ดอกโศก ตอนที่ 4
ดอกโศก กับอัศนัย พากันมาอยู่ในร้านไอศกรีมแห่งนั้น มีลูกค้าโต๊ะอื่นนั่งอยู่ในร้านพอประมาณ ไม่แน่นนัก
ดอกโศกทานไอศกรีมหมดไปถ้วยหนึ่ง อัศนัยเลื่อนให้อีกถ้วย ดอกโศกทำหน้าแทนคำพูดว่า “ให้อีกถ้วยเหรอ” อย่างน่ารัก
อัศนัยพยักหน้า เลื่อนเข้าไปใกล้อีก ดอกโศกพนมมือไหว้ ตักไอศกรีมกิน ใบหน้ายิ้มมีความสุข
อัศนัยเย้า “มีความสุขจริงนะ”
“ค่ะ”
“ไม่เหมือนเมื่อวาน”
ดอกโศกหัวเราะเบาๆ “ค่ะ ไม่เหมือน”
“ดอกโศก คุณนัยอยากให้ดอกโศกกลับไปอยู่บ้านคุณตา”
ใบหน้าดอกโศกค่อยๆ คลายยิ้ม “บอกคุณนัยแล้วไงว่าไม่กลับ”
อัศนัยนิ่ง สายตาเป็นห่วง ดอกโศกสบตาสักครู่
“ทำไมคะ” ถามเสียงแผ่วเบา
“เพราะ......” อัศนัยทอดเสียงนิ่งคิด “คุณนัยคิดว่าที่นั่นเป็นที่ที่ดีกว่าอยู่ที่บ้านยาย”
“ดีกว่ายังไงคะ” สีหน้าฉงน
“ดอกโศกจะได้อยู่บ้าน...ที่ดี หมายความว่าบ้านอยู่สบายสิ่งแวดล้อมดี เธอต้องเรียนหนังสือนะ ที่บ้านยายไม่เหมาะกับนักเรียน”
ดอกโศกยิ้มเยื้อน สีหน้าหยันๆ ลึกๆ เสมองไปทางอื่น...ไม่ยอมตอบ
เห็นอาการอัศนัยก็รู้ทันอารมณ์ดอกโศก “ไม่ลืมหรอกว่าคนที่บ้านคุณตาเกลียด แต่คนที่บ้านยายรักดอกโศกเหรอ น้าปอง น้าหมาย ตาหรือแม้แต่ยาย...รักมากมั้ย”
“เค้าไม่รัก แต่เค้าไม่เกลียด” ดอกโศกแย้ง
“เอาล่ะ จะอยู่กับยายก็ได้แต่ให้คุณนัยออกค่าเล่าเรียนให้ โรงเรียนนี้ค่าเทอมแพงมาก คุณนัยไม่อยากเห็นดอกโศกแก้ปัญหาโดยวิธีออกจากโรงเรียนนะ”
“ถ้าไม่มีค่าเรียนก็ต้องออกแน่ค่ะ” นัยน์ตาดอกโศกขณะพูดมั่นคงนัก
อัศนัยนัยน์ตาขุ่นมัว น้อยใจลึกๆ “แปลว่าไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากคุณนัย”
“ไม่ค่ะ” ดอกโศกตอบเสียงแผ่ว
อัศนัยเสียใจ มองจ้องแน่นิ่ง
“ขอโทษนะคะ” ดอกโศกพนมมือ แล้วลุกเดินออกไปจากร้านทันที
อัศนัย หยิบเงินค่าไอศกรีมวางไว้ แล้ววิ่งตามออกไป
รถอัศนัยยังจอดนิ่งอยู่ในที่จอดรถ ทั้งสองคนขึ้นมานั่งอยู่ในรถแล้ว อัศนัยมีสีหน้าหงุดหงิด สตาร์ทรถแต่แล้วดับเครื่อง หันมาทางดอกโศก
“ออกจากโรงเรียน...โง่มาก” เสียงกร้าวนิดๆ
“จำเป็นนี่คะคุณนัย” ดอกโศกบอก
“จำเป็นยังไง คุณนัยบอกแล้วว่าจะออกค่าเรียนให้”
“ดอกโศกก็บอกคุณนัยแล้วไม่รับค่ะ”
อัศนัยพยายามระงับอารมณ์ “เพราะอะไรบอกคุณนัยได้ไหม”
ดอกโศกนิ่ง สีหน้าอึดอัด
“ดอกโศก ไม่เห็นว่าคุณนัยหวังดีต่อดอกโศกเหรอ ตลอดเวลาตั้งแต่ดอกโศกเด็กๆ จนถึงเดี๋ยวนี้ไม่เคยเห็นเลยหรือ” น้ำเสียงตัดพ้อ
“เห็นค่ะคุณนัย ไม่มีใครดีกับดอกโศกเท่าคุณนัย ไม่เคยลืมเลยนะคะ” ดอกโศกหันมามองหน้าอัศนัยด้วยสายตาอ่อนละมุน “ดอกโศกจำได้ทุกอย่าง จำได้ทุกอย่างจริงๆ นะคะ”
ภาพอดีตครั้งนั้นผุดพร่างขึ้นมา...เป็นภาพเด็กหญิงดอกโศก ก้าวลงจากรถที่อัศนัยเปิดประตูคอยอยู่หน้าตึก อัศนัยจูงมือพาเดินขึ้นบันได ดอกโศกแจ่มใสยิ้มกว้างกับอัศนัย
ภายในรถที่จอดหน้าตึกแล้วนั้น สองคนยังนั่งอยู่หน้ารถ
“วันแรกที่ดอกโศกมาบ้านคุณนัย ลงรถตรงนี้จำได้ว่าต้นไม้ต้นนี้ยังเล็กนิดเดียว”
“อ๋อ วันที่คุณนัยพาดอกโศกออกมาจากโบสถ์ของคุณพ่ออันโตนิโย”
“วันที่ 1 มกรา ปีสี่สี่” ดอกโศกจำได้แม่น
“วันเกิดของดอกโศก กี่ขวบนะวันนั้น”
“วันนั้น 9 ขวบค่ะ อยู่ชั้น ป. 5”
“ถึงวันนี้ 7 ปีแล้วสินะ อายุ 16 แล้วนะเรา” อัศนัยเย้า
ดอกโศกยิ้มน่ารัก “แก่เนอะ”
“เดี๋ยวเหอะ....ว่าใครแก่”
ดอกโศกหัวเราะเสียงใส ชี้หน้าอัศนัย อัศนัยจับนิ้วชี้ดอกโศกสั่นๆ โยกๆ
“ลงได้แล้ว”
เวลาไม่นานหลังจากนั้นเทียน 10 เล่มจุดบนขนมเค้กดอกไม้สีสวย ดอกโศกเป่าเทียน ฟู่ ใบหน้ายิ้มแฉ่ง หม่อน หมื่น ตบมือ หัวเราะเสียงประสานกันอย่างร่าเริง
“คุณหนูดอกโศกนะป้าหม่อน”
“น่ารักจริง ลูกเต้าเหล่าใครคะคุณนัย” หม่อนยิ้ม ถามตาม
“ไม่ต้องรู้หรอกป้าหม่อน รู้แค่ว่าคุณหนูดอกโศกเป็นเด็กดี เด็กอดทน เด็กขยัน” อัศนัยแตะ เชยคางขณะพูด ดอกโศกพยักหน้ารับทุกคำ “และที่สำคัญเป็นเด็กที่พูดรู้เรื่อง ที่สุด มีเหตุผลที่สุด ใช่มั้ย” อัศนัยมองจ้องหน้า
ดอกโศกจ้องตอบ นัยน์ตาดื้อเงียบ
ใบหน้าดอกโศกยามนี้ ไม่ต่างจากเมื่อ 7 ปีก่อน นัยน์ตาดื้อเงียบประมาณเดียวกัน
อัศนัยจ้องแล้วอ่อนใจ “ได้นัยน์ตาอย่างเนี้ยสิ กลัวใจจริงๆ”
ดอกโศกพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คุณนัยคะ ดอกโศกจะพูดให้คุณนัยเชื่อว่า ดอกโศกไม่เคยลืมที่คุณนัยพูดเลย วันนั้นคุณนัยบอกว่าดอกโศกเป็นเด็กอดทน ขยัน พูดรู้เรื่องแล้วก็มีเหตุผลใช่มั้ยคะ”
อัศนัยประชด “ชักจะไม่แน่ใจเสียแล้ว”
ดอกโศกพูดเสียงเบา แต่มั่นคง “ดอกโศกไม่อยากอยู่บ้านคุณตา แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่าคนที่นั่นไม่อยากให้ดอกโศกอยู่ ถ้าเขาอยากให้อยู่คุณนัยคิดว่าดอกโศกจะไม่อดทนอยู่หรือคะ”
“คุณตาอยากให้อยู่ไม่งั้นท่านจะไปตามที่โรงเรียนหรือ” อัศนัยท้วง
“คุณตาเป็นคนที่ต้องทำแต่สิ่งที่ถูกเสมอ พลเอกสุดเขต รัตนชาติพัลลภ ทำผิดไม่ได้”
“ถ้าที่คุณตาทำ...ถูกต้อง ทำไมหลานคุณตาถึงไม่กลับบ้าน”
“เพราะดอกโศกรู้ว่าคุณตาไม่ได้ทำโดยใจจริง คุณตารู้ว่าดอกโศกออกจากบ้านเพราะคุณตา คุณตาจำเป็นต้องไปตามดอกโศกค่ะ เพื่อให้ใครๆ เห็นว่าคุณตาทำตามหน้าที่แล้ว” พูดจากความรู้สึก
“ดอกโศก คุณนัยไม่คิดว่าคุณตาของดอกโศกจะใจร้ายขนาดนั้น ดอกโศกประเมินน้ำใจคุณตาผิดไปหรือเปล่า”
ดอกโศกจุกในอกนิ่งงันไป น้ำตารื้นขึ้นมาจางๆ
อัศนัยถอนหายใจแรงๆ
“คุณนัยไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของดอกโศกหรอกค่ะ”
“บอกคุณนัยสิว่ามันเป็นยังไง”
“ความรู้สึกของคนที่ไม่มีใครต้องการไงคะ” น้ำเสียงนั้นสั่นสะท้าน ดอกโศกยกมือปิดหน้าด้วยทั้งสองมือเงียบงัน
อัศนัยรู้สึกตื้นขึ้นมาในอก ตบไหล่ดอกโศกเบาๆ กิริยาผู้ใหญ่ปลอบเด็ก
ดอกโศกสะอื้น ทั้งๆที่มือยังปิดหน้าอยู่
“อย่าร้อง...อย่าร้องนะดอกโศก คุณนัยขอโทษ”
ดอกโศกเอามือลง น้ำตานองเต็มหน้า อัศนัย พึมพำ ขอบคุณ หยิบกระดาษมาซับน้ำตา
อัศนัย หยิบกระดาษมาอีกแผ่น เช็ดน้ำตาให้เบาๆ แบบผู้ใหญ่เช็ดน้ำตาให้เด็ก
อีกเหตุการณ์ในอดีตที่ยังผุดพรายต่อเนื่อง ในสวนที่บ้านอัศนัย เมื่อในวันนั้น มืออัศนัยเช็ดน้ำตาให้ดอกโศก เด็กหญิงสะอื้นแผ่วๆ
“บอกแล้วว่าอย่าวิ่ง ดูสิ” ดอกโศกมีแผลที่หัวเข่า “เลือดออกเต็มเลย เจ็บมั้ย”
“เจ็บค่ะ...แต่ทนได้”
อัศนัยจ้องหน้า สีหน้ามองเหล่ๆ รับสำลีชุบแอลกอฮอลล์จากหม่อนมาเช็ดทันที
“ทนได้จริงๆ...อูย”
“ปลาสเตอร์ครับ คุณนัย” หมื่นส่งให้
“อย่าร้อง...เก่งนักใช่มั้ย”
ในสวนที่แห่งเดิมกับในอดีต สองคนนั่งเก้าอี้สนาม
อัศนัยนึกมองไปในอดีตขณะเอ่ยขึ้น “ตรงนั้นน่ะ จำได้มั้ย วันนั้นน่ะ วันที่มาบ้านนี้เป็นวันแรก”
“จำได้ค่ะตอนคุณนัยทาแอลกอฮอล์ ดอกโศกแสบมาก คุณนัยรู้มั้ย”
อัศนัยหัวเราะขำเบาๆ “เพราะดอกโศกดื้อ อะไรที่คิดว่าตัวเองถูกก็จะทำ ไม่มีวันหยุดเพราะใครเตือน”
“ดอกโศกหยุดเพราะคุณนัยเตือนตั้งหลายอย่าง”
อัศนัยพยักหน้า พอใจ “งั้น...คุณนัยเตือนอีกอย่าง”
ดอกโศกสวนทันที “ไม่ให้ลาออกจากโรงเรียน”
“ใช่..จะทำตามมั้ย”
“ค่ะ...ดอกโศกจะไม่ออกจากโรงเรียน”
“ดีมาก...คุณนัยขอบใจมาก เพราะคุณนัยกลัวเรื่องนี้มากกว่าที่ดอกโศกจะไม่กลับบ้านคุณตาเสียอีก”
ดอกโศกไหว้ “ขอบคุณค่ะ”
“คุณนัยจะไปจ่ายเงินค่าเทอมที่โรงเรียน หรือว่าดอกโศกจะไปจ่ายเอง”
“คุณนัยไม่ต้องจ่ายค่าเทอมหรอกค่ะ”
“ทำไม” อัศนัยตวัดเสียงทันที
“ยายเคยให้ดูสายสร้อยของพ่อ มันเป็นทอง..เส้นใหญ่มากค่ะ ดอกโศกจะขาย”
อัศนัยขัดทันที “ไม่ต้องขาย คุณนัยจ่ายค่าเทอมเอง”
“ไม่ค่ะ ดอกโศกจะออกเอง”
“ของพ่อของแม่เขาไม่ให้ขาย”
“ขายได้ค่ะ สายสร้อยนั่นไม่มีความหมายอะไร”
“ทำไมจะไม่มีความหมาย ของพ่อ...” อัศนัยปราม
“พ่อคือใครล่ะคะ” น้ำเสียงมีอารมณ์ ขณะที่ดอกโศกพูดสวนทันควัน
อัศนัยนิ่งอึ้งไปทันที
ดอกโศกยิ้มทั้งน้ำตา น้ำเสียงมั่นคงแต่ไม่มีเสียงสะอื้นให้ได้ยินเลย แค่สั่นๆ “ดอกโศกเคยถามเรื่องพ่อเรื่องแม่กับยาย...จนเดี๋ยวนี้ไม่ถามเพราะ..ไม่อยากรู้ ไม่ต้องมีพ่อมีแม่ก็ได้ ถึงยังไงก็เกิดมาแล้ว”
อัศนัยพูดไม่ออก
“คุณนัยให้พี่หมื่นไปส่งดอกโศกนะคะ”
“ทำไม...คุณนัยจะไปส่งเอง”
“คุณนัยมีแขกนี่คะ ป้าหม่อนบอกเมื่อกี้ว่ามีแขกคอยคุณนัยอยู่ข้างบน” ดอกโศกว่า
ในขณะที่อัศนัยก้าวยาวๆ ขึ้นบันไดไป หม่อนยืนอยู่กับดอกโศกที่หน้าตึกแล้ว ใกล้ๆ สปอร์ตของอัศนัย หมื่นถือกุญแจวิ่งลงมา
“ไอ้หมื่น เอารถสีดำไป...” หม่อนกระแนะกระแหนลูกชาย “หนอยจะขับรถซะปอดรึแก”
“ทำไมจะขับไม่ได้” หมื่นพูดจบหันหลังกลับไปทันที “โธ่เอ๊ย...เขาไม่ขับเองหรอกแม่”
“ประหลาดจริง บ้านช่องไม่กลับ คุณนัยจะได้ไปส่งคุณหนู” หม่อนจ้องหน้าเหมือนจะให้ดอกโศกถาม
ดอกโศกไม่ต่อความ ได้แต่ยิ้มๆ
“เค้าเป็นเพื่อนเก่าของคุณนัย...” หม่อนอธิบาย
ดอกโศกหันไปทางอื่น...ไม่ถาม
หม่อนมองไปข้างบน พึมพำเบาๆ “ถ่านไฟเก่าน่ากลัวจริงๆ”
อัศนัยเคาะประตูห้อง ปรียากมลเปิดให้ ทั้งคู่ยืนอยู่แค่ประตูห้อง
“อะไรกัน อยู่อย่างนี้ตั้งแต่เมื่อคืนเหรอ นี่มันเย็นแล้วนะ”
“เปล่า เพิ่งใส่เมื่อเช้า”
“จะกลับหรือยัง”
“อย่าเสียมารยาทขนาดนั้น ฉันกลับแน่วันนี้”
“ดี”
“นี่คุณกลัวฉันมากเลยหรืออัศนัย” ปรียากมลจ้องเข้าในดวงตา
“ทำไมผมต้องกลัวคุณ”
“ไม่รู้ ดูคุณไม่อยากอยู่ใกล้ฉัน ถ้าไม่กลัวฉันก็คงเกลียดฉัน ทำไม...”
“ไม่..คือผม........”
“อย่ายืนอยู่อย่างนี้เลยเข้ามาก่อน”
“อย่าดีกว่าปรียากมล คุณเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปคุยกันข้างล่างเถอะ ไม่หิวเหรอ”
“ไม่...ฉันกินน้อยไม่ต้องห่วง วันๆ ไม่กินอะไรเลยก็ได้ นี่ไง..หลักฐานว่าคุณกลัวฉัน ทำไมเข้ามาคุยกันในห้องไม่ได้”
“ได้...แต่ผมอยากให้คุณลงไปมากกว่า ผมไปคอยข้างล่างนะ”
อัศนัยเดินจะไป ปรียากมลจับแขนไว้ทันที จ้องตาอัศนัยนิ่ง อัศนัยจ้องตอบ สายหวั่นไหวเพิ่มขึ้น
“อัศนัย” ปรียากมลดึงแขนเข้ามา
อัศนัยไปตามแรงนั้นจนเกือบสุดแล้ว ชะงัก “อย่า ปรียากมล”
ปรียากมลยอมหยุด..นิ่ง ไปอึดใจหนึ่ง แล้วปล่อยแขนอัศนัย “โอเค ทานข้าวนะ...หิวแล้ว คอยฉันแค่สิบนาที”
เวลาต่อมาปรียากมลในชุดเดิมที่ใส่เมื่อวานนี้ เดินเข้าในห้องอาหาร อัศนัยนั่งคอยอยู่ บนโต๊ะอาหารพร้อมบนโต๊ะ
“เซอร์ไพรส์มาก นาทีที่ 10 พอดี” อัศนัยเอ่ยขึ้น
“ฉันอยู่แบบฝรั่งมานานมากจนชิน”
“มีแกงเผ็ด หลนปู ไก่ผัดขิง ยำ...อะไรเนี่ย มีพริกเต็มเลย”
“ยำใหญ่ครับ แม่บอกว่าคุณนัยชอบ” หมื่นเดินเข้า ถือโถใส่ข้าวมาด้วย
“อ้าว ไม่ได้ไปส่งเหรอ”
“ส่งครับที่ป้ายรถเมล์” หมื่นบอก
“วะ...ทำไม” อัศนัยหงุดหงิด ทั้งที่รู้คำตอบดี
“ไม่ยอมครับ”
อัศนัย หน้าขุ่นอยู่อยู่อึดใจ ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นปกติ มองอาหาร ถามปรียากมลขึ้น
“ไม่มีอาหารฝรั่งเลย กินได้มั้ย”
“ได้ กินได้ทุกอย่างแหละ..ก่อนจะกินคุณ” ปรียากมลสัพยอก
หมื่นอ้าปากค้างตาโต อัศนัย มองปรียากมล ยิ้มๆขำๆ
“ไม่ตกใจ แสดงว่าคุณรู้จักฉันดี ว่าแต่บอกให้คนที่ตกใจจนอ้าปากค้างแถวนี้ให้ออกไปดีกว่า ไม่งั้นฉันกินไม่ลง” ปรียากมลหมายถึงหมื่น
“ไม่ได้ เขาต้องคอยตักข้าวให้เรา”
“ไม่เป็นไร ฉันตักเองได้ ให้ออกไปเถอะ”
ตลอดเวลาปรียากมลไม่มองหน้าหมื่นเลย
“หมื่น”
“ครับผม”
อัศนัยพยักหน้า บอกให้ออกไป
“แม่บอกให้คอยรับใช้ใกล้ชิดครับ ไม่ให้ไปไหนเด็ดขาด” หมื่นบอกแข็งขัน
“ไปเหอะ..ไม่เป็นไร” อัศนัยบอก
“อยู่ก็ได้ ถ้าแม่สั่งให้อยู่ ว่าแต่แน่ใจนะว่าจะจำได้ทุกคำที่ฉันพูดไปบอกแม่” ตอนนี้ปรียากมลหันไปจ้องหมื่น
หมื่นจ๋อยมาก
“ว่าไง” ปรียากมลคาดคั้นเอากับหมื่น
“หมื่น..ไปได้แล้ว” อัศนัยบอก หันมาทางบ่าวทะเล้น
หมื่นออกไปอย่างเร็วรี่
“ทานเสร็จ ฉันจะดูคุณวาดรูป”
“ไหนบอกมีเรื่องจะคุยกับผมไง”
“เปลี่ยนใจแล้วดูคุณวาดรูปดีกว่า”
“ผมอยากฟังที่คุณจะคุย”
“ฉันจะมาคุยวันหลัง...พรุ่งนี้”
อัศนัยจ้อง..ยิ้มๆ อย่างรู้ทัน ปรียากมลเองก็ยักไหล่ ยิ้มตอบแบบรู้ ก็รู้ไป
“วันนี้ผมไม่วาด” อัศนัยบอก
“งั้นฉันขอดื่มสักสองแก้วแล้วจะกลับ”
“โอเค ผมไปส่ง”
“ไม่ต้อง..ฉันกลับเอง” ปรียากมลว่า
“กลับยังไง”
“อย่าถามมาก..จำไว้ เพราะว่าฉันอาจเปลี่ยนใจ...” ปรียากมลทอดจังหวะ
“ให้ผมไปส่ง”
“เปล่า เปลี่ยนใจไม่กลับ” ปรียากมลหัวเราะเสียงหวาน
เหตุการณ์ในสลัม เพื่อนบ้านคนหนึ่งมาทวงเงินที่สมหวังยืม เอากับสมใจ
“บอกผัวแกนะยายใจ เอาเงินมาใช้หนี้ฉันด้วย หรือไม่แกนั่นแหละใช้มา”
“คนละคนกันเว๊ย” สมใจบอก
“อ้าว...พูดหยั่งเงี้ย สวยมั้ย”
“สวย” สมใจยืนท้าทาย “จะทำไม”
“อย่าหาว่ากูไม่เตือนนะเว๊ย”
“ไม่ต้องเตือน มาเลย เอาไง”
“เงินแค่ห้าร้อยจะขึ้นชื่อว่าขี้โกงเรอะ”
“เออ...ไม่ใช่กูนี่ ถึงผัวเมียแต่คนละกระเป๋าโว๊ย อย่าหน้าด้านมาทวงกู”
“หน้าด้าน กูเจ้าหนี้นะ หน้าด้านเรอะ” เพื่อนบ้านไม่พอใจ
“แต่กูไม่ใช่ลูกหนี้ ถึงจนไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ กูก็ไม่เคยเป็นหนี้ใคร ศักดิ์ศรีกูมีเว้ย เพราะฉะนั้น ทีหลังอย่ามาทวงกูอีก ใครเป็นหนี้ มึงทวงกับคนนั้นจำไว้”
“งั้นก็บอกผัวมึงด้วย...” เพื่อนบ้านบอก
“ไม่” สมใจสวนคำ เสียงหนักแน่น “บอกเอง” แล้วหันหลังกลับทันที
ดอกโศกยืนคอยอยู่ เพื่อนบ้านบ่นโหวกเหวกอยู่ด้านหลัง
“โศก...เพิ่งมาเหรอลูกไปไหนมากลับป่านนี้”
“ยายทะเลาะกับเขาทำไม บอกไปคำเดียวให้ไปทวงกับตา”
“ไม่ได้ พูดให้มันรู้ว่าคนอย่างยายไม่เป็นหนี้ใคร ต่อให้อดตายด้วย” สมใจพูดอย่างทระนง
“ยายจ๋า...ยายเอาสายสร้อยของพ่อให้หนูดูหน่อยนะจ๊ะ”
อ่านต่อหน้า 2
ดอกโศก ตอนที่ 4 (ต่อ)
สักครู่ต่อมาสมใจถือสร้อยเส้นนั้นในมือ ดอกโศกมองอย่างพินิจพิจารณา ก่อนจะถามขึ้น
“ยายว่ากี่บาท”
“น่ากลัวจะ...” สมใจทำท่าชั่งน้ำหนัก “จะ...ประมาณ...” หน้าจ๋อยกะไม่ถูกเพราะในชีวิตไม่เคยมีสักเส้น “ไม่รู้ว่ะ”
“อ้าว...ทำท่าหยั่งกะรู้”
“แค่หนวดกุ้งยังไม่เคยมีเล๊ย ไอ้โศกเอ๊ย จะรู้ได้ไง” สมใจส่งสร้อยให้ดอกโศก “เอ้า...เอาไปเลยเก็บเอง ถ้าจำเป็นก็ขายไป”
“หนูจะเอาไว้จ่ายค่าเทอม” ดอกโศกว่า
“อ้าว...ทำไม คุณตานายพลใหญ่เขาไม่ออกให้เรอะ”
ดอกโศกส่งสายสร้อยคืนให้ยาย “ยายเก็บไวก่อนนะจ๊ะ
“เฮ้ย ยายถาม เขาไม่รับผิดชอบเลยเรอะ”
“เรามีเราก็ออกเอง หนูเป็นคนเรียนนะยาย” ดอกโศกลุกออกไปเลย
“เงินที่แม่เขาส่งมาให้ไงลูก อยู่ที่ยายสามหมื่น เจ้าตาขี้เหนียวของแกไม่ออก ยายออกเอง”
เสียงสมใจพูดไล่มาตามหลัง
ที่บ้านรัตชาติพัลลภ วันเดียวกัน นายพลสุดเขตกำลังพูดคุยอยู่กับเพ็ญพักตร์
“เพ็ญพักตร์ ไหนบอกพ่อซิว่า ทำยังไงถึงจะทำให้อภิรมย์ฤดีกลับบ้านได้”
“ลูกไม่ทราบค่ะคุณพ่อ”
“เธอต้องรู้ เพราะเธอกับอุ๊เป็นต้นเหตุให้เขาออกไป”
“ใช่ค่ะ ลูกเป็นต้นเหตุให้เขาออกไปและลูกจะไม่เป็นต้นเหตุให้เขากลับมา” เพ็ญพักตร์เถียงบิดาด้วยถ้อยคำแรง แต่พยายามควบคุมกิริยาไว้
“พ่อสั่งให้เธอจัดการให้เขากลับมา”
“คุณพ่อทราบดีว่าลูกไม่ชอบดอกโศก ลูกเกลียดและลูกก็หวังว่าคุณพ่อคงทราบว่าเพราะอะไร”
“เรื่องมันนานจนเธอน่าจะลืมได้แล้ว ทำไมยังไม่ลืม แล้วยังเอาใส่หัวลูกให้ลูกเกลียดชังคนอย่างไม่มีเหตุผล”
ที่แท้เพ็ญพักตร์ผูกใจเจ็บสมใจเรื่องคุณหญิงแม่ “คุณพ่อไม่มีเหตุผลเหมือนกันที่ทำให้คุณแม่ตรอมใจตาย”
“เธออย่าคิดสร้างเรื่องให้มันโยงกันอย่างนั้น แม่เขาตายเพราะโรคร้ายไข้เจ็บธรรมดา ไม่ใช่เพราะใครทั้งนั้น”
“ลูกขอยืนยันว่าคุณแม่ตรอมใจตาย คุณพ่อไม่รู้ว่านางสมใจมันร้ายกาจแค่ไหน ลับหลังคุณพ่อมันทั้งเยาะ ทั้งเย้ยคุณแม่” ยิ่งได้ระบายเพ็ญพักตร์ก็เลยของขึ้น และน้ำเสียงเริ่มดังมากขึ้น “มันคิดว่ามันสาวกว่าคุณแม่ คุณพ่อรักมันมากกว่า มันเรียกคุณแม่อีแก่ คุณพ่อรู้รึเปล่าคะ”
“ไม่จริงหรอกมันจะฆ่าตัวเองทำไม”
“คนอย่างมันทำได้ทุกอย่าง มันชั่วแสนชั่วลูกเกลียดมันยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดในโลกนี้ คุณพ่อไม่ทราบหรือคะว่าทำไมคุณแม่ถึงพยายามที่จะมีลูกอีกคน ทั้งๆ ที่คุณแม่ท่านอายุปูนนั้น แล้วทำไมสุดสวยถึง...”
“เธออย่าเอาสุดสวยมาเกี่ยวข้องไปกันใหญ่แล้ว สุดสวยเป็นอย่างนั้นเพราะดวงชะตาของสุดสวยเอง ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น”
“แต่...” เพ็ญพักตร์จะพูดต่อ
“เอาละ พอเถอะ พ่อเหนื่อย เป็นอันว่าเธอไม่ยอมทำตามที่พ่อขอ”
“ลูกขอโทษค่ะ ลูกไม่ทำและถ้าคุณพ่อเอามันกลับมาลูกจะทำทุกอย่างให้มันต้องไปอีก”
เพ็ญพักตร์ลุกขึ้นเดินออกไป
“เพ็ญพักตร์ หยุดเดี๋ยวนี้”
เพ็ญพักตร์ ไม่หยุด เดินคอแข็งลำตัวตรงออกไป
“พ่อบอกให้หยุด”
เพ็ญพักตร์ลับตัวหายไปต่อหน้า สุดเขตนิ่วหน้า ไม่พอใจ
เพ็ญพักตร์เปิดประตูออกมาเร็วๆ สีหน้ายังโกรธเรื่องสมใจ พาลไปถึงดอกโศกไม่หาย
สุดสวยปราดเข้ามาเร็วๆ “พี่เพ็ญเรื่องอะไรได้ยินพูดถึงน้องด้วย”
“ไม่มี”
“เดี๋ยวสิ พี่เพ็ญ เรื่องอะไรพูดถึงชั้นน่ะ ได้ยินนะจะบอกให้”
“เอ๊ะ บอกว่าไม่มีก็ไม่มีสิ เซ้าซี้อยู่ได้ รำคาญ” เพ็ญพักตร์เดินหนีไปอย่างรวดเร็ว
“พี่เพ็ญ...” สุดสวยแผดเสียงสูงปรี๊ด โผนเข้าด้านหลังกะจะกระชากผมเพ็ญพักตร์
อุ๊มาเห็นพอดี “น้าสวย” รีบกระโจนมาคว้าตัวสุดสวย “อย่าทำอะไรแม่อุ๊นะ”
สุดสวยหันไปเงื้อง่ากะจิกหน้าอุ๊เต็มที่
เพ็ญพักตร์ผลักสุดสวยเต็มแรง จนร่างสุดสวยกระเด็นไป
ไม่นานต่อมาในห้องสุดเขต สุดสวยร้องไห้ราวกับเด็กๆ
“ไม่ต้องร้องนะลูก ไม่ต้องร้อง”
สุดสวยน้ำตานองเนืองนั่งอยู่ตรงหน้าผู้เป็นบิดา “เกลียดพี่เพ็ญ...เกลียด..เกลียด”
สุดเขตลูบผมเบาๆ หลั่งความปรานีลงไป “สุดสวย พี่เพ็ญเขาเป็นพี่สาวอย่าไปเกลียดเขาเลยนะลูก”
“งั้นเกลียดอุ๊...นิสัยไม่ดี”
“อุ๊ก็เป็นหลานของลูก เกลียดไม่ได้เหมือนกันนะ”
สุดสวยจ้องบิดานิ่ง แววตาคิดพิศวง
“อย่าเกลียดใครนะลูก รักทุกคนแล้วเขาจะรักลูก...นะคนดีของพ่อ”
“ดอกโศกล่ะคะ”
สุดเขตหยุดชะงัก สายตาตรึกตรอง “เขาน่าสงสารนะ”
“แต่มันชอบมาว่าลูกใจร้ายเหมือนคนบ้า”
“ใครบอกลูกว่าดอกโศกว่าลูก”
สุดสวยบอกตามตรง “อุ๊ค่ะ”
สุดเขตอึ้ง...อึ้งมาก รู้กระจ่างทันที
“ลูกก็เลยเกลียดมัน...นังดอกโศก”
สุดเขตถอนหายใจ ยิ่งกลุ้มใจหนัก
“หนีไปซะได้...ดี ไม่อยากเห็นหน้ามันอีก”
สุดเขตคิดหนักไม่รู้จะทำไงดี
“คุณตาน่ะสิบังคับพี่ ไม่งั้นพี่จ้างก็ไม่เข้าไปเหยียบบ้านมันหรอกนะโอ๋” อุ๊กำลังเล่าเรื่องวันนี้ให้อ้นกับโอ๋ ฟัง
“บ้านมันเป็นไงน่ะ พี่อุ๊” โอ๋ถาม
“จะถามทำไมเนี่ย” อุ๊ของขึ้นทันที
“โอ๋อยากรู้ค่ะ”
“อยากรู้ไปทำไมไม่ทราบ”
“ก็......อยากรู้เฉยๆ”
“ถามอะไรให้มันเข้าท่าหน่อยนะยัยโอ๋ ให้ชั้นใช้สมองหน่อยที่จะตอบเธอน่ะ...ไม่น่าถามเข้าใจป๊ะ มันจะอยู่อะไรได้ล่ะถ้าไม่อยู่บ้านกระจอกของยายคนใช้ของมัน”
“เค้าอาจจะมีความสุขกว่าอยู่ที่นี่ก็ได้” โอ๋ออกความเห็น
“เฮอะ...อีกแล้ว! พูดไม่เข้าท่าอีกแล้ว อยู่บ้านสัปรังเคหยั่งงั้นจะมีความสุขกว่าอยู่ตึกได้ไง...ไม่เก็ทเลยจริงๆ”
“ก็แบบโอ๋ไงพี่อุ๊ โอ๋น่ะ...มีความสุขมั้ยล่ะอยู่ตึกใหญ่อย่างเนี้ย”
อุ๊มองน้องนิ่งสักครู่ โอ๋ น้ำตาคลอๆ
อุ๊ สงสารเข้ามาโยกหัวเบาๆ “เฮ้ย...ไม่ร้องนะเว้ย กลืนน้ำตาลงไป...เร็ว” ปาดน้ำตาให้น้องเร็วๆ “ยังไงๆ น้าพฤกษ์ก็รักเธอ ไม่รักได้ไงลูกสาวคนเดียว”
“รักโอ๋เหรอ อย่าพูดเลยพี่อุ๊ โอ๋อยากรู้ว่าถ้าโอ๋ทำผมสีทองทั้งหัวแบบพี่อ้น คุณพ่อจะยอมเหมือนอาพจน์รึเปล่า” โอ๋มองหน้าอุ๊คอยคำตอบ
“อยากรู้เหรอ บอกได้คำเดียว....เธอตาย”
สมุดรายงานการเรียนของโอ๋ อยู่ในมือพันเอกพฤกษ์ ผู้เป็นพ่อ โอ๋ใจสั่น นั่งคอย ระทึก
พฤกษ์วางสมุดลงบนโต๊ะ สีหน้าเครียดจัดมาก “เรียนยังไงได้คะแนนเท่านี้ คราวหน้าถ้าคะแนนไม่เพิ่มพ่อไม่อนุญาตให้ไปไหนเลยวันเสาร์อาทิตย์”
โอ๋หน้าเสียมาก
“ไปตึกใหญ่ก็ไม่ได้”
“ทำไมคะ” โอ๋เสียงสั่น
“เสียเวลามีแต่คุยกันเรื่องไร้สาระกับอุ๊ อีกแค่สามสี่ปีก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว สอบไม่ได้อย่าคิดว่าฉันจะส่งแกไปเมืองนอก นั่นมันง่ายเกินไป”
โอ๋ก้มหน้าบ่นอุบอิบ “โอ๋ก็ไม่คิดจะไปนี่คะ”
“อย่าเถียงพ่อ” พฤกษ์จะเดินออกไป “อ้อ พ่อเห็นไอ้อ้นมันทำผมสีทอง แกอย่าไปทำสีผมแบบไอ้อ้นนะจะบอกให้” เดินไป พูดไป “ฉันรู้ว่าแกต้องอยากทำ แต่ฉันไม่ใช่พ่อไอ้อ้นจะได้ยอมลูกทุกอย่าง”
โอ๋น้ำตาปริ่มนัยน์ตา
ส่วนที่บ้านอ้น เวลาเดียวกันนั้น
“ไปโรงเรียนได้เหรอ ผมสีทองทั้งหัว” พจน์ถามลูกชาย...ผมทอง
“โรงเรียนเขาอินเตอร์นะคุณพ่อ...เขาไม่สนใจสีผมหรอก เขาสนใจของที่อยู่ใต้ผมมากกว่า” อ้นเคาะที่สมอง
พจน์ทำท่าเหล่อ้น “มันเท่ตรงไหนฮึ ไอ้อ้น พ่อดูเท่าไหร่ๆ ไม่เห็นเข้าท่า”
“เท่ ตรงที่เราได้ทำอะไรๆ ที่อยากทำ” อ้นว่า
“เออจริง แกพูดถูก แต่ขอโทษนะลูกชาย คราวหน้าเลือกทำอะไรที่ไม่ช็อกพ่อแบบนี้ได้มั้ย”
“ช็อก คุณพ่อช็อก ทำไมครับ”
พจน์เหล่อ้นมากขึ้นอีก “แกจะบอกฉันเหรอว่าไอ้ที่แกทำนั่นน่ะ ไม่ช็อกฉัน”
อ้นหัวเราะขำ “ไม่บอกหรอกครับ แต่คุณพ่อหายช็อกหรือยังครับ”
“เอาเถอะไอ้อ้น ขอเป็นครั้งสุดท้ายนะ แกอย่าทำอะไรพิเรนแบบนี้อีก ฉันขี้เกียจ เถียงกับลุกพฤกษ์หรือคุณปู่ของแก โดนข้อหาตามใจแกจนเบื่อแล้วเว้ย”
“ตามใจลูกชายคนเดียวเป็นอาชญากรรมหรือคุณพ่อ” อ้นถาม
พจน์ไม่ตอบ หันมาจ้องลูกหน้านิ่งๆ
“ในเมื่อสิ่งที่ลูกชายทำมันไม่ใช่อาชญากรรม” อ้นพูดต่อให้พ่อ
คืนหนึ่งในอีกวันหนึ่ง ถนนเส้นนั้นโล่ง ว่างวาย มีแสงไฟสลัวสาดส่องพอมองเห็น กลางความเงียบสงัด มีเสียงรถมอไซค์ดังมาก่อน ดังมาแต่ไกลๆ แล้วดังขึ้นๆ ตามลำดับ ก่อนจะเห็นเป็นขบวนรถซิ่งเด็กแว้นดาหน้ามาเป็นแผง ประมาณ 8-10 คัน บ้างขับเดี่ยว บ้างมีสก๊อยใส่กางเกงขาสั้นแค่คืบซ้อนท้าย พุ่งตัวมาอย่างเร็วและแรง
ไม่ไกลนัก ตำรวจตั้งกองกำลังดักรออยู่ สีหน้าเด็กแว้น แต่ละคนอยู่ในอาการลิงโลดสุดขีด ครั้นพอเห็นตำรวจทุกคนก็ตกใจทุกคน เบรกบ้าง หักรถตีวงเลี้ยวกลับบ้าง แต่ส่วนใหญ่หนีไม่ทันตำรวจ เสียงนกหวีดดังแหลมยาว พร้อมกับที่ใบหน้าป้อมที่ตกใจ หักหลบอย่างแรง
จักรยานยนต์ของป้อม บิดอย่างแรง แต่เสียหลัก ล้มคว่ำกลิ้งหลุนๆ ไปชนที่กั้นถนนอย่างแรง แล้วเงียบเสียงอยู่ข้างทาง รถพังยับ แต่ป้อมบาดเจ็บแค่นิดหน่อย
เวลาต่อมา สมปองพรวดเข้ามาในบ้าน “แม่....แม่ อะไรหลับแล้วเรอะ”
สมใจโผล่ออกมา “อะไร....อะไร้ นังปอง เอะอะอะไร”
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
อึดใจเดียวสมใจเดินดุ่มๆ ออกไป พลางสั่งดอกโศกที่ขยับจะตาม
“โศก ไม่ต้องไป”
“ให้หนูไปนะ หนูจะไปช่วยป้อม”
“ไม่ต้อง ยายไปคนเดียว”
“เฮ้ย ให้ฉันไปด้วยเหอะแม่” สมปองว่า
“แกอยู่กะไอ้โศก อย่าให้มันตามออกมา ส่งเสื้อให้แม่ด้วย...”
สมปองคว้าเสื้อคลุมโยนมาให้ สมใจรับมาสวมทับเสื้อคอกระเช้า แล้วออกไป
สมหวังได้ยินเสียงคนคุยกัน มุดมุ้งออกมา จากทีแรกเห็นเป็นเงารางๆ ในมุ้ง สมหวังลุกขึ้นมอง
“ยุ่งจริ๊งกะไอ้ป้อมเนี่ย มีแต่เรื่องเดือดร้อนไม่เว้นตะละวัน”
“พ่อ แม่รับปากกะน้าแป้นนะก่อนแกตายว่าจะช่วยดูแลป้อม” สมปองบอก
“ดูแล ไม่เกี่ยวกะมันถูกตำรวจจับนี่เว้ย” สมหวังโวย
“ดูแล แปลว่า ดูแลหมดทุกอย่างเหมือนเป็นลูกหลาน” สมปองประชด
“เฮ้ย...เกินไปเว้ยเกินไป”
อีกมุมหนึ่ง สมปองกระซิบกับดอกโศก
“ยายไปจัดการไม่ต้องห่วงนะโศก”
“ทำไมป้อมทำยังงั้นล่ะน้าปอง”
“ไว้ถามมันเองเถอะ...ไปนอนซะ”
สมหวังส่งเสียงโวยลอดเข้ามา “เฮ้ย....เสียเงินเท่าไหร่ล่ะคราวเนี้ย”
ไม่นานหลังจากนั้นสมใจก็พาตัวเองมาอยู่ที่สถานีตำรวจ เด็กแว้นทั้งหลายถูกคุมตัวอยู่ สมใจ เดินมากับสมหมาย และบรรดาพ่อแม่เด็ก แว้นเดินไปเดินมาดูวุ่นวาย
ตำรวจบอกสมใจ “นายป้อม...” พลิกดูเอกสาร “อายุยังไม่ถึงสิบแปด ต้องถูกส่งสถานพินิจ”
สมใจฟังแล้วยืนหน้าสลด
ส่วนที่บ้านสมใจ เสียงสมหวังกรนดังลั่นอยู่ในมุ้ง สมปอง ดอกโศกคุยกันเบาๆ
“ป้อมมันไม่เคยมากวนหรอกเรื่องเงินเรื่องทอง ทำงานร้านซ่อมมอไซค์ ได้เงินกินไปวันๆ แต่ไปเป็นพวกเด็กแว้นนี่สิ ไม่เคยรู้เรื่องเลย”
ดอกโศกเงียบ
“ก็คงถูกไอ้พวกเอารถมาแต่งนั่นแหล่ะชักชวนไป ป้อมมันคนใจอ่อนอยู่”
สมใจคุยอยู่ตำรวจเจ้าของคดี ที่หน้าสถานีตำรวจ
“มันเจ็บรึเปล่า คุณตำรวจ”
“นิดหน่อย แต่รถน่ะพังเยินเลยล่ะ”
เวลาต่อมาสมใจเดินลงสถานี เจ้าของร้านที่ป้อมทำงานด้วยรออยู่
“ป้า” เถ้าแก่เรียก
“อ้อ เถ้าแก่”
“ป้อมมันเอารถลูกค้าไปขี่”
สมใจอ้าปากค้าง “แล้ว...”
“รถพัง ต้องซื้อให้เค้าใหม่”
“ซื้อใหม่....! เท่า...เท่าไหร่?”
“เค้าแต่งไว้เยอะก็ร่วมแสนล่ะ”
ฟังเถ้าแก่บอก สมใจอ้าปากค้าง
รุ่งเช้าสมเดินเร็วๆ ออกมาจากในตึก “ท่านครับ”
สุดเขตยืนคอยอยู่ข้างรถรู้ทันที “ไม่ไปโรงเรียน
“คุณเพ็ญบอกว่าจะไปส่งคุณอุ๊เองครับ”
สุดเขตเดินไปขึ้นรถที่สมเปิดประตูคอย
“ไปรับคุณอภิรมย์ฤดี” สมพูดออกมาเอง
ไม่นานหลังจากนั้นดอกโศกอยู่ชุดนักเรียนเดินก้าวเร็วๆ ออกมา สมยืนคอย ดอกโศกหยุดชะงัก
“ท่านให้มารับ...ครับ”
ดอกโศกนิ่งอึดอัดใจ
“ท่านรออยู่ในรถ” สมเอ่ยซ้ำ
ภายในรถที่จอดอยู่หน้าโรงเรียน ไกลออกมาหน่อย มองเห็นนักเรียนเดินเข้าโรงเรียน
นายพลสุดเขต พูดขอร้องกับดอกโศก
“ตาขอนะ ขอให้กลับบ้าน....จะได้ไหม”
“หนูขอโทษคุณตาค่ะ”
“ทำไมถึงใจแข็งอย่างนี้อภิรมย์ฤดี ตาขอร้องหลายครั้งแล้วนะ”
“หนูไม่อยู่ มีหลายคนที่....” ดอกโศกถอนใจเบาๆ “สบายใจค่ะ”
“แต่ตาไม่สบายใจ ตารู้สึก.....ผิด” น้ำเสียงสุดเขตอัดอั้นนัก “เข้าใจมั้ยอภิรมย์ฤดี จะทำให้คนแก่สบายใจไม่ได้หรือ”
“ถ้าหนูกลับไป คุณตาจะไม่สบายใจยิ่งกว่าค่ะ”
“ทำไม”
ดอกโศกมองคุณตาเต็มๆ ตา ขณะพูดออกมา “จะเกิดเรื่องอีกหลายเรื่องแล้วคุณตาก็จะ...”
สุดเขตพูดสวนออกมา “ตารับรองจะไม่มีเรื่องอะไรเหมือนที่แล้วมาอีก...เชื่อตา
ดอกโศกเงียบ
“เชื่อตานะอภิรมย์ฤดี”
ดอกโศกสีหน้าอึดอัด...ไม่ยอมตอบ
สุดเขตถอนหายใจยาว “ดื้อเหลือเกิน อะไรทำให้เจ้าเป็นคนดื้ออย่างนี้นะ”
“หนูขอโทษคุณตา” ดอกโศกไหว้
สุดเขตพยักหน้า “ตายอมแพ้ มีเรื่องเดือดร้อนอะไรมาหาตา ตาช่วยได้ทุกเรื่อง..จำไว้”
ถึงโรงเรียนแล้วดอกโศกลงจากรถ สมที่ลงมายืนคอยอยู่ข้างนอก เดินไปขึ้นรถขับแล่นออกไป ในขณะที่ดอกโศก เดินเข้าโรงเรียน
เวลาบ่ายคล้อยเกือบเย็นวันเดียวกันนั้น ที่โรงงานเบญจรงค์ของอัศนัย บุรี ผู้จัดการโรงงานวัยกลางคน เป็นช่างของโรงงานด้วย มีความรอบรู้เรื่องเบญจรงค์อย่างดี พูดน้อย ท่าทางสุขุม หน้าตาไทยแท้ นำจานเบญจรงค์ 2 ใบ เข้ามาในห้องทำงานของอัศนัย
สักพักหนึ่งอัศนัยมองดู จานเบญจรงค์ 2 ใบ อย่างพินิจ แล้วเอ่ยขึ้น
“เขาจะสั่งสามร้อยใบ ให้เวลาสองเดือน อาบุรีคิดว่าทันมั้ยครับ”
บุรีตรึกตรอง “ลายไหน...ถ้าลายหยดเทียนจะช้าหน่อย ลายละเอียดกว่า”
“ถ้าเขาสั่งลายหยดเทียนอาบุรีคิดว่าใช้เวลาเท่าไหร่ครับ”
“ผมต้องขอสามเดือน” บุรีบอก
“ครับ ผมจะเสนอเขาอย่างนั้น นี่ครับ โลโก้กับข้อความที่เขาจะใส่ในจาน ขอบคุณครับอาบุรี” อัศนัยไหว้
บุรีรับไหว้ แล้วออกไป อัศนัยกดโทรศัพท์ คอยอยู่สักครู่ ปลายสายก็รับ
“ปอง....ดอกโศกกลับถึงบ้านหรือยัง”
บนรถตุ๊กๆ ต่อเนื่อง สมปอง พูดโทรศัพท์ใช้สมอลล์ทอล์ค มีผู้โดยสารมาด้วย
“ฉันกำลังจะไปรับเดี๋ยวนี้แหล่ะ คุณนัย” ทอนเงินผู้โดยสาร “ทำไมเหรอคุณนัย อ๋อ...มา” สมปองออกรถ “ส่งคนขับรถมารับแต่เช้าเลย น่ากลัวจะเอาตัวไอ้โศกกลับไปให้ได้ เฮ้ย...” มีรถคันหนึ่งแถเข้ามาโดยไม่รู้ตัว “ขับรถดีๆ สิวะ ชนกับตุ๊กน่ะไม่สมศักดิ์ศรีนะเว๊ย” หันไปพูดต่อ “แต่โศกมันไม่ไปหรอกคุณนัยเชื่อเหอะ”
ในห้องเรียน ครูสอนหน้าห้อง อุ๊ สีหน้าเครียด หันมามองดอกโศกที่ตั้งใจฟังครูสอน สีหน้าอุ๊ ดูออกว่าเกลียดชังสุดๆ
เวลาต่อมานักเรียนหลายคนกำลังเล่นบาสในชั่วโมงพลศึกษา ดอกโศก เล่นกับเจนนิเฟอร์ และเพื่อนอีก 2 คน
สีหน้าดอกโศก เบิกบาน ยิ้มแย้ม ชู้ทลูกลงห่วงอย่างแม่นยำ ดอกโศกดูร่าเริง มีชีวิตชีวา บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกระหว่างเพื่อนๆ
อีกด้านหนึ่งของสนาม อุ๊เล่นอยู่กับเพื่อนๆ ชู้ทลูกลงบ้างไม่ลงบ้าง จังหวะหนึ่งอุ๊ หันมามองจ้องดอกโศก
พอดีกับดอกโศกวิ่งตามลูกบาสมาใกล้ๆ อุ๊เหวี่ยงลูกเต็มแรง ถูกหลังดอกโศกเต็มๆ ดอกโศกคะมำไปข้างหน้า เกือบล้ม
“เพ็ญตระการ ทำไมทำอย่างนี้” เจนนิเฟอร์ตวาดเสียงดัง
ทั้งสองฝ่ายยืนประจัน หน้ากัน
“ถ้าต่างคนต่างเล่นคนละข้าง ลูกไม่มีวันมาทางนี้หรอก” เจนนิเฟอร์เอ่ยขึ้น
“เอ๊ะ เจนนิเฟอร์ เธอจะเอาอะไรกับลูกบอลลูกกลมๆ หือม์” อุ๊พูดด้วยเสียงกวนประสาท
“ใช่ ก็เพราะลูกมันกลม”
“มันจะลอยไปทางไหนก็ได้ ทั้ง 360 องศาแหละ” เพื่อนๆ อุ๊ว่า
“แกล้งก็บอกว่าแกล้งดีกว่าเพ็ญตระการ”
“ใช่ เพราะมันไม่แปลกอะไรอยู่แล้ว” เพื่อนดอกโศกว่า
“ในเมื่อเธอเกลียดอภิรมย์ฤดียังกะอะไร ใครๆ เขาก็รู้” เพื่อนดอกโศกอีกคนผสมโรง
“งั้นเหรอ งั้นฉันบอกว่าแกล้งๆ ที่ฉันไม่ได้แกล้งก็ได้งั้นสิ...ก็ด้าย...ชั้นแกล้งเธอ ดอกโศก คงไม่ทำให้เธอโศกไปกว่าที่โศกอยู่แล้วหรอกนะ” อุ๊บอกเสียงดัง
ดอกโศกจ้อง สายตานิ่ง ส่ายหน้าน้อยๆ
“รู้ไว้ด้วยว่า ฉันน่ะไม่อยากจะเกี่ยวข้องกับเธอ ไม่อยากเห็นหน้าไม่อยากได้ยินแม้แต่เสียงของเธอ รู้มั้ยว่าชั้นดีใจแค่ไหนที่เธอพ้นไปจากบ้านชั้นเพราะเธอไม่เหมาะกับบ้านรัตนชาติพัลลภ เธอเหมาะกับที่ที่เธออยู่ เหมาะกับบ้านในสลัมของเธอ” อุ๊ฟาดงวงฟาดงาต่อ
ดอกโศกจ้องหน้าอุ๊ตลอดเวลา สีหน้ายิ้มแย้มในหน้านิดๆ
“ไม่ใช่ชั้นคนเดียวที่ไม่อยากอยู่ร่วมบ้านกับเธอ ทุกคน...จะบอกให้ว่าทุกคนในบ้าน เธอจะทนอยู่เป็นหมาหัวเน่าได้เหรอถ้าทนได้ก็อยากจะขอชมว่า....อึด อึดเหมือนอะไรนะพวกเรา”
เพื่อนๆ อุ๊รับมุข ด้วยท่าทางยียวน ประชดโคตรทน
เพื่อนๆ ดอกโศก โดยเฉพาะเจนนิเฟอร์ ท่าทีสงบนิ่ง มองหน้าเฉยนิ่ง สายตาหมิ่นๆ ขำๆ ด้วย จนเพื่อนๆ อุ๊ ชักจ๋อย
“เพราะฉะนั้น...ในเมื่อรู้ว่าไม่มีใครต้อนรับก็อย่ากลับไป...หน้าเธอจะด้านเกินทน”
“อภิรมย์ฤดีเขามีสิทธิ์เท่าๆ กับเธอนั่นแหละ เพ็ญตระการ” เจนนิเฟอร์แค้นแทนเพื่อน
“งั้นเหรอ...รู้ดีนี่เจนนิเฟอร์ งั้นก็กลับไป แล้วจะรู้ว่าสิทธิ์ของเธอน่ะเป็นยังไง”
เพื่อนๆ อุ๊หัวเราะเยาะหยัน
“แค่คุณตาคนเดียวก็พอ” ดอกโศกว่า
อุ๊หชะงักยุดกึก “เธอว่าอะไรนะ”
ดอกโศกมองยิ้มๆ ไม่ตอบ เดินหันหลังไปเพื่อนๆ เดิมตาม
“เดี๋ยว...อย่าเพิ่งไป มานี่ก่อน” อุ๊กระชากไหล่ดอกโศกให้หันมา
ดอกโศก จับมืออุ๊ทันควัน มองตากันใกล้ๆ
“เธอว่าอะไร” อุ๊พดเสียงเบา ลอดไรฟัน
ดอกโศกสะบัดมืออุ๊จนหลุด แล้วหันหลังกลับเดินออกไป
“มันพูดว่าอะไร ได้ยินมั้ย” อุ๊ถาม
“มันพูดว่า....แค่คุณตาคนเดียวก็พอ” เพื่อนบอก
เท่านั้นแหละ อุ๊โลดแล่นไปไวเท่าความคิด พุ่งเข้าไปยืนประจันหน้าดอกโศก หายใจหอบแรง
อุ๊ผลักไหล่เต็มแรง “อย่าหวังเลยว่าแกจะแย่งคุณตาไปจากฉัน โธ่เอ๊ย ไม่เจียมกะลาหัวคิดว่าคุณตารักแกเหรอ ไม่มีทาง แกมันลูกอีขี้ข้า หลานอีขี้ข้า อย่ากำเริบ” อุ๊พูดไปน้ำตาคลอด้วยความเจ็บใจ เพราะแท้จริงแล้วรู้เต็มอกว่าคุณตารักดอกโศก
ดอกโศกกระซิบถามเบาที่สุด “ร้องไห้ทำไม”
อุ๊ชะงักนิ่งอึ้ง คำถามแทงใจดำมาก หันหลังกลับเดินไปทันที
ดอกโศก กระซิบกับเจนนิเฟอร์
“เพ็ญตระการ อภิรมย์ฤดี เขาบอกว่าเขาไม่กลับไปหรอกอย่าห่วง เขาไม่อยากเห็นหน้าเธอเหมือนกัน เฉพาะที่โรงเรียนก็เกินพอแล้ว” เจนนิเฟอร์ตระโกนบอกอุ๊ “ฉันเติมให้เองนะ อันหลังเนี่ย”
ในความคิดของสองแม่ลูก เพ็ญตระการ กับ เพ็ญพักตร์ ยังคิดวนเวียนอยู่แต่เรื่องดอกโศกไม่เลิกรา เช่นเดียวกับเย็นนี้
อุ๊เสียงสั่น..เบา “มันบอกมันไม่กลับมา เชื่อได้แค่ไหนคุณแม่”
“ถ้าคุณตาไม่บังคับมัน ก็เชื่อได้ มันอยู่บ้านนี้มาหลายปี แม่รู้นิสัยมัน”
“อุ๊รู้....ว่าคุณตาก็คงเอามันกลับจนได้”
ที่โรงงานเบญจรงค์อัศนัย เย็นวันนั้น อัศนัยคุยเรื่องธุรกิจอยู่กับ บุรี
“ผมคำนวณเวลาแล้วนะครับคุณนัย สองเดือนครึ่ง” บุรีบอก
“ดีครับ อาบุรี เรามีเวลาทำ Q.C. อีกสองอาทิตย์” อัศนัยเห็นดีด้วย
จังหวะที่บุรีหันหลังกลับ แต่แล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นปรียากมลยืนอยู่ บุรีเลี่ยงออกไป
“ปรียากมล” อัศนัยทัก รู้สึกตกใจนิดๆ
“ตกใจอีกแล้ว ทำไมต้องตกใจทุกทีที่เห็นฉัน”
“ก็คุณปรากฏตัวในที่ผมไม่คาดคิดทุกทีนี่นา”
“อัศนัย จะมีซักกี่ที่ที่คุณไม่คาดคิดว่าจะเห็นฉัน ตอนที่เราคบกัน ก็มีที่บ้านคุณกับที่นี่ โรงงานเครื่องเบญจรงค์ของพ่อคุณที่คุณพาฉันมาเที่ยว แค่สองแห่งเท่านั้น ไม่มีที่ที่คุณจะ Surprised อีกแล้ว”
“มายังไง”
“แท็กซี่”
“อ้าว...แล้วจะกลับยังไง”
ปรียากมลขยับเข้ามาใกล้ “อัศนัย ถามจริงหรือนี่ ใจคอจะให้ฉันหาทางกลับเองจริงๆ เหรอ”
“จริง เพราะว่าผมต้องอยู่ทำงานดึกมาก”
“ทำอะไรกันดึกๆ”
“มีเอกสารที่ผมต้องอ่าน...ค่อนข้างเยอะ”
“เอกสารอะไร” ปรียากมลสงสัย
“เกี่ยวกับสัญญาการส่งออก”
“คุณทำ Export ด้วยหรือ” ปรียากมลเพิ่งจะรู้
“คุณคิดว่าคนไทยจะซื้อเครื่องเบญจรงค์ซักเท่าไหร่กันเชียว ผมส่งออกเกือบ 70 เปอร์เซ็นต์ ลูกค้าในนี้ส่วนใหญ่เป็นบริษัทฝรั่งสั่งทำเป็นของชำร่วยแจก”
“ดึกแค่ไหนกว่าคุณจะเสร็จ”
“ยังไม่รู้...แต่ดึก”
“ฉันอยากไปที่ที่คุณเคยพาฉันไป...ตอนคุณเสร็จงานแล้ว”
“ที่ไหน”
“นั่งเรือไปตามคลอง ที่ที่มีหิ่งห้อยเยอะๆ”
“ไม่มีแล้วหิ่งห้อย”
“แต่ยังมีคลองอยู่ใช่มั้ย” ปรียากมลปรี่เข้ามาประชิดตัว เงยหน้าถามใกล้มาก
อัศนัยใจอ่อนยวบ นึกถึงความรักความหลังของเขาและเธอขึ้นมาอีก
อัศนัยจดจำภาพนั้นได้แม่นยำ ค่ำคืนนั้นหิ่งห้อยระยิบระยับ แสงไฟของหิ่งห้อยสว่างพร้อมกัน ดับพร้อมกัน ปรียากมล นอนเอนๆ พิงอกอัศนัย สีหน้าอ่อนละมุนละไม เห็นความเปล่งปลั่งของสาวรุ่น ไม่มีอะไรแต่งแต้มให้ดูแก่แดด
อัศนัย ก้มลงมอง ด้วยสายตารักใคร่เต็มที่ ปรียากมลยกมือปัดผมที่ตกมาปรกเรี่ยหน้าอัศนัยเบาๆ แล้วลูบไล้หน้าลงมาถึงริมฝีปาก แตะเบาๆ
“อัศนัย ปากคุณสวยจริงๆ”
อัศนัยหัวเราะเบาๆ น้ำเสียงรื่นรมย์ “มีแต่ผู้ชายชมปากผู้หญิง”
“ฉันอดใจไม่ได้ที่จะชมคุณ และฉันกำลังอดใจไม่ได้ที่จะ..จูบคุณ”
ปรียากมลเผยอตัวขึ้นไปจูบอัศนัย
“ฉันอยากรู้ว่าปากคุณจะหวานเหมือนวันนั้นรึเปล่า”
อัศนัยดึงตัวเองกลับมาจากความคิดคำนึงนั้น เวลานี้ทั้งสองนั่งกันคนละฟากเรือ อัศนัยเป็นคนพาย ใบหน้าปรียากมลรอฟังคำตอบที่ถามไป
“หือม์...เหมือนมั้ย”
“ปรียากมล...”
“หือม์”
“คุณยังเก่งเหมือนเมื่อก่อนเลยนะ” อัศนัยว่า
“ทำไม พูดแค่นี้...เก่งแล้วหรือ”
“ใช่ ผมจำได้ว่าวันที่คุณพูดว่า...” อัศนัยหยุดชะงัก ไม่พูดอะไรต่อ
“ฉันอดใจไม่ได้ที่จะจูบคุณ” ปรียากมลต่อให้
“ใช่ ผมใจสั่นมาก ตัวก็สั่นไปทั้งตัว เพราะไม่เคยได้ยินผู้หญิงคนไหนพูดอย่างนั้น”
“ตอนนั้นคุณคบผู้หญิงกี่คน”
“ไม่มี...คุณเป็นคนแรก”
“จริงเหรอ”
“คุณรู้แล้ว ผมบอกคุณทุกอย่าง ถามผมอีกทำไม”
“ต่อจากนั้นล่ะ”
“ก็...มีบ้าง ตามประสาผู้ชาย”
“รักใครเท่าที่เคยรักฉันมั้ย” ปรียากมลถาม เสียงจริงจัง
อัศนัยนิ่งไปอึดใจ “ไม่มี”
“แล้วตอนนี้ล่ะ”
“ก็ยังไม่มี”
ปรียากมลจ้องหน้าอัศนัย ดื่มด่ำลึกซึ้งมากขณะพูด “เรารักกันเหมือนเดิมได้มั้ย
อัศนัยจ้องตอบ สายตายิ้มนิดๆ
“ว่าไง”
“ไม่ได้”
“ทำไม” ปรียากมลถามทันควัน
“คุณทิ้งผมไปด้วยเหตุผลงี่เง่ามาก แค่ผมไม่ตามใจคุณ..ทั้งๆ ที่ไม่ตามใจคุณคือการถนอมคุณให้คุณบริสุทธิ์จนกว่าจะถึงวันที่...เราอาจจะแต่งงานกัน แต่คุณโกรธ..หายไปเลย....หายไปจากชีวิตผม คุณรู้มั้ยว่าผมแทบจะเป็นบ้า” น้ำเสียงอัศนัยเป็นปกติ ไม่ฟูมฟาย มีสำเนียงเยาะหยันลึกๆ “กินไม่ได้นอนไม่หลับ เรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง ผมนึกถึงตอนนั้นทีไรทุเรศตัวเองทุกที”
“ฉันก็เหมือนกัน ฉันโกรธคุณเพราะไม่คิดว่าคุณจะปฏิเสธ ฉันก็เป็นเหมือนคุณ กินไม่ได้นอนไม่หลับ เรียนไม่รู้เรื่อง”
อัศนัยหน้านิ่งๆ เพราะรู้แล้วว่าปรียากมลพูดไม่จริง เพียงแต่ยังไม่อยากเปิดเผยสิ่งที่ตนรู้ตอนนี้
“ทำไมเราจะรักกันเหมือนเดิมไม่ได้”
“เพราะ......ผม เคยเจ็บ....เจ็บแล้วต้องจำ”
ปรียากมลนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก
อ่านต่อหน้า 3
ดอกโศก ตอนที่ 4 (ต่อ)
กลางดึกคืนนั้น พอสมหวังรู้ตัวเลขที่เถ้าแก่เรียก ก็ตะโกนโวยวายเสียงดังลั่นออกมา
“เท่าไหร่นะ...แสนหนึ่ง....แสนหนึ่งเหรอ”
“ค่อยๆ หน่อย ตะโกนไปได้ ชาวบ้านเขาจะแตกตื่นกันหมด” สมใจด่า
“แล้วแกจะให้มันเหรอ...ฮะ แกจะให้มันเหรอยายใจ บ้าไปแล้ว ไอ้ป้อม มันเป็นอะไรก๊ะเรา...ฮะ เป็นอะไร” สมหวังเยาะ
“เป็นเด็กที่เราเห็นมาแต่เล็กแต่น้อย แม่ของมันดีกะชั้น เขาฝากมันไว้กะเรา”
“ฝากกะแกน่ะสิ ฉันไม่เกี่ยวเว้ย”
“ฉันรู้แล้วไม่ต้องบอก ฉันไม่เคยคิดว่าแกจะต้องเกี่ยว”
“อ้าว...ไม่รู้นี่ นึกว่าจะมาขอเงินฉัน”
สมใจมองเหล่
“ไม่ขอใช่มั้ย”
“ขอเงินแกเหรอตา....” สมใจพูดพาซื่อ “ฉันจะขอแกทำไมสติฉันยังดีอยู่”
ระหว่างนั้นดอกโศกกับสมปอง นั่งจับเจ่ามองดูตายายเถียงกัน จนเห็นสมหวังสะบัดหน้า เปิดมุ้งมุดเข้าไป ส่วนสมใจนั่งกุมขมับคิดหนัก
“น้าให้สองหมื่นที่โศกให้มายังไม่ได้ใช้ซักกะบาท” สมปองกระซิบ
“ไม่พอหรอกน้าปอง”
“แม่แกคงให้สามหมื่นของแกแต่ก็ไม่พอ ทำไงดี” สมปองกังวล
“แต่หนูไม่เอาเงินของยาย ของน้าปองหรอก น้าเก็บไว้เถอะ”
“แล้วจะเอาเงินมาจากไหน เอาเหอะ พรุ่งนี้น้าจะไปต่อเขา ขอจ่ายห้าหมื่นก่อน” สมปองลุกขึ้น ”นอน....ง่วงแล้ว” เดินหัวซุนไป
ดอกโศกคิดหนัก
ดอกโศกนอนไม่หลับ เดินออกมานอกบ้านยืนมองโทรศัพท์ในตู้แบบหยอดเหรียญ แล้วตัดสินใจยกหู ใส่เงิน กดเลขปลายทาง เป็นคนที่เธอคิดว่าจะช่วยป้อมได้
เวลานั้นปรียากมลคล้องแขนรอบคออัศนัย ปากต่อปากกำลังจะแตะกันอยู่แล้ว โทรศัพท์มือถือของอัศนัย ดังขึ้น
อัศนัยผละออกทันที ไปรับโทรศัพท์ พอกดรับ สายตัดไปทันที
ดอกโศกกดสายทิ้ง เงินหล่นคืน ดอกโศกเก็บเหรียญ แล้ววางสาย สีหน้าลังเล แต่แล้วก็ตัดสินใจก้าวออกไป
อัศนัยฟังโทรศัพท์ แล้ววาง
“ใครเหรอ”
“ไม่ทราบ...วางเสียก่อน”
“ดูเบอร์” ปรียากมลแนะ
“เบอร์บ้าน ไม่รู้จัก” พลางหยิบกุญแจรถ “ไป”
“ไปไหน” ปรียากมลอึ้ง
“กลับบ้าน” อัศนัยเดินผ่านไปเลย
ปรียากมลจับแขน มองสบตา “จะกลับจริงๆ เหรอ”
“จริง”
“คุณกลับไปก่อน ฉันจะนั่งเล่นสักครู่”
อัศนัยหัวเราะเบาๆ “ไม่เอาน่าปรียากมล อย่าใช้ไม้นี้กับผมไม่ได้ผลหรอกเพราะผมจะไปจริงๆ”
“ฉันก็จะอยู่จริงๆ”
อัศนัยจับแขนดึงให้เดิน “อยู่เล่นๆ ได้ อยู่จริงไม่ได้หรอก ที่นี่จะมีแต่ยามกับคนงาน คุณอยู่ไปก็ไม่สนุก ไปกับผมดีกว่า”
“ไปกับคุณแล้วสนุกเหรอ” ปรียากมลประชดในน้ำเสียง
อัศนัยหันมาเผชิญหน้า “คุณไม่ได้มีเวลาแค่คืนนี้คืนเดียวนะ” มองนัยน์ตาปรียากมล
ปรียากมลสบตา ทั้งสองอ่านความนัยกันสักครู่ ก็เข้ากอดอัศนัยเต็มแรงแบบเพื่อนต่อเพื่อน ไม่ส่งสัญญาณลึกกว่านั้น
“ฉันไม่มีเพื่อนเลยอัศนัย วันๆ ไม่รู้จะไปหาใครหรือไปทำอะไร ฉันไม่ได้อยู่เมืองไทยนานมากจน...รู้สึกแปลกไปหมด” ปรียากมลน้ำตาคลอหน่วยขึ้นมา
อัศนัยมองเห็นใจ ตบไหล่เบาๆ ปาดน้ำตาให้
“ฉันว้าเหว่จริงๆ นะ”
อัศนัยกอดไหล่ พาเดินไป ปรียากมลเดินตามไป
“จะไม่พูดอะไรเลยหรือ”
“หิวมั้ย...ผมจะพาไปทานข้าวต้มที่อร่อยที่สุด”
ปรียากมลนิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะบอก “ไป...” คลี่ยิ้มกว้างให้ “...หิวมาก”
สองคนเดินไปด้วยกัน เสียงพูดแว่วๆ มา
“ข้าวต้มที่ไหนเหรอ...อร่อยยังไง...ข้าวต้มอะไร”
“อีกซักครึ่งชั่วโมง”
“ทำไม”
“คุณก็จะรู้”
มีเสียงหัวเราะเบาๆ ของสองคน คลอกันไป
เวลาเดียวกัน ดอกโศกนอนครุ่นคิดหนักว่าจะช่วยป้อมอย่างไร
เช้าวันรุ่นขึ้น เพ็ญตระการโวยวายกับเพ็ญพักตร์ ว่าจะไม่ไปโรงเรียน
“ไม่อยากไปโรงเรียน...ไม่อยากไป”
“ไม่เอาน่ะอุ๊ รีบๆ แต่งตัวเข้า สายแล้วเดี๋ยวคุณตาคอย วันนี้แม่ไม่ไปส่งนะ”
“ให้คอยไปสิคุณแม่ ไม่เห็นต้องรีบเลย”
“อุ๊...”เพ็ญพักตร์เสียงเข้ม
อุ๊กระโดดขึ้น “ค่ะ...ค่ะ แค่ไปรับมันสายไปหน่อยคุณตาจะฆ่าอุ๊มั้ยคะ”
เพ็ญพักตร์ไม่ตอบ เปิดตู้หยิบชุดนักเรียนให้อุ๊
“อยากรู้จริงว่าคุณตาจะไปรับมันไปโรงเรียนอีกซักกี่วัน”
เพ็ญพักตร์รุนหลังลูกสาวให้เข้าห้องน้ำ “ไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้คุณตาก็เลิกเชื่อแม่ คุณตาทำอะไรซ้ำซากจำเจได้ที่ไหน”
“หรือไม่ก็เลิกเพราะมันกลับมา....มั้ยคะคุณแม่”
“มันไม่กลับหรอกแม่รู้นิสัยมัน มันเป็นคนตัดสินใจอะไรแล้วไม่เปลี่ยนใจ สิบปีที่แล้วมันตัดสินใจอยู่มันก็อดทนอยู่ ตอนนี้มันตัดสินใจไป...มันก็ไปแม่ไม่คิดว่ามันจะกลับมา”
เพ็ญพักตร์มั่นใจในความคิดตน
ไม่นานหลังจากนั้น ดอกโศกนั่งเคียงสุดเขตตรงที่นั่งด้านหลัง “คุณตาคะ”
“หือม์...ว่าไงลูก”
อุ๊ ได้ยินเสียงอ่อนโยนของคุณตาที่พูดกับดอกโศก
“หนูจะกลับมาอยู่กับคุณตาค่ะ”
สุดเขตยังไม่ทันตอบ อุ๊ที่นิ่งไปอึดใจ หันขวับมา “เธอว่าอะไรนะ”
“ฉันจะกลับบ้าน” ดอกโศกบอก
“ไม่ได้” อุ๊พูดเสียงดัง
ดอกโศกจ้องหน้าอุ๊นิ่งๆ “ทำไมไม่ได้”
“ออกไปแล้วไม่ต้องกลับมา”
สุดเขตนั่งนิ่งๆ ฟัง
“ไม่ได้มีใครพูดอย่างนั้นนี่”
“ฉันไง...ฉันพูดอยู่นี่ พูดอยู่นี่” เสียงอุ๊ดังมากขึ้น
“อุ๊...เราเป็นพี่น้องกันนะ ทำไม...”
“ไม่เป็น...ฉันไม่เป็นพี่น้องกับเธอ คนอย่างเธอฉันไม่เกี่ยวข้องด้วย”
“งั้นก็ไม่ต้องเกี่ยวข้อง เพราะฉันก็แค่กลับบ้าน”
อุ๊ พูดไม่ออกเหลือบมองสบตาคุณตา นัยน์ตาสุดเขตครุ่นคิดตรึกตรอง เหมือนกำลังอ่านพฤติกรรมหลานสองคน
“คุณตา...” อุ๊พยายามหาแนวร่วม
“ถึงโรงเรียนแล้ว ไปเรียนหนังสือก่อน..ทั้งสองคน”
ดอกโศก พนมมือไหว้คุณตา สุดเขตถามทันที
“อภิรมย์ฤดี จะกลับบ้านวันไหน”
“หนูมีเงื่อนไขอย่างหนึ่งที่จะขอคุณตาค่ะ ที่หนูจะกลับบ้านครั้งนี้”
“อะไรหรือ”
อุ๊นั่งนิ่งมองตรงไปข้างหน้า สีหน้าขัดแค้นใจ เจ็บใจจนแทบจะร้องไห้
ดอกโศกคิดสักครู่ “หนูจะเรียนคุณตาทีหลังค่ะ”
“ทำไมถึงคิดว่าจะไม่ให้อุ๊เขารู้ด้วย” สุดเขตถาม
อุ๊หันมา “อุ๊ไม่อยากรู้ ไม่ต้องบอกให้ได้ยิน ไปบอกกันสองคนแล้วกันค่ะ”
“อภิรมย์ฤดี...บอกมาเดี๋ยวนี้เลยเงื่อนไขอะไร”
“หนูขอโทษค่ะคุณตา หนูกลับบ้านแล้วจะเรียนคุณตาค่ะ”
“กลับบ้านแล้วถึงบอก แต่ถ้าตาไม่ตกลงตามเงื่อนไขนั้นล่ะ”
“หนูก็...ยังไม่ทราบเหมือนกันว่าจะทำยังไง” ดอกโศกไหว้แล้วลงไปทันที
“อุ๊..”
“คุณตา” น้ำเสียงเจือสะอื้นด้วยความคับแค้นใจ
“ไปเรียนหนังสือนะลูก เย็นนี้ตาจะมารับ”
อุ๊ นั่งก้มหน้า น้ำตาหยดเผาะ สุดเขตลงจากรถ เปิดประตู จังหวะนั้นมือนายพลชราสอดเข้าจับมือหลานสาว อุ๊ แหงนมองหน้าคุณตา น้ำตาปริ่ม ดอกโศกเห็นภาพนี้ด้วย
“ตาจะเดินไปส่งที่โรงเรียน” สุดเขตส่งผ้าเช็ดหน้าให้ “เช็ดน้ำตาเสีย”
ที่บริเวณทางเดินที่พ้นประตูโรงเรียนมาแล้ว อุ๊เดินมา เห็นคุณตาหันหลังเดินกลับไปที่รถ ดอกโศกที่คอยอยู่เดินเข้าไปหาอุ๊ เดินเคียงกันไปสักครู่
ดอกโศกหันไปหา “อุ๊...”
เพ็ญตระการนัยน์ตามองตรงไปข้างหน้า เท้ายังก้าวเดินอย่างมั่นคง สีหน้าเกลียดชัง น้ำตาคลอ “ไปให้พ้น” พูดเสียงในลำคอ
“ฉันอยากบอกว่า....” ดอกโศกเดินตาม
“บอกว่าไปให้พ้น”
“อุ๊” ดอกโศกเรียกอีก
อุ๊หยุด หันมาด่าๆๆ “เกลียด...รู้มั้ยว่าเกลียด...เกลียดเข้าไส้ ต่อไปอย่ามาพูดว่าเราเป็นพี่น้องกันรู้ไว้ด้วยว่าฉันไม่มีวันจะนับพี่นับน้องกับเธอ เพราะเธอมันเป็นแค่เศษขยะที่มาติดชายกระโปรงฉันเท่านั้น” อุ๊พูดแค่นั้นก็เดินหนีไปทันที
ดอกโศกยืนนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ สีหน้าเจ็บปวดลึกซึ้งมาก
เช้าวันหยุด ในบริเวณสวนสวยแห่งนั้น ดอกโศกหลับตานิ่ง สีหน้าเจ็บปวด อัศนัยกำลังนั่งมองใบหน้า พอดอกโศกลืมตา มีน้ำตาจางๆ ยิ้มนิดๆ แต่แฝงความขมขื่นให้อัศนัยเห็น
“ดอกโศกบอกคุณนัยได้หรือยังที่ว่ามีเรื่องจะขอให้คุณนัยช่วย”
“บอกได้แล้วค่ะ ดอกโศกจะขอยืมเงินคุณนัยหนึ่งแสนบาทจะได้มั้ยคะ”
อัศนัยแม้จะฉงน แต่ระงับอารมณ์ “ได้สิ ทำไมจะไม่ได้”
“ขอบคุณค่ะ” ดอกโศกไหว้อัศนัย
“มีข้อแม้อย่างเดียว ต้องบอกคุณนัยว่าจะเอาเงินไปทำอะไร”
“ค่ะ ดอกโศกต้องบอกอยู่แล้วจะเอาไปให้ป้อมค่ะ”
“อ๋อ...ค่ามอเตอร์ไซค์ ต้องให้เขาถึงแสนหรือ”
“ค่ะ”
อัศนัยเพ่งมอง “ไม่ได้กลุ้มใจเรื่องเดียวใช่มั้ย”
ดอกโศกถอนใจยาว
“บอกคุณนัยให้หมดไม่ได้หรือ”
“ดอกโศกเรียนคุณตาว่าจะกลับไปอยู่บ้านคุณตา คิดว่าจะขอคุณตาหนึ่งแสนบาท ไปให้ป้อมค่ะแต่..จะไม่ขอแล้ว” ดอกโศกตัดสินใจเล่าเรื่องให้ฟังหลังจากมาถึงบ้านอัศนัยแล้ว
“งั้นหรือ แปลว่าเปลี่ยนใจขอยืมคุณนัย เพราะอะไรหรือ”
“เพราะไม่อยากมีเรื่องขัดใจอุ๊ อุ๊เขาไม่อยากให้ดอกโศกกลับไป”
“เขาบอกหรือ”
“ค่ะ อุ๊บอกต่อหน้าคุณตา”
“คุณตาว่าไง”
ดอกโศกหน้าหมองลงนิดหนึ่ง “คุณตา...”
ดอกโศกนิ่งไป คิดถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าวันก่อนที่คุณตาจับมือปลอบอุ๊
“คุณตาคงลำบากใจมาก ดอกโศกเห็นใจคุณตา ก็เลยเปลี่ยนใจ”
อัศนัยเพ่งมอง “ไม่จริงหรอก คุณนัยรู้ว่ามีอะไรมากกว่านั้น ใครว่าอะไรให้เสียใจหรือดอกโศก”
ดอกโศกส่ายหน้า
อัศนัยไม่เชื่อ “อุ๊ว่าอะไร”
ดอกโศกกัดปากแน่น พยายามกลั้นน้ำตาแต่กลั้นไม่อยู่ น้ำตาหลั่งไหล สะอื้นจนตัวโยน ปาดน้ำตาอยู่ไปมา
อัศนัยสงสารเหลือเกิน ตบไหล่ปลอบโยน
ดอกโศกพูดไปสะอื้นไป “อุ๊...เขาเกลียดดอกโศกมาก ที่จริงดอกโศกรู้อยู่แล้วว่าเขาเกลียดคุณป้าเพ็ญพักตร์ก็เกลียด แต่ดอกโศกไม่ทราบว่าเขาเกลียดมากขนาดนี้ คนเกลียดกันมากแบบนี้จะอยู่บ้านเดียวกันได้ยังไงคะคุณนัย...ดอกโศกไม่กลับไปหรอก”
“ถูกแล้วถึงคุณนัยจะไม่ค่อยอยากให้ดอกโศกอยู่กับยายเท่าไหร่แต่เห็นด้วยว่าถ้า เขาเกลียดขนาดนั้นก็ไม่ต้องไปอยู่กับเขา”
“แล้วดอกโศกจะหาเงินใช้คุณนัยนะคะ”
“จะหาจากที่ไหน”
ดอกโศกตอบซื่อๆ “ไม่ทราบค่ะ”
อัศนัยหัวเราะเสียงดัง “โธ่เอ๊ย...เด็กเอ๊ย”
“หัวเราะเยาะไปก่อนเถอะค่ะคุณนัย ดอกโศกจะเป็นเด็กตลอดไปหรือคะ” ดอกโศกค้อนนิดๆ
“โอเค...วันหนึ่งเด็กคนนี้ก็ต้องโต” อัศนัยว่า
“ก็ต้องหาเงินได้...รับรองสิน่า” ดอกโศกยิ้มกว้าง
“เชื้อ...เชื่อ แต่ไม่ใช่ขายหนังสือพิมพ์นะ อย่างนั้นคุณนัยจะแก่ซะก่อนจะได้เงินคืน”
“ดอกโศกไม่เห็นคุณนัยจะแก่เลย ตั้งแต่ดอกโศกเป็นเด็กคุณนัยก็หนุ่มแบบนี้แหละค่ะ”
อัศนัยหัวเราะชอบใจ “เออ คิดว่าคุณตาจะโกรธมั้ยที่ดอกโศกไม่เอาเงินคุณตา แต่เอาเงินคุณนัยแทน”
“คงโกรธค่ะ แต่คุณตายังไม่รู้เรื่องเงินค่ะ” ดอกโศกว่า
สมปองซิ่งตุ๊กๆ มา ผ่านรถสุดเขตที่จอดอยู่ สุดเขตยืนโบกมือให้ สมปองขับเลยแล้วถึงเห็น
“เฮ๊ย...ผู้โดยสาร”
สมปองเลี้ยวรถขวับไปฝั่งตรงข้าม แล่นไปสับสิบยี่สิบเมตรเลี้ยวอีกขวับ จอดรับสุดเขตที่ก้าวขึ้น
“ขับไปเรื่อยๆ ขอถามอะไรหน่อย” สุดเขตสั่ง
สมปองขับออกอย่างเผลอตัว แล้วร้องเสียงดัง “เฮ๊ย...
รถวูบเข้าไปจอดกึก สมปองกระโดดลงหน้าตื่น
“คุณตา...เอ๊ย....ท่าน”
“เอาเถอะไม่ต้องเรียกฉันท่านหรอกเรียกคุณตาก็ได้”
“เฮ้ย ไม่ได้ เดี๋ยวเหากินกบาล เอ้ย กินหัว....ฮะ”
“เรียกได้เท่ากับเรียกว่าคุณตาของอภิรมย์ฤดี” สุดเขตลงจากรถ
“โห....ยาวอ่ะ”
สุดเขตถอนใจ “บอกฉันหน่อยว่าทำไมอภิรมย์ฤดีถึงไม่ยอมไปอยู่กับฉันทั้งๆ ที่บอกฉันตั้งแต่วันก่อนแล้วว่าจะไป”
“โศกมันบอกจะไปอยู่กับคุณตาเหรอฮะ”
“บอก”
“ไม่เห็นรู้เลยบอกว่าไง......ฮะ” สมปองไม่อยากเชื่อ
“บ๊ะ ก็บอกว่าจะไปอยู่กับฉันน่ะสิ แล้วจะขออะไรฉันแลกเปลี่ยนอย่างหนึ่ง แต่สุดท้ายก็บอกว่าไม่ขอแล้วและไม่ไปอยู่กับฉันด้วย”
สมปองตั้งใจฟังมาก สายตาคิดตามตลอด “อ๋อออ...รู้แล้วฮะ สงสัยจะเงินแสนนึง นั่นแหละ”
สุดเขตฉงนก่อนแล้วรับสมอ้าง “ฉันก็ว่าเพราะเงินแสนนั่นแหละ”
สมปองยิ้มกว้างขวาง “ใช่แล้วฮะ” ไหว้ลา “ไปนะฮะ” กระโดดขึ้นรถทันที
“เดี๋ยว ฉันรู้ว่ามีคนให้เงินแสนนั้นแต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ฉันอยากขอบใจเขา”
“เขายังไม่ได้ให้หรอกฮะ แต่เขาบอกว่าจะให้ ก็เพราะเถ้าแก่ไอ้ป้อมยังไม่มาเอาเงิน ตอนนี้คงรอไอ้ป้อมออกมาจากสถานพินิจก่อน”
สมปองพูดจบก็เบิ้ลรถ บรื๋อ...บรื๋อ ตั้งท่าจะไป
คุณตาจับแฮนด์รถไว้มั่น “ใคร”
“ใครเหรอฮะ”
“ใครให้เงิน” สุดเขตสงสัยนัก
“ก็คุณอัศนัยไงฮะ”
เย็นวันนั้นสุดเขตเพ่งมองที่ประตูบ้าน หน้าตาเคร่งขรึม และกำลังรอคอยบางอย่าง ครู่ต่อมาอัศนัยเดินเข้ามา สีหน้าสุดเขตดีขึ้น อัศนัยไหว้ สุดเขตผายมือเชิญให้นั่ง
“ผมมีเรื่องจะถามคุณ...เรื่องสำคัญ”
อัศนัยระงับอารมณ์ “ครับ”
“คุณจะให้เงินอภิรมย์ฤดีหนึ่งแสนบาทหรือ”
เจอเข้าจังๆ ตรงๆ อัศนัยตกใจนิดหน่อย
“ขอโทษที่ถามคุณเรื่องนี้ ไม่ได้ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกันก่อน คุณสบายดีอยู่รึ” สุดเขตรู้สึกตัว
“สบายดีครับ ขอบพระคุณ...ครับ ผมให้ดอกโศกหนึ่งแสนบาท”
สุดเขตถามขึ้นทันควัน “ทำไมคุณถึงให้ คุณไม่คิดหรือว่าอภิรมย์ฤดีมีตาที่มีเงินจะให้หลานได้ เขาไม่ใช่เด็กขายหนังสือพิมพ์ข้างถนนแล้วนะคุณ”
อัศนัยนิ่งอึ้งไป ตอบไม่ถูก
“ผมเข้าใจว่าอภิรมย์ฤดีคงจะขอเงินคุณ หรือว่าคุณเสนอให้เงินเขาเอง”
“เปล่าครับ”
“เขาบอกคุณรึเปล่าว่าผมจะให้เขาอยู่แล้ว”
“ไม่ได้บอกครับ”
“ผมไม่เข้าใจอภิรมย์ฤดีกำลังจะกลับบ้านแลกกับเงื่อนไขบางอย่างที่ผมเดาว่าน่า จะเป็นเงินหนึ่งแสนบาทนี้ แต่แล้ววันรุ่งขึ้นเขาก็เปลี่ยนใจไม่กลับบ้านและไม่พูดเรื่องเงิน คุณรู้ไหมว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนใจไปขอเงินจากคุณ”
อัศนัยนิ่ง พูดไม่ออกอีก
“เป็นอันว่าคุณรู้ อยู่ที่ว่าคุณจะบอกหรือไม่บอกเท่านั้น”
“ผม...ขอสงวนสิทธิ์ของดอกโศกครับท่าน ผมต้องขอประทานโทษด้วย”
“ไม่เป็นไร ผมเข้าใจผมไม่เซ้าซี่ถามคุณหรอก แต่อยากจะขอร้องอะไรคุณสักอย่างคุณอัศนัย”
“ครับท่าน”
“อย่าให้เงินอภิรมย์ฤดี”
อัศนัยอึ้งไปอึดใจหนึ่ง “ผมสัญญาแล้วครับว่าจะให้”
สุดเขตถอนหายใจยาว “ผมอยากให้หลานกลับบ้าน คุณเป็นคนเดียวที่จะช่วยผมได้”
ทั้งคู่สบตากันอย่างแรง
เพียงไม่นานต่อมา สองคนเดินออกมาจากตึกใหญ่ด้วยกัน อัศนัยไหว้ลา
“คุณยังไม่รับปากคุณอัศนัย”
“ผมเป็นคนเดียวที่จะช่วยดอกโศกได้เหมือนกันครับ”
สุดเขตของขึ้นทันที “คุณหมายความว่ายังไง ไม่เห็นใจกันเลยรึ อภิรมย์ฤดีเป็นหลานสาวของผม เขาควรจะมาอยู่ที่นี่ เป็นหลานของพลเอกสุดเขต รัตนชาติพัลลภ มากกว่าเป็นหลานของยายสมใจนามสกุลอะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นเหตุผลกันบ้างเลยหรือ...ฮะ” กระแทกไม้เท้าอย่างแรง “นี้มันบ้าอะไร” พึมพำอยู่ในลำคอ
อัศนัยเถียงเสียงแข็งเหมือนกัน) ผมจะให้เงินดอกโศก ถ้าดอกโศกต้องการเงินจากผม
สุดเขตขัดทันที “แล้วนังดอกโศกมันเป็นอะไรกับคุณ คุณถึงต้องเอาเงินมาให้มันตั้งแสนบาท”
“ถ้าดอกโศกเอ่ยปากกับผม แสดงว่าดอกโศกมีเหตุผลสมควร ผมเชื่อในเหตุผลนั้น” อัศนัยว่า
“ฉันถามว่ามันเป็นอะไรกับคุณ” สุดเขตเสียงดัง
“ท่านก็ทราบว่าผมไม่มีคำตอบ แต่ดอกโศกเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีสิทธิ์เลือกที่จะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร และผมเคารพสิทธิ์อันนั้นครับ”
“non-sense มันยังเป็นเด็กอายุ 16 คุณไม่ต้องตัดสินอย่างอุดมคติแบบนั้นหรอก มันเพ้อฝันเกินไป เด็กขนาดนี้มันต้องทำอะไรอย่างที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายสั่งสอน อย่าเพิ่ง..” ยกมือห้าม “....รอให้เขาโตเสียก่อนค่อยเล่นเรื่องสิทธิ์อะไรของคน” น้ำเสียงเยาะในที
“ผมเพียงแต่เห็นว่าดอกโศกไม่มีความสุข อะไรที่ดอกโศกมีความสุขผมจะทำครับ”
“คุณคิดยังไงกับหลานผม” สุดเขตหันมาคาดคั้น
อัศนัยไม่ตอบคำถามนั้น แต่บอกด้วยน้ำเสียงมั่นคง “ผมแคร์ความสุขของดอกโศก เพราะเขาเป็นเด็กที่มีความสุขน้อยกว่าความทุกข์ เด็กที่เกิดมามีแต่ความทุกข์ เป็นเด็กที่น่าสงสารที่สุดครับ”
“ทำไม ? ทำไมคุณถึงแคร์มัน” สุดเขตซัก
“ผมเห็นดอกโศกครั้งแรก นั่งพักจากขายหนังสือพิมพ์ กำลังเศร้า ไม่ทราบเพราะอะไร หลังจากนั้นเกือบทุกครั้งที่ผมเห็น...ผมเห็นดอกโศกกำลังร้องไห้ น้ำตาเต็มหน้า เด็กผู้หญิงคนหนึ่งโตขึ้นมามีแต่น้ำตาเป็นเพื่อน....ผมสงสารครับ”
สุดเขตนิ่งไป
“ผมจะไม่แคร์เลยถ้าดอกโศกโวยวาย คร่ำครวญตีโพยตีพายกับชีวิตตัวเอง แต่ผมไม่เคยเห็น ผมเห็นแต่ความอดทนเข้มแข็ง ที่สำคัญก็คือเขาเป็นเด็กที่ให้คนอื่นตลอดเวลา ชีวิตดอกโศกมีแต่ give ครับท่าน ไม่เคย take อะไรจากใคร”
สุดเขตพูดไม่ออก
“แค่นี้เท่านั้นครับท่านที่ผมคิดกับหลานของท่าน” อัศนัยไหว้อย่างนอบน้อมแล้วหันหลังเดิน จากไป
สุดเขตนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ สีหน้าหมองลงเห็นได้ชัด
อ่านต่อตอนที่ 5 เวลา 9.30 น.