ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 1
อธิการบดีกำลังให้โอวาทนักเรียนเกษตร ในวันรับประกาศนียบัตร เสียงดังก้องกังวานไปทั้งหอประชุมแห่งนั้น
“อาจารย์มีความยินดีกับนักเรียนเกษตรฯทุกคน ที่จบการศึกษาในวันนี้ หลังจากที่บากบั่นพากเพียรกันมากว่า 5 ปี อาจารย์หวังเป็นอย่างยิ่งว่านักเรียนทุกคน จะได้นำวิชาความรู้ที่ได้เรียนมาไปพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง และน้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯมาเป็นเครื่องเตือนใจว่า ปัญญานั้นมีอยู่ 2 ลักษณะ คือปัญญาที่เกิดจากการเล่าเรียนจดจำอย่างหนึ่ง กับปัญญาที่เกิดจากการศึกษา สังเกต และพิจารณาจนรู้ชัดอย่างหนึ่ง นักเรียนเป็นผู้ที่ได้รับการศึกษาอบรมมาดีแล้ว จึงต้องสังเกตและศึกษาให้มาก ไม่มองข้ามแม้สิ่งเล็กน้อย เพราะแม้แต่ต้นหญ้าก็สามารถนำมาเทียบเคียงให้เป็นประโยชน์แก่การดำเนินชีวิตได้ ขอให้นักเรียนทุกคนประสบความสำเร็จในชีวิต และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาผลิตผลทางการเกษตรให้แก่ประเทศชาติสืบไป”
กลุ่มนักเรียนเกษตร ก้มๆ เงยๆ จดรายงานการเจริญเติบโตของข้าวโพด กระจายตามจุดต่างๆ ณ แปลงทดลองปลูกข้าวโพดขนาดใหญ่ที่ปากช่อง มองเห็นแปลงข้าวโพดยาวสุดลูกหูลูกตา
อาจารย์เดินเข้ามาถามนักเรียนคนหนึ่ง
“อาทิจล่ะ”
นักเรียนคนนั้น เหลียวซ้ายแลขวา แล้วตะโกนถามเพื่อน
“อาทิจอยู่ไหนวะ”
เพื่อนมองหาแล้วตะโกนไปทางด้านหลัง
“อาทิจ!”
เพื่อนนักเรียนต่างช่วยกันตะโกนเรียกอาทิจเป็นทอดๆทีละคน จนคนสุดท้าย นักเรียนคนสุดท้ายก็ตะโกนลั่น
“อาทิจโว้ย...อาจารย์เรียก”
แนวข้าวโพดสั่นไหวเป็นระลอก เพราะมีคนแหวกดงข้าวโพดออกมา อาทิจ คาบปากกาออกมาจากดงข้าวโพดพร้อมสมุดรายงานที่อยู่ในมือ ชายหนุ่มมองเห็นอาจารย์อยู่ไกลๆ จึงวิ่งเข้าไปหาอย่างกระตือรือร้น
“อาจารย์มีอะไรจะใช้ผมหรือครับ”
“พรุ่งนี้อาจารย์จะขึ้นไปสัมมนาที่ พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงที่ฝาง เธอสนใจจะไปศึกษางานกับอาจารย์มั้ย อาจารย์บอกเจ้าหน้าที่ไว้แล้วว่า อาจจะมีนักเรียนที่ได้ทุนเรียนดีขึ้นไปดูงานด้วย 3 คน หรือว่าจะกลับบ้านเลย”
“ไปสิครับ ผมอยากไป”
“ดีแล้ว ไปดูงานที่ในหลวงท่านทรงไว้ จะได้นำความรู้ไปใช้ ให้เป็นศิริมงคลกับตัวเอง”
“ครับ ขอบคุณมากครับอาจารย์”
อาทิจยกมือไหว้อย่างนอบน้อม อาจารย์ยิ้มแล้วตบบ่าเบาๆ ก่อนจะเดินออกไป อาทิจสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างเบิกบาน ก่อนจะหันมาสบตาเพื่อนๆแล้วทุกคนพากันตะโกนลั่น
“เย้ๆๆๆ”
อาทิจและเพื่อน พากันกระโดดตัวลอยแล้วพร้อมใจกันโยนสมุดรายงานในมือขึ้นไปบนฟ้า
หน้าพิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงที่ฝาง เจ้าหน้าที่บรรยายความหมายของตราสัญลักษณ์ของโรงงาน และประวัติความเป็นมาของโรงงานกับนักท่องเที่ยว อาทิจหยิบสมุดโน้ตออกมาจากกระเป๋าสะพายพร้อมปากกา เตรียมเก็บเกี่ยวความรู้ที่จะได้รับอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันนั้นรถกระบะขนส้มคันหนึ่ง แล่นมาแบบกระตุกๆแล้วพุ่งผ่านหลังอาทิจไป
รถกระบะพุ่งเข้ามาแล้วเบรกเอี๊ยดในที่จอดรถรับ-ส่งของด้านข้างของโรงงาน ดรุณีเปิดประตูรถด้านคนขับ แล้วหันไปหยิบกระเป๋าสะพายที่เย็บจากผ้าปักของชาวเขาเก๋ๆวิ่งลงมาอย่างรีบเร่ง แต่แล้วหญิงสาวเหมือนนึกอะไรได้วิ่งกลับไปที่รถอีกครั้ง ลุงเกร็ง คนงานในไร่อยู่ในรถนั่งหลับตาปี้ พร้อมนับลูกประคำที่แขวนอยู่บนคอ ปากก็ท่องพุทโธ...ธัมโม...สังโฆ ดรุณีชะโงกหน้าเข้าไปเรียก
“ลุงเกร็ง...ลุงเกร็ง”
ลุงเกร็งสะดุ้ง
“ชะ...ชะ...ชนแล้วครับคุณหนูณี ชน”
ดรุณีหัวเราะขำ
“ชนอะไรล่ะลุงเกร็ง ถึงโดยสวัสดิภาพ...เห็นมั้ย”
ลุงเกร็งค่อยๆลืมตา
“เดี๋ยวหนูจะเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์หน่อยนะจ๊ะ ลุงเกร็งช่วยเจ้าหน้าที่เอาส้มลง อย่าให้บุบสลายล่ะ”
ดรุณีวิ่งเริงร่าออกไป
“ส้มไม่บุบ แต่ลุงนี่สิคุณหนูณี...ยังครบ 32 อยู่รึเปล่าวะเนี่ย”
ลุงเกร็งลูบคลำอวัยวะตัวเอง ด้วยสีหน้าและความรู้สึกที่ยังเสียวไม่หาย
ดรุณีรีบจ้ำเข้ามาหน้าพิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงจะวิ่งไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ แต่หญิงสาวไม่เห็นใครแล้ว จึงรีบเข้าไปด้านใน
ที่ลานกิจกรรมด้านใน เจ้าหน้าที่เชิญทุกคนไปชมอีกห้อง ดรุณีเดินเข้ามากวาดตามองดูบรรยากาศห้องที่จำลองเครื่องมือเครื่องใช้ ซึ่งแสดงให้เห็นวิถีชีวิตของชาวจีนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดั้งเดิมด้วยความสนใจ ก่อนจะเดินตามทุกคนไปยังห้องข้างๆ
ทุกคนเข้ามาในห้องชีวิตชายขอบ เจ้าหน้าที่เชิญทุกคนลงนั่งที่ม้านั่ง อาทิจและเพื่อนๆเลือกเดินมานั่งม้านั่งแถวหน้า โดยที่เขานั่งตรงกลางและเพื่อน 2 คนนั่งประกบข้าง ดรุณีตามเข้ามาสมทบหญิงสาวเอามือควานหาสมุดเล็คเชอร์และปากกาที่อยู่ในกระเป๋า ในขณะที่นักท่องเที่ยวอื่นๆกำลังเลือกที่นั่งกัน อาทิจสะบัดปากกาที่กำลังเขียน แล้วหันไปหาเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ
“มีปากกาอีกด้ามมั้ย ยืมหน่อย”
เพื่อนรีบควานหาปากกาอีกด้ามในกระเป๋า ทำให้ปากกาที่อยู่ในมือตัวเองหล่นตกพื้นและกระเด็นไปไกล เพื่อนลุกจากเก้าอี้ไปเก็บ ในจังหวะเดียวกันนั้น เพื่อนอีกคนที่นั่งข้างเขาชวนคุย ดรุณีหยิบปากกาออกจากกระเป๋าแล้วเดินเข้าไปนั่งแทนที่เพื่อนอาทิจที่ลุกไป อาทิจหันมา หางตาเห็นปากกาในมือดรุณีเข้าใจว่าเพื่อนส่งปากกาให้ เลยเอื้อมมือไปดึงปากกาจากมือหญิงสาวมาพร้อมกับเปรยขึ้นขณะหันไปคุยกับเพื่อนต่อ
“ขอบใจ”
เพื่อนอึ้งกำลังจะอ้าปากเรียกอาทิจ แต่เจ้าหน้าที่ปิดไฟในห้องเสียก่อน เพื่อจะให้ทุกคนได้ชมวิดีทัศน์ เพื่อนที่ลุกไปเก็บปากกาจำต้องหาที่นั่งใกล้ๆแถวนั้น เพราะไม่อยากรบกวนสมาธิคนอื่น ทุกคนต่างก็จับจ้องไปที่จอโปรเจคเตอร์ ภาพในวีดิทัศน์ที่พูดถึงอาชีพและความเป็นอยู่ของชาวเขาบนดอยสูงเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว อาทิจกับดรุณีนั่งดูสารคดีอย่างตั้งใจ จนถึงเนื้อหาช่วงสุดท้ายของวีดิทัศน์
เจ้าหน้าที่เปิดไฟ ห้องสว่างขึ้น ดรุณีหันมาเบิกตามองอาทิจ ในขณะที่เจ้าหน้าที่บรรยายไปเรื่อยๆ สักครู่ อาทิจรู้สึกว่ามีคนมองอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มหันไปเห็นเป็นดรุณีก็แปลกใจ แต่ก็ส่งยิ้มให้ลืมเรื่องปากกาที่หยิบมาซะสนิท ดรุณีกำลังจะเอ่ยปากขอปากกาคืน แต่เจ้าหน้าที่เชิญทุกคนไปพบกับคำตอบที่อยู่อีกห้องว่า ผู้ที่มากับเฮลิคอปเตอร์ในวิดีทัศน์นั้นคือใคร อาทิจรีบเดินตามเจ้าหน้าที่ออกไปพร้อมกับเพื่อนๆและคนอื่นๆ ดรุณีบ่นตามหลัง
“เอาของเขาไปแล้วยังจะหน้ามายิ้มให้อีก”
ดรุณีจ้ำตามไม่พอใจ
ดรุณีเดินเข้ามาสมทบกับคนอื่นๆ ในขณะที่เจ้าหน้าที่เฉลยว่า ผู้ที่มากับเฮลิคอปเตอร์นั้นคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ อาทิจและทุกคนตั้งใจฟัง รวมทั้งดรุณี เจ้าหน้าที่เชิญทุกคนเดินไปยังอีกห้อง
เพื่อนอาทิจคนหนึ่งหันไปมองดรุณี แล้วแอบกระซิบอาทิจ
“ผู้หญิงคนนั้นเขาแอบมองนายบ่อยๆน่ะ”
“ไม่ได้แอบมองอย่างเดียวนะ ฉันว่าเขาแอบเดินตามนายด้วยล่ะ” อีกคนเสริม
อาทิจหันไปมองดรุณี แล้วยิ้มให้หญิงสาวตามมารยาทอีกครั้ง ก่อนจะเดินตามเพื่อนและทุกคนออกไป ดรุณีเรียกไว้เบาๆ
“เดี๋ยว...อย่าเพิ่งไป”
อาทิจและเพื่อนๆชะงักหันมามองดรุณี ดรุณีเดินมาหา เพื่อนส่งสายตาใส่อาทิจเป็นเชิงล้อนิดๆ
“ไปรอข้างนอกนะ”
เพื่อนทั้งสองเดินออกไป ดรุณีแบมือ
“ช่วยเอาปากกาที่นายถือวิสาสะดึงจากมือฉันไปคืนมาด้วย”
อาทิจยืนอึ้งไป ก่อนจะนึกขึ้นได้แล้วส่งปากกาให้
“เอ่อ...ขอโทษครับ ผมนึกว่าของเพื่อนผม”
“ฉันนั่งข้างๆนาย มันจะเป็นของเพื่อนนายได้ยังไง”
“คือ...ก็...เพื่อนผมเขานั่งตรงที่ที่คุณนั่งก่อน...” อาทิจขี้เกียจแก้ตัว “เอ่อ...เอาเป็นว่าผมขอโทษก็แล้วกันครับ”
“ทีหลังจะทำอะไรก็หัดดูตาม้าตาเรือซะบ้าง”
ดรุณีพูดจบก็เดินหนีไป อาทิจเปรยตามลอยๆ
“แค่ปากกาแค่นี้เนี่ยนะ”
อาทิจงงกับความไม่พอใจของหญิงสาวว่าอะไรจะปานนั้น
ทุกคนเข้าในห้องของโรงงานชั่วคราว เจ้าหน้าที่เล่าถึงระยะแรกของการทำอาหารกระป๋อง พร้อมกับฉายภาพสไลด์มัลติวิชั่นประกอบให้ฟัง ดรุณีเห็นเป็นเรื่องการทำอาหารกระป๋อง ก็สนใจเดินแทรกเข้ามายืนด้านหน้าสุดข้างๆเพื่อนอาทิจ หญิงสาวก้มลงจดรายละเอียดตามเสียงบรรยาย ตาก็จับจ้องไปที่ภาพเงาในห้อง อาทิจเดินตามเข้ามา รวมกลุ่มกับเพื่อนอีกด้าน ชายหนุ่มมองดูภาพเงาและฟังเสียงบรรยายอย่างสนใจ เพื่อนทั้งสองซึ่งยืนคั่นกลางระหว่างอาทิจและดรุณี แอบเหล่มองทั้งคู่แล้วหันมาสบตากัน ยิ้มมีเลศนัย ขณะเดียวกันนั้นนักท่องเที่ยวคนหนึ่งบอกกับเจ้าหน้าที่
“อยากเห็นเครื่องกระป๋องที่แปรรูปแล้วจังเลยค่ะ”
“โรงงานเรามีจำหน่ายและให้ลองชิมกันด้วยนะคะ เชิญทางด้านนี้ค่ะ”
นักท่องเที่ยวพากันทยอยเดินตามเจ้าหน้าที่ออกไป อาทิจพูดกับเพื่อนแต่ตาจ้องอยู่ที่ภาพในห้อง
“เทคนิคน่าสนใจดีนะ ดูแล้วเข้าใจง่ายดี”
เพื่อนเออออ
“อื้อ”
ว่าแล้วเพื่อนทั้งสองก็ค่อยๆก้าวถอยหลัง แล้วเร้นกายตามคนอื่นออกไปอย่างเงียบเชียบอาทิจนึกว่าเพื่อนยังอยู่
“เอ...เขาทำยังไง ถ่ายเป็นสไลด์งั้นเหรอ”
ดรุณีหันมามองอาทิจ แล้วหน้าตึง เมื่อเห็นว่าเป็น...อีตาบ้านี่อีกแล้ว...หญิงสาวผละออกมาเพื่อจะตามคนอื่นๆไป แต่แล้วก็ต้องยืนตัวแข็งทื่อ เมื่ออาทิจรวบตัวเธอไว้ แล้วลากหญิงสาวเข้ามาใกล้ก่อนจะโอบไหล่เหมือนเพื่อนผู้ชายโอบไหล่ดูบอลกัน
“เฮ้ย...อย่าเพิ่งไป ดูสิ...เหมือนคนงานยกของแพ็คใส่ลังจริงๆเลยอะ...ว่ามั้ย”
อาทิจพูดจบก็หันไปยิ้มพยักพะเยิดกับเพื่อน แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องหุบยิ้มในบัดดลเมื่อเห็น ดรุณียืนกัดฟันกรอด พร้อมจะฮึ่มใส่ อาทิจยิ้มแหยๆ ก่อนจะค่อยๆเอามือออกมาจากไหล่ของเธอ
“ผม...ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ คือ...ผมคิดว่าคุณเป็นเพื่อนผม”
ดรุณีอ้าปากกว้าง เหมือนจะแผดเสียงดังลั่นออกมา อาทิจรีบตัดบท
“อะ...เอาเป็นว่า...ผมจะไม่มาให้คุณเห็นหน้าอีกก็แล้วกัน ขอโทษอีกครั้งนะครับ”
อาทิจยิ้มเจื่อนแล้วรีบจ้ำออกไป ก่อนที่เสียงกรี๊ดของดรุณีจะดังแผดขึ้น
ดรุณีอยากจะกรี๊ดให้ลั่นห้องแต่หญิงสาวก็ทำไม่ได้ดั่งใจได้แต่ยืนสูดหายใจลึกถี่อยู่อย่างนั้น
บ่ายวันนั้น...เสียงกรี๊ดอันยาวนานของดรุณีดังก้องไปทั่วสวนส้ม ที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล หญิงสาวยืนแหกปากกรี๊ดลั่นอยู่กลางสวน คนงานวิ่งแตกหือจากทุกซอกทุกมุมของสวน เพื่อมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น แก้วแม่บ้านคนสนิทของย่าแดง เจ้าของอาณาเขคแห่งนี้ ยืนหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง
“นี่หนูโมโหจริงๆนะคะ น้าแก้วขำอะไร”
“ก็...น้าแก้วกำลังสงสัยน่ะสิคะว่า คุณณีโดนพ่อหนุ่มคนนั้นโอบไหล่เฉยๆ หรือว่าโดนจุ๊บมากันแน่ ถึงได้กรี๊ดดลั่นสวนยาว 3 รอบอย่างนี้”
“ก็ลองมาทำแบบนั้นกับหนูสิ หนูจะชกเข้าให้ ผู้ชายอะไรทั้งซุ่มซ่ามทั้งบ้ากาม นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นสถานที่ที่ต้องเคารพล่ะก็ หนูจะโวยจะอัดให้จุกกลับไปแล้ว”
ย่าแดง กำลังใช้กรรไกรตกแต่งกิ่งส้มอยู่อย่างใจเย็นและอารมณ์ดีพูดขึ้น
“เขาคงไม่ได้ตั้งใจหรอกแม่ณี สถานที่ศึกษาหาความรู้อย่างนั้น คงไม่มีใครคิดจะเข้าไปทำอะไรไม่ดีไม่งามหรอกน่า” ย่าแดงหันไปดุคนงาน “อ้าว...แล้วมายืนมุงดูอะไรกันจ๊ะ งานการไม่มีทำรึไง กลับไปทำงานได้แล้ว”
คนงานพากันมองหน้ากัน แล้วแยกย้ายกลับไปทำงาน ย่าแดงหันกลับมาหาดรุณี
“เราก็เหมือนกัน จะมายืนอารมณ์เสียอยู่ทำไม มาช่วยย่าแต่งกิ่งส้มนี่ เดี๋ยวก็อารมณ์ดีขึ้นเอง ได้ประโยชน์ด้วย”
ดรุณีจำต้องหยิบกรรไกรมาตัดกิ่งส้มฉับๆๆๆ พร้อมกัดฟันกรอด
“อย่างนี้มันโรคจิตชัดๆ เป็นพวกขาดความรักแหงๆ”
เย็นวันต่อมา อาทิจก้าวเข้ายืนหน้าบ้าน นิตยากับภาณีกำลังพาน้องๆรดน้ำต้นไม้ และพรวนดินอยู่ที่แปลงปลูกพืชผักสวนครัวที่หน้าบ้าน...สักครู่ นิตยาและภาณีหันมาเห็น นิตยาตาลุกวาวแล้วตะโกนขึ้นอย่างดีใจ
“พี่อาทิจ!”
เท่านั้นเอง เด็กๆที่กำลังทำงานอยู่ต่างพากันหันไปมองชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่หน้าบ้านเป็นตาเดียว ทั้งหมดมีอาการเดียวกันคือดีใจสุดขีด ภาณีตะโกนเรียกพ่อกับแม่
“พ่อคะ...แม่คะ พี่อาทิจกลับมาแล้วค่ะ”
เด็กๆทุกคนต่างพากันทิ้งอุปกรณ์ที่ใช้ทำงานในมือลงกับพื้น แล้วส่งเสียงเรียก พี่อาทิจๆๆ กันเซ็งแซ่ในขณะที่วิ่งกรูเข้าไปหา อาทิจกางแขนโอบกอดน้องๆทุกคนที่วิ่งเข้ามา น้องๆทั้งกอดรัด ซุกไซ้ กระโดดขี่คอ หอมจ๊วบจ๊าบอย่างคิดถึงสุดชีวิต
“พี่คิดถึงทุกคนที่สุดเลยรู้มั้ย”
ประวิทย์และพูนทรัพย์ ซึ่งอุ้มลูกน้อยวัย 8 เดือน จ้ำออกมายืนหน้าบ้านด้วยความดีใจ ยิ่งได้
เห็นน้องๆล้อมหน้าล้อมหลังพี่ชายแล้วยิ่งปลื้มใจขึ้นไปอีก เด็กๆพากันตะเบ็งเสียงแข็งกัน
“หนูก็คิดถึงพี่อาทิจ / ผมก็คิดถึงพี่อาทิจเหมือนกัน”
อาทิจทั้งกอดทั้งอุ้มทั้งหอมน้องๆจนหน่ำใจแล้วหันมาเห็นพ่อกับแม่ ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาแล้วก้มลงกราบแทบเท้าทั้งคู่ ประวิทย์ประคองลูกชายคนโตขึ้นมา
“จบซะทีนะไอ้ลูกชาย”
“ครับคุณพ่อ” อาทิจแอบแซวพ่อกับแม่ “นี่น้องคนที่ 9 ของผมหรือครับ”
พูนทรัพย์ยิ้มแย้มแจ่มใส
“จ้ะ ชื่อ ณเดชน์จ้ะลูก”
อาทิจรับณเดชน์ขึ้นมาอุ้มอย่างกระฉับกระเฉง ชายหนุ่มหอมแก้มน้องคนสุดท้องอย่างเอ็นดูทะนุถนอม ก่อนจะชูเด็กน้อยขึ้นไปกลางอากาศ
“พี่อาทิจกลับมาแล้วน้า พี่จะกลับมาทำงานและเลี้ยงน้องๆทุกคนจ้ะ”
เด็กๆเฮเจี๊ยวจ้าว ที่ยังตัวเล็กๆก็พากันกอดแข้งกอดขาอาทิจพันยั้วเยี้ยเป็นปลาหมึก ท่ามกลางบรรยากาศพ่อแม่พี่น้องรักใคร่กลมเกลียว เป็นครอบครัวใหญ่ที่อบอุ่น
อาทิจคว้าณเดชน์ที่กำลังคลานอย่างเมามันกับพื้นขึ้นมาอุ้มใส่เอวแล้วป้อนข้าวน้องอย่างชำนาญเพราะช่วยแม่เลี้ยงน้องมากับมือทุกคน
“ใจจริงผมก็อยากจะเรียนต่ออีก 2 ปี จะได้รับปริญญา”
ประวิทย์ซึ่งกำลังนั่งอ่านเอกสารราชการ และพูนทรัพย์ซึ่งกำลังกำผักอยู่กับนิตยาและภาณีเพื่อจะเอาไปขายที่ตลาดชะงักกึก แล้วหันมามองหน้ากัน อาทิจเห็นปฏิกิริยาของทุกคน แล้วพูดต่ออย่างเข้าใจ
“แต่ผมสงสารน้อง ผมรู้ว่านิตยากับภาณี เสียสละหยุดเรียนเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ ส่งผมเรียนมา 2 ปีแล้ว ผมเลยคิดว่าจะหางานทำเพื่อส่งน้องๆเรียนดีกว่า”
ประวิทย์มองลูกชายอย่างเห็นใจ
“ดีแล้วล่ะลูก พ่อเองก็จน เงินเดือนปลัดอำเภอก็เท่านี้ น้องๆก็กำลังกินกำลังนอนกันทั้งนั้น นี่ถ้าแม่เราเขาไม่ขยัน ไม่ปลูกผักทำขนมขาย เราคงลำบากกันมากกว่านี้”
พูนทรัพย์หันมาหาลูกชาย
“แล้วอาทิจอยากทำงานอะไรล่ะลูก”
“ผมอยากทำในสิ่งที่เรียนมา ผมอยากเป็นชาวไร่ชาวนา เป็นเกษตรกรครับ”
“แต่...เราไม่มีทุนรอนเลยนะลูก อย่าว่าแต่ทุนค่าเมล็ดพันธุ์ค่าปุ๋ยเลย แม้แต่ที่ดินสักกระแบะมือ เราก็ไม่มี”
ประวิทย์มองลูกชาย
“พ่อว่ารับราชการดีกว่านะลูก ไม่ต้องเหนื่อยมาก แล้วก็ไม่ต้องเสี่ยงลงทุนลงแรงรอฟ้าฝนรอเก็บเกี่ยวอะไร แค่เราตั้งใจทำงานให้เต็มที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตก็พอแล้ว”
“แต่ผมอยากปลูกผัก ปลูกผลไม้ ผมอยากปลูกข้าว”
ประวิทย์ตัดบททันที
“ตำแหน่งเกษตรอำเภอที่นี่ว่างอยู่ตำแหน่งหนึ่งพอดี พรุ่งนี้พ่อจะคุยกับนายอำเภอให้ พ่อปฏิบัติงานอย่างซื่อสัตย์สุจริตมานาน ท่านต้องเห็นใจพ่อแน่”
อาทิจจำต้องจบบทสนทนาไปโดยปริยาย ทั้งๆที่สิ่งที่พ่ออยากให้ทำขัดแย้งกับความต้องการของตัวเอง
ค่ำนั้น ย่าแดงนั่งอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน ดื่มนมจนหมดแก้วแล้วหันมาถามดรุณีซึ่งนั่งดื่มนมเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ
“แล้วเราล่ะแม่ณี คิดไว้รึยังว่าต่อไปจะทำอะไร”
ดรุณีกระตือรือร้น
“ตอนแรกหนูก็ว่าจะสอบเข้าคณะเกษตรฯ จะได้มาช่วยคุณย่าดูแลสวน แต่วันนี้ไปดูงานที่พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงมา ก็เลยชักจะลังเล หนูอยากจะทำอาหารกระป๋องด้วยน่ะค่ะคุณย่า จะได้เอาผักผลไม้ที่เหลือจากคัดไปขายมาแปรรูปน่ะค่ะ คุณย่าว่าดีมั้ยคะ”
ดรุณีเกาะแขนย่าแดงอ้อนอย่างน่าเอ็นดู
“ก็ดีเหมือนกันนะ งานในไร่ในสวน มันออกจะหนักเกินไปสำหรับเด็กผู้หญิงอย่างเรา”
“แต่คุณย่าก็จัดการเองได้คนเดียวมาตั้งนานนี่คะ”
“ย่าทำมาตั้งแต่ยังสาว ตั้งแต่ที่ดินมีแค่กระผีก มันก็เลยชิน แต่ตอนนี้ที่ดินขยายขึ้นเป็นพันไร่ ย่าว่ามันหนักหนาเกินไปสำหรับหนู”
“ถึงจะหนักแสนหนักแค่ไหน หนูก็จะสู้ค่ะ ถ้าไม่มีใครที่คุณย่าพอจะไว้ใจและวางมือให้รับหน้าที่แทนได้ หนูจะขอรับหน้าที่ทุกอย่างแทนคุณย่าเองค่ะ”
แก้วซึ่งเอาถาดมาเก็บแก้วนมให้ย่าหลาน ได้ยินเข้าก็อดไม่ได้ที่จะแซว
“แต่ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ก่อนนะค้า”
“มันต้องอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะน้าแก้ว”
ดรุณีซุกตัวเอาหน้าแนบแขนย่า ย่าแดงโอบหลานรักกระชับกอดอย่างชื่นใจและมีความหวัง
เช้าวันใหม่...อาทิจนั่งพรวนดินต้นไม้อยู่ ในขณะที่น้องๆช่วยกันเก็บพริก มะเขือ มะกรูด มะนาวอยู่ทางด้านหลัง พูนทรัพย์ซึ่งนั่งเจียนใบตองสำหรับห่อขนมอยู่อีกมุม แอบมองลูกชายด้วยความเข้าใจและเห็นใจ พอเห็นประวิทย์เดินออกมาจากบ้าน พูนทรัพย์จึงเปรยๆกับลูกชาย
“ลองคุยกับพ่อเขาดูอีกทีสิจ๊ะ”
ประวิทย์ซึ่งกำลังเดินออกจากบ้านไปทำงานชะงัก หันกลับมาหาอาทิจ
“มีอะไรเหรอลูก”
อาทิจเกรงใจและหนักใจ
“ถ้าคุณพ่อจะให้ผมรับราชการ ผมคิดว่า...เงินเดือนอาจจะไม่พอส่งน้องๆเรียน”
ประวิทย์เสียงแข็งขึ้นมาทันที
“อย่าดูถูกอาชีพข้าราชการอย่างนั้นสิลูก ถึงเงินเดือนจะน้อยแต่มันก็เป็นอาชีพที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรี แถมยังมีสวัสดิการต่างๆมากมาย ไม่เหมือนพวกชาวไร่ชาวนาที่เราอยากจะเป็น เหนื่อยยากก็เท่านั้น ลงแรงไปแทบตายก็ไม่มีใครยกย่องชื่นชม หนำซ้ำยังมีคนดูถูกดูแคลนว่าเป็นพวกชนชั้นรากหญ้า”
“แต่ถ้าไม่มีชนชั้นรากหญ้า คนชนชั้นอื่นก็ไม่มีอะไรจะกินนะครับพ่อ ผมเชื่อครับว่าวิชาความรู้ที่ผมเรียนมาจะสามารถทำเป็นอาชีพที่มั่นคงได้ ผมเชื่อว่าอาชีพเกษตรกรจะมีความสำคัญมากขึ้นทุกวัน ในเมื่อคนเกิดมากขึ้น พื้นที่เพาะปลูกน้อยลง ราคาพืชผลมันก็ต้องแพงขึ้นเป็นเงาตามตัว”
“กว่าจะถึงเวลานั้น ลูกก็คงเหนื่อยตายซะก่อน”
“ถึงจะเหนื่อยแต่ถ้ามันเป็นงานที่เรารัก เราก็สุขใจนะครับพ่อ”
“อย่าเพิ่งฝันลมๆแล้งๆกับอุดมคติที่ยังจับต้องไม่ได้ สิ่งที่ลูกเรียนมามันยังไม่ถึงเศษเสี้ยวของความยากลำบากที่ต้องเผชิญในความเป็นจริง ลูกยังไม่เคยเจอสภาพไม่เคยรับรู้ว่าการเกิดมาเป็นชาวไร่ชาวนาจริงๆมันทุกข์ยากขนาดไหน...พ่อบอกได้เลยว่ามันไม่น่าพิสมัยนักหรอก”
ประวิทย์เดินออกไปอย่างอัดอั้นตันใจ พูนทรัพย์เดินเข้ามาตบบ่าอาทิจเบาๆเพื่อปลอบใจ อาทิจไม่เข้าใจ ทำไมพ่อถึงได้มีอคติกับอาชีพชาวไร่ชาวนานักหนา
ในไร่...ดรุณียืนตัดแต่งกิ่งส้มอยู่ใกล้ๆย่าแดง หญิงสาวแอบมองย่าด้วยความชื่นชมบูชา
“ตั้งแต่หนูจำความได้ ไม่เคยมีวันไหนเลยที่หนูจะเห็นคุณย่าไม่ทำงาน คุณย่าไม่เหนื่อยบ้างหรือคะ”
“เหนื่อยสิลูก แต่มันทำให้ย่ามีความสุข งานในไร่ในสวนมันเหนื่อยยากลำบากมากก็จริง แต่มันให้ความสุขทางใจ ย่าภูมิใจที่ย่าเป็นส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งที่ทำให้ใครๆเรียกประเทศของเราว่า อู่ข้าวอู่น้ำของโลก คนเราเกิดมาจะมีความสุขอะไรมากไปกว่า การทำเพื่อปากท้องของพวกเราเองและมีเหลือเผื่อแผ่ไปยังเพื่อน
มนุษย์คนอื่นด้วยล่ะ จริงมั้ย”
ดรุณียิ้มอย่างมีความสุข
“คุณย่าเป็นแม่พระของหนู เป็นคนที่หนูรักและเคารพนับถือในความคิดที่สุด หนูจะเดินตามรอยคุณย่า ถึงจะได้ไม่เต็มร้อย แต่หนูจะพยายามให้ได้สักครึ่งหนึ่งของคุณย่าก็ยังดี”
ย่าหลานยิ้มให้กัน ด้วยดวงตาที่บ่งว่ารักและนับถือกันอย่างสุดหัวใจ
ประวิทย์นั่งคุยกับนายอำเภอในห้องทำงานของนายอำเภอ ประวิทย์พูดจาฉะฉานมั่นใจ
“เจ้าอาทิจลูกผมเรียนดี และได้รับทุนเรียนดีมาตลอดครับท่าน เขารักเรือกสวนไร่นารักในสิ่งที่เขาเรียนมาก ผมคิดว่าเขาจะถ่ายทอดความรู้ที่มีไปยังชาวบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดครับ”
“เออ...ดีจริง เพิ่งจะได้ยินว่าเด็กรุ่นใหม่อยากเป็นชาวไร่ชาวนาก็วันนี้แหละ ท่าทางจะไฟแรงซะด้วยสิ”
ประวิทย์ภูมิใจ
“ครับ...อาทิจเป็นเด็กที่ใฝ่หาความรู้ และชอบลงมือทำงานด้วยตัวเองครับ”
“อย่างนี้ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่”
ประวิทย์ดีใจ
“หมายความว่าท่านเห็นด้วยว่า อาทิจเหมาะสมกับตำแหน่งนี้”
นายอำเภอยิ้มๆ
“ยังนั้นสิ...แหม จะให้เอาเด็กจบไฟฟ้ามานั่งตำแหน่งเกษตรอำเภอเหรอปลัด”
ประวิทย์หน้าบาน
“ขอบคุณมากครับ ถ้าอย่างนั้นจะให้อาทิจมาเริ่มงานวันไหนดีครับท่าน”
“ก็ถ้าหาเงิน 3 แสนมาได้วันไหนก็วันนั้นล่ะปลัด แต่รีบหน่อยก็ดีนะ เพราะมีคนมาฝากลูกฝากหลานไว้หลายคนแล้ว นี่ผมเห็นแก่ปลัดนา ก็เลยคิดราคาแบบคนกันเอง”
ประวิทย์หน้าค่อยๆเหี่ยวลงๆ
อาทิจกำลังผัดข้าวผัด ประวิทย์นั่งหน้าเครียดที่โต๊ะกินข้าว ในขณะที่พูนทรัพย์นั่งห่อข้าวต้มผัดใส่ใบตองอยู่กับนิตยาและภาณี โดยที่น้องคนอื่นๆ นอนกลางวัน และนั่งเย็บกระทงสำหรับใส่ผักขายอยู่กับพื้น
“เป็นธรรมดาครับคุณพ่อ ผมว่ากว่าเขาจะได้ตำแหน่งมา เขาเองก็คงต้องจ่ายไปเยอะเหมือนกัน ถึงเวลาเขาก็เลยต้องเอาทุนคืน”
อาทิจบอกอย่างเข้าใจ แต่ประวิทย์ขบฟันแน่น
“ชีวิตนี้พ่อยังไม่เคยได้จับเงินแสน แล้วจะให้ไปหามาจากไหนตั้ง 3 แสน ที่ประชาชนพากันเกลียดข้าราชการก็ไอ้เพราะเรื่องเงินใต้โต๊ะนี่แหละ เมื่อไหร่ค่านิยมพวกนี้มันจะหมดสิ้นไปจากประเทศนี้เสียที”
อาทิจตักข้าวใส่จานวางใส่ถาด แล้วตักแกงจืดใส่ถ้วยก่อนจะยกมาวางที่โต๊ะให้พ่อ
“แต่ผมว่าข้าราชการที่ดีก็คงพอมี อย่างน้อยก็นั่งอยู่ตรงนี้คนหนึ่ง”
“พ่อถือมากเรื่องนี้ ให้พ่อตายเสียดีกว่าจะยอมเสียเกียรติ เสียศักดิ์ศรีไปรับเงินไม่บริสุทธิ์จากใครแม้แต่บาทเดียว” ประวิทย์หันมาจ้องหน้าอาทิจ “พ่อว่าบางทีลูกอาจจะคิดถูก”
“เรื่องอะไรครับ”
“เรื่องที่ลูกอยากทำไร่ทำนาน่ะสิ บางทีความเหนื่อยยากแต่เป็นอิสรเสรี อาจจะทำให้ลูกมีความสุข มากกว่า ต้องมาทนกับระบบพวกพ้อง และการประจบเอาหน้าแบบข้าราชการก็ได้”
อาทิจยิ้มดีใจ
“หมายความว่าคุณพ่อจะไม่ห้ามใช่มั้ยครับ ถ้าผมจะไปทำงานอย่างอื่นก่อนแล้วค่อยเก็บเล็กประสมน้อยมาซื้อที่ ผมฝันมานานแล้วที่จะได้เป็นเจ้าของที่ดินสักแปลง”
พูนทรัพย์ถอนใจเฮือก
“แล้วลูกจะทำอะไรล่ะ จะไปเช่าที่เขาทำกินก่อนงั้นเหรอ หาได้เท่าไหร่มันจะไม่จมไปกับค่าเช่าหมดเหรอลูก”
ประวิทย์นิ่งคิดแล้วบอก
“มันอาจจะไม่ยากเย็นขนาดนั้นก็ได้แม่ พ่อพอมีหนทาง ว่าแต่...ลูกจะทนลำบากกับงานในไร่ในสวนได้แน่เหรอ”
“โธ่...คุณพ่อครับ กว่าผมจะเรียนจบมาก็ 5 ปี มันยังไม่เป็นการพิสูจน์ความอดทนของผมหรือครับ ขอแค่มีที่ดินให้ผมได้ทำกิน ถึงจะเหนื่อยสายตัวแทบขาดยังไง ผมก็สู้ครับ”
“ดี...ถ้าลูกตั้งใจและมั่นใจอย่างนั้น พ่อก็จะเขียนจดหมายส่งตัวลูกไปทำไร่ทำสวนกับคุณย่า”
อาทิจงง
“คุณย่า...คุณย่าไหนครับ”
พูนทรัพย์รามือจากขนม เงยหน้าขึ้นมามองประวิทย์อย่างแปลกใจและหนักใจ นิตยากับภาณีทำหน้างงๆไม่ต่างจากอาทิจ ประวิทย์มีแววขื่นขมปนสำนึกผิดอยู่ในแววตา
ดรุณีอ่านจดหมายให้ย่าแดงฟัง โดยมีแก้วนั่งเช็ดข้าวของอยู่ไม่ไกล แต่เงี่ยหูฟังตลอด
“...สุดท้ายนี้ผมกราบขอโทษ ในความผิดร้ายแรงของผมที่ผ่านมา ผมหวังว่าคุณแม่จะให้อภัยผม และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณแม่จะเมตตาอาทิจ และรับอาทิจเข้าทำงานที่สวนของคุณแม่นะครับ...พวกเราจะรอความเมตตาและรอฟังข่าวดีจากคุณแม่ครับ...ประวิทย์”
ดรุณีครุ่นคิด
“ประวิทย์...ประวิทย์ไหนคะคุณย่า ทำไมหนูไม่เคยได้ยินคุณย่าพูดถึงคุณเอ่อ...คุณลุงคนนี้มาก่อนเลยคะ”
ย่าแดงลุกจากเก้าอี้แล้วเดินถอนใจ
“เขาเป็นลูกคนโตของย่า ย่าหวังจะพึ่งเขาให้ช่วยสานต่องานในไร่ แต่เขากลับทำให้ย่าเสียใจด้วยการหนีออกจากบ้าน แถมยังขโมยเงินที่ย่าเพิ่งได้จากการขายข้าวไปด้วย ตอนนั้นย่าจนแสนจน เงินนั่นย่าก็กะจะเอาไปจับจองที่นาไว้ให้เขาทำกินนั่นล่ะ”
แก้วโพล่งขึ้นมาทันที
“อ๋อ...คุณประวิทย์ ที่คุณย่าสั่งไม่ให้แก้วส่งข่าวไปบอกตอนคุณปู่เสียใช่มั้ยคะ”
“ก็ในเมื่อเขาหนีไป แล้วไม่มีแก่ใจส่งข่าวกลับมา แล้วเราจำเป็นอะไรต้องติดต่อเขา ในเมื่อเขาคิดดีแล้วว่าจะไป ก็ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์กันให้มากความ”
ดรุณีมองย่า
“คุณย่าโกรธขนาดนั้นเลยหรือคะ”
“ใช่...ตอนนั้นย่าทั้งแค้นใจทั้งเสียใจ เลยประกาศตัดขาดไม่ยอมให้เขาเข้าบ้าน จนคุณปู่ตายก็ไม่ยอมให้มาเผาผี”
ดรุณีนั่งทำตาปริบๆ นานๆ ทีจะเห็นย่าหน้านิ่งเสียงแข็งแบบนี้
ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 1 (ต่อ)
วันต่อมา...ในขณะที่อาทิจยืนรีดเสื้อข้าราชการให้พ่อ ส่วนพ่อนั่งกินข้าวกลางวันอยู่ที่โต๊ะอาหาร สองพ่อลูกคุยกันเรื่องย่าแดง
“ที่พ่อไม่เคยเอ่ยถึงคุณย่าให้ลูกๆ ได้ยิน ก็เพราะพ่อละอายใจ ตอนนั้นพ่อเรียนหนัก แถมต้องทำงานในไร่ มันเหนื่อยเกินกว่าที่พ่อจะทนไหว พ่อก็เลยหนีมาเรียนอย่างเดียว จนกระทั่งแต่งงานมีลูกแล้วก็ยังไม่กล้ากลับไปกราบขอโทษท่าน ก็เพราะละอายใจในความเลวที่ก่อไว้นี่ล่ะ”
อาทิจถอนหายใจ
“คุณย่าตัดเป็นตัดตายกับคุณพ่อขนาดนั้น ผมคงหมดหวัง ท่านคงไม่ให้อภัยและรับผมไว้ทำงานแน่ๆ พรุ่งนี้ผมคงต้องออกไปหางานอื่นทำแล้วล่ะครับ”
“เอาน่า...ใจเย็นๆ นี่มันเพิ่งผ่านไปแค่สี่ห้าวันเอง จดหมายอาจจะยังไม่ถึงมือคุณย่า”
“หรือไม่ก็อาจจะ...ถูกขยำทิ้งถังขยะไปแล้วก็ได้”
“ไม่หรอก พ่อมั่นใจว่าคุณสมบัติและความตั้งใจจริงของลูกจะทำให้คุณย่าเปลี่ยนใจ คุณย่าเป็นคนที่รักผืนแผ่นดินมาก คุณย่าย่อมจะต้องรักคนที่รู้จักและรักที่จะทำกินบนผืนแผ่นดินด้วย เชื่อพ่อสิ พ่อรู้จักนิสัยข้อนี้ของคุณย่าดี”
ทันใดนั้นเสียงเด็กๆร้องเฮลั่นที่หน้าบ้าน ภาณีวิ่งหน้าตาตื่นเต้นเข้ามาตะโกนเรียก
“พี่อาทิจ...ไปรษณีย์มา...เร้ว”
อาทิจรีบดึงปลั๊กไฟ แล้ววิ่งหน้าเริ่ดออกไปพร้อมกับประวิทย์ที่วางช้อนลงแทบจะในทันที
ไปรษณีย์ขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดที่หน้าบ้าน พูนทรัพย์อุ้มลูกชายคนเล็กวิ่งนำเด็กๆทุกคนไปที่ประตูหน้าบ้าน เด็กๆตะโกน
“จดหมายมาแล้ว”
ภาณีกับอาทิจและประวิทย์วิ่งตามมาสบทบ ประวิทย์กอดไหล่อาทิจ แล้วพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มชื่นมื่น
“นั่นไง...พ่อบอกแล้วว่าพ่อรู้ใจคุณย่า”
พูนทรัพย์ถามไปรษณีย์
“กี่ฉบับจ๊ะ”
“ฉบับเดียวจ้า” ไปรษณีย์ยื่นซองให้ “ไปล่ะนะ”
ประวิทย์ อาทิจและเด็กๆทุกคนกรูกันเข้ามาหาพูนทรัพย์...ลุ้นสุดชีวิต อาทิจตื่นเต้น
“จดหมายคุณย่าใช่มั้ย เปิดอ่านเลยแม่...อ่านเลย”
พูนทรัพย์เห็นซองที่อยู่ในมือแล้วหน้าเจื่อนเล็กน้อย ก่อนจะหันมาบอกกับทุกคน
“ไม่ใช่หรอกจ้ะพ่อ บิลค่าน้ำน่ะ”
บรรยากาศกร่อยสนิท อาทิจจ๋อยไปเลย
ช่วงเวลาเดียวกันนั้น...ดรุณีนั่งเขียนจดหมายตามคำบอกของย่าอย่างเซ็งๆ
“ถามเจ้าอาทิจดูว่า ถ้าต้องมาทำงานกับย่าโดยไม่มีเงินเดือนเลย เขายังจะอยากมาอยู่มั้ย...”
ดรุณียิ้มอารมณ์ดี
“หนูตอบแทนได้เลยค่ะคุณย่าว่า นายนั่นต้องไม่มาแน่ๆ”
“เขียนต่อแม่ณี...แม่จะเลี้ยงเจ้าอาทิจเหมือนที่เลี้ยงลูกทุกคนคือไม่มีเงินเดือนให้ แต่จะส่งเสียค่าเล่าเรียนของน้องสาว 2 คน เป็นการตอบแทนการทำงาน ถ้าเขาเต็มใจและตกลงตามนี้ ก็ส่งตัวเขามา”
ดรุณีแอบขำ
“หนูว่าจะเสียเวลาเปล่านะคะคุณย่า นายคนนี้...อย่างมากก็อายุแก่กว่าหนูไม่กี่ปี เขาก็น่าจะมีแฟนแล้ว คนหนุ่มเขาก็คงอยากจะเก็บเงินไว้แต่งงานไว้สร้างครอบครัวด้วย ถ้าคุณย่าไม่ให้เงินเดือน เขาต้องไม่มาแน่ๆ...ล้านเปอร์เซ็นต์”
ย่าแดงถอนใจ
“นั่นไง...ตั้งป้อมอิจฉาเขาซะแล้ว”
“โธ่...คุณย่าขา หนูจะไปอิจฉาเขาทำไม หลานคุณย่ามาอยู่นี่ตั้งกี่สิบคนแล้ว หนูเห็นเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อกันทั้งนั้น อยู่ไม่ทนสักราย รายนี้ก็คงเหมือนกัน”
“ก็ในเมื่อย่าให้โอกาสหลานคนอื่นได้ ทำไมหลานคนนี้ย่าจะให้โอกาสบ้างไม่ได้”
“หนูพูดเพราะหนูหวังดีนะคะคุณย่า หนูกลัวว่าคุณย่าจะปวดหัวเหมือนที่แล้วๆมาน่ะค่ะ ขนาดได้เงินเดือนยังอยู่กันไม่ทนเลย นับประสาอะไรกับคนไม่ได้เงินเดือน เลิกเขียนดีกว่าค่ะ เขียนไปก็เมื่อยมือเปล่าๆ หนูว่าเขาไม่มาหรอก”
ดรุณีวางปากกาในมือลง อย่างมั่นใจในความคิดของตัวเอง
“นั่นสินะ ขนาดพ่อเขายังเกี่ยงงานในไร่ในสวนว่ามันหนักมันเหนื่อย แล้วลูกจะทนได้สักแค่ไหน ลูกไม้มันจะหล่นไกลต้นได้ยังไง”
ย่าแดงมองออกไปไกลแล้วถอนใจอย่างครุ่นคิด
4 วันต่อมา...ประวิทย์เดินกลับเข้าบ้าน พูนทรัพย์อุ้มณเดชน์ ยืนกำกับลูกคนอื่นๆให้ช่วยกันเอาผักที่เพราะเป็นกล้าไว้ลงดิน อาทิจแต่งตัวเรียบร้อยสะพายกระเป๋าเดินออกมาจากตัวบ้าน เจอประวิทย์เข้าพอดี
“จะไปไหนล่ะลูก”
“ไปสมัครงานครับคุณพ่อ”
ไปรษณีย์ขี่มอเตอร์ไซด์มาจอดที่หน้าบ้านแล้วตะโกนเรียก
“รับจดหมายด้วยคร้าบ”
ทุกคนมีสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง เด็กๆแข่งกันตะโกน
“จดหมายคุณย่าๆๆ”
พูนทรัพย์อุ้มณเดชน์จ้ำพรวดเดียวไปถึงหน้าบ้าน ไปรษณีย์ยื่นจดหมายให้แล้วขี่รถออกไป ทุกคนกรูเข้าไปหาพูนทรัพย์ลุ้นๆ พูนทรัพย์หันมา
“ไม่ใช่หรอกจ้ะ บิลค่าไฟน่ะ”
อาทิจ ประวิทย์และทุกคนยืนอึ้ง สักครู่...ไปรษณีย์วกรถกลับมาที่หน้าบ้านแล้วบีบแตรแป๊นๆๆเรียกอีกครั้ง
“ลืมไป...มีอีกฉบับจ้า”
ประวิทย์เดินออกไปรับจดหมายอย่างหงอยๆ อาทิจยืนมึนตึบอยู่กับที่ พูนทรัพย์เอามือแตะบ่าสงสารลูกจับใจ ลูกๆคนอื่นพากันเดินคอตกไปทำงานต่อ
“บิลค่าอะไรอีกล่ะพ่อ” พูนทรัพย์ถาม
ประวิทย์ตาลุกวาวพูดเสียงสั่น
“ไม่ใช่บิลแม่...นี่มัน...มัน...จดหมายคุณย่า”
ทุกคนชะงักกึกวิ่งกลับมาหาประวิทย์แล้วเฮลั่น ประสานเสียงแข็งกัน
“เย้ๆๆ...จดหมายคุณย่าๆๆๆ”
อาทิจปรับอารมณ์แทบไม่ทัน ชายหนุ่มหัวใจเต้นตึกตัก สงสัยว่าย่าจะรับเข้าทำงานมั้ย
อาทิจเป็นคนอ่านจดหมายให้พ่อกับแม่และน้องๆทุกคนที่นั่งฟังกันสลอน ทุกคนหน้าตาจริงจังและฟังอย่างใจจดใจจ่อมาก
“...ขอให้เข้าใจอย่างหนึ่งว่า เงินของฉันได้มาแสนยากจากแผ่นดิน ทั้งสิ้นการจ่ายเงินทุกบาททุกสตางค์จึงต้องมีเหตุผล ถ้าเจ้าอาทิจต้องการมาทำงานกับฉัน ก็ขอให้ส่งค่าใช้จ่ายเรื่องเรียนของน้องสาวทั้งสองคนมาด้วย เพราะจากนี้ไป เจ้าอาทิจต้องทำงานเพื่อแลกกับการศึกษาของน้อง ถ้าเข้าใจและรับได้ตามนี้ก็เดินทางมาทำงานที่นี่ได้เลย บอกเขาว่าย่าของเขาจะคอยเขาอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน...หวังว่าแกและเมียรวมทั้งลูกๆทุกคนคงสบายดี...แม่”
อาทิจเงยหน้าขึ้นมามองพ่อ
“สำนวนคุณย่าแข็งปั๋งอย่างกับก้อนหินเลยนะครับ สงสัยท่านจะดุไม่ใช่เล่น”
“ดุแต่ไม่พร่ำเพรื่อ ท่านเป็นผู้หญิงเข้มแข็งมากกว่า การทำงานในไร่ในสวนมันต้องอดทน ถ้ากระดูกไม่แข็งไม่แน่จริงล่ะก็ คุมคนงานผู้ชายเป็นร้อยไม่ได้หรอก”
“ลูกก็ตั้งยี่สิบคนนะคะ เลี้ยงลูกไปทำงานไปได้ขนาดนี้ ฉันล่ะนับถือจริงๆ” พูนทรัพย์พูดอย่างชื่นชม
น้องผู้ชายเป็นห่วงอาทิจ
“พี่อาทิจจะโดนไม้เรียวฟาดเอาๆรึเปล่า เวลาทำอะไรไม่ได้ดั่งใจคุณย่าน่ะ”
ประวิทย์พยักหน้า
“อาจจะโดนหนักกว่านั้นก็ได้ เป็นไง...อาทิจ ได้ยินอย่างนี้แล้วจะสู้หรือจะถอย”
อาทิจทำขรึม
“ก็คงต้องถอยครับ”
ประวิทย์กับพูนทรัพย์และน้องๆทุกคนไหล่เหี่ยว แต่ก็เข้าใจ อาทิจแอบยิ้ม
“ถอยมายืนให้เต็มสองเท้าแล้วใส่เกียร์เดินหน้าแบบ สู้ไม่ถอย ผมจะสู้เพื่อพวกเราทุกคนครับ”
ประวิทย์ยิ้มร่า พูนทรัพย์ชื่นใจ นิตยากับภาณีกระโดดกอดกันกลมมีคนส่งเรียนแล้ว น้องๆคนอื่นๆก็ลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นพลอยดีใจไปด้วย ประวิทย์ดีใจมาก
“อย่างนี้ต้องฉลองกันหน่อย พวกเราไปเก็บไข่มาต้มพะโล้เลี้ยงส่งพี่อาทิจกันลูก”
“แม่จะผัดผัก แล้วก็ตำน้ำพริกให้นะ”
ทุกคนกรูกันออกไปอย่างเริงร่า อาทิจก้มมองจดหมายคุณย่าที่อยู่ในมือ แล้วค่อยๆดึงขึ้นมาแนบที่ใจด้วยความซาบซึ้ง
“คุณย่าของอาทิจ”
อาทิจยิ้มชื่นมื่น ชายหนุ่มอยากจะตะโกนขอบคุณย่าให้ก้องฟ้า เขาอยากจะให้ย่ารู้ว่า โอกาสความหวัง รวมทั้งอนาคตที่ย่าหยิบยื่นให้ มีความหมายต่อเขาและน้องๆเพียงใด
วันต่อมา...รถประจำทางสีส้มซึ่งเขียนข้างรถว่า กรุงเทพ-เชียงใหม่-ฝาง แล่นเข้ามาจอดที่ตลาดใกล้สถานีขนส่งในอำเภอ ผู้โดยสารทยอยเดินลงจากรถ อาทิจสะพายเป้ก้าวลงมาจากรถตามหลังผู้โดยสารคนอื่นๆ เจ้าของรถสองแถวที่จอดรออยู่ตะโกนเรียกผู้โดยสาร
“ท่าตอน แม่จันครับ...ท่าตอน แม่จัน” เจ้าของรถรี่เข้าไปหาอาทิจ “น้องจะไปไหน”
อาทิจอึ้ง จะบอกว่ายังไงดี เพราะไม่รู้ว่าสวนย่าชื่ออะไร
“เอ่อ...คือ ผมจะไป...ไปสวนคุณย่าน่ะครับ”
เจ้าของรถสองแถวคว้ามืออาทิจหมับ แล้วเดินจูงมาทันที
“มารถพี่เลย รถพี่ผ่านสวนคุณย่าพอดี”
“พี่ชายรู้จักสวนคุณย่าด้วยหรือครับ คือ...ผมไม่รู้น่ะครับว่าสวนคุณย่า...เอ่อ...ชื่ออะไร”
“โอ๊ย...จะชื่ออะไรไม่สำคัญหรอก เพราะถ้าบอกว่าสวนคุณย่าล่ะก็ มีอยู่ที่เดียวเท่านั้น ใครๆก็รู้จัก ใครไม่รู้จักไม่ใช่คนเมืองนี้” เจ้าของรถชี้ไปที่ฝั่งตรงข้าม “เห็นรถสองแถวนั่นมั้ย น้องไปรอที่รถพี่ก่อน เดี๋ยวพี่ไปหาผู้โดยสารเพิ่มสักสาม-สี่คนก็ออกได้แล้ว”
เจ้าของรถชี้ชวนเสร็จก็เดินกลับไปที่สถานีอีกครั้ง อาทิจมองซ้ายมองขวาก่อนจะข้ามถนน ชายหนุ่มเห็นปลอดรถจึงเดินข้ามมาจนกระทั่งถึงจุดกึ่งกลางถนน แล้วเขาก็แทบช็อกเมื่อจู่ๆ รถกระบะคันหนึ่งเลี้ยวโค้งแล้วพุ่งตรงมาที่เขาเร็วราวกับพายุที่สำคัญไม่มีทีท่าว่าจะชะลอหรือเหยียบเบรก อึ่งกับพัน ซึ่งยืนอยู่บนกระบะด้านหลังรถ แหกปากตะโกนแข่งกันลั่น
“คะ...คะ...คะ...คน”
“บะ...บะ...บะ...เบรค”
รถกะบะพุ่งมาอาทิจตาเหลือก อ้าปากค้างด้วยความตกใจสุดขีด ดรุณีซึ่งกำลังขับรถโดยมีแก้วซึ่งนั่งอยู่ข้างๆเบิกตาโพลงช็อก รถพุ่งมาเกือบจะชนอาทิจอยู่รอมร่อ ขาดอยู่แค่กระเบียดนิ้ว อาทิจกระโดดหลบแล้วเซล้มกระแทกพื้น ผู้คนที่เดินผ่านไปมาแถวนั้นร้องวี๊ดว้าย รถกระบะของดรุณีแล่นผ่านอาทิจไปเฉียดฉิวแล้วเบรคเอี๊ยด
อึ่งกับพัน ไม่ทันระวังตัว แรงเบรกทำให้ทั้งคู่พุ่งมากระแทกตัวรถแล้วกระเด็นกลับไปที่หลังรถพร้อมกัน แถมยังหันมาเอาหัวโขกกันอีกต่างหากทั้งคู่เจ็บตัวร้องโอดโอย ดรุณีเปิดประตูรถด้านคนขับออกมา ตามด้วยแก้วซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ดรุณีหันไปมองแก้วอย่างรนๆประมาณทำยังไงดี
“น้าแก้ว”
“น้าแก้วเตือนแล้วเตือนอีกว่าอย่าขับเร็ว...อย่าขับเร็ว แล้วเป็นยังไงล่ะ ให้ตาเกร็งมาขับให้ก็ไม่ฟัง โอ๊ย...ตายรึเปล่าก็ไม่รู้”
อาทิจซึ่งนอนหันหลังให้ ค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นนั่งอย่างมึนจัด อึ่งรีบบอก
“ยังไม่ตายครับน้าแก้ว”
“รีบไปดูสิวะ”
แก้ววิ่งนำอึ่งกับพันซึ่งกระโดดลงจากรถแล้วตามหลังไปอย่างตุปัดตุเป๋ เพราะเคล็ดยอกจากการกระแทก ดรุณีเดินตามหลังมาช้าๆ หน้าตาบ่งว่าสำนึกผิด แก้ว อึ่ง พัน วิ่งมาล้อมด้านหน้าอาทิจ แก้วรีบถามอย่างเป็นห่วง
“เป็นยังไงบ้างคะคุณ เจ็บมากมั้ย ไปโรงพยาบาลมั้ยคะ”
อาทิจยังมึนอยู่
“ไม่เป็นไรครับ...แขนกับศอกถลอกนิดหน่อย”
“น้าต้องขอโทษด้วยจริงๆ ไหน...ลองลุกขึ้นดูสิคะ ยืนไหวมั้ย มา...น้าแก้วช่วย”
“ไม่เป็นไรครับ ผมลุกเองได้”
อาทิจพยายามยันตัวลุกขึ้นยืน ในขณะที่ดรุณียืนดูเหตุการณ์อยู่ด้านหลัง ชายหนุ่มยืนได้เต็มเท้าเพียงแค่ครู่เดียวก็เซไปทางด้านหลังล้มทับดรุณี ทั้งคู่ล้มลงไปกองทับกันที่พื้น แบบซ้อนทับกัน อาทิจตกใจหันไปมองคนที่นอนอยู่ข้างหลังทำให้ จมูกของเขาหันมาโดนแก้มดรุณี ทั้งคู่จ้องมองกันอยู่ครู่เดียวแล้วเบิกตาโพลงต่างคนต่างจำกันได้แม่นยำ ดรุณีผละออกมาจากอาทิจทันที
“นาย!”
แก้วรีบเข้ามาบอก
“คุณณีขอโทษคุณเขาสิคะ คือ...คุณณีเธอเพิ่งหัดขับรถน่ะค่ะ สิคะ...คุณณี”
ดรุณีหน้าเข้ม
“เรื่องอะไรหนูจะขอโทษ นายนี่ซุ่มซ่ามมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตอนข้ามถนนนี่ก็คงไม่ดูตาม้าตาเรือเหมือนเคย แล้วไอ้เรื่องชอบลวนลามลามกนี่ก็ด้วย ขนาดโดนรถชนขนาดนี้ยังจะมีหน้ามาแต๊ะอั๋งผู้หญิงอีก”
อาทิจเซ็งเลย
“อะไรกัน คุณนั่นแหละที่ขับรถไม่ดูตาม้าตาเรือ ถ้าผมไม่กระโดดหลบ คุณก็คงชนผมเต็มๆเข้าไปแล้ว”
อึ่งกับพันพูดพร้อมกัน
“จริงด้วยครับคุณณี”
“อีกอย่างผมจะรู้ได้ยังไงว่าคุณยืนอยู่ข้างหลัง ถ้าผมคิดจะลวนลามคุณจริงๆ ผมล้มทับคุณซึ่งๆหน้าเลยไม่ดีเหรอ”
อึ่งกับพันพยักหน้าพูดพร้อมกันอีก
“มีเหตุผลนะครับคุณณี”
“คุณขับรถชนผม แทนที่จะขอโทษ กลับมาโยนความผิดให้ผมอีก ทำอย่างนี้มันถูกหรือครับ”
แก้ว อึ่ง พันเผลอพูดพร้อมกัน
“นั่นสิครับ/คะ คุณณี”
ดรุณีมองหน้าทั้งสามขู่เสียงเข้ม
“น้าแก้ว นายอึ่ง นายพัน”
เจ้าของรถสองแถวเดินพาผู้โดยสารอีกคน ที่พามาจากสถานีเดินเข้ามา
“อ้าว...คุณณี น้าแก้ว สวัสดีครับ” เจ้าของรถสองแถวหันไปหาอาทิจ “แหม...โชคดีจังเลยน้อง คุณณีเอารถที่สวนคุณย่ามาพอดี เดี๋ยวน้องอาศัยไปกับคุณณีก็แล้วกันนะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลารอ...ฝากน้องเขาไปด้วยคนนะครับคุณณี เขาจะเข้าไปที่สวนคุณย่าน่ะครับ” เจ้าของรถสองแถวยิ้มแย้มบอกอาทิจ “คนที่สวนคุณย่าใจดีทุกคนแหละ พี่ไปล่ะนะ” เจ้าของรถสองแถวยกมือไหว้แก้ว “ผมลานะครับน้าแก้ว...คุณณี”
เจ้าของรถสองแถวเดินออกไปพร้อมผู้โดยสาร อาทิจหันมามองหน้าดรุณี หญิงสาวเชิดใส่
ดรุณีขยับรถเข้าจอดรถมุมหนึ่งในตลาด เธอปลดกุญแจรถพร้อมกับดึงกระเป๋าสะพายและรายการของที่จะซื้อมาถือไว้ในมือ ก่อนจะปิดประตูรถแล้วหันมาถามอาทิจ ซึ่งขยับเดินเข้ามาพร้อมกับทุกคน
“จะไปหาใครที่สวนคุณย่า”
อาทิจ ตอบแบบกวนนิดๆ
“ไปหาคุณย่า”
“มีธุระอะไร”
อาทิจหน้าเรียบๆนิ่งๆ
“ธุระส่วนตัว”
ดรุณีหน้าร้อนผ่าวที่โดนอาทิจตอกกลับแบบนิ่มๆ เลยไปลงกับอึ่ง พัน และแก้ว
“เอ้า...อึ่ง พัน จะยืนอยู่ทำไม รีบเอาตะกร้า เอารถเข็นลงมาสิ เดี๋ยวตลาดก็วายหมดหรอก แล้ว...ไหนล่ะรายการน้าแก้ว ยาวเป็นหางว่าวเลยไม่ใช่เหรอ น้าแก้ว เอาไว้ไหน”
“ก็อยู่ในมือคุณณีไงคะ”
ดรุณีหน้าแตก แต่ทำเป็นเร่งคนนั้นคนนี้กลบเกลื่อน
“ถ้างั้นก็รีบไป”
“ผมรอที่นี่นะ คุณไม่ขอโทษผมก็ไม่เป็นไร แค่ไถ่โทษด้วยการให้ผมอาศัยรถไปด้วยก็พอแล้ว”
“ก็ตามใจ อยากจะรอตรงไหนก็เรื่องของนาย” ดรุณีเดินออกไปแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์นึกอะไรขึ้นได้ หันกลับมา “ตรงนี้แดดมันร้อน ฉันว่านายไปรอที่ร้านฝั่งโน้นก่อนดีกว่า”
แก้วเห็นดีด้วย
“จริงด้วยค่ะ เดี๋ยวซื้อของเสร็จ น้าจะให้เจ้าพันไปตามนะคะ”
ดรุณีหันไปดุทุกคน
“เอ้า...เร็วๆเข้าสิน้าแก้ว...อึ่ง พัน เร้ว”
แก้วรีบเดินออกไปพร้อมกับอึ่งพันที่ลากตะกร้าและรถเข็นตามออกไป อาทิจจะขยับออก แต่แล้วชายหนุ่มก็เหลือบเห็นกุญแจรถของดรุณีตกอยู่ที่พื้น เขาขยับเข้าไปเก็บกุญแจแล้วจะเรียกดรุณี แต่ทุกคนก็อันตรธานไปจากตรงนั้นแล้ว อาทิจมองกุญแจในมือ ก่อนจะตัดสินใจถือเดินออกไป
อาทิจเดินสะพายกระเป๋าเข้ามาหาที่นั่งในร้านอาหารตามสั่ง เจ้าของร้านเดินรี่เข้ามาหน้าตายิ้มแย้ม
“รับอะไรดีครับ ข้าวกระเพราไก่ กุ้ง หมู ทะเลหรือว่า ข้าวผัดพริกแกง ข้าวหมูทอด ข้าวผัดปู อาหารตามสั่งของเราอร่อยทุกอย่างครับ”
“ผมขอน้ำแข็งเปล่าแก้วนึงครับพี่ พอดีคุณแม่ผมทำกับข้าวมาให้แล้ว”
เจ้าของร้านชักสีหน้าอุตส่าห์ร่ายรายการซะยืดยาว ดันสั่งน้ำแข็งเปล่าแค่แก้วเดียว อาทิจควักห่อใบตองออกมา 2 ห่อ ห่อแรกที่ใหญ่หน่อยคือห่อข้าวเหนียว ส่วนอีกห่อคือเนื้อย่างแดดเดียว
ดรุณีเข้ามาพร้อมกับแก้ว อึ่ง พันที่ถนนฝั่งตรงข้าม หญิงสาวชะเง้อมองอาทิจก่อนจะหันไปสั่งทุกคน
“เดี๋ยวเอาของพวกนี้ไปเก็บที่รถก่อนนะอึ่ง พัน แล้วตามไปเอาข้าวสารที่ร้านเจ๊เล็ก”
อึ่งกับพันรับคำพร้อมกัน
“ครับคุณณี”
อึ่งกับพันเดินเข็นของกลับไปที่รถ ดรุณีหันไปสั่งแก้ว
“น้าแก้วแยกไปซื้อพวกของแห้งนะคะ หนูจะไปซื้อพวกเนื้อสัตว์เอง”
“แยกกันซื้ออย่างนี้เร็วดีนะคะ คุณคนนั้นจะได้ไม่ต้องรอนานด้วย”
ดรุณียิ้มเจ้าเล่ห์
“เร็วแต่ไม่ต้องรอค่ะ หนูไม่ได้รับปากเขานี่คะว่าจะให้เขาไปด้วย” ดรุณีมองอาทิจ “เล่นสั่งข้าวมากินซะขนาดนั้นคงอีกนานกว่าจะกินเสร็จ ถ้าเขาช้าแล้วมาไม่ทัน มันก็ไม่ใช่ความผิดของเรา จริงมั้ยคะ แล้วเจอกันที่รถเลยนะคะน้าแก้ว”
ดรุณีเดินลัลลาออกไป แก้วมองตามหลังก่อนจะส่ายหน้าแล้วเดินออกไปอีกทาง ทันทีที่ดรุณีกับแก้วเดินไป หญิงจรจัดคนหนึ่งก็อุ้มลูกเข้ามาขอข้าวเจ้าของร้านกิน อาทิจซึ่งกำลังปั้นข้าวและหยิบเนื้อย่างกินก็ชะงัก มอง
“ขอข้าวฉันสักจานเถอะจ้ะ ตั้งแต่เช้า...ไอ้หนูมันยังไม่ได้กินอะไรเลย”
เจ้าของร้านตวาดไล่
“ป...ออกไปเลย ค้างค่าข้าวไว้ตั้งเป็นร้อยแล้ว ยังจะมีหน้ามาขอเขากินฟรีอีก”
“คิดเงินก็ได้จ้ะ นึกว่าสงสารไอ้หนูมันเถอะนะ...ข้าวเปล่าๆก็ได้ ฉันไหว้ล่ะ”
“ลื้อก็พูดยังนี้ทุกที ให้เก็บตังค์แล้วอั๊วจะไปเก็บกับใคร ไป...ออกไป...ยืนเกะกะอยู่ได้”
เจ้าของร้านดันแม่ลูกออกไป อาทิจกินไม่ลง ลุกขึ้นมาหาหญิงจรจัด
“เดี๋ยวครับพี่...มากินกับผมก็ได้”
“นั่งร้านอั๊วฟรีๆไม่ได้นะ”
“ถ้างั้นก็ขอน้ำแข็งเปล่าให้พี่เขาแก้วนึง แล้วก็เอานมเย็นให้เด็ก เดี๋ยวผมจ่ายเอง”
อาทิจพาหญิงจรจัดและเด็กน้อยไปนั่งที่โต๊ะ
“กินเลยครับพี่ ไม่ต้องเกรงใจ”
หญิงจรจัดยกมือไหว้ปลกๆ
“ขอให้จำเริญๆนะพ่อคุณ ไปอยู่ไหนก็ขอให้มีแต่คนรักคนเมตตานะพ่อนะ”
อาทิจยิ้มให้หญิงจรจัดและมองเธอป้อนข้าวให้ลูกที่กินอย่างหิวโหย จนลืมความหิวโหยของตัวเอง
ดรุณีกับแก้วช่วยกันยกเข่งผักและของแห้งให้อึ่งกับพันซึ่งคอยรับอยู่บนกระบะ ดรุณียิ้มแฉ่ง
“เรียบร้อยแล้ว ไปกันได้”
หญิงสาวจะเดินไปยังที่นั่งคนขับ แก้วยื้อมือไว้
“มันจะดีหรือคะคุณณี คนเขาจะนินทาเอานะคะว่าคนที่สวนคุณย่าไม่มีน้ำใจ”
อึ่งกับพันพูดพร้อมกัน
“นั่นสิครับ”
“น้ำใจมีไว้ตอบแทนคนที่มีน้ำใจกับเราก่อนเท่านั้นค่ะ”
อาทิจโผล่เข้ามากลางวง
“แล้วการเก็บกุญแจรถที่คนทำตกไว้ แล้วนำมาคืนให้เจ้าของโดยไม่เชิดรถหนีไปซะก่อน อย่างนี้...เขาเรียกว่ามีน้ำใจมั้ยครับ”
ดรุณีตบกระเป๋า ทั้งล้วงทั้งควักหากุญแจรถแต่หาไม่เจอ อาทิจหยิบกุญแจรถออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วแกว่งใส่ตรงหน้าหญิงสาว ดรุณีคว้ากุญแจมาจากมืออาทิจอย่างไม่พอใจ
“ในเมื่อผมมีน้ำใจให้คุณ คุณก็คงไม่กลืนน้ำลายตัวเองหรอก จริงมั้ยครับ”
อาทิจกระโดดขึ้นไปนั่งบนกระบะ ตรงข้ามอึ่งกับพันอย่างสบายใจ โดยไม่สนใจว่าดรุณีจะอนุญาตหรือไม่ ดรุณีสะบัดหน้าพรืดกลับไปยังที่นั่งคนขับ ก่อนจะเข้าเกียร์ถอยหลังและกระชากรถออกไปอย่างแรง...คนที่ท้ายกระบะโดนเหวี่ยงหน้าทิ่มไปข้างหน้าและกระดอนกลับมาข้างหลังโดยพร้อมเพรียงกัน
รถแล่นมาตามบนถนนผ่านภูเขาสวยงาม อาทิจนั่งดื่มด่ำกับความเขียวขจีของขุนเขาสลับซับซ้อนข้างทางอย่างเพลิดเพลินเจริญใจ อึ่งกับพันนั่งมองอาทิจทึ่งๆพยายามหาจุดด้อยบนใบหน้าและสรีระของชายหนุ่ม หมอนี่เป็นใครทำไมหล่อเหลาเอาการขนาดนี้ อาทิจเหลือบหันมาเห็นสายตาของอึ่งและพันที่จ้องเอาๆ ชายหนุ่มยิ้มให้ก่อนเลี่ยงมองไปทางอื่น
ในรถ...แก้วหัวเราะร่วน อารมณ์ดี ดรุณีหน้าหงิกไม่พอใจ
“แค่หนูบอกว่าอีตานี่เป็นคนเดียวกับอีตาบ้ากามที่หนูเจอที่พิพิธภัณฑ์น่ะ มันตลกรึไงคะน้าแก้ว”
“ไม่ตลกแต่มันขำค่ะ สงสัยคุณณีจะเจอเนื้อคู่เข้าแล้วมั้งคะ ถึงได้เจอกันอยู่นั่นแล้วนี่ถ้าน้าแก้วรู้ว่าพ่อคนนั้นคือพ่อคนนี้ล่ะก็...น้าแก้วจะเชียร์ขาดใจเลย ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ หล๊อหล่อ นี่สงสัยจะไปขอสมัครงานกับคุณย่านะคะ ต๊าย...แล้วแม่พวกสาวๆที่ไร่จะเป็นอันทำงานกันหรือคะเนี่ย ดูสิคะ ขนาดเจ้าอึ่งเจ้าพันยังจ้องกันไม่วางตา หล่อไม่อายฟ้าอายดินจริงน้า...พ่อคู๊ณ”
ดรุณีหมั่นไส้
“เดี๋ยวเถอะ...จะทำให้หายหล่อทั้งคนจ้องทั้งคนถูกจ้องเลย”
ว่าแล้วดรุณีก็ เหยียบคันเร่งกระชากตัววื้ดสุดแรง ได้ผลสมใจเพราะผู้ที่ถูกจ้องและนั่งจ้องอยู่ด้านหลัง ถูกเทกระจาดเหวี่ยงไปกองรวมกันอยู่ข้างหน้าแล้วกระแทกกลับมาทางด้านหลัง แก้วตกใจร้องลั่น
“ว๊าย...คุณณี”
พอตั้งหลักได้ทั้งอาทิจ อึ่ง พันก็เอามือจับยึดตัวเองไว้กับรถเป็นพัลวัน อึ่งรีบตะโกนบอก
“คุณณีคร้าบบ...บะ...เบาหน่อยยคร้าบ ผมยังไม่อยากตาย”
“ไอ้พันก็ยังไม่อยากตาย ยังไม่ทันมีเมียกับเขาเลย...ช่วยด้วย”
แก้วรีบห้าม
“คุณณีขา...เบาค่า เบา โอ๊ย...แก้ว เยี่ยวจะเล็ด ขี้จะราดอยู่แล้วน้าค้า”
ดรุณีกำลังสนุกเมามันกับการได้แกล้งอาทิจ จึงไม่สนใจฟังคำทัดทานใดๆ จนสักครู่...หญิงสาวต้องเป็นฝ่ายเบิกตาโพลงร้องลั่น เมื่อแซงรถคันหน้าออกไปเจอ รถกระบะอีกคันวิ่งสวนมา
“ว้าย”
อาทิจตาโตยิ่งกว่าดรุณี 2 เท่า
“เฮ้ย”
อึ่งกับพันกอดกันกลม
“กู...ตายแน่!”
แก้วร้องลั่น
“หะ...แหก”
ก่อนที่รถดรุณีจะประสานงากับรถกระบะที่วิ่งสวนมาอย่างจัง หญิงสาวก็หักพวงมาลัยหลบเข้าข้างทาง เฉียดฉิ่วเพียงแค่เสี้ยววินาที...รถกระบะของดรุณีวิ่งเข้ามาจอดสงบนิ่งอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ ควันคุ้ง ทุกคนที่อยู่ในรถหัวทิ่มไปข้างหน้า แล้วกระดอนกลับมากระแทกทางด้านหลังกันถ้วนทั่ว อึ่งกับ พัน นั่งกอดกันหัวซุกหัวซุน
“กูตายมั้ยไอ้พัน กูตายมั้ย”
พันเอามือควานตัวเพื่อนแล้วลืมตาขึ้นมาดู
“ยัง...มึงยังไม่ตาย ละ...แล้ว...แล้วกูล่ะ”
อึ่งเอามือลูบหน้าลูบตาเพื่อน
“มะ...มึงก็ยังไม่ตายเหมือนกัน”
อาทิจตั้งหลักได้ หายมึน ชายหนุ่มยัวะสุดขีด กระโดดลงจากรถมากระชากประตูข้างที่ดรุณีนั่งออกมา ดรุณีซึ่งยังตกใจไม่หาย ขวัญผวาขึ้นไปอีกเมื่อเห็นอาทิจทำท่าโกรธจัด
“ขับรถประสาอะไร จะพาทุกคนไปตายกันหมดแล้วรู้ตัวรึเปล่า”
ดรุณีเสียใจ แต่พอโดนอาทิจตะคอกใส่ หญิงสาวก็แกล้งเชิดหน้าทำเป็นไม่รู้สึกรู้สม
“แล้วเกี่ยวอะไรกับนาย”
“ทำไมจะไม่เกี่ยว ในเมื่อผมนั่งรถมากับคุณ”
“ก็ใครใช้ให้นายมากับฉันล่ะ ไม่พอใจก็โบกรถคันอื่นไปเองสิ ไปเลย”
อาทิจเลือดแล่นเป็นริ้วขึ้นหน้า เพราะไม่เคยเห็นใครเถียงฉอดๆ ด้วยเหตุผลข้างๆคูๆแบบดรุณีมาก่อน
“เสียใจ...ผมจำเป็นต้องไปพบคุณย่าวันนี้ ผมต้องไปให้ได้และจะไปรถคันนี้ด้วย”
อาทิจแทรกตัวเข้ามาเบียดดรุณีเข้าไปจนติดแก้ว อึ่งกับพันกระโดดลงมาจากรถ เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นดรุณีทั้งดันทั้งผลักเขา
“ออกไปนะ จะมาเบียดฉันทำไม ออกไป”
อึ่งมองอาทิจ
“นั่นสิ...คุณจะไปเบียดคุณณีทำไม ออกมาๆ น่าเกลียด”
“ก็ในเมื่อเขาขับรถไม่เป็น ผมก็จะขับให้เอง”
แก้วเห็นดีด้วย
“เอ้า...งั้นก็เบียดเข้ามาเลยค่ะ...มา...มา”
ดรุณีงอน
“น้าแก้ว...น้าแก้วไปเชื่อเขาได้ยังไง ถ้าเขาขับรถคุณย่าไปชนอะไรเข้าล่ะใครจะรับผิดชอบ”
อาทิจเสียงแข็งเน้นๆ
“ผมขับรถเป็น และรับรองว่าขับดีกว่าที่คุณขับเป็นร้อยเท่า”
“แต่นายไม่มีสิทธิ์มาขับรถของคุณย่า”
“ทำไมจะไม่มีสิทธิ์ ในเมื่อผมก็เป็นหลานของคุณย่าคนหนึ่งเหมือนกัน”
“โธ่...นึกว่าใคร ที่แท้ก็หลานคุณย่า” พันพูดลอยๆ
ทุกคนนิ่งไป 1 วินาที ก่อนที่ แก้ว อึ่ง พัน จะหันมามองหน้าแล้วตะโกนขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“หา...หลานคุณย่า”
“ครับ ผมชื่ออาทิจ”
ดรุณีมองหน้าอาทิจอึ้งไป
อาทิจยิ้มที่มุมปากให้หญิงสาวเป็นยิ้มที่ซ่อนความยียวนนิดๆกวนประสาทหน่อยๆ
ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 1 (ต่อ)
อาทิจขับรถเข้ามาในอาณาบริเวณบ้านสวนคุณย่า ผ่านทิวทัศน์ที่สวยงาม สักครู่ชายหนุ่มก็ขับรถกระบะเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน ดรุณีก้าวลงจากรถอย่างเร็วเพราะสลับที่นั่งกับแก้ว โดยเปลี่ยนมานั่งริมและให้แก้วนั่งคั่นกลาง
อาทิจก้าวตามลงมามองบ้านหลังใหญ่ที่ปลูกอยู่ท่ามกลางต้นไม้และขุนเขารายล้อมอย่างตะลึง...ดรุณียืนมองชายหนุ่มตาขวางหมั่นไส้ เข้าใจว่ามาผลาญสมบัติคุณย่าเหมือนหลานคนอื่นแหงๆ แก้วตามลงมา
“เดี๋ยวคุณณีพาคุณอาทิจ เข้าไปพบคุณย่าก่อนก็แล้วกันนะคะ” แก้วหันมาสั่งอึ่งกับพัน “เจ้าอึ่งเจ้าพัน เอาของไปเก็บในครัว”
จังหวะที่แก้วหันมาคุยกับอึ่งและพัน ซึ่งยังคงจ้องอาทิจอยู่นั่นแล้ว ดรุณีสะบัดหน้าพรึ่ดเดินเข้าบ้านทันที อาทิจเห็นอากัปกริยาที่แสดงความไม่เป็นมิตร และไม่พอใจของหญิงสาวก็หนักใจ แก้วหันกลับมา
“อ้าว...คุณณี ไม่รอคุณอาทิจก่อนล่ะค้า” แก้วหันมายิ้มเจื่อนๆกับอาทิจ “สงสัยจะยังตั้งตัวไม่ทัน เธอคงไม่คิดน่ะค่ะว่าคุณคือหลานคุณย่า อีกอย่างก็คงจะรู้สึกผิดเรื่องขับรถ เธอเพิ่งขับรถเป็นน่ะค่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งคุณหรอกนะคะ”
“ผมไม่ได้ติดใจอะไรหรอกครับ เพียงแต่คิดว่าจะทำยังไงถึงจะเอาชีวิตรอด มากราบคุณย่าให้ได้เท่านั้นเอง”
แก้วยิ้มให้นึกชอบใจชายหนุ่มขึ้นมาทันใด ในขณะที่อึ่งกับพันยังคงมองอาทิจไม่วางตา
ย่าแดงนั่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเกษตรอยู่ในห้องรับแขก ต้องละสายตาจากหนังสือขึ้นมามองดรุณีที่เดินเข้ามากระแทกตัวลงนั่งข้างๆ
“ไปอารมณ์เสียมาจากไหนล่ะ”
“ก็หลานคุณย่า นายอาทิจน่ะสิคะ”
“เราก็จะอะไรนักหนา เขาจะมารึเปล่าก็ยังไม่รู้ ตั้งท่ารังเกียจเขาอยู่นั่นแล้ว”
“น้อยไปสิคะ หนูว่าอ่านจดหมายคุณย่าจบคงรีบแจ้นมาที่นี่ทันที นั่นไงคะ โผล่มานั่นแล้ว”
แก้วเดินเข้ามาในห้อง
“คุณอาทิจค่ะคุณย่า”
ย่าแดงหันไปมอง คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาเร็วขนาดนี้ อาทิจเดินเข้ามาในห้องอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว ชายหนุ่มตื่นเต้น ใจเต้นตึกตัก ย่ากับหลานมองตากัน กระแสของความเป็นสายเลือดเดียวกันพุ่งผ่านอากาศเข้าหากัน ดรุณีมองย่ากับอาทิจ หญิงสาวรู้สึกถึงความเมตตาที่แผ่ออกมาจากหญิงชราที่นั่งข้างๆ อาทิจคลานเข้ามาลงนั่งกับพื้นแล้วยกมือขึ้นไหว้ ก่อนจะก้มลงกราบ ดรุณีขยับเท้าทั้งสองข้างของตัวเองไปใกล้เท้าคุณย่า อาทิจก้มลงกราบแทบเท้าคุณย่า นั่นทำให้ดูเหมือนกราบเท้าดรุณีไปด้วย อาทิจเหล่มองเท้าหญิงสาว แล้วเงยหน้าขึ้นมามองเธอ ดรุณีเชิดใส่นิดๆแล้วแอบส่งยิ้มเล็กๆยียวนชายหนุ่ม ย่าแดงพินิจมองหน้าแล้วลูบมือของหลานชาย
“มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ มายังไงล่ะพ่อ”
อาทิจยิ้มใจชื้นขึ้น
“มารถประจำทางถึงที่นี่ตอนบ่ายสองโมงครับคุณย่า”
“พอดีมาเจอพวกเราที่ตลาด ก็เลยรับมาด้วยกันค่ะ” แก้วบอก
ย่าแดงเห็นแผลถลอกที่ศอกและแขนก็ถามอย่างสงสัย
“แล้วนี่ไปโดนอะไรมา”
ดรุณีซึ่งกำลังเชิดใส่ หันมาทำหน้าเจื่อนใส่แก้ว...นายนี่ต้องฟ้องคุณย่าแน่ๆ อาทิจเหล่มองหญิงสาว ก่อนจะหันมาหาย่า ชายหนุ่มไม่โกหก แต่ก็ไม่อยากมีเรื่องกับหญิงสาว
“ผมข้ามถนนแล้วไม่ทันเห็นรถที่แล่นมา ก็เลยกระโดดหลบล้มกระแทกพื้นน่ะครับ”
ดรุณีกับแก้ว แอบถอนใจโล่งอก
“รถที่นี่ไม่ได้จอแจเหมือนในจังหวัดก็จริง แต่คนก็ขับกันเร็ว แถมยังมีพวกวัยรุ่นที่เพิ่งขับรถเป็น แอบเอารถพ่อแม่มาขับกวนเมืองอีก จะไปไหนมาไหนต้องระวัง”
ดรุณีจ๋อย ย่าพูดเตือนอาทิจ แต่ถ้อยคำมันโดนเธอเต็มๆ อาทิจอมยิ้ม
“ครับ ผมจะระวังพวก” อาทิจเน้น “วัยรุ่นกวนเมืองพวกนี้ให้มากครับ”
ดรุณีตีหน้ายักษ์ใส่ แล้วหันมางอนใส่แก้วที่แอบขำเธออยู่ ย่าแดงมองดรุณี
“มาด้วยกันอย่างนี้ พ่ออาทิจคงรู้จักกับแม่ณีแล้วสินะ แม่ณีเป็นน้องคนหนึ่งของย่า...ก็ต้องมีศักดิ์เป็นย่าของพ่ออาทิจด้วย”
ดรุณียิ้มกริ่ม
“นายอาทิจต้องเรียกหนูว่า คุณย่า ถูกมั้ยคะ”
ย่าแดงพยักหน้า
“ถูก”
ดรุณีเชิดอกยืดไหล่เป็นนางพญาขึ้นมาทันที อาทิจอึกอักกับสถานภาพใหม่ที่ต้องเรียกขานดรุณี
“แต่...คนไทยเรานิยมนับญาติกันตามอาวุโส พ่ออาทิจอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ”
“20 ย่าง 21 ครับคุณย่า”
“แก่กว่าแม่ณี 3 ปี แม่ณีเรียกพ่ออาทิจว่า พี่ ก็แล้วกัน”
ดรุณีปรับอารมณ์แทบไม่ทัน เมื่อกี้เหมือนจะเป็นหงส์อยู่เหนือมังกรอยู่เลยนี่นา แก้วหัวเราะคิกคักดรุณีงอน
“ขำอะไรคะน้าแก้ว”
“เปล่านี่คะ น้ำลายมันติดคอ น้าแก้วก็เลยไอค่ะ คุณณีคิดว่าน้าแก้วขำหรือคะ โถ...แค่คุณณีต้องนับคุณอาทิจเป็นพี่แค่นี้ น้าแก้วจะขำทำไมคะ เรื่องมันไม่ได้น่าขำสักหน่อย เอ้า...ถ้างั้นน้าแก้วไม่อยู่แล้วก็ได้ ขอตัวไปทำกับข้าวก่อนนะคะ”
แก้วหัวเราะผสมไอกลบเกลื่อนเดินออกไป ย่าแดงหันมาบอกอาทิจ
“ไปพักผ่อนก่อนเถอะพ่ออาทิจ ย่าจัดให้พักที่เรือนข้างล่างนะ หนุ่มๆอย่างพ่อคงไม่อยากอยู่รวมกับพวกผู้หญิงข้างบนนี้หรอก จริงมั้ย”
“ผมอยู่ที่ไหนก็ได้ครับคุณย่า ขอแค่มีเสื่อผืนหมอนใบ มีข้าวให้กิน มีที่ดินให้ทำงาน แค่นั้นก็พอแล้วครับ”
ย่าแดงยิ้มรู้สึกดี
“กินง่ายอยู่ง่ายอย่างนี้ ดีแล้วล่ะพ่อ”
ดรุณีกระแอมอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะเดินออกไป ย่าแดงแปลกใจ
“อ้าว...จะไปไหนล่ะแม่ณี”
“จู่ๆก็รู้สึกคลื่นไส้เหมือนอ้วกจะแตกค่ะคุณย่า ขออนุญาตไปอ้วกก่อนนะคะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็พาพ่ออาทิจไปด้วยเลย อ้วกเสร็จแล้วจะได้ไปส่งพ่ออาทิจที่บ้านพัก” ย่าแดงไม่สนใจว่าดรุณีจะชักสีหน้ายังไงหันไปหาอาทิจ “ไป...พ่ออาทิจ”
“ครับคุณย่า”
ดรุณีหน้าบึ้ง กระฟัดกระเฟียดสุดฤทธิ์
ดรุณีเดินฟาดงวงฟาดงามาตามทาง อาทิจซึ่งสะพายกระเป๋าเป้เดินตามหลังมาเห็นอาการหญิงสาวแล้วอดเอ่ยปากไม่ได้
“ถ้าไม่อยากไปส่งผมก็รบกวนบอกทางมาดีกว่า ผมไม่อยากรบกวนใครโดยที่เขาไม่เต็มใจ”
ดรุณีหันกลับมา
“ก็แหงอยู่แล้ว ฉันไม่เดินไปส่งนายถึงนั่นให้เมื่อยหรอก”
“คุณไม่ชอบผมเรื่องอะไร”
“จะรู้ไปทำไม”
“เรื่องที่ผมมาอยู่ที่นี่งั้นเหรอ ผมมาทำงานนะ หรือคุณคิดว่าผมมาปอกลอกคุณย่า”
“ฉันยังไม่ทันพูดอะไรสักคำ นายจะร้อนตัวไปทำไม หรือนายคิดมาปอกลอกคุณย่าเหมือนหลานคนอื่นจริงๆ”
“ใครจะมาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร ผมไม่รู้และไม่สนใจ แต่ผมมาที่นี่เพื่อทำงาน และผมจะพิสูจน์ให้คุณและทุกคนเห็นว่าผม ไม่เหมือนคนอื่น”
ดรุณีขยับเข้าไปใกล้แล้วทำเสียงเย้ย
“ฉันจะคอยดู”
อาทิจขยับเข้ามาเผชิญหน้า
“คุณได้ดูสมใจแน่ รับรอง”
ดรุณีเจ็บใจที่อาทิจไม่ยอมลดราวาศอกให้แม้แต่น้อย หญิงสาวไม่รู้จะลงกับใครเลยตะโกนเรียกจิ๋วแจ๋ว
“จิ๋วแจ๋ว”
จิ๋วแจ๋ว วิ่งหน้าเริ่ดเข้ามาหาดรุณี แต่ตาชม้ายไปหาอาทิจอื้อหือหล่อจัง
“ขา...คุณณี มาแล้วค่า”
“พานายคนนี้ ไปที่บ้านพักติดน้ำตกหน่อย”
“บ้านหลังนั้น คุณย่าท่านเตรียมไว้ให้คุณอาทิจหลานชายท่านไม่ใช่หรือคะ”
ดรุณีเหวี่ยงใส่ทันที
“ก็ถามเขาเองสิว่า เขาเป็นหลานคุณย่าที่ชื่ออาทิจรึเปล่า”
ขาดคำดรุณีก็เดินหงุดหงิดอารมณ์เสียออกไป อาทิจหันมาแนะนำตัวอย่างเป็นกันเอง
“ฉันชื่ออาทิจ”
จิ๋วแจ๋วยิ้มกว้าง
“ว้าย...หลานคุณย่าจริงๆด้วย หนูชื่อจิ๋วแจ๋ว เป็นลูกแม่แก้วค่ะ"
จิ๋วแจ๋วกะพริบตาถี่ปิ๊งใส่ ชายหนุ่มส่งยิ้มให้เด็กสาวอย่างเป็นมิตร
อาทิจเดินตามจิ๋วแจ๋วมา พลางชวนคุย
“ได้ยินชื่อจิ๋วแจ๋ว นึกว่าน้าแก้วมีลูกสาว 2 คนซะอีก”
“ตอนนี้ชักเริ่มอยากจะมีน้องมาเดินเป็นเพื่อนอีกคนแล้วค่ะ...บรื้อ” จิ๋วแจ๋วเอามือห่อตัวเมื่อมองไปยังเบื้องหน้า “นี่ไงคะบ้านพักของคุณ”
อาทิจขยับเข้าไปยืนมองบ้านที่อยู่ท่ามกลางดงกล้วยไม้ป่า กลางหุบเขา อาทิจยิ้มดีใจ
“น่าอยู่จัง”
“น่าอยู่แต่...ไม่มีใครอยากอยู่ค่ะ”
“ทำไมล่ะ”
จิ๋วแจ๋วเหลียวไปมองรอบๆตัว
“ก็...เขาลือกันว่าบ้านนี้ผีดุน่ะสิคะ ผีนางตะเคียนกับผีนางตานีน่ะค่ะ เคยมีหลานคุณย่ามาพักที่นี่ 2-3 คน แต่อยู่ไม่ทันข้ามคืนก็ย้ายไปนอนที่บ้านพักคนงานกันหมดค่ะ คุณ...เอ่อ...คือ จิ๋วแจ๋วส่งคุณแค่นี้ได้มั้ยคะ”
“แค่นี้ก็พอ ขอบใจมากนะ”
จิ๋วแจ๋วยิ้มหวาน
“ไม่เป็นไรค่า เอ่อ...ถ้าจะอาบน้ำก็เดินไปทางด้านหลังกระท่อมนะคะ ที่นั่นมีน้ำตก น้ำสะอาดแล้วก็เย็นสบายดีค่ะ ใกล้จะมืดแล้ว จิ๋วแจ๋วกลับก่อนนะคะ”
จิ๋วแจ๋วเหลือบซ้ายแลขวาก่อนจะวิ่งขนลุกขนพองออกไป
อาทิจมองตามเด็กสาวไปอย่างขำๆ ก่อนจะหันกลับมามองอาณาจักรเล็กๆของตัวเองอย่างชื่นมื่น
ที่ลานอเนกประสงค์หน้าบ้านพัก คนงานกำลังกินข้าวเมื้อเย็นกันอยู่ บ้างก็จับกลุ่มกันกินนั่งบ้างยืนบ้าง อึ่งถือจานข้าวเข้ามาร่วมวง ทำหน้าเคลิ้มจัด
“เก่งรึเปล่า ดีรึเปล่า...ไม่รู้...รู้แต่ว่า...หล่อ”
พันตามมาประกบข้าง
“หล่อมาก”
ต๊อด ตักข้าวเข้าปาก แล้วยกขาชันเข่าขึ้นมาเต๊ะท่าหล่อมาก
“จะหล่อ จะเก่ง จะดีสักแค่ไหนก็อยู่ที่นี่ได้ไม่ถึงสิบวัน เดี๋ยวก็ต้องเปิดตูดกลับไป”
ไพฑูร กอดเอว ตุ๊เมียรักเดินเข้ามา
“ใช่...ถ้า อึดและทน สู้พี่ฑูรไม่ได้ ต่อให้หล่อลากดินยังไงมันก็เสียของอยู่ดี”
อึ่งเหล่มอง
“ใช่สิจ้ะ ใครมันจะทั้ง อึดทั้งทน ได้เท่าพี่ฑูรของพี่ตุ๊ล่ะ”
ไพฑูรยิ้มเยาะ
“เพิ่งจบมาหมาดๆอย่างนี้ ข้าให้ 7 วัน รับรองเก็บกระเป๋าร้องไห้แงๆกลับบ้าน เหมือนที่แล้วๆมา...แหงๆ”
“อย่ามัวพล่ามถึงคนอื่นอยู่เลยพี่ฑูร กลับบ้านกันเถอะ นี่ก็...เสียเวลาไปเยอะแล้วน้า”
ตุ๊ส่งตาเยิ้มขบริมฝีปากยั่ว ไพฑูรเอามือเชยหน้ามองตาเมียรักหวานซึ้ง
“นั่นสิจ๊ะ...พี่ฑูรก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกันน้องตุ๊ เปรี้ยวปากเหลื๊อเกิน”
ทั้งคู่ส่งสายตาเชิญชวนใส่กันสุดฤทธิ์ก่อนจะรีบจูงมือพากันจ้ำจนแทบจะกลายเป็นวิ่งออกไป พวกคนงานมองตามทั้งคู่ เพียงชั่วอึดใจก็พากันวางจานวางช้อนแล้วแอบย่องตามทั้งคู่ไปจนเกลี้ยงลาน พันมองตามตาวาว
“ลากกันกลับบ้านแต่หัววันแบบนี้ ไพฑูรราม่ามีฉายรอบ 2 แหงๆ ไป...ไอ้ต๊อด”
ต๊อดเสียงดังอารมณ์เสีย
“ไม่ไปโว้ย...ไม่มีอารมณ์”
“ก็รีบตามไปดูสิวะ จะได้มีอารมณ์” อึ่งยุ
“ไม่...ข้ากำลังเครียด...เสือ 2 ตัวมันอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้นะโว้ย”
พันงง
“ใคร...เสือ 2 ตัว”
“ก็ข้ากับไอ้หลานคุณย่านั่นไง ข้าหล่ออันดับ 1ของข้ามาตลอด มันจะมีใครหล่อเกินหน้าข้าได้ยังไงวะ”
อึ่งพันถ่มน้ำลายพร้อมกัน
“ถุย”
“คุณอาทิจเขาหล่อระดับเสือสิงห์ข้าไม่เถียง แต่เอ็งน่ะเทียบกะอีเห็นให้ได้ซะก่อน” อึ่งแดกดัน
พันมองหน้าต๊อด
“ถามจริงๆเหอะ ใครไปเข้าฝันบอกเอ็งว่าเอ็งหล่อหา ถ้าเอ็งหล่อ ข้า 2 คน ก็แหร่มล่ะวะ”
อึ่งกับพันหัวเราะใส่ ต๊อดยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มันจะหล่อบดบังรัศมีเราไปได้ยังไง
ในบ้านพัก...อาทิจถือรูปถ่ายรวมหมู่ของเขากับพ่อแม่และน้องๆแล้วพูดกับรูป
“ผมจะเป็นตัวแทนไถ่โทษให้คุณพ่อ จะตั้งใจทำงานเพื่อปากท้องและการศึกษาของน้องๆ ผมจะพิสูจน์ตัวเองให้คุณย่าและทุกคนเห็นครับว่า ลูกชายของคุณพ่อคนนี้ก็เอาดีกับงานในไร่ในสวนได้เหมือนกัน”
อาทิจวางรูปบนโต๊ะเล็กๆตรงหัวเตียง แล้วยิ้มราวกับกำลังนั่งอยู่พร้อมหน้ากับทุกคนในครอบครัว
ในครัว...ดรุณีนั่งจัดผักซึ่งเพิ่งล้างเสร็จมาหมาดๆใส่จาน ท่าทางเซ็งๆ
“แค่คุณย่าได้เห็นหน้านายอาทิจเป็นครั้งแรก หนูก็รู้สึกเลยว่าคุณย่าเมตตาแล้วก็เอ็นดูนายนั่นมาก”
แก้วยิ้มแล้วพูดแหย่
“ก็คุณอาทิจเธอน่าดูเอ็น เอ๊ย...น่าเอ็นดูนี่คะ อีกอย่างเธอเรียนจบทางด้านเกษตรมาโดยตรง คุณย่าก็ต้องสนใจเป็นพิเศษ นี่ถ้าขยันและอดทนกับงานหนักได้ด้วยล่ะก็ คุณย่าคงเอ็นดูมากกว่านี้”
ดรุณีหน้าเศร้า
“แล้วหนูจะตกอันดับมั้ยคะน้าแก้ว”
“ก็...ไม่แน่นะคะ”
ดรุณีหน้าถอดสีขรึมในทันที ในขณะที่แก้วแอบอมยิ้ม ย่าแดงเดินเข้ามา
“เดี๋ยวจัดอาหารให้พ่ออาทิจด้วยนะแก้ว”
ดรุณีงอนผสมไม่พอใจ
“แหม...คุณย่าขา น่าจะให้เขาทำกินเองเหมือนหลานคนอื่นๆนะคะ จะได้รู้ว่าสมบุกสมบันแค่ไหน ช่วยเหลือตัวเองเป็นรึเปล่า อีกอย่างใครจะวิ่งขึ้นๆลงๆไปเสริฟนายนั่นได้ทุกวันคะ”
“ย่าไม่ใช้ใครเทียวขึ้นเทียวลง 3 เวลาอย่างนั้นหรอก”
ดรุณีหน้าเด้งขึ้นมา
“นั่นสิคะ ทำอย่างนั้นมันเสียเวลาเปล่า”
“ย่าถึงได้ให้พ่ออาทิจขึ้นมากินกับเราบนเรือนทุกมื้อไงล่ะ ประหยัดเวลากว่ากันเยอะ”
ดรุณีแป่วไปเลย
“อยู่นี่ก็ดีแล้วแม่ณี ช่วยไปตามพี่เขามากินข้าวหน่อยไป”
ดรุณีหันมาขอความช่วยเหลือจากแก้ว
“น้าแก้วไปก็แล้วกันค่ะ หนูตำน้ำพริกให้”
แก้วรีบปฏิเสธ
“อู๊ย...ไม่ได้ค่า น้าแก้วต้องปรุงเองแล้วก็ต้องปรุงให้สุดฝีมือด้วย คุณอาทิจจะมากินข้าวกับเราเป็นมื้อแรกทั้งที ยังไงน้าแก้วก็ต้องทำให้เธอประทับใจค่ะ”
ย่าแดงมองหน้าหลานสาว
“เราไปน่ะดีแล้ว เดี๋ยวนี้เลย”
ดรุณีอึดอัดคับแค้นใจ จนในที่สุดก็ระเบิดเสียงดังลั่นออกมาเหมือนเด็กๆ
“หนูไม่ไป”
ดรุณีก้าวเดินฉับๆมาที่หน้าบ้านพักของอาทิจพร้อมกับแผดเสียงลั่น
“นี่...นี่...นี่”
ดรุณีชะเง้อมองเข้าไปในบ้าน แล้วจำใจขยับเดินใกล้ตัวบ้านเข้าไปอีกนิด
“นาย...นาย...นาย”
ยิ่งไม่เห็นเขาโผล่หน้าออกมาเธอยิ่งโมโห จ้ำพรวดเดียวขึ้นไปยืนตะโกนอยู่บนชานบ้าน
“หูหนวกรึไงหา ไม่ได้ยินฉันเรียกรึไง...นายอาทิจ”
“ผมอยู่นี่”
เสียงอาทิจดังมาจากทางด้านหลัง ดรุณีชะงักกึก หันไปมองชายหนุ่มแล้วหญิงสาวก็ตาเหลือก อ้าปากหวอเมื่อเห็นเขายืนเนื้อตัวผมเผ้าเปียกในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว เธอรีบเอามือปิดตา
“อี๊ย...อุบาทว์ เสื้อผ้าไม่มีใส่รึไง มายืนเปลือยอยู่ได้”
“ก็ผมเพิ่งไปอาบน้ำที่น้ำตกมา คุณจะให้ผมใส่สูทกลับมาหรือครับ”
“ไปอาบน้ำแล้วทำไมไม่หาอะไรคลุมให้มิดชิดกว่านี้”
“กลางป่ากลางเขาคุณจะให้ผมเอาอะไรคลุม เอาใบกล้วยห่อตัวมาอย่างนั้นเหรอ อีกอย่างผมจะรู้มั้ยว่า คุณย่าดรุณีน้อยจะให้เกียรติมาหาผมถึงนี่ ผ้าเช็ดตัวผมมีผืนเดียว ผมเลือกอุดจาดท่อนบนมันผิดหรือครับ หรือคุณย่าอยากให้ผมอุดจาดท่อนล่าง”
อาทิจพูดจบก็แกล้งเอามือไปทำท่าจะปลดผ้าเช็ดตัวออก ดรุณีตาปลิ้นหนักกว่าครั้งแรก
“อย่านะ...นี่ถ้าคุณย่าไม่ใช้ให้ฉันมาตามนายไปกินข้าวล่ะก็ ฉันไม่มีวันมาเหยียบที่นี่เด็ดขาด คนอะไรทุเรศที่สุด”
ขาดคำ ดรุณีก็วิ่งปิดหูปิดตาออกไป อาทิจหัวเราะขำก่อนจะปลดผ้าขึ้นมาเช็ดผมเช็ดตัว เผยให้เห็นกางเกงขาสั้นที่สวมอยู่ด้านล่าง
แก้วหัวเราะจนตัวงอ ในขณะที่คุณย่าแอบยิ้ม ดรุณีอกแทบแตก
“ขำอะไรนักหนาคะ น้าแก้ว เรื่องนี้มันไม่ตลกเลยนะ มีพวกลามกโรคจิตอยู่ในบ้านแล้วยังไม่รู้ตัวอีก”
ย่าแดงยิ้มเอ็นดู
“มันก็จริงอย่างที่พ่ออาทิจพูดนะแม่ณี พ่ออาทิจเขาคงไม่คิดว่าแม่ณีจะไปที่นั่นถ้ารู้ ย่าว่าเขาคงหาผ้าห่มไปพันตัวกันอุดจาดตาแล้วล่ะ”
“นี่คุณย่ายังเข้าข้างเขาอีกหรือคะ นายนั่นเขาทำห่ามใส่หนูขนาดนี้แล้วนะคะ”
ย่าแดงมองหลานสาวแล้วพูดอย่างจริงจัง
“ย่าไม่ได้เข้าข้าง แต่ย่าจะดูเขาเอง...แม่ณี ถ้าพี่เขามีนิสัยหยาบโลนฝังอยู่ในสันดานจริงๆล่ะก็ ย่าไม่เลี้ยงไว้แน่”
อาทิจแต่งตัวเรียบร้อยเดินเข้ามาอย่างนอบน้อม ดรุณีหันมามอง ส่งค้อนให้วงใหญ่ ก่อนจะหันมาพูดกับย่า
“หนูขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะคุณย่า จะได้เอาน้ำกรอกล้างลูกตา ไม่งั้นคืนนี้ภาพกระหังชีเปลือยได้ตามหลอนหนูแน่”
ดรุณีเดินสะบัดสะบิ้งผ่านหน้าอาทิจไป ย่าแดงหันไปสั่งแก้ว
“ตั้งโต๊ะเลยแก้ว มา...พ่ออาทิจมาคุยกับย่ารอน้องก่อน”
“ครับ”
อาทิจเดินตามย่าออกไปที่ระเบียงด้านนอก
ย่าแดงเดินนำอาทิจออกมา ยืนชมความงามยามพระอาทิตย์ตกดินที่ระเบียงบ้าน
“แม่แก้วเขาจัดบ้านพักให้เป็นยังไงบ้าง สะอาดเรียบร้อยดีมั้ย”
“สะอาด เรียบร้อยและน่าอยู่มากครับคุณย่า”
“ที่แม่ณีพูดเมื่อกี้ พ่ออาทิจอย่าถือสาเลยนะ น้องเป็นเด็กที่สุดในบ้าน บางครั้งอาจจะพูดจาไม่ทันคิด แล้วก็ออกจะขี้น้อยใจและแสนงอนอยู่สักหน่อย”
“ผมไม่ถือหรอกครับคุณย่า ผมเองก็มีน้องผู้หญิงหลายคน ไม่มีใครนิสัยเหมือนกันสักคน ต่างคนต่างเฮี้ยวไปคนละแบบ แต่ถ้าเอาความเฮี้ยวของทุกคนมารวมกัน มันก็ยัง...เอ่อ...”
ย่าแดงพูดแทรกขึ้น
“ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของแม่ณีใช่มั้ย”
อาทิจยิ้ม
“ก็...ประมาณนั้นครับ”
ดรุณีโผล่หน้าออกมาแอบดูที่ราวระเบียงชั้นบน ย่าแดงหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี ดรุณีบ่นพึมพำ
“ประจบอะไรแหงๆเลย”
ดรุณีทนดูไม่ได้ สะบัดเดินกลับเข้าห้องไป...ย่าแดงยิ้มขำ
“นั่นล่ะแม่ณี ทั้งบู๊ ทั้งซน ขี้งอนก็ที่หนึ่ง แต่น้องก็จิตใจดีนะ อันนี้ย่ารับรอง”
อาทิจส่งยิ้มให้คุณย่า แต่แววตาเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามจริงเหรอ
แก้วเปิดประตูเข้ามา ในขณะที่ดรุณีใส่ชุดนอนเรียบร้อยและเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี
“อาบน้ำเสร็จแล้วใช่มั้ยคะ ไปค่ะ...ลงไปกินข้าว”
ดรุณีลงนั่งหวีผมที่กระจก
“หนูไม่หิว ให้คุณย่ากินกับหลานคนโปรดไปคนเดียวเถอะ”
“หลานคนป่งคนโปรดอะไรกันคะ คุณอาทิจเพิ่งจะเหยียบเข้ามาที่สวนคุณย่าแท้ๆ”
“ก็นั่นล่ะค่ะ มีหลานคุณย่าคนไหนบ้างคะที่ทำให้คุณย่าหัวเราะได้เพียงแค่ย่างก้าวมาถึง มีหลานคุณย่าคนไหนที่คุณย่าเรียกให้มากินข้าวด้วย ทุกคนต้องกินต้องอยู่ข้างล่างกันทั้งนั้น ยกเว้น นายอาทิจ”
“ก็แก้วบอกแล้วไงคะว่า คุณย่าอาจจะอยากคุยกับคุณอาทิจเป็นพิเศษเพราะคุณอาทิจเรียนมาตรงกับสายงานที่ท่านทำ ก็เท่านั้น คุณณีก็น้อยใจไปได้ ไปค่ะ ลงไปกินข้าว”
แก้วเข้ามาดึงแขนดรุณี หญิงสาวดึงมือแก้วออก
“ไม่ค่ะ หนูไม่ไป”
“แต่คุณย่าใช้ให้น้าแก้วมาตามนะคะ ถ้าคุณณีไม่ลงไปแล้วจะให้น้าแก้วบอกท่านว่ายังไงละคะ”
ดรุณีทำไม่รู้ไม่ชี้ หญิงสาวเดินผ่านแก้วแล้วทิ้งตัวลงนอนอ่านหนังสือบนเตียงอย่างสบายใจ
ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 1 (ต่อ)
แก้วยืนกระอักกระอ่วนใจ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยจะเต็มเสียง
“คุณณีเธอ...เอ่อ...ท้องเสียน่ะค่ะ ก็เลยกินยาแล้วขอนอนพักก่อนค่ะ”
อาทิจรู้อยู่เต็มอกว่าดรุณีไม่ลงมาเพราะอะไร
“ถ้างั้นก็ไม่ต้องรอ ลงมือเลยพ่ออาทิจ”
“น้ำพริกอร่อยนะคะ น้าแก้วตำสุดฝีมือเลย ลองชิมดูนะคะ”
อาทิจใช้ช้อนกลางตักน้ำพริก แทนที่จะตักใส่จานข้าวตัวเอง ชายหนุ่มเลือกที่จะตักให้ย่าก่อน แก้วแอบมองอย่างชื่นชม
“ขอบใจจ้ะ นี่ย่าว่าจะถามตั้งแต่เมื่อกี้แล้วว่าพ่อต้องการอะไรมากที่สุดในชีวิต”
“ที่ดินสักแปลงครับคุณย่า”
ย่าแดงกินไปคุยไป
“ถ้ามีสัก 10 ไร่ พ่อจะทำอะไร”
“ก่อนอื่นก็คงต้องดูลักษณะดินก่อนครับว่าที่ดินผืนนั้นมีลักษณะยังไง ดินเค็มเปรี้ยว หรือว่าร่วนซุยดี หน้าดินหนาเท่าไหร่ ลึกลงไปข้างล่างเป็นดินชนิดไหน”
“เออ...ดูละเอียดดีนี่ แล้วยังไงอีก”
“ก็ต้องดูน้ำครับว่า ที่ตรงนั้นมีน้ำมากแค่ไหน พอจะปลูกอะไรได้บ้าง ต้นไม้บางอย่างต้องการน้ำมาก บางอย่างต้องการน้ำน้อยครับ”
“ย่ามีที่ดินเป็นพันไร่ ปลูกอะไรไปตั้งมากมาย ยังไม่รู้เลยว่าดินที่ปลูกเป็นดินเปรี้ยว ดินเค็ม แกรู้รึเปล่าแม่แก้ว”
แก้วส่ายหน้ายิ้มแหะๆ ดรุณีโผล่หน้ามาแอบฟังอยู่มุมห้องด้านหลัง
“แล้วเราจะรู้ได้ยังไงล่ะพ่อ”
“มันมีวิธีทดสอบสภาพดินครับ”
“ทำยังไง”
อาทิจบรรยายไปตามที่เรียนมา แก้วฟังหูผึ่ง ย่าแดงยิ้มพอใจ ดรุณีเหล่มองอาทิจอย่างหมั่นไส้ เก่งมาจากไหนเนี่ย
ค่ำนั้น ดรุณีเข้ามาในห้องนอนกระแทกตัวลงนั่งที่เก้าอี้นั่งเล่นอย่างหงุดหงิด เสียงเคาะประตูดังขึ้น สักครู่แก้วเปิดประตูเข้ามา
“คุณณีคะ ลงไปกินข้าวเถอะค่ะ ไปฟังคุณอาทิจเล่าเรื่อง...”
แก้วยังพูดไม่จบ ดรุณีแทรกขึ้น
“หนูไม่เห็นสนใจไม่เห็นอยากจะฟังเลย กะอีแค่ท่องจำเอาจากตำราแล้วมาโม้ให้คนอื่นฟังต่ออีกที”
แก้วรู้ทัน
“อะ...อ๊ะ...อ๊า แสดงว่าลงไปแอบฟังมาแล้วสิคะเนี่ย ลงไปแล้วทำไมไม่ไปนั่งกินข้าวด้วยกันคะ”
“ไม่เอาหรอกน้าแก้ว ให้ไปนั่งฟังยัยวิพูดประจบคุณย่ายังพอจะเห็นความน่ารักน่าเอ็นดูบ้าง แต่ถ้าให้ไปทนดูนายนั่นประจบคุณย่าล่ะก็ หนูอ้วกพุ่งแน่”
“ทนๆหน่อยเถอะคะ เดี๋ยวก็หิวแย่”
ดรุณีพูดเสียงดังฟังชัด
“หนูไม่หิว”
ทันใดนั้นท้องดรุณีก็ร้องจ๊อกขึ้นมา เป็นการยืนยันว่าหิวอย่างหมดข้อโต้แย้งใดๆ
“ไปกินข้าวเถอะค่ะ เดี๋ยวโรคกระเพาะถามหานะคะ”
“น้าแก้วก็รีบๆไล่นายอาทิจไปให้พ้นๆบ้านก่อนสิ หนูจะได้ลงไป”
ดรุณีกระเง้ากระงอด แก้วส่ายหน้าละเหี่ยใจ
ย่าแดงยังคงนั่งรับลมคุยกับอาทิจอยู่ที่ระเบียง
“แล้วพ่อถนัดงานแบบไหนล่ะ ชอบปลูกผัก ผลไม้ ไม้ล้มลุก หรือว่าพืชไร่”
“ผมทำได้ทุกอย่างครับ เกษตรกรที่ดีต้องทำได้ทุกอย่าง เพียงแต่เลือกทำให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมที่ตัวเองอยู่เท่านั้น”
“ที่ย่าถามเพราะว่าย่ามีที่ดินหลายแปลง ที่บุกเบิกแล้วก็มี ที่ยังเป็นป่าอยู่ก็มี ย่าไม่แน่ใจว่าพ่อชอบทำอะไรแบบไหน ย่าอยากให้ทำในสิ่งที่รักที่ชอบ”
“ตามจดหมายของคุณย่า คุณย่าบอกจะเลี้ยงผมเหมือนลูกคนหนึ่ง ผมต้องมาทำงานกับคุณย่าโดยไม่มีเงินเดือน และจะเรียกร้องอะไรไม่ได้เลยนอกจากคุณย่าจะให้เอง เพราะเหตุนี้ผมจึงไม่มีสิทธิ์จะเลือกทำหรือไม่ทำอะไร ผมจะทำทุกอย่างตามแต่คุณย่าจะสั่งครับ”
“ดี ถ้าอย่างนั้นย่าจะให้พ่อดูแลงานทุกอย่างแทนย่านะ พรุ่งนี้ย่าจะพาพ่อไปดูที่ทางว่าเราทำอะไรไว้ตรงไหนบ้าง”
“คุณย่าใช้ผมได้ทุกอย่าง ผมเองก็จะทำอย่างสุดความสามารถ สิ่งไหนที่ผมไม่รู้ ผมก็พร้อมจะเรียนรู้ เพื่อจะนำมารับใช้คุณย่าให้ได้ครับ”
“เออ...พูดหวานดีจริง พ่อคงจะได้คำพูดหวานๆอย่างนี้มาจากแม่สินะ”
“ผมไม่ได้อยากจะพูดหวานๆนะครับคุณย่า ผมพูดทุกอย่างออกมาจากใจครับ”
“ถ้าอย่างนั้น ใจพ่อก็หวานด้วยสินะ”
ย่าหลานมองหน้ากันยิ้มให้กัน เป็นความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดที่ทั้งคู่ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อน
ดรุณีแอบย่องเข้ามามองซ้ายมองขวาก่อนจะหันไปเปิดตู้เย็น แล้วหยิบนมที่อยู่ในเหยือกมาเทใส่แก้วทรงสูงใบใหญ่จนแทบจะล้นออกมา แก้วเดินเข้ามาทัก
“อะ...แอ้ม”
ดรุณีสะดุ้งเฮือก
“หิวล่ะสิ กินข้าวเลยนะคะ เดี๋ยวน้าแก้วไปตักมาให้”
“หนูไม่หิว แค่...ไม่อยากให้ท้องว่างต่างหาก”
ว่าแล้วดรุณีก็ยกนมขึ้นดื่มอึกๆๆอย่างหิวจัด แก้วยิ้มส่ายหน้าแล้วเดินไป อาทิจเดินเข้ามายืนแทนที่แก้ว ชายหนุ่มอมยิ้มเมื่อเห็นดรุณีซดนมจนเกือบหมดแก้ว
“ท้องเสียแล้วดื่มนมเป็นลิตรเข้าไปอย่างนี้ ระวังจะอุจจาระราดทั้งคืนนะครับ”
ดรุณีแทบสำลักนมหญิงสาวหน้าตึงไหล่เชิดแล้วหันมาแหวใส่อาทิจทันที
“ใครบอกนายว่าฉันท้องเสีย”
“น้าแก้วหรือว่า ไม่ใช่ หรือว่าเป็นแค่ข้ออ้างที่จะไม่ลงมากินข้าวร่วมโต๊ะกับผม”
“ฉลาดเหมือนกันนี่ ในเมื่อฉันไม่ชอบหน้านาย ทำไมจะต้องอยู่ร่วมโต๊ะกับนาย”
“ผมก็ไม่รู้นะว่าคุณจะเลี่ยงอย่างนี้ไปได้สักกี่มื้อ เพราะสำหรับผม ถ้าคุณย่าท่านสั่งให้มา ผมก็ต้องมา ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ”
ดรุณีฉวยแก้วนมตั้งท่าจะออกไปกินที่อื่น ในขณะที่แก้วถือถาดใส่นมอุ่นมา 2 แก้ว เดินสวนมาอาทิจยังไม่วายแดกดัน
“ดื่มนมตอนหิวจัดๆก็ทำให้ปวดท้องได้นะครับ”
ดรุณีหันขวับกลับมา
“นายไม่ต้องยุ่งกับฉันได้มั้ย ไม่ต้องพูดกันเลยยิ่งดี”
อาทิจหันไปพูดกับแก้ว
“นมร้อนของคุณย่าใช่มั้ยครับ คุณย่าใช้ให้ผมมาเอา เดี๋ยวผมยกไปเอง”
อาทิจเข้ามารับถาดจากแก้ว แต่ไม่ทัน ดรุณีรีบฉวยไปซะก่อน
“นี่มันหน้าที่ประจำของฉัน ฉันดื่มนมกับคุณย่าทุกวัน ใครไม่เกี่ยว...ถอยไป”
แก้วอดแหย่ไม่ได้
“ไหนบอก...ไม่ต้องพูดกันเลยยิ่งดี แล้วนี่ใครพูดกับใครก่อนค้า”
ดรุณีหน้าม้าน หันมาค้อนใส่แก้ว ก่อนจะเดินถือถาดตึงๆ ออกไป แก้วหันมาพยักพเยิดให้อาทิจดูพฤติกรรมเด็กแสนงอนของดรุณี
ดรุณีถือถาดนมเดินเข้ามาจ๊ะจ๋ากับย่าแดง
“นมอุ่นๆมาแล้วคะคุณย่าขา”
ย่าแดงมองหา
“อ้าว...แล้วพ่ออาทิจล่ะ”
“แหม...คุณย่ามีเพื่อนดื่มนมคนใหม่แล้วลืมหนูไปเลยนะคะ”
“ที่ย่าถามเพราะย่าวานให้พ่ออาทิจไปเอามาให้ ย่าอยากให้พี่เขาชิมนมที่เรารีดจากวัวที่เราเลี้ยงเองกับมือ”
อาทิจเดินถือถาดใส่นมแก้วใหญ่เท่าเหยือกออกมาพร้อมกับน้าแก้ว ย่าแดงยิ้มบางๆ
“ดูท่าพ่ออาทิจจะชอบดื่มนมนะ ดี...ดี ดื่มเข้าไปเยอะๆจะได้แข็งแรง สู้งานหนักในไร่ในสวนไหว”
“แก้วนี้ของคุณณีครับ ผมเห็นว่าคุณณียังไม่ได้กินข้าวก็เลยขอน้าแก้วมาให้เป็นพิเศษ”
ย่าแดงเห็นด้วย
“เออ...จริงสิ ยังไม่ได้กินข้าวอย่างนี้ต้องเปลี่ยนแก้วกับพี่เขา”
ว่าแล้วย่าแดงก็สลับเอาแก้วเล็กที่อยู่ในถาดยื่นให้อาทิจ และรับนมแก้วใหญ่จากอาทิจมายื่นให้ดรุณี แก้วเย้าแหย่
“ดื่มเลยค่ะคุณณี ถือเป็นการดื่มต้อนรับคุณอาทิจมาอยู่ที่สวนคุณย่าค่ะ”
“เอ้า...ดื่มต้อนรับพ่ออาทิจด้วยกัน”
ย่าแดงยื่นแก้วไปตรงกลาง ทำให้อาทิจและดรุณีต้องชนแก้วกับย่าโดยปริยายทั้งสามคนพร้อมใจกันดื่มนม โดยที่ดรุณีหน้าตาเหยเก พะอืดพะอมเพราะนี่เป็นนมเหยือกที่ 2 ของเธอ
ต๊อดเดินวนไปวนมาเครียดจัด ก่อนจะระเบิดเสียงออกมา
“ทำไม...ทำไม ต้องเป็นพี่ต๊อดด้วยหา...น้องจิ๋วแจ๋ว”
“จิ๋วแจ๋วจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ก็คุณย่าท่านสั่งมาอย่างนี้ หรือพี่ต๊อดกล้าขัดคำสั่งคุณย่าล่ะ”
“ทำไมไม่เป็นคนอื่น ทำไมต้องเป็นไอ้ต๊อด”
จิ๋วแจ๋วส่ายหน้าที่เห็นต๊อดดิ้นเป็นไส้เดือน
ดรุณีโก่งคออ้วกพุ่งออกมาเป็นนมอยู่ที่ใต้ต้นไม้ข้างบ้าน เธอกัดฟันกรอด
“วันพระไม่ได้มีหนเดียว มีโอกาสเมื่อไหร่จะเอาคืนให้เจ็บเลย คอยดู”
ต๊อดเดินถือตะเกียงเนื้อตัวสั่น ตาก็คอยกวาดซ้ายกวาดขวามองไปรอบๆอย่างหวาดผวา ดรุณีหันมาเห็นร้องทัก
“นายต๊อด”
ต๊อดสะดุ้งโหยงหลับตาปี๋ ยกมือไหว้ปลกๆ
“ไปที่ชอบๆเถอะ ลูกยังไม่ทันเข้าเขตบ้านเลย ตามมาหลอกลูกถึงนี่เลยเหรอ”
“นี่ฉันเอง ดรุณี”
“ไม่เชื่อหรอก ผีนางตานีปลอมตัวมาเป็นคุณณีแหงๆ”
“ปัดโธ่...ลืมตามาดูก่อนสิว่านี่ผีหรือคน”
ต๊อดค่อยๆลืมตาขึ้นมาทีละข้าง
“แหะ...แหะ คุณณีจริงๆด้วย”
“นายมาทำอะไรแถวนี้”
ต๊อดเหลียวซ้ายแลขวายังผวาไม่หาย
ย่าแดงเดินมาส่งอาทิจ ในขณะที่ดรุณีเดินกลับขึ้นบ้านมา แก้วหอบหมอนกับผ้านวมหนาอย่างดีออกมา แล้วส่งให้อาทิจ
“เอาหมอนกับผ้านวมไปอีกชุดนะพ่ออาทิจ ตกดึกที่นี่จะหนาวมาก” ย่าแดงบอก
ดรุณีมองหยัน
“อาจจะไม่หนาวเพราะมีผีนางตานีมานอนกอดให้อุ่นทั้งคืนก็ได้ค่ะคุณย่า”
ย่าแดงหันไปปราม
“แม่ณีล่ะก็ ชอบพูดไร้สาระอยู่เรื่อย...อ้อ...ย่าลืมบอกไปว่าบ้านที่ให้พ่อนอนน่ะ ไม่มีไฟฟ้าใช้นะ ความที่มันอยู่ไกลจากเรือนนี้แล้วก็ไม่มีใครอยู่ประจำ ย่าเลยไม่ได้เดินสายไฟไปที่นั่น ถ้าพ่อรู้สึกไม่สะดวกล่ะก็ บอกย่านะ”
“เท่าที่คุณย่าเมตตาผมก็เป็นพระคุณอย่างสูง ผมไม่ต้องการอะไรแล้วครับ”
ดรุณี แกล้งหาวเสียงดัง เพราะหมั่นไส้คำพูดที่ดูเป็นคนดี๊ดีของอาทิจ
“หนูง่วงแล้ว ไปนอนกันเถอะค่ะคุณย่า”
“ไปสิลูก” ย่าแดงบอกกับอาทิจ “หลับให้สบายนะพ่อนะ”
อาทิจยิ้มรับ
“ขอบคุณครับคุณย่า”
ดรุณีเกาะแขนแสดงความสนิทสนมกับย่าแดงให้อาทิจเห็น ก่อนจะพาเดินออกไป แก้วส่งตะเกียงให้
“น้ำมันตะเกียงใกล้หมดแล้ว คุณอาทิจไปเติมที่บ้านนะคะ น้าแก้วให้คนงานเอาไปให้ตั้งแต่เย็นแล้วค่ะ”
อาทิจรับตะเกียงมา
“ขอบคุณมากครับน้าแก้ว”
อาทิจที่มือหนึ่งหิ้วตะเกียง อีกมือหนึ่งหอบหมอนกับผ้าห่มเดินดุ่มๆ ตรงไปบ้านพัก ชายหนุ่มชะงักเมื่อเห็นว่าบ้านพักของตนตั้งอยู่ท่ามกลางความมืดสลัวของเงาต้นไม้ใหญ่และใบไม้ที่โบกไหวไปมา
อาทิจเพิ่งตระหนักว่าทำไมทุกคนถึงได้กลัว เพราะในยามค่ำคืน บ้านหลังนี้มันก็ดูน่ากลัวสมคำร่ำลือจริงๆ อาทิจนึกถึงคำพูดของจิ๋วแจ๋วที่บอกกับเขาเมื่อตอนเย็น
‘ก็...เขาลือกันว่าบ้านนี้ผีดุน่ะสิคะ ผีนางตะเคียนกับผีนางตานีน่ะค่ะ’
อาทิจนึกถึงคำพูดของ ดรุณีเมื่อครู่
‘อาจจะไม่หนาวเพราะมีผีนางตานี มานอนกอดให้อุ่นทั้งคืนก็ได้ค่ะคุณย่า’
อาทิจพยายามตั้งสติข่มความกลัวที่ผุดขึ้นมาดื้อๆซะงั้น
“เราไม่เคยลบหลู่ ไม่เคยคิดร้ายหรือทำร้ายใคร คงไม่มีใครคิดร้ายหรือทำร้ายเรา ไม่ว่าคนหรือ ผะ...ผี”
อาทิจสูดหายใจลึกแล้วก้าวไปข้างหน้าช้าๆอย่างมีสติ มุ่งมั่น แต่พอถึงชานบ้าน เขาก็ใส่เกียร์สี่กระโจนและเผ่นทะยานหายวับเข้าบ้านไปในบัดดล
อาทิจงับประตูปิด ชายหนุ่มยืนหอบอยู่ชั่วครู่ก่อนจะถอนใจโล่งอก แล้ววางหมอนกับผ้าห่มลงบนเตียง หลังจากนั้นจึงวางตะเกียงลงบนโต๊ะเขียนหนังสือเล็กๆ แล้วมองหาแกลลอนน้ำมัน
“น้าแก้วบอกให้คนงานเอามาวางไว้แล้วนี่ อยู่ไหนล่ะ”
อาทิจมองหา แล้วจู่ๆก็มีมือถือแกลลอนน้ำมันเข้ามายื่นให้ อาทิจเหลือบไปมอง
“ขอบใจนะ”
อาทิจรับแกลลอนน้ำมันมา กำลังจะเปิดเทใส่ตะเกียง แต่แล้วเขาก็ชะงักกึก...ใครส่งให้ อาทิจค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามอง ผีคลุมผ้าขาวหน้าขาว แลบลิ้นยาวแดงพุ่งเข้ามาแฮ่ใส่ อาทิจผงะใจหายไปอยู่ที่ตาตุ่มแต่ก็ยังอุตส่าห์ถีบผีร้ายเข้าเต็มรักด้วยความตกใจสุดขีด
“ผี!”
ผีร้ายกระเด็นไปนอนจุกตัวงออยู่มุมห้องพร้อมกับร้องโอดโอย อาทิจยืนตั้งสติอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเดินเข้าไปชะโงกดู ผีร้ายผวาลุกขึ้นนั่งแล้วยกมือไหว้ปลกๆ ต๊อดหลุดปากเผยกำพืดตัวเองอย่างลืมตัวกลัวตาย
“อย่าเฮดข้อย...ข้อยย่านแล่ว อย่าฆ่าข้อยเด้อ”
อาทิจงงเแต่ก็เอาวะ ลองส่งภาษาดู จะได้รู้ไปเลยว่านี่ผีหรือคน อาทิจเว้าลาวกลับ
“แม่นผีหือค๊น”
“ค๊นครับบ่แม่นผี”
ต๊อดชะงักกึกเหมือนโลกหยุดหมุน
“นายเว้าล้าวได้ตี้!”
อาทิจงงมาก
“เป็นคนแล้วแต่งผีมาเฮดหยังเน๊าะ”
ต๊อดนั่งเจี๋ยมเจี้ยมอยู่กับพื้น อาทิจนั่งบนเตียง
“คุณแม่ฉันเป็นคนขอนแก่น แต่งงานกับคุณพ่อแล้วก็ย้ายไปประจำอยู่หลายที่ตอนนี้ปักหลักอยู่ที่ปากช่อง”
ต๊อดกระโดดขึ้นมากอดอาทิจ แล้วเว้าลาวใส่โลด
“โอ๊ย...ดีใจหล้ายหลาย ได้เจอคนบ้านเดียวกันแหมะ ม่วนซื้นม่วนซื่น”
ต๊อดทั้งกอดทั้งลูบแขนจับมืออาทิจแน่น จนชายหนุ่มงงกับอาการดีใจจนออกนอกหน้าของต๊อด ต๊อดเริ่มรู้สึกว่าตัวเองตีเสมอเจ้านาย เลยคลานลงไปนั่งกับพื้นเหมือนเดิมก่อนจะเว้าลาวแนะนำตัวเองต่อ
“ผมค่นสารคามครั่บ เกิดที่นั่นแต่โตหน่อยก็หนีออกจากบ้าน แล้วร่อนเร่ทำงานที่นั่นที่นี่ จนสุดท้ายก็มาเป็นคนงานอยู่ที่สวนคุณย่านี่ก็เข้า 4 ปีแล้ว ยังไงต๊อดก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ...นาย”
ต๊อดบีบนวดขาให้น่ารักน่าเอ็นดูราวเหมียวน้อยกำลังเคล้าแข้งเคล้าขาประจบเจ้านาย อาทิจพูดภาษาอิสานใส่
“แล้วมาที่นี่ทำไมดึกๆดื่นๆ”
“คุณย่าใช้ให้ต๊อดมานอนเป็นเพื่อนคุณอาทิจครับ”
“แล้วคุณย่าใช้ให้แต่งผีมาหลอกด้วยงั้นเหรอ”
ต๊อดยิ้มแหะๆ
“มีคนวานให้มาหลอกครับนาย”
อาทิจรู้ได้ในทันทีว่า คนที่วานมา จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากดรุณี ขณะเดียวกันนั้น ดรุณีซึ่ง
ปีนต้นไม้แอบดูอยู่ด้านนอก กระโดดลงมาจากกิ่งไม้แล้วเปรยอย่างไม่สบอารมณ์
“เจ้าต๊อดนะเจ้าต๊อด ใช้ให้มาหลอกผีกลับมาจับมือจูบปากเขาซะนี่”
ดรุณีก้าวออกมา แต่ยังไปได้ไม่ถึงสองก้าว กิ่งไม้แห้งกิ่งหนึ่งก็ตกลงมาใส่หลัง หญิงสาวผวาแหกปากร้องตกใจสุดขีด
“ผะ...ผีหลอก”
อาทิจโผล่มายืนดูที่หน้าต่าง ในขณะที่ดรุณีเอามือปิดปากตัวเอง แล้ววิ่งหน้าตั้งผมตั้งออกไป อาทิจขำแล้วเปรยตามหลัง
“ไม่ใช่ผีนางตานีแต่เป็นผียัยดรุณีนี่เอง”
อาทิจส่ายหน้าไปขำไป ก่อนจะหันกลับมาในห้องแล้วต้องร้องจ๊ากสุดเสียง เมื่อหน้าตัวเองป๊ะกับ
หน้าผีของต๊อดชนิดจมูกแทบชนกัน
“เฮ้ย” อาทิจผงะออกมาตั้งสติ “นายไปล้างหน้าล้างตาก่อนไป ไม่งั้นอาจจะโดนถีบอีกโดยไม่ได้ตั้งใจ”
ต๊อดหัวเราะร่วน
“แค่เอาแป้งเย็นทา เอารุสติกมาเขียนหน้าเขียนตานิดหน่อย มันน่ากลัวมากขนาดนั้นเลยหรือนาย”
ต๊อดขำกลิ้งแต่พอหันมาเห็นหน้าตัวเองในกระจกที่แขวนอยู่ที่ฝาด้านหนึ่งก็แหกปากกรี๊ดลั่น
“กรี๊ดด”
เช้าตรู่ของวันใหม่ ดรุณีเดินลงมาจากชั้นบนแล้วมองหาย่าแดง จนมาเจอแก้วกำลังเช็ดถ้วย แก้ว และจานซึ่งเพิ่งล้างเสร็จที่มุมเตรียมอาหาร
“คุณย่าล่ะคะน้าแก้ว”
“อ๋อ...พอรับข้าวต้ม...ดื่มน้ำเต้าหู้กับคุณอาทิจเสร็จ ก็พาคุณอาทิจไปที่สวนตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเลยค่ะ”
ดรุณีชักสีหน้าทันที
“ประจบกันจนดึกดื่นยังไม่พอ ยังจะตามมาประจบกันแต่เช้าอีก”
“คุณณีก็ตามไปประจบกับเขาอีกคนสิค้า”
“ไม่ล่ะน้าแก้ว เชิญหลานคนโปรดสอพลอคุณย่าไปคนเดียวเถอะ”
ดรุณีเดินไปกระแทกตัวลงนั่งที่มุมห้องอย่างขัดใจ แก้วเหล่มองแล้วแอบยิ้มขำ ในความเอาแต่ใจของหญิงสาว
อาทิจประคองมือย่าแดงซึ่งเดินเท้าเปล่าย่ำลงบนแนวหญ้าที่ขึ้นอยู่ข้างสวน คนงานที่กำลังทำงานต่างพากันหันมามองเมื่ออาทิจเดินผ่าน...หนุ่มน้อยหน้าตาดีคนนี้เป็นใคร
“คุณย่าเดินเท้าเปล่าในสวนอย่างนี้ทุกวันหรือครับ”
“จ้ะ ใส่รองเท้ามาทั้งวันแล้วก็เปิดให้เท้าได้หายใจ ได้สัมผัสกับพลังธรรมชาติของน้ำค้างบนยอดหญ้าบ้าง ย่าว่ามันทำให้จิตเราสงบ เย็นกายเย็นใจ แล้วมันก็ทำให้หายล้าด้วย ย่าเคยอ่านหนังสือเห็นฝรั่งเขาวิจัยว่า การเดินอย่างนี้ยังช่วยล้างพิษออกจากร่างกาย ทำให้เลือดไหลเวียนดีแล้วก็แข็งแรงด้วย”
“คงจะจริงครับ เพราะคุณย่ายังแข็งแรงอยู่เลย”
“ต้องแข็งแรง ไม่อย่างนั้นใครจะดูแลสวนเป็นพันไร่แถมคนงานอีกเป็นร้อยๆคนล่ะลูก แม่ณีเองก็ยังเรียนไม่จบ ลูกหลานคนอื่นก็ไปเอาดีทางรับราชการกันหมด เหมือนพ่อเรานั่นแหละ แล้วพออยู่พอกินมั้ยล่ะ”
“ถ้าคุณแม่ไม่ช่วยปลูกผักทำขนมขายก็ไม่พอครับคุณย่า คุณพ่อท่านไม่เคยรับเงินใต้โต๊ะจากใคร ไม่เคยโกงใคร เงินเดือนที่ท่านได้เป็นเงินจากหยาดเหงื่อแรงงานบริสุทธิ์ของท่านจริงๆ”
“นั่นเป็นข้อดีที่พ่อเราได้จากคุณปู่ คุณปู่ท่านเป็นคนตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์มาก ย่าหวังว่าพ่ออาทิจจะได้เลือดคุณปู่มาเหมือนกัน”
“ผมได้เลือดคุณย่ามาด้วยครับ ผมอยากเป็นชาวไร่ชาวสวน และผมจะเป็นชาวไร่ชาวสวนที่ดีแบบคุณย่าครับ”
ย่าแดงหันมามองอาทิจจับมือชายหนุ่มบีบแน่น แล้วยิ้มให้อย่างเอ็นดู
ดรุณีนั่งอ่านตำราเรียนอยู่ที่ระเบียงได้เพียงครู่เดียว สมาธิก็แตกกระสานซ่านเซน หญิงสาวลุกขึ้นยืนชะเง้อมองไปที่สวนส้ม แล้วก็เดินไปเดินมาสลับคอยื่นคอยาวอยู่นั่น แก้วยกถาดอาหารเข้ามาเตรียมจัดวางบนโต๊ะ ในขณะที่จิ๋วแจ๋ววิ่งหน้าตั้งเข้ามา
“คุณณีคะ มากินข้าวเถอะค่ะ”
“หนูจะรอคุณย่าก่อนค่ะน้าแก้ว”
จิ๋วแจ๋วยืนหอบ
“ไม่ต้องรอหรอกค่ะคุณณี คุณย่าใช้ให้จิ๋วแจ๋วมาบอกว่าท่านกับคุณอาทิจจะกินข้าวกับคนงานที่สวนส้มเลยค่ะ”
ดรุณีฉุนกึก
“คนอะไรไม่รู้จักกาลเทศะ แทนที่จะพาคุณย่ากลับมาพักที่บ้านก่อน ดันชวนคุณย่ากินข้าวกับคนงานซะนี่”
“คุณอาทิจไม่ได้ชวนนะคะ คุณย่าค่ะที่เป็นฝ่ายชวนคุณอาทิจให้กินข้าวที่นั่น” จิ๋วแจ๋วแย้ง
ดรุณีหน้าเจื่อน แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้
“แต่นายนั่นก็น่าจะรู้นี่ คุณย่าอายุตั้งเท่าไหร่แล้ว พาไปทรมานเดินดูนั่นนี่เป็นค่อนวัน ท่านก็ต้องเหนื่อย”
“ไม่เหนื่อยค่า จิ๋วแจ๋วเห็นมากับตา ท่านดูมีความสุขมากค่ะที่ได้แนะนำคุณอาทิจให้รู้จักกับคนงานในสวน เดินจูงมือกันคุยกันนุ๊งนิ้งเชียวค่า”
ดรุณีลมพุ่งออกหู ไม่ต่างจากกาต้มน้ำที่กำลังเดือดแก้วตัดบท
“ถ้างั้นก็มากินข้าวได้แล้วค่ะคุณณี น้าแก้วเตรียมเสร็จแล้ว...มาค่ะ”
“ไม่กงไม่กินแล้ว หนูจะไปอ่านหนังสือ”
ดรุณีคว้าตำราเรียน แล้วเดินกระแทกเท้าออกไป แก้วตะโกนแซวตามหลัง
“กลางคืนก็ไม่กินกลางวันก็ไม่กิน ระวังจะไม่มีแรงเอาใจคุณย่า เดี๋ยวไล่ตามคุณอาทิจไม่ทันแล้วจะหาว่าน้าแก้วไม่เตือนนะค้า”
ดรุณียกมือขึ้นปิดหู ทนฟังไม่ได้ หญิงสาวรีบจ้ำออกไป
อาทิจส่งมือรับย่าแดงก้าวขึ้นมาจากแปลงสตรอเบอรี่ล็อคหนึ่ง
“เดี๋ยวผมพาคุณย่ากลับไปพักที่บ้านก่อนนะครับ ที่เหลือผมขับรถวนดูคนเดียวได้ครับ”
“ไม่เป็นไร ย่าไม่เหนื่อยหรอก มันเหนื่อยจนชินซะแล้ว”
“ความจริงผู้ใหญ่วัยคุณย่า น่าจะได้พักผ่อนอยู่กับลูกหลานที่บ้านแล้วนะครับ”
“ให้นั่งนอนอยู่เฉยๆอย่างนั้น ย่ากลัวจะเป็นง่อยเอาน่ะสิ ได้ลุกมาทำงานอย่างนี้น่ะดีแล้ว ทำแล้วมันชื่นใจ ย่าว่างานที่เราทำมันเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ที่สุดแล้ว”
“ผมอยากมีพลังอย่างคุณย่าบ้างจัง ความมุ่งมั่น อดทน ทดลองและรอคอยมันไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ คุณย่าได้แรงบันดาลใจยิ่งใหญ่แบบนี้มาจากไหนกันครับ”
ย่าแดงยกมือไหว้ท่วมหัว
“ในหลวงยังไงลูก พูดกันตามภาษาชาวบ้าน ท่านเป็นถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านยังไม่เคยได้อยู่สุขสบายทั้งๆที่ท่านจะทำอย่างนั้นก็ย่อมได้ ท่านเหนื่อยยากทุกอย่างเพื่อทำให้ชาวไร่ชาวสวนอย่างพวกเราได้อยู่ดีกินดี พวกเราก็ต้องตอบแทนความรักความเมตตาของท่าน ด้วยการนำสิ่งที่ท่านสอนท่านให้มาปรับใช้อย่างเหมาะสม ด้วยความรักความศรัทธาในผืนดินที่เราทำกิน”
“ไร่สตรอเบอรี่ของคุณย่าก็คงได้รับแรงบันดาลใจมาจากท่านเหมือนกันใช่มั้ยครับ”
ย่าแดงมองแปลงสตรอเบอรี่ขั้นบันไดเต็มผืนเขาอย่างภูมิใจ
“ใช่จ้ะ...เมื่อหลายสิบปีก่อน ไม่มีใครคิดว่าจะปลูกอะไรบนยอดดอยอย่างนี้ได้หรอก นอกจากฝิ่น จนท่านเสด็จมาที่นี่ นำความรู้มาเผยแพร่ นำพันธุ์ผลไม้เมืองหนาวมาให้ปลูก ทดลองอยู่หลายครั้งหลายหน กว่าจะออกดอกออกผลสมบูรณ์ได้ ต้องใช้เวลาไม่น้อย แต่พอเราทำได้ เราก็ปลื้มใจชื่นใจ”
“ผมจะนำแรงบันดาลใจที่คุณย่าได้รับจากพระองค์ท่าน มาเป็นคติประจำใจในการทำงานครับ”
“ดีแล้วล่ะพ่อ...ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน ย่าชื่นชมยกย่องคนที่ลงมือทำมากกว่าคนที่ดีแต่พูด ยิ่งคนที่ลงมือทำแล้วไม่เคยพูดโอ่อวด ทำอย่างคนที่ปิดทองหลังพระด้วยความเต็มใจ คนอย่างนี้คือคนที่ย่าเคารพบูชาและพร้อมจะกราบไหว้ได้ทุกเวลา พ่ออาทิจเลือกได้นะลูกว่าเราจะเอาแต่พูด หรือจะลงมือทำ”
“ผมพูดไม่เก่ง แต่รักที่จะลงมือทำ และอยากจะทำให้คุณย่าได้เห็นครับ”
“ย่าจะรอดู หวังว่าพ่ออาทิจจะช่วยสานต่องานที่เป็นประโยชน์อย่างนี้ไปจนชั่วลูกชั่วหลานนะ”
“ผมจะพยายามเต็มที่ จะพยายามอย่างสุดชีวิตสุดหัวใจครับคุณย่า”
ย่าแดงลูบหัวหลานชายเต็มไปด้วยความหวัง ท่ามกลางแนวขั้นบันไดของหมู่มวลสตรอเบอรี่ที่ปลูกเรียงรายเต็มไปทั้งดอย
จบตอนที่ 1 โปรดติดตามตอนต่อไป