ชิงนาง ตอนที่ 3
ภูผาและสว่างขับรถมาจอดพรืด! ที่แนวไม้กั้นทางเข้าหน้าไร่ มองป้าย “ไร่ฟ้าเหนือฟ้า” รู้ว่ามาไม่ผิดที่แน่
สว่างกังวลไม่หาย “บุกมาถึงถ้ำเสือเลยเหรอครับนาย”
ภูผาพูดนิ่งๆ “ถ้ำเสือ..หรือแค่รังโจร…เดี๋ยวก็รู้”
ลูกน้องเหนือฟ้า 2 คนที่เฝ้าอยู่เดินกร่างเข้ามาทันที
สว่างบอกลูกน้อง “นายภูผาต้องการเจรจากับพ่อเลี้ยงเหนือฟ้า”
มันหันไปมองหน้ากัน เมื่อรู้ว่าคนที่มาเยือนนี่คือ ภูผา
ลูกน้องคนหนึ่งเดินมาขวางหน้ารถ “ไร่ฟ้าเหนือฟ้าไม่ต้อนรับ!”
ภูผายิ้มมุมปาก “ที่แท้ก็แค่รังโจร!”
ลูกน้องอีกคน เดินมาหยุดที่ข้างรถฝั่งภูผาและออกคำสั่ง
“กลับไป!”
ลูกน้องคนแรกเริ่มนับ “นับหนึ่ง...นับสอง........นับ.....”
ยังไม่ทันจะ “สาม” ภูผาต่อยเปรี้ยงไปลูกน้องคนที่ไล่ หงายเงิบสลบกลางอากาศ
ภูผากระโดดพรวดไปที่กระโปรงหน้ารถแล้วเตะเสยลูกน้องที่เหลือ จนล้มคว่ำไปที่หน้ารถ มันฮึดสู้ จะชักปืนออกมา แต่สว่างเหยียบคันเร่ง พรวด! พุ่งรถเข้าใส่ ลูกน้องเหนือฟ้าล้มกลิ้งหงายไปอยู่ใต้ท้องร ลุกขึ้นไม่ได้เพราะรถคร่อมตัวอยู่
สว่างชักเริ่มสนุก ตะโกนบอกภูผา “ไปกระตุกหนวดเสือกันครับนาย!”
ภูผากระโดดขึ้นรถ สว่างเร่งคันเร่งรถมุ่งหน้าเข้าไปในไร่
ลูกน้องลุกขึ้นมาได้สีหน้าตกใจ รีบวิ่งตามรถเข้าไป
เหนือฟ้าแทงพูลอยู่ในบ้าน แต่พลาด
“เว้ย!” อารมณ์เสีย
ภูผาและนายสว่างเดินพรวดเข้ามา ลูกน้องเหนือฟ้าเห็นเข้ารีบออกมารับหน้า
เหนือฟ้าเงยหน้าจากโต๊ะพูลขึ้นมอง เห็นว่าเป็นภูผาก็ยิ้มร้าย
ลูกน้องที่หน้าประตูไร่ วิ่งกระเซอะกระเซิงตามเข้ามา
“พ่อเลี้ยงครับ..ผมห้ามมันไม่อยู่” ลูกน้องบอก
เหนือฟ้ามองไม่พอใจลูกน้องก่อนเอ่ยกับภูผา “กล้ามาเหยียบถึงถิ่นเลยเหรอ ไอ้ภูผา”
“ฉันกล้าเหยียบทั้งนั้น ไม่ว่าจะถิ่นไหน..หรือหน้าไหน!” ภูผาบอกไม่สะทกสะท้าน
“ไอ้ภูผา!”
“ฉันมาที่นี่เพื่อทำไร่ ไม่ได้มาเพื่อมีปัญหากับใคร” เสียงเข้มขึ้น “ถ้าไม่คิดจะเป็นมิตร ก็ต่างคนต่างอยู่!”
เหนือฟ้ามองภูผานิ่งๆ ก่อนจะพูดขึ้น
“ต่างคนต่างอยู่น่ะไม่ยาก แต่แกกำลังยุ่งกับหนูนา ผู้หญิงของฉัน!”
สว่างฟังแล้วไม่เข้าหู รู้สึกไม่พอใจ “ผู้หญิงของพ่อเลี้ยงที่พูดถึงน่ะ..หลานผมนะคร๊าบ”
“ลูกหลานใครฉันไม่สน! คนอย่างพ่อเลี้ยงเหนือฟ้า..อยากได้อะไรต้องได้”
สว่างไม่พอใจหนัก “อ้าว”
ภูผาขัดขึ้นเสียงเรียบๆ “ถามผู้หญิงเขาหรือยังว่าอยากเป็นผู้หญิงของนายหรือเปล่า”
เหนือฟ้าโกรธ “ไอ้ภูผา!”
เหนือฟ้าพุ่งจะเข้าเล่นภูผา ภูผาชักปืนจ่ออย่างไม่หวั่นเกรง
ลูกน้องเหนือฟ้าชักปืนออกมาเล็งไปที่ภูผา จังหวะเดียวกับที่สว่างก็ชักปืนออกมาประจันหน้ากับกลุ่มลูกน้องเหมือนกัน
เหนือฟ้าอึ้ง ตาค้าง เมื่อเห็นว่าถูกปืนภูผาจ่ออยู่ตรงหน้า
“เอาสิ พวกมันยิง ฉันยิง! ดูสิว่ากระสุนของฉันกับลูกน้องนายใครจะไวกว่ากัน แต่ระยะแค่นี้..ฉันไม่พลาดเป้าแน่!” ภูผาขู่ท่าทีแน่วนิ่ง
ในบรรยากาศแสนตึงเครียดนั้น ภูผากลับดูสงบนิ่ง ในขณะที่เหนือฟ้าเหงื่อเริ่มแตก
วันชัยเดินเข้ามาบอกเสียงเรียบๆ “เก็บปืน!”
วันชัยก้าวเข้ามาในห้อง ภูผาเหลือบมองวันชัยแวบหนึ่ง ดูเก๋าเกมไม่เบา วันชัยก้าวเข้ามาขวางทางปืนที่จ่อไปที่เหนือฟ้าอย่างไม่พรั่นพรึงใดๆ พวกลูกน้องชะงัก
“ฉันสั่ง” วันชัยเสียงเข้ม “ให้เก็บปืน”
เหนือฟ้าขัดใจ “พี่วันชัย!!”
วันชัยยกมือห้ามเหนือฟ้าไม่ต้องพูด มองภูผาอย่างประเมินความสามารถ “ไม่เบานี่...”
“อย่ายุ่งกับไร่ของฉันอีก” บอกกับเหนือฟ้า “ส่วนเรื่องหนูนา ฉันเป็นนายก็ต้องดูแลปกป้องลูกน้องของชั้น”
ภูผาจ้องหน้าวันชัยและเหนือฟ้า ก่อนจะกลับออกไปมาดอย่างเท่ โดยมีสว่างจ่อปืนเดินถอยระวังหลังตามภูผาไป
เหนือฟ้าโวยใส่ลูกน้อง
“ยืนทำบื้ออะไร ตามไปเก็บมันสิวะ”
วันชัยสั่งเฉียบขาด “ใครตามไป ข้าจะยิงทิ้งให้หมด”
ทุกคนชะงักกึก
วันชัยเดินเข้ามามองหน้าเหนือฟ้าใกล้ๆ พูดเบาๆ กับเหนือฟ้าแต่เสียงเข้ม
“ในสายตาคนอื่นเราต้องเป็นเสือไม่ใช่หมาลอบกัด! ถ้ามันเป็นศพอยู่ในไร่เรา พ่อเลี้ยงก็จะกลายเป็นแค่นักเลงหางแถว” วันชัยหันกลับมาพูดกับลูกน้อง “ไอ้เหงี่ยม!”
ลูกน้องชื่อเหงี่ยมก้าวออกมา
“ครับ นาย!”
วันชัยยิงเปรี้ยง! เข้าที่ลำตัวลูกน้อง เหงี่ยมสะดุ้งเฮือก! ทรุดลง ทุกคนตกใจ
“เพราะเอ็งปล่อยให้ไอ้ภูผามันเข้ามาหยามพ่อเลี้ยงเหนือฟ้ากับข้าได้ถึงที่นี่” หันไปพูดกับลูกน้องคนอื่นๆ “พวกเอ็งจำไว้ ต่อไปใครทำงานพลาด..ตายสถานเดียว!!”
ทุกคนอึ้งไปหมด….แล้วค่อยๆ ลากลูกน้องดวงกุด ออกไป
เหนือฟ้าโวยวายอย่างเสียหน้า
“ไหนพี่บอกนับถอยหลังได้เลยไง นี่แค่ข้ามวัน..มันก็มาเหยียบหน้าฉันถึงที่แล้ว เลี้ยงเสียข้าวสุก”
วันชัยหันขวับจ้องหน้าเหนือฟ้า เหนือฟ้าจ้องกลับด้วยความโกรธก่อนฮึดฮัดออกไป
วันชัยกำมือแน่นอย่างเจ็บแค้น ซึ่งดูไม่รู้ว่าแค้นภูผา หรือว่าเหนือฟ้ากันแน่!
ที่ท่าเรือวงเดือนจัดสำรับปิ่นโตให้พฤกษ์
“ทานข้าวก่อนนะคะจะได้ทานยา”
พฤกษ์หยิบช้อนจะตักข้าว แต่ไม่ถนัดนักเพราะเจ็บแผล วงเดือนเห็นจึงตัดสินใจขอช้อนมาจากพฤกษ์ พฤกษ์ส่งให้งงๆ
“เดือนป้อนให้ดีกว่านะคะ”
วงเดือนตักข้าวป้อน พฤกษ์มองอึ้งๆ ไม่คิดว่าเดือนจะทำให้ พฤกษ์ตื่นเต้นนิด ๆ อ้าปากรับการป้อนจากวงเดือน สีหน้ามีความสุข ในขณะที่วงเดือนทำไปตามหน้าที่
เมฆาจะเข้ามาแล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นวงเดือนป้อนข้าวพฤกษ์
เมฆาจับอาการเห็นชัดว่าพฤกษ์มองวงเดือนอย่างมีความสุขมาก เมฆาลอบมองอย่างเข้าใจ
วงเดือนถาม “ทำไมคุณพฤกษ์ถึงไม่กลับบ้านคะ คุณลุงคุณป้าท่านเป็นห่วงคุณพฤกษ์มากนะคะ”
พฤกษ์อึ้งไป เพราะเคยพูดกับย่าว่าจะเป็นคนขอไปจากบ้านเอง
วงเดือนอึดอัดใจ “เป็นเพราะเดือนหรือเปล่าคะ”
พฤกษ์โกหก “ไม่ใช่นะ ไม่เกี่ยวกับเดือน”
“ถ้าอย่างนั้น...คุณพฤกษ์ก็กลับบ้านเถอะนะคะ อยู่ที่นี่มันไม่สะดวกสบาย”
“แต่ที่นี่..เป็นที่ที่ฉันอยู่กับเดือนได้..โดยไม่ต้องกังวลสายตาคุณย่า”
วงเดือนอึ้งกับเหตุผลของพฤกษ์
“เดือน...ฉัน...”
เมฆาเดืนเข้ามาขัดจังหวะทันที
“พี่พฤกษ์ เป็นยังไงบ้าง” วางถุงยาในมือลง “ผมเอายามาเพิ่มให้ ยังปวดแผลอยู่ไหม?”
“ดีขึ้นมากแล้ว” พฤกษ์บอก
เมฆาพยักหน้ารับรู้และหันไปหาวงเดือน “ถ้าอย่างงั้นเราไปกันเถอะ”
“จะไปไหน”
“คลินิกครับ นี่ใกล้เวลาเปิดแล้ว เดี๋ยวคนไข้จะรอ” เมฆาบอก
วงเดือนรับคำ “ค่ะ”
เมฆาเดินออกไป วงเดือนลุกตามไปแต่ยังไม่วายหันมาหาพฤกษ์
“กลับบ้านนะคะคุณพฤกษ์”
พฤกษ์ยิ้มน้อยๆ ส่งให้..ไม่ตอบอะไร วงเดือนเดินออกไป พฤกษ์มองตามอย่างอาลัยอาวรณ์
แต่ไม่นานหลังจากนั้น เมฆากลับเดินนำวงเดือนเข้ามาในร้านอาหาร พาไปนั่งที่โต๊ะในมุมหนึ่ง
“คุณเมฆาคะ ไหนว่าเราจะรีบไปคลินิกไม่ใช่เหรอคะ”
“ตั้งแต่เช้า ฉันยังไม่ได้ทานอะไรเลย ขอทานข้าวก่อนได้ไหม”
วงเดือนเจอเสียงนิ่มๆ ขอร้องในที ของเมฆาก็ยิ่งไม่กล้าปฏิเสธ “ค่ะ”
เมฆาดูเมนู “ทานอะไรดี”
วงเดือนมองอาการเกรงใจปนอึดอัด “เดือนยังไม่หิวค่ะ”
เมฆามองวงเดือนที่ดูเกร็ง ก็ยิ้มนิดๆ แต่ไม่เซ้าซี้ พนักงานเดินมารับออเดอร์
เมฆาเริ่มสั่ง “ข้าวผัดกุ้งที่นึงแล้วก็” มองวงเดือน “น้ำส้มแก้วนึงนะเดือน”
วงเดือนพยักหน้ารับอย่างเกรงใจ พนักงานเดินกลับไป
เมฆามองเดือน “อึดอัดเหรอ”
วงเดือนอึกอัก “เดือนคิดว่ามันไม่เหมาะ ถ้าใครมาเห็นเข้า”
เมฆาสวนออกมาไม่แคร์ “ฉันไม่สน”
วงเดือนอึ้ง
เมฆาเสียงนุ่มนวลลงแต่จริงจัง “ขอให้ได้อยู่กับเธอ ฉันไม่สนใจใครทั้งนั้น”
วงเดือนเจอยิงคำหวานใส่ก็ได้แต่อึ้ง หันเมินมองไปทางอื่น
ที่ประตูหน้าร้านเวลานั้น โฉมไฉไลเดินเข้ามากับเพื่อนสาว
“โฉม นั่นมันคุณเมฆานี่ มากับสาวที่ไหนล่ะนั่น?”
โฉมไฉไลหันไปมอง เห็นวงเดือนนั่งอยู่กับเมฆา ก็โกรธจี๊ดของขึ้นมาทันควัน
“ไหนว่าคุณเมฆาเขาหลงเธอจนโงหัวไม่ขึ้นไง” เพื่อนปากดียิ้มเยาะ “ฉันว่าไอ้ที่เขาหลงน่ะ
..ยัยหน้าหวานนั่นมากกว่า ไม่ใช่น้ำพริกถ้วยเก่าอย่างเธอแล้วล่ะ”
โฉมไฉไลพีคสุดแล้ว พุ่งเข้าไปหาเมฆากับวงเดือนที่โต๊ะทันที เพื่อนสาวรีบตามไป
วงเดือนหันไปเห็นโฉมก็ตกใจ หวั่นจะมีเรื่องเหมือนครั้งก่อน
โฉมไฉไลทักเมฆาเสียงขุ่น “ไม่มีเพื่อนทานข้าวทำไมไม่บอกโฉมล่ะค่ะ” โยนค้อนให้วงเดือน
“จะได้ไม่ต้องลำบากลากคนรับใช้ในบ้านมาร่วมโต๊ะด้วยแบบนี้”
วงเดือนหน้าเสีย
“เอ่อ..เดือนขอตัวก่อนนะคะ”
โฉมไฉไลคว้าแขนวงเดือนไว้ จิกแขนแน่น “อยู่บ้านผู้ดีแท้ ๆ แต่ไม่มีมารยาทจะลุกหนีไปดื้อๆ อย่างนี้ได้ยังไง”
เมฆาปราม ไม่อยากให้มีเรื่อง “โฉม!”
โฉมไฉไลแววตาแข็งกร้าวแต่พูดเสียงหวาน “นั่งก่อนสิจ๊ะเดือน”
พลางโฉมไฉไลดึงวงเดือนให้ลงนั่ง วงเดือนจำใจ จากนั้น..โฉมไฉไลถือวิสาสะนั่งลงร่วมโต๊ะด้วยเลย
เพื่อนสาวเห็นสีหน้าเมฆาตึง รู้ว่าไม่พอใจแน่ ก็รีบเอ่ยขึ้น “โฉม..ฉันว่า”
โฉมไฉไลพูดกับเพื่อน “เธอยังไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้ใช่ไหม หล่อนชื่อวงเดือนเรียนจบพยาบาล” หันมาพูดกับวงเดือน “เธอเก่งทางด้านอะไรนะ จับ..หมอใช่ไหม?!”
โฉมไฉไลหัวเราะเสียดสีเต็มที่
เพื่อนสาวทำหน้าไม่ถูก รู้ว่าเดี๋ยวมีตบกันแน่
เมฆามองวงเดือนที่หน้าเสีย ก็ไม่พอใจลุกขึ้นทันที เมฆาหยิบเงินวางบนโต๊ะแล้วคว้ามือวงเดือน
“ไป!”
เมฆาจะดึงวงเดือนลุกไป แต่โฉมไฉไลดึงแขนเมฆาไว้เช่นกัน
“คุณจะไปไหน”
เมฆาตอกหน้าไม่เกรงใจแล้ว “ไปไหนก็ได้ที่ไม่มีคุณ”
“คุณเห็นนังนี่ดีกว่าฉันเหรอ”
เมฆาสวนคำทันที “ใช่!”
เมฆาปลดมือโฉมไฉไลอย่างไม่แยแส แล้วจูงมือวงเดือนเดินออกไป
เพื่อนสาวทำทีหวังดีแต่ปรารถนาร้าย “ฉันว่าเธอตกกระป๋องแล้วล่ะโฉม”
โฉมไฉไลแค้นจัดขบกรามคำรามในลำคอ
“นังวงเดือน!!”
ด้านภูผาอาบน้ำเสร็จ อยู่ในห้อง โยนผ้าเช็ดตัวและหยิบเสื้อมาสวม เสียงสว่างดังเข้ามา
“นายครับ..นาย...”
ภูผาเดินออกไปหน้าบ้าน เห็นหนูนา นายสว่างกับคนงานทั้งหมดรออยู่แล้ว มีคนแก่มาด้วยสองสามคน
สว่างร้องขึ้น “อ้าว มาแล้ว” หันไปบอกคนงาน “เตรียมตัวให้พร้อมเว้ยเฮ้ย”
หนูนาทำหน้าเยาะใส่ภูผา
“ให้คนทั้งไร่มายืนรอตั้งนาน อย่างนี้ต้องโดนลงโทษ”
“จัดเต็ม” ดอยรับมุก
จากนั้นดอยและคนงานอื่นๆ ที่ทำงึมๆ กันอยู่กรี๊ดกันขึ้นมากรูเข้าใส่ภูผาปะแป้ง พรมน้ำ โปรยดอกไม้
คนแก่ผูกข้อมือ เป่าหัวปู๊ดๆๆ…ภูผางงไปหมด
ดอยปะแป้งภูผา หอมแก้มซ้ายขวา แล้วกรี๊ดกร๊าดชอบใจ
“แอร๊ยย ได้กำไรอ้ะ”
สว่างหัวเราะร่า เข้ามาบอก
“ธรรมเนียมคนเหนือน่ะครับ รับขวัญกันหน่อย โชคร้ายให้มันหายไป เหลือไว้แต่โชคดี” สว่างว่า
ภูผาซึ้งใจ ยิ้มกว้าง หันไปสบตากับหนูนาที่มองมา…ภูผายิ้มให้
หนูนาทำไม่สน เชิดเชอะหันหลังให้ เห็นว่าอมยิ้ม ภูผาอดยิ้มตามไม่ได้
เวลาผ่านไป
เย็นนั้นภูผานั่งอยู่ตรงระเบียงบ้านพัก ลมหนาวโชยมาปะทะใบหน้าภูผา ชายหนุ่มสัมผัสกับความหนาวเย็นยะเยือก ทอดสายตาไปยังยังเทือกเขาล้อมรอบเบื้อหน้า ไล่สายตาตามหมอกจางๆ ที่ลอยล่องเป็นกลุ่มเหนือนภา ภูผากอดอกเรียกไออุ่น พูดกับตัวเอง
“อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว อีกไม่นานหน้าหนาวก็จะมาถึง...”
ค่ำคืนเดียวกันนั้น ศรีเรือนนั่งอ่านจดหมายใบหน้าของหญิงชรายิ้มนิด ๆ ที่ได้รับรู้ความเป็นไปของหลานชา ผู้อยู่ไกล
“คนที่นี่พูดกันว่าปีนี้คงจะหนาวกว่าปีที่แล้วมาก”
ตอนเช้าวันต่อมา กล่องรับจดหมายหน้าบ้าน...ถูกวงเดือนเปิดออกแต่ไม่เจออะไร หญิงสาวถอนหายใจปิดกล่องด้วยสีหน้าผิดหวัง
ค่ำคืนนั้นศรีเรือนอยู่ในห้องนอน กำลังอ่านจดหมายของภูผา เห็นภาพหลานชายคนรองแห่งแสนสมุทร ราวกับเขายืนเล่าอยู่ตรงหน้า
“ไร่ชาของเรา พร้อมเผชิญกับความหนาวที่คนแถวนี้ร่ำลือกันแล้ว
หญิงชรานึกเห็นเป็นภาพภูผากำลังออกแรงทำงานในไร่
“ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะหนาวแค่ไหน”
เห็นฉากชีวิตที่ภูผาช่วยกันกับคนงาน ตอกรั้วกั้นเขตไร่
“แต่ไม่ว่ายังไง เลือดทะเลอย่างผมก็ต้องทนให้ได้”
ภูผาช่วยคนงานแบกไม้หนักอึ้งอย่างแข็งขัน
“มันไม่ใช่แค่การพิสูจน์ตัวเองเพียงอย่างเดียว...สำหรับผม มันเป็นการเยียวยาชีวิต ที่เคยพังไม่มีชิ้นดี”
ยามค่ำคืนภูผานั่งดื่มชาอยู่หน้ากองไฟ
“ม้าแตกฝูง เมื่อบาดเจ็บก็ต้องรักษาตัวเอง...ผมก็เช่นกัน”
ศรีเรือนเงยหน้าขึ้นจากจดหมาย ถอนใจ แววตาเห็นใจ
“ย่าเชื่อว่าแกต้องทำได้” หญิงชรายิ้ม “คนเลือดร้อนอย่างแก ไปอยู่ที่หนาวๆ ซะบ้างก็ดี เผื่อจะเย็นลงบ้าง”
ศรีเรือนดึงหีบใบหนึ่งออกมาจากตู้ เมื่อเปิดออกเห็นว่ามีจดหมายจ่าหน้าซองด้วยลายมือภูผาเป็นปึก ศรีวางจดหมายสองสามฉบับสุดท้ายลงแล้วปิดหีบใส่กุญแจล็อค!
วงเดือนนั่งถักนิตติ้งอยู่ที่หน้าเรือนพัก หญิงสาวบอกกับตัวเอง
“รถไฟเที่ยวนั้นสิ้นสุดที่เชียงราย แต่ไม่รู้ว่าปลายทางของคุณคือที่ไหนกันแน่…จะหวังให้คุณติดต่อกลับมาหาเดือน คงจะเป็นไปไม่ได้ แต่หากวันไหนมีใครสักคนที่นี่รู้ที่อยู่ของคุณ เดือนจะฝากให้เขาเอา
เสื้อกันหนาวไปให้…อยากให้คุณรู้ไว้เสมอว่า หัวใจพังๆ ที่คุณทิ้งไว้ มันถูกดูแลอย่างดี และดูแลอย่างนี้ตลอดไป”
รุ่งเช้าภูผาหยิบจดหมายสองสามฉบับหย่อนใส่ตู้ไปรษณีย์ตรงหน้า กวาดสายตามองไปรอบๆ ที่ตรงนี้เขาไม่เคยอยู่ ไม่คุ้นตา เหมือนแสนสมุทร..บ้านของเขา
เช้าวันต่อมาไปรษณีย์ขี่จักรยานมาเปิดตู้จดหมายแล้วใส่จดหมายเข้าไป เป็นจังหวะที่วงเดือนเดินออกมาหน้าบ้านพอดี เห็นไปรษณีย์ขี่รถลับตัวไป สีหน้าวงเดือนมีความหวัง นึกถึงภูผาขึ้นมา
“คุณภูผา...”
วงเดือนรีบเดินไปที่ตู้จดหมายแล้วเปิดออก หยิบจดหมายปึกนั้นออกมา โดยไม่รู้ว่ามีจดหมายภูผาอยู่ข้างใต้สุด
วงเดือนค่อยๆ พลิกไล่ดูจดหมายทีละฉบับ...ทีละฉบับ ดึงจดหมายฉบับสุดท้ายของคนอื่นออกไป ก่อนจะเห็นตรงขอบมุมจดหมายของภูผา!!
วงเดือนอ่านจ่าหน้าซองจดหมายของภูผา
“คุณย่าศรีเรือน...” มองที่ลายมือจำได้ติดตา “ลายมือคุณภูผา!”
วงเดือนเพ่งมองจดหมายอีกครั้ง เห็นตงติดสแตมป์ว่ามาจากเชียงราย!! วงเดือนกำลังจะพลิกจดหมายกลับเพื่อหาที่อยู่ของผู้ส่ง
ทันใดนั้น ศรีเรือนเข้ามากระชากจดหมายไปจากมือวงเดือน
“คุณท่าน...” วงเดือนตกใจ
ศรีเรือนมองจดหมายในมือ สีหน้าโกรธเกรี้ยว
“หล่อนมีสิทธิ์อะไรมาละลาบละล้วงจดหมายของฉัน
วงเดือนยกมือไหว้ “ขอโทษค่ะ คุณท่าน คือเดือนกำลังรอจดหมาย...”
ศรีเรือนสวนคำ “ส่วนเกินอย่างหล่อน จะมีใครติดต่อมาหา พ่อแม่ก็ตายไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอ?! แล้วนี่มันก็จ่าหน้าซองถึงฉัน”
วงเดือนกลัวนัก แต่ตัดสินใจถาม “นั่นจดหมายจากคุณภูผาใช่ไหมคะ?”
ศรีเรือนหันขวับมาตาคมกริบ เสียงเข้ม “อย่ามาสอดรู้!”
วงเดือนหลบตาวูบด้วยความผิดหวัง ก่อนที่จะยกมือไหว้ศรีเรือน และเดินออกไปทางหน้าบ้าน
ศรีเรือนกำจดหมายภูผาแน่น
“ฉันจะปกป้องแสนสมุทรให้ถึงที่สุด!”
ชิงนาง ตอนที่ 3 (ต่อ)
วงเดือนอยู่ที่คลินิก กำลังจัดเอกสารที่เคาน์เตอร์ด้วยสีหน้ากังวล ครุ่นคิดหนัก สักครู่หนึ่งเมฆาเดินเข้ามาพร้อมกับถุงอาหารวางตรงหน้าวงเดือน
เมฆายิ้มบอก “อาหารกลางวัน”
วงเดือนเอื้อมมือไปหยิบ “เดี๋ยวเดือนไปจัดการให้ค่ะ”
“ไม่ใช่ของฉัน...ของเธอ”
วงเดือนชะงักหันไปมองเมฆา เจอเมฆาส่งยิ้มให้
“ขอบคุณค่ะ” วงเดือนรีบเปลี่ยนเรื่อง “วันนี้คุณเมฆาไม่เข้าไปตรวจที่โรงพยาบาลเหรอคะ”
“เรียบร้อยแล้ว บังเอิญผ่านร้านบะหมี่เจ้าอร่อย..ก็เลยคิดถึงเธอ”
เจอเมฆาหยอด วงเดือนถึงกับไปไม่เป็น เสหันไปเก็บของอย่างอื่น ขณะที่เมฆาเดินยิ้มเข้าไปในห้องตรวจ
วงเดือนคิดไปคิดมา แล้วตัดสินใจเข้าไปเลียบๆ เคียงที่ในห้องตรวจ
วงเดือนถามอย่างเนียนๆ “คุณเมฆามีญาติอยู่ที่เชียงรายไหมคะ?”
“เชียงราย...” เมฆานิ่งคิด “ไม่มีนะ” เริ่มเอะใจ “ทำไมเหรอ?”
วงเดือนรีบกลบเกลื่อ “เอ่อ..ไม่มีอะไรค่ะ”
เมฆามองตามวงเดือนอย่างสงสัย และเก็บข้อมูลไว้ในใจ
วงเดือนเดินกลับมาที่เคาน์เตอร์และหยุดคิด
ภาพจดหมายในมือศรีเรือนผุดขึ้นในหัวแวบหนึ่ง
วงเดือนดึงตัวเองกลับมา น้ำเสียงมั่นใจมากว้าเป็นจดหมายของเขา
“คุณภูผา!”
เวลาเดียวกันภูผากำลังยกจอบขุดฟันต้นชาที่โดนเผา อย่างไม่ย่อท้อ คนงานคนอื่นๆ ก็กำลังช่วยกัน ปรับหน้าดิน
ภูผาทำงานท่ามกลางแสงแดดแรงกล้า อย่างขันแข็ง
เวลาผ่านไป ภูผาเริ่มล้ายืนใช้จอบยันร่างกายพักเหนื่อย แต่แค่ครู่หนึ่งภูผาก็จับด้ามจอบจะยกอีก แต่มือสว่างเข้ามาจับรั้งไว้
“พักก่อนเถอะครับนาย ทำตั้งแต่เช้าจนบ่ายแก่แล้ว ยังไม่หยุดพักเลย”
ภูผาดื้ออวดเก่ง “ฉันไหว” ภูผาดึงจอบขึ้นแต่สว่างรั้งไว้อีก
“จะหมดแรงตายก่อนเห็นไร่ชามันผลิดอกออกผลนะครับนาย”
ภูผาบอกแน่วแน่ “แต่ฉันไม่มีเวลาแล้ว!” กระชากจอบกลับมาฟันดิบฉับๆ
สว่างทนไม่ไหวโพล่งออกมา “เพื่อที่จะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่านายยืนได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาแสนสมุทรอย่างนั้นน่ะเหรอครับ?”
ภูผาชะงักกึก! หันขวับมามองทางสว่าง
“คุณย่าเล่าให้นายฟัง?!”
สว่างหลบตาเหมือนเป็นการยอมรับกลายๆ และตัดสินใจพูดต่อ “นายครับ ไร่นี้จะฟื้นกลับมาได้อีกครั้ง ไม่ได้ใช้แต่แรงกายอย่างเดียว แต่ต้องใช้แรงใจด้วย”
ภูผาสะกิดใจคำพูดดังกล่าว ทิ้งจอบลงนั่งอย่างเหนื่อยล้า “งั้นก็คงยากแล้วล่ะ เพราะฉันทิ้งหัวใจพังๆไว้ที่แสนสมุทร!”
สว่างที่ผ่านโลกมาเยอะกว่า ยิ้มอย่างเข้าใจ
“งั้นก็เอาหัวใจแก่ของผมกับคนงานไปก่อนแล้วกันนะครับนาย”
ว่าแล้วสว่างก็คว้าจอบขึ้นมาฟันดินฉับๆ แทนภูผา
ภูผามองสว่างอย่างซึ้งใจ พลางหันไปมองไร่อันแสนกว้างใหญ่ก่อนที่จะฮึดลุกขึ้น สว่างหันมามอง
“ขอบใจนะ” ภูผาตบไหล่สว่างและคว้าจอบอีกอันขึ้นมา “สักวันฉันจะพาหัวใจของฉันมาที่นี่!”
ภูผาหันไปฟันดินฉับๆ อย่างกระฉับกระเฉง สว่างกำลังจะอ้าปากห้าม ภูผาชิงพูดขัดขึ้นมาก่อนพร้อมรอยยิ้มดื้อๆ
“ฉันไหว”
ภูผาทำงานต่ออย่างเอาเป็นเอาตาย สายตามุ่งมั่นนึกถึงวงเดือน..หัวใจของเขา
สว่างมองยิ้มๆ ก่อนจะช่วยกันทำไร่อย่างขะมักเขม้น
เสื้อกันหนาวที่วงเดือนมุ่งมั่นตั้งใจถักเริ่มเห็นลำตัวเป็นรูปเป็นร่าง ค่ำคืนนั้นวงเดือนกำลังถักขึ้นช่วงต้นแขนแล้ว
ระหว่างนั้นชอุ่มถือตะกร้าผ้าที่พับเรียบร้อยแล้วจะเดินไปห้องพักตัวเอง ชะงักเมื่อเห็นวงเดือนตั้งหน้าตั้งตาถักเสื้อ จึงหยุดเอาตะกร้าวางที่ระเบียง
“ทำอะไรน่ะเดือน”
วงเดือนสะดุ้ง ซ่อนไม่ทัน
ชอุ่มพุ่งเข้ามาคว้าไปดู “ถักเสื้อหนาวให้ใครอ่ะ? สวยจัง” เหมือนคิดได้ “ให้แฟนใช่ไหม?”
วงเดือนรีบปฏิเสธ “ไม่ใช่”
ชอุ่มอมยิ้มแซวต่อ “ไม่ใช่แฟนก็ต้องเป็นคนสำคัญ ถึงตั้งใจถักให้ขนาดนี้...ใช่มั้ยๆ”
วงเดือนจำใจพยักหน้ารับ
เห็นดังนั้นแล้ว ชอุ่มก็ออกอาการเขินแทน “อ๊าย... ใครอ่ะ? บอกพี่มาซะดีๆ คนที่นี่หรือเปล่า?” มองเหล่รอฟัง
“ไม่ใช่จ้ะ..เขา...เอ่อ...เขาอยู่ไกลจากที่นี่มาก เดือนถักเสร็จยังไม่รู้เลยว่าจะส่งถึงมือเขาหรือเปล่า” วงเดือนนึกถึงหน้าภูผาลอยมา
“ถ้าสำคัญมากก็ไปส่งให้เขาเองกับมือเลยสิ เดือนจะได้มั่นใจไงว่าถึงมือเขาแน่นอน”
วงเดือนคิดตามคำพูดชอุ่ม จุดประกายความคิดว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมาก
หลานวันผ่านไป การขุดซากชาที่ถูกเผาทิ้ง และปรับหน้าดินเสร็จสมบูรณ์ วันนี้ภูผาและคนงานขุดหลุมเตรียมปลูกต้นกล้า
ภูผา หนูนา ดอย และสว่างช่วยกันเอาต้นกล้าลงหลุมปลูก หนูนาลอบมองภูผาเป็นระยะ เห็นชายหนุ่มมุ่งมั่นตั้งใจปลูกก็อดยิ้มไม่ได้
ครู่ต่อมาภูผายืนคุมการรดน้ำแปลงต้นชา สุดท้ายภูผาลงมือรดน้ำเองอย่างเอาใจใส่ทะนุถนอม
ขณะที่ตรงมุมใต้ต้นไม้ใหญ่ หนูนากับดอยพากันหันมามองปิ่นโตข้าวที่ถูกวางทิ้งจนเซ็ง สว่างนั่งพักเหนื่อยอยู่ไม่ไกล
“นายภูผานี่ทำงานไม่กินไม่พักเลยนะลุงหว่างขา” ดอยหันไปมองอาหาร “แต่ก็ดี..ลาภปาก!” พลางหยิบมากินหมุบหมับ
หนูนาหงุดหงิด มองภูผาอย่างเป็นห่วง
“ทำงานหนักน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ข้าวปลาไม่กินนี่สิ คิดว่าเป็นตัวเองเป็นเทพหรือไง?”
ภูผาเดินอยู่กลางแปลงชา กวาดสายตามองรอบทิศ แต่เห็นเป็นภาพเบลอๆ
ส่วนหนูนาพอพูดจบก็ดึงปิ่นโตจากดอยเก็บอาการปึงปัง ท่าทางหัวเสีย ดอยเหวอ ทั้งๆ ที่ปากยังคาบไก่อยู่ ส่งเสียงอู้อี้ฟ้องสว่างอาการงวยงง
“ลูกพี่เขาหงุดหงิดอะไร ดอยทำอะไรผิด?”
“ขี้ข้าแอบขโมยของเจ้านายกิน..ไม่ผิดเหรอ?” สว่างเขกหัวดอยดังโป๊ก!
“โอ๊ย!” ดอยร้องไก่กระเด็นหลุดจากปาก จะอ้าปากเถียงแต่ต้องชะงักเมื่อเห็นอะไรบางอย่างในกรอบสายตา
ดอยเพ่งมองเห็นภูผาล้มลงไปนอนนิ่งกลางแปลงต้นกล้าชา
“ลุงหว่าง”
สว่างไม่ได้สนใจ “หรือจะเอาอีก”
“นายภูผา!” ดอยชี้ไปตรงแปลงชา
สว่างมองตามตกใจ “นาย”
หนูนาโผนทะยานวิ่งลงไปหาภูผาทันที สว่างกับดอยวิ่งตามไปทีหลัง
หนูนาเข้าถึงตัวภูผาก่อน รีบประคองขึ้นมา
“ตัวร้อนจี๋เลย!”
เพราะคำพูดของชอุ่มแท้ๆ ตอนสายวันนั้น วงเดือนจึงพาตัวเองมาอยู่ที่สถานีรถไฟ กำลังเดินเข้ามาที่ช่องขายตั๋ว โน้มหน้าไปถามพนักงาน
“ตั๋วไปเชียงรายมีรอบไหน ราคาเท่าไหร่คะ?”
เจ้าหน้าที่ให้รายละเอียด วงเดือนรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
ภูผานอนซมอยู่บนเตียง ขณะที่หนูนาถืออ่างน้ำกับผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กเข้ามา
หนูนาลงนั่งใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดๆ เริ่มเช็ดให้ภูผาอย่างอ่อนโยน หนูนาเช็ดหน้าเช็ดคอ แล้วเช็ดมือ เช็ดแขนให้
ดอยโผล่หน้ามาแอบดูที่ขอบระเบียง สว่างขยับเข้ามาด้านหลังดอยมองจับอาการของหนูนา
ดอยเงยหน้าคุยกับสว่าง “ดอยไม่เคยเห็นลูกพี่ดูแลใครขนาดนี้เลยนะจ๊ะ” เด็กน้อยยิ้มเจ้าเล่ห์ “หรือลูกพี่จะสนใจนายภูผา?” ดอยหัวเราะหึๆๆๆ
“แก่แดด!” สว่างจะเขกหัวดอย แต่ดอยหลบวูบ “วะ..เดี๋ยวนี้รู้จักหลบด้วย”
“เค้าพัฒนาแล้วลุง! ไม่งั้นหัวปูดตาย”
สว่างยิ้มแล้วรอจังหวะแล้วเขกหัวดอยจนได้ ดังโป๊ก “จำไว้ว่าคุณภูผาเป็นเจ้านายอย่าลามปาม”
ดอยอ้าปากจะแย้ง “ก็...”
สว่างสวนออกมา “ถ้าไม่หยุดพูด ต่อไปจะไม่ใช่แค่เขกนะ!” พลางสะบัดขาแกล้งขู่
ดอยใช้สองมือปิดปากตัวเองแน่น
“เอ็งนอนเฝ้าอยู่เป็นเพื่อนลูกพี่เอ็งที่นี่”
“ขี้ข้ารับทราบ!” ดอยทำทะเล้นใส่
สว่างมองดอยอย่างระอากับความทะเล้นของเด็กแก่แดด แล้วหันไปมองจับกิริยาของหนูนา สว่างไม่สบายใจกับท่าทีของหนูนาที่ห่วงภูผาเหลือเกิน
สว่างเดินออกไป ดอยพึมพำด้วยความเจ้าเล่ห์อีกครั้ง
“ทั้งหล่อ ทั้งเท่อย่างเงี้ยะ ใครไม่สนใจก็บ้าแล้ว!”
ดอยทำตาหวานเยิ้มหัวเราะคิกคัก ก่อนเดินออกไปอีกทาง
ส่วนในห้องภูผา หนูนาเอาผ้าเช็ดที่ใบหน้าเบาๆ เพราะพิษไข้รุมเร้า ภูผาละเมอเพ้อหาแต่วงเดือน
“เดือน..เดือน”
และตกอยู่ในภวังค์นึกถึงตอนชิดใกล้วงเดือนครานั้น
ในเวลานั้น ภูผานอนหนาวอยู่ในเรือ วงเดือนใช้ผ้าชุบน้ำบิดพอหมาดๆ เช็ดหน้าภูผาอย่างอ่อนโยน ภูผาสะดุ้งจับมือวงเดือนด้วยความตกใจ ลืมตามอง
“เดือน...เธอมาที่นี่ทำไม?”
“คุณป่วย แต่คุณไม่ยอมกลับบ้าน คุณป้าก็เลยให้เดือนมาดู…”
“คุณแม่ใช้ให้มา หรือว่าเธออยากมาเอง?”
วงเดือนยังปากแข็ง “คุณป้าใช้...”
ภูผาดึงข้อมือวงเดือน จนตัววงเดือนโน้มเข้ามาใกล้ภูผา
“คุณแม่ใช้หรือว่า...”
วงเดือนรู้ว่าสู้ไม่ได้แน่ เลยทำเสียงงอนใส่ “เดือนอยากมาเอง! ตอบแบบนี้คุณถึงจะพอใจใช่ไหม?”
ภูผายิ้มเยื้อนอย่างพอใจ ก่อนเอ่ยขึ้น “ฉันหนาว...”
วงเดือนยังนิ่งมองภูผาที่กวนใส่ เสียงดังแต่ไม่จริงจังเกรี้ยวกราด แค่อยากแกล้งวงเดือน
“เร็วสิ!..พยาบาลไม่ดูแลคนไข้เหรอ”
วงเดือนเอาผ้าห่มมาห่มให้ พลางชุบน้ำบิดผ้าพอหมาดแล้วเอาไปแตะที่แก้มภูผา
ภูผาปัดผ้าห่มออก “ก็ยังหนาวอยู่...”
“อ้าว..คุณไม่ห่มผ้ามันก็หนาวน่ะสิคะ”
ภูผาไม่ตอบ ดึงวงเดือนเข้ามากอดเอาแก้มแนบแก้ม สีหน้าชื่นใจ
ภูผายิ้ม กระซิบเบาๆ “อย่างนี้สิถึงจะหายหนาว”
วงเดือนหมั่นไส้ หยิกแขนอย่างหมั่นเขี้ยว
“โอ้ย! ฉันป่วยอยู่นะ”
วงเดือนตีภูผาด้วยความเขินอาย ภูผาจับมือเดือนไว้แน่นและหัวเราะอย่างมีความสุข
ภูผาฝันและเพ้อยังไม่รู้สึกตัว มือภูผาจับมือของหนูนาแนบกับหน้าตัวเอง
หนูนามองภูผาด้วยสายตาอ่อนโยน ภูผาเพ้อด้วยพิษไข้
“หนาว...”
หนูนาเอาผ้าห่มมาห่มให้แต่ภูผายังกระสับกระส่าย หนูนาชักกระวนกระวายใจ
หนูนาตะโกนออกไปที่โถง “ดอย ไปเอาผ้าห่มมาเพิ่มให้หน่อย...ดอย”
เงียบกริบ หนูนาหันไป เห็นว่าดอยนั่งหลับอ้าปากหวอ หนูนาจะลุกไปเอง แต่ภูผาไม่ยอมปล่อยมือ
“หนาว...ฉันหนาว...”
หนูนาถอนใจ ตัดสินใจขยับขึ้นไปนอนกอดภูผาให้ไออุ่น
ภูผากระชับวงแขนกอดหนูนาโดยไม่รู้สึกตัว สีหน้าหนูนาปลื้มปริ่ม มองภูผาด้วยความรู้สึกที่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ
เวลาเดียวกัน วงเดือนนั่งหลับอยู่บนเตียงสะดุ้งตื่น ในมือยังถือไม้นิตติ้งคาอยู่ รู้สึกใจหายนิด ๆ หญิงสาวสะบัดหัวเบาๆ ไล่ความง่วงแล้วถักนิตติ้งต่อ
“คุณภูผา รอเดือนนะคะ…”
รุ่งเช้ายินเสียงไก่ขันดังเข้ามาถึงหน้าบ้านพักภูผาบนดอยสูง แสงไฟจากภายในห้องภูผาเริ่มสว่างขึ้น
ดอยที่นอนฟุบกับพื้นโดนแสงแยงตาก็ค่อยๆ ลืมตาตื่น ขยับตัวขึ้นมานั่งบิดขี้เกียจแล้วมองไปที่ห้องภูผา
เห็นที่เก้าอี้ว่างเปล่าไม่มีหนูนานั่งอยู่ ดอยมองเลยไปบนเตียงเห็นหนูนานอนกอดกับภูผา
จากที่งัวเงีย ดอยตื่นทันที นึกได้หันมองอีกทีจนแน่ใจ ดอยตกใจลุกพรวดขึ้นยืนมอง
ตกตะลึงตาค้าง “ละ..ละ..ลูกพี่ กับนายภูผา!”
ภูผาขยับตัวลืมตาเห็นดอยยืนอึ้งๆ อยู่ ก็งวยงง
ภูผาเลื่อนสายตาจากหน้าดอยลงมาข้างตัว เห็นหน้าหนูนาที่นอนอยู่ข้างๆ ยิ่งเมื่อมองเห็นว่ามือตัวเองกอดหนูนาอยู่ ภูผาผละออกด้วยความตกใจ
“หนูนา!”
หนูนาสะดุ้งตื่น ขยับตัวขึ้นมานั่ง หันมาเจอดอยจ้องหน้าพลางถาม
“ทำไม...ลูกพี่..อยู่บนเตียง...กับนายภูผา?”
“เธอมาอยู่บนเตียงฉันได้ยังไง?!” ภูผาถาม
หนูนาได้สติมองภูผา แล้วรีบกระโจนผลุงลงจากเตียง พูดอึกๆ อักๆ
“ก็..ก็เมื่อคืน คุณไข้ขึ้นสูง แล้วคุณก็เพ้อว่าหนาวๆ”
ดอยพูดประสาซื่อๆ “ก็เลยกอดให้หายหนาว”
หนูนาแว้ด “ไอ้ดอย!” จะเขกหัวดอยแต่ดอยไวกว่ายกมือห้ามไว้ก่อน
“อ๊ะๆๆ อย่ามาใช้กำลังกลบเกลื่อนความจริง” ดอยพูดกับภูผา “ลูกพี่เฝ้าไข้นายทั้งคืน ซึ่งแปลว่า....”
หนูนาถลึงตาใส่ ทำท่าเขกหัวดอยให้หุบปาก แต่ดอยกระโดดหลบจนหนูนาเขกวืด! ตะโกนออกมา
“ลูกพี่เป็นห่วงนายภูผามาก...”
ดอยพูดจบก็วิ่งหนีไป หนูนาหันมาสบตากับภูผา เขินอายทำตัวไม่ถูกวิ่งออกไป
ภูผามองตามหนูนาไปสีหน้าเครียดเคร่ง หนักใจเพราะรู้ตัวดีว่าเด็กสาวรู้สึกอย่างไรกับตน
ชิงนาง ตอนที่ 3 (ต่อ)
เช้านั้น ขณะที่โฉมไฉไลขับรถแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้านแสนสมุทร และจังหวะนั้นโฉมไฉไลเห็นวงเดือนซึ่งอยู่ในชุดทำงานเดินออกมาที่หน้าบ้าน โดยมีเมฆาเดินตามออกมาติดๆ โฉมไฉไลหวบฉากแบบดู สีหน้าไม่พอ
“เดือน...” เมฆาตามมาทัน แล้วยื่นซองให้ วงเดือนมองงงๆ
“อะไรเหรอคะ”
“รับไปสิ”
โฉมไฉไลชะงักแอบดู
วงเดือนรับมาแล้วเปิดซองดูเห็นเป็นเงินหลายร้อยอยู่ในนั้น วงเดือนมองเมฆาสีหน้าไม่เข้าใจ
เมฆาบอกนิ่งๆ “เงินเดือนของเธอ”
วงเดือนท้วงทันที “แต่นี่มันมากเกินไปนะคะ”
“น้อยไปด้วยซ้ำ เธอทำงานทั้งที่คลินิก แล้วก็ต้องดูแลอรุณที่บ้าน”
“ที่เดือนทำ เพราะเดือนอยากตอบแทนบุญคุณคุณท่านที่เมตตาเดือน”
พลางยื่นซองส่งคืนให้เมฆา
เมฆายิ้มและจับมือวงเดือนแล้ววางซองให้รับไว้
“เงินนี้ฉันให้เธอ ถ้าเธอไม่รับไว้..ฉันคงต้องให้อย่างอื่นกับเธอ แต่ไม่รู้ว่าเธอจะอยากได้หรือเปล่า?”
เมฆามองด้วยสายตาเป็นประกายจู่โจมมาก วงเดือนซ่อนหน้าหลบตาวูบ จำต้องรับไว้
เมฆายิ้มพอใจและเดินเข้าบ้านไป
โฉมไฉไลเห็นเมฆาลับตัวไปแล้ว จึงหันมามองวงเดือนด้วยความคั่งแค้น พุ่งทะยานเข้าไปกระชากซองจากมือวงเดือนทันที!!
วงเดือนตกใจ “คุณโฉม!”
โฉมไฉไลเปิดซองชักเงินออกมาเห็นจำนวนเงิน เหยียดยิ้มพูดเย้ยหยัน
“ไม่น้อยเหมือนกันนะสำหรับค่าตอบแทนของผู้หญิงขายตัว”
วงเดือนชักโกรธ “ฉันไม่ได้ขายตัว!”
“เป็นนางบำเรอของผู้ชายเพื่อแลกเงิน มันก็โสเภณีดีๆ นั่นแหละ”
วงเดือนเถียงสู้ “กรุณาให้เกียรติดิฉันด้วย”
โฉมไฉไลแค่นยิ้ม “หึ..อย่างหล่อนน่ะเหรอ มีเกียรติ”
“อย่างน้อยฉันก็รู้จักรักตัวเอง ไม่วิ่งไล่ตามใครทั้งที่เขาปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า
โฉมไฉไลปรี๊ด “นังวงเดือน”
พร้อมกับเงื้อมือสุดแขนจะตบวงเดือน แต่มีมือของเมฆาเข้ามาคว้าไว้
เมฆาบอกเสียงเข้มแทบเป็นตวาด “ออกไปจากบ้านผม!”
โฉมไฉไลไม่สน วึดวือต่อ “นังนี่มันดีกว่าโฉมตรงไหน”
เมฆาสวนคำออกมาทันที “ออกไป”
โฉมไฉไลยังเชิดหน้าสู้ แต่เมฆาไม่รีรอ ลากแขนโฉมไฉไลไปเหวี่ยงที่หน้าประตูรั้วบ้านจนร่างเซถลาออกไป
“เมฆา! คุณกล้าทำกับโฉมแบบนี้เหรอ”
โฉมไฉไลไม่ลดละพุ่งเข้าไปหาอีก แต่เมฆาปิดประตูใส่หน้าโฉมแล้วล็อก จากนั้นเมฆาก็ดึงวงเดือนกลับเข้าบ้าน วงเดือนไม่ขัดขืนตามเมฆาไป
โฉมไฉไลกรี๊ดแค้นหนัก คำรามในลำคอแววตาดุดัน “นังวงเดือน!”
ภูผากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ครุ่นคิดเรื่องหนูนา ว่าต้องจัดการอะไรสักอย่างก่อนที่ความรู้สึกของหนูนาจะเลยเถิดไปมากกว่านี้
หนูนายกข้าวต้มเข้ามาวางที่หัวเตียงของภูผา ยังเขินๆ ทำหน้าไม่ถูก
“ข้าวต้ม”
“ทำเองเหรอ..หนูน้อย?”
หนูนาชะงักกึก! “ฉันชื่อหนูนา ไม่ใช่หนูน้อย แล้วฉันก็ไม่ใช่เด็กแล้ว อย่ามาเรียกฉันแบบนี้”
หนูนางอน ภูผาเห็นกิริยายิ่งมั่นใจว่าอย่างไรเสีย เขาต้องพูดกับหนูนาให้รู้เรื่อง
ภูผานิ่ง “สักวันเธอจะเจอคนที่ดี..ดีกว่าฉัน”
หนูนาฉุน มองจ้องภูผาตอบอย่างถือดี “ถ้าฉันจะชอบใคร ฉันก็จะชอบ ไม่ต้องมาสอนหรอกว่าฉันควรจะรู้สึกกับใครยังไง”
ภูผาอ่อนใจ “อย่ามาเสียเวลากับคนไม่มีหัวใจอย่างฉัน”
หนูนาสะเทือนใจมองภูผาด้วยความเจ็บปวด
“ฉันไม่ได้ถาม...รีบกินเร็วๆ เดี๋ยวฉันจะมาเก็บชาม”
หนูนาผลุนผลันออกไปจากห้อง ภูผามองตามด้วยความหนักใจ
ดอยก้มหน้าก้มตาซักผ้าอยู่ริมลำธารในไร่ หนูนาเดินฟึดฟัดเข้ามาโดยไม่เห็นดอย เพราะมีโขดหินบังอยู่
หนูนาเตะน้ำระบายอารมณ์ “โธ่โว้ยๆๆๆ”
น้ำกระเซ็นสาดซัดไปที่ดอยเต็มๆ!!
ดอยบ่นพึมพำ “หมด!..ไม่ต้องซักมันแล้วผ้า อาบน้ำมันเลยดีกว่า”
หนูนายังไม่หายหงุดหงิด
“พูดอยู่ได้ว่าไม่มีหัวใจ รู้แล้ว ไม่ต้องย้ำ”
ดอยได้ยินก็ชะงักตาโต เงี่ยหูฟัง
“แล้วเรียกอยู่ได้ หนูน้อยๆ เด็กก็มีหัวใจนะเว้ย!” ยิ่งเตะน้ำใหญ่
ในที่สุดหนูนาก็ทรุดตัวลงนั่งร้องไห้อย่างยอมแพ้
จังหวะนั้นเองดอยค่อยๆ โผล่ขึ้นมามองลูกพี่อย่างสงสารปนแปลกใจ เพราะไม่เคยเห็นมุมอ่อนแอเยี่ยงนี้
หนูนาเงยหน้าขึ้นมาปาดน้ำตา เห็นดอยจ้องมองอยู่
หนูนาตกใจ “ไอ้ดอย”
ทั้งเสียหน้าทั้งอาย หนูนาหันหลังผลุนผลันจะเดินออกไป แต่ดอยพูดขัดขึ้น
“ลูกพี่จะยอมแพ้แล้วเหรอ?”
หนูนาหยุดกึก หันมามองดอย
“ลูกพี่ของดอยไม่เคยถอดใจง่ายๆแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?”
หนูนานิ่งยอมรับสภาพผู้แพ้รัก พูดเสียงเบาหวิว “เขามีคนรักอยู่แล้ว”
“แล้วไหนล่ะคนรักของนายภูผา ตั้งแต่นายมาที่นี่ยังไม่เห็นผู้หญิงที่ไหนสักคน นอกจากลูกพี่น่ะ”
ดอยเดินเข้าไปหาหนูนา ยิ้มกว้างเพื่อให้กำลังใจ พูดจาราวกับเป็นกูรูเลิฟ
“เขาไม่รักก็ทำให้เขารักสิ! ขนาดเมื่อก่อนดอยเกลียดลูกพี่จะตาย แต่ตอนนี้..รักที่ซู๊ด” เข้าไปกอดหนูนา
หนูนาซึ้งจัดซึ้งใจ “งั้นเหรอ”
“งั้นสิ ดอยไม่อยากเห็นลูกพี่หงอยเป็นหมาเหงาอย่างงี้นะ” ดอยว่า
หนูนาพยักหน้าหงึกๆ รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมา “ใช่ คนอย่างหนูนาต้องไม่หงอยเป็นหมาเหงา!” นึกได้ “เฮ้ย! ไอ้ดอย หลอกด่ากันนี่หว่า ไอ้ดอย!”
หนูนาหันหาดอย แต่ดอยวิ่งจู๊ดหนีไปแล้ว หนูนามองตามอย่างหมั่นเขี้ยวแต่ดวงตาเป็นประกาย ตัดสินใจลุยต่อ!
พอภูผากินข้าวต้มเสร็จ จะลุกออกไปข้างนอก หนูนาเข้ามาพร้อมกับถาดจานสาลี่ แอปเปิ้ลและโถน้ำเปล่า
“คุณจะไปไหน! ยังไม่หายไข้นะ”
“ฉันจะออกไปดูไร่”
หนูนาวางถาดลงตรงโต๊ะเล็ก แล้วมาดึงภูผาให้กลับมาที่เตียง “ไม่ได้ เดี๋ยวไข้ก็กลับกันพอดี
นั่งลงกินผลไม้แล้วก็กินยา” เห็นภูผาอ้าปากจะพูด แต่หนูนาตัดบทก่อน “แล้วก็นอนพักซะ”
ภูผาปราม “หนูนา”
แต่ไม่ได้ผล “เรียกหนูน้อยเหมือนที่อยากเรียกก็ได้นะ เพราะเด็กสมัยนี้..โตไว” จ้องหน้าตาไม่ยอมกระพริบแล้วพูดชัดๆ “ดูใจกันตั้งแต่ตอนนี้ พอฉันโต..ก็รักกันได้พอดี!”
ภูผาอึ้งแกมเอือม “หนูนา..เธอนี่มัน…”
หนูนาต่อให้ทันที “หัวดื้อ...เอาจริง ไม่ยอมแพ้... แต่จริงใจนะ”
โดนรุกตรงๆอย่างนี้ เล่นเอาภูผาพูดไม่ออก หนูนายักคิ้วให้ก่อนเดินออกไป
ภูผาถอนใจอย่างหนักอก
หนูนาออกมายืนสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ ที่หน้าห้อง มือจับใบหน้าแดงของตัวเอง
“กล้าเกินไปไหมวะเนี่ย?” พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าปอดลึกเรียกกำลังใจ
หนูนามั่นเกินร้อย คิดในใจชั่วโมงนี้ต้องดับเครื่องชน!
วงเดือนกำลังดันประตูคลินิกให้เปิด....ทันใดนั้นรถคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอด คนขับเช็ควนไปรอบๆ ก่อนจะส่งสัญญาณให้พรรคพวกลงมือ!
ชายอีกสองคนลงจากรถ ตรงมาที่วงเดือนที่เปิดประตูได้พอดี วงเดือนจึงถูกรวบตัวไว้โดยไม่ทันขัดขืน วงเดือนถูกปิดปากไม่ให้ร้อง
“อย่าขัดขืน ถ้าไม่อยากเจ็บตัว” อีกคนขู่
ชายสองคนช่วยกันลากวงเดือนไปที่รถ วงเดือนพยายามดิ้นรนขัดขืนแต่สู้แรงไม่ไหว ถูกจับยัดเข้ารถ...รถวิ่งทะยานออกไปทันที
เวลาเดียวกันเมฆาเดินออกมาที่หน้าโรงพยาบาล สวนกับพยาบาลนางหนึ่ง
“ออกเวรแล้วเหรอคะคุณหมอ”
“ครับ” เมฆายิ้มให้เป็นพิธี
พยาบาลอีกคนวิ่งตามหลังมา
“คุณหมอคะ คุณหมอ” ในมือพยาบาลถือซองยา
“มีอะไรครับ”
“คนไข้ที่กลับบ้านไปเมื่อเช้า ทางห้องยาลืมจ่ายยาตัวนี้ให้ ไม่ทราบว่ายานี้ต้องกินเลยรึเปล่าคะ ถ้าต้องกินเลย จะได้ให้คนไปแจ้งให้ญาติกลับมารับยาอีกรอบ”
“ไม่ต้องแจ้ง ในเมื่อเราทำพลาด มันก็เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องแก้ไข ไม่ใช่คนไข้” เมฆาดึงซองยามาถือ “ผมจะเอาไปให้เขาเอง”
พยาบาลกิริยางวยงง “เอ่อ.. คุณหมอจะไปเองเลยเหรอคะ”
เมฆาดุ “ถ้าผมไม่ไป แล้วใครจะเป็นขอโทษเขา”
เมฆาดึงซองยาออกจากมือพยาบาลแล้วเดินออกไป
รถคนร้ายแล่นออกจากตัวเมืองไป ชาย 3 คนอยู่ภายในรถ และวงเดือนพยายามดิ้นรนขัดขืนสุดแรง
“ฤทธิ์มากอย่างนี้ สงสัยต้องขอค่าแรงเพิ่มแล้วโว้ย” ชายท่าทางเป็นลูกพี่ใหญ่บอกยิ้มๆ
ที่ท่าเรือ ช่างช่อมเรือคุยกับพฤกษ์อยู่
“ร้านมันไม่ให้ผมเอาของมาก่อน มันบอกว่าของชิ้นใหญ่เกินไป คงกลัวผมเบี้ยว
“เบี้ยว? ซ่อมเรือกันมาเป็นสิบปี แค่อะไหล่ไม่กี่ชิ้น ไม่ไว้ใจกันงั้นเหรอ” พฤกษ์แปลกใจ
“แต่ราคามันสูงอยู่นะครับนายพฤกษ์”
“ซ่อมอะไรได้ก็ซ่อมไปก่อน เรื่องนั้นฉันจัดการเอง”
พฤกษ์เดินออกไป หน้าตาไม่พอใจ
รถคนร้ายชายเลวทั้ง 3 แล่นมาจอดที่ชายหาดร้าง ลูกน้องสองคนลากวงเดือนลงมาจากรถ
วงเดือนร้องลั่น “ปล่อยฉันนะ ปล่อยสิ”
ลูกน้องคนหนึ่งจับให้หยุด “หยุดดิ้น แล้วเราจะไปจะขึ้นสวรรค์ด้วยกัน”
วงเดือนได้ฟังก็ตกใจ ขอสู้ยิบตา กัดแขนลูกน้องอีกคนที่คุมตัวอยู่เต็มแรง
“อ๊าก”
มันร้องลั่นและปล่อยมือจากวงเดือนด้วยความเจ็บปวด
วงเดือนสบโอกาสวิ่งหนีสุดชีวิต ชายเลวทั้งสามรีบวิ่งตามติด
ชายหาดด้านหนึ่งเงียบร้างไม่มีผู้คน มีซากเรือพังๆ เกยอยู่สามสี่ลำ ตรงนั้นเป็นโกดังเก็บซากเรือพังผุนั่นเอง
รถของโฉมไฉไลจอดรออยู่เหมือนคนใจเย็น ทั้งที่ข้างในแทบจะระเบิด...โฉมไฉไลใส่แว่นดำนั่งรออยู่ในรถ เหลือบมองกระจกส่องหลัง เห็นวงเดือนวิ่งหนีเตลิดมาทางรถของตน
โฉมไฉไลยิ้มสะใจ “คิดจะแย่งผู้ชายกับฉัน มันก็ต้องเจอแบบนี้”
โฉมไฉไลลงจากรถมายืนจังก้า วงเดือนเห็นเข้าก็รีบวิ่งไปหา ชะงักเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
“คุณโฉม!” วงเดือนเหลียวมองหลัง อย่างระแวง พลางเอ่ยขึ้น “ช่วยเดือนด้วยค่ะ ช่วยด้วย”
โฉมไฉไลไฉไลยิ้มเยาะที่มุมปาก กลุ่มชายเลวทั้ง 3 วิ่งตามมาทันพอดี
“ช่วยเหรอ? ฉันจะช่วยให้แกเป็นเมียมันเร็วขึ้นน่ะสิ”
วงเดือนได้ยินแทบช็อก วงเดือนขยับจะหนี แต่โฉมไฉไลจับตัวไว้ได้ก่อน และผลักไปให้กลุ่มชายเลว
วงเดือนยกมือไหว้น้ำตาไหลพราก “เดือนไหว้ล่ะค่ะคุณโฉม อย่าทำแบบนี้ ปล่อยเดือนไปเถอะ”
โฉมไฉไลเดินเข้าไปใกล้ๆ วงเดือน สีหน้าถมึงทึงร้ายกาจ
“เพราะไอ้หน้าซื่อๆ ที่แกเสแสร้งทำอยู่นี่ใช่ไหม? เมฆาถึงหลงแกหัวปักหัวปำ”
“ฉันนับถือคุณเมฆาเหมือนเจ้านาย ไม่เคยคิดเป็นอื่น ฉันสาบานได้” วงเดือนเสียงแข็ง
โฉมไฉไลกร้าว ตาดุ “คำสาบานจากคนอย่างแก ฉันเชื่อก็โง่แล้ว!”
โฉมไฉไลตบหน้าวงเดือนฉาดใหญ่ แล้วซ้ำอีกข้างต่อทันที วงเดือนหน้าแดง ปากแตกเลือดไหล
โฉมไฉไลหันไปสั่งชายเลว “เอาตัวมันไป..ทำอะไรก็ได้ที่พวกแกอยากทำ!”
วงเดือนตกตะลึง ตาค้าง “คุณโฉม”
3 คนร้ายรุมกันจับตัววงเดือนด้วยสีหน้าหื่นๆ
“ปล่อยนะ ปล่อยฉันนะ”
วงเดือนถูกกระชากพาตัวไปที่ซากเรือ โฉมไฉไลมองตามไปด้วยความสะใจ
“อยากรู้นักว่าถ้าเนื้อตัวแกมันแปดเปื้อนแล้ว เมฆายังจะต้องการแกอีกไหม นังวงเดือน!”
โฉมไฉไลกลับขึ้นรถแล้วขับออกไป
ทิ้งวงเดือนที่พยายามดิ้นรนขัดขืน และ กรีดร้องไว้ข้างหลัง โดยไม่แยแส
เมฆาขับรถมาตามทางท่าทีร้อนใจ
ส่วนที่บริเวณชายหาดร้างวงเดือนดิ้นรนขัดขืนเต็มกำลัง
เมฆาขับรถมาเรื่อยๆ
ขณะเดียวกันที่ชายหาดวงเดือนกัดมือชายชั่วที่พยายามจะปิดปากไม่ให้ส่งเสียงร้อง
“โอ๊ยย!!” มันปล่อยมือ
วงเดือนเตะผ่าหมากชายชั่วอีกคนที่เป็นลูกพี่สุดแรงเกิด ก่อนจะหันไปผลักอีกคน ชายชั่วทั้ง 3 เสียหลักล้มกันไปหมด วงเดือนสะบัดตัวอย่างแรงจนหลุดรอด แล้วรีบวิ่งหนีไป
ลูกพี่ทั้งเจ็บทั้งจุก แหกปากสั่งลูกน้อง “ไปเอาตัวมันมา ข้าจะให้มันกราบขอโทษก่อนเอามาทำเมีย”
ลูกน้องสองคนวิ่งตามวงเดือนไปท่าทีโกรธจัด
วงเดือนตะโกนสุดเสียงขอความช่วยเหลือ “ช่วยด้วย... ช่วยด้วย...”
วงเดือนวิ่งหนีมาถึงหัวโค้งถนนพอดี จู่ๆ มีรถคันหนึ่งแล่นตีโค้งมาอย่างรวดเร็ว เป็นเมฆานั่นเอง ที่ขับรถคันนั้น หมอหนุ่มมองไปเบื้องหน้า เห็นวงเดือนเข้า แต่ขณะนั้นรถกำลังจะพุ่งชนอยู่แล้ว
“เดือน”
ไวเท่าความคิด เมฆาตกใจหักพวงมาลัยหลบ พลางเหยียบเบรคอย่างแรง เสียงเอี๊ยด... ดังลั่นทั่วบริเวณ วงเดือนที่ล้มกลิ้งไปบนถนนรีบลุกขึ้นวิ่งไปหาเมฆา
“คุณเมฆา! ช่วยเดือนด้วย”
เมฆารีบลงจากรถ เดือนรีบวิ่งไปหลบข้างหลังเมฆาด้วยความกลัว
“เกิดอะไรขึ้นเดือน”
เมฆาหันกลับไปมอง เห็นสองชายชั่วกำลังวิ่งเข้ามาถึง ปากแกว่งเยาะเย้ย
“เฮ้ย มีวีรบุรุษมาช่วยเว้ย ฮ่าๆๆ” ลูกพี่ว่า
“หน้าขาวๆ แบบนี้จะมีปัญหาอะไร๊!!” ลูกน้องผสมโรง
สองชายชั่วเดินย่างสามขุมเข้าใส่เมฆา จะคว้าร่างวงเดือนที่หลบอยู่ข้างหลัง
“มานี่..นังตัวดี!”
เมฆาเอาตัวเองบังวงเดือนไว้แล้วจับแขนชายชั่วคนหนึ่งรั้งไว้ ก่อนจะผลักออกไปเต็มแรง จากนั้นเมฆาก็เปิดฉากต่อสู้กับ 2 นักเลง ลีลาชั้นเชิงเมฆานั้นแตกต่างจากภูผา แต่เป็นนักสู้แนวใช้สมอง อาศัยจังหวะ ปกป้องกันตัว วงเดือนตกใจกรีดร้องเป็นระยะ…การต่อสู้ดุเดือดมากขึ้น จังหวะนั้นเมฆาถูกชกหน้าอย่างแรงจนทรุดล้มลงกับพื้นถนน
วงเดือนตกใจมาก “คุณเมฆา!
ลูกพี่ใหญ่ตามมาถึง 3 ชายชั่วหมายจะรุมกระทืบเมฆาให้จมตีน แต่ทันใดนั้น กระสุนปืนยิงมาที่ข้างตัวชายชั่วลูกพี่ดังเปรี้ยง!!
ทั้งหมดชะงักกึก
เสียงพฤกษ์ดังก้อง “หยุดเดี๋ยวนี้”
พฤกษ์ก้าวเข้ามาอย่างองอาจพร้อมปืนในมือเล็งไปที่สองชายชั่วที่กำลังจะรุมเมฆา มองออกไปเห็นรถของพฤกษ์จอดอยู่ไม่ไกลออกไป
“ถอยไป” พฤกษ์สั่งเสียงกร้าว
สองชายชั่วกึกกักๆ จะถอยแต่ไม่ยอมถอย
พฤกษ์ไม่รอจังหวะ ยิงปืนขู่ไปที่เท้าของชายชั่วทั้งสองคนไปอีก 2 นัด เปรี้ยงๆ!!
คราวนี้พวกมันถอยกรูด มองปืนในมือพฤกษ์อย่างกลัวๆ
แต่ตัวลูกพี่ ยังทำปากดีหันมาขู่วงเดือน
“ได้ ครั้งนี้พวกเอ็งอยากเป็นพระเอก ข้าก็จะให้เป็น แต่ระวังนังหน้าสวยนั่นไว้ให้ดีเถอะ ถ้าเที่ยวไปแย่งผัวใครเข้าอีกล่ะก็...ไม่รอดแน่”
เมฆาสะกิดใจในคำพูดของมัน ชายหนุ่มนิ่งคิด
ลูกพี่นักเลงชั่วยอมถอย “ฮึ่ย” แต่เตะถีบลูกน้องด้วยความโมโห
วงเดือนยังตกใจไม่หายเนื้อตัวสั่นเทา พฤกษ์โอบหลวมๆ ปกป้องด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ต้องกลัว ปลอดภัยแล้วนะเดือน”
เมฆาครุ่นคิด เหมือนนึกบางอย่างแล้วออก สีหน้าโกรธจัด
“พี่พฤกษ์ พาเดือนกลับไปก่อน”
“แกจะไปไหน?”
เมฆาไม่ตอบ แต่รีบร้อนขึ้นรถขับทะยานออกไป
พฤกษ์มองตามอย่างสงสัย ในขณะที่วงเดือนตัวสั่นน้ำตาร่วงพรู พฤกษ์ประคองใบหน้าวงเดือนและเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน
“ไม่เป็นอะไรแล้วเดือน...ฉันอยู่นี่แล้ว...”
วงเดือนกอดพฤกษ์ด้วยความขวัญเสีย
“เดือนกลัวค่ะ...ถ้าคุณพฤกษ์กับคุณเมฆาไม่มา...เดือนคง…”
พฤกษ์ยืนอึ้งเห็นสภาพแล้วสุดแสนจะสงสาร ตระกองกอดวงเดือนอย่างห้ามใจตัวเองไม่อยู่แล้ว
โปรดติดตาม "ชิงนาง" ตอนต่อไป
ชิงนาง ตอนที่ 3 (ต่อ)
โฉมไฉไลกลับมารอฟังผลงานอยู่ที่ภัตตาคาร และกำลังนั่งหน้าหงิกมองจ้องอนงค์ผู้เป็นแม่ ที่หยิบกระเป๋าเงินเตรียมจะออกไปข้างนอก
“เดี๋ยวแม่มา” อนงค์ว่า
“ไปบ่อนอีกล่ะสิ”
อนงค์หันขวับมาโวยใส่อย่างหงุดหงิด “ฉันไปหาเงินย่ะ รอเงินจากภัตตาคารทางเดียว มันพอใช้หนี้ที่ไหนล่ะ”
โฉมไฉไลบ่น เหน็บเบาๆ “ก็เห็นเสียกลับมาทุกที”
อนงค์ได้ยินก็ไม่พอใจหนัก “ก็เพราะปากแกเป็นอย่างงี้ไง ฉันถึงไม่เฮงสักที” สั่งเสียงเข้ม “ดูแลร้าน..อย่าออกไปไหนล่ะ!
อนงค์เดินฉับๆ ออกไป
โฉมไฉไลฟึดฟัด “ดูแลร้าน? ไม่เห็นมีลูกค้าสักคน”
ภัตตาคารโล่งไม่มีลูกค้าสักโต๊ะ มีแต่พนักงาน 2 คนยืนมองอยู่ โฉมไฉไลถอนหายใจเซ็งมากๆ
ประตูเปิดผัวะเข้ามา โฉมไฉไลไม่ทันมองหันไปสั่งพนักงาน “ไปดูแลลูกค้าสิ!”
พนักงานเดินไปที่ประตู แต่เป็นเมฆาที่เปิดประตูเข้ามา แล้วเดินสวนเข้ามาสีหน้าเครียด
โฉมไฉไลผงะไป แต่รีบปรับสีหน้าตั้งรับ
พนักงานพูดกับเมฆา “เชิญครับ”
เมฆาไม่ฟัง พุ่งตรงเข้าไปหาโฉมไฉไลด้วยอาการหัวเสีย โฉมไฉไลตกใจ แต่วางมาดนิ่งไว้ก่อน
“ฝีมือคุณใช่ไหม”
โฉมไฉไลเถียงกลับ ทำเป็นไม่รู้เรื่อง “คุณพูดเรื่องอะไร? โฉมไม่เข้าใจ”
“ก็เรื่องที่คุณทำกับเดือนไง! ไปกับผม” คว้าแขนหมับ
โฉมไฉไลขืนตัวเต็มที่ “ปล่อยโฉม”
เมฆาจับข้อมือแน่น “จะไปขอโทษเดือนดีๆ หรือว่าจะให้ผมแจ้งตำรวจจับคุณ”
โฉมไฉไลชะงัก สะบัดมือออกเต็มแรง ไม่ยอมแพ้ แถมเสียงดังใส่ “โฉมไม่รู้เรื่อง”
เมฆายืนกราน “อย่าปฏิเสธ ผมรู้ว่าคุณเป็นคนทำ”
โฉมไฉไลสวนทันที “แล้วไง รู้แต่ไม่มีหลักฐาน จะทำอะไรโฉมได้ แน่จริงก็ลากโฉมเข้าตะรางให้ได้สิ!”
เมฆามองเหยียดสายตาดูแคลน “คุณนี่มันเป็นผู้หญิงที่น่ารังเกียจจริงๆ”
โฉมไฉไลปรี๊ด “เมฆา”
เมฆาสวนทันที “ขอบคุณที่วันนั้นคุณทิ้งผมและไปจากชีวิตผม แล้วผมก็ขอให้คุณอย่าย้อนกลับเข้ามาในชีวิตผมอีก”
โฉมไฉไลแทบคลั่ง “ฝันไปเถอะ! โฉมจะคอยทำลายชีวิตคุณจนกว่าคุณจะเลิกกับนังวงเดือน”
เมฆาบอกเสียงเข้ม “อย่ายุ่งกับเดือนอีก ไม่งั้นคุณได้เข้าไปอยู่ในตะรางสมใจแน่”
เมฆาหันหลังเดินออกไปอาการฉุนเฉียว โฉมไฉไลโกรธจนตัวสั่นปากสั่นก่อนจะอดทนไม่ไหว
แหกปากกรี๊ดออกมา “อ๊ายยย”
พนักงานสองคนหันมองมาเป็นตาเดียว
เวลาเคลื่อนคล้อย จากบ่ายเป็นค่ำ
คืนนั้น...สองแม่ลูกอยู่ที่ชั้นบนของภัตตาคารจีน อนงค์รู้เรื่องก็โวยวายใส่โฉมไฉไลด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“สมน้ำหน้า! โดนขนาดนี้ ยังคิดจะกลับไปยุ่งกับมันอีกไหม”
โฉมไฉไลฉุน “หม่าม้า!ถ้าช่วยอะไรไม่ได้ก็ไม่ต้องมาซ้ำเติมโฉม”
“จะให้ช่วยแกงั้นเหรอ ลำพังตัวฉันเองยังเอาไม่รอด แค่คิดเรื่องใช้หนี้ ฉันก็เครียดพอแล้ว ถ้าในสมองแกคิดแต่เรื่องผู้ชายก็กลับกรุงเทพฯไป แต่ถ้าจะอยู่ที่นี่ก็หางานทำซะ จะได้เอาเงินมาช่วยกันใช้หนี้!”
“คนอย่างโฉมไม่ต้องทำงานหาเงินหรอก มีแต่ผู้ชายแย่งกันจะหาเลี้ยง”
อนงค์กุมหัวอยากจะตาย พูดตอกหน้า “ไหนล่ะผู้ชายที่แกว่า ไหน? ฉันไม่เห็นหัวซักคน”
โฉมไฉไลเสียหน้าฟ่อดแฟ่ด เถียงไม่ได้
“ถ้าคิดจะไม่ออกแรง ก็ต้องใช้สมองให้มันมากกว่านี้ ลูกชายแสนสมุทร มีตั้งสี่คน คนนี้มันไม่เอาแก แกก็ไม่เอาคนอื่นสิ ไม่ว่าแกจะได้คนไหน...มันก็หมายถึง เงิน เหมือนกันนั่นแหละ อย่าโง่!”
อนงค์เดินหนีไป...โฉมไฉไลแค้น ยังไม่เห็นด้วยกับความคิดของแม่
ตรงหน้าเรือนพัก พฤกษ์ยื่นน้ำให้วงเดือนที่ยังมีอาการตกใจอยู่
“ขอบคุณนะคะคุณพฤกษ์ที่ช่วยเดือน...” วงเดือนไหว้ขอบคุณ
“มันเป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้ว ที่ต้องปกป้องคนที่ฉัน...” คำว่ารักยังไม่ทันพูดออกไป
วงเดือนมองพฤกษ์รู้ดีว่าพฤกษ์จะดึงเข้าเรื่องรัก จึงตัดบทพูดแทรกขึ้น “เดือนขอตัวไปพักก่อนนะคะ”
วงเดือนลุกขึ้น แต่พฤกษ์ยังยื้อไว้
“เดือน.. เดือนรู้ใช่ไหมว่านักเลงพวกนั้น มันเป็นใคร?”
วงเดือนไม่อยากให้เรื่องมันลุกลามไปมากกว่านี้จึงตัดบท “เดือนเพลียมาก ขอตัวนะคะ”
พฤกษ์ไม่กล้ายื้อต่อ วงเดือนรีบเดินเข้าห้องพักทันที
พฤกษ์มองตามคิดว่าเมฆาน่าจะรู้เรื่องนี้
ที่ห้องโถงใหญ่บ้านแสนสมุทรคืนนั้น เมฆาเดินเข้ามา เจอกับพฤกษ์ที่นั่งรอหน้าเครียดอยู่
“พี่พฤกษ์...”
พฤกษ์ลุกขึ้นเดินเข้ามาหาถามทันที “ที่เดือนโดนทำร้ายเพราะแกใช่ไหม?”
เมฆารับอย่างไม่สะทกสะท้าน “ใช่ แต่ผมจัดการเรียบร้อยแล้ว”
พฤกษ์ขัดใจ “มาจัดการตอนนี้มันไม่สายไปหน่อยเหรอ? ถ้าวันนี้เราไม่ไปช่วยไม่ทันเดือนจะเป็นยังไง! แกไม่ควรทำให้เดือนต้องเดือดร้อนแบบนี้ เดือนเป็นคนดี”
เมฆามองพฤกษ์อย่างพินิจพิจารณา “ดูพี่พฤกษ์ห่วงใยเดือนมากกว่าความเป็นพี่ชายนะครับ”
พฤกษ์ตกใจนิดๆ ที่เมฆาพูดจี้ใจดำ ก่อนที่จะย้อนกลับอย่างรู้ทัน
“ก็ไม่ต่างจากแกหรอก!”
เมฆาไม่ปฏิเสธ “ผมยอมรับ...ว่าผมรักเดือน!”
สองพี่น้องยืนสู้สายตา มองจ้องหน้ากัน ต่างคนต่างยอมรับแมนๆ
ศรีดารายืนอยู่ชั้นบนมองลงมาข้างล่าง อึ้งตะลึงงันกับเรื่องที่ได้ยิน! ระหว่างนั้นหันไปเห็นอรุณยืนอยู่ที่ด้านหลังอีกมุมไม่ห่างกันนัก
และอรุณกำมือแน่นที่มีคู่แข่งหัวใจเพิ่มอีกสองคน!
อนุตนั่งอ่านหนังสือภาษาอังกฤษอยู่บนเตียง เป็นตำราความรู้ทางการแพทย์
ศรีดาราใจสั่นเดินตัวแข็งเข้ามาด้วยอาการช็อก อนุตหันมองเห็นศรีดารายืนนิ่ง
อนุตเห็นที่มือศรีดาราว่างเปล่าก็แปลกใจ “อ้าว ไหนบอกว่าหิวน้ำ แล้วทำไมไม่เอาน้ำขึ้นมาด้วยล่ะ”
ศรีดาราไม่ตอบ ลงนั่งที่เตียง
“คุณคะ.. ที่คุณแม่เคยพูดว่า วงเดือนเป็นตัวกาลกิณีจะทำให้บ้านเรา...วิบัติ...”
อนุตรู้ว่ามีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ “มีอะไรหรือเปล่า?”
ศรีดารากำลังจะเล่า แต่อีกใจหนึ่งก็ลังเล อนุตรอฟังอย่างตั้งใจ
ที่สุดศรีดาราตัดสินใจไม่เล่า “ไม่มีค่ะ”
อนุตเข้าใจไปเองว่าศรีเรือนคุยเรื่องวงเดือนกับศรีดารา จนทำให้เธอไม่สบายใจ
“คุณแม่จะเชื่อเรื่องคำทำนายพวกนั้น...ก็ปล่อยเขา แต่ผมไม่เชื่อ! ถ้าไม่นับเรื่องภูผา พฤกษ์ก็กำลังรับช่วงกิจการต่อจากผม เมฆาก็ดูแลอรุณ ดูแลคลีนิกได้ดี ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าไอ้เรื่องบ้าๆ นั่นจะเป็นจริงได้ยังไง” อนุตว่า
ศรีดาราอึกอัก “ค่ะ”
อนุตไม่ทันสังเกตเห็นว่าสีหน้าศรีดารายามนี้ รู้สึกกังวลมากแต่ไม่กล้าพูดออกไป
วงเดือนเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว หยิบที่ถักนิดติ้งออกมา วงเดือนมองรูปของภูผาที่อยู่ในลิ้นชัก
“แต่เธอเป็นผู้หญิง ยังไงก็ต้องถูกปกป้อง” ถ้อยคำของภูผาดังก้องในหัว พร้อมๆ กับเหตุการณ์ในวันนั้นผุดพรายในความคิดคำนึงของวงเดือน
กลางวันวันนั้น ที่บริเวณชายหาด ภูผาจ้องหน้าเดือนใกล้ๆ แววตาแข็งๆ ไม่สวีทหวาน
ภูผายิ้มกวน “โชคดีแค่ไหนแล้ว ที่คนอย่างฉันอยากปกป้องเธอ”
วงเดือนอยู่ในชุดนักศึกษาพยาบาล กำลังจะเดินหนี แต่ภูผาขวางไว้
“ถ้าลำบากนักก็ไม่ต้องทำสิคะ เดือนไม่ได้เรียกร้องซะหน่อย”
ภูผาฉุนถูกย้อน เหวี่ยงเลย “นี่เธอหาว่าฉันอยากทำเองงั้นเหรอ ฉันเนี่ยนะจะอยากยุ่งกับผู้หญิงอย่างเธอ สวยมากรึไง ฮะ”
วงเดือนงอน “เดือนไม่สวย ไม่ต้องมายุ่งกับเดือน”
วงเดือนเดินหนี ภูผารีบตามไป...รู้ว่างอน แต่ง้อไม่เป็น
“หันมาซิ”
วงเดือนเหลือบตามองแวบหนึ่ง แล้วทำไม่สนใจ
“ฉันบอกให้หันมา”
วงเดือนไม่สนใจ รีบเดินหนี...ภูผาจับหน้าวงเดือนให้หันมามองตรงๆ สบตากัน...ภูผาสำรวจหน้าเดือนนิ่งๆ กิริยากวนๆ....ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่สนใจ
“ก็พอดูได้”
ภูผาพูดจบจูบวงเดือนทันที
วงเดือนผลักออกอย่างแรง “นี่คุณเป็นบ้าอะไร ทำไมต้องจูบฉันด้วย”
ภูผาบอกทันทีไม่ต้องคิด “รักไง! รักจนอยากแสดงความเป็นเจ้าของ อยากดูแล..อยากปกป้อง”
วงเดือนอึ้งไป พูดไม่ออก
วงเดือนนึกขึ้นมาแล้วน้ำตาคลอ
“ไหนคุณบอกว่าจะดูแลปกป้องฉัน?...คุณภูผา”
วงเดือนกลั้นน้ำตา มือกำเสื้อไหมพรมแน่น คิดถึงภูผามากมายเหลือเกิน
เวลาผ่านไป ตกดึกคืนนั้น วงเดือนถักเสื้อนิตติ้งอย่างตั้งใจและทะนุถนอม อรุณจะเดินเข้ามาหาที่เรือนพักชะงักมอง
อรุณเห็นวงเดือนยกเสื้อที่ถักจนเป็นรูปเป็นร่าง ถักแขนซ้ายเสร็จแล้วกำลังต่อแขนขวา
ชอุ่มเดินผ่านมาพอดี อรุณเรียกไว้
“ชอุ่ม”
ชอุ่มตกใจ “คุณอรุณ มายืนทำอะไรตรงนี้คะ ชอุ่มตกใจหมด”
อรุณแปลกใจ “เดือนถักเสื้อตัวนั้นให้ใคร”
“เสื้อ?” หันไปมองวงเดือน “อ๋อ เห็นว่าจะถักให้คนสำคัญน่ะค่ะ”
“คนสำคัญ?”
อรุณเข้าใจว่าวงเดือนถักเสื้อให้ตน อรุณยิ้มๆ แล้วเดินไปเงียบๆ โดยที่ชอุ่มไม่ทันสังเกตุ
“ใช่ค่ะ” ชอุ่มเล่าติดลม “เดือนบอกว่าคนๆ นี้อยู่ไกลมากด้วยค่ะ นี่ยังกลัวว่าจะส่งไปไม่ถึงมือเขา” พอหันมาแต่ไม่เห็นอรุณแล้ว ชอุ่มงง “อ้าว”
เช้าวันต่อมาอรุณนั่งอยู่บนเตียงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อย่างอารมณ์ดี
วงเดือนเปิดประตูเดินเข้ามาพร้อมกับถาดยา อรุณรับยามาทานและยิ้มให้วงเดือนอย่างอารมณ์ดี
“เช้านี้ดูคุณอรุณอารมณ์ดีจัง มีอะไรเหรอคะ?”
อรุณยังไม่ทันตอบ ศรีดาราเดินเข้ามาในห้องเจอวงเดือนก็ชะงักเล็กน้อย แล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มเดินเข้าไปหาอรุณ
“แม่จะไปซื้อของเตรียมใส่บาตรวันสำคัญพรุ่งนี้ อรุณอยากได้อะไรเป็นพิเศษไหมลูก?”
อรุณเหลือบมองทางวงเดือน “วันสำคัญของผม...ผมอยากได้ของขวัญที่คนให้เขาตั้งใจทำให้ผมน่ะครับแม่”
วงเดือนได้ยินแต่ไม่เอะใจ หยิบถาดยาที่ทานเรียบร้อยแล้วเดินออกไป
ศรีดารามองตามอยากจะเดินตามไป แต่อรุณถามขึ้นมาเสียก่อน
“แม่ครับ” ศรีดาราชะงักหันมาหา “แม่ว่าทุกคนในบ้านจะจำวันเกิดผมได้ไหมครับ?”
ศรีดาราลูบหัวลูกชายขี้โรคด้วยความรัก “ต้องจำได้สิ เพราะอรุณคือหัวใจของบ้านหลังนี้”
ศรีดาราหอมแก้มลูกชายก่อนเดินออกไป แววตาอรุณเปี่ยมไปด้วยความหวัง
ขณะที่ที่วงเดือนกำลังจะเดินกลับไปที่เรือนพัก ศรีดาราเดินตามมา
“วงเดือน”
วงเดือนหยุดชะงัก หันมา “คะคุณป้า มีอะไรให้เดือนรับใช้คะ?”
“ป้าอยากจะถามอะไรหน่อย ปีนี้เดือน...อายุเท่าไหร่แล้ว”
“ยี่สิบค่ะ”
“แล้ว..เดือนมีคนรักหรือยัง?”
เจอคำถามแบบนี้ วงเดือนพูดไม่ออกเลยทีเดียว ศรีดาราไม่รอคำตอบ ถามต่อทันที
“บอกป้าได้ไหมว่าเขาเป็นใคร?”
วงเดือนอึกอัก “คือ...เดือน...”
ศรีดารารอลุ้นคำตอบ
แต่จังหวะนั้น เสียงชอุ่มดังขัดจังหวะขึ้น
“อ้าว..เดือน อยู่ตรงนี้นี่เอง มาช่วยพี่ตั้งสำรับหน่อย”
ชอุ่มเดินถือถาดออกมาจากครัว ชอุ่มชะงักเมื่อเห็นศรีดารายืนอยู่กับวงเดือน
“อุ้ย..ขอโทษค่ะ ไม่คิดว่าเดือนกำลังคุยอยู่กับ...”
วงเดือนสบโอกาส “เดือนขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”
วงเดือนรับถาดจากชอุ่มแล้วรีบออกไป ศรีดารามองด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ท่ามกลางความสลัวรางของค่ำคืนนั้น เทียนถูกจุดด้วยไม้ขีดไฟจนสว่างวาบขึ้นเห็นว่าเป็นภูผาที่เป็นคนจุดเทียน
“สุขสันต์วันเกิดนะอรุณ...”
หนูนาถือผ้าห่มเดินเข้ามาพอดี เห็นภูผาจุดเทียนจึงมองอย่างสงสัย
“คุณจุดเทียนทำไม ไฟก็ไม่ดับสักหน่อย”
“วันนี้เป็นวันเกิดน้องชายฉัน”
หนูนามีท่าทีโล่งใจ ภูผาสังเกตุเห็นจึงพูดต่อ
“แต่ถ้าคนสำคัญของฉันน่ะ อีกสองเดือนถึงจะวันเกิดเขา”
หนูนาสะเทือนใจ แต่ยังยิ้มรับยิงมุกสด “คุณรู้ได้ยังไงเนี่ย” ภูผามองอาการงวยงง “...ว่าอีกสองเดือนตรงกับเดือนเกิดของฉันพอดี”
ภูผาคราง หงุดหงิดที่เด็กสาวตื๊อไม่เลิก “หนูนา”
หนูนาตัดบท “ฉันเอาผ้าห่มมาเพิ่มให้”
หนูนาวางผ้าห่มเสร็จก็เดินหนีออกไปไม่เปิดโอกาสให้ภูผาได้พูดต่อ
ภูผามองความดื้อและไม่ยอมแพ้ของหนูนาอย่างหนักใจ
นาฬิกาในห้องนอนอรุณบอกเวลาเที่ยงคืนกว่า อรุณดูนาฬิกา รอคอยอย่างกระวนกระวาย ยินเสียงประตูถูกเปิดเข้ามา
อรุณพึมพำ “เดือน” รีบหันขวับไปมอง
เห็นเป็นเมฆาเดินเข้ามาในห้อง
สีหน้าอรุณผิดหวัง “พี่เมฆา…”
เมฆารู้เลยว่าอรุณรอวงเดือนอยู่ “ดึกแล้วทำไมยังไม่นอนอีก?” เดินเข้ามานั่งข้างเตียง “วันนี้เป็นยังไงบ้าง?”
“ก็เหมือนเดิม กินข้าว เรียนภาษา แล้วก็กินยาตามที่คุณหมอเมฆาสั่ง” อรุณประชดอยู่ในที
เมฆายิ้มขำในความเอาแต่ใจตัวเองของอรุณก่อนที่จะส่งกล่องของขวัญให้
“สุขสันต์วันเกิดนะ”
อรุณรับมาและเปิดออกดูอย่างแกนๆ เห็นว่าเป็นนาฬิกาข้อมือ “ขอบคุณครับ”
เมฆามองหน้าอรุณอย่างรู้ทัน “รอเดือนอยู่เหรอ?”
“วันนี้วันเกิดผม” อรุณพูดอวดโอ้ “ผมรู้ว่าเดือนเตรียมของขวัญไว้ให้ผมแล้ว”
“นายรู้เหรอว่าเดือนเตรียมอะไรไว้ให้”
อรุณพูดเองเออเอง “เดือนถักเสื้อกันหนาวให้ผม เดือนบอกว่าเขาทำให้เฉพาะคนสำคัญเท่านั้น”
ลึกลงไปในสีหน้า เมฆารู้สึกอิจฉา
โปรดติดตาม "ชิงนาง" ตอนต่อไป