หนุ่มบ้านไร่กับหวานใจไฮโซ ตอนที่ 5
ปราบเดินเข้ามาในบ้าน หยิบหนังสือพิมพ์มานั่งอ่าน ขณะเดียวกันนั้นมือถือของนับดาวดังขึ้น ชายหนุ่มไม่สนใจ แต่เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเขาทนรำคาญไม่ไหวจึงเดินเข้าไปในห้องกดวางสาย แล้วเดินออกมา
แต่ยังไม่ทันพ้นประตู มือถือก็ดังอีก เขาจึงตัดสินใจรับสาย
“สวัสดีครับ”
ชนะชัยอึ้งไปพักนึง
“เอ่อ...ขอสายคุณนับดาวครับ”
“ไม่อยู่ครับ”
“เขาไปไหน แล้วคุณเป็นใคร”
“เย็นๆโทรมาใหม่แล้วถามเขาเองแล้วกันครับ ผมขี้เกียจอธิบาย”
“เดี๋ยว บอกผมก่อนว่าคุณเป็นใคร แล้วทำไมนับดาวไม่มารับสาย”
“สวัสดีครับ”
ปราบกดวางสาย วางมือถือลง มือถือดังทันที ปราบกดปิดเครื่องแล้วเดินออกไป
นับดาวเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวจะออกจากโรงพยาบาล ใช้โทรศัพท์สาธารณะในโรงพยาบาล โทรหาปราบ
“นายปราบฉันหายแล้ว มารับฉันกลับไปที”
ปราบพูดสายโดยมีเสียงช้างร้องแทรกเข้ามา
“ตอนนี้ผมไม่ว่าง ผสมเทียมช้างอยู่”
“อะไรนะ ไม่ได้ยินเลย”
“กำลังรีดน้ำเชื้อช้างอยู่” เสียงช้างร้องดังกว่าเดิม “คุณออกจากโรงพยาบาล เดินไปที่ตลาดมีรถประจำทาง คันสีแดงๆ สายนี้วิ่งผ่านหน้าไร่ ส่วนเงินค่ารถเอาที่ไอ้หมอก่อนแล้วกัน เข้าใจมั้ย”
“จะบ้าเหรอ รถประจำทางอะไร ฉันไม่เคยขึ้น ขึ้นไม่เป็น เดี๋ยวหลงทางขึ้นมาจะว่ายังไง แล้วอยู่ๆจะให้ฉันไปขอยืมเงินคนไม่รู้จักเนี่ยนะ ทุเรศ ฉันทำไม่ได้หรอก มารับฉันเดี๋ยวนี้นะ”
เสียงปราบหายไปมีแต่เสียงช้างร้องโหยหวนดังลั่น แล้วปราบก็วางสาย
“รีดอะไรไม่รีด ไปรีดน้ำเชื้อช้าง ระวังจะโดนช้างเหยียบตายละกัน”
นับดาวบ่นอย่างหงุดหงิด
ในตลาด มีรถสองแถวสีแดงคันหนึ่งจอดอยู่ คนขับกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รอผู้โดยสาร นับดาวเดินขึ้นมานั่งด้านหลัง มีผู้โดยสารอยู่ 3-4 คน หญิงสาวมองไปที่คนขับ เห็นคนขับยังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์นิ่งๆ เธอมองอย่างเซ็งๆ ก่อนจะหันมาสังเกตเห็นผู้โดยสารสองคนใส่เสื้อไร่ปรีดา เป็นคนงานในไร่นั่นเอง คนงานทั้งสองนินทากันโดยไม่ทันสังเกตนับดาว
“เมื่อวานเห็นมีคนไปล้างคอกวัว ใครอ่ะ คนงานใหม่เหรอ”
“เออ เห็นบอกนายปราบเพิ่งรับเข้ามา มาจากกรุงเทพนะเว้ย แต่โดนงานหนักๆทั้งนั้น”
“ทำอะไรมั่งเหรอ”
“ก็ล้างคอกวัว นานทีปีหนถึงจะล้างคอกวัวกันที ยัยนี่มาถึงก็โดนเลย”
นับดาวหูผึ่ง
“แล้วยังต้องอาบน้ำวัวด้วยนะ ดีไม่โดนวัวมันเตะเอา”
“ปกติพวกเข้ามาทำงานใหม่ๆ เขายังไม่ให้อาบน้ำวัวนี่นา”
“ก่อนหน้านั้นก็โดนไปให้อาหารตัวเงินตัวทอง ทุกทีให้อาหารอยู่นอกบ่อโยนเข้าไปใช่มั้ย แม่นี่โดนให้เดินเข้าไปให้อาหารกลางบ่อเลย ร้องไห้น้ำหูน้ำตาแตก”
“โห เป็นข้า ข้าก็ไม่กล้า งานแต่ละอย่าง พวกเราชาวไร่แท้ๆยังทำไม่ไหวเลยนะ”
นับดาวกัดฟันกรอดๆ แข็งใจเงี่ยหูฟังต่อ
“เด็ดสุดต้องวันแรกเว้ย โดนใช้เดินเก็บขี้วัว ฮ่าๆๆ ทำงานมาเป็นสิบปี เพิ่งเคยเห็นคนเดินเก็บขี้วัวนี่แหละฮะๆๆ”
นับดาวกำมือแน่น หน้าตาเคียดแค้นมาก
“นายปราบ...กล้าหลอกฉันใช่มั้ย...”
นับดาวเข้ามาในห้อง เหนื่อยแฮ่ก เธอหยิบมือถือมาเปิดเครื่อง เจอเบอร์ชนะชัยโทรเข้ามา นับดาวรีบโทรกลับ
“สวัสดีค่ะจ๊อบ...ค่ะ ก็บวชชีพราหมณ์ไงคะ...อะไรนะคะมีผู้ชายมารับสาย แถมพูดจาไม่ดีอีก...เอ่อ...อ๋อ ดาวลืมมือถือไว้ข้างนอกตอนนั่งสมาธิน่ะค่ะ คงเป็นเจ้าหน้าที่เขารำคาญเลยรับสายให้ เลยอาจจะพูดจาห้วนๆไปบ้าง เพราะที่นี่ห้ามส่งเสียงรบกวนน่ะค่ะ...ค่ะ...คิดถึงเหมือนกันค่ะ...อุ๊ย จุ๊บไม่ได้หรอกค่ะ บวชอยู่นะคะ อย่าลืมสิคะ...ค่ะ สวัสดีค่ะ”
นับดาววางสาย
“นายปราบ...ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ”
ค่ำนั้น นับดาว ปราบ น้อยหน่า กินข้าวกัน มีป้ายวงคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ ป้ายวงมองนับดาวอย่างเป็นห่วง
“พรุ่งนี้คุณดาวพักผ่อนก่อนดีกว่านะคะ อย่าเพิ่งออกไปทำงานเลย เดี๋ยวเป็นไข้ซ้ำ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะป้า ดาวรับมือไหวค่ะ”
“พักเถอะค่ะ อย่าหักโหมเลย ไม่ต้องเกรงใจใครหรอกค่ะ ยังไงซะสุขภาพก็สำคัญที่สุด”
ป้ายวงค้อนปราบ แต่เขาทำหูทวนลม ขณะเดียวกันนั้นมือถือปราบดังขึ้น เขากดรับสาย
“สวัสดีครับ...หา...อะไรนะ...ครับๆๆ ได้ครับ ไปเดี๋ยวนี้แหละครับ”
ปราบวางสายแล้วหันไปหาน้อยหน่า
“เคสด่วน ไปช่วยพ่อเตรียมของหน่อย”
“ที่ไหนเหรอคะ”
“บ้านลุงเย็น”
“บ้านลุงเขาอยู่บนเขาไม่ใช่เหรอคะ”
“อื้อ อาจจะกลับเช้าก็ได้”
ปราบกับน้อยหน่าลุกจากโต๊ะ ป้ายวงหันไปบอกนับดาว
“เป็นอย่างงี้บ่อยๆค่ะ สัตว์ป่วยเป็นไอ้นู่นไอ้นี่เขาก็โทรตามคุณปราบกัน คุณปราบก็ไปให้ ทั้งๆที่บางทีก็ไม่ได้ฉุกเฉินอะไร แต่รักษาน้ำใจกันน่ะค่ะ”
นับดาวพยักหน้าเข้าใจ แอบยิ้ม
นับดาวรีบย่องไปที่รถของปราบ หยิบมีดพับออกมา จิ้มไปที่แก้มยางจึ้กๆสองล้อ
“โชคดีนะ ขอให้ยางแบนกลางป่าละกันนะ”
หญิงสาวเก็บมีด ลุกขึ้น กำลังจะกลับเข้าบ้าน เจอปราบกับน้อยหน่าเดินมาพอดี น้อยหน่าช่วยถือของมาด้วย ปราบมองอย่างสงสัย
“คุณมาทำอะไร”
นับดาวอึกอัก
“เอ่อ...ก็...”
น้อยหน่าเก็บของขึ้นรถเสร็จก็เข้ามาถาม
“พี่ดาวจะไปด้วยเหรอคะ หน่าว่าพี่อยู่พักก่อนดีกว่า”
“อืม ตอนแรกก็ว่าจะไปด้วย แต่คิดอีกที น้อยหน่าพูดถูกแล้วล่ะ ฉันอยู่พักผ่อนดีกว่า”
นับดาวเดินกลับไปที่บ้าน แต่ปราบเรียกไว้
“เดี๋ยว คุณไปด้วยก็ได้” ปราบหันไปบอกลูกสาว “ก็ดีเหมือนกัน พ่อจะได้มีลูกมือพูดกันเข้าใจหน่อย ครั้งที่แล้วเจอพวกมึนๆเข้าไป สั่งอีกอย่างได้อีกอย่างตลอด...หน่ากลับเข้าบ้านเถอะ ไม่มีอะไรละ” ปราบหันไปสั่งนับดาว “ขึ้นรถเลย อย่าเสียเวลา”
น้อยหน่าเดินกลับบ้านไป นับดาวหน้าเหวอ
“เอ่อ...”
“ถ้าปวดฉี่ อั้นไปฉี่ที่บ้านลุงเย็น”
ปราบจับต้นแขนนับดาวให้เดินขึ้นรถเร็วๆ ก่อนที่เขาจะเดินมาขึ้นอีกฝั่ง สตาร์ทเครื่อง ขับออกไปทันที
รถปราบวิ่งมาที่ทางขึ้นเขา แคบๆสองเลน สองข้างเป็นป่าทึบ มืดตื๋อ รถปราบวิ่งมาเอื่อยๆ แล้วก็จอดลงข้างทาง เขาลงจากรถมาพร้อมไฟฉายมาดูยางที่แบนแต๋ นับดาวลงมาจากรถ เห็นยางสองข้างแบนก็ชะงักอึ้ง
“อุ๊ย...ว้าย...ยางแบน”
ปราบแปลกใจ
“แต่ผมสงสัยว่าทำไมมันแบนพร้อมกันสองล้อเลย”
นับดาวร้อนใจรีบเออออ
“นั่นสินะคะ”
ปราบตัดใจ เปิดประตูรถ หยิบกระเป๋าที่มีอยู่สองใบ ส่งให้นับดาวใบหนึ่ง
“เอ้า เอาไป”
นับดาวงงๆ เอามาทำไม ปราบหยิบไฟฉายในรถ ส่องทาง ปิดไฟหน้ารถ ล็อครถ
“ตามมา เร็ว”
นับดาวอึ้งๆ
“ปะ ปะ จะไปไหน”
“อีกนิดเดียวก็จะถึงบ้านลุงเย็นแล้ว เดินไปก็ได้”
“ไม่เอา นี่มันมืดตื๋อเลย คุณอยากไปก็ไปคนเดียวสิ เอากุญแจรถมาฉันจะรอในรถ...นายปราบ”
ปราบไม่สนใจ เดินพรวดๆ นับดาวมองซ้ายมองขวาหวาดๆ รีบจ้ำตามไป
ป้าพูเดินนำปราบกับนับดาว ที่หอบแฮ่กๆเข้ามาในบริเวณบ้าน
“พอดีลุงเขาไปที่อื่น เอารถไปด้วย ป้าเลยไม่รู้จะทำยังไง ก็ลองโทรตามดู ไม่รู้คุณปราบจะมามั้ย เพราะคุยกันครั้งที่แล้วเราก็ทะเลาะกัน”
ปราบตอบไปหอบไป
“อย่าคิดมากเลยครับ เรื่องเข้าใจผิดกันน่ะครับ”
“อ้ะ ดูหน่อยสิว่าช่วยมันได้มั้ย”
ป้าพูเปิดประตูห้องเล็กๆห้องหนึ่ง เจอผู้หญิงคนหนึ่ง ท้องแก่ น้ำคร่ำเดินไหลนอง นับดาวก็อ้าปากหวอปราบตะลึงพรึงเพริด
“ไหนป้าบอกควายท้องแก่”
“ป้าไม่กล้าบอกว่าเป็นคน กลัวหมอไม่มา”
“แล้วทำไมต้องโทรหาผม ทำไมไม่ให้คนแถวนี้พาไปส่งโรงพยาบาล”
“ไม่เอา พาไปโรงพยาบาลเจ้าหน้าที่เขาจะนึกว่ามันเป็นคนของป้า ป้าก็เดือดร้อนสิ มันเป็นใครก็ไม่รู้ พูดไทยก็ไม่ได้ วานซืนมาขอข้าวขอน้ำแล้วก็ขอนอนค้างด้วย ป้าเห็นท้องแก่ก็ไม่กล้าไล่ ไม่รู้จะทำยังไง คุณปราบจะเอายังไงก็เอาเลย ป้าไม่เกี่ยวนะ ขอแค่อย่ามาตายบ้านป้าล่ะ”
ป้าพูเดินออกไปทันที นับดาวหันมาถามปราบเสียงเครียด
“เอาไงล่ะ โทรหาคุณปกป้องมั้ย”
ปราบถอนใจ
“ตอนนี้เมาอยู่แน่ๆ ถึงมาก็ไม่ทันแล้วล่ะ เราต้องรีบช่วยผู้หญิงคนนี้ทันที”
นับดาวหน้าเหวอ
“เรา...เราโทรตามรถโรงพยาบาล รถตำรวจ รถมูลนิธิ อะไรก็ได้ แล้วรอเขามาช่วยเถอะ นี่คนนะ”
“ไม่ทันแล้ว กว่ารถจะขึ้นเขามา ถ้ายางเราไม่แบนยังพอพาไปตอนนี้ได้”
“แล้วถ้า...ผิดพลาดขึ้นมา มีคนตายล่ะ”
ปราบไม่สนใจนับดาวแล้ว คลำท้องผู้หญิงคนนั้นทันที
“อันตรายมาก”
นับดาวได้ยินแล้ววิ่งหนีออกมาทันที ปราบตะโกนเรียก
“คุณดาว ผมต้องมีคนช่วย ผมทำคนเดียวไม่ได้”
นับดาววิ่งออกมาตั้งหลักไกลมาก แทบจะถึงถนนหน้าบ้าน เธอทำอะไรไม่ถูก สับสนมาก
“อะไรเนี่ย...ทำไมฉันต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย นายปราบก็ไม่มีใบอนุญาต เกิดเขาตายขึ้นมา ฉันก็ซวยไปด้วยสิ แค่นี้ก็ซวยสุดๆแล้ว...แต่ว่า...”
นับดาวทั้งลังเลและสับสน
ในบ้านเวลานั้น...ปราบพูดกับผู้หญิงท้องแก่อยู่
“พอฟังภาษาไทยออกบ้างมั้ย ภาษาไทยน่ะ”
ผู้หญิงท้องแก่พยักหน้า แต่ดูก็รู้ว่าฟังออกน้อยมาก
“ฉันจะช่วยเธอเองนะ”
ผู้หญิงท้องแก่บิดตัวไปมา ท่าทางเจ็บปวดมาก ปราบหันไปเปิดกระเป๋าเครื่องมือ ผู้หญิงบิดกาย ขาป่ายมาเกือบโดนกระเป๋าเครื่องมือ เขาจึงยกกระเป๋ามาห่างๆ หาของในกระเป๋า ผู้หญิงร้องลั่น ปราบต้องวางกระเป๋ามาดูผู้หญิง
“เป็นไงบ้างแล้ว”
ชายหนุ่มหันรีหันขวาง ดูวุ่นวายสุดๆ นับดาวโผล่หน้าเข้ามา
“มา จะให้ฉันทำอะไรก็สั่งมาเลย”
ปราบยิ้มออก
ป้าพูหน้านิ่วอยู่หน้าบ้าน ท่าทางกระวนกระวาย คอยเงี่ยหูฟัง มีเสียงหญิงท้องแก่ร้องลั่นเป็นช่วงๆ สลับกับเสียงปราบกับนับดาว
“ใส่หน้ากากกับถุงมือซะ หยิบเบตาดีนมาให้ผม...บอกว่าเบตาดีน...”
“ก็เห็นมันสีคล้ายๆกันนี่นา อย่าดุสิ”
“ใครสั่งให้ถอดหน้ากาก ใส่กลับเข้าไปเดี๋ยวนี้...เอาอันใหม่สิ อันนี้มันเปื้อนน้ำลายคุณแล้ว...หยิบไอ้ขวดนั้นมา...หยิบไอ้นั่นมาเตรียมไว้ด้วย บอกว่าไอ้นั่น...เออ นั่นแหละ”
“นี่ เขาร้องใหญ่แล้ว ทำอะไรสักอย่างสิ ว้าย นั่นอะไร เด็กรึเปล่า”
“คุณคอยสื่อสารกับเขานะ...บอกให้เขาเบ่งเป็นจังหวะนะ สลับกับหายใจ ทำท่าให้เขาทำตามนะ”
“เบ่งยังไง ฉันไม่เคยคลอดลูกนะ”
“เดี๋ยวผมจะบอกคุณเอง”
สักพักเสียงปราบกับนับดาวก็เงียบไป เสียงผู้หญิงท้องแก่ร้องดังขึ้น ป้าพูเดินวนเวียน พนมมือไหว้ฟ้าไหว้ดิน
“อย่าเป็นอะไรเลยนะเจ้าประคู้น”
สักพักก็มีเสียงเด็กร้องอุแว้ดังลั่น แสงเงินแสงทองจับขอบฟ้าพอดี
ท้องฟ้าสว่างแล้ว รถโรงพยาบาลจอดอยู่ในบริเวณบ้าน เจ้าหน้าที่ช่วยกันเข็นเตียงที่มีหญิงแม่ลูกอ่อนนอนกอดลูกออกมา กำลังจะพาไปขึ้นรถ ปราบกับนับดาวเสื้อผ้าเปื้อนเลือด ยืนดูอยู่ นับดาวคุยมือถือไปด้วย
“ค่ะ...ค่ะ...ขอบพระคุณมากนะคะคุณหญิง...คิดถึงเช่นกันค่ะ สวัสดีค่ะ”
นับดาววางสายหันมาบอกปราบ
“ทางมูลนิธิของคุณหญิงเขารับดูแลคนไข้คนนี้ให้แล้ว อย่างน้อยก็ให้พักฟื้นจนแข็งแรงทั้งแม่และลูก แล้วค่อยส่งกลับประเทศเขาไป”
“ขอบคุณคุณแทนผู้หญิงคนนั้นด้วยนะ ที่ช่วยเป็นธุระให้”
“ฉันก็ขอบคุณคุณแทนผู้หญิงคนนั้นเหมือนกัน ที่ช่วยชีวิตเธอและลูกไว้”
ทั้งสองยิ้มให้กัน เจ้าหน้าที่เข็นเตียงคนไข้ผ่านทั้งสองพอดี หญิงแม่ลูกอ่อนทำท่าบอกให้ เจ้าหน้าที่หยุด แล้วผู้หญิงแม่ลูกอ่อนก็ไหว้ปราบกับนับดาว ยิ้มให้ ปราบกับนับดาวยิ้มตอบ
“ขอให้แข็งแรงสุขภาพดีทั้งแม่ทั้งลูกเลยนะ”
ผู้หญิงแม่ลูกอ่อนฟังที่นับดาวพูดไม่ออก แต่ก็พูดภาษาของเธอทำนองอวยพรและยกมือไหว้ เจ้าหน้าที่เข็นสองแม่ลูกขึ้นรถพยาบาล สักครู่รถพยาบาลก็วิ่งออกไป ปราบกับนับดาวยืนเคียงข้างกันมองตามไปด้วยสีหน้ามีความสุข หลังมือบังเอิญชนกัน นับดาวเขยิบตัวออกห่างแบบเขินเล็กน้อย ขณะที่ปราบก็เอามือล้วงกระเป๋า ทั้งสองยิ้มให้กัน
ปราบกับนับดาวเดินไปที่รถที่จอดเสียทิ้งอยู่เมื่อคืน
“ผมขอโทษนะ ที่อาจจะเสียงดังไปหน่อย ตอนที่ให้คุณเป็นผู้ช่วยน่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันเข้าใจ ตอนนั้นชีวิตคนสำคัญที่สุด”
“ตอนแรกผมนึกว่าคุณจะไปไม่รอดแล้ว แบบเห็นเลือดแล้วเป็นลม แต่ก็...ใช้ได้นะ คล่องแคล่วมีสติดี”
“โห วันนี้มีชมด้วยแฮะ ทุกวันมีแต่ด่ากับบ่น”
“ก็เมื่อคืนคุณทำได้ดีนี่”
ปราบยิ้มยกนิ้วหัวแม่มือให้ นับดาวยิ้มเขินๆ ทั้งสองเดินมาถึงรถที่จอดทิ้งไว้ มีรถโฟร์วีลของปกป้องจอดต่อท้ายอยู่ ปกป้องกำลังก้มๆเงยๆดูล้อรถ
“หวัดดีครับอา”
“อื้อ หวัดดี...อากำลังดูยางรถแกอยู่”
“เป็นไงบ้างครับ”
“แปลกว่ะ”
“แปลกไงครับ”
“มันไม่ได้แบนเองหรอก มันโดนเสียบ ถ้ามันแบนล้อเดียวยังพอเข้าใจได้ว่าแกวิ่งเหยียบอะไรคมๆมา แต่มันแบนทั้งสองล้อ แปลว่าแกโดนใครเล่นงานแล้วล่ะ แต่แกก็จอดอยู่ที่บ้าน ไม่น่ามีใครกล้ามาทำแบบนี้ จะว่าฝีมือคนงานก็ไม่น่าใช่นะ คนงานเราก็หน้าเดิมๆทั้งนั้น ต่อให้มีอะไรผิดใจกันก็คุยกันได้นี่หว่า”
ปราบอึ้งไป นึกถึงตอนที่เขากำลังขนของมาที่รถเมื่อคืน เขาเจอนับดาวทำลับๆล่อๆที่รถ ชายหนุ่มหันไปมองหญิงสาว นับดาวทำไก๋ไปยืนชมนกชมไม้ แต่เงี่ยหูฟังตลอด
“มันก็ไม่แน่หรอกนะครับอา...ตอนนี้ไร่ของเราเพิ่งรับคนงานใหม่มาด้วย”
ปกป้องแปลกใจ
“เหรอ ทำไมอาไม่รู้ แผนกไหน”
“แผนกสร้างความเดือดร้อน ตำแหน่งยัยตัวแสบสารพัดพิษ”
ปราบเดินไปหา นับดาวเดินหลบไปทำเป็นดูนั่นนี่
“แดดร้อนมาก เรารีบกลับกันเถอะค่ะ ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายอีกแล้ว”
“ผมมียามาด้วย น่าจะเหมาะกับอาการของคุณ เป็นยาฆ่าเห็บหมัดแบบเข้มข้น”
ปราบเดินเข้าหา นับดาวเดินอ้อมมาอีกฝั่งของรถ
“อะไรคะ ฉันไม่มีเห็บหมัดซะหน่อย ทาไปก็เท่านั้น”
“ไม่ได้ให้ทาครับ จะเอามากรอกปากคุณให้หมดขวดเลย”
ปราบพุ่งไปหา นับดาวร้องวี้ด วิ่งหนี ชายหนุ่มคว้าได้แขนเสื้อ หญิงสาวรีบสะบัดหลุด แขนเสื้อขาด ปกป้องอึ้ง
“อย่าเข้ามานะ”
“ผมทนไม่ไหวแล้ว ผมต้องจัดการคุณให้ได้”
ปราบพุ่งเข้าไปหา นับดาวร้องลั่น
“คุณปกป้องช่วยด้วยค่ะ คุณปราบจะปล้ำฉัน”
ปกป้องรีบมาขวาง
“เฮ้ย ปราบ ทำอย่างงี้ไม่ดีนะ ถ้าทนไม่ไหวเดี๋ยวอาพาไปเที่ยว แต่อย่าทำอะไรขาดศีลธรรมแบบนี้ อารับไม่ได้ เตือนไว้ก่อนนะว่าถ้าพูดดีๆไม่เชื่อ อาก็ต้องน็อคแกนะ”
ปกป้องกำหมัด ต่อยฝ่ามือตัวเองดังตุ้บ เสียงหนักแน่น ปราบเซ็งมาก
“ปู้โธ่ อาก็อย่าบ้าจี้ตามยัยนั่นได้มั้ย ผมจะปล้ำเขาทำไม มีแต่อยากบีบคอให้ตายมากกว่า”
ปกป้องหน้าตื่น
“หา แกคิดจะฆ่าแล้วข่มขืนเหรอ”
“ไม่ใช่ครับ ฆ่าทิ้งอย่างเดียวเลย...ไอ้ที่ยางแบนน่ะเพราะฝีมือยัยนี่”
นับดาวเถียงทันควัน
“แน้ มีหลักฐานเหรอคะ”
“คุณกล้าปฏิเสธเหรอ”
ปราบจ้องหน้า นับดาวหัวเราะ
“ใช่ ฉันทำเอง”
ปกป้องหันขวับไปมองหน้านับดาว
“อ้าว ไหงงั้นล่ะครับ”
“คุณเห็นมั้ยคุณทำอะไรลงไป คุณเกือบฆ่าคนบริสุทธิ์ตายถึงสองคนเลยนะ”
นับดาวจ๋อยไป
“เรื่องนั้นฉันไม่ตั้งใจนี่นา ฉันไม่รู้ว่าเราจะมาเจอผู้หญิงท้องแก่แบบนี้”
ปกป้องยังสงสัยไม่หาย
“แล้วคุณเจาะยางรถทำไม”
“แล้วใครใช้ให้เขามาแกล้งฉันล่ะ หลอกฉันเดินไปกลางบ่อตัวเงินตัวทองงี้ หลอกฉันเดินเก็บขี้วัวงี้ หลอกฉันล้างคอกวัวงี้”
ปราบอึ้งไป ปกป้องพยักหน้าเข้าใจ
“เออ ก็จริงของคุณนับดาวเขาว่ะ แกไปแกล้งเขาก่อนนี่หว่า”
ปราบฮึดฮัดแต่เถียงไม่ออก หันไปเตะยางรถระบายอารมณ์ ปกป้องตัดบท
“เอ้า งั้นก็ถือว่าเจ๊ากันไปละกันนะ จะได้จบเรื่องกันไป... มาๆๆ เช็คแฮนด์กัน”
นับดาวไม่ทันตั้งตัวถูกปกป้องจับมือลากมาเช็คแฮนด์กับปราบ ทั้งสองมองหน้ากันอย่างเขม่นเต็มที่
อ่านต่อหน้า 2 เวลา 17.00 น.
หนุ่มบ้านไร่กับหวานใจไฮโซ ตอนที่ 5(ต่อ)
วันต่อมา...ปราบอยู่ที่คอกม้ารู้สึกตัวเหมือนมีคนมองอยู่ หันมาเจอนับดาว
“หายดีแล้วใช่มั้ย”
“ใช่ถ้าไม่ถูกแกล้งให้ใช้งานหนักอีก”
ปราบขี้เกียจพูดเดินไปอีกมุมหนึ่ง นับดาวเดินไปหาเฉาก๊วย เหมือนกับว่าเธอกำลังคุยกับม้า
“แกเป็นม้าที่สวยมากเลยนะเฉาก๊วย”
ปราบหันไปมองไม่ได้สนใจมัวแต่วุ่นวายทำงาน
“ท่าทางจะร้อนนะเนี่ย ร้อนมั้ย”
ปราบยังไม่รู้เรื่องว่านับดาวคุยด้วย
“นี่ คุณปราบ ทำไมไม่มีมารยาทเลย ฉันพูดกับคุณอยู่นะ ยังผูกใจเจ็บกันอีกเหรอ”
ปราบตวาดทันที
“ว่างมากหรือไง มากวนประสาทผมเนี่ย ถ้าว่างมากจะได้ใช้ให้ไปอาบน้ำหมู แล้วอย่ามาแค้นผมนะ”
“ไม่ได้ว่างหรอกค่ะ พอดีมีธุระก็เลยต้องมาพบคุณเจ้านาย”
“มีธุระอะไรก็ว่ามา”
“คุณตวาดจนฉันตกใจ ลืมไปแล้ว รู้สึกจะธุระสำคัญซะด้วยสิ”
ปราบทำหน้าบอกไม่ถูก อยากจะเตะเธอสักป้าบแต่ต้องข่มโทสะลงอย่างยากเย็น
“ขอโทษครับที่ผมเสียงดังเกินไปจนทำให้คุณตกใจ คุณนับดาวครับ ไม่ทราบคุณนับดาวมีธุระอะไรหรือครับ”
“ต้องอย่างนี้สิ...ค่อยๆจำได้ละ...มีคนมาหาดิฉันและคุณปราบค่ะ เห็นบอกว่าชื่อลุงเย็น คนที่พี่เจิดบอกเป็นปราชญ์ชาวบ้านอะไรเนี่ย”
ปราบแปลกใจ
“ลุงเย็นเหรอ”
ปราบจอดรถแล้วลงจากรถนับดาวลงตามมา ปราบเดินจ้ำๆ
“ทำไมคุณไม่รีบบอกผมมัวแต่ลีลาอยู่นั่น ปล่อยให้แขกรอนานมันไม่ดีนะ”
“ดีซะอีก คนอะไร ปล่อยให้ผู้หญิงท้องแก่ทรมาน ยัยเมียก็ทำอะไรไม่ได้กลัวอย่างเดียวกลัวมีคนตายในบ้าน แหวะ”
“นั่นมันเมียลุงเขา ตัวเขาไม่อยู่บ้าน”
“ภรรยาแบบนั้น สามีก็คงคล้ายๆกันนั่นแหละ”
“คุณไม่เข้าใจหรอก”
ปราบบอกอย่างรำคาญ
ลุงเย็นคุยกับปราบและนับดาวอยู่ในห้องรับแขก
“ผมรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ผมตกใจมาก ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้เลยเดือดร้อนคนอื่นไปด้วย ผมต้องขอโทษคุณปราบกับคุณนับดาวด้วย และต้องขอบคุณมากๆ ที่คุณสองคนช่วยผู้หญิงคนนั้น ขอบคุณมากนะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
ปราบยังพูดไม่จบ นับดาวก็พูดแทรก
“แล้วเมียคุณลุงไม่มาด้วยเหรอคะ ตั้งแต่เกิดเรื่องจนจบ หนูไม่ได้ยินเขาขอโทษหรือขอบคุณอะไรเลย เอาแต่พูดว่าอย่ามาตายในบ้านฉันนะ ฉันไม่เกี่ยวนะ”
ลุงเย็นหน้าเสีย
“ครับ ผมขอโทษแทนเมียผมด้วย”
ปราบรู้สึกไม่ดีรีบบอก
“ไม่เป็นไรครับ ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกครับ ผมเข้าใจ”
นับดาวยังโกรธไม่หาย
“เรื่องของคุณ แต่ฉันคิดว่าเป็นเรื่องที่ถูกแล้วที่ลุงขอโทษแทนเมียลุง ไม่รู้คิดได้ไง โกหกว่าควายคลอดลูกเนี่ย”
ลุงเย็นยกมือไหว้ นับดาวตกใจรีบรับไหว้
“ลุงไม่เถียงอะไรหรอกครับ ลุงขอโทษจริงๆ”
ปราบถอนใจ
“เป็นความผิดของผมเองก็ได้ที่ไม่ได้เล่าเรื่องให้คุณนับดาวฟังก่อน” ปราบหันไปอธิบายกับนับดาว “คือเมื่อสิบกว่าปีก่อนเกิดอุบัติเหตุ ป้าพู ภรรยาลุงเย็นได้รับความกระทบกระเทือนทางสมอง ก็เลยอาจจะไม่ปกติไปบ้าง”
นับดาวอึ้งหน้าเหวอ
“เอ่อ...”
ลุงเย็นเสริม
“พูดง่ายๆหลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้น คือเมียผมก็เพี้ยนๆ ไปเหมือนกัน แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นอันตรายกับใคร แต่ผมขอยืนยันกับคุณนับดาวได้ว่าถ้าเป็นเมื่อก่อน เมียผมจะไม่ทำแบบนี้เด็ดขาด เธอเป็นคนดีมีน้ำใจมากๆ”
นับดาวไหว้ลุงเย็น
“งั้นหนูต้องขอโทษคุณลุงด้วยค่ะ ที่พูดจาไม่สมควรออกไป”
ลุงเย็นรับไหว้
“ไม่เป็นไรหรอก”
นับดาวยิ้มแห้งๆ ลุงเย็นยิ้มตอบแล้วมองหน้านับดาว
“หน้าคุณนับดาวนี่เหมือนใครบางคนที่ลุงเคยรู้จักนะ”
ปราบกระแอมเล็กน้อย
“คุณนับดาวเป็นลูกสาวอานิ่งครับ”
ลุงเย็นชะงัก เหมือนโดนฟ้าผ่า มองหน้านับดาวดวงตาวาววับ
“ลูกสาวนายนิ่ง”
“ค่ะ”
ลุงเย็นหลบตานับดาว มองไปทางอื่น พยายามข่มกลั้นความรู้สึกที่ปั่นป่วนขึ้นมา
“เอาล่ะ หมดธุระแล้ว ลุงขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะ”
ลุงเย็นพูดจบก็ลุกเดินออกไป ปราบรีบลุกตามไป
ปราบเดินตามลุงเย็นออกมานอกบ้าน
“คุณน่าจะบอกผมแต่แรกว่าลูกสาวนายนิ่งกลับมาที่นี่แล้ว”
“ผมตั้งใจอย่างนั้นครับ แต่ไม่ทันบอก”
“เขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นหรือเปล่า”
“ผมยังไม่ได้เล่าให้ฟังครับ”
“ไม่ต้องเล่าก็ได้ ความจริงเรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว...อุบัติเหตุครั้งนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะนายนิ่งล่ะก็ เมียผมคงไม่เป็นแบบทุกวันนี้”
ลุงเย็นเงียบลง หันไปมองที่บ้าน เห็นนับดาวอยู่
“ลูกสาวนายนิ่ง...ถึงจะบอกว่าไม่รู้เห็นการกระทำของพ่อ แต่ลุงไม่มีวันปล่อยเขาไปเฉยๆโดยไม่ทำอะไรหรอก”
สายตาลุงเย็นวาววับ
ฟู่นั่งคุยกับทีมงานบริษัทออแกไน้ซ์ ที่รับมาประชุมเรื่องงานชิ้นชิ้นใหม่
“งานนี้ผมอยากให้งานออกมาดูแรงๆ จัดจ้านหน่อย จะได้ตรงกับคอนเซ็ปต์ของสินค้า แต่บอกก่อนนะงบเขาก็มีจำกัด แพงมากคงไม่ได้ คุณฟู่พอมีไอเดียบ้างมั้ยว่าจะใช้ใครดี”
ฟู่คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วออกความเห็น
“ลองเล็ก ศิรินภา มั้ยครับ ละครล่าสุดที่เขาเป็นนางเอก เรตติ้งดีเลยนะครับ”
“เรตติ้งดีน่ะสิ เลยอัพราคาจนกลายเป็นของแพงไปแล้ว”
“งั้นน้องฟ้า”
“ดูเรียบร้อยไปหน่อย อยากได้แซ่บๆกว่านั้น”
ฟู่ได้โอกาสเสนอนับดาวทันที...
“แซ่บๆก็ต้องนี่เลย นับดาว ว้าวแซ่บ”
“อืม คนนี้ผมไม่แน่ใจนะ ที่ผ่านมาข่าวฉาวเขาเยอะอยู่เหมือนกัน”
“แต่ตอนนี้เขาไปบวชชีพราหมณ์อยู่ ภาพเขาดีขึ้นนะครับ แถมไม่ได้รับงานมาช่วงนึงแล้ว ไม่ช้ำ
ดีออก”
ออแกไน้ซ์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ก็จริง...เดี๋ยวผมจะลองเสนอลูกค้าดู...ถ้าได้นับดาวผมก็สบายใจ เขาเป็นมืออาชีพ ทำการบ้าน มีความรับผิดชอบ ไม่ใช่เอาแต่ง่ายๆ แบบมึนๆ มาแค่ร่วมงานอย่างเดียว”
ฟู่แอบยิ้มอย่างมีความหวังว่าจะหางานให้นับดาวได้อีกครั้ง
ป้ายวงถูทำความสะอาดบริเวณห้องรับแขกอยู่ มาติดปกป้องที่นอนเมาหลับอยู่
“คุณปกป้องคะ ช่วยเถิบหน่อยค่ะ”
ปกป้องหลับสนิท ป้ายวงถอนใจเฮือก
“เฮ้อ เมาแบบคนไม่เป็นรึไงนะ ต้องเมาแบบหมาทุกที”
ป้ายวงเลยตามเลย เอาไม้ม็อบถูพื้น จนถึงตัวปกป้อง ปกป้องคว้าผ้าม็อบไปสูดดมชื่นใจ
“ผมสลวยสวยนิ่มจังเลยนะตะเอง”
ขณะเดียวกัน อลิสามาถึง ส่งเสียงทักทายเข้ามา...
“สวัสดีค่ะ”
ป้ายวงเดินออกมา
“สวัสดีค่ะ”
อลิสายิ้มให้
“มาหาคุณนับดาวน่ะค่ะ”
ปกป้องที่หลับอยู่ ได้ยินเสียงนางในฝันลืมตาขึ้นทันที
“อ๋อ รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวตามให้ค่ะ”
ป้ายวงเดินกลับเข้าไป ต้องผงะเพราะเกือบชนกับปกป้องที่โผล่พรวดออกมา ยืนเก๊กหล่อมองอลิสาด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
“ได้ยินแค่เสียง ก็รู้แล้วเจ้าของเสียงต้องเป็นคนสวยแน่ๆ อลิสาฝืนยิ้มให้
“สวัสดีค่ะคุณปกป้อง”
“อรุณสวัสดิ์ครับซินญอริต้า” ปกป้องหันไปสั่งป้ายวง “ป้าไปทำงานต่อเถอะ เดี๋ยวผมจัดการเอง”
“ค่ะ”
ป้ายวงหยิบเศษม็อบที่ติดบนหน้าปกป้องออกให้ ก่อนเดินหายไป
“มาหาคุณนับดาวใช่ไหมครับ”
“ค่ะ”
“คุณนับดาวอยู่ในไร่น่ะครับ เชิญตามผมมาได้เลยครับ”
ปกป้องยื่นแขนให้ควง อลิสายืนเฉยๆ ปกป้องยื่นแขนคาไว้ อลิสาเลยต้องจำใจยื่นมือออกไปแตะแบบไม่อยากแตะ แต่พอแตะปุ๊บ อีกมือของปกป้องก็มาตะปบหลังมือเธอปั๊บ พาเดินออกไปทันที
“ยินดีต้อนรับสู่ไร่ปรีดาครับ”
ปกป้องพาอลิสานั่งรถเอทีวี วิ่งในไร่ ผ่านจุดหนึ่งวิวสวยมาก อลิสามองแล้วตื่นเต้น
“ตรงนี้วิวสวยจังเลยนะคะ”
ปกป้องจอดรถข้างทาง
“ชอบเหรอครับ ลงมาสิครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่ชมเฉยๆ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ในเมื่อหัวใจมันเรียกร้อง คุณจะปฏิเสธหัวใจตัวเองไปทำไม”
ปกป้องจับมืออลิสาลงจากรถ เดินมาหยุดให้อลิสาชมวิว อลิสาดูวิว สูดอากาศ ดูสดชื่น ปกป้องปล่อยอลิสาเพลิดเพลินกับบรรยากาศตรงหน้า เจิดเดินผ่านมาพอดี ปกป้องหยิบมือถือขึ้นมา เปิดโหมดกล้อง
“อ้าว เจิดมาพอดี ถ่ายรูปให้หน่อย”
“ได้เลยครับ”
ปกป้องเข้ามายืนเคียงข้างอลิสา เต๊ะท่า อลิสาฝืนยิ้ม
“นายเขยิบด้านซ้ายอีกนิดครับ ไม่ใช่ครับ ใกล้เข้ามา ไม่ใช่ครับ”
ปกป้องเขยิบตาม แต่ไม่ถูกใจเจิด เจิดทนไม่ไหว เดินมาดึงปกป้องออกไป เข้าไปยืนแทนปกป้อง ยกแขนข้างหนึ่งโอบไหล่อลิสา ที่อ้าปากหวอ
“ทำแบบนี้น่ะเป็นมั้ย ... เอ้า ถ่ายดิ”
“เออ สวยดี พร้อมนะ”
ปกป้องยกกล้องแต่นึกได้ รีบเข้ามากระชากเจิด ตีเข่าเข้าไป เจิดจุกตัวงอ
“ทะลึ่งนักนะแก ถ่ายดีๆ อย่าเรื่องมาก เดี๋ยวโดนอีก”
อลิสาอดขำไม่ได้ ปกป้องหันด้านข้างให้ ยกแขนข้างหนึ่งอ้อมเหนือศีรษะตัวเอง จกมือลง ปลายนิ้วเหยียดตรงจะทำท่าหัวใจ
“คุณอลิสาทำแบบผมสิครับ”
อลิสาหันมามองปกป้อง ทำหน้าพิกลแล้วเดินหนีกลับมาที่รถ ปกป้องยืนค้างด้วยความผิดหวัง เจิดกดชัตเตอร์แชะ เอามือถือมาส่งคืนให้ปกป้อง ในมือถือเป็นรูปปกป้องยืนทำท่าหัวใจอยู่คนเดียว
“เหมือนมากเลยครับนาย”
“เหมือนอะไรวะ”
“เหมือนคนบ้ากำลังเก็บแห้วครับ ฮ่าๆๆ”
ว่าแล้วเจิดก็เผ่นทันที ก่อนที่จะโดนเจ้านายเตะ
ที่คอกวัว...นับดาวในชุดสาวชาวไร่กำลังเอาเสียมแทงฟ่อนหญ้า โยนเข้าไปในคอกให้วัวกะทิกิน ด้วยท่างทะมัดทแมง
“กินเยอะๆเลยนะกะทิ”
ปกป้องเดินนำอลิสามาที่คอกวัว
“อยู่นี่เอง สาวสวยของไร่เรา”
อลิสามองภาพเบื้องหน้าด้วยความแปลกใจ
“นั่นนับดาวจริงๆเหรอนั่น...”
อลิสามองนับดาวในสุดสาวชาวไร่ แล้วก็นึกถึงอัญชลีพี่สาวของตัวเอง
ในอดีต...อัญชลีในชุดสาวชาวไร่ กำลังมัดฟ่อนหญ้าอยู่ อัญชลีหันมาเห็นอลิสา ยิ้มให้
“สวัสดียัยสา”
อลิสาพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว...
“พี่อัญชลี...”
ปกป้องหันมามอง...
“ใครเหรอครับ”
อลิสาตื่นจากภวังค์
“อ๋อ...แม่ของนับดาวน่ะค่ะ...เขาเหมือนกันมากเลย”
นับดาวหันมาเห็น
“น้าอะซ่า สวัสดีค่ะ”
นับดาวเดินมาหา
“มีอะไรรึเปล่าคะ”
“ฟู่โทรมาหา เขาหางานให้ได้แล้วนะ”
นับดาวยิ้มออก เมื่อได้ฟังอย่างนั้น
ค่ำคืนนั้น...นับดาวสอนทาเล็บให้น้อยหน่า ที่สนใจฟังมาก...
“อันดับแรกเลยอย่าเขย่าขวด มันจะทำให้มีฟอง ใช้กลิ้งไปกลิ้งมาบนฝ่ามือเธออย่างงี้ ถ้าจะให้สวยๆทาเคลียร์ก่อนก็ได้ แต่ถ้าขี้เกียจก็ไม่ต้อง แล้วก็ทาอย่างงี้ๆๆ”
นับดาวจุ่มแปรงมา ทาปาดจากด้านหนึ่งไปด้านหนึ่งบริเวณโคนเล็บ แล้วค่อยใช้แปรงลากสีจากโคนเล็บลงมาที่ปลายเล็บ เริ่มกลางเล็บก่อนเป็นรูปตัวที แล้วค่อยลากลงมาด้านซ้ายและขวาทีหลัง แล้วลองทาให้น้อยหน่าเล็บหนึ่ง
“สวยจังค่ะ”
“ลองหัดดู”
นับดาวยื่นยาทาเล็บให้ แล้วนั่งดูน้อยหน่าที่ลองทำตาม
“ใช้ได้เลย มีแววนะเนี่ย”
น้อยหน่าอมยิ้ม
“พรุ่งนี้ตอนเย็นว่างมั้ย”
“ก็ไม่มีอะไรค่ะ”
“ไปเที่ยวกับฉันมั้ย”
“เที่ยวไหนคะ”
“เคยไปงานเปิดตัวสินค้ามั้ย”
น้อยหน่าสั่นหน้า
“อยากไปมั้ยล่ะ ไปเดินเล่น ไปกินฟรี ถ้ามีคนมาสัมภาษณ์ก็บอกว่าดีมากค่ะ ชอบมากค่ะ ไม่มีอะไรมากหรอก”
น้อยหน่านึกอยู่พักหนึ่ง แล้วพยักหน้าตกลง
เย็นวันต่อมา ที่โรงแรมหรู...นับดาว น้อยหน่าในชุดนักเรียน ออกจากลิฟต์ เป็นชั้นห้องพัก ทางเดินเงียบสงบ นับดาวเดินไปที่ห้องห้องหนึ่ง เปิดประตูออก น้อยหน่าตามเข้าไป บรรยากาศในห้อง เป็นคนละเรื่องกับทางเดินเงียบๆข้างนอก ห้องนี้เปิดทะลุอีกห้อง มีคนหลายคน เดินไปเดินมา มีคนอื่นๆจับกลุ่มกันอยู่ อลิสารอนับดาวในห้องอยู่แล้ว น้อยหน่าไหว้อลิสา
“อ้าว น้อยหน่า มาเที่ยวเหรอ”
น้อยหน่าพยักหน้า นับดาวหันมาบอก
“น้าอะซ่า ช่วยดูน้อยหน่าให้ด้วยนะคะ”
“ได้จ้ะ กินข้าวก่อนมั้ย หรือจะไปกินในงานก็ได้ ถ้าไม่หิวมากก็ไปกินในงานละกัน บนนี้มีแต่ข้าว
กล่อง”
“ยังไม่หิวค่ะ”
น้อยหน่าดูคนนู้นคนนี้ทำงาน หันมาอีกที เจอนับดาวเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เป็นชุดสวยงาม นั่งกินข้าวกล่อง ท่องสคริปต์ และให้ช่างแต่งหน้าทำผมไปด้วย
“พี่เอ๋ สคริปต์ตรงนี้ยังไงคะ เพลงเข้าหลังหรือก่อนมาสค็อตขึ้นเวทีคะ”
“ไหนๆ ตรงไหน”
ทีมงานออแกไน้ซ์เข้ามาหานับดาว น้อยหน่าดูนับดาวอย่างทึ่งๆในความสามารถ
อ่านต่อหน้า 3 เวลา 9.30
หนุ่มบ้านไร่กับหวานใจไฮโซ ตอนที่ 5(ต่อ)
ปราบนั่งอ่านหนังสือวารสารเกษตรกรรมอยู่ มีเสียงกริ่งดัง ปราบลุกเดินมาเปิดประตู พบตะวันวาดกับสุนทรีที่ถือกระเช้าองุ่นมาด้วย
“สวัสดีค่ะคุณปราบ”
“สวัสดีครับคุณสุน ไง ตะวันวาด...เชิญครับ”
ปราบนำสุนทรีกับตะวันวาดเข้ามาในบ้าน
“คุณสุน มีธุระอะไรพิเศษรึเปล่าครับ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เห็นว่าช่วงนี้ตะวันเขามากวนบ้านคุณปราบอยู่บ่อยๆ ก็เลยแวะมาขอบคุณ
น่ะค่ะ นี่องุ่นจากไร่น่ะค่ะ ออแกนิกด้วยนะคะ”
“ขอบคุณมากครับ”
ปราบรับมา สุนทรียิ้มให้ ตะวันวาดแอบจับตามองสุนทรีกับปราบ
“อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันไหมครับ”
“อย่าเลยค่ะ รบกวนเปล่าๆ...”
ตะวันวาดรีบบอก
“ก็ดีครับ กินที่นี่แหละแม่ฝีมือป้ายวงอร่อย”
ปราบพยักหน้ารับ
“งั้นทานกันซะทีนี่เลยละกันนะครับ เดี๋ยวผมจะบอกป้ายวงให้เตรียมอาหารให้ เสียดายน้อยหน่าไปอ่านหนังสือสอบ เลยไม่ได้อยู่กินด้วยกัน”
สุนทรีแปลกใจ
“อ้าว ไหนตะวันบอกสอบหมดแล้วไงลูก”
ตะวันวาดอึ้งไป
“เอ่อ...”
ปราบเขม้นมอง ตะวันวาดหน้าแหย ปราบกลับยิ้มออกมา
“ผมคงฟังผิด รู้สึกจะไปทำรายงานอะไรสักอย่างน่ะครับ”
ปราบยิ้มให้สุนทรี สุนทรียิ้มตอบ
บริเวณล็อบบี้โรงแรม...เอมี่เดินออกมาจากลิฟต์ เจอโจโจ้พอดี
“ต๊าย เพื่อนเลิฟมาทำอะไรยะ” เอมี่แปลกใจ
“มาทำข่าวงานเปิดตัวสินค้าค่ะคุณเพื่อนขา คุณเพื่อนล่ะคะ”
“นัดญาติกินข้าวที่ร้านอาหารญี่ปุ่นน่ะ”
“นี่...คุณเพื่อนอยากไปเจอหน้าเพื่อนเลิฟอีกคนไหมล่ะ”
คำถามนั้น เอมี่รู้สึกสนใจ
“ใครยะ ฟังน้ำเสียงเหมือนไม่เลิฟเท่าไหร่”
“เลิฟสิ ถ้าไม่เลิฟเขาจะซื้อกระเป๋าใบละสามแสนให้เธอเหรอยะ”
“ยัยนับดาว...ไหนบอกหนีไปบวชชีพราหมณ์ไม่ใช่เหรอ แล้วมาทำอะไรที่นี่”
“มาเป็นพิธีกรงานอีเว้นต์ อยากรู้มั้ยสินค้าอะไร”
“อะไรเหรอ”
“ซอสพริก”
“ซอสพริก...สีส้มๆเนี่ยนะ”
โจโจ้พยักหน้า เอมี่หัวเราะก๊าก
“ยัยนับดาว โถๆๆ รับงานไม่เลือกเลยนะ อีกหน่อยก็คงเป็นพวกซอสเย็นตาโฟ เต้าหู้ยี้
ซี่อิ๊ว เต้าเจี้ยว จิ๊กโฉ่ว บี่เจ็ง เพ่งแซ”
“พอแล้ว”
“ดี อย่างงี้ต้องไปทักทายซะหน่อย ...ครั้งที่แล้วเสียท่ามัน วันนี้ต้องเอาคืน”
เอมี่ยิ้มกระหยิ่ม
ในห้องจัดงาน...เป็นห้องจัดเลี้ยงห้องเล็ก มีสื่อมวลชนสิบกว่าคน และแขกเหรื่ออีกจำนวนหนึ่งซึ่งไม่มากนัก เพราะรูปแบบงานไม่ใหญ่มาก เมื่อถึงเวลางานเริ่ม ดนตรีดังเร้าใจ นับดาวเดินขึ้นเวที
“สวัสดีค่ะ นับดาวว้าวแซบค่า”
คนในงานปรบมือให้
“วันนี้ นับดาวรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะได้เป็นผู้แนะนำสินค้าผลิตภัณฑ์หนึ่งที่เป็นความภาคภูมิใจของคนไทย เป็นสินค้าที่เราๆท่านๆอาจจะคุ้นเคยเสียจนมองข้ามคุณค่าที่แท้จริงของสินค้าตัวนี้”
ลูกค้าเป็นอาแปะยืนอยู่ข้างๆออแกไน้ซ์ อาแปะพยักหน้าเห็นด้วยกับนับดาวตลอด
“พูกล่ายลี...ดาราคงนี้พูกลี...พูกไล่ลีมากๆ...”
“คุณนับดาวเธอเป็นคนคิดยังไงพูดอย่างงั้น”
“พูกล่ายจับใจ อย่างงี้เส็ดงานแล้วเยียะต้องให้ทิป” อาแปะยิ้มอย่างพอใจ
นับดาวบนเวทียังคงยิ้มแย้มแจ่มใส...
“วันนี้...สินค้าตัวนี้ได้พิสูจน์ตัวเองอย่างเกรียงไกรไร้ข้อกังขาใดๆทั้งสิ้น เมื่อสินค้าตัวนี้ได้รางวัลจากสมาคมปาปิญอง ซึ่งเป็นสมาคมอาหารและการโรงแรมของฝรั่งเศสที่ได้รับความเชื่อถือมากที่สุดในโลก และรางวัลนั้นคือรางวัลปาปิญองห้าดาว อันเป็นรางวัลสูงสุดของสมาคมนี้ และเจ้าของรางวัลก็คือ...ซอสพริกตราแม่กิมหยีนั่นเอง”
นับดาวหยิบถ้วยรางวัลที่เตรียมไว้บนโพเดียวยกชู ช่างภาพถ่ายรูปกันเนือยๆ
“และเพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ซอสพริกตราแม่กิมหยีขออวาตาตัวเองใน
รูปแบบใหม่...ขอเชิญพบกับรูปโฉมใหม่ของซอสพริกแม่กิมหยีเลยค่ะ”
สายรุ้งระเบิด 3-4 อัน เพลงกระหึ่ม มาสค็อตขวดซอสพริกแม่กิมหยีแบบฝาปั๊มเดินขึ้นเวที รูปทรงขวดดูเฟี้ยวฟ้าวไม่เบา นับดาวถอยมาข้างเวที ปล่อยให้ช่างภาพถ่ายรูปกัน มีเสียงหัวเราะแหลมดังขึ้น ทุกคนหันขวับ เจอเอมี่เดินถือถุงพลาสติกมีกล่องโฟมหนึ่งกล่องเข้ามา
“หวัดดีจ้ะเพื่อนนับดาว”
นับดาวหันมามองเอมี่ อึ้งไปเหมือนกันไม่คิดว่าจะเจอ
“หวัดดีเอมี่ ฉันทำงานอยู่นะ เดี๋ยวเสร็จแล้วค่อยคุยกัน”
“อุ๊ย ไม่ได้ตาบอด เห็นจ้ะว่าทำงานอยู่”
นักข่าวเริ่มหันมาสนใจเอมี่ นับดาวสีหน้าไม่ดี หันไปมองออแกไน้ซ์กับฟู่ ออแกไน้ซ์หน้าบึ้งตึง นับดาวลงเวทีมาหาเอมี่ ยิ้มหวาน เดินเข้าไปสวมกอด เอมี่ก็ยิ้มหวาน กอดด้วย นับดาวกระซิบ
“บ้าหรือป่าว นี่มันงานคนอื่นนะ อย่ามาป่วนนะ”
เอมี่กระซิบตอบ
“ป่วนสิยะ ป่วนให้เจ๊งด้วย แล้วต่อไปก็จะไม่มีใครจ้างแกไปงานหรูๆอีก”
นับดาวกระซิบ
“แกมาป่วนแบบนี้ แกนั่นแหละจะเสีย”
“ฉันเสียอิมเมจ แต่แกเสียรายได้ โฮะๆๆ”
นับดาวมองหน้า เอมี่แยกตัวออกห่าง นักข่าวเริ่มหันมาให้ความสนใจกับคู่นี้แทน
“ว่าแต่ว่า งานแบบนี้มันไม่เล็กไปหน่อยเหรอคะ สำหรับไฮโซอย่างนับดาวเนี่ย...งานเปิดตัวขวด
ซอสพริกเนี่ยนะ”
“ไม่เล็กหรอกค่ะ เขาได้รางวัลระดับโลกนะคะ ฟังรึเปล่าเนี่ย”
เอมี่ฉีกยิ้ม
“ฟังสิคะ ขำจะตาย ปาปิญองปิรันย่าป๊อกๆอะไรก็ไม่รู้ แต่เอาเถอะ นับดาวมีงานเอมี่ก็ดีใจ
อ้ะ เอมี่เลยขอสนับสนุนงานของเพื่อนนะคะ”
เอมี่ยื่นถุงพลาสติกให้
“ขอเอมี่แฮ้ปปี้เบิร์ธเดย์นับดาว ล่วงหน้าบ้างนะคะ”
นับดาวยิ้ม รับถุงพลาสติกมา นักข่าวเชียร์ให้เปิด
“เปิดเลยค่ะคุณนับดาว เปิดเลยค่ะ”
นับดาวจำใจต้องหยิบกล่องโฟมออกมาเปิด เป็นหอยทอด
“หอยทอดค่ะ เจ้าอร่อยด้วยนะ เอาไว้กินกะซอสพริกไงคะ”
นักข่าวถ่ายรูปกันแบบพรึ่บพั่บ เอมี่หันไปบอก
“นี่ พวกเรา ต่อไปนี้จะเรียกเพื่อนเอมี่ว่านับดาวว้าวแซ่บไม่ได้แล้วนะ ต้องเรียกว่านับดาว ซอสพริกนะจ๊ะ”
นับดาวโต้ทันที
“ขอบคุณนะ แหม กินหอยทอดไม่มีซอสพริกมันก็เหมือนขาดอะไรไปเนอะ เหมือนฉันกับเธอไง ถ้าฉันเป็นนับดาวซอสพริก ...เธอก็เอมี่ทอดหอย เอ๊ย หอยทอดนั่นแหละจ้ะ”
“เสียใจ จะทอดหอยหรือหอยทอดฉันไม่ชอบทั้งนั้น ... แต่ซอสพริกน่ะ ยังไงมันก็เป็นซอสพริก ต่อให้ไปได้รางวัลอะไรมา เปลี่ยนลุคยังไง สุดท้ายมันก็แค่ซอสพริก”
“ซอสพริกไม่ดีไงเหรอ วันไหนขาดซอสพริกแล้วเธอจะรู้สึก”
“ไม่เถียงหรอกย่ะ แต่มันก็แค่ของที่เก็บไว้ในตู้กับข้าว มันเหมาะสมกับเธอมากเลยจ้ะดาว เหมาะกับเธอมากกว่ากระเป๋าแบรนด์เนมซะอีกนะเนี่ย”
เอมี่ยิ้มเยาะ นับดาวเงียบไป
“ไงจ๊ะ เงียบนี่แปลว่ายอมรับใช่มั้ย”
“ก็ยอมรับน่ะสิ”
เอมี่งง
“ต่อให้ฉันรับงานซอสพริก ก็เป็นซอสพริกแบรนด์เนมย่ะ... ซอสพริกแม่กิมหยีก็มีมาตรฐาน
ของของแบรนด์เนมเหมือนกัน ซอสพริกยี่ห้อนี้ก่อตั้งมาตั้งแต่ พ.ศ.2462 พัฒนาและปรับปรุง
คุณภาพตัวเองอยู่ตลอดเวลา ได้รางวัลมากมายทั้งจากหน่วยงานรัฐและเอกชน ไม่เรียกซอส
พริกแบรนด์เนมแล้วจะเรียกอะไร”
เอมี่อึ้ง มีเสียงปรบมือดังขึ้น ทุกคนหันไปเจออาแปะ เดินหน้าตาขึงขังเข้ามา อาแปะพูดช้าๆ พยายามพูดไทยให้ชัด
“ผมคือทายาทรุ่นที่สามของซอสพริกแม่กิมหยี มีบางคนบอกซอสพริกเป็นแค่ซอสพริก ผมบอกไม่จริง อาเหล่าโกวผมก่อตั้ง เตี่ยผมดูแล มาถึงรุ่นผม จึงค่อยต่อยอดพัฒนาขึ้นมา ซอสพริกจึงไม่ใช่แค่ซอสพริก แต่เป็นหยาดเหงื่อความพากเพียรของคนสามรุ่น คนที่ไม่เข้าใจไม่ควรพูดจาดูถูกคนอื่น”
ประโยคสุดท้ายอาแปะตวาดลั่นยังกะกวนอู เงียบไปทั้งฮอลล์ โดยเฉพาะเอมี่ นับดาวปรบมือนำ พวกนักข่าวกับแขกปรบมือตาม นับดาวรีบวิ่งขึ้นไปบนเวที
“ดิฉันคงไม่ต้องพูดอะไรมากแล้วนะคะ ทุกคนได้ยินจากปากคุณสมชายแล้วถึงความตั้งใจจริง
ดิฉันต้องขอขอบคุณเพื่อนเอมี่มากที่ได้ให้เกียรติเอาหอยทอดมาร่วมในงานนี้ แต่นอกจากหอยของเอมี่แล้ว ซอสพริกแม่กิมหลียังกินได้อร่อยกับอาหารอีกมากมายหลายอย่าง อาทิ ไข่เจียว ปลาทอด ไส้กรอก และอื่นๆอีกมากมาย อุ๊ย พูดแล้วต่อมหิวทำงานเลยค่ะ งั้นขอเชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่านเชิญลิ้มลองความอร่อยที่ว่าได้ที่บู๊ธอาหารเลยค่ะ”
นักข่าว และแขกปรบมือกัน เจ้าหน้าที่เปิดฝาภาชนะสแตนเลสที่เตรียมไว้ เป็นอาหารนานาชนิดไว้กินกับซอสพริกโดยเฉพาะ สื่อและแขกเดินมากินกัน
อลิสากับน้อยหน่ายืนอยู่ที่มุมหนึ่งของงาน
“หิวรึยังจ๊ะน้อยหน่า ไปกินกันมั้ย”
อลิสาเดินไปจิ้มกิน ขณะที่น้อยหน่ายังยืนนิ่ง ดูนับดาวที่อยู่บนเวทีกับมาสค็อตซอสพริกและอาแปะ ให้นักข่าวถ่ายรูปกัน น้อยหน่าชื่นชมนับดาวมาก ขณะที่เอมี่มองไปบนเวที
“ยัยนับดาว...ฮึ่ม...ครั้งหน้าฉันไม่พลาดแน่”
เอมี่เดินออกไปอย่างหัวเสีย พวกนักข่าวถ่ายรูปนับดาว อาแปะ กับมาสค็อจนพอใจ ก็แยกกันออกไปหาของกินบ้าง มาสค็อตเดินลงจากเวที เหลืออาแปะกับนับดาว
“คุงนับดาว คุงเก่งมั่ก ผมขอชมคุงจากใจจริง และขอขอบคุงคุงมากๆที่ช่วยปกป้องศักดิ์ศรีของ
ตระกูลผม”
“ขอบคุณมากค่ะ แต่ว่า...ต้นเหตุของเรื่องนี้ก็คือดาวเองแหละค่ะ”
“ไม่ๆๆ อย่าถ่อมตัว ผมไม่ชมใครง่ายๆ คุณเก่งจริง”
“ขอบคุณเช่นกันค่ะ”
อาแปะยกนิ้วโป้งให้ นับดาวยิ้มหวานไหว้ขอบคุณอาแปะ
นับดาวเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับมาชุดเดิม แล้วทำหน้าที่ขับรถ อลิสานั่งหลับอยู่หลังรถ น้อยหน่านั่งอยู่ข้างๆนับดาวหันไปชื่นชม
“พี่ดาวเก่งจังเลยค่ะ”
“หือ...เรื่องอะไร”
“ที่ตอนเอมี่มาหาเรื่องพี่ แต่พี่เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส เอามาเล่าประวัติโรงงานซอสพริกได้
รางวัลนู่นรางวัลนี่ กลายเป็นดีไปเลย หน่าอยากทำอย่างพี่ได้มั่งจัง”
“ทำไมพี่ทำได้รู้มั้ย”
“เพราะพี่หัวดีมั้งคะ”
นับดาวส่ายหน้า
“เพราะตอนพี่เป็นนักเรียนพี่เป็นคนตั้งใจเรียนหนังสือมาก เวลาได้คะแนนดีกว่าเพื่อนๆพี่จะดีใจ
มาก อันนั้นเป็นความคิดแบบเด็กๆน่ะ แต่ผลพลอยได้ของการตั้งใจเรียนคือพี่เป็นคนความจำดี วิเคราะห์และเข้าใจเรื่องได้เร็ว ใครที่บอกว่าตั้งใจเรียนไปก็เท่านั้นน่ะ เอาไปใช้ใชีวิตประจำวันไม่ได้น่ะ เข้าใจผิดอย่างแรงเลย”
น้อยหน่านิ่งไปสักพัก
“ขอบคุณค่ะ”
น้อยหน่ามองไปเบื้องหน้า ครุ่นคิดตามที่นับดาวพูด นับดาวชำเลืองมองน้อยหน่าแล้วยิ้มๆ
นับดาวกับน้อยหน่าเดินกลับเข้ามาบ้าน เจอปราบนั่งรออยู่ หน้าตาบึ้งตึง
“ไปไหนกันมา”
นับดาวเอะใจ หันมามองน้อยหน่า
“ก็บอกแล้วไงคะว่า...”
“ถ้าจะโกหกเรื่องเดิมน่ะหยุดเลย”
น้อยหน่าเงียบ นับดาวตอบแทน
“ฉันพาน้อยหน่าไปงานอีเว้นต์มา”
“ทำไมไม่บอกผมก่อน”
น้อยหน่ารีบแก้ตัว
“พี่ดาวเค้าให้หน่าบอกพ่อแล้ว แต่หน่ารู้ว่าพ่อไม่ให้ไปแน่ๆ ก็เลยบอกว่าไปติวหนังสือ
ไม่เกี่ยวกับพี่ดาวหรอก”
“ก็เลยโกหกพ่องั้นสิ”
“ค่ะ”
“พ่อเคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าห้ามโกหก”
“ค่ะ แต่หน่าโกหกไปแล้ว พ่อจะทำอะไรหน่าก็เชิญ”
“ได้...”
ก่อนที่ปราบจะพูดอะไร นับดาวลุกขึ้นมาขวางระหว่างทั้งสองคนก่อน
“น้อยหน่า ขึ้นไปบนห้องก่อน”
“เดี๋ยว...”
ปราบเขยิบมาจะไปหาน้อยหน่า นับดาวขยับมาขวางหน้าปราบ
“ถอยไป คุณไม่เกี่ยว นี่เป็นเรื่องของผมกับลูก”
“อย่าลืมสิ คุณให้ฉันเป็นพี่เลี้ยงน้อยหน่า ฉันจะไม่เกี่ยวได้ไง”
“ถ้าอย่างนั้น...”
นับดาวแทรก...
“ถ้าจะไล่ฉันออกก็ได้ แต่นั่นหมายความว่าคุณเป็นฝ่ายผิดสัญญานะ จำได้ใช่ไหมว่าเรา
ตกลงกันว่ายังไง”
ปราบเม้มปาก ไม่พูดอะไรอีก
“น้อยหน่า เธอขึ้นไปที่ห้องก่อนเถอะ”
น้อยหน่าเดินขึ้นห้องไป นับดาวรอจนได้ยินเสียงประตูห้องปิด ค่อยคุยกับปราบ
“คุณคิดจะลงโทษเขายังไง”
“ผมจะกักบริเวณ ถ้ายังไม่เชื่อ ก็ไล่ออกจากบ้านไป ผมเคยคุยกับเขาแล้วว่าห้ามโกหกเด็ดขาด”
นับดาวถอนใจ...
“เอาเป็นว่าฉันขอคุยกับเขาก่อนได้ไหม ส่วนเรื่องกักบริเวณอะไรนั่น เก็บไว้ก่อน”
ปราบมองหน้านับดาว ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง
“ได้”
ปราบจะเดินออกไป
“คุณไม่ต้องไปไหนหรอก รออยู่นี่แหละ” นับดาบบอก แล้วตามน้อยหน่าไป
นับดาวเคาะประตู น้อยหน่ามาเปิดประตูให้ นับดาวเข้ามาในห้องแล้วหาว...
“อยากพูดอะไรก็พูดเถอะ รอฟังอยู่”
นับดาวมองหน้าน้อยหน่า
“ฉันทั้งเหนื่อยแล้วก็ง่วงมาก เอาสั้นๆละกัน อย่าทำอีก โอเคมั้ย”
น้อยหน่าเงียบ นับดาวก็เงียบไปครู่ แล้วตัดสินใจ...
“ได้ค่ะ”
“ดี”
นับดาวลุก เดินไปเปิดประตูออกไปจากห้อง
“แค่นี้เองเหรอ”
“อื้อ”
นับดาวออกไป น้อยหน่านั่งอยู่คนเดียวพูดขึ้นอย่างรู้สึกดีกับนับดาว
“ขอบคุณค่ะที่ให้เกียรติหนู”
นับดาวเดินลงมา ปราบขมวดคิ้ว
“อย่าบอกนะว่าคุยเสร็จแล้ว”
“คุยเสร็จแล้ว”
“คุณเข้าไปคุยหรือเข้าไปตดกันแน่”
นับดาวค้อน...
“เข้าไปคุยย่ะ เรียบร้อยแล้ว ต่อไปนี้เขาจะไม่โกหกคุณอีก ไม่ต้องมีกักบริเวณ โอเคมั้ย”
ปราบงง
“ทำไมเร็วจัง แล้วทำไมมั่นใจนัก”
“ลูกคุณโตแล้วนะ คุยกันแบบผู้ใหญ่ก็ได้ อ้อ แล้วช่วยเปลี่ยนความคิดซะด้วยนะ”
นับดาวเดินเข้าห้องไป ปราบนึกทบทวนสิ่งที่นับดาวพูด
ที่คาร์แคร์หรู...เอมี่ยื่นกุญแจรถให้พนักงาน
“รีบๆหน่อยนะ ฉันมีธุระ”
“ไม่เกินครึ่งชั่วโมงครับ เชิญคุณผู้หญิงดื่มกาแฟรอได้เลยครับ”
เอมี่เดินไปยังโซนรอรับรถ พร้อมๆพนักงานอีกคน ที่เดินเข้าไปหาชนะชัย
“รถคุณผู้ชายเสร็จแล้วครับ”
เอมี่มองตามชนะชัยไป แล้วพึมพำ
“ยัยนับดาว...ฉันรู้ละว่าจะเอาคืนแกยังไง”
เอมี่หยิบมือถือขึ้นมา แกล้งพูดเสียงดังเผื่อให้ชนะชัยได้ยิน
“อะไรนะคะ เลื่อนนัดเป็นตอนเที่ยง...เอ่อ...แต่ว่า...ค่ะๆๆ”
เอมี่ถอนใจ ชนะชัยหันมา
“อ้าวคุณเอมี่”
“สวัสดีค่ะ คุณจ๊อบ บังเอิญจังนะคะ”
“คุณเอมี่เป็นอะไรรึเปล่าครับ สีหน้าดูไม่ดีเลย”
เอมี่แสร้งถอนใจ เพื่อจะขอความช่วยเหลือ
เอมี่กับชนะชัยเข้ามาในล็อบบี้โรงแรม เอมี่ทำเป็นดูนาฬิกา
“คุณจ๊อบเนี่ยบ้าจัง”
“ทำไมล่ะครับ”
“แหม ก็คุณเล่นพาเอมี่มาถึงก่อนเวลาตั้งนาน เหลืออีกตั้งชั่วโมง แล้วเอมี่จะทำอะไรล่ะคะทีนี้”
“อ้าว ก็คุณเอมี่บอกไม่ทันประชุมนัดสำคัญ ผมก็เลยรีบซิ่งมาเลย”
เอมี่ย้มหวานให้
“ไม่รู้ล่ะ คุณจ๊อบต้องรับผิดชอบด้วย”
“จะให้ผมรับผิดชอบยังไงเหรอครับ”
“ต้องทานข้าวกลางวันกับเอมี่ด้วยค่ะ แล้วต้องให้เอมี่เลี้ยงด้วย ไม่งั้นเอมี่ไม่ยอม”
“เอ่อ...”
“นะคะ ให้โอกาสเอมี่ได้ตอบแทนความมีน้ำใจของคุณบ้างนะคะ”
“ครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
เอมี่ยิ้มชอบอกชอบใจ
อ่านต่อหน้า 4 เวลา 17.00 น.
หนุ่มบ้านไร่กับหวานใจไฮโซ ตอนที่ 5(ต่อ)
เวลานั้น นับดาวขี่จักรยานมาที่คอกวัว เดินอารมณ์ดี เข้าไปหยิบคราดมา ตักหญ้าที่อยู่อีกมุมหนึ่ง
“หิวรึยังจ๊ะพี่กะทิ”
นับดาวเดินถือคราดเสียบหญ้ามาที่คอก แล้วก็งง มีแต่คอกเปล่าๆ
“อ้าว พี่กะทิไปไหนล่ะเนี่ย”
นับดาวเดินหา เจอคนงานเดินมา
“พี่คะ พี่กะทิไปไหนเหรอคะ”
“อ๋อ เอาไปเชือดแล้วครับ”
“อะไรนะคะ”
“เอาไปเชือดครับ ขนขึ้นรถไปเมื่อกี้นี่เองครับ”
นับดาวปล่อยคราดตกจากมือ
“พี่กะทิ...”
นับดาวรีบวิ่งไปขึ้นจักรยานทันที
นับดาวปั่นจักรยานมาเต็มแรง เห็นห่างออกไปลิบๆ รถบรรทุกวัวจอดอยู่ข้างทาง บนรถมีวัวเนื้ออยู่หลายตัว มีกะทิอยู่ด้วย
“รอแป๊บนึงนะพี่กะทิ”
นับดาวปั่นจักรยานไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ปกป้องไปปัสสาวะอยู่ข้างทาง ปราบรออยู่บนรถ ปกป้องเสร็จเรียบร้อยก็เดินกลับมาขึ้นรถ นับดาวขี่จักรยานตรงเข้ามา ตะโกนลั่น
“หยุด หยุดก่อน”
ปราบสตาร์ทเครื่องกลบเสียงนับดาว นับดาวเร่งฝีเท้าพยายามถีบให้เร็วขึ้น แต่ปราบขับออกไปแล้ว นับดาวรีบกวดตามไป รถบรรทุกวัวเลี้ยวออกถนนใหญ่ไปแล้ว นับดาวหอบแฮ่ก
“พี่กะทิ...”
นับดาวนึกบางอย่างได้ หยิบมือถือขึ้นมาโทรไปแจ้งความทันที
ตำรวจสายตรวจสองนาย อยู่บนมอเตอร์ไซค์กำลังตระเวนดูความเรียบร้อยตามซอย มี ว.แจ้งเหตุเข้ามา เวลาเดียวกัน รถบรรทุกวัวก็วิ่งบนถนนผ่านหน้าปากซอยที่สายตรวจอยู่พอดี สายตรวจเห็นแล้ว รีบขับตามไป ตำรวจขับแซงหน้ารถบรรทุกวัว ชี้ให้จอดข้างทาง ปราบรีบจอดทันที
“อะไรวะ” ปกป้องงง
“ไม่รู้สิครับ”
ตำรวจทั้งสองนายลงจากรถ ชักปืนออกมา
“ลงมาเดี๋ยวนี้”
ปราบกับปกป้องตกใจ
“อะไรครับนี่”
“ชักปืนออกทำไม มีอะไรก็คุยกันก่อนสิ”
“บอกให้ลงมา เดี๋ยวนี้”
ปราบกับปกป้องชูมือสองข้างขึ้นลงจากรถ
“หันหน้าเข้าหารถ เอามือไว้ที่รถ”
ทั้งสองคนทำตาม ตำรวจคนหนึ่งเข้ามาค้นอาวุธ ขณะที่อีกคนยืนถือปืนคุมเชิงอยู่ ตำรวจค้นไม่เจออาวุธ
“เคลียร์”
ตำรวจเดินออกไปดูด้านหลัง
“ผมต้องขออนุญาตตรวจค้นรถคุณก่อน”
ปราบถาม
“ขอผมดูบัตรก่อนได้มั้ย ตำรวจจริงหรือเปล่า”
“อ๋อ หัวหมอซะด้วย”
“สัตว์…”
ปราบพูดไม่ทันจบ ตำรวจโวย
“อ๊ะ หมิ่นประมาทเจ้าหน้าที่เหรอ”
“เปล่า ก็คุณบอกผมเป็นหมอ ผมจะบอกว่าผมเป็นหมอสัตว์ เอ้า ไม่เชื่อก็ดู”
ปราบหยิบกระเป๋า ส่งบัตรประจำตัวสัตวแพทย์สภาให้ดู ตำรวจดูอย่างละเอียด ท่าทีขึงขังเริ่มหายไป
“เอ่อ...คือเราได้รับแจ้งว่าบนรถคุณว่ามีคนโดนจับ สงสัยว่าจะเอาไปฆ่าทำลายศพ”
ตำรวจยื่นบัตรตำรวจให้ปกป้องดู
“ตำรวจจริงว่ะ”
ปราบพยักหน้าให้
“เชิญค้นครับ”
ตำรวจที่ไปค้นกระโดดลงมาจากรถ
“ค้นเรียบร้อยแล้วครับ ไม่มีพิรุธอะไรครับ มีแต่วัว”
ปราบกับปกป้องเหล่
“แล้วจะขออนุญาตทำชะมดเช็ดอะไร” ปกป้องบ่น
“แล้วใครแจ้งมั่ววะเนี่ย” ตำรวจหัวเสีย
ขณะเดียวกัน รถโฟร์วีลของปราบวิ่งมาจอดเอี้ยด นับดาวลงมาจากรถ
“ขอบคุณคุณตำรวจมากค่ะ ที่หยุดฆาตกรพวกนี้ไว้ได้ทัน”
ตำรวจหันมาคุยด้วย
“อ้อ คุณเองเหรอที่เป็นคนโทรแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายน่ะ”
“ค่ะ”
“คุณเข้าใจผิดอะไรรึเปล่า หรือว่าโทรป่วนตำรวจเล่น ผมไม่เห็นมีอะไรผิดปกติบนรถเลย”
“นี่ไง...เขาจะพาพี่กะทิไปฆ่า”
ตำรวจงง ปราบได้ยินแล้วกลุ้มใจ หน้าละเหี่ย ช่วยเฉลยให้ฟัง
“พี่กะทิคือวัวครับ”
ตำรวจพูดออกมาพร้อมกัน
“วัวเนี่ยนะ”
“ค่ะ”
“คุณจะบ้าเหรอไง”
“วัวก็มีชีวิตเหมือนคุณเหมือนฉัน จะพาเขาไปฆ่าน่ะ ถามเขารึยังว่าเต็มใจมั้ย ถ้าไม่เต็มใจมันก็
เหมือนฆาตกรรมนั่นแหละ”
ตำรวจส่ายหน้า พากันไปขึ้นมอเตอร์ไซค์
“นี่ จะไปไหน กลับมาก่อน”
“ถ้ายังไม่เลิกติงต๊อง ผมจะจับคุณข้อหารบกวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ เข้าใจมั้ย”
ตำรวจขึ้นมอเตอร์ไซค์ ขับออกไป
“สนุกมากใช่มั้ย ป่วนกันแบบนี้เนี่ย”
“ฉันไม่ได้จะป่วนคุณ แต่ฉันจะช่วยชีวิตพี่กะทิ คุณน่ะ เลวและเห็นแก่ตัวมาก เลี้ยงเขาจนโต
แล้วก็พาเขาไปฆ่าแบบนี้เนี่ย จิตใจคุณทำด้วยอะไร”
“ก็มันเป็นวัวเนื้อ จะให้เลี้ยงไว้ไถนารึไง คุณเคยกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อมั้ย เคยกินสเต็กมั้ย เคยกินเนื้อกะเพรามั้ย เคยกินเขียวหวานเนื้อมั้ย...ถ้าไม่เอาวัวเนื้อไปฆ่าแล้วจะเอาเนื้อที่ไหนกิน”
นับดาวอึ้ง ปราบสะกิดปกป้อง จะเดินกลับขึ้นรถ
“งั้นฉันขอซื้อพี่กะทิ..ไม่ ซื้อทุกตัวเลย บอกมา เอาเท่าไหร่”
“ผมไม่ขาย”
“อะไรนะ...ฉันให้ราคาสูงกว่าที่โรงเชือดให้”
“เงินคุณซื้อไม่ได้ทุกอย่างหรอกนะ”
ปราบเดินไปขึ้นรถ นับดาวมองพี่กะทิ น้ำตาไหล กะทิก็มองมาที่นับดาว น้ำตาไหลเช่นกัน ปราบขึ้นรถมาสตาร์ทเครื่อง ขับออกไป
ปราบมองกระจกหลัง เห็นนับดาวยืนร้องไห้โฮมองตามกะทิตาละห้อย ปราบยังมองนับดาวจนลับตา
ที่บริเวณโรงเชือด...ปราบยืนดูคนงานกำลังต้อนวัวลงจากรถของเขา ขณะที่ปกป้องยืนคุยกับพนักงานของโรงงานอยู่อีกด้านหนึ่ง คนงานต้อนวัวลง เหลือกะทิเป็นตัวสุดท้าย คนงานจะเอากะทิลง ปราบเดินเข้าไปบอก
“ตัวนี้ไม่ต้อง ตัวนี้ผมจะพากลับ”
ปกป้องหันมาเห็น ยิ้มกับตัวเอง
ปราบพากะทิไปที่บ้านน้องนก
“ฝากเลี้ยงหน่อยนะ”
“โอ๊ย ไม่มีปัญหาหมอ กำลังอยากกินต้มแซ่บพอดี”
ปราบทำหน้าดุไม่ตลก
“ล้อเล่นน่ะหมอ”
นกพากะทิไปเข้าคอก ปกป้องหันมาคุยกับปราบ
“ตอนแรกอานึกว่าแกจะพากลับไปเลี้ยงที่คอกเหมือนเดิม”
“ไม่อ่ะครับ ไม่อยากให้ยัยนับดาวรู้”
“อ้าว นึกว่าที่ไม่ขายเพราะอยากจะเอาใจเขา”
“เอาใจยัยหมามุ่ยนั่น ไม่มีทางหรอกครับ”
“แล้วพามันกลับมาทำไม”
“ก็...เห็นยัยนั่นร้องไห้ แล้วอดสงสารไม่ได้ แต่ถ้าพากลับไปให้เห็น มันก็ไม่ใช่เรื่อง เราเลี้ยงโค
เนื้อ ถึงเวลาก็ต้องพาเข้าโรงฆ่า มันเป็นธรรมชาติของเรา เขาต้องยอมรับความจริงเรื่องนี้”
“ซับซ้อนจังโว้ย”
ปกป้องมองปราบ พยายามค้นหาความจริงบางอย่าง
ในห้องเรียน...บนกระดานดำเขียนว่า ประชุมเรื่องกิจกรรมงานวันรักษ์โรงเรียน พวกนักเรียนกำลังประชุมกันเอง พวกหน้าห้องเป็นพวกเด็กเรียน มีอัปสรอยู่ด้วย คุยกันท่าทางจริงจัง ขณะที่ตะวันวาดกับน้อยหน่านั่งอยู่หลังห้องไม่สนใจ
“นี่น้อยหน่า ถามอะไรหน่อยดิ” ตะวันวาดหันมาถาม
“ก็ถามมาดิ”
“เธอว่าพ่อเธออยากมีแฟนใหม่มั้ย”
น้อยหน่าหันมามองตะวันวาดอยู่ครู่หนึ่ง
“ไม่อยาก”
“เขาเคยบอกเธอเหรอ”
“เปล่า แต่ฉันรู้ว่าเขาไม่อยากมีแฟนใหม่ เขารักแม่ฉันคนเดียว”
“แต่มันก็นานแล้วนะ”
“บอกไม่ก็ไม่สิ ถามทำไม”
“เผื่อพ่อเธอเขาอยากมีแฟน เราจะได้ช่วยหาแฟนใหม่ให้เขาไง”
น้อยหน่าไม่พอใจ
“ไม่ต้องเลย เขาไม่มีวันเห็นคนอื่นดีกว่าแม่ฉันหรอก”
“อาจจะไม่ดีเท่าแม่เธอ แต่อาจจะมีแบบใกล้เคียง ถ้ามีผู้หญิงแบบนั้น เธอคิดว่าพ่อเธอจะสน
ไหมล่ะ”
“บอกแล้วไงว่าไม่ ถามจริงๆเหอะ จะจับคู่พ่อฉันกับใคร”
อัปสรหันขวับมา โวยมาจากหน้าชั้น
“นี่ เกรงใจกันมั่งสิ พวกฉันประชุมกันอยู่นะ เธอไม่ช่วยอะไรก็อยู่เฉยๆ อย่ามาทำเป็นมือไม่พาย
เอาเท้าราน้ำได้มั้ย”
“เออ ขอโทษ...มีอะไรให้ทำก็สั่งมาละกัน”
อัปสรบ่นพึมพำ หันไปประชุมกันต่อ น้อยหน่าหันกลับมามองตะวันวาด
“อย่าบอกนะว่านับดาว”
“เปล่า”
น้อยหน่าจ้องหน้า ตะวันวาดมองไปทางอื่น
พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ท้องฟ้าดูสวย นับดาวมานั่งอยู่ตรงมุมโปรดของเธอ ปราบจอดรถ เดินมาหา นับดาวหันมาเห็น เมินมองไปทางอื่น
“ยังไม่หายโกรธผมเหรอ”
“ตั้งแต่วันนี้ฉันจะเลิกกินเนื้อวัวตลอดไป”
“อืม เดี๋ยวผมจะบอกป้าพวงให้”
“แล้วฉันจะไม่ทำงานให้อาหาร ล้างคอก หรืออะไรก็ตามกับวัวเนื้ออีกต่อไป”
ปราบถอนใจ
“คิดไม่ถึงว่าคุณจะอ่อนไหวขนาดนี้”
“คุณจะเรียกฉันว่าอ่อนไหว หรือดัดจริตก็ได้ แต่ฉันไม่คุ้นเคยกับเรื่องโหดร้ายแบบนี้”
“คุณจะเรียกผมว่าโหดร้ายหรือฆาตกรก็ได้ แต่นี่เป็นงานของผม”
“เมื่อก่อนตอนฉันกินเนื้อ ฉันไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้มาก่อนเลย”
“วันไหนผมพาคุณไปดูชาวนาเขาทำนาดีกว่า แล้วครั้งต่อไปเวลาคุณกินข้าว คุณจะรู้ตัวว่าโชคดีมากแค่ไหนที่แค่สั่งบ๋อยไปแป๊บเดียว ก็มีคนเอาข้าวมาให้กินแล้ว”
“ไม่ต้องประชดกันหรอกย่ะ แล้วฉันก็เคยทำนาแล้วด้วย”
“คุณเนี่ยนะ”
“ตอนเรียนประถมน่ะ โรงเรียนเขาพาไปทำนา จะได้รู้คุณค่าของข้าว”
“ได้ผลมั้ย”
“แน่นอน เด็กโรงเรียนฉันไม่มีใครมีนิสัยกินทิ้งกินขว้างเลย”
“เป็นโรงเรียนที่ดีมาก”
ปราบกับนับดาวยิ้มให้กัน มือถือนับดาวหล่นลงพื้นหญ้าโดยเธอไม่รู้ตัว
นับดาวเคาะประตูห้องน้อยหน่า แล้วเดินเข้าไปในห้อง น้อยหน่าหยิบสมุดโน้ตมาเล่มหนึ่ง
“อาทิตย์หน้ามีกิจกรรมวันรักษ์โรงเรียน พวกกรรมการห้องเขาจะให้เพื่อนๆเดินรณรงค์เรื่องความสะอาดไปตามถนน มีดนตรี แล้วก็มีแดนเซอร์ แล้วเขาก็ให้หน่าออกแบบเสื้อสำหรับแดนเซอร์ หน่าลองสเก็ตช์ออกมา ... พี่ดาวชอบแบบไหน”
น้อยหน่ายื่นแบบเสื้อทีมรณรงค์ให้นับดาวดู มีอยู่ 7-8 แบบ นับดาวรู้สึกแปลกใจ
“เขียนเองเหรอ”
“ค่ะ”
นับดาวไม่พูดอะไรอีก พิจารณาดูทีละรูป แล้วชี้...
“แบบนี้กับแบบนี้น่าพัฒนาต่อไปได้...อันอื่นพี่ไม่ชอบ ...อันแรกนี่ พี่ว่าติดกระดุมตรงนี้ ดูรก อาจจะใช้เป็นเวลโครเทปก็ได้นะ แต่พี่ชอบการใช้สี แรงแต่ลงตัว...แบบที่สองเรียบง่ายดี แต่ฟ้อนต์ไม่สวย แฟชั่นก็จริงแต่ไม่เหมาะกับงาน น่าจะเป็นฟ้อนต์ที่มีพลัง มีความกะฉับกะเฉงมากกว่านี้นะ”
“ขอบคุณค่ะ งั้นเดี๋ยวหน่าเขียนแบบใหม่ แล้วจะให้พี่ดูอีกที แต่ตอนนี้พี่ออกไปก่อน”
“หา”
“หน่าไม่ชอบให้ใครอยู่ด้วยตอนหน่าทำงาน เดี๋ยวเสร็จแล้วเอาไปให้ดูเอง”
“โอเคจ้ะ”
นับดาวเดินออกจากห้อง
นับดาวเดินลงมาจากชั้นบน ตบๆตามกระเป๋า ปราบมองๆ
“เป็นอะไรครับ แมลงสาปคลานเข้าไปในกางเกงเหรอ”
นับดาวหันมาทำตาเขียว
“ยังไม่สกปกขนาดนั้นย่ะ คิดได้นะ...สงสัยฉันจะทำมือถือตกตรงที่นั่งเล่นตอนเย็นน่ะ ขอยืมรถเดี๋ยวนะ”
“ผมไปเป็นเพื่อนดีกว่า ตรงนั้นมืดมาก”
“ไม่เป็นไร ฉันไปเองได้”
“แถวนั้นกบเยอะ”
“ฉันไม่กลัวกบหรอกย่ะ”
“แต่งูเขียวมันชอบมากินกบ”
นับดาวชะงัก
เมื่อไปถึงที่นั่งเล่น ปราบถือไฟฉายส่องทางให้ นับดาวก้มๆเงยๆหามือถือ
“เจอแล้ว”
นับดาวเหยียดตัวไปหยิบมือถือ ขาลื่นปื้ด หน้าทิ่ม
“ลืมเตือนว่าน้ำค้างมันลง หญ้าจะลื่นหน่อย”
นับดาวร้องโอดโอย ลุกไม่ขึ้น
“คุณนับดาว”
ปราบรีบเข้ามาดู นับดาวชี้ที่ข้อเท้า
“สงสัยเท้าแพลงค่ะ”
ปราบยกแขนนับดาวข้างที่เท้าแพลงคล้องคอเขา ประคองลุกขึ้นยืน
“ไปที่บ้านก่อน”
“ค่ะ”
ปราบประคองนับดาวเดินไปที่รถที่จอดห่างออกไป นับดาวชำเลืองมองปราบ
น้อยหน่าออกมาจากห้อง พร้อมสมุดโน้ตที่เขียนแบบใหม่เสร็จแล้ว ลงมาที่โถงบ้าน
“พี่นับดาว”
น้อยหน่าหานับดาวไม่เจอ ตรงไปที่ห้อง เคาะประตู แต่ตอนนั้นเองก็มองเห็นที่หน้าบ้าน เห็นนับดาวกำลังนั่งให้ปราบนวดข้อเท้าข้างที่แพลงอยู่ ขณะที่ปราบนวดให้ นับดาวแอบมองปราบ
น้อยหน่าเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด สีหน้าเปลี่ยนไป กลายเป็นหน้าบึ้งตึง แต่ไม่พูดอะไร เดินกลับเข้าห้องไป
อ่านต่อตอนที่ 6 พรุ่งนี้