ราชินีลูกทุ่ง ตอนที่ 1
เสียงไก่ขันดังแหวกอากาศไปทั่วบริเวณ ขณะที่พระอาทิตย์เคลื่อนตัวขึ้นโผล่เหนือโค้งฟ้า ยามเช้าที่บ้านไม้เก่าๆ ของยายอุ่นมีห้องนอนห้องเดียวแต่มีมุ้งสองหลังกางอยู่ในห้องเดียวกัน...แก้วตาลุกขึ้นนั่ง หันไปมองกุ้งนางที่นอนหลับอยู่ แก้วตายิ้มเอื้อมมือไปลูบแก้มลูกอย่างรักใคร่แล้วก้มลงหอมแก้มลูก
“กุ้งนางลูกแม่...หนูเป็นหัวใจของแม่”
แก้วตายิ้มเศร้า ขยับผ้าห่มคลุมตัวให้กุ้งนาง แล้วค่อยๆลุกออกจากมุ้งไป กุ้งนางนอนหลับสนิท
แก้วตาหันไปตักน้ำจากบ่อหิ้วกระป๋องน้ำมาในครัว ใส่ไว้ในตุ่ม แก้วตาเหนื่อยหอบหยิบข้าวมาซาว หันไปหยิบหม้อหุงข้าวเก่าๆลงมา หม้อหูขาดหล่นลงไปที่พื้น แก้วตาก้มลงเก็บหม้อขึ้นมาดู
“ตายจริง หูหลุดซะแล้ว...ทำยังไงล่ะทีนี้”
แก้วตามองหาหม้อดีกว่านี้ ไม่มี เธอถอนใจเซ็งๆ แล้วเอาข้าวเทใส่หม้อใบที่หูขาด ตั้งบนเตา แล้วหันหลังไปทำอย่างอื่นต่อ
กุ้งนางพลิกตัวไปกอดแม่ตามความเคยชิน แต่ไม่เจอแม่ กุ้งนางลุกขึ้นงัวเงีย แล้วพับที่นอนเก็บ ยายอุ่นเปิดมุ้งลุกขึ้นจะเก็บ กุ้งนางเห็นเข้าก็รีบเข้าไปหายาย
“มาจ้ะยายฉันช่วย”
“แม่เอ็งเขาตื่นแล้วเหรอ”
“จ้ะ...สงสัยไปหุงข้าวแล้ว”
สองยายหลานช่วยกันเก็บที่นอนหมอนมุ้ง
หม้อข้าวเดือดน้ำล้นออกมาท่วมเตา แก้วตาหันไปเห็นเข้าตกใจ หยิบผ้าขี้ริ้วยกหม้อออกจากเตา แต่ร้อนหม้อข้าวหกกระจายอยู่ข้างตัว แก้วตาร้องกรี๊ดเพราะน้ำร้อนลวกขา กุ้งนางกับยายอุ่นรีบมาดู
“นังแก้ว!”
“แม่จ๋า...แม่เป็นอะไรไปเนี่ย”
“หม้อข้าวมันหลุดมือน่ะลูก”
ยายอุ่นหันไปสั่งหลาน
“ไอ้กุ้ง ไปเอายาสีฟันกับน้ำเย็นมาเร็ว”
กุ้งนางรีบไปตักน้ำในตุ่มและหยิบยาสีฟันมา ยายอุ่นค่อยๆเอาน้ำเย็นราดล้างแผล แล้วเอาผ้าเช็ดขาให้ ก่อนจะหันไปบอกหลาน
“เอายาสีฟันค่อยๆ ทานะ”
กุ้งนางเริ่มลงมือทายาสีฟันให้แม่ตามแผลที่แดง
“เดี๋ยวก็หาย” กุ้งนางเป่าแผล “เพี้ยง” แล้วหันไปเอ็ดหม้อหุงข้าว “เดี๋ยวจะเอาไปทำเป็นชามข้าวไอ้ด่างซะเลย...หนอยแนะ มาทำแม่ฉันได้”
แก้วตากับยายอุ่นมองกุ้งนางอย่างเอ็นดู
“อย่าไปว่ามันเลยลูก...หม้อมันเก่ามากแล้ว แม่ก็ซุ่มซ่ามเอง ไม่ทันระวัง”
“งั้นแม่ก็ซื้อหม้อใบใหม่สิ”
แก้วตาถอนใจ
“ให้แม่เก็บเงินอีกสักหน่อยนะ ตอนนี้เรายังไม่ค่อยมีเงิน อะไรที่พอประหยัดได้ก็ใช้ไปก่อน”
“งั้นฉันจะซื้อหม้อใหม่ให้แม่นะจ๊ะ เอาแบบสวยๆ เหมือนในโฆษณาเลย”
ยายอุ่นมองหลานอย่างเอ็นดู
“หม้อใบนึงตั้งแพงเอ็งมีปัญญาเหรอ”
“นั่นสิ ตัวแค่นี้จะไปหาเงินมาจากไหน”
แก้วตาดึงกุ้งนางมากอดไว้ กุ้งนางไม่ตอบ แววตาตั้งใจมาก
ในตลาดยามเช้าเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เป็นแผงเล็กๆ กุ้งนางแอบดูแม่จัดผักอยู่ที่แผงขายผัก ครู่หนึ่งก้านกับชะเอมเข้ามา ชะเอมสะกิดกุ้งนาง
“จะไปได้หรือยัง”
“เดี๋ยวก่อนสิพี่...ฉันรอดูแม่อีกแป๊บนึง”
“อย่าบอกนะว่าเอ็งเปลี่ยนใจแล้ว”
“ดีแล้วกุ้ง พี่ว่าอย่าไปเชื่อชะเอมเลย คิดดูสิ ถ้าน้าแก้วรู้ว่ากุ้งหนีเรียนมีหวัง”
ก้านทำท่าปาดคอ ชะเอมหันมาดุก้าน
“ไอ้ก้าน นี่แกจะมาโทษฉันได้ไง กุ้งนางมันเป็นคนบอกจะไปเองนี่นา”
“ถ้าแกไม่บอกข่าวกับกุ้งๆ มันจะรู้เรื่องได้ไง”
“แต่ไอ้กุ้งมันก็ทำเพื่อแม่นะเว้ย”
กุ้งนางเซ็งๆ
“นี่หยุดเถียงกันได้แล้ว ฉันตัดสินใจแล้ว เป็นไงเป็นกัน”
ชะเอมหันไปหาก้าน
“เอางี้ ถ้าเอ็งไม่อยากไป ก็ไปเรียนคนเดียว ไปกุ้ง เดี๋ยวไม่ทัน”
ชะเอมลากกุ้งนางเดินหนีไป ก้านยืนครุ่นคิดมองตามตัดสินใจไม่ถูก
ชะเอมเดินพากุ้งนางมายืนรอรถสองแถว ชะเอมหงุดหงิดใจบ่นงึมงำ
“ไอ้ก้านมันจะฟ้องครู ฟ้องแม่ไอ้กุ้งหรือเปล่านะ ถ้ามันฟ้องนะ ไม่ต้องเป็นเพื่อนกันเลย” ชะเอมหันมาหากุ้งนาง “เอ็งก็ด้วยนะกุ้ง ถ้าไอ้ก้านฟ้อง ก็ไม่ต้องไปเรียกมันว่าพี่”
กุ้งนางหน้าเสีย
“พี่ก้านคงไม่ทำมั้ง”
ทันใดนั้นเสียงก้านดังขึ้น
“พี่จะทำอะไร”
เด็กหญิงทั้งสองหันไปเห็นก้านยืนอยู่ ทั้งสองมองก้านงงๆ
“พี่ก้าน...ทำไมมาที่นี่ล่ะ”
“ฉันไปด้วย เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือ เพื่อนจะทิ้งเพื่อนได้ยังไงล่ะ”
สองสาวดีใจที่ก้านมาด้วย ก้านยิ้มแต่แอบกังวลใจ รถสองแถววิ่งมาจอด เด็กทั้งสามรีบขึ้นรถไปนั่ง มีชาวบ้านขึ้นแล้วรถแล่นไป ก้านบ่นอย่างกังวล
“ถ้าจับได้คงโดนตีกันน่วม”
ชะเอมแย้ง
“ไม่หรอก ถ้าเราปิดดีๆก็ไม่มีใครรู้”
รถสองแถวแล่นมาจอดที่ด้านหน้าสถานีวิทยุชุมชนเด็กทั้งสามเดินลงมาจากรถแล้วหยุดยืนมองด้วยความตื่นเต้น กุ้งนางลังเล ชะเอมมองๆ
“ไอ้กุ้ง เป็นอะไรไปอีกล่ะ มาถึงที่แล้ว จะเปลี่ยนใจหรือ”
“ไม่ใช่...มันตื่นเต้นน่ะ”
ก้านรีบแนะนำ
“นึกถึงน้าแก้วไว้สิกุ้ง จะได้หายตื่นเต้น”
กุ้งนางหลับตาพึมพำ
“แม่...แม่...ฉันทำเพื่อแม่”
ก้านกับชะเอมมองกุ้งนางเอาใจช่วย จนกุ้งนางลืมตา ก้านถามทันที
“เป็นไง หายตื่นเต้นแล้วใช่ไหม”
กุ้งนางส่ายหน้า
“ยัง”
ชะเอมตัดบท
“ไม่เอาแล้ว เอ็งจะตื่นจะเต้นก็ต้องไปแล้ว ไป...”
สองคนช่วยกันทั้งผลักทั้งดันกุ้งนางเข้าไปที่สถานีวิทยุ
เด็กทั้งสามคนยืนอ่านป้ายของรางวัลที่เต็นท์อำนวยการหน้าสถานี อย่างตื่นเต้น ชะเอมตาลุก
“วู๊ย...รางวัลที่หนึ่งได้เงินตั้ง 3000 พร้อมถ้วยรางวัลขอแค่รางวัลที่ สองก็พอเนอะ กุ้ง”
ชะเอมหันไปทางกุ้งนาง แต่ไม่เห็น กุ้งนางไปยืนมองหม้อหุงข้าวไฟฟ้าอย่างตื่นเต้น ชะเอมมองไปเห็นแล้วส่ายหน้าเซ็งๆ
“นี่...กุ้งนาง แกไปจ้องหม้อหุงข้าวทำไม นั่นมันรางวัลที่ 3 ทำแบบนี้เป็นลางร้ายนะ ไปจ้องโน่น รางวัลที่ 1”
“แค่ได้รางวัลที่สาม ฉันก็พอใจก็พอแล้วล่ะ”
“ไม่ได้...ไม่ได้...แกสัญญาแล้วว่าถ้าได้รางวัลที่ 1 จะแบ่งให้ฉันคนละสองร้อย ถ้าได้หม้อหุงข้าว จะผ่าแบ่งกันยังไงล่ะ”
ก้านขัดขึ้น
“ยังกะจะได้ง่ายๆ”
ชะเอมหันไปจ้องหน้าก้านดุๆ
“ปากเสีย...แช่งเพื่อนได้ไง”
เด็กทั้งสามเดินไปจะหยิบใบสมัครแต่มีมือเจ้าหน้ามาจับกล่องขวางไว้
“หนูๆ ถ้าเป็นเด็กต้องมีผู้ปกครองพามาหรือโรงเรียนพามานะ หนีเรียนกันมาหรือเปล่า”
สามคนพูดพร้อมกันทันที
“เปล่า”
“งั้นผู้ปกครองหรือครูของพวกหนูอยู่ไหนล่ะ”
เด็กทั้งสามพร้อมใจกันชี้ แต่ดันชี้ไปคนละทิศละทาง เจ้าหน้ามองตามแล้วงง
“ตกลงคนไหนกันแน่”
เจ้าหน้าที่มองคาดคั้นสงสัย ชะเอมชี้ไปมั่วๆ
“อ๋อ...คนนั้นคุณครูหนูค่ะ”
ก้านชี้บ้าง
“มากับแม่ผมด้วยครับ แล้วก็แม่กุ้งนางด้วย”
เจ้าหน้าที่พยักหน้ารับรู้
“งั้นประกวดหมดสามคนนะ ก็เอาไปสามใบ”
กุ้งนางรีบบอก
“เปล่าค่ะหนูประกวดคนเดียว”
“อ้าว...แล้วคนอื่นๆล่ะ”
ชะเอมยิ้ม
“มาเชียร์ค่ะ หนูพาครูมาเชียร์”
ก้านรีบบอก
“ผมพาแม่มา เอ่อ...แล้วก็พาแม่กุ้งนางมาเชียร์ด้วยครับ”
เจ้าหน้าที่ยิ้มเอ็นดู
“แหม...น่ารักกันจริงๆ ขอให้ชนะนะจ๊ะ”
เจ้าหน้าที่ส่งใบสมัครให้กุ้งนางแล้วเด็กทั้งสามก็รีบเดินออกไป
เจ้าหน้าที่ยืนรอรับชาตรีอยู่ที่หน้าอาคารสถานี สักครู่รถของชาตรี นักแต่งเพลงชื่อดัง ซึ่งปั้นศิลปินมากมาย และต้องมาทำหน้าที่เป็นกรรมการในเวทีนี้ วิ่งมาจอด ชาตรีลงจากรถ แฟนเพลงรีบวิ่งมาขอลายเซ็น
“ครูชาตรี ช่วยเซ็นให้หนูหน่อยค่ะ...หนูเป็นแฟนเพลงของพี่กระแต”
ชาตรียิ้มรับสมุดมาเซ็นแล้วส่งคืนให้แฟนๆ
“เพลงฮิตของพี่กระแต เพราะจังเลยค่ะ โดนมั่กมาก”
เจ้าหน้าที่เข้ามากัน
“ขอตัวก่อนนะครับ ครูต้องไปเตรียมตัวแล้ว เจ้าหน้าที่กันตัวชาตรีเข้าไปในอาคารเดินผ่านเด็กทั้งสามไป ชาตรีเดินผ่านไปโดยเหลือบมองกุ้งนางนิดหนึ่งแต่ไม่ได้สนใจ กุ้งนางเองก็มองชาตรีแต่ก็ยืนนิ่งๆ ก้านมองอย่างชื่นชม
“โห...เท่ห์อ่ะ เป็นคนเก่งนี่มันดีจัง มีคนต้อนรับอย่างดีเลย”
ชะเอมหันมาถาม
“เอ็งรู้เหรอก้านว่าเขาเป็นใคร”
“ก็นี่ไงครูชาตรี นักแต่งเพลงชื่อดัง ปั้นมาหลายคนแล้ว”
“ท่าทางครูแกใจดีเน๊อะพี่”
กุ้งนางมองตามชาตรีที่เดินห่างออกไปด้วยสายตายิ้มๆ
ชะเอม เดินมาส่งกุ้งนางที่ข้างหลังเวที เจ้าหน้าที่อีกคนรีบเข้ามาขวาง
“น้อง ตรงนี้เขาได้เฉพาะคนที่ประกวดนะ”
กุ้งนางเริ่มใจไม่ดีด้วยความกลัว ก้านเข้าไปขอร้อง
“ขอผมเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนน้องไม่ได้เหรอครับ”
“ไม่ได้หรอก ที่ข้างในมันแคบ ถ้าทุกคนพาคนนอกเข้าไปหมดมันจะลำบาก”
กุ้งนางหันมาบอกก้านกับชะเอม
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะพี่ๆ ฉันอยู่ได้”
ชะเอมปลอบใจ
“ไม่ต้องกลัวนะ พวกพี่จะยืนให้กำลังใจข้างหน้าเวทีเลย พี่จะช่วยกันตบมือให้ดังที่สุดด้วย”
กุ้งนางกับเพื่อนๆยิ้มให้กันแล้วเด็กหญิงก็เดินเข้าหลังเวทีไป ก้านกับชะเอมเดินแยกไป ก้านหันมามองด้วยความเป็นห่วง
ผู้สมัครร้องเพลงในแต่ละมุมกำลังซ้อมเพลงที่ตัวเองเลือก ผู้สมัครคนหนึ่งกำลังเต้นเพลงของตัวเอง กุ้งนางยืนมองผู้เข้าประกวด อย่างตื่นเต้นเพราะทุกคนล้วนแต่งตัวสวยงาม แต่งหน้ากันเต็มที่ กุ้งนางมองดูตัวเอง มาในชุดนักเรียนอย่างไม่มั่นใจ ชาตรีเดินเข้ามาพร้อมเจ้าหน้าที่ ชนกับกุ้งนางจนกระเป๋านักเรียนตก กุ้งนางตกใจรีบยกมือไหว้
“อุ๊ย...ขอโทษนะคะ หนูไม่ทันได้มอง”
ชาตรีเก็บใบสมัครส่งให้กุ้งนาง มองเห็นเธออยู่ในชุดนักเรียน
“ตัวแค่นี้มาประกวดกับเขาด้วยเหรอ อายุเท่าไหร่เนี่ย”
“10 ขวบค่ะ”
ชาตรีจับหัวเอ็นดู
“ขอให้ชนะแล้วกันนะเด็กน้อย”
“ขอบคุณค่ะครู”
ชาตรีแปลกใจ
“รู้จักฉันด้วยเหรอ”
“พวกพี่หนูเขาบอกค่ะ”
ชาตรียิ้ม
“ฉันต้องไปแล้ว เดี๋ยวเจอกัน”
พิธีกรบนเวที เริ่มประกาศแนะนำรายชื่อกรรมการที่นั่งเรียงสลอนอยู่ที่โต๊ะหน้าเวที
“ตอนี้ผมขอแนะนำกรรมการผู้ทรงเกียรติของเราก่อนนะครับ ท่านแรก นายอำเภอนิพนธ์ครับ”
ผู้คนปรบมือ
“ต่อมาก็ดีเจชื่อดังของสถานีของเรา ดีเจพิณทอง และ สุดท้าย ต้องบอกว่าเป็นเกียรติมากๆที่อุตส่าห์เดินทางมาให้สถานีเรา ครูชาตรี นักแต่งเพลงชื่อดังคนหนึ่งของประเทศไทยครับ”
คนดูปรบมือกันเกรียวกราว
“ณ บัดนี้ เวลาแห่งการค้นหาเพชรมาประดับวงการเพลงลูกทุ่งของเราเริ่มขึ้นแล้ว ขอเชิญผู้ประกวดคนแรก...”
ผู้เข้าประกวด เริ่มขึ้นมาร้องเพลงกรรมการให้คะแนน จดคะแนน คนดู ด้านหน้าเวที ปรบมือเกรียวกราว ผู้เข้าประกวด ร้องเพลง เสียงหลง คนดูอุดหู บางคนส่งเสียงโห่...ชะเอมกับก้าน ยืนมองดูอย่างลุ้นสุดตัว
“ไม่รู้กุ้งนางเป็นยังไงบ้าง”ก้านมองบนเวทีอย่างเป็นห่วง
“ไม่ต้องห่วง ไอ้ที่ขึ้นเวทีมา ยังสู้ไอ้กุ้งของเราไม่ได้ซักคนแล้วไอ้กุ้งก็จะแบ่งเงินให้พวกเราไหมก้าน”
“เฮ้ย...นี่ตกลงจะเอาเงินน้องมันจริงๆเหรอ”
“แหม...เขาเรียกค่านายหน้าโว้ย ถ้าเอ็งไม่เอาก็เอามาให้ข้าแล้วกัน”
“ฉันน่ะไม่เอา แต่จะคืนให้กุ้งมัน กินแรงน้องไม่ลง”
ชะเอมค้อนทันที
ด้านหลังเวที...นักร้องร้องเพลงเสร็จ กำลังลงจากเวที กุ้งนางนั่งจ๋องอยู่ที่เก้าอี้ตื่นเต้น เธอนั่งมองคนรอบข้างแบบตื่นๆ ผู้เข้าประกวดเดินเข้ามาอย่างมั่นใจมาก เจ้าหน้าที่เดินมามองหากุ้งนาง
“เบอร์ 32 ด.ญ. กุ้งนาง”
กุ้งนางยกมือขึ้น
“หนูค่ะ”
เจ้าหน้าที่เดินเข้ามาหา แล้วจูงมือกุ้งนางไปที่ประตูหลังเวที
“เตรียมตัวนะ หนูเป็นคิวต่อไป พอพิธีกรประกาศชื่อแล้ว เดินออกไปได้เลย ขอให้โชคดีนะ”
กุ้งนางยกมือไหว้
“ขอบคุณค่ะ”
บนเวทีพิธีกรกำลังประกาศชื่อ
“และสุดท้าย...แต่ไม่ท้ายสุด ผู้เข้าประกวด หมายเลข...32...เด็กหญิง กุ้งนาง”
กุ้งนางเงยหน้าขึ้น สูดลมหายใจเข้าปอด
“พ่อจ๋า...พ่อช่วยเป็นกำลังใจให้กุ้งนางด้วยนะจ๊ะ”
กุ้งนางเดินขึ้นเวทีไป แล้วยกมือไหว้สวัสดีอย่างเรียบร้อย ชาตรี มองอย่างเอ็นดู กรรมการคนอื่นมองหน้ากันแบบแปลกใจ นายอำเภอเปรยขึ้น
“มาชุดนักเรียนเลยหรือนี่”
ดีเจพิณทองงงๆ
“มาผิดงานหรือเปล่าเนี่ย ครูว่าไงครับ”
ชาตรียิ้มๆ
“คนเรา อย่าดูกันที่เปลือกนะครับ แม่หนูคนนี้อาจมีอะไรดีๆก็ได้”
พิธีกรประกาศ
“น้องกุ้งนาง จะมานำเสนอ บทเพลง...ให้เราได้ฟังกันนะครับ”
ชาตรียิ้มอย่างพอใจที่กุ้งนางเลือกเพลงเหมาะสมกับตัว กรรมการคนอื่นส่ายหน้า ก้านตื่นเต้น ชะเอมกรี๊ดค้าง...
“งี้จะชนะได้ไง เลือกเพลงง่ายๆแบบนั้น โธ่เอ๊ย”
สองคนหันไปมองคนดูรอบๆ โห่แบบไม่เชื่อถือ ชะเอมขวัญเสีย ก้านชะเง้อมองบนเวที
บนเวที กุ้งนางเริ่มต้นร้องเพลง ทุกคนจากเสียงวิจารณ์ดังค่อยๆเงียบลง นิ่งฟัง กรรมการนิ่งอึ้ง ชาตรียิ้มชื่นชม คนดูตะลึงเงียบกริบไปทั้งห้อง กุ้งนางร้องเพลงจนจบเสียงปรบมือดังกึกก้อง ชาตรีลุกขึ้นยืนปรบมือให้อย่างชื่นชม กุ้งนางยืนยิ้มชื่นใจ ก้านปรบมือชื่นชมออกนอกหน้า ชะเอมท่าทางไม่แน่ใจ ก้านตะโกนขึ้น
“กุ้งนาง...กุ้งนางๆๆๆๆ...”
กุ้งนางเดินกลับเข้ามาหลังเวที ท่าทางตื่นๆ เจ้าหน้าที่ยิ้ม ยกนิ้วโป้งให้
“เยี่ยมมากหนู”
กุ้งนางยกมือไหว้
“ขอบคุณค่ะน้า”
กุ้งนางเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ ตื่นเต้นจนขาอ่อน ชะเอมกับก้านเข้ามาถึงที่กั้น กุ้งนางเห็นก็รีบวิ่งมาหาเพื่อนทันที ชะเอมถามเสียงเขียวไม่พอใจ
“กุ้ง...ทำไมถึงเลือกเพลงง่ายล่ะ งี้จะชนะได้ไง”
กุ้งนางอธิบาย
“ถ้าเลือกเพลงอื่น ฉันกลัวตื่นเต้นแล้วจะจำเนื้อไม่ได้น่ะสิ”
ก้านตัดบท
“ช่างมันเหอะ...ร้องไปแล้วนี่ แพ้ก็ช่างมัน”
กุ้งนางยิ้มมีหวัง
“แต่ฉันอยากได้ที่สาม”
ชะเอมงง
“นี่เอ็งอย่าบอกนะว่ามาตั้งไกล ไม่เอาเงิน แต่จะเอาหม้อหุงข้าว”
กุ้งนางพยักหน้ารับ ชะเอมเซ็งเลย
“เวรกรรม”
ก้านหัวเราะ ทันใดนั้นเสียงพิธีกรประกาศดังเข้ามา
“ต่อไปนี้เป็นการประกาศผลรางวัลการประกวด ในครั้งนี้ ที่สาม...ได้แก่...”
กุ้งนางพอได้ยินชื่อ ไม่ใช่ตัวเองก็ผิดหวัง ชะเอมหงุดหงิด
“ไงล่ะ ที่สามก็ไม่ได้ กลับเถอะ เอ็งคงชวดหมดทุกรางวัลแล้ว”
พิธีกรประกาศต่อ
“ที่สองได้แก่...”
ชะเอมจะลากกุ้งนางกลับ แต่เสียงพิธีกรดังขึ้น
“และ...ผู้ที่รางวัลชนะเลิศในวันนี้ ได้แก่...แหม ม้ามืดจริงๆนะครับ...เด็กหญิง กุ้งนาง ขอเชิญขึ้นมารับรางวัลบนเวทีครับ”
ชะเอมชะงักหันไปมองหน้ากุ้งนาง ก้านดีใจสุดๆ
“กุ้ง...เขาเรียกชื่อกุ้ง...ได้ยินไหม...เขาเรียกชื่อกุ้ง”
ชะเอมกรี๊ดลั่น
“ไปเร็วสิไอ้กุ้ง ไปรับรางวัล”
กุ้งนางตะลึง แล้วร้องไห้โฮ ก้านกับชะเอม มองกุ้งนางงงๆปนตกใจ
ราชินีลูกทุ่ง ตอนที่ 1 (ต่อ)
ครูชาตรี ยืนถือรางวัลรอมอบให้กุ้งนาง แต่ไม่มีใครยอมออกมา พิธีกรลังเล
“ขอเชิญเด็กหญิงกุ้งนางมารับรางวัลด้วยครับ”
ชะเอมทั้งฉุดทั้งลากกุ้งนางให้ออกไปหน้าเวที แต่ก็ผลักกุ้งนางออกไปยืนอยู่กลางเวทีจนได้ กุ้งนางยังร้องไห้สะอื้นไม่เลิก
“สงสัย คงจะดีใจ”
ชาตรีเดินเข้ามากระซิบกุ้งนาง
“รับรางวัลก่อนนะหนู อย่าร้องไห้ เดี๋ยวถ่ายรูปออกมาไม่สวยนะ”
กุ้งนางมองหน้าชาตรีแล้วสะอื้น ชาตรียิ้มส่งรางวัลให้แล้วหันไปมองกล้อง
เสียงชัดเตอร์รัวถ่ายภาพกุ้งนางกับชาตรี จนกุ้งนางเบะปากร้องไห้อีก สุดท้ายกุ้งนางก็รับรางวัลจากชาตรีด้วยน้ำตา
กุ้งนางมือถือรางวัลแต่ยังสะอื้นไม่เลิกมาหลังเวที เพื่อนทั้งสองยืนรุม พยายามปลอบให้กุ้งนางเลิกร้อง
“นี่แกได้รางวัลที่ 1 นะกุ้งนาง จะร้องทำไมเนี่ย”
ชาตรีกำลังจะเดินออก เห็นกุ้งนางก็ชะงักเดินเข้ามาทัก
“ยังไม่เลิกร้องอีกหรือ”
พอกุ้งนางเห็นหน้าชาตรี เธอเบะปากทำท่าจะร้องอีก ชาตรีงง
“อ้าวเป็นงั้นไป...เฮ้อ มีแต่ได้รางวัลที่ 1 จะดีใจ นี่ร้องไห้ยังกะเสียของรัก ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้”
ก้านพูดขึ้น
“กุ้งมันอยากจะได้หม้อหุงข้าวไปให้แม่ครับครู”
ชาตรีถอนใจ
“โธ่เอ๊ย...เด็ก...หนูก็เอาเงินไปซื้อสิ ซื้อได้ตั้งหลายใบเลย”
กุ้งนาง ก้าน ชะเอม มองหน้ากันเหวอๆ ชะเอมบ่นตัวเอง
“จริงด้วยทำไมเราไม่คิดเอาเงินไปซื้อวะ”
ชาตรียิ้มขำ
“เอางี้ ฉันว่าแล้ว เราไปซื้อด้วยกันนะ ฉันจะช่วยเลือกให้”
กุ้งนางนิ่งทันที ชาตรียิ้มโล่งใจ
เย็นนั้น...ทั้งหมดอยู่หน้าร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า ชาตรีถือกล่องหม้อหุงข้าวส่งให้กุ้งนาง
“ทีนี้ก็เรียบร้อยแล้ว...ตอนนี้ยิ้มได้หรือยัง”
กุ้งนางยิ้มหน้าบาน
“ขอบคุณค่ะ...”
“แล้วนี่บ้านอยู่ไหนกัน ฉันไปส่งให้เอาไหม”
ก้านสะดุ้ง
“เฮ้ย...ไม่ได้นะ” ก้านรีบบอกชาตรี “ไม่ได้ครับ ให้พวกผมกลับเองดีกว่า”
ชาตรีแปลกใจ
“ทำไมล่ะ ฉันไปส่งได้จริงๆนะ”
ก้านเผลอปากหันไปถามชะเอม
“แล้วถ้าพ่อแม่พวกเรา แม่กุ้งนางจับได้ว่าหนีเรียนมาประกวด เอ็งชอบเหรอ”
ชาตรีตกใจ
“อะไรนะ นี่หนีเรียนมากันเหรอ”
ชะเอมหน้าเจื่อนไป
“คือไอ้กุ้งมันอยากหาเงินช่วยแม่ค่ะ หนูเลยเอาประกาศมาให้มัน”
ชาตรีถอนใจ
“จำไว้นะ คราวหน้าอย่าทำอย่างนี้อีก การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ อย่าทิ้งมันมาเด็ดขาด”
เด็กทั้งสามจ๋อยที่ถูกดุ
ทั้งสามนั่งอยู่บนรถสองแถว กุ้งนางนั่งกอดหม้อหุงข้าวไว้แน่น ชะเอมยิ้มๆก่อนจะเสนอแนะ
“แบบนี้อีกหน่อยนะ เราก็เดินสายประกวดกันเลยดีมั๊ย ใช่...ไม่ต้องเรียนหรอก หาเงินง่ายจะตายเนอะ”
ก้านขัดขึ้นทันที
“จะบ้าหรือ...ไม่เรียนหนังสือแล้วจะไปทำอะไรกิน”
“ก็ร้องเพลงไง ได้เงินดีด้วยนะ แป๊บเดียว ได้ตั้ง 3 พัน แถมหม้อหุงข้าวอีกด้วย”
“แต่ครูชาตรีเพิ่งบอกว่าไม่ให้พวกเราทิ้งการเรียน”
“กว่าจะเรียนจบได้หาเงินตั้งกี่ปี”
“แต่พวกเราก็ต้องเรียน กุ้ง อย่าไปฟังชะเอมมัน”
ทั้งสามทำท่าจะทะเลาะกัน ทันใดนั้นรถเบรกกะทันหัน จนทุกคนหัวทิ่ม
ชาตรีนั่งยิ้มอยู่ในรถ ขณะที่กลับกรุงเทพจนคนขับสังเกตเห็น
“ท่าทางครูจะชอบเด็กคนนั้นมากนะครับ”
“ใช่...หน่วยก้านดี เสียงเพราะ ถ้าฝึกซะหน่อย จะเป็นนักร้องคุณภาพเลย”
“อ้าว...ทำไมครูไม่เอามาฝึกซะเลยล่ะครับ”
ชาตรีนึกได้
“จริงสินะ ฉันลืมนึกไป”
แก้วตากระเดียดกระจาดผักกลับมาที่บ้าน เห็นบ้านเงียบสงัด เธอวางกระจาดแล้วตะโกนเรียก
“กุ้งเอ๊ย...แม่ซื้อขนมตาลมาฝาก”
เงียบไม่มีเสียงตอบ แก้วตาแปลกใจ
“อะไรกัน ป่านนี้ยังไม่กลับ เอ๊ะ...หรือไปในสวน”
แก้วตาเดินตามเข้าไปในสวน เห็นแต่ยายอุ่นเดินร้องเพลงลำตัดรดน้ำต้นไม้อยู่
“กลับมาแล้วหรือ”
“จ๊ะแม่...กุ้งมันอยู่ไหนแม่”
“ยังไม่เห็นเลย...ข้ายังนึกว่าย้อนกลับไปช่วยเอ็งที่ตลาดซะอีก”
แก้วตากังวล
“ไปไหนของมันเนี่ย”
แก้วตาเริ่มร้อนใจ
พระอาทิตย์ตกดินท้องฟ้าเริ่มมืด เด็กทั้งสามคนช่วยกันเข็นรถสองแถว คนขับก็พยายามสตาร์ท ชะเอมปาดเหงื่อแล้วถาม
“พี่...สตาร์ทไม่ติดอีกเหรอ”
คนขับรถหันมาดุ
“เข็นเร็วๆหน่อยสิวะ”
ชะเอมหงุดหงิด
โอ๊ย...ทำไมมันซวยอย่างนี้ ป่านนี้พ่อฉันถือหวายรอแล้วมั้ง”
ก้านเซ็งมาก
“ทีนี้เข็ดหรือยังล่ะ...งานนี้กลับถึงบ้านมีหวัง เรื่องใหญ่”
“ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าจะรถมันจะเสีย”
กุ้งนางนิ่งเงียบหน้าตาเครียด ชะเอมเห็นเข้าก็ถามขึ้น
“ไอ้กุ้งทำไมเงียบจังวะ”
“ฉันก็ห่วงแม่กลัวจับได้ว่าหนีเรียน”
ก้านถอนใจ
“ไม่ต้องกลัวแล้ว ป่านนี้รู้กันหมดทุกบ้านแล้วมั้ง ไงล่ะ ยุกันดีนัก”
เด็กทั้งสามเข็นรถด้วยสีหน้าไม่ดี
แก้วตานั่งกระวนกระวายผุดลุกผุดนั่งอยู่หน้าบ้าน ยายอุ่นตำหมากอยู่ข้างๆ ปลอบใจ
“เฮ้อ...ไอ้กุ้งนะไอ้กุ้ง ไปไหนของมันกันวะ ไม่ห่วงแม่ห่วงยายเลย”
แม่ชะเอมเข้ามาถาม
“แม่แก้วตา...พอรู้มั๊ยว่า ก้านกับชะเอมมันหายไปไหน”
แก้วตาหน้าเหวอ
“อ้าว...นี่เจ้าก้านก็หายไปด้วยหรือ”
พ่อก้านหน้าเครียดโมโหลูก
“ใช่น่ะสิ...วันนี้ฉันไปรับมันที่โรงเรียน ที่ไหนได้ ครูบอกว่า พวกมันโดดเรียนหายกันไปทั้งกลุ่ม ไอ้ก้าน นังชะเอม แล้วก็ลูกแม่แก้วอีกคน”
ยายอุ่นตกใจ
“ตายจริง...อกอีอุ่นจะแตก...”
แก้วตาร้อนใจ
“ฉันจะไปแจ้งความ”
ยายอุ่นเห็นด้วย
“เออดี...”
ทุกคนทำท่าจะออกไปแจ้งความ ทันใดนั้นรถสองแถววิ่งเข้ามาจอด เด็กทั้งสามคนลงมาจากรถ แก้วตาอุ้มหม้อหุงข้าวลงมาด้วย ยืนหลบหลังคนขับรถอย่างกลัวๆ คนขับรถเข้ามาบอกทุกคน
“ฉันพาเด็กมาส่งจ๊ะ...เจ้าพวกนี้น่ารักมากเลย อุตส่าห์ช่วยเข็นรถด้วยไปก่อนนะจ๊ะ”
คนขับรถขับรถออกไป พวกผู้ใหญ่มองจ้องเด็กๆ แก้วตาถามเสียงเขียว
“ทำไมถึงทำกันอย่างนี้”
ยายอุ่นเข้ามาดุอีกคน
“รู้ไหมว่าผู้ใหญ่เขาจะเป็นจะตายกันน่ะ”
“ฉันขอโทษจ้ะ”
ก้านยกมือไหว้ กุ้งนางกับชะเอมยกมือไหว้ตาม พ่อก้านโกรธมาก
“เจริญนักนะเอ็ง ไอ้ก้าน ริอ่านเป็นหัวโจก หนีโรงเรียน”
“เอ็งก็อีกคนหนอยส่งไปเรียนไม่ไป”
พ่อของก้านลากหูก้านออกไปทันที แม่ของชะเอมดึงแขนกลับไปมีชะเอมวิ่งตามไป
แก้วตายืนจ้องหน้ากุ้งนางอย่างผิดหวัง กุ้งนางกอดหม้อหุงข้าวไว้แน่น
โปรดติดตาม "ราชินีลูกทุ่ง" ตอนต่อไป
แก้วตากำลังตีกุ้งนางด้วยไม้เรียวตีไปร้องไห้ไป กุ้งนางกอดอกกลั้นใจไม่ร้อง แต่สะดุ้งทุกครั้งที่ไม้เรียวฟาด ยายอุ่นนั่งมองอย่างหวาดเสียว
“แก้วตาเอ๊ย...พอได้แล้ว ใจคอจะตีกันให้ถึงตายเลยหรือไง”
แก้วตาหอบ
"ตีให้เจ็บ จะได้จำ”
“แม่จ๋ากุ้งเจ็บแล้ว”
“เจ็บแล้วหนีเรียนทำไม”
“ฉันจะไปเอาหม้อหุงข้าวให้แม่”
แก้วตาชะงัก ยายอุ่นมองตามไปที่กล่องที่กุ้งนางชี้
“แล้วเอ็งไปเอามาจากไหน”
“ฉันๆ...ฉันเอ่อ...”
“ว่าไง...เอ็งไปขโมยเขามาเหรอ”
“ฉันซื้อมาจ้ะ”
“เอาเงินที่ไหนมา หัดโกหกด้วยเหรอกุ้ง”
แก้วตาจะตีอีกแต่กุ้งนางจับมือแม่ไว้
“ฉันไปประกวดร้องเพลงมาจ้ะ”
แก้วตาที่กำลังจะตีก็ชะงักไปทันที
“อะไรนะ”
“แม่...ฉันขอโทษ ฉันรู้ว่าแม่ไม่ชอบให้ฉันร้องเพลง แต่ฉันอยากให้แม่มีหม้อหุงข้าวใหม่”
กุ้งนางร้องไห้เข้ามากอดแม่ แก้วตาผลักออก
“ต่อไปนี้เอ็งไม่ใช่ลูกข้า”
กุ้งนางตกใจ
“แม่...”
ยายอุ่นไม่พอใจลูกสาว
“แก้ว...มันจะมากไปหน่อยแล้ว ไอ้กุ้งมันตัวแค่นี้มันไม่รู้เรื่องอะไรด้วย”
“แต่ฉันสั่งแล้วว่าไม่ให้มันฟังมันร้องเพลงลูกทุ่ง แต่นี่มันกล้าไปประกวด มันก็ไม่ใช่ลูกของฉันอีก”
ยายอุ่น ตวาด
“นังแก้ว”
แก้วตาเดินหนีไปเลย
“แม่...แม่จ๋า...แม่อย่าโกรธฉัน”
แก้วตาเดินหนีไปกับความมืด ยายอุ่นเข้ามาปลอบหลาน
“กุ้งเอ๊ย...ให้แม่เขาอารมณ์ดีก่อนนะ”
กุ้งนางมองตามแม่ไปในความมืด ยายอุ่นลูบหัวหลานอย่างสงสาร...แก้วตาเดินมาทรุดตัวนั่งร้องไห้ใต้ต้นไม้ฟูมฟายเหมือนขาดใจ
เช้าวันใหม่...ก้านกับชะเอมตกใจที่เห็นแผลกุ้งนาง โดยมียายอุ่นนั่งทายาให้ ก้านพูดขึ้นอย่างสงสาร
“แค่ไม่อยากให้ร้องเพลงลูกทุ่ง ต้องตีขนาดนี้เชียวหรือ”
ชะเอมหน้าสลด
“โห...ปกติเห็นน้าแก้วใจเย้นเย็น ไม่น่าเชื่อว่าจะโหดเนอะ...น้าแก้วก็แปลกนะ กุ้งมันชอบร้องเพลงก็ต้องห้าม ไปประกวดก็ต้องตี นี่ถ้าฉันร้องเพลงเพราะแบบไอ้กุ้งนะยาย แม่ฉันคงส่งเข้ากรุงเทพแล้วมั้ง”
กุ้งนางหน้าเศร้าหมอง
“ไม่เป็นไรหรอก ต่อไปฉันก็ไม่ร้องเพลงอีกแล้ว”
ก้านหนักใจ
“แล้วจะทำได้เหรอกุ้ง พี่เห็นกุ้งชอบร้องเพลงจะตาย”
กุ้งนางเงียบไม่ตอบ ยายอุ่นลูบหัวเอ็นดู
“เอ็งนี่มันเชื้อแรงจริงๆนะ”
เด็กทั้งสามหันไปมองยายอุ่น ก่อนที่กุ้งนางจะถามขึ้น
“เชื้อใครแรงจ๊ะ”
ยายอุ่นชะงักไปนิด
“ก็เชื้อยายน่ะสิ ยายเป็นแม่เพลงอีแซว เอ็งก็ชอบลูกทุ่งเอางี้สิ ต่อไปเอ็งมาต่อเพลงอีแซวกับยายไหม แม่เขาไม่ว่าหรอก”
ยายอุ่นหันไปมองรูปเก่าๆที่ติดบนฝาผนัง เป็นรูปยายอุ่นกำลังร้องเพลงอีแซว กุ้งนางยิ้มรับ
“ได้จ้ะ ฉันร้องเพลงกับยายก็ได้”
สองยายหลานร้องเพลงต่อกัน มีก้านกับชะเอม คอยปรบมือให้ ยายอุ่นหันไปเรียก
“ไอ้ก้าน มาร้องเป็นฝ่ายชายหน่อย”
10 ปีต่อมา...ในงานบวชลูกชายผู้ใหญ่บ้าน บนเวทีเล็กๆ มีป้ายติดด้านหลังว่า งานอุปสมบท สมเกียรติ...กุ้งนาง กับ ก้าน กำลังร้องเพลงลำตัดโต้ตอบอยู่บนเวที มีชะเอมเป็นลูกคู่ด้านล่างเวที แก้วตากับ ยายอุ่นยืนมองทั้งคู่อย่างภูมิใจ
“ให้มันได้อย่างนี้สิวะ นังแก้ว เอ็งเห็นไหมนั่น กุ้งมันร้องโต้ไอ้ก้านเก่งอย่าบอกใคร...แหม เห็นแล้วคิดถึงตอนสาวๆ”
แก้วตายิ้มเศร้าๆ ทั้งภูมิใจทั้งเศร้าใจ คนรอบๆตัวปรบมือให้การแสดงบนเวที...บนเวที เจ้าของงานกำลังตบรางวัลให้คณะ กุ้งนางรับเงินมายิ้มอย่างภูมิใจ
กุ้งนาง วิ่งถือซองในมือตรงมาหาแก้วตา
“แม่จ๋า...นี่จ๊ะ”
กุ้งนางส่งซองให้แม่ แก้วตาไม่รับ
“เก็บไว้เถอะลูก...”
กุ้งนางหันไปให้ยายอุ่น
“งั้นฝากไว้ที่ยายก็ได้”
ยายอุ่นไม่รับ
“ไม่เอ๊า...ยายไม่รู้จะเอาไปทำอะไร แค่นี้ข้าก็ดีใจแล้ว”
“อ้าว...ทำพูดแบบนั้นล่ะจ๊ะยาย”
“จำได้ไหม เอ็งเคยบอกว่า ร้องเพลงแล้วเอ็งมีความสุข นี่ก็ความสุขของยายเหมือนกัน ได้เห็นคนรุ่นใหม่ๆ ร้องเพลงอีแซวของเรา เงินน่ะเอ็งเก็บไว้เถอะ”
กุ้งนางกอดยายไว้อย่างประจบ ก้านกับชะเอม เดินเข้ามา ขะเอมเอ่ยชวน
“กุ้งไปตลาดนัดกันมั๊ย...พี่อยากได้เสื้อสวยๆซักตัว แล้วก็กางเกงขาสั้นสักตัว เอาแบบสั้นๆเลยนะ”
ยายอุ่นขัดขึ้น
“ขาเองก็สั้นอยู่แล้ว จะเอาสั้นขนาดไหนวะนังชะเอม”
ชะเอมแอบค้อน แต่คนอื่นหัวเราะกุ้งนางหันไปบอก
“พี่ชะเอมไปเหอะ ฉันอยากเก็บเงินให้แม่”
แก้วตายิ้มให้ลูก
“ไปเถอะลูก ไปเที่ยวบ้าง...ก้านไปกับเขาหรือเปล่า ถ้าไปน้าฝากดูแลน้องด้วยนะ”
“ได้จะน้า ไม่ต้องเป็นห่วง ก้านไปด้วย รับรองปลอดภัย” ทั้งหมดชวนกันไป”
“งั้นเราก็กลับกันเถอะ”
แก้วตาประคองยายอุ่น ลุกขึ้น แต่แก้วตากลับหน้ามืดจะเป็นลม
“เป็นอะไรหรือเปล่าวะ หน้าเอ็งซีดจังเลย”
แก้วตาข่มใจ
“ไม่เป็นไรหรอกแม่...ไปกันเถอะ”
ที่หน้าสถานีวิทยุ...ในห้องของผู้อำนวยการ จรัญเจ้าของค่ายเพลงลูกทุ่งยักษ์ใหญ่ นั่งคุยกับผู้อำนวยการสถานีวิทยุ โดยมีจิรายุ ลูกชายนั่งฟังการพูดคุยอยู่
“ขอบคุณมากนะครับ คุณจรัญที่สละเวลามาเป็นกรรมการวันนี้”
จรัญยิ้มรับ
“ด้วยความยินดี ผมเองก็ถือโอกาสนี้พาลูกชายมาแนะนำด้วยครับ ชื่อจิรายุครับ”
จรัญหันไปสะกิดจิรายุกำลังอ้าปากหาว จิรายุรีบยกมือไหว้ผู้อำนวยการ
“สวัสดีครับท่าน”
“ลูกชายหรือครับ แหม หน่วยก้านเข้าท่า”
“เพิ่งกลับมาจากเมืองนอกไม่นาน เลยพามาแนะนำกับท่านครับ”
“ดีๆๆ หน้าตาหล่อเหลานะ ไม่คิดให้เป็นศิลปินในค่ายเหรอ รับรองผมจะให้สถานีช่วยเชียร์เต็มที่”
“ไม่หรอกครับ ผมกะว่าจะให้ดูงานด้านบริหารบริษัทมากกว่าครับ”
“แบบนั้นก็ดีนะ เป็นผู้บริหารหนุ่มไฟแรง” ผู้อำนวยการหันมาหาจิรายุ “ต่อไปเราก็ต้องทำงานด้วยกันบ่อยๆนะ มีอะไรให้อาช่วยหลานชายก็บอกได้เลยนะ”
จิรายุยิ้มรับฝืนๆ
ที่บริเวณตลาดนัด...มีเสื้อผ้าขายเต็มไปหมด ชะเอมกับกุ้งนางเดินดูเสื้อผ้าอย่างสบายใจ ชะเอมหยิบกางเกงมาทาบตัว
“สวยมั๊ยกุ้ง ใส่แล้วนุ่งผ้าถุงทับ ยิ่งสวยใหญ่เลยเนอะ”
“จ๊ะ”
กุ้งนางเห็นเสื้อตัวหนึ่งก็ไปจับๆดู ก้านเดินเข้ามาหา กุ้งนางหันไปถามแม่ค้า
“เท่าไหร่จ๊ะพี่”
“สองร้อยห้าสิบ”
“ลดได้ไหม”
“ไม่ได้หรอกจ้ะ ตัวนี้กำลังนิยมที่กรุงเทพเลยนะ มันเลยแพง”
ก้านเดินเข้ามา
“ถ้าชอบก็ซื้อสิ”
กุ้งนางจับๆ เสื้อแล้วส่ายหน้า
“ไม่หรอก เก็บตังค์ไว้ดีกว่า”
ก้านอึ้งๆ
“เก็บตังค์ๆ...ตกลงกุ้งจะเก็บเงินไปทำอะไร”
“ฉันอยากลงทุนเปิดร้านขายของชำ แม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อย ไปขายผักที่ตลาดอีก”
กุ้งนางยิ้มแล้วเดินไป ชะเอมหันไปบอกก้าน
“ไปสิไอ้ก้าน กุ้งมันเดินไปโน่นแล้ว”
“เอ็งไปก่อน เดี๋ยวข้าตามไป”
“โอ๊ย เยอะนะเนี่ย รีบตามมาแล้วกัน”
ชะเอมเดินออกไป ก้านมองเสื้อที่กุ้งนางจับ
จรัญกับจิรายุเดินออกมาจากห้อง จรัญบ่นไม่เลิก
“ตกลงแกจะกวนประสาทฉันใช่ไหมไอ้จิ”
“อะไรอีกล่ะพ่อ อยากให้ผมมาผมก็มากับพ่อแล้วไง”
“ก็ดูแกทำตัวสิ หันพูดคุยเอาอกเอาใจคนบ้างไม่ใช่นั่งเป็นสากเหล็กแบบนี้ แกรู้ไหมเพลงค่ายเราจะขายได้ไม่ได้ รายการวิทยุจะเชียร์เพลงเราหรือเปล่า ก็ขึ้นกับคนพวกนี้นะเว้ย”
“โธ่พ่อ...ผมบอกกี่หนแล้ว ผมไม่อยากทำงานบริหาร ผมไม่ชอบ”
“ไม่ชอบแล้วจะทำอะไร อ๋อ...อยากเป็นไอ้นักแต่งเพลงกิ๊กก๊อกน่ะเหรอ”
“ไม่นะพ่อ นักแต่งเพลงเดี๋ยวนี้รวยจะตายกินค่าลิขสิทธิ์ก็สบายไปทั้งชาติแล้ว”
“ไอ้ลูกเวร ส่งไปเรียนเมืองนอกเมืองนาให้เป็นเจ้าของค่าย ดันอยากจะเป็นนักแต่งเพลง ใฝ่สูงจริงนะแก”
จิรายุเซ็งๆ ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่สถานีเดินมาหาสองพ่อลูก
“ท่านผ.อ...ให้มาเชิญคุณจรัญไปที่ห้องประชุมครับ”
“ขอบคุณมากครับ”
หันมาอีกทีจิรายุกำลังจะเดินออกจากตึก จรัญรีบเดินตามไป
“แกจะไปไหน เขากำลังจะประชุมกรรมการ”
“ผมไม่ใช่กรรมการตัดสินนี่ครับ วันนี้ผมมาขับรถให้พ่อเฉยๆ”
“ไอ้จิ ที่ฉันพูดมาทั้งหมดมันไม่ได้เข้าหูแกเลยเหรอ”
จิรายุสวนขึ้น
“เดี๋ยวผมมารับนะครับ”
จิรายุไม่สนใจเดินหนีไปเลย จรัญมองตามด้วยความโมโห
กุ้งนางเดินดูของเรื่อยไปกับชะเอม ก้านเดินถือถุงตามมาแล้วเดินตามสองสาวไปเรื่อยๆจังหวะหนึ่ง ชะเอมเห็นแผงหนังสือก็ดีใจ
“อุ๊ย...ไปดูหนังสือดารากันเถอะ”
ชะเอมรีบวิ่งไป กุ้งนางจะเดินตามไปก้านเรียกไว้
“เดี๋ยวกุ้ง”
กุ้งนางหันกลับมา ก้านยืนถุงให้
“พี่ซื้อมาฝาก”
กุ้งนางงง
“อะไรน่ะ” กุ้งนางหยิบเสื้อออกมาดู “พี่ก้านซื้อมาทำไม”
“ก็กุ้งชอบไม่ใช่หรือ พี่ซื้อให้”
“พี่ก้าน...งั้นเอาตังค์ไป”
กุ้งนางส่งเงินให้ ก้านไม่รับผลักกันไปผลักกันมา
“ไม่ได้ กุ้งไม่ชอบเอาเปรียบใคร”
ก้านชะงักอึ้งไปทันที
“จริงๆนะพี่ก้าน รับไปเถอะ ไม่งั้นฉันโกรธจริงๆด้วย”
ก้านจำใจรับเงินที่กุ้งนางยัดเยียดให้
“ขอบคุณมากนะพี่ก้าน”
กุ้งนางเดินไป ก้านมองเงินในมือตัวเอง แล้วมองตามกุ้งนางอย่างเสียใจ ที่เธอไม่รับของจากเขา
รถของจิรายุวิ่งมาตามถนน จิรายุขับรถเปิดวิทยุฟังเพลง ผิวปากตามสบายอารมณ์ ขณะที่กลุ่มของกุ้งนางเดินถือไอศกรีมกินกันมายืนอยู่ที่ริมถนน
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น จิรายุลุกลนควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงแต่ดึงโทรศัพท์ไม่ออก เขาก้มลงมองโทรศัพท์ กลุ่มของกุ้งนางก้าวลงจากฟุตบาท จิรายุเงยหน้าขึ้นมองเห็นภาพ กลุ่มของกุ้งนางกำลังจะข้ามถนน เขาตกใจสุดขีด
“เฮ้ย!"
จิรายุรีบกดแตรดังลั่น
จิรายุกดวางสายโทรศัพท์ เดินลงจากรถ กุ้งนางท้าวสะเอวรอด่าด้วยความโมโห
“ที่แท้ก็คุยโทรศัพท์ใช่ไหมถึงทำให้นายขับรถได้เลวมาก”
จิรายุโมโห
“มันจะมากไปแล้ว ถึงขนาดด่ากันว่าเลวเลยเหรอ”
ก้านมองหน้าไม่พอใจ
“ก็มันจริงไหมล่ะ หรือคุณจะบอกว่าไม่รู้ว่าเขาห้ามคุยโทรศัพท์ตอนขับรถ”
“ก็คนไม่ได้ตั้งใจ” ระหว่างนั้นโทรศัพท์ก็ดังอีก จิรายุกดรับ “ดาผมติด...”
จิรายุกดวางสาย กุ้งนางส่ายหน้า
“นี่น่ะเหรอไม่ได้ตั้งใจ ขนาดคุยอยู่นี่ยังคิดจะรับสายเลย”
จิรายุสับสนเพราะจะอ้าปากเถียง แต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีก กุ้งนางโวยทันที
“ไม่ต้องรับเลย มาคุยให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้นะ”
จิรายุตัดสินใจกดตัดสาย จิรายุกับกุ้งนาง จ้องกันอย่างไม่พอใจ
“ฉันจะแจ้งตำรวจ นายโดนทั้งจำทั้งปรับแน่”
จิรายุฉุน
“เรื่องอะไรจะมาโทษฉันฝ่ายเดียว เวลาพวกเธอเดินก็หัดดูรถบ้างสิแล้วที่เธอขว้างของใส่รถฉันๆ ก็เสียหายเหมือนกัน”
กุ้งนางอึ้งงงไปเลย
“พูดบ้าๆ ไอติมเนี่ยนะจะทำรถคุณเสียหาย”
“ใช่...ในเมื่อคุยกันไม่รู้เรื่องก็ถือซะว่าเจ๊ากัน แล้วก็ทางใครทางมัน...จบป่ะ”
จิรายุพูดจบก็เดินหนีไปไม่สนใจเลย กุ้งนางเหวอไปเลย ก้านตะโกนไล่หลัง
“เฮ้ย...ทำผิดแล้วหนีเหรอ ถือว่ารวยแล้วจะรังแกคนจนหรือไง”
ก้านจะเดินตามไปเอาเรื่องแต่กุ้งนางดึงไว้
“กุ้ง ไม่เห็นเหรอว่ามันจะหนีไปแล้ว”
กุ้งนางมองตามด้วยความโมโห แล้วตัดสินใจตะโกนลั่น
“ช่วยด้วย ใครก็ได้เรียกตำรวจด้วย”
ชะเอมช่วยตะโกนด้วย
“ช่วยด้วย”
จิรายุชะงักหันกลับไปมองทันที ชาวบ้านเริ่มเข้ามามุงดู จิรายุหน้าเสีย
ราชินีลูกทุ่ง ตอนที่ 2
จิรายุหน้าเสีย เมื่อกุ้งนางร้องโวยวาย รีบกลับมาหาเธอทันที
“นี่...เธอจะร้องทำไม”
ชะเอมยิ้มหวาน
“แหม ก็คุณขับรถชนแล้วจะหนีทำไมล่ะคะ”
“ฉันยังไม่ได้ชนนะ”
กุ้งนางไม่สนใจ
“ไม่รู้ล่ะ ยังไงนายก็จะลอยหน้าลอยตาหนีไปแบบนี้ไม่ได้ อย่างน้อยนายก็ควร...”
จิรายุยกมือห้าม
“อ๋อ เข้าใจแล้ว ที่แท้ก็เรียกร้องค่าเสียหาย”
จิรายุหยิบกระเป๋าสตางค์มาเปิด ก้านโวยวาย
“เฮ้ย แบบนี้มันดูถูกกันนี่หว่า”
ก้านกับจิรายุมองหน้าประสานตาเอาเรื่องต่อกัน จิรายุรำคาญ
“โอ๊ย...อย่าเรื่องมากเลย ตกลงจะเอาเท่าไหร่”
“ฉันไม่ต้องการเงิน” กุ้งนางพูดเสียงเข้ม หน้าตาจริงจังเอาเรื่อง
“โวยวายตั้งนาน ไม่เอาเงินแล้วจะเอาอะไร” จิรายุชักหงุดหงิด
“ไหว้ ขอโทษพวกฉัน”
“อะไรนะ” จิรายุอึ้ง
“ที่รถนายไม่ได้ชนน่ะแค่ขอโทษก็ได้ แต่ที่นายดูถูกพวกฉัน นายต้องไหว้”
กุ้งนางจ้องหน้าเอาเรื่อง ก้านอมยิ้มพอใจ จิรายุยืนนิ่งไปครู่แล้วก็ยิ้มร้าย
“ถ้าฉันทำแล้วเธอกับพวกจะล้างรถคืนฉันไหม”
“ล้างรถ...แต่นายขับรถเกือบชนพวกฉันนะ” กุ้งนางฉุนกึก
“ไม่ยอมล้าง เสียศักดิ์ศรีอีก เฮ้อ...ถ้าเธอทำไม่ได้ ฉันก็ไม่ทำเหมือนกัน”
พูดจบจิรายุก็เดินไปขึ้นรถขับออกไป กุ้งนางกับก้านมองตามด้วยความแค้นแต่ทำอะไรไม่ได้
“ไปเลย ไปตายที่ไหนก็ไป” กุ้งนางยกมือพนมท่วมหัว “เจ้าประคู้น ชาตินี้อย่าเจอกันอีกเล้ย”
“หือ หล่อสุดๆ หล่อไม่เกรงใจชะเอมเลยนะเนี่ย” ชะเอมพึมพำ
กุ้งนางมองตามรถอย่างแค้นใจ ขณะที่จิรายุขับรถไปบ่นไป
“ฮึ...ผู้หญิงอะไร แสบจริงๆ หวังว่าชาตินี้เราคงไม่ซวยมาเจอยัยนี่อีกนะ”
ชามาดา นักร้องสาวชื่อดังพยายามโทรศัพท์หาจิรายุ แต่เขาไม่รับสายไม่รับสาย เธอโมโหโยนโทรศัพท์ทิ้งอย่างหงุดหงิด ระหว่างนั้นเจ๊อึ่ง นักร้องลูกทุ่งชื่อดังที่ผันตัวเองมาเป็นคนคุมแดนเซอร์ประจำค่าย กับช่างเสื้อเดินถือชุดมาสามสี่ชุด
“น้องดาขา มามะ มาลองชุดดูว่าชุดไหนที่น้องดาชอบ พี่จะได้ไปเสนอผู้กำกับ เจ๊เอารองเท้ามาให้ลองด้วยนะ เดี๋ยวใส่ซ้อมเต้นด้วยเลยนะจ๊ะ”
ลูกน้องช่างเสื้อเดินยกชุดโชว์แล้วยิ้มหวาน ชามาดากระชากเสื้อผ้าจากมือลูกน้องแล้วมายีหัวช่างเสื้อ เจ๊อึ่งตกใจรีบเข้าห้าม ลูกน้องเจ๊อึ่งร้องไห้ฟูมฟาย
“ต๊ายแล้วน้องดา ทำไมทำอย่างนี้ล่ะ”
ชามาดาตวาด
“ออกไป รำคาญ”
ลูกน้องเก็บเสื้อแล้วแอบค้อนก่อนเดินออกไป เจ๊อึ่งหันไปถาม
“เกิดอะไรขึ้นคะน้องดา ทำไมทำอย่างนี้ล่ะ”
“เมื่อกี๊ ดาโทรหาจิ แต่จิบอกว่าติดธุระ แล้วดาก็ได้ยินเสียงผู้หญิง แล้วจิก็กดวางสายไปเลย จนป่านเนี้ย ยังไม่ยอมรับสายดาเลยนะเจ๊อึ่ง”
“อ๋อ เข้าใจแล้ว”
“จิต้องมีกิ๊กแน่ๆ เจ๊อึ่ง”
เจ๊อึ่งตัดบท
“โอ๊ย ตอนนี้แต่งตัวออกไปก่อนไหม แล้วถ้าคุณจิมีกิ๊กจริงๆ เจ๊จะช่วยกันจัดเอง โอเค๊”
“ก็ได้”
ชามาดาลุกออกไป เจ๊อึ่งทำหน้าเบ้ เพราะจริงๆแล้วรำคาญมาก
รายการทีวีสัมภาษณ์นทีทอง นักร้องรุ่นใหญ่ที่กลับมาออกผลงานเพลงลูกทุ่งคู่กับชามาดา พิธีกรถาม...
“ไม่ทราบว่าการทำงานอัลบั้มคู่กันครั้งแรกของ สองซุปตาร์แห่งวงการลูกทุ่งเป็นยังไงบ้างคะ”
นทีทองยิ้มบางๆแล้วตอบ
“สำหรับพี่ต้องบอกว่าเป็นเกียรติอย่างมาก ที่ได้ร่วมงานกับน้องดาที่ทั้งสวยทั้งเก่ง พี่แฮปปี้มากครับ”
ชามาดาตอบบ้าง
“ชามาดาก็เหมือนกันค่ะ ต้องบอกว่าพี่นทีทั้งเก่งทั้งใจดี สมเป็นนักร้องลูกทุ่งเบอร์หนึ่งของประเทศจริงๆค่ะ ชามาดาขอกราบขอบพระคุณ ที่พี่นทีทองให้โอกาสชามาดาทำงานด้วยนะคะ”
นทีทองกับชามาดายิ้มให้กัน เจ๊อึ่งกับลูกน้องมองอย่างพอใจ
“สะตอได้ใจจริงจริ๊ง”
“จริงเจ๊ เมื่อกี้ยังวีน เหวี่ยง เม้งแตกอยูเลยนะเจ๊”
“เออ”
พิธีกรถามต่อ
“เรื่องการซ้อมคอนเสิร์ตเป็นยังไงบ้างคะ”
“ก็ต้องทำเต็มที่ เพราะน้องชามาดาเป็นคนรุ่นใหม่ พี่ก็ต้องสู้ตาย
เหมือนกัน”
พิธีกรชื่นชม
“อุ๊ย...พี่นทีทองนี่ สมกับเป็นซุปตาเบอร์หนึ่งตลอดกาลเลยนะคะ”
ชามาดาเสริม
“จริงค่ะ ไม่งั้นจะอยู่ในวงการมายาวนานกว่ายี่สิบปีเหรอคะ”
ชามาดายิ้มหวาน นทีทองยิ้มตอบแต่สีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก ที่เน้นว่าเหมือนเป็นศิลปินแก่ ชามาดายิ้มหวานแววตาสะใจ
จิรายุกำลังซื้อกาแฟเสร็จแล้วจะเดินขึ้นรถ ทันใดนั้นรถตู้หรูหราคันหนึ่งมาจอดข้างๆ พอประตูอัตโนมัติเปิดออก ชาตรีก็เดินลงมา จิรายุพอเห็นก็ยิ้มแล้วรีบวิ่งไปหาชาตรี
“ครูชาตรี” จิรายุยกมือไหว้ “ครูจำผมได้นะครับ ผมจิรายุ”
ชาตรีหันมาเห็นก็ยิ้มดีใจ
“อ้าว...จิ ไม่ได้เจอกันซะนายเลย ตอนนั้น ตัวแค่นี้เอง เดี๋ยวนี้เป็นหนุ่มใหญ่แล้วนะเรา”
“ผมเห็นเพลงของครูฮิตขึ้นชาร์ทเยอะเลย”
“ก็ยังไม่ดังเยอะเท่าของสยามซองหรอก แล้วนี่มาทำอะไรล่ะ”
“ผมขับรถพาพ่อมาประชุมที่สถานีวิทยุครับ ไม่รู้จะทำอะไรเลยมาเดินเล่น”
ชาตรีหน้าเสีย
“ที่วิทยุจังหวัดน่ะเหรอ สงสัยจะงานเดียวกัน”
“ครู ไม่ต้องห่วงนะครับ เรื่องมันนานมาแล้ว ป่านนี้พ่อไม่ถือสาแล้วครับ”
“ครูก็หวังอย่างนั้นนะ จะได้เป็นมิตรกันซะที”
“แล้วผมก็จะได้ไปเรียนแต่งเพลงกับครูด้วยครับ”
“จริงเหรอ งั้นก็ดีสิ มาเลยครูเต็มใจ”
“ครูรับปากผมแล้วนะครับ แล้วนี่ผมมากวนครูหรือเปล่า”
“ว่าจะมาซื้อกาแฟหน่อย เดี๋ยวค่อยเข้าไปประชุม”
“ถ้างั้นผมรอครูนะครับ จะได้ไปด้วยกันเลย”
ชาตรีกังวลใจ
จรัญเดินออกมาข้างหน้าตึกมี ผอ.สถานีมาส่ง
“เอ...ลูกชายคุณจรัญไปไหนซะละครับ”
“คงไปขับรถเที่ยวแถวนี้มั้งครับ เชิญ ผอ.ตามสบายนะครับ เดี๋ยวผมโทรตามเขาเอง”
“งั้นผมขอตัวนะครับ เดี๋ยวต้องไปเตรียมประชุมกรรมการประกวดอีกท่านพบกันวันงานนะครับ”
ผอ.ยิ้มแล้วเดินเข้าไป จรัญหยิบโทรศัพท์มาจะกดโทร
“ให้มันได้อย่างนี้สิไอ้จิ ไม่เคยไว้หน้าพ่อเล้ย”
ระหว่างจะกดเบอร์ รถของจิรายุก็แล่นเข้ามา ตามด้วยรถตู้ของชาตรี จรัญมองสงสัยจนเห็นชาตรีลงจากรถแล้วเดินมากับจิรายุ จรัญหน้าหงิกทันที ชาตรียกมือไหว้จรัญ
“สวัสดีครับคุณจรัญ”
จรัญทำเฉยไม่สนใจ ชาตรีหน้าเสีย แล้วจะเดินไปขึ้นรถแต่จิรายุดึงแขนจรัญไว้
“พ่อครับ ครูชาตรีไหว้พ่อ”
“เออ แต่แกจำไว้นะไอ้จิ พ่อไม่คบคนเนรคุณ”
พูดจบจรัญก็เดินขึ้นรถไปนั่ง จิรายุมองชาตรีด้วยความรู้สึกผิด
“ผมขอโทษแทนพ่อด้วย ไว้ผมจะโทรไปหาครูนะครับ”
ชาตรีได้แต่พยักหน้ายิ้มๆ จิรายุยกมือไหว้ลาแล้วขึ้นรถขับออกไป ชาตรีมองตามแล้วถอนใจเศร้า
จิรายุขับรถไปตามถนน จรัญหน้าตาเซ็งๆเมื่อรู้เรื่องราวจากจิรายุ
“จริงเหรอวะ ไอ้ชาตรีมันก็มาร่วมงานเหมือนกัน”
“ครับ...ครูบอกผมเอง”
จรัญหงุดหงิด
“โธ่เอ๊ย...ทำไมต้องมาทำงานกับมันด้วยนะ ต่อไปแกเจอมันที่ไหนก็ไม่ต้องไปไหว้ไปเคารพนพนอบมันเข้าใจไหม”
“ไม่ครับ”
“ไอ้จิ”
“ผมจะทำแบบนั้นได้ไง ผมต้องไปเรียนแต่งเพลงกับครูเขา”
จรัญตกใจ
“อะไรนะ แกจะบ้าเหรอ ครูในค่ายเราก็มีถ้าแกอยากเรียนก็ไปเรียนสิ”
“ผมเรียนหมดทุกคนแหละครับ แต่ครูชาตรีนี่ผมชอบทางของแกเป็นพิเศษไงก็ต้องเรียน”
“ฮื่ย แกนี่มันไม่ได้อย่างใจเลย จะให้บริหารก็อยากเป็นลูกน้อง จะให้แต่งเพลงก็ต้องไปเรียนกับศัตรูอีก ทำไมไม่ไปทำงานค่ายมันซะเลยล่ะ”
จิรายุดีใจ
“จริงหรือเปล่าพ่อ...งั้นผมไปอยู่กับครูชาตรีนะ”
จรัญฉุนกึก
“โอ๊ย...ไอ้จิ ไอ้ลูกเวรลูกกรรม”
ผอ.เดินมากับชาตรีจนถึงหน้าห้องส่ง
“ผมต้องขอบคุณครูมากเลยนะครับที่ให้เกียรติ งานใหญ่แบบนี้ถ้าขาดครูกับคุณจรัญล่ะกร่อยแน่”
“ผอ. อย่าพูดแบบนั้น เราก็คนคุ้นเคยกัน ผมเต็มใจครับ”
ดีเจพิณทองเดินเข้ามา
“ครูครับ รายการจะเริ่มแล้วครับ”
ชาตรีกับดีเจพิณทองเดินเข้าห้องส่งไปนั่งประจำที่ เสียงเพลงลูกทุ่งท้ายเพลงจบลง ดีเจพิณทองดำเนินรายการ
“และเพลงเมื่อสักครู่นี้ก็คือ รักน้องข้างนา เพลงฮิตมากๆอีกเพลงของนักแต่งเพลงชื่อดัง ครูชาตรี ที่วันนี้ครูได้ให้เกียรติดีเจพิณทองมาร่วมพูดคุยกันนะครับ สวัสดีครับครู”
“สวัสดีครับ ผมรู้สึกดีใจ ที่ได้กลับมาเยี่ยมเยียนบ้านเกิดอีกครั้ง”
“ทราบว่า ครูเป็นคนพื้นเพอยู่ที่นี่ด้วยใช่มั๊ยครับ”
“ครับ...บ้านเกิดผมอยู่ใกล้ๆที่นี่เอง ดังนั้นผมรู้สึกผูกพันกับที่นี่เป็นพิเศษ ถ้ามีงานที่จังหวัดนี้ผมเต็มใจมาเสมอครับ”
“งั้นครูพอจะเล่า ความประทับใจอะไรที่บ้านเกิด ที่ครูเอาไปแต่งเป็นเพลงฮิตบ้างได้มั๊ยครับ”
“อืม...เมื่อ 10 ปีก่อน ผมมีโอกาสได้มาเป็นกรรมการตัดสินการประกวดร้องเพลง...”
กุ้งนางและผองเพื่อนนั่งอยู่บน รถสองแถวที่จอดรอผู้โดยสารอยู่ กุ้งนางชะงักเงี่ยหูฟังเสียงวิทยุ
“ผมได้เจอเด็กคนหนึ่ง...ชนะเลิศในการประกวดครั้งนั้น น่าเสียดาย ผมติดต่อเธอไม่ได้เลย ถ้าได้พบกันอีกครั้ง ผมอยากจะเจียรนัยเธอให้เปล่งประกายในวงการเพลงลูกทุ่ง...”
กุ้งนางนิ่งคิด ชะเอมตื่นเต้น
“กุ้ง ครูเขาพูดถึงแกแน่ๆ ไปหาครูกันดีกว่า โอ๊ย...โอกาสเป็นนักร้องลอยมาอยู่ตรงหน้าแล้ว”
ก้านขัดขึ้น
“ชะเอม เอ็งก็รู้นี่ว่าน้าแก้วไม่ชอบให้กุ้งร้องเพลงลูกทุ่ง”
“แหม...แต่ตอนนั้นกุ้งยังเด็ก น้าแก้วก็ต้องห่วง นี่มันโตแล้ว มันก็น่าจะเลือกทางได้เองแล้วนะ”
“พี่ชะเอมพูดถูก ฉันต้องเลือกทางเดินของฉันเอง”
ชะเอมยิ้มดีใจ ก้านมองกุ้งนางแล้วไม่ค่อยสบายใจ กุ้งนางยังนั่งฟังชาตรีด้วยสีหน้าครุ่นคิดต่อไป
“...ผมอยากฝากงานประกวดร้องเพลงในงานฤดูหนาวของจังหวัดด้วยนะครับ สำหรับคนที่มีความฝันอยากเป็นนักร้อง...อย่าลังเล...ที่จะเดินเข้ามาตามหาฝันของคุณ...”
รถสองแถวแล่นออกไป กุ้งนาง ก้าน ชะเอม ยืนอยู่หน้าบ้าน ชะเอมไม่พอใจกับการตัดสินใจของ กุ้งนาง
“เนี่ยเหรอวะเลือกทางเดินเองของเอ็ง มันมีอะไรเปลี่ยนแปลงตรงไหนเนี่ย เป็นนักร้องน่ะเงินดีนะ ไม่ต้องตะเบ็งร้องเพลงอีแซวคอแทบแตก ได้เงินนิดเดียว กลับไปหาครูชาตรีเถอะนะๆๆๆ”
“ไม่ดีกว่า ถึงแม่จะไม่ห้ามแต่ฉันก็รู้ว่าแม่ไม่ชอบ ฉันเองก็ไม่ได้อยากดัง ฉันแค่มีความสุขที่ได้ร้องเพลง ร้องที่ไหนก็เหมือนกัน”
ก้านยิ้มพอใจ
“จริงกุ้ง พี่ว่ากุ้งไม่ต้องไปไหนหรอก อยู่ที่นี่ที่บ้านเราแบบนี้ดีกว่า ถึงเราไม่รวยแต่เราก็มีความสุขกันทุกวัน”
“เออ...เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะ ต่อไปก็แต่งงานกันเลยสิวะ”
ชะเอมค้อน ก้านชะงักเขินสุดๆ แต่กุ้งนางหัวเราะขำ
“บ้าเหรอพี่ชะเอม จะเป็นไปได้ไง งั้นพี่ชะเอมกับพี่ก้านก็แต่งงานกันด้วยสิ”
ชะเอมค้อนใส่ก้านกับกุ้งนาง
“โอ๋ๆๆๆ อย่างอนนะ”
กุ้งนางดันชะเอมเดินเข้าบ้าน ก้านมองตามแล้วถอนใจ
“กุ้ง...สำหรับพี่มันไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้นะ”
วันต่อมา...จิรายุขับรถมาส่งชามาดาที่หน้าบริษัททั้งสองลงจากรถ จิรายุจะเดินเข้าไปทำงาน ชามาดารีบดึงแขนไว้
“เดี๋ยวสิจิ คุยกันให้จบก่อนสิ”
“อะไรอีกล่ะ”
“ก็จิยังไม่ตอบเรื่องตัดสายโทรศัพท์ดาเมื่อวานเลยนะ แล้วก็ยังเรื่องเสียงผู้หญิงที่ดาได้ยินอีก”
“โอ๊ย เรื่องไร้สาระ”
“จิมีกิ๊กเนี่ยไร้สาระเหรอ”
“ดา เราแค่คบกันเฉยๆเป็นเพื่อน”
ชามาดาไม่พอใจ
“อ๊าย...พูดงี้หมายความว่าไง จิไม่เคยคิดจริงจังกับดาเหรอ”
“เมื่อก่อนเคย แต่ตอนนี้ เราเป็นแค่เพื่อนกัน”
ชามาดาเต้นเร่าๆ
“อ๊าย”
“หยุดกรี๊ดแล้วเข้าไปซ้อมดีกว่า ไม่งั้นผมก็จะเลิกคบกับดาไปเลย”
ชามาดาชะงักกึก
“ก็ได้...แต่จิห้ามออกไปไหน เดี๋ยวดาจะไปหาที่ห้องทำงาน กลางวันจะได้ไปทานข้าวกัน นะ นะ”
จิรายุถอนใจ
“ได้”
ชามาดายิ้มพอใจ
นทีทองกับครูแจ๋เปิดประตูห้องซ้อมเต้นเข้ามาเห็นกบ เขียด และเหล่านักเต้น กำลังวอร์มร่างกายอยู่ ครูแจ๋เข้าไปถาม
“รองเท้ายังไม่มาเหรอ”
ระหว่างนั้นเจ๊อึ่งเปิดประตูพร้อมกล่องรองเท้าพะรุงพะรัง กบกับเขียด และเหล่านักเต้น รีบวิ่งเข้าไปช่วย กบถามอย่างสงสัย
“ผู้ช่วยเจ๊ไปไหนล่ะ หรือว่า...”
เจ๊อึ่งพยักหน้ารับ
“โดนนักร้องหญิงเบอร์ 1 วีนเมื่อวาน วันนี้มันเลยลาหยุด ไปหาหมอรักษาไมเกรน”
เขียดยิ้มขำ
“อุ๊ยเจ๊ คนกำลังดังก็งี้แหละ เจ๊ต้องเอาใจหน่อยนะ”
“อุ๊ย...ไม่หน่อยล่ะ เจ๊ติดปีกขนนกให้เป็นนางฟ้าแล้ว”
นทีทองเข้ามาถาม
“แล้วตกลงดาเขาจะมาซ้อมไหมเจ๊”
เจ๊อึ่งถอนใจเครียด ชามาดายืนอยู่ที่ประตู ได้ยินตั้งแต่แรกๆพูดขึ้นเสียงแข็ง
“มาค่ะ แต่ไม่ซ้อม”
นทีทองอึ้ง
“ไม่ซ้อม”
“ค่ะ เสียอารมณ์ โดนเม๊ามอย นินทาด่าว่าลับหลัง”
เจ๊อึ่งรีบบอก
“น้องดา ไม่ได้นะ ต้องซ้อมจะมีคอนเสิร์ตแล้ว”
“เจ๊หุบปากไปเลย ดาบอกแล้วว่าไม่ซ้อม ดาเจ็บขา พอใจยัง”
นทีทองถอนใจ
“ยัง ถ้าเจ็บขาก็ต้องนั่งดู อย่างน้อยดูบล็อกกิ้งก็ยังดี อีกสองวันก็จะถ่ายเอ็มวีแล้ว”
“ถ้าดาหายไม่ทันก็เลื่อนถ่ายสิคะ หรือไม่ก็ไม่ต้องให้ดาเต้น”
นทีทองโมโห
“ใช้หัวคิดหรือยังที่พูด”
ชามาดาอึ้ง
“พี่นทีด่าดาเหรอ”
“พี่ถาม...อัลบั้มชุดนี้เป็นชุดใหญ่ที่สุดของปีนี้ ทุกคนในบริษัทตั้งแต่เฮียรัญไปจนถึงเด็กเสิร์ฟน้ำ เด็กยกเครื่องดนตรี เขาก็หวังรายได้จากชุดนี้ พี่ไม่ยอมให้ดาทำมันพังแน่”
“โอ๊ย พี่นทีก็เว่อร์ เราสองคนดังจะตาย แค่มาร่วมงานกัน ทั้งยอดดาวน์โหลด ยอดขาย ยอดคอนเสิร์ตก็รับไม่ไหวแล้ว พี่จะไปซีเรียสอะไรนักหนา”
“พี่ไม่ได้แค่ซีเรียส แต่พี่กำลังแสดงความรับผิดชอบ และดาก็ควรจะแสดงด้วย”
“แต่ว่า...”
ชามาดาจะเถียงอีก นทีทองสวนขึ้น
“ถ้าอยากดังให้นานเท่าพี่ ก็เปลี่ยนนิสัยซะ”
พูดจบนทีทองก็เดินไปรอซ้อม ชามาดาอยากจะกรี๊ด
“โอ๊ย...วันนี้มันวันอะไรเนี่ย”
ชามาดากระทืบเท้าแล้วเดินตามไป เจ๊อึ่งกับครูแจ๋ ทั้งสองหัวเราะสะใจ
“วุ้ย นทีนี่สุดยอด เจ๊ขอกระทืบ Like ให้พันครั้งเลย”
กุ้งนาง ก้าน ชะเอมซ้อมร้องเพลงกับยายอุ่นอยู่ แก้วตานั่งดูซ้อมไปพลาง เลือกผักมัดกำเพื่อไปขายไปด้วย สักครู่จบเพลง ยายอุ่นหันไปหาก้าน
“ก้านวันนี้เสียงมันแห้งๆ ขัดๆ อยู่นะ นอนให้มันเยอะหน่อย”
“จ้ะยาย”
ชะเอมถามขึ้นมา
“เสียงชะเอมล่ะจ๊ะยาย”
“โอ๊ย...โอ่งถังกะละมังแตกเหมือนเดิมแหละ สอนอะไรไม่เคยจำเลยนะเอ็ง”
กุ้งนางเข้าไปอ้อนยาย
“ยายจ๋า กุ้งว่า วันนี้ให้แม่ตำน้ำพริกอร่อยๆให้พี่ๆเขากินกันดีไหมจ๊ะ”
แก้วตายิ้มรับเจื่อนๆ
“วันนี้แม่เขาไม่ค่อยสบาย เดี๋ยวยายทำให้นะ”
“แม่เป็นอะไรอ่ะ” กุ้งนางเข้าไปจับตัวแม่อย่างเป็นห่วง “มีไข้หรือเปล่า แล้วทำไมไม่ไปนอนพัก”
“ยายห้ามแล้วก็ไม่ฟัง”
“แม่...ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” แก้วตายกกระจาดผักขึ้นจะเอาไปเก็บ “มันก็แค่เป็นไข้นิดๆ หน่อย เดี๋ยวก็หาย...”
พูดจบแก้วตาก็เวียนหัว สายตาของเธอเห็นหน้ากุ้งนางไม่ชัดเป็นจุดๆมืดๆวูบวาบ กุ้งนางแปลกใจ
“แม่ๆ เป็นอะไร”
“แม่”
กระจาดหลุดจากมือ แก้วตาทรุดแต่กุ้งนางรับไว้ทัน หญิงสาวตกใจมาก
“แม่”
ทุกคนในบ้านรีบวิ่งมาที่แก้วตา กุ้งนางร้องไห้เรียกแต่แม่ๆๆๆๆ
ที่โรงพยาบาล...แก้วตานอนนิ่งเงียบไม่ได้สติอยู่ในห้องฉุกเฉิน กุ้งนางนั่งกุมมือแม่ไว้ ยายอุ่นยืนเกาะกุ้งนางตลอด สองยายหลานจ้องหมอลุ้นผลตรวจ
“แม่หนูเป็นอะไรคะ ทำไมป่านนี้แม่ยังไม่ฟื้นเลย”
“จากอาการที่แสดงออก มันคือความดันโลหิตสูงอย่างรุนแรง”
ยายอุ่นถามอย่างร้อนใจ
“แล้วจะรักษาได้ไหมหมอ”
หมอถอนใจ
“มันไม่ใช่แค่นั้นสิครับคุณยาย อาการที่แสดงออกน่ะมันเป็นผลมาจากโรคอื่น”
กุ้งนางกังวล
“โรคอื่น...โรคอะไรคะ”
“โรคไตวายครับเรื้อรังระยะสุดท้ายครับ”
กุ้งนางกับยายอุ่นแทบทรุดต้องประคองกันไว้ ทั้งสองร้องไห้สงสารแก้วตา
“หมอคะ ช่วยแม่หนูด้วยนะคะ”
“ตอนนี้เราก็จะล้างไตให้ แต่ถ้าร่างกายคนไข้พร้อมเมื่อไหร่ หมออยากจะแนะนำให้ทำการปลูกถ่ายไตครับ”
กุ้งนางไม่เข้าใจ
“มันคืออะไรคะ”
“จริงๆก็อย่างที่เราเคยเข้าใจและเรียกผิดๆว่า เป็นการผ่าตัดไตนั่นแหล่ะครับ แต่เราคงต้องรอความพร้อมหลายๆอย่าง โดยเฉพาะร่างกายคนไข้”
“แล้ว ค่าผ่าตัดมันซักเท่าไหร่กันคะหมอ”
“โดยปกติจะอยู่ประมาณ หนึ่งแสนถึงห้าแสนบาท แต่โรงพยาบาลของเรารับการอนุเคราะห์จากมูลนิธิหลายแห่ง ค่าผ่าตัดก็จะอยู่ในราวห้าหมื่นบาทครับ”
กุ้งนางอึ้ง
“ห้าหมื่นบาท”
“ช่วงนี้พยายามอย่าให้จิตใจคนไข้เครียดนะครับ ไม่อย่างนั้นร่างกายจะแย่ตามไปด้วย”
กุ้งนางกับยายอุ่นมองหน้ากันเครียด แก้วตาที่นอนหลับตาน้ำตาไหลออกมา
ก้านกับชะเอม ตกใจพูดพร้อมกัน
“ห้าหมื่น!”
กุ้งนางและยายอุ่นนั่งเศร้า ชะเอมหยิบเงินออกมาจากตัวส่งให้กุ้งนาง
“เดี๋ยวพี่จะไปขอแม่มาเพิ่ม แต่คงไม่ได้มากมายอะไรหรอก”
กุ้งนางขัดขึ้น
“แต่นี่มันเงินที่พี่เพิ่งได้จากที่เราไปออกงานนะ”
ชะเอมยิ้มให้แต่กุ้งนางไม่รับ ก้านส่งให้ด้วย
“เดี๋ยวพี่จะไปช่วยเรี่ยรายชาวบ้านในหมู่บ้านพวกเราด้วยนะ”
กุ้งนางไม่รับ
“ฉันขอบคุณพี่ๆมาก แต่ขอไม่รบกวนดีกว่า พี่ก้าน ไม่ต้องบอกคนอื่นหรอก ฉันไม่อยากให้คนอื่นต้องมาลำบาก”
ยายอุ่นหหนักใจ
“กุ้ง...แล้วเราจะหาเงินจากไหนตั้งเยอะแยะขนาดนั้น”
“เดี๋ยวฉันจะกลับไปรวบรวมเงินดู ขาดเท่าไหร่เราก็อาจจะต้องหาเพิ่ม”
ก้านมองกุ้งนางอย่างเห็นใจ
“แล้วน้าแก้วมีเวลามากมายนักเหรอกุ้ง”
กุ้งนางครุ่นคิดหนัก
ราชินีลูกทุ่ง ตอนที่ 2 (ต่อ)
ครูแจ๋ซ้อมเต้นให้นทีทอง กบ เขียด และเหล่านักเต้น ชามาดานั่งอยู่กับเจ๊อึ่ง ชามาดาหน้าเชิดๆ ไม่แยแส เบื่อๆ เจ๊อึ่งมองอย่างหมั่นไส้นิดๆ
“แค่เนี้ย ซ้อมสามสี่วันก็ได้ ไม่เห็นต้องซ้อมเป็นเดือนๆเลย”
“น้องดา พี่นทีเค้ามืออาชีพนะ เขาไม่ยอมเสียชื่อเสียงหรอก”
“ก็แก่แล้วนี่ก็ต้องซ้อมนานน่ะสิ”
“แก่ที่ไหน ยังเซี้ยะอยู่เลย”
ชามาดาไม่พอใจ
“เจ๊อึ่ง”
เจ๊อึ่งเบ้หน้า
“ทำไม หรือไม่จริง”
“หูย ดาไม่ใส่จิ้ว ไม่สนใจหรอก”
ชามาดาลุกเดินออกไป เจ๊อึ่งมองตามอึ้ง
“เอ๋อ เหวี่ยงเข้าไปเยอะๆ สักวันเห๊อะ เจ๊จะไม่สนใจ ไม่ใส่จิ้ว เหมือนกันโว้ย”
จิรายุคุยโทรศัพท์กับพ่ออยู่ในห้องทำงานอย่างเซ็งๆ
“รู้แล้วน่าพ่อ ผมก็อยู่เฝ้าออฟฟิศให้พ่ออยู่นี่แหละ...แล้วเมื่อไหร่พ่อจะมาล่ะ...ไม่เข้าแล้ว...คร้าบ จะอยู่จนหกโมงเย็น ไม่ไปไหนทั้งนั้นพอใจแล้วนะพ่อ”
จิรายุกดวางสาย ชามาดาเข้ามา พอเห็นจิรายุก็กรี๊ดทันที
“อ๊าย”
จิรายุสะดุ้ง
“โอ๊ย เป็นอะไรดา”
“ดาไม่ไหวแล้วนะ”
“ผมก็ไม่ไหวเหมือนกัน”
“นักร้องแก่นี่มันน่ารำคาญ แถมยังมาด่าดาอีก”
“ใคร”
“ก็นทีทอง”
“แล้วดาไปวีน เหวี่ยง เม้งอะไรเขาล่ะ”
ชามาดาหน้าเก้อไป
“เปล่า...จิไปทานข้าวกันดีกว่าเนอะ”
จิรายุปฏิเสธเสียงแข็ง
“ไม่ได้”
ชาดามาหน้าเหวอ
“อ๊าว...ก็สัญญากับดาแล้วนะ ว่าซ้อมเสร็จแล้วจะไปทานข้าวกัน”
“ก็ตอนนั้นได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้ เพราะพ่อสั่งให้เฝ้าออฟฟิศ
“อ๊าย...ไม่รู้ล่ะ ดาจะทานข้าวกับจิ จิสัญญาแล้วนี่”
จิรายุรำคราญ
“ได้”
ชามาดาดีใจ
“โอ๊ย จินี่น่ารักสุดๆ เลยอ่ะ”
“ผมจะสั่งพิซซ่ามา คุณเอาหน้าอะไร ซีฟูด แฮมชีส หรือว่า...”
ชามาดาโกรธมาก
“อ๊าย...โอ๊ย วันนี้ทำไมเจอแต่คนกวนประสาทนะ”
ชามาดาสะบัดออกไป จิรายุยิ้มขำ
กุ้งนางนั่งเฝ้าแม่อยู่ข้างเตียงในห้องผู้ป่วยรวม เธอหลับฟุบไป แก้วตารู้สึกตัวตื่นขึ้น เห็นกุ้งนางหลับอยู่ แก้วตายิ้มอย่างเอ็นดู
“กุ้ง...กุ้งนาง”
กุ้งนางตื่นขึ้นมา
“จ๋าแม่...แม่จะเอาอะไรจ๊ะ...หิวน้ำหรือเปล่า”
กุ้งนางกุลีกุจอหยิบน้ำให้แม่ดื่ม แก้วตาจิบไปนิดก็เบือนหน้าหนี หญิงสาวพยุงแม่ลุกขึ้นนั่ง
“ไม่ต้องห่วงเรื่องโรคของแม่นะ แม่เสียดายเงิน”
กุ้งนางแปลกใจ
“แม่รู้เหรอ”
แก้วตาพยักหน้า
“แม่ได้ยินหมด แต่ตอนนั้นแม่ไม่มีแรงแม้แต่จะลืมตา”
“หมอบอกว่าต้องปลูกถ่ายไตให้แม่ รับรองว่าหายแน่นอน”
“ไม่ต้องหรอก”
“ไม่ได้นะ ยังไงแม่ก็ต้องรักษา เรื่องเงินน่ะฉันหาเอง”
“แล้วกุ้งจะไปหาจากไหน”
“ฉันพอมีเก็บๆไว้บ้างนิดหน่อย ส่วนที่เหลือฉันจะไปกู้ตาอ่ำจ้ะ”
“ไม่ได้เด็ดขาด ดอกเบี้ยกินตาย ไหนจะเงินต้นอีก เราไม่มีทางหาเงินใช้หนี้ได้หรอกลูก”
“แต่ชีวิตแม่สำคัญกว่านะ”
“ถ้าแม่มีชีวิตอยู่โดยการเห็นลูกเป็นหนี้เป็นสิน แม่ยอมตายดีกว่า กุ้งอย่ากู้เขาเลยนะ ลูกแม่ขอร้อง”
แก้วตาเริ่มจะร้องไห้ กุ้งนางใจไม่ดี
“ไม่เอาน่าแม่ หมอบอกแม่ห้ามเครียดด้วยนะ งั้นเอาอย่างนี้ได้มั๊ย หนูไม่กู้เงิน ตาอ่ำก็ได้ แต่แม่ต้องสัญญาว่า ถ้าหนูหาเงินมาให้แม่ได้ แม่ต้องยอมผ่าตัดนะจ๊ะ สัญญานะ”
แก้วตาส่ายหน้า
“โธ่...ลูกเอ๊ย...”
กุ้งนางจับมือแม่มากอดไว้ สายตามุ่งมั่นมาก
ค่ำนั้น กุ้งนางแต่งตัวสำหรับไปร้องเพลงพื้นบ้านเสร็จ แล้วก็เปิดลิ้นชักหยิบเงินที่เก็บไว้มานับ
“หักทุนค่าผักแล้วก็มีไม่ถึงหมื่นเลย แล้วเมื่อไหร่จะครบเนี่ย”
กุ้งนางถอนใจเครียด ยายอุ่นเดินเข้ามา
“แต่งตัวเสร็จแล้วเหรอ เจ้าภาพเขาให้สองแถวมารอแล้ว”
“ฉันไปเดี๋ยวนี้จ้ะยาย”
“กุ้ง...ยัยศรีแม่ของนาคเขารู้เรื่องที่แก้วมันเข้าโรงพยาบาลแล้ว เขาเลยบอกงานวันนี้เขาเพิ่มให้กุ้งเป็นสองพัน”
กุ้งนางดีใจ
“จริงเหรอจ๊ะยาย”
“ยัยศรีมันรู้ว่า งานร้องเพลงพื้นบ้านนานๆจะมีที เลยอยากช่วยเหลือเรา ลูกชายเขาจะได้บุญด้วย” ยายอุ่นนึกได้ “แล้วเงินเก็บน่ะมีเท่าไหร่แล้วล่ะกุ้ง”
กุ้งนางส่ายหน้าเซ็ง
“ยังขาดอีกเยอะเลยยาย”
“อดทนหน่อยนะ ลูก”
กุ้งนางยิ้มเศร้าแล้วเดินออกไป ยายอุ่นมองตามแล้วยิ้มๆ
“เออ...วาสนาของแก้วตามัน ที่มีลูกกตัญญูอย่างเอ็งนะกุ้งนาง”
เช้าวันใหม่...กุ้งนางกำลังจัดแผงขายผักวุ่นวายในตลาด หญิงสาวขายผักให้ลูกค้า เก็บเงินใส่ในกระเป๋านับสตางค์ที่ขายผัก เก็บลงในกระเป๋า กุ้งนางกำลังเก็บข้าวเก็บของ ที่แผงให้เรียบร้อย แม่ค้าที่ขายอยู่ที่ใกล้ๆกันหันมาถาม
“จะเอาข้าวไปส่งแม่แล้วเหรอ”
“จ้ะ เลยเที่ยงมาแล้วเดี๋ยวแม่หิว”
“เออ...ฝากข้าวต้มมัดไปเยี่ยมแม่เอ็งด้วยนะ”
“ขอบคุณจ๊ะป้า”
“เอ็งนี่มันขยันจริงๆนะ เช้ามืดมาขายของ กลางวันไปดูแม่ บางวันก็ต้องไปแสดงเพลงอีก ถ้าป้าเป็นแม่เอ็งคงภูมิใจมากนะ ขอให้แม่แก้วหายไวไวนะ”
กุ้งนางรับข้าวต้มมัดแล้ว หยิบปิ่นโตเดินออกจากแผงไป
กุ้งนางกำลังป้อนข้าวแก้วตาจากปิ่นโตที่เธอนำมาให้ แก้วตากินได้สองสามคำก็เบือนหน้าหนี
“แม่จ๋า กินอีกซักคำสองคำนะแม่ จะได้แข็งแรง หรือไม่ก็กินข้าวต้มมัดหน่อยก็ได้ ป้าข้างร้านแกฝากมาให้แม่ น่ากินเหมือนกันนะจ๊ะ”
“แม่กินไม่ลงหรอก แม่อยากกลับบ้านพาแม่กลับนะ”
“อย่าเพิ่งเลยแม่ ไว้แม่หายแล้วค่อยกลับนะ”
“กว่าแม่จะหายมันจะสิ้นเปลืองเท่าไหร่ก็ไม่รู้”
“ฉันบอกแม่แล้วไงว่าฉันจะหาเงิน แล้วที่อยู่ทุกวันนี้เราก็แทบไม่เสียอะไร อาหารฉันก็ทำมา ก็มีแต่...”
พยาบาลเดินถือบิลค่าใช้จ่ายมาที่เตียง
“ญาติคุณแก้วตา ต้องจ่ายค่ายาที่การเงินด้วยนะคะ”
“อ้าว...ใช้สิทธิไม่ได้หรือคะคุณพยาบาล”
“อ๋อ...อันนี้เป็นยานอกบัญชีค่ะ ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม...”
กุ้งนางพยักหน้ารับรู้ หยิบบิลมาดูแล้วสะดุ้ง ควักเงินที่ขายของออกมานับมีอยู่พอดี แก้วตามองนิ่งคิด
“คุณพยาบาลคะ ฉันอยากกลับบ้าน นอนอยู่อย่างนี้มันเบื่อ กลับไปพักฟื้นที่บ้านดีกว่า”
กุ้งนางไม่ยอม
“ไม่ได้นะแม่ อยู่ใกล้หมอน่ะดีแล้ว”
“แม่อยากกลับบ้าน อยู่ที่นี่มันอึดอัด...” แก้วตาหันไปถามพยาบาล “ได้มั๊ยคะ”
พยาบาลดูรายงาน
“ที่จริงก็ฟอกไตไปแล้ว...อืม...เดี๋ยวถามหมอให้นะคะ อาจจะมีข่าวดี”
“ขอบคุณนะคะ”
พยาบาลเดินไป กุ้งนางหันมาบ่น
“แม่นี่ดื้อจริงๆ...”
กุ้งนางมองแม่แล้วถอนใจเครียด
กุ้งนางกับแก้วตาเดินออกมาจากโรงพยาบาล
“แม่ยืนรอตรงนี้นะจ๊ะ เดี๋ยวฉันเรียกรถดีกว่า”
“ไม่จำเป็นหรอกลูก เดินไปนั่งรถสองแถวก็ได้”
“โธ่ แม่...มันจะสะเทือนนะ แล้วแม่จะไปยืนรอรถนานๆได้ไง”
แก้วตารีบทำแข็งแรง
“หมอให้ออกจากโรงพยาบาลได้ แสดงว่าหาย”
“ใครบอก หมอสั่งสารพัด ห้ามเครียดด้วย...เพราะฉะนั้น แม่ต้องทำตัวให้สบายๆ เดี๋ยวฉันเรียกรถให้”
“ถ้าเรียกรถ แม่จะยิ่งเครียดใหญ่ เพราะต้องเสียเงินแพง ถ้าไม่อยากให้แม่เครียด ก็ไปขึ้นสองแถวเถอะลูก”
แก้วตาเดินนำไปที่ประตูใหญ่โรงพยาบาล กุ้งนางต้องรีบวิ่งไปประคอง
เมื่อกลับเข้ามาในบ้าน กุ้งนางประคองแม่ให้นั่งลง ยายอุ่นเข้ามาลูบหน้าลูบหลังด้วยความเป็นห่วง
“ทำไมถึงรีบกลับนักล่ะ ไหนว่าต้องผ่าตัด”
กุ้งนางหนักใจ
“แม่น่ะดื้อ...ร้องจะกลับท่าเดียว...ใครห้ามก็ไม่ฟัง”
แก้วตายิ้ม
“เอาน่าบ่นเป็นหมีกินผึ้งเลย”
“งั้นฉันเอาเสื้อผ้าแม่ไปซักก่อนแล้วกัน”
กุ้งนางเดินไป แก้วตามองตามเศร้าๆ ยายอุ่นหันมามองหน้าลูกสาว
“ว่าแล้ว เอ็งต้องไม่ยอมอยู่ แก้วเอ๊ย...เอ็งนี่มันดื้อไม่เปลี่ยนแปลงจริงๆ”
“โธ่แม่...ฉันสงสารลูก ไม่อยากให้ลูกต้องมาลำบากเพราะฉัน”
“เอ็งถามกุ้งมันหรือยังว่ามันอยากได้ความลำบาก หรือ อยากได้ชีวิตเอ็ง”
แก้วตาอึ้ง เถียงไม่ออก
“ที่แม่พูดน่ะเพราะเป็นห่วงทั้งลูกและหลาน ความดื้อรั้นมันเคยทำลายชีวิตเอ็งมาแล้ว แม่ไม่อยากให้มันพาลไปทำลายกุ้งมันด้วย”
แก้วตาร้องไห้
“ไม่ต้องห่วงนะแม่ ฉันจะพยายามดูแลร่างกายให้ดีที่สุด ไม่ให้กุ้งมันต้องเดือดร้อนเพราะฉัน”
ยายอุ่นส่ายหน้าระอาใจ
เช้าวันต่อมา...กุ้งนางเอาผักใส่ถุงให้ลูกค้าแล้วรับเงินมาเก็บ ก้านกับชะเอม เดินมาหากุ้งนาง พอมาถึงก้านก็ยื่นซองให้ กุ้งนางๆมองงงๆ
“อะไรน่ะพี่ก้าน”
“ก็ที่พี่บอกวันก่อนไง พี่ กับชะเอม ไปช่วยเรี่ยไรชาวบ้านมาให้”
“โธ่...ฉันบอกแล้วไงพี่ว่าไม่อยากรบกวนใคร”
“กุ้ง มันไม่ใช่รบกวนนะ มันคือน้ำใจ”
“ใช่ ถ้าแกไม่รับ พวกฉันจะถือว่าหมิ่นน้ำใจกัน คนอยากจะช่วยก็ไม่รับทำยังกับว่าชาตินี้แกจะไม่ช่วยพวกพี่บ้างงั้นแหล่ะ”
ชะเอมต่อว่าแกมบังคับ ก้านเห็นด้วยกับชะเอม
“ชะเอมพูดถูกนะกุ้ง วันนี้คนอื่นช่วยกุ้ง วันหน้ากุ้งก็อาจจะมีโอกาสช่วยคนอื่นคืนบ้าง เราอยู่ด้วยกันต้องช่วยกัน”
กุ้งนางยิ้มแล้วรับซองมา
“ขอบคุณพวกพี่ๆมากนะ”
สามคนมานั่งที่ร้านไอติมกะทิในตลาด กุ้งนางเอาเงินออกมานับรวมกัน มีก้านกับชะเอมนั่งช่วยกันลุ้น กุ้งนางนับเสร็จ
“หมื่นเจ็ดพันเจ็ดร้อย”
ชะเอมเซ็งๆ
“ว้า...ขาดอีกตั้งเยอะ แล้วจะหาที่เหลือยังไงถึงจะครบห้าหมื่น”
“ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้ฉันก็ขอบคุณมากจนไม่รู้จะตอบแทนยังไงแล้วจ้ะ”
ชะเอมคิดนิดนึง
“เอางี้มั๊ย...เราไปหาเงินในงานฤดูหนาวกันดีกว่า”
ก้านกับกุ้งนางมองชะเอมงงๆยังตามความคิดไม่ทัน กุ้งนางถามอย่างสงสัย
“แล้วยังไง...ขายเสื้อกันหนาวหรือพี่”
ชะเอมส่ายหน้า
“ไม่เอา แต่เราจะไปเป็นสาวรำวง รับรองจบงานเอาเงินรวมกันต้องได้เยอะแน่ๆ”
ก้านหน้าตื่น
“เฮ้ย เอ็งจะบ้าเหรอวะชะเอม”
“บ้ายังไง” ชะเอมร้องเพลง “อายุ 15 ก็มาเป็นสาวสาวรำวง มาใส่กระโปรงวับๆแวมๆ...”
ก้านโวยวาย
“ไม่ได้เด็ดขาด เป็นผู้หญิงจะไปทำแบบนั้นได้ไง เดี๋ยวก็โดนไอ้พวกผู้ชายลวนลาม กุ้งพี่ว่าอย่าไปทำเลยนะ ไม่ดีหรอก”
ชะเอมไม่พอใจ
“นี่มันชักจะยังไง ยังไงแล้วนะ ห่วงแต่ไอ้กุ้งไม่ห่วงข้าบ้างเหรอ”
“โหย...ห่วงสิ แต่ของแกน่ะ ต้องห่วงคนที่มาลวนลามมากกว่า”
ชะเอมโกรธจัดด่ากันตีกันกับก้าน จนกุ้งนางขำต้องเข้าไปแยก
“พอแล้วพี่ชะเอม เดี๋ยวพี่ก้านจะตายซะก่อน”
ก้านหันมาถาม
“ตกลงกุ้งไม่ทำใช่ไหม”
งานฤดูหนาวบรรยากาศคึกคัก ด้านข้างเวทีรำวง กุ้งนางกับชะเอม แต่งตัวเป็นสาวรำวง กระมิดกระเมี๊ยนอายๆ
“ใส่ชุดนี้แล้วดูประหลาดชอบกล”
กุ้งนางพยายามดึงกระโปรงให้ยาวไว้
“ใส่กางเกงขาสั้นไว้ดีแล้วนะ”
ชะเอมเปิดกระโปรง กุ้งนางอายรีบปิด
“พี่ชะเอม เล่นอะไรไม่รู้”
“ไปกันเถอะ มัวแต่อายพอดีไม่ได้เงิน คืนนี้อีกชะเอมจะกวาดตั้งแต่รอบแรกเลย”
กุ้งนางกับชะเอม เดินขึ้นเวทีไปนั่งบนเก้าอี้กับสาวๆคนอื่นๆ ก้านมองด้วยความเป็นห่วง ครู่หนึ่งมีจิ๊กโก๋ สองสามคนเดินเข้ามายืนข้างๆ ก้าน ทั้งหมดมองขึ้นไปบนเวทีแล้วเป่าปาก
“แหล่มๆทั้งนั้นเลยเว้ย”
จิ๊กโก๋อีกคนตะโกน
“เฮ้ย...เปิดยังพี่ ซื้อตั๋วแล้วนะ วัยรุ่นใจร้อน”
เหล่าจิ๊กโก๋หัวเราะสะใจ ก้านมองจิ๊กโก๋แล้วเครียดทันที
จิรายุเดินเที่ยวในงาน มองรอบๆตัวอย่างตื่นตาตื่นใจ เขามองไปตามซุ้มการแสดงต่างๆ มีทั้งปาเป้าลูกโป่ง ม้าหมุน ขายของ เมียงู เสียงคนเชียร์รำวงลอยเข้ากับภาพบรรยากาศงาน
“อ้าว เร็วครับเร็วพ่อแม่พี่น้อง รำวงรอบแรกจะเริ่มแล้ว ใครที่ยังไม่มีตั๋วก็รีบซื้อหากันได้ น้องๆสาวๆสวยๆน่าร๊ากน่ารักรอทุกท่านอยู่แล้วครับ”
ก้านซื้อตั๋วเสร็จแล้วออกมา จิรายุเดินมาหยุดตรงที่ซื้อตั๋วแต่ไม่เห็นกันกับก้าน เพราะเขาหันหลังให้เวทีมองงานอยู่
“งานใหญ่เหมือนกันแฮะ”
บนเวที จิ๊กโก๋ส่งตั๋วให้คนฉีกตัวแล้วเดินไปที่ กุ้งนางกับชะเอม จิ๊กโก๋จ้องสองสาวตาเป็นมัน แต่พอจะอ้าปากพูดเสียงก้านก็ดังขึ้นมาก่อน
“กุ้ง...รำกับพี่นะ”
กุ้งนางลุกขึ้นจะไปหาก้าน จิ๊กโก๋มองเขม่น
“เฮ๊ย...แต่กูมาก่อน”
“พี่มาก่อนแต่พี่ไม่เลือก ฉันก็ต้องได้ก่อนสิ”
ก้านจะเดินเข้าไปหากุ้งนาง จิ๊กโก๋ผลักก้านทันที
“เฮ้ย มึงรู้ไหมกูลูกใคร”
“ขอโทษนะ กูไม่เสือกเรื่องชาวบ้าน”
จิ๊กโก๋ฉุนกึก
“ไอ้นี่ มึงกล้ากวนกูเหรอ”
พวกจิ๊กโก๋รีบวิ่งมารวมตัวกัน
“มีอะไรพี่เหลิม”
“กระทืบไอ้นี่ทีสิ”
จิ๊กโก๋เข้าไปรุมกันอัดก้านทันทีเกิดเหตุชุลมุน ชาวบ้านร้องแตกตื่น สาวรำวงกรี๊ดกันทันที
จิรายุที่ยืนหันหลังอยู่โดนก้านที่ถูกอัดตกเวทีมาชนหลัง จนเซล้มลงหน้าคว่ำกับพื้น จิรายุไม่เห็นหน้า จิ๊กโก๋ทั้งสามจะเข้ามารุม จิรายุรีบห้าม ก้านโดนอัดกระเด็นไปกระแทกจิรายุรับตัวไว้ทัน
“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย...อย่ามีเรื่องกันเลยครับ”
จิ๊กโก๋ตะคอก
“หลีกไป อย่าขวางทางตีนกู”
“โห...คุณครับ พูดจาได้เลวชาติมาก แบบนี้ไม่ลูกผู้ชายเลยนะครับ”
“ตกลงมึงจะช่วยมันใช่ไหม ได้...จัดให้” จิ๊กโก๋สั่งลูกน้อง “รุมมัน”
จิ๊กโก๋ชักมีดออกมา ตะลุมบอนกันสู้กันมันหยด ก้านกับจิรายุช่วยกัน มีช่วงหนึ่งเห็นหน้ากันก็อึ้งจำกันได้
“เฮ้ย!”
แต่แล้วก็ช่วยสู้กันต่อ บนเวที กุ้งนางกับชะเอมยืนลุ้นอยู่ ชะเอมจำได้
“นั่นมันอนาคตสามีฉันนี่”
ระหว่างที่เพ่งนั้น กุ้งนางไม่รู้จะทำไงก็ไปคว้าเก้าอี้ ชะเอมตกใจ
“กุ้ง...ทำอะไร”
“ช่วยพี่ก้านน่ะสิพี่”
กุ้งนางกับชะเอมคว้าเก้าอี้กันคนละตัวแล้วโดดลงไปช่วยตีจิ๊กโก๋ ชาวบ้านช่วยเชียร์ แล้วเสียงนกหวีดจากตำรวจก็ดังขึ้น ทุกคนชะงักหันไปเห็นตำรวจ 2 นายวิ่งเข้ามา กุ้งนางตะโกนขึ้น
“คุณตำรวจช่วยด้วยค่ะ ไอ้พวกนี้มันรุมทำร้ายเพื่อนฉัน”
ตำรวจมองไปที่พื้นแล้วผงะ เพราะเห็นจิ๊กโก๋ทั้งสามนอนร้องโอดโอยแต่ยังเก่ง
“พวกมึงกล้าทำกู กูเอามึงตายแน่”
นายตำรวจหันไปสั่ง
“จ่า...จับทุกคนไปโรงพัก”
กุ้งนาง จิรายุ ก้าน และชะเอมต่างตกใจ ชะเอมเผลอทำเก้าอี้หล่นใส่จิ๊กโก๋จนร้องจ๊ากอีก
จิ๊กโก๋ทั้ง 3 นั่งอยู่ในห้องขัง ก้านกับจิรายุมีรอยฟกช้ำเล็กน้อย ร้อยเวรพูดขึ้น
“เป็นอันว่าถ้าพวกคุณไม่เอาความสามคนที่ก่อเรื่องนี่ ก็เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ”
กุ้งนางชะงัก
“หมายความว่าพวกเขาจะถูกปล่อยตัวอีกหรือเปล่าคะ”
“คงไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกครับ เพราะทางเจ้าภาพกับร้านค้าแถวนั้นเขาจะเอาเรื่อง”
กุ้งนางถอนใจโล่งอก
“งั้นพวกหนูกลับนะคะ ขอบคุณมากค่ะคุณตำรวจ”
กุ้งนาง ก้าน ชะเอม ยกมือไหว้ตำรวจ จิรายุมองกุ้งนางเซ็งๆ กุ้งนางก็ค้อนใส่ แต่ชะเอมที่คอยส่งยิ้มหวานให้ จิรายุพูดลอยๆ
“เฮ้อ จะขอบคุณสักคำก็ไม่มีรึไง”
“ขอบคุณค๊า”
จิรายุหันไปยิ้ม
“แล้วตัวต้นเรื่องล่ะ”
“ฉันไม่ได้ขอให้ช่วย ตรงกันข้าม นายนั่นแหล่ะที่ต้องขอบคุณพวกฉัน ไม่งั้นนายโดนซัดหมอบไปแล้ว”
“กุ้ง คุณเขามาช่วยเรานะ” ก้านหันไปหาจิรายุ “ขอบคุณครับ เอ่อ...แล้วเรื่องคราวก่อนก็ถือว่าเลิกแล้วต่อกันนะครับ”
กุ้งนางมองก้านอึ้งไม่เห็นด้วย จิรายยิ้มบางๆ
“ไม่เป็นไรครับ คุณเป็นคนดีน่าช่วย แต่รู้สึกจะมีอยู่คนนึงนะครับที่ไม่รู้ว่า ควรจะขอบคุณผม”
กุ้งนางกับจิรายุมองหน้ากันแล้วเชิด จิรายุถอนใจ
“เฮ้อ...ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ สงสัยฉันต้องไปรดน้ำมนต์เก้าวัดซะแล้ว...จะได้แคล้วคลาดจากตัวซวยแบบนี้”
กุ้งนางโกรธจี๊ด
“นายว่าใครเป็นตัวซวย”
“ใครคิดคนนั้นก็รับไปแล้วกัน”
“หืม...ขอเอาเก้าอี้ฟาดปากนายอีกคนแล้วกัน”
กุ้งนางกับจิรายุทำท่าจะฮึดฮัดตีกัน กุ้งนางคว้าเก้าอี้ ตำรวจปวดหัวรีบห้าม
“ขอร้องเถอะครับ วันนี้โรงพักผมแน่นไปหมด...อย่าก่อคดีอีกเลยนะครับ ผมไม่มีห้องขังว่างให้พวกคุณนอนแล้ว เอ่อ...แล้วเก้าอี้นั่นก็ของราชการครับ”
ทั้งคู่จ้องตากันอย่างกินเลือดกินเนื้อ
กลุ่มกุ้งนาง และจิรายุเดินลงมาจากโรงพัก กุ้งนางพูดกระแทก
“หวังว่า คงไม่ต้องเจอกันอีกแล้วนะ”
“อยากเจอตายแล้วนี่ เจอที่ไรมีเรื่องทุกที”
กุ้งนางเชิดแล้วเดินไป ก้านรีบตามไป ชะเอมมองจิรายุอย่างอาลัย ก่อนตัดใจตามเพื่อนไป จิรายุมองตามแล้วพึมพำ
“กุ้งนาง...ผู้หญิงอะไร ชื่อก็เชย ใจยังร้ายอีก...แล้วจะกลับยังไงวะเนี่ย”
รถของจรัญวิ่งเข้ามาจอดหน้าโรงพัก จรัญลงมาจากรถพอเห็นหน้าจิรายุก็เล่นงานทันที
“เจริญจริงๆ ไอ้จิ ตั้งแต่กลับมาบ้านนี่หาแต่เรื่อง แล้วนี่ใครประกันตัวออกมา”
“โธ่พ่อ....ผมไม่ได้หาเรื่องนะ แต่เรื่องมันมาหาผมต่างหาก”
“มันมาเองแกก็ต้องหลบ จะทำอะไรคิดถึงชื่อเสียงวงศ์ตระกูล คิดถึงหน้าฉัน คิดถึงธุรกิจของฉันด้วย”
จิรายุถอนใจเซ็ง
“ผมขอโทษครับ”
“ไปเร็วก่อนที่นักข่าวจะมา”
จรัญบ่นไม่เลิก เดินกลับไปขึ้นรถ จิรายุมองตามพ่อไปอย่างเซ็งๆ
เวทีรำวงกลับมามีบรรยากาศสนุกสนานเหมือนเดิม คนเชียร์รำวงยืนหน้าหงิกอยู่ข้างเวที
“โอ๊ย...ยังกล้ากลับมาอีกเหรอ” คนเชียร์รำวงยกมือไหว้ “ทำไมไม่ไปแล้วไปลับ”
กุ้งนางกับชะเอม ยืนคอตกอยู่ ชะเอมยิ้มหวาน
“แหม...เฮีย ให้พวกหนูทำงานนะ ที่มันเกิดเรื่องก็ไม่ใช่เพราะพวกหนูสักหน่อย แต่มันเป็นเพราะความสวยของพวกหนูอ่ะ”
กุ้งนางเข้าไปขอร้อง
“เฮีย...ให้พวกหนูทำงานนะ พวกหนูอยากหาเงิน”
“ไม่เอาแล้ว ยังไม่เริ่มเพลงแรกก็ซวยแล้ว ขืนให้พวกเธออยู่ทั้งคืนมีหวังเจ๊ง ไปๆๆๆ ไปถอดชุดคืนแล้วไปหางานอื่นทำแล้วกัน”
พูดจบคนเชียร์รำวงก็วิ่งขึ้นเวที แล้วพูดร่าเริงผิดกับเมื่อกี้ลิบลับ
“เอาละครับ พ่อแม่พี่น้อง ใกล้หมดรอบแล้ว รอบต่อไปเตรียมตัวนะครับ คืนนี้สนุกให้เต็มที่เลยครับ”
สามสาวมองขึ้นไปบนเวทีด้วยความเซ็ง ชะเอมบ่นอย่างเซ็งๆ
“กะว่าจะอยู่จนจบงาน นี่ต้องไปซะตั้งแต่คืนแรกแล้วเหรอเนี่ย”
กลุ่มกุ้งนางมานั่งอยู่ตรงข้างถนน มองหน้างานอย่างเศร้าๆ กุ้งนางถอนใจอย่างหนักใจ
“แล้วฉันจะเอาเงินที่ไหนไปเป็นค่าผ่าตัดแม่ล่ะคราวนี้”
ชะเอมคิดๆ
“หรือเราจะรวมตัวกัน เล่นเพลงอีแซวเปิดหมวกขอบริจาคเลย”
กุ้งนางขัดขึ้น
“ไม่ได้หรอกพี่ เราจะเอาเสียงที่ไหนไปสู้ ดูสิเสียงเพลงชิงช้าสวรรค์เอยยิงปืนเอย แล้วยังจะเวทีรำวงอีกเครื่องเสียงเขาดังๆ ทั้งนั้น”
ก้านเห็นด้วย
“จริง...ยิ่งถ้าเวทีประกวดร้องเพลงเริ่มเมื่อไหร่ เสียงคงยิ่งดังกลบทุกเวทีเลย”
ชะเอมนึกได้
“คิดออกแล้ว...จะหาเงินได้จากที่ไหน”
ก้านส่ายหน้า
“อีกแล้วเหรอวะ แกคิดทีไรเป็นเรื่องทุกที”
“รับรองคราวนี้ไม่มีเรื่องแน่”
กุ้งนางไม่เข้าใจ
“พี่จะให้ฉันทำอะไร ฉันทำได้หมด ว่ามาเลยพี่”
ชะเอมลุกขึ้นยืนเชิดหน้า ชี้มือไปที่ป้ายตรงหน้า เป็นป้ายเชิญประกวด ร้องเพลงลูกทุ่งในคืนสุดท้ายของงานประจำปี ชิงรางวัล สามหมื่นบาท
“กุ้งน่าสนนะ ไม่ต้องมาเต้นรำวงเจ็ดวันเจ็ดคืน แถมปีนี้เงินเยอะมาก ถ้าแกชนะ เราก็แทบไม่ต้องหาเงินเพิ่มเลย ประกวดเถอะนะ”
กุ้งนางหน้าสลด
“ไม่ได้หรอก...เดี๋ยวแม่รู้เข้า ฉันกลัวแม่เสียใจ”
ชะเอมยิ้มๆ
“ใครบอกจะให้แกสมัครล่ะ กุ้ง”
ก้านงง
“อ้าว...กุ้งไม่ร้องแล้วใครจะร้อง”
“แกนั่นแหละ...ไอ้ก้าน”
ก้านโวยวายทันที
“ไม่ได้หรอก...ไม่เอา ฉันไม่กล้า”
“เพื่อน้าแก้วก็ไม่กล้าเหรอวะ นี่แกกำลังจะช่วยชีวิตคนนะ”
“ฉันอยากทำนะ แต่ถ้าฉันอายร้องไม่จบ มันก็ไม่ได้เงินเหมือนกัน”
“เซ็งเป็ดเลย...ไอ้กุ้งก็ไม่ยอม ไอ้ก้านก็ไม่ได้ โอ๊ย...เซ็งโว้ย”
ชะเอมส่ายหน้าแบบเซ็งมาก
ก้านเดินมาส่งกุ้งนางที่หน้าบ้าน
“ขอบใจมากนะพี่ก้าน...ที่มาส่ง”
กุ้งนางเดินซึมๆจะเข้าบ้าน ก้านเรียกไว้
“กุ้ง พี่ขอโทษนะที่พี่ไม่กล้าสมัครประกวดร้องเพลง”
กุ้งนางส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรหรอกพี่ ฉันเข้าใจ”
กุ้งนางหันหลังเดินเข้าบ้าน ก้านมองตามหญิงสาวจนลับตา
กุ้งนางค่อยๆย่องเข้ามาในห้อง เสียงแก้วตาไอ กุ้งนางรีบเข้าไปดู
“แม่เป็นอะไรไปจ๊ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก เป็นไงไปขายลูกโป่ง ได้เงินดีไหม”
“เอ่อ...ก็ได้มานิดหน่อยจ้ะแม่”
“โธ่ลูก ลำบากอดหลับอดนอนเพราะแม่แท้ๆเลย”
“ไม่ลำบากหรอกจ๊ะ...กุ้งได้เดินดูงานด้วย แล้วก็ได้สตางค์ด้วย หนุกดีออก”
“อย่ามาปิดแม่เลย ดูตากุ้ง แม่ก็รู้ว่าเหนื่อยแค่ไหน พรุ่งนี้เช้าก็ต้องไปขายของอีก แม่ว่ากุ้งเลิกทำงานหนักเถอะ แม่สงสาร”
กุ้งนางกอดแม่
“แม่อย่าพูดแบบนั้นสิจ๊ะ กุ้งมีแม่คนเดียว...เฮ้อ...นี่ถ้ากุ้งมีพ่อเราคงไม่ลำบากแบบนี้นะจ๊ะ”
แก้วตาปาดน้ำตา
“อย่าพูดถึงพ่ออีกกุ้ง...”
“จ๊ะ...แม่”
กุ้งนางมองหน้าแม่ไม่ค่อยเข้าใจ ว่าทำไมถึงไม่อยากให้พูดถึงพ่อ
โปรดติดตาม "ราชินีลูกทุ่ง" ตอนต่อไป