู่ที่สีชังหรือ”
“พ่อนิดตายไปตั้งแต่นิดยังเด็กมากน่ะเจ้าค่ะ...พ่อนิดเป็นข้าราชการเล็กๆ ที่เมืองชล แต่ถูกดุลย์จากราชการเลยพาแม่กับพี่เนื่องและนิดมาตั้งรกรากที่สีชัง”
พระยาธรรมนูญภักดีหัวเราะ
“งั้นรึ … บังเอิญจริง ฉันเองก็ถูกดุลสมัยนั้นเหมือนกัน แต่ว่าฉันน่ะจวนเจียนจะเกษียณพอดีเลยไม่ใคร่มีใครรู้”
“ถึงตอนนั้นดิฉันจะเด็กมาก แต่ก็จำได้ว่าพ่อชอบอ่านหนังสือแล้วก็เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ดิฉันฟัง พ่อใจดีเหมือนท่านเจ้าคุณนี่ละเจ้าค่ะ”
“เออ เธอนี่ก็หัวประจบเหมือนกันนะ”
พระยาธรรมนูญตบศีรษะนิดเบาๆ นิดยิ้มมองพระยาธรรมนูญอย่างเห็นใจ
เวลาบ่ายสี่โมงเย็น ตะวันคล้อยต่ำลง นิดจัดโต๊ะกลางเอาสมุดหนังสือที่ช่อผกาใช้เรียนพิเศษมาจัดวางแล้วพลิกหนังสือดูนิดหนึ่งและพบว่าตัวเองอ่านหน้านั้นได้
“Greek Gods and Goddesses”
นิดยิ้มกับตัวเองมีเสียงปรบมือดังขึ้นข้างหลัง นิดสะดุ้งสุดตัวปิดหนังสือหันขวับไปเห็นหลวงจินดายืนยิ้มอยู่
“เก่งจริงๆ นี่เธอเรียนด้วยตัวเองจนอ่านออกแล้วหรือนี่”
“แค่ไม่กี่ตัวหรอกค่ะ”
กลวงจินดาเดินเข้ามาใกล้
“ยังไงก็ถือว่าเก่งจะว่าไปแล้วเธอเก่งกว่าคุณช่อผกาอีกนะ คุณช่อผกาเรียนภาษาอังกฤษมาเป็นสิบปียังงูๆปลาๆอยู่เลย แต่เธอเรียนด้วยตัวเองมายังไม่ครบ 3 เดือนเลยถึงกับอ่านได้แล้ว คุณช่อแพ้เธอหลุดลุ่ย”
“ดิฉันขอตัวค่ะ”
นิดตัดบทเดินก้มตัวผ่านหลวงจินดา ทันทีที่หันหลังให้จินดาก็พรวดเข้าโอบกอดนิดจากด้านหลัง จูบผม จูบซอกคอ นิดดิ้นรนพยายามแกะมือ หลวงจินดารัดแน่นเข้า
“ปล่อยฉันนะคุณหลวงไม่งั้นฉันจะร้องให้คนช่วย”
“ตรงนี้มีใครซะที่ไหน คุณช่อก็ยังไม่กลับ คุณหญิงก็ไม่อยู่ พวกบ่าวก็อยู่กันหลังบ้านหมด”
“คุณหลวงก็เลยกล้าข่มเหงดิฉัน”
“ฉันไปข่มเหงอะไรเธอ ฉันก็แค่ขอจูบซักทีเท่านั้น”
นิดหยุดดิ้นรน หลวงจินดายิ้มคิดว่านิดใจอ่อน จึงคลายมือออกและดึงนิดมาเผชิญหน้า
“นี่ไง ว่าง่ายๆ”
ทันใดนิดก็ตาวาวตบหน้าหลวงจินดาสุดแรงด้วยมือที่เคยแจวเรือฝ่าคลื่นใหญ่ คุณหลวงถึงกับเซแซ่ดๆ ไปปะทะโต๊ะถาดเงินตกลงดังโครมคราม นิดยืนเด่น หลวงจินดาตะกายลุกมือหนึ่งกุมแก้ม มือหนึ่งชี้หน้านิด
“นี่เธอกล้าตบหน้าฉันเชียวหรือ”
“ฉันกล้าทำมากกว่านั้นอีก”
“เธอไม่กล้าหรอก แค่ฉันกระซิบบอกคุณช่อว่าเธอให้ท่าให้ทางฉันแค่นั้น เธอก็อยู่ไม่เป็นสุขแล้ว”
นิดมองจินดาอย่างขยะแขยง
“ถ้าฉันฟ้องคุณหญิงล่ะ”
“คุณหญิงไม่กล้าทำอะไรฉันหรอก ไม่เชื่อก็ลองดูซี”
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็ฟ้องท่านเจ้าคุณ”
“เรื่องเล็กๆน้อยๆ ท่านไม่ใส่ใจหรอก”
นิดยิ้มเยาะก้าวเดินเข้ามาใกล้
“แล้วถ้าเป็นเรื่องใหญ่ล่ะคะ”
“เรื่องใหญ่อะไรของเธอ”
“ก็เรื่องที่คุณหลวงลักลอบเป็นชู้กับคุณหญิงไงคะ”
หลวงจินดาตาเหลือกผงะถอยหลังกรูด นิดก้าวตาม
“นี่เธอ”
“ถ้าคุณยังกล้าดีมาตอแยกับฉันอีก...ฉันรับรองว่าเรื่องนี้ถึงหูเจ้าคุณแน่ๆ”
ภายในห้องนอน คุณหญิงมะลิหน้าซีดเผือดทรุดนั่งลงบนเก้าอี้แต่หมิ่นจนแทบตกลงมา หลวงจินดาเข้าประคับประคองให้นั่งเข้าที่
“นังนิดมันพูดอย่างนั้นจริงๆ หรือ”
“ขอรับ คุณหญิง”
“เจ็บใจนัก ฉันไม่น่าหลงเชื่อแม่สุวลีเลย”
“คุณสุวลีมาเกี่ยวอะไรด้วยขอรับ”
คุณหญิงคลายจากความตกใจกลายเป็นอาการโกรธ
“หลงเอางูเห่ามาเลี้ยงไว้ข้างตัวแท้ๆ”
หลวงจินดาทำตาปริบๆถาม
“แล้วเราจะทำอย่างไรกันดีขอรับ”
มะลิมีใบหน้าร้ายกาจขึ้นมาทันใด
ภายในโถงเรือนของมารศรีมีเครื่องเรือนน้อยชิ้นดูโปร่งโล่งงดงาม พระชาญชลาศัยนั่งเอนบนเก้าอี้ มารศรีนั่งอยู่กับพื้นบีบนวดขาให้ ราตรีกับจงกลนั่งทำงานเล็กๆ น้อยๆอยู่ที่ระเบียง พระชาญชลาศัยบ่นแต่ไม่เคร่งเครียดนักเพราะเรื่องผ่านมาหลายวันแล้ว
“เจ้าสรรค์นะเจ้าสรรค์รับคำกับฉันไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะ จู่ๆ มันจะไปเขียนรูปอีกแล้ว”
มารศรีทำหน้าซื่อ ไม่รู้ไม่ชี้
“หรือคะ”
พระชาญชลาศัยทำมือห้ามให้หยุดนวดเปลี่ยนมานั่งตามปกติ
“อะไรก็ไม่เท่า สุวลีเกิดเห็นดีเห็นงามไปด้วย ไอ้เจ้าสรรค์ก็ไม่รู้อะไรเข้าสิงมัน”
มารศรีมานั่งบนเก้าอี้ซึ่งห่างออกมา
“คุณสรรค์อาจโดนเทวีแห่งแรงดลใจเป่าหูเอาก็ได้”
“ฉันอุตส่าห์ไปรบกวน ขอให้ท่านพระยาธรรมนูญช่วยพูดจาเป็นธุระให้”
มารศรีชะงักและสนใจขึ้นมาทันที
“พระยาธรรมนูญ .. คุณพระรู้จักกับท่านด้วยหรือคะ”
“รู้สิ ท่านกว้างขวางจะตายเคยเป็นใหญ่เป็นโตในกระทรวงยุติธรรม เคยเป็นเจ้านายเก่าพระยากีรติ คุณพ่อของสุวลีด้วย”
มารศรีตาวาวด้วยความสงสัยมากขึ้น
“งั้นหรือคะ”
“ตอนนั้นน่ะเมียท่านเพิ่งตาย พระยากีรติเลยแนะนำน้องเมียให้ท่าน คุณหญิงมะลิสมัยนั้นเปิ๊ดซะก๊าดอย่าบอกใคร”
“อะไรนะคะ”
“คุณหญิงมะลิเมียท่านตอนนี้เป็นน้าแท้ๆ ของสุวลีไง”
มารศรีอึ้งเดาเหตุการณ์ได้ทันที
มารศรีเข้ามาในห้องนั่งลงบนเตียงอย่างกลัดกลุ้มเมื่อเวลากลางวัน
“โธ่เอ๊ย แม่นิดหลงกลเขาเข้าจนได้ .. นี่ฉันจะช่วยเธอได้ยังไงนี่”
ในเวลาเดียวกัน สุวลีกับคุณหญิงมะลิคุยกันอยู่ที่เทอเรซหลังบ้านซึ่งลับสายตาคน สุวลียิ้มเหยียดอย่างรังเกียจ
“ตาย สุคิดว่าเด็กนี่จะรักนวลสงวนตัวเสียอีก”
“สงวนอะไร มันยั่วผู้ชายไปทั่ว กระทั่งหลวงจินดามาสอนพิเศษแม่ช่อ นังเด็กร่านนี่ยังไปให้ท่าให้ทางเลย”
“แล้วยายช่อไม่ฉีกอกเอาหรือคะ สุเห็นยายช่อเครซี่นายจินดานี่จะตาย”
คุณหญิงมะลิทำตาปริบๆ ไม่คิดว่าสุวลีจะมารับรู้ไส้บางขด
“แหม หนูไปเอามาจากไหน ยายช่อน่ะไว้ตัวจะตาย”
“คนเขาพูดกันน่ะค่ะ เค้าว่ากันว่านายจินดานี่...แหม สุไม่กล้าพูด”
“อุ๊ยตาย พูดมาเถอะจ๊ะ เราอยู่กันแค่นี้เอง”
“เขาว่ากันว่านายจินดานี่เป็นนักเลงเจ้าชู้ตัวเอ้ ชนิดคลำดูไม่มีหางก็ได้ทั้งนั้น”
คุณหญิงมะลิสะดุ้งเฮือกเกือบจะเอามือไปคลำก้นตัวเอง
“วุ้ย ไม่ถึงขนาดนั้นมั้งลูก”
คุณหญิงรีบเปลี่ยนเรื่อง
“นังเด็กนั่นแต่งงานได้ไม่เท่าไหร่ ก็โดนพรากจากผัวมา ของเคยกินไม่ได้กิน มันอดไม่ได้หรอกยายสุ น้ารู้ดี”
สุวลีนิ่วหน้าเพราะเป็นเรื่องต่ำเกินกว่าจะพูด
“ก็ช่างมันเถอะค่ะ มันเรื่องของเค้า คุณน้าจะมาเล่าให้สุฟังทำไม”
คุณหญิงมะลิจีบปากจีบคอใส่ความ
“ก็เพราะมันอดไม่ได้ไง มันถึงจะเป็นเรื่อง หนูรู้ไหมสุวลี ท่านเจ้าคุณให้มันหยุดงานทุกวันอาทิตย์ พอถึงวันอาทิตย์มันก็จะแต่งตัวงามหายไปจนดึกดื่น น้าทนสงสัยไม่ไหวเลยแอบสะกดรอยตามมันไป รู้ไหมว่ามันไปไหน”
สุวลีมองหน้าคุณหญิงอย่างเอะใจ
“คงไม่ใช่ถนนข้าวสาร บ้านโพธิธารานะคะ”
“ใช่จ้ะ มันไปเกาะรั้วชะเง้อดูพ่อสรรค์ของหนูจนรั้วแทบจะสึกคามือมันแล้ว”
“หรือคะ”
สุวลีหน้าเรียบเฉย ดวงตาพลันเย็นชาเหี้ยมเกรียมขึ้นมา คุณหญิงมะลิโหมไฟต่อ
“น้ามาเตือนเพราะห่วง หนูจะนิ่งนอนใจอยู่ไม่ได้นะจ๊ะ”
สุวลีแววตาคิดได้แล้วยิ้มเยือกเย็น ขณะที่ยื่นมือมากุมมือคุณหญิงที่สวมแหวนเพชรเม็ดใหญ่เป้ง
“คุณน้าคะ นี่แหวนวงใหม่หรือคะ งามจริง”
มะลิทำตาปริบๆ งง ไม่เข้าใจสุวลีว่ามาไม้ไหน
พระยาธรรมนูญนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานกำลังอ่านจดหมาย ประสงค์คนขับรถคนใหม่ยืนรับใช้อยู่ คุณหญิงมะลิกำลังดูแมกกาซีนแบบเสื้ออยู่ที่ตั่ง ลัดดาคอยโบกวีพัดราวนางในทั้งที่พัดลมก็เปิดอยู่
“นี่แม่มะลิ หลวงพินิจมากรุงเทพจะกลับเมืองจันทร์พรุ่งนี้ เขาชวนฉันให้ไปเที่ยวบ้าน ฉันรับปากแล้วว่าจะไป”
“อุ้ยตาย ทำไมกะทันหันจังคะ”
“ไม่หรอก เตรียมข้าวของวันนี้พรุ่งนี้ก็พอ... ว่าแต่แม่มะลิน่ะจะไปด้วยกันไหม”
คุณหญิงมะลิคิดคำนวนในใจแล้วทำเป็นตีโพยตีพาย
“โอ้ย ต้องลงเรือไปเป็นวันเป็นคืน อิฉันไม่ไหวละค่ะ เมาคลื่นตายกันพอดี”
พระยาธรรมนูญพยักหน้า
“ก็ตามใจ”
“แล้วนี่จะไปกี่วันกันคะ”
“นานๆไปที ฉันกะว่าจะไปซักครึ่งเดือน”
มะลิตาโตดีใจจนลืมระงับ พระยาธรรมนูญมองหน้า
“ตั้งครึ่งเดือน ดีจริง... ท่านเจ้าคุณจะได้พักผ่อนเต็มที่ไงคะ แล้วนี่จะเอาใครตามไปรับใช้ล่ะคะ นายประสงค์หรือ”
“ไม่หรอก ฉันมีธุระให้เจ้าประสงค์ทำระหว่างฉันไม่อยู่”
“ขอรับ”
“ใจจริงฉันก็ว่าจะเอาแม่นิดไปด้วย แต่หลวงพินิจบอกว่าไม่ต้องเอาใครไป เขากับเมียจะดูแลฉันเอง”
คุณหญิงมะลิยิ้มดวงตาวาว หันไปสบตากับลัดดาอย่างรู้กัน
บริเวณศาลากลางสวนทางหน้าบ้าน พระชาญชลาศัยนั่งอยู่ที่โต๊ะ แม่ผินกับบัวกำลังเสิร์ฟชาและของว่าง คุณพระทักลูกชายที่กำลังเดินมา
“ตกลงเรื่องรวงของแกไปถึงไหน”
สรรค์เห็นเก้าอี้ว่างอยู่ตัวหนึ่ง
“ยังเลือกๆ ดูอยู่ครับ นี่เราจะกินกันแค่สองคนหรือครับ”
พระชาญชลาศัยยิ้มพอใจที่สรรค์จะญาติดีกับมารศรีมากขึ้น แม่ผินค้อนขวับ
“บัว คุณมารศรีทำอะไรอยู่”
นางผินแทรกขึ้น
“จะอะไรคะ ก็มัวแต่ขัดสีฉวีวรรณอยู่นะซี เสร็จแล้วกว่าจะแต่งองค์ทรงเครื่องก็คงเย็นย่ำน่ะค่ะ”
มารศรีเดินมาพอดี สวมชุดสวยงามเน้นทรวดทรงเซ็กซี่ มีจงกลเดินประดับบารมีมา มารศรียิ้มละไม
“คนที่อาบน้ำแต่งตัวนานขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่นางในก็คงเป็นคุณผู้หญิงสูงศักดิ์ แต่ฉันมันคนเคยทำมาหากินไม่มีเวลามาพิรี้พิไรหรอกจ้ะ”
แม่ผินสบช่อง
“อุ๊ย อิฉันไม่ลืมหรอกค่ะ ว่าคุณเคยหากินมาก่อน”
พระชาญชลาศัยสะดุ้ง สรรค์อึ้งไป บัวกับจงกลอ้าปากค้าง มารศรีมองแม่ผินแล้วยิ้มรับ
“จ้ะ แต่ฉันโชคดีที่ตอนนี้มีคุณพระเลี้ยงดู ไม่เหมือนแม่ผินที่ปูนนี้แล้ว ถ้าจะต้องออกไปหากินก็คงจะลำบาก”
“ว้าย นี่นัง ...”
“เอ๊ะ นี่เราพูดเรื่องทำมาหากินอยู่ใช่ไหมคะ”
แม่ผินแทบเต้นเร่าๆ บัวกับจงกลปิดปากหัวเราะ พระชาญชลาศัยกับสรรค์อ่อนใจ ทันใดนั้นมีเสียงดังมา
“นายเสียม นายเสียม วู้ วู้ ทางนี้”
ทุกคนหันขวับไปมีปฏิกิริยาต่างๆ กัน
ที่บริเวณรั้วบ้านโพธิ์ธารามีซี่รั้วเหล็ก แก้วในชุดผู้ชายเขียนหนวดเรียวโผล่มาโบกมือหวอยๆ
พระชาญชลาศัยใจหายวาบ สรรค์งุนงงแปลกใจ แม่ผินตบอกผาง บัวกัดปาก จงกลไม่รู้เรื่อง มารศรีหน้าตาตื่นเต้นดีใจลุกพรวดขึ้น
“ดูซี เค้ามาเรียกใครกันนั่น”
“เสียม! เค้าตะโกนว่าเสียม”
“วุ้ย คุณหนูอย่าไปสนใจค่ะ อย่าไปฟังพวกเด็กทโมน มันมาก่อกวนนะคะ”
แก้วตะโกนมาอีก
“นายเสียม นี่แก้วไง แก้วจากสีชัง”
สรรค์ลุกขึ้นเดินลงจากศาลา พระชาญชลาศัยคว้าแขนไว้แต่ไม่รู้จะพูดยังไง มารศรีลุกตาม ผินวิ่งนำไปแล้วตะโกนลั่น
“ไอ้รามซิงค์อยู่ที่ไหนมาจัดการเดี๋ยวนี้”
สรรค์มองท่าทีของพ่ออย่างไม่เข้าใจ
“อะไรกันครับคุณพ่อ”
“คนสติไม่ดีมาตะโกน...ไปสนใจทำไมลูก”
สมพงษ์วิ่งมาจากในบ้าน
“คุณสรรค์ครับ โทรศัพท์คุณสุวลีครับ”
สรรค์ตัดสินใจเดินกลับเข้าบ้าน มารศรีมองอย่างขัดใจ
แก้วมองผ่านซี่รั้วไปอย่างเจ็บใจ ทันใดก็มีไม้พลองฟาดมา แก้วย่อตัวหลบลงไปนั่งกางขาเห็นรามซิงค์ชูไม้พลองอยู่
“กุมารานี่อีกแล้ว อีนี่ทำไมไม่เข็ดหนา”
แม่ผินวิ่งมาถึง
“ไอ้เด็กทโมน ไปเดี๋ยวนี้นะ”
รามซิงค์เงื้อไม้พลอง ทันใดนั้นแก้วก็ลอดหว่างขารามซิงค์พรวดไปแล้ววิ่งไปชนและกอดแม่ผินเอาไว้ แม่ผินร้อง
“ว้าย นี่แกจะลวนลามฉันเหรอ”
แก้วแลบลิ้นหลอก
“ฝันไปแล้วมั้งย่า”
รามซิงค์เข้าโจมตี แก้วเข้าแอบหลังแม่ผินจับเป็นโล่กำบัง แม่ผินร้องวี๊ดเพราะยังเป็นสาวบริสุทธิ์
“ว้าย ว้าย ฮือหมดแล้ว หมดกัน .. แกปล่อยฉันนะ ฉันยังเป็นสาวเป็นแส้อยู่นะ ปล่อย”
รามซิงค์เงื้อง่า แม่ผินดิ้นรน แก้วพลันจี๋เอวแม่ผิน แม่ผินทั้งอาย ทั้งโกรธ ทั้งแค้น แต่ยักเอวดิ้นพราดปากหัวเราะร่วน
“ฮิ ฮิ ฮิ ฮ่า ฮ่า ไอ้เด็กเวร ฮ่า ฮ่า โขดผ่อ โขดแหม่”
“อ้าว ด่าแม่กันเลยหรือ”
แก้วผลักแม่ผินที่หางกระเบนหลุดผวาเข้าหารามซิงค์ รามซิงค์รีบกอดประทับไว้ คล้ายหนังโรแมนซ์ บัวกับสงพงษ์ตามมาอ้าปากค้าง
“ว้าย คุณแม่บ้าน” บัวร้อง
แม่ผินได้สติร้องวี๊ดสุดเสียงจนรามซิงค์ผวา
“ไอ้รามซิงค์ แกลวนลามฉัน”
“อีนี่ คุณแม่บ้านมากอดฉันเองหนา”
แก้วหัวเราะงอหาย แม่ผินหันขวับมาด้วยความโกรธประหนึ่งท่าทางราวกับจะพ่นไฟได้ รามซิงค์เงื้อกระบอง แก้วแลบลิ้นหลอกใส่ตีนหมาวิ่ง รามซิงค์กับแม่ผินวิ่งตามโดยมีบัวคว้าหางกระเบนวิ่งตามติดๆ สมพงษ์ได้แต่ยืนอึ้งกับเหตุการณ์ชุลมุน
พระยาธรรมนูญแต่งตัวเรียบร้อยเตรียมตัวเดินทาง เมื่อเดินเข้ามาในห้องก็เห็นมะลิยืนอยู่ที่หน้าต่างมองลงไปยังเรือนคนใช้ จึงเดินไปข้างหลังมองดูบ้าง
“ว้าย เจ้าคุณพี่”
“ขวัญอ่อนจริงแม่มะลิ...เอ นั่นนังนั่นมันทำอะไร”
“ไม่มีกระไรหรอกค่ะ มานี่เถอะ”
คุณหญิงมะลิดึงพระยาธรรมนูญมาที่กลางห้องพลางดึงเสื้อ ปัดไหล่ให้อย่างเอาใจ นิดหิ้วกระเป๋าเดินทางมา ถวิลมาคุกเข่าลง
“รถแท็กซี่คุณหลวงพินิจมาแล้วเจ้าค่ะ”
“อ้อ ฉันไปล่ะ แม่มะลิ”
“ค่ะ เจ้าคุณพี่”
พระยาธรรมนูญมองดูนิด
“ฉันไปละนะแม่นิด...รักษาเนื้อรักษาตัวด้วย”
นิดยิ้มขอบคุณแต่ไม่เห็นสายตามุ่งร้ายของคุณหญิงมะลิที่มองมา
ภายในร้านอาหารเล็กๆริมน้ำ มารศรีนั่งอยู่กับแก้ว มารศรีมีเพียงน้ำอัดลม แต่แก้วมีข้าว 3 จาน ปากเคี้ยวตุ้ยๆ แล้วถามอย่างสงสัย
“ทำไมนิดถึงไปอยู่บ้านพระยาอะไรนี่ด้วยละครับ”
“ฉันว่าให้นิดเป็นคนเล่าเองจะดีกว่า”
มารศรีเปิดกระเป๋าหนีบ หยิบจดหมายออกมา
“ฉันกำลังจะหาทางส่งจดหมายนี่ไปให้นิดที่บ้านนั้นพอดี เธอมาก็ดีแล้ว ฉันจะได้ให้เธอถือจดหมายนี่ไป”
“ดีครับ คุณนาย”
“แล้วก็เลิกค้ง เลิกครับกับฉันเสียที นังหนู”
แก้วสะดุ้ง
“คุณ...ทำไมคุณรู้”
“เธออย่าคิดว่าเธอปลอมตัวแนบเนียนนักเลย อีกอย่างถ้าเธอเป็นผู้ชายจริง...เธอคงจะอยากมองฉันมากกว่ากินข้าว”
คุณหญิงมะลิพร้อมด้วย ประสงค์ เสงี่ยม นิด ถวิล ชื่น ลัดดาออกมายืนส่ง พระยาธรรมนูญที่นั่งอยู่บนรถรับจ้าง เมื่อรถรับจ้างแล่นไป คุณหญิงมะลิมองลัดดาแล้วส่งกระเป๋าถือให้
“ไป...เจ้าเสงี่ยม นังลัดดา”
เสงี่ยมกับลัดดาและคุณหญิงมะลิไปขึ้นรถ รถแล่นออกไปอีกคัน
“ต้าย...ไม่ให้ญาติมิตรรอเลยนะนี่” ชื่นว่า
“สงสัยขาขาด อุ้ยตาย ดีจัง เย็นนี้ไม่ต้องทำมื้อเย็น” ถวิลบอก
นิดขบขัน เมื่อรถแล่นออก คนสวนยังไม่ทันปิดประตู รถอีกคันก็แล่นเข้ามา
“อ้าว นั่นใครมาอีกเล่า” ชื่นว่า
“เดี๋ยวฉันไปบอกเองจ๊ะว่าไม่มีใครอยู่”
นิดก้าวไป รถคันนั้นมาจอดลงพอดี นิดจำได้ว่าเป็นรถพระชาญชลาศัยก็งุนงง ประตูตอนหน้าเปิดออก แก้วถลาลงมา
“นิด นิด”
“แก้ว แก้วจริงๆ เหรอ”
แก้วโผเข้ากอดนิด นิดกอดแก้วไว้ น้ำตาแห่งความยินดีรินไหล
จบตอนที่ ๑๖