หนุ่มบ้านไร่กับหวานใจไฮโซ ตอนที่ 6
ตะวันวาดนั่งใช้แล็ปท้อปอยู่ ที่หูมีบลูทูธเสียบอยู่
“บริษัทผมกำลังขยายงาน ผมต้องการสินค้า...15 ล้านยูโรใช่มั้ย ไม่มีปัญหา” ตะวันวาดรัวคีย์บอร์ดแล้วเคาะเอ็นเทอร์ “ผมโอนให้แล้ว ส่งของมาได้เลย”
ตะวันวาดถอดบลูทูธ ยกแก้วไวน์ใส่นมสดคลึงเขย่าวนเบาๆแล้วจิบช้าๆ นับดาวใส่ชุดปิจาม่าเดินออกมา
“มาหลบอยู่ตรงนี้เองหรือคะ ตะวันวาด
“เจรจาธุรกิจน่ะครับ”
“เสร็จแล้วใช่ไหมคะ ไปเล่นน้ำกันเถอะค่ะ นับดาวร้อนจังเลย”
“ได้สิครับ”
น้อยหน่าใส่ชุดสวยน่ารัก เดินออกมา
“ไม่ได้นะตะวันวาด เธอสัญญาว่าจะพาฉันไปดูหนังไม่ใช่เหรอ”
“จริงด้วย ให้นับดาวไปด้วยคนนะน้อยหน่า”
“ไม่ได้ เราเป็นแฟนกัน เราต้องไปกันสองคน”
นับดาวมองทั้งสอง
“พวกเธอจะเป็นแฟนกันได้ไง อย่าลืมสิ พวกเธอเป็นพี่น้องกันนะ”
น้อยหน่ามองหน้าตะวันวาดอย่างแปลกใจ
“หา...เราเป็นพี่น้องกันตั้งแต่เมื่อไหร่”
ปราบกับสุนทรีเดินคล้องแขนกันออกมา
“ก็พ่อเธอแต่งงานกับแม่เรา เราสองคนก็เป็นพี่น้องกันน่ะสิ...ใช่มั้ยแม่”
สุนทรียิ้มให้ พยักหน้าให้ตะวันวาด
ตะวันวาดนั่งหลับฝันหวานยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คาโต๊ะ มีสมุดหนังสือเรียนอยู่ด้วย สุนทรีเดินมาตบหลังลูกชายเบาๆ
“ตะวัน...ตะวัน...”
ตะวันลืมตาตื่นขึ้น เจอสุนทรีใส่ชุดเหมือนในฝัน
“แม่...อาปราบล่ะครับ”
“อาปราบเขาก็อยู่ที่บ้านเขาน่ะสิ ฝันถึงเขาหรือไง”
ตะวันวาดอึกอัก
“เอ่อ...ผมฝันว่า...เอ่อ...ไม่เล่าดีกว่า”
สุนทรีจ้องหน้าลูกชาย
“ฝันถึงอาปราบหรือลูกสาวอาปราบกันแน่”
“ก็...มีน้อยหน่าอยู่ในนั้นด้วยอ่ะครับ”
สุนทรีหัวเราะ
“อินมากขนาดเก็บไปฝันเลยเหรอ นี่ ตะวัน ไอ้เรื่องแฟนเรื่องกิ๊กเนี่ย ลูกอย่าไปอะไรกับมันมากเชื่อแม่นะ เดี๋ยวจะเสียการเรียน”
“ผมไม่ได้หมกมุ่นอะไรหรอกครับ แค่ขำๆน่ะครับ เอ่อ แล้วแม่ล่ะครับ”
“แม่ทำไม”
“แบบว่า...แม่เหงามั้ย อยากมีแฟนมั้ยครับ”
สุนทรีหัวเราะ
“อย่าปีนเกลียวย่ะ เรื่องของแม่”
สุนทรีเดินออกไป ตะวันวาดพูดขึ้น
“เอ่อ แม่ครับ วันก่อนที่ไปกินข้าวบ้านอาปราบ อร่อยไหมครับ”
“ก็อร่อยดี”
“วันไหนเรากินกันอีกไหมครับ”
“ถ้าลูกชอบก็เอาสิจ๊ะ”
สุนทรีเดินห่างไป ตะวันวาดครุ่นคิด
“ตอบแบบนี้แสดงว่าแม่เราก็ต้องมีใจเหมือนกัน”
ค่ำนั้น...ที่ร้านคาราโอเกะซึ่งมีลูกค้าพอสมควร ปกป้องกำลังร้องเพลงอยู่หน้าตู้คาราโอเกะ มีเจิดเป็นลูกคู่ พอร้องเพลงจบก็มีเสียงปรบมือ ปกป้องหันกลับมา เจอเสี่ยไฝ มากับบอดี้การ์ดตามเคย
“เสียงดีนี่คุณปกป้อง”
“ขอบคุณที่ชม เสี่ยนี่หูถึงเหมือนกันนะเนี่ย”
“ผมยังพูดไม่จบซะหน่อย จะบอกเสียงคุณดีกว่าหมูออกลูกนิดนึง”
เสียไฝหัวเราะร่า ปกป้องสวนขึ้น
“ผมก็ยังพูดไม่จบ จะบอกว่าหูของเสี่ยสูงถึงหัวเข่าแล้ว ดีใจด้วย”
เสียไฝชะงักกึก บอดี้การ์ดขยับตัว เจิดเดินมาประชันหน้าบอดี้การ์ด แต่เสี่ยไฝยกมือปรามไว้ เสี่ยไฝกับปกป้องหัวเราะแบบไว้เชิงกันทั้งคู่ ก่อนที่เสี่ยไฝจะเยาะเย้ยถากถาง
“ร้องเพลงเก่งอย่างงี้ งานเกษตรปีนี้จะขึ้นเวทีประกวดมั้ยเนี่ย”
“อ๊ะ อันนี้ความลับของทางไร่ครับ บอกไม่ได้”
“อ้อ พูดอย่างนี้แสดงว่าเตรียมการไว้แล้วสิ”
“ก็คงไม่มากไม่น้อยไปกว่าของเสี่ยหรอกครับ”
“แต่ปีนี้ผมจัดหนักมาก ไร่ไหนๆรวมทั้งไร่ปรีดาของคุณก็ทาบไม่ติดหรอก”
“ได้ข่าวว่าปีนี้จะมีรัฐมนตรีมามอบถ้วย มิน่า เสี่ยเลยคึกคักขึ้นมาเป็นพิเศษ...เอ แต่เสี่ยกับท่านรัฐมนตรีอยู่คนละฝ่ายกันไม่ใช่เหรอครับ”
“ถูกต้อง ใครๆก็รู้ว่าผมน่ะเป็นหัวคะแนนให้ศัตรูของเขา ถ้าเขาต้องมอบถ้วยให้ผม คงสะใจกัน
ทั้งวงการ ผมแอบติดต่อพวกสื่อมวลชนมาเพียบเลยนะ ฮ่าๆๆ เพราะฉะนั้นปีนี้ผมต้องเอาถ้วยให้ได้”
ปกป้องยิ้มเยาะ
“ปู้โธ่ ถ้าผมเป็นเสี่ย ผมแอบซื้อกรรมการดีกว่า จะไปจัดหนักบนเวทีทำไมให้ยุ่งยาก”
“ทำไมผมจะไม่คิดแต่ฝ่ายนู้นมันก็คิดเหมือนกัน สุดท้ายเลยได้กรรมการเป็นกลาง ไม่เข้าข้าง
ใครสักคน”
ปกป้องพยักหน้าเข้าใจ
“อ้อ อย่างงี้นี่เอง งั้นก็ขอให้โชคดีนะครับ”
“ผมอยากให้คุณเข้าใจสถานการณ์ คู่แข่งที่สำคัญที่สุดของผมก็คือไร่ปรีดา ได้ถ้วยไปก็หลายปี แต่ปีนี้เว้นให้ผมละกัน อย่าทำอะไรสวยงามหรือโดดเด่นให้มันมากนัก”
เจิดแทรกขึ้น
“จะขอให้ล้มมวยก็ว่ามาตรงๆเลยดีกว่าครับ”
เสี่ยไฝกลับหัวเราะชอบใจ
“ถ้าขนาดลูกน้องยังรู้เรื่อง เจ้านายก็คงเข้าใจดีแล้วนะครับ”
เสี่ยไฝยื่นมือมาจะขอเช็คแฮนด์ ปกป้องยิ้ม ส่งไมค์คาราโอเกะในมือยัดเข้ามือเสี่ยไฝ
“เชิญครับเสี่ย ผมกำลังจะกลับพอดี”
ปกป้องกับเจิดเดินออกไป เสี่ยไฝมองตามไปอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
เช้าวันใหม่...ปราบ ปกป้อง นับดาว มากินกาแฟกันที่ร้านกาแฟวิวสวยๆริมทาง
“ถ้าอาไม่เตือน ผมเกือบจะลืมซะด้วยซ้ำเรื่องประกวดเนี่ย”
นับดาวงงๆไม่เข้าใจว่าปราบพูดอะไร
“ประกวดอะไรเหรอ”
“เป็นงานเกษตรประจำปีน่ะ แต่เขาจะมีประกวดการแสดงของไร่ต่างๆด้วย ส่วนใหญ่ก็ร้องเพลง
เต้นรำ” ปกป้องอธิบาย
ปราบเสริม
“ปีแรกๆไม่ค่อยมีใครส่งหรอกเห็นว่าสิ้นเปลือง นอกจากไร่ปรีดา เพราะเราเห็นว่าคนงานเขา
ชอบกันมาก ตั้งใจซ้อมตั้งใจเล่นกันเต็มที่ เราก็สนับสนุนเงินทุน”
“ทีนี้จัดไปๆคนมาดูงานเขาก็ติดใจจนกลายเป็นหน้าตาของงานไปเลย ทีนี้ก็เริ่มแข่งกันจริงๆจัง ปีแรกๆไม่ค่อยมีใครส่ง เราได้แชมป์ตลอด พอปีหลังเราก็ถือเป็นศักดิ์ศรีต้องป้องกันแชมป์เอาไว้”
นับดาวเริ่มเข้าใจ
“แต่ปีนี้เสี่ยไฝเกิดอยากได้ถ้วยขึ้นมาเป็นพิเศษ เลยมาเคลียร์กับไร่ปรีดาก่อน”
“อยากได้ก็ให้เขาไป แชมป์เชิ้มอะไรน่ะ ผมไม่สนหรอก ช่างมันเหอะ ให้คนงานเราได้สนุกก็พอ”
“อาเห็นด้วย เสี่ยไฝมันอยากได้ถ้วยก็ให้มันไป เราก็ทำแบบของเราให้คนงานเราได้สนุกก็พอ”
ทั้ง 3 คน เดินออกมาจากร้านกาแฟ ไปที่รถ นับดาวนึกอะไรได้
“คุณปราบ งั้นเรื่องงานโชว์ที่ว่าเนี่ย ปีนี้ขอฉันจัดการได้มั้ย”
ปราบมองนับดาวอย่างไม่ไว้ใจ
“คิดจะวางแผนป่วนอะไรไร่ผมอีกละสิ”
“คิดได้เนอะ ฉันหวังดีแท้ๆ ทำไมไม่ฟังให้จบก่อน”
“อ้ะ งั้นเชิญ ถ้าผมเข้าใจผิดผมจะขอโทษทีหลัง”
“ฉันจะให้น้อยหน่าช่วยด้วย ตั้งแต่ออกแบบเสื้อผ้า ออกแบบท่าเต้น เพราะฉันเห็นว่าเขามีแววให้เขาลองดู เผื่อเขาจะเจอสิ่งที่เขาชอบ”
ปราบเงียบไป มองหน้านับดาว
“เอาเป็นว่าผมขอโทษที่เข้าใจคุณผิด”
“แปลว่าคุณเห็นด้วยใช่มั้ย”
“ครับ แล้วก็ขอบคุณคุณมากด้วย...ตอนนี้ผมชักอยากให้คุณมาช่วยผมเลี้ยงน้อยหน่าไปนานๆแล้วล่ะสิ”
นับดาวหน้าแดง
“คุณพูดอะไรของคุณ”
ปกป้องชักสงสัย
“เออ แกพูดอะไรของแกวะ”
ปราบนึกได้ว่าพูดอะไรออกไป หน้าแดงเขินเหมือนกัน
“เปล่าๆๆ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ผมหมายถึงว่า...น้อยหน่า เห็นคุณเข้ากับคุณน้อยหน่า เอ๊ย น้อยหน่า แบบว่า คุณเห็นอะไรในตัวเขาที่ผมไม่เห็น ผมไม่ได้หมายความว่าผม...เอ่อ...กับคุณจะ...”
นับดาวมองหน้า
“รู้แล้วว่าพูดผิด แค่นั้นแหละ”
ปราบยิ้มแหยๆ
“ใช่ครับ แค่พูดผิดนั่นแหละ”
นับดาวกับปราบต่างฝ่ายต่างหลบตา มองไปทางอื่น
เมื่อกลับมาที่บ้าน นับดาวเดินไปคุยไปกับน้อยหน่า เล่าให้ฟังว่าคุยอะไรกับปราบมาบ้าง น้อยหน่าย้อนถามอย่างตื่นเต้น
“คุณแน่ใจจริงๆเหรอคะว่าพ่อเขายอมให้หน่าทำ คุณฟังผิดหรือเปล่า”
“ไม่เข้าใจผิดหรอก ทำไมเธอคิดอย่างนั้นละ”
“ปกติพ่อเขาเห็นหน่าเป็นเด็กอมมือ เขาไม่เคยเชื่อใจให้หน่าทำอะไรยากๆแบบนี้หรอก”
“พ่อแม่ทุกคนอยากเห็นลูกตัวเองเป็นคนเก่งทั้งนั้นแหละ แต่พ่อเธอเขาอาจจะห่วงเธอมากไปหน่อย ยังไงก็ตาม ฉันไม่ได้บอกว่าให้เธอทำทั้งหมด ฉันจะให้เธอช่วยฉัน เข้าใจแล้วใช่มั้ย”
“ค่ะ”
“ก่อนที่เธอจะตอบตกลง เราต้องคุยกันก่อน”
น้อยหน่างงๆ
“เธอต้องทำเรื่องนี้นอกเวลาเรียน ไม่โดดเรียนมาช่วยฉัน ถ้ามีการบ้าน ต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อน เรื่องที่สอง งานส่วนไหนที่เป็นของเธอ เธอต้องทำให้เสร็จลุล่วง ห้ามเลิกกลางคัน ห้ามบอกว่าเบื่อ ห้ามโยเย”
“หน่าไม่ตัวงี่เง่าแบบนั้นหรอกค่ะ ไม่ต้องห่วง”
นับดาวยิ้มให้
“เยี่ยม”
นับดาวกับน้อยหน่าจับมือกัน
ในโรงเรียน...ตะวันวาดเดินอยู่ อัปสรเดินมาหาก่อนจะเอ่ยปากชวน
“ตะวันวาด ตอนนี้เราเข้าร่วมโครงการยุวชนรักษ์โลกปกป้องโลกร้อนด้วยหัวใจคุณธรรม เธอ
มาร่วมกับเรามั้ย”
“โครงการอะไรของเธอ ชื่อยาวกว่าบะหมี่อีก”
“เป็นโครงการที่ดีมากเลยนะ เป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม แถมพัฒนาจิตใจของตัวเราเองด้วยนะ”
“ขอบใจนะ แต่เราคงไม่ว่างหรอก”
“เธอติดอะไรเหรอ”
“เราจะช่วยน้อยหน่ากับพี่นับดาวทำแข่งโชว์งานเกษตรแฟร์ปีนี้น่ะ”
อัปสรอึ้งไปครู่หนึ่ง
“เหรอ งั้นก็ไม่เป็นไร”
เย็นนั้น เพชรสีกำลังคุมคนงานซ้อมเต้นอยู่ มีมืออาชีพมาสอนท่าเต้นให้
“กติกาบอกว่าต้องเป็นคนงานในไร่ ฉันจ้างแดนเซอร์มืออาชีพไม่ได้ เพราะฉะนั้นพวกเธอทุกคนต้องตั้งใจทำตามที่ครูบอกนะ ปีนี้ทีมของเราต้องชนะเลิศเท่านั้น ถ้าทำได้ ทุกคนจะได้รางวัลอย่างงาม แต่ถ้าแพ้ ทุกคนจะถูกทำโทษสถานหนัก เข้าใจมั้ย”
พวกคนงานกลัวเพชรสีมาก ตั้งใจเต้นกันทุกคน อัปสรในชุดนักเรียน เดินเข้ามาหา
“สวัสดีค่ะพี่เพชรสี”
“สวัสดีจ้ะอัปสร...เจอก็ดีละ ฝากไปบอกแม่เธอที่กรุงเทพหน่อยนะ อย่าฟุ่มเฟือยมากนัก วันก่อนฉันเห็นเขาโทรมาขอยืมเงินพ่อฉันอีกละ เราเป็นญาติกันต้องช่วยเหลือกันก็จริง แต่มันก็ต้องมีขอบเขต ที่ให้เธอมาอยู่ด้วย ส่งให้เรียนนี่ก็มากแล้วนะ เตือนแม่เธอให้ด้วย ถึงพ่อฉันเขาไม่พูดแต่ฉันรู้ว่าเขาไม่พอใจเหมือนกัน”
อัปสรหน้าเสีย
“ค่ะ...เดี๋ยวหนูจะบอกแม่ให้ค่ะ หนูขอโทษแทนแม่ด้วยนะคะ”
“รับปากแล้วก็ทำด้วยละกัน ไม่มีอะไร เธอไปได้แล้ว”
“คุณเพชรสี หนูมีเรื่องมาบอกค่ะ”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องประกวดโชว์งานเกษตรแฟร์น่ะค่ะ”
เพชรสีสนใจขึ้นมาทันที
“หือ มีอะไรเหรอ”
“หนูแอบรู้มาว่าปีนี้พวกไร่ปรีดาเขาให้คนที่ชื่อนับดาวเป็นคนคิดโชว์”
“ยัยนับดาวเหรอ”
เพชรสีนิ่งคิดครู่หนึ่ง
“งั้นเธอคอยแอบสืบมาให้ฉันหน่อย ว่ามันคิดอะไรกันยังไง แล้วมาบอกฉัน”
“ได้ค่ะ หนูจะทำให้เต็มความสามารถเลยค่ะ” อัปสรยิ้มรับ
นับดาวจูงเฉาก๊วยเดินเล่นในบริเวณไร่ พลางชวนคุย…
“เจ้านายเธอเขาคิดอะไรของเค้าเนี่ย ที่ให้ฉันพาเธอเดินเล่นแบบนี้...หรือเขาจะเลิกแกล้งฉันแล้ว รู้มั้ยว่าตั้งแต่ฉันมาทำงานที่นี่ พาเธอเดินเล่นเนี่ยเป็นงานที่ทำแล้วมีความสุขที่สุด...หวังว่าวันดีคืนดีคงไม่พาเธอเข้าโรงเชือดไปทำสเต็กเนื้อม้าหรอกนะ”
นับดาวหัวเราะ เฉาก๊วยร้องฮี้ๆ นับดาวจุ๊บหน้าเฉาก๊วย เจิดมองอยู่ไกลๆ
“เฮ้ย อะไรวะ ผู้ชายตัวเป็นๆหล่อๆล่ำๆยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคนไม่จูบ ไปจูบม้า สาวกรุงเทพนี่มัน
ยังไงวะ...เล่นกะใครไม่เล่น ไปเล่นกะม้า ไม่รู้อะไรซะแล้ว ฮิๆ”
ค่ำนั้น นับดาวเข้ามาในบ้าน เอะใจ ที่เห็นในบ้านปิดไฟมืด เธอเปิดไฟ ไม่มีใครสักคน
“ป้ายวงคะ...ป้ายวง...น้อยหน่า...น้อยหน่า...”
นับดาวแทบร้องวี้ด เมื่อเพิ่งเห็นว่าที่พื้นมีรอยคราบแดงๆคล้ายเลือดเปื้อนเป็นทาง ออกไปทางประตูที่เธอเพิ่งเข้ามา คราบแดงเหมือนเริ่มต้นมาจากส่วนลึกของบ้าน นับดาวหน้าซีดค่อยๆเดินตามรอยคราบสีแดงเข้าไป เจอมีดเปื้อนคราบแดงตกอยู่บนพื้นครัว หญิงสาวไม่กล้าเดินหน้า ค่อยๆก้าวถอยหลังออกมา หยิบมือถือออกมา กำลังจะกดโทรออก
ทันใดนั้นมีมือหนึ่งมาปิดปากเธอ นับดาวดิ้น แต่อีกฝ่ายแข็งแรงกว่ามาก ล็อคเธอไว้ จับร่างเธอหันมา ที่แท้เป็นปราบนั่นเอง เขาเอานิ้วชี้ทาบริมฝีปากให้เธอเงียบ อย่าส่งเสียงแล้วเดินนำหน้าไป นับดาวเห็นปราบมือเปล่าก็ดึงชายเสื้อไว้ มองซ้ายมองขวา วิ่งไปหน้าบ้าน หยิบรองเท้าส้นเข็มของเธอให้ข้างหนึ่ง ชายหนุ่มงงๆ หญิงสาวทำท่าเอาส้นเข็มตอกๆให้ดูว่าใช้แทนอาวุธได้ หน้าตาปราบไม่ค่อยแน่ใจนัก นับดาวพยักหน้ายืนยัน เขาเลยตามเลย ถือส้นสูงในท่าเตรียมพร้อม เดินตรงไปในบริเวณครัว กำลังจะถึงอยู่แล้ว
ทันใดนั้นมือถือปราบดังขึ้น ทั้งสองสะดุ้งโหยง รีบวิ่งออกมา ปราบกดปิดมือถือ ถอนหายใจ มองเข้าไป ไม่มีอะไรผิดปกติ ทั้งสองชักสงสัย เดินเข้าไปอีกครั้ง กำลังจะโผล่หน้าเข้าไปบริเวณครัว ทันใดนั้นมือถือนับดาวดังขึ้นปราบยัวะ
“เฮ้ย อะไรกันนักกันหนา”
นับดาวตวาดกลับ
“อย่ามาตะคอกฉันนะ แล้วทีคุณล่ะ”
ปราบเดินพรวดๆเข้าไปในครัว
“ใครอ่ะ อยู่ไหน ออกมาเดี๋ยวนี้”
ปราบมองไป ในครัวไม่มีใครอยู่ แต่สภาพเละเทะมาก มีซอสแดงๆเขละๆกระจายเต็มพื้น เห็นทิศทางว่าพุ่งออกมาจากไมโครเวฟโดยมีฝาไมโครเวฟเปิดอ้าอยู่ นับดาวกดรับสาย คุยมือถือ
“ตอนนี้พี่อยู่ที่บ้านจ้ะ...อือ...หมอว่าไงมั่ง...อื้อ...จ้ะ แล้วจะบอกให้”
นับดาววางสาย หันมายิ้มให้ปราบ
“น้อยหน่าโทรมาบอกว่าป้ายวงอุ่นซอสสปาเก็ตตี้ แต่ข้างในชามมีไข่ต้ม น้อยหน่าเค้าใส่ไว้แล้วไม่ได้บอก มันเลยระเบิดตอนที่ป้ายวงยื่นหน้าไปดูพอดี เลยตู้มเข้าหน้า”
ปราบตกใจ
“หา แล้วป้ายวงเป็นไรมั้ย”
“ไม่เป็นไรมากแต่หน้าบวมเพราะโดนของร้อน น้อยหน่าเลยพาไปโรงพยาบาล หมอบอกปลอดภัยแล้ว ฉีดยาเรียบร้อย ที่จริงกลับบ้านได้เลย แต่ป้าเค้าเคยมีประวัติแพ้ยา หมอเลยให้อยู่ดูอาการสักพัก ตอนนี้คุณปกป้องไปอยู่ด้วยแล้ว ถ้าไม่มีอะไรเดี๋ยวก็กลับมา”
ปราบถอนใจ
“เฮ้อ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
ปราบกับนับดาวมองหน้ากัน แล้วมองพื้นครัวที่เละเทะ
“เอางี้ เดี๋ยวผมทำความสะอาดครัวแล้วก็พื้นข้างนอกเอง”
นับดาวยิ้ม ปราบหันมาสั่ง
“ส่วนคุณทำอาหารเย็นให้ผมกินแล้วกัน”
นับดาวหุบยิ้ม
“อย่าเลย...ฉันทำความสะอาดดีกว่า คุณทำอาหารละกัน”
“ไม่เป็นไร ทำความสะอาดมันงานใช้แรง ให้ผมทำน่ะดีแล้ว”
“ไม่เอา ฉันจะทำความสะอาด”
“อย่าบอกนะว่าคุณขี้เกียจทำอาหาร”
“ไม่ได้ขี้เกียจ ฉันทำไม่เป็น”
นับดาวมองหน้าปราบ
“คุณก็เหมือนกันใช่ไหม”
“เอ่อ...ไม่เป็น”
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วหัวเราะกัน
“งั้นเราสองคนมาช่วยกันทำความสะอาดก่อนละกัน ส่วนเรื่องทำอะไรกินไว้ค่อยคิดทีหลัง”
นับดาวยิ้มให้
ปราบปิ้งบาบีคิว เอาเนื้อหมูเสียบเหล็กสลับกับสัปปะรด มะเขือเทศ พริกหยวก ย่างบนเตา ทาซอสไปเรื่อยๆ ขณะที่นับดาวปิ้งขนมปังให้
“ผมน่ะ ไม่ถึงกับทำอาหารไม่เป็นหรอกนะ ไอ้นี่แหละ ไม้ตายของผม”
“ขี้คุยจริงๆ ทำบาร์บีคิวมันยากตรงไหน แค่หาอะไรมาเสียบ แล้วก็วางบนเตา”
“เนี่ยนะ คนไม่เคยทำอะไรมันก็ง่ายไปหมด จะบอกให้เอาบุญ ความยากของมันอยู่ที่การคุมไฟ แรงไปก็ไหม้ อ่อนไปก็สุกเกิน จังหวะการทาซอสก็สำคัญ ไม่ใช่สักแต่ทา เดี๋ยวคุณลองกินดูก็จะรู้ว่ามันอร่อยแค่ไหน”
“ขี้โม้ ตกลงฉันกินได้รึยังล่ะ หิวแล้ว”
ปราบพลิกๆดู หยิบขึ้นมาไม้หนึ่ง
“อ่ะ อันนี้ได้แล้ว”
นับดาวอ้าปากจะกิน แต่เอะใจที่เห็นปราบมองเธอแบบมีเลศนัย
“อ๋อ...กะจะให้ฉันปากพองใช่มั้ย”
ปราบหัวเราะที่ถูกจับไต๋ได้
“ทุเรศที่สุด”
“ล้อเล่นน่า ถ้าคุณจะกินจริงๆผมก็จะห้าม”
นับดาวค้อน
“เชอะ”
นับดาวเป่าๆแตะๆจนแน่ใจว่าไม่ร้อนแล้ว ก็กัดกินเคี้ยวตุ้ย ปราบมองๆแล้วถาม
“เป็นไง”
“อื้อ...ก็พอใช้ได้”
“อย่าปากแข็งน่า อร่อยก็บอกอร่อยสิ”
นับดาวไม่พูด ปราบจ๋อยๆหันไปย่างต่อไม่พูดอะไร นับดาวเหล่มอง เห็นเขาไม่หันกลับมาเธอก็หัวเราะ
เอามือผลักเขาเบาๆ
“คาวบอยภาษาอะไรเนี่ยมีงอนด้วย...อ้ะ อร่อยก็ได้”
“ไม่ได้งอน ไม่จำเป็นต้องมาพูดเอาใจผมหรอกครับ”
“ไม่เชื่ออีก เอ้า สาบานก็ได้ ดิฉันนางสาวนับดาว ขอสาบานว่าบาร์บีคิวฝีมือนายปราบนั้นอร่อยจริงๆ อร่อยที่สุด ถ้าดิฉันโกหกขอให้...ขอให้ต้องเดินเก็บขี้วัวท้องเสียตลอดชีวิต”
ปราบหัวเราะ
“โอ้โฮ สาบานแบบนี้ไม่เชื่อไม่ได้แล้ว”
ทั้งสองหัวเราะกัน
อ่านต่อหน้า 2
หนุ่มบ้านไร่กับหวานใจไฮโซ ตอนที่ 6 (ต่อ)
วันต่อมา...ช่วงพักกลางวัน ในห้องเรียนไม่มีใครอยู่ อัปสรแอบเข้ามาในห้อง มองซ้ายมองขวาไม่เห็นใครก็ไปที่โต๊ะของน้อยหน่า แอบหยิบสมุดโน้ตออกมา หยิบกล้องมือถือออกมาถ่ายรูป ตะวันวาดกับน้อยหน่าเดินเข้ามาในห้องพอดี เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น น้อยหน่ากำหมัด ปรี่จะเล่นงานแต่แล้วก็ชะงัก ถอยออกมา ตะวันวาดมองน้อยหน่าด้วยความแปลกใจ น้อยหน่าถอยออกมานอกห้อง ตะวันวาดตามออกมา
“เขาทำแบบนี้ทำไมอ่ะ”
“คงมาสอดแนมเรื่องโชว์เอาไปให้ยัยเพชรสีอะดิ ปีนี้พ่อยัยเพชรสีบอกจะเอาถ้วยให้ได้”
“โห ในนั้นมีทั้งแบบเสื้อทั้งท่าเต้น เธอยอมให้เค้าถ่ายได้ไง”
“ช่างมันเหอะ เล่มนั้นของเก่า ของใหม่อยู่อีกเล่ม”
“แต่มันก็ทุเรศอยู่ดี ทำไมไม่เข้าไปจับคาหนังคาเขาเลยล่ะ”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนน่ะจะเหลือเหรอ...แต่พี่นับดาวพูดถูก ใช้กำลังไปก็เท่านั้น ฉันจะลองใช้วิธีแบบพี่นับดาวดู”
น้อยหน่าคิดวางแผน
เลิกเรียนแล้ว อัปสรเก็บของกำลังจะกลับบ้าน น้อยหน่ากับตะวันวาดเดินผ่านไป คุยกันไป
“นี่ เมื่อกี้ตอนเรียน ฉันแอบคิดแบบเสื้ออันใหม่ได้ด้วยล่ะ”
“เหรอ ขอดูหน่อยดิ”
“พรุ่งนี้ละกัน ฉันวางไว้ใต้โต๊ะ ขี้เกียจเอากลับบ้าน”
“ก็ได้ พรุ่งนี้ก็พรุ่งนี้”
น้อยหน่ากับตะวันวาดเดินออกไป อัปสรรีๆรอๆจนเพื่อนออกไปหมดทุกคน ก็รีบไปที่โต๊ะน้อยหน่า เปิดสมุดโน้ตหน้าล่าสุดออกมา ถ่ายรูป น้อยหน่ากับตะวันวาดแอบดูอยู่
เย็นที่ร้านอาหารในเมือง...อัปสรเข้ามาในร้าน เจอเพชรสีนั่งรออยู่ก่อนแล้ว มีแลปท้อปอยู่ตัวหนึ่งบนโต๊ะ
“ไหน เอามาดูซิ”
อัปสรรีบส่งมือถือให้ เพชรสีรับเอาไปเสียบสายต่อกับแลปท้อป
“เธออยากกินอะไรก็สั่งเลยนะ”
อัปสรยิ้มแป้น รับเมนูจากบริกรมาดู สักครู่ รูปจากมือถือของอัปสรก็มาขึ้นที่จอแลปท้อป เพชรสีคลิกดูทีละรูป จนถึงรูปสุดท้าย เพชรสีชะงัก
“เธอถ่ายอะไรของเธอมา”
“ก็งานของยัยน้อยหน่าที่จะเอาเข้าแข่งไงคะ”
อัปสรเอะใจหันมาดู เห็นรูปสุดท้ายเป็นเสื้อตัวใหญ่ มีตัวหนังสือลายยึกยือเขียนบนเสื้อ เพชรสีเพ่งมองแล้วถาม
“อ่านออกมั้ยมันเขียนว่าอะไร”
อัปสรสั่นหน้า
“เพราะเธอมันโง่ มันเขียนแบบกลับด้าน เอ้า ดูซะ”
มันเป็นตัวหนังสือที่เขียนกลับด้านแบบกระจกเงา เพชรสีคลิกคำสั่งมิเรอร์ ภาพในจอพลิกกลับ คราวนี้อ่านตัวหนังสือออกชัดเจน อัปสรอ่านทันที
“เพชรสีโชว์โง่ว่ะ ยัยกาก ยัยติ่งหู ยัยปลาบึก ยัยชักโครก ยัยหอยจ๊อ ยัยเน่าเหม็น...”
เพชรสีตวาดแว๊ด
“พอแล้ว ไม่ต้องอ่านให้จบหรอก”
ทันใดนั้นมีเสียงหัวเราะดังลั่นแบบสะใจ อัปสรกับเพชรสีหันขวับกลับไป เจอน้อยหน่ากับตะวันวาดยืนอยู่ ไม่รู้แอบตามอัปสรมาตอนไหน
“เพชรสีเอ๊ยเพชรสี ถ้าไม่มีปัญญาคิดอะไรเอง ก็บอกมาสิ เดี๋ยวฉันคิดให้ก็ได้ ไม่ต้องทำอะไรทุเรศๆแบบนี้หรอก โถ อยากได้ถ้วยแชมป์ ทำอย่างนี้เอาถ้วยแชมป์ชะนีไปก่อนเถอะ”
เพชรสีมองหน้าน้อยหน่าหน้าเครียด
“ระวังปากไว้หน่อยนะ อย่าถือว่าเป็นลูกพี่ปราบแล้วมากำเริบเสิบสานกับฉันนะ”
น้อยหน่าหัวเราะ
“ฮะๆๆ ฉันเป็นแค่ลูกสัตวแพทย์จะไปกร่างได้ไง เธอนั่นแหละ ถือว่าเป็นลูกเสี่ยไฝแล้วเดินชูหางยกขาฉี่ไปทั่ว เตือนตัวเองดีกว่ามั้ง”
เพชรสีลุกพรวด ตะวันวาดกระซิบเตือนน้อยหน่า
“ระวังตัวด้วยนะน้อยหน่า”
“ไม่ต้องห่วง ฉันมานี่ตั้งใจแค่มาดูหน้าคนหน้าด้านชอบลักขโมยไอเดียของคนอื่นไม่ได้คิดจะมากัดกับใคร”
“ปากดีนักใช่มั้ย ยัยเด็กกะโปโล”
“ไปล่ะค่ะ บ๋ายบายค่ะ ยัยผู้ใหญ่ขี้ลอก”
น้อยหน่าจะเดินออกไป เพชรสีตาวาวปรี่เข้ามา แล้วคิดอะไรได้ ชำเลืองไปที่มุมร้าน เห็นกล้องวงจรปิดของร้านอยู่ เพชรสีเอียงหน้าให้กล้อง ยิ้มหวาน ค่อยๆพูดด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“เอาเถอะ ฉันไม่ถือเธอหรอก ยัยเด็กเหลือขอ เธอมันเด็กมีปมด้อย ใครๆเขาก็รู้ว่าเธอขาดความอบอุ่น...ยัยเด็กไม่มีแม่”
น้อยหน่าหันขวับพุ่งพรวดกะโจนใส่ทันที เพชรสีหลบทัน ผลักน้อยหน่าไปชนโต๊ะ ข้าวของล้มระเนระนาด ตะวันวาดรีบห้าม
“น้อยหน่า อย่า”
น้อยหน่าไม่ฟัง พุ่งเข้าใส่เพชรสีอีก เพชรสีจับแขนน้อยหน่าบิดล็อก จับน้อยหน่ากด หน้าแนบกับโต๊ะ
เพชรสียิ้ม
“เดี๋ยวก็รู้ว่าใครกันแน่ที่โชว์โง่”
คนมุงกันหน้าร้าน น้อยหน่ากับตะวันวาดนั่งหน้านิ่วที่มุมร้าน ปกป้องยืนอยู่ข้างๆน้อยหน่า ห่างออกมา ปราบกับเพชรสีอยู่ที่หลังเคาเตอร์ร้าน ดูภาพจากกล้องวงจรปิดกันอยู่ เป็นภาพตอนเกิดเหตุ เห็นเพชรสีคุยกับน้อยหน่าสีหน้าอ่อนโยน แต่น้อยหน่ากระโจนเข้าใส่มีแต่ภาพไม่มีเสียง
“เพชรสีพยายามอธิบายให้น้องน้อยหน่าฟังว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน เรื่องที่เกิดขึ้นน่ะอัปสร เขาทำโดยพลการ เพชรสีกำลังว่าอัปสรอยู่ น้องน้อยหน่าก็เข้ามาด่าเพชรสี เพชรสีพยายามใจเย็น รู้ว่าเขาเป็นเด็กเลือดร้อน แต่ก็เอาไม่อยู่ พุ่งเข้ามาแบบที่เห็นน่ะค่ะ มันน่ากลัวมาก เพชรสีเลยต้องป้องกันตัวเองเอาไว้ก่อนน่ะค่ะ”
“ผมเข้าใจครับ”
ปราบถอนใจ
“เห็นอัปสรบอกว่าน้องน้อยหน่า โดนภาคทัณฑ์เรื่องทะเลาะวิวาทอยู่ด้วยใช่ไหมคะ”
“เรื่องนี้แหละครับที่ผมหนักใจอยู่”
“พี่ปราบอย่ากลุ้มใจไปเลยนะคะ เจ้าของร้านนี้เขาสนิทกับคุณพ่อน่ะค่ะ เพชรสีพอคุยกับเขาได้ ไม่ให้เขาเอาเรื่องน้อยหน่า ส่วนตัวเพชรสีไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องก็คงจบแค่นี้ ไม่ถึงโรงเรียนหรอกค่ะ”
“ขอบคุณเพชรสีมากนะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ สิ่งที่น้องเขาทำวันนี้เป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ เพชรสีก็ไม่อยากให้เรื่องนี้ไปทำลายอนาคตของน้องน้อยหน่าหรอกค่ะ”
ปราบยิ้มให้ เพชรสียิ้มตอบท่าทางเขินๆ เพชรสีเดินมาหาน้อยหน่า ปราบเดินมาด้วย
“พ่อรู้เรื่องหมดแล้ว ขอโทษพี่เพชรสีเขาซะ”
“จะให้หนูขอโทษยัยสตอเนี่ยนะ พ่อรู้เรื่องยังไงของพ่อ จะให้หน่าขอโทษมัน พ่อถามหน่ารึยังว่าเกิดอะไรขึ้น”
ตะวันวาดรีบบอก
“ผมเป็นพยานให้หน่าได้ครับ”
อัปสรรีบขัด
“ใครเขาจะเชื่อเธอ ใครๆเขาก็รู้ว่าเธอชอบน้อยหน่า”
ตะวันวาดจ้องหน้าอัปสร
“แล้วเธอล่ะ เธอก็ต้องเข้าข้างเจ้านายเธอน่ะสิ”
ปราบยกมือปรามทั้งสองคน
“น้อยหน่า จะขอโทษหรือไม่ขอโทษ”
“ไม่ค่ะ”
เพชรรีบวางตัวเป็นนางเอกทันที
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ เด็กๆพี่ก็เหมือนน้องน้อยหน่าแหละ ดื้อสุดๆเลย เกเรมาก ไม่ฟังใครเลย มีแม่พี่คนเดียวที่เอาพี่อยู่ พี่เลยโตเป็นคนดีได้”
น้อยหน่ามองเพชรสี เพชรสียิ้ม น้อยหน่าลุกไปฉะอีกดีที่ปกป้องล็อคตัวไว้ทัน ปราบตวาด
“หน่า หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
ปกป้องตัดบท
“เอ้าๆๆ ไม่ขอโทษก็ไม่เป็นไร ไปคุยกันที่บ้านเหอะ”
ปราบมองปกป้อง เหมือนจะไม่ยอม ปกป้องกระซิบ
“เดี๋ยวเรื่องมันจะไปกันใหญ่ พอได้แล้ว”
ปราบมองไปหน้าร้าน คนยื่นหน้ามาดูเพียบ จึงหันมาบอกกับน้อยหน่าเสียงเข้ม
“งั้นเรากลับไปคุยกันที่บ้าน...” ปราบหันไปหาเพชรสี “พี่ขอโทษแทนลูกสาวพี่ด้วยละกันครับ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะพี่ปราบ เพชรสีไม่ถือหรอกค่ะ”
เพชรสียิ้มอย่างสะใจ
ค่ำนั้น เมื่อมาถึงบ้าน ปราบคุยกับน้อยหน่า มีปกป้อง นับดาวอยู่ด้วย
“ก็ยัยเพชรสีมันด่าแม่หน่าก่อนนี่ หน่าก็ต้องจัดการมันสิ”
“พ่อดูกล้องวงจรปิดแล้ว เพชรสีเขาคุยกับเธอดีๆ ไม่เห็นเหมือนด่าเลย”
น้อยหน่าไม่พอใจ
“พ่อจะบอกว่าหน่าโกหก”
“เธอไม่อยากขอโทษเขาก็เรื่องนึง แต่อย่ามาโกหกพ่อ”
น้อยหน่าน้อยใจ
“เป็นพ่อประสาอะไร ไม่เชื่อลูกตัวเองแต่ไปเชื่อใครก็ไม่รู้ พ่อไม่ยุติธรรม”
ปราบมองลูกสาวอย่างไม่พอใจ น้อยหน่าจ้องสายตาตอบไม่ลดละ ปกป้องปราม
“ยัยหน่า มากไปแล้วนะไปว่าพ่อเขาอย่างนั้น”
น้อยหน่าไม่หยุด
“แล้วที่พ่อหาว่าหน่าโกหกไม่แรงเกินไปเหรอคะ”
ปกป้องโกรธ
“ขอโทษพ่อเขาเดี๋ยวนี้”
“ไม่...พ่อก็ต้องขอโทษหน่าต่างหาก”
นับดาวหันไปคว้าช้อนเคาะแจกันทองเหลืองบนโต๊ะดังแก๊ง ทุกคนหันมามอง
“หมดยก...พอก่อนเถอะ ตอนนี้ทุกคนแรงเกินไปกันหมดแล้ว ฉันว่าแยกเข้ามุมก่อนดีกว่า”
นับดาวเดินมาหาน้อยหน่า
“ขึ้นไปบนห้องกับพี่ก่อนนะ”
น้อยหน่ายอมเดินตามนับดาวขึ้นไป ปราบกับปกป้องถอนหายใจพร้อมกัน
นับดาวเข้ามานั่งคุยกับน้อยหน่า
“พี่เชื่อน้อยหน่ารึเปล่าคะ”
“เชื่อ”
น้อยหน่ามองหน้านับดาว
“ทำไมถึงเชื่อ ถ้าพูดเพราะจะปลอบใจก็ไม่ต้องหรอกค่ะ”
“เชื่อสิ ข้อแรก พี่เคยเจอยัยเพชรสีแล้ว พี่รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง ข้อสอง พี่ดูเธอออก เธออาจจะเป็นโกหกได้ แต่เธอตอแหลไม่เป็นแน่ๆ”
“มันต่างกันยังไงคะ”
“ก็ถ้าสร้างเรื่องได้ขนาดนั้นเขาเรียกตอแหล มันยากเกินไปสำหรับเธอ แต่ปอกกล้วยเข้าปากมากสำหรับยัยเพชรสี”
น้อยหน่ายิ้ม
“หน่าขอบคุณที่พี่เชื่อหน่า ขนาดพ่อของหน่าเองแท้ๆยังไม่เชื่อเลย”
“นั่นเพราะพ่อเธอเป็นคนดีไง เขาถึงดูไม่ออกว่าใครโกหกใครตอแหล”
“แต่ยังไงเขาก็น่าจะเชื่อน้อยหน่าเพราะน้อยหน่าเป็นลูก”
“เพราะเขารักเธอไง เขาถึงไม่อยากให้ใครว่าได้ว่าให้ท้ายลูกจนเหลิง เหมือนกับเสี่ยไฝกับเพชรสี”
น้อยหน่าเงียบไป
นับดาวเดินลงมา เจอปราบนั่งรออยู่
“น้อยหน่าเป็นไงมั่ง”
“คุณหมายถึงอะไรล่ะ”
“สำนึกผิดยอมขอโทษเพชรสี แล้วก็เล่าความจริง”
นับดาวหัวเราะ
“แล้วคุณล่ะ พร้อมจะยอมรับว่าโง่ ขอโทษน้อยหน่า แล้วไปจัดการเพชรสีมั้ยล่ะ”
“แปลว่าคุณเชื่อน้อยหน่า”
“ใช่...คุณอาจจะเก่งเรื่องทำคลอดหมาแมวหรือแม้แต่ช้าง แต่เรื่องมารยาหญิงล้วนๆ นี่ คุณโหลยโท่ยมาก รู้ตัวมั้ย”
“แต่ผมไม่คิดว่าเพชรสีจะเป็นสร้างเรื่องโกหกอะไรได้ขนาดนั้น”
“ไม่เกี่ยวกับเพชรสี นี่เป็นเรื่องของคุณกับน้อยหน่า คุณพยายามจะเป็นพ่อที่ดีจนไม่เป็นตัวของตัวเองรึเปล่า ถ้าคุณเชื่อน้อยหน่าก็ไม่ได้แปลว่าคุณรักเธอจนหน้ามืดตามัวเสมอไป...ปราบ คุณเลี้ยงน้อยหน่ามาตั้งแต่เด็ก คุณดูไม่ออกจริงๆเหรอว่าเธอโกหกหรือไม่โกหก”
ปราบครุ่นคิด
“ถ้าถามแบบนั้น...ผมคิดว่าน้อยหน่าไม่ได้โกหก”
“นั่นแหละคำตอบ ไม่ต้องมีหลักฐานหรอก”
“แต่...ผมก็คิดว่าเพชรสีไม่ได้โกหกเหมือนกัน”
“ถ้าเป็นฉัน ฉันจะเก็บเรื่องเพชรสีไว้ในใจ แต่จะรีบปรับความเข้าใจกับน้อยหน่าก่อน”
“อืม ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ ผมจะทำตาม”
ปราบมองนับดาวด้วยสายตาอ่อนโยนแบบหนึ่ง นับดาวรู้สึกแปลกๆบอกไม่ถูก รีบหันหลังจะเดินเข้าห้องแต่เขาเรียกไว้
“นับดาว”
หญิงสาวหันมา ชายหนุ่มยิ้มให้
“ขอบคุณนะครับ ที่ช่วย...เอ่อ...เรื่องของผมกับน้อยหน่าน่ะ ดูเหมือนคุณเป็นคนสำคัญของบ้าน
นี้ไปแล้ว”
นับดาวเขินวูบ รีบปั้นหน้าเย็นชา
“ไม่เป็นไรค่ะ แต่ระวังตัวไว้ด้วยละกัน”
“ระวังตัวเรื่องอะไร”
“คุณคงยังไม่ลืมว่าฉันมาทำงานที่นี่ด้วยจุดประสงค์อะไร ถ้าถึงเวลาที่ฉันต้องบีบคุณให้ขายที่ใครจะรู้ ฉันอาจจะเอาเรื่องนี้มาเล่นงานคุณก็ได้”
นับดาวเข้าไปในห้อง ปิดประตู ปราบยืนอึ้ง
เช้าวันใหม่...ปราบขับรถมาส่งน้อยหน่าที่โรงเรียน ตลอดทางทั้งสองไม่ได้คุยอะไรกันเลย จนปราบจอดรถหน้าโรงเรียน น้อยหน่าเปิดประตูจะลงจากรถเขาจึงเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อน”
น้อยหน้าหันหน้ามามองพ่อ
“เรื่องเมื่อคืน พ่อขอโทษที่ว่าลูกโกหก”
น้อยหน่ามองหน้าพ่ออยู่นานพอสมควร น้ำตาไหลออกมา
“แต่พ่อก็ยังไม่เชื่อคำพูดของหน่าร้อยเปอร์เซ็นต์ใช่ไหมคะ”
“ใจพ่ออยากจะเชื่อหน่าทุกคำพูด แต่หน่าก็ไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์กับพ่อนี่”
“ไม่เป็นไรค่ะ เท่านั้นก็ดีแล้วค่ะ หน่าเชื่อว่าความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย สักวันพ่อจะรู้ความจริง...ขอบคุณมากค่ะ หน่าก็ขอโทษที่ว่าพ่อ”
น้อยหน่าไหว้พ่อ ปราบลูบศีรษะลูกสาวอย่างเอ็นดู น้อยหน่ายิ้ม ปราบยื่นนิ้วก้อยให้
“ดีกันนะ”
“ไม่ค่ะ”
“อ้าว...”
“จนกว่าพ่อจะพาหน่าไปเลี้ยงข้าวซักมื้อ”
“นึกว่าอะไร ได้เลย อยากกินร้านไหนบอกมาเลย...ว่าแต่ จะไปกันสองคนหรือว่าจะให้พ่อชวน...”
ปราบนิ่งไป น้อยหน่ารู้ทัน
“พี่นับดาวน่ะเหรอคะ”
“ดีมั้ย เพราะจะว่าไปเขาก็ทำให้เราคุยกันรู้เรื่องนะ”
น้อยหน่ามองหน้าพ่อ
“ไม่ค่ะ ไปกันสองคนพ่อลูก คนอื่นไม่เกี่ยว”
“อ่ะ เอางั้นก็ได้”
น้อยหน่าลงจากรถ เดินเข้าโรงเรียน ปราบมองตามไป ก่อนจะออกรถไป
เอมี่นั่งจิบกาแฟที่ร้านกาแฟ ตาคอยมองคนที่เดินออกจากโถงลิฟต์ สักพักลิฟต์ก็เปิดออก กลุ่มคนเดินออกมา เธอก็เห็นชนะชัยอยู่ในกลุ่มนั้น เอมี่ยิ้ม รีบลุก เดินมาตัดหน้าชนะชัย
“คุณเอมี่”
“อ้าว คุณจ๊อบ สวัสดีค่ะ มาทำอะไรแถวนี้หรือคะ”
“อ๋อ ออฟฟิศผมอยู่ข้างบนน่ะครับ”
“อ้าว งั้นเหรอคะ บังเอิญจัง”
ชัชฎาที่เดินตามชัยชนะมาเดินมาหยุดข้างๆ ชนะชัยแนะนำ
“คุณแม่...เอ่อ นี่คุณ...”
ชัชฎาแทรกขึ้น
“คุณเอมี่แสนหวาน แม่รู้จักจ้ะ”
เอมี่ยกมือไหว้อ่อนช้อย
“สวัสดีค่ะ”
“ลูกมีธุระกับคุณเอมี่หรือเปล่า”
เอมี่รีบเข้าแผน
“อุ๊ย อย่าพูดอย่างงั้นสิคะ เดี๋ยวเป็นข่าว เราเจอกันโดยบังเอิญน่ะค่ะ เอมี่มาคุยกับโบรกเกอร์น่ะค่ะ”
ชัชฎาดูสนใจขึ้นมาทันที
“เล่นหุ้นด้วยเหรอคะ”
“นิดหน่อยน่ะค่ะ เอาแค่ลุ้นๆตื่นเต้นๆ ให้ชีวิตมีสีสันน่ะค่ะ”
ชัชฎายิ้ม
เอมี่มากินข้าวกับชัชฏาและชนะชัย
“คือถ้าแม่ไม่เห็นว่าเอมี่กับตาจ๊อบรู้จักเป็นเพื่อนกันมาก่อน แม่คงไม่บอกเรื่องนี้หรอกนะ เดี๋ยว
จะเข้าใจผิดกัน เอาเป็นว่าแม่บอกเผื่อเอมี่สนใจ แต่ถ้าไม่สนใจก็ไม่เป็นไรนะลูกนะ คิดซะว่าแม่ไม่ได้พูดก็แล้วกันนะ” ชัชฏาชวนให้ร่วมหุ้นด้วยทันที
“สนใจสิคะ แต่แหม เงินตั้งยี่สิบสามสิบล้าน สำหรับเอมี่มันก็เยอะอยู่ เอมี่ไม่รวยเหมือนดาวเค้าหรอกค่ะ ดาวเขาคงซื้อไปแล้วใช่ไหมคะ”
ชนะชัยกำลังจะตอบ ชัชฎาชิงตอบก่อน
“จ้ะ นับดาวเขาซื้อแทบจะทันที่ที่รู้เรื่องนี้เลย นับดาวเขาเป็นนักลงทุนที่เฉียบแหลมใช้ได้ เขารู้
ว่านี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับผลตอบแทนในอนาคต”
“ค่ะ งั้นเอมี่ขอไปทบทวนก่อนแล้วกันนะคะ แล้วจะโทรหานะค่ะ”
“ช่วงนี้แม่ค่อนข้างยุ่งๆ หนูเอมี่โทรมาคุยกับจ๊อบเขาดีกว่า ถ้าสงสัยอะไรก็ถามเขาก็ได้ เขาจะได้อธิบายให้ฟังได้อย่างละเอียด”
“ค่ะ” เอมมี่ยิ้มอย่างอ่อนหวาน
ชนะชัยคุยกับชัชฎาเดินเข้ามาในโถงออฟฟิศบิลดิ้ง ตรงไปที่หน้าลิฟต์
“ทำไมแม่ถึงบอกเอมี่ว่านับดาวซื้อหุ้นเราแล้ว ก็...”
“ใครๆก็รู้ว่าสองคนนี้ไม่ถูกกัน การที่แม่บอกว่านับดาวซื้อแล้ว อาจจะกระตุ้นให้เอมี่ อยากซื้อบ้างก็ได้ดีไม่ดีอาจจะซื้อมากกว่านับดาวด้วยซ้ำ อีกอย่าง ถ้าแม่บอกนับดาวไม่ซื้อ เอมี่ก็คงคลางแคลงใจว่าทำไมนับดาวไม่ซื้อ พลอยไม่เชื่อถือเราไปด้วย เข้าใจไหม”
“ครับ”
“และถ้าเอมี่ซื้อจริงๆล่ะก็...แม่ว่าแกจีบเอมี่มาทำเมียแทนนับดาวเถอะ”
“แม่ครับ ผมบอกแล้วไงครับว่าอย่ายุ่งเรื่องนี้”
“ถ้าไม่อยากให้ฉันยุ่งหรือไปก้าวก่ายอะไร แกก็รีบจัดการให้มันเป็นไปตามที่ฉันต้องการซะ เร็วๆ”
ชัชฏาบอกเสียงเข้ม
ชนะชัยอยู่คนเดียวในบ้าน โทรหานับดาว แต่นับดาวไม่รับสาย สักพักก็เข้าบริการฝากข้อความ
“ดาว ถ้าว่างโทรหาผมด้วยนะครับ”
มือถือนับดาวปิดเสียงอยู่หน้าจอสว่าง แต่นับดาวไม่เห็นเพราะกำลังดูคลิปแด๊นซ์ของต่างประเทศ จากแล็ปท็อปกับน้อยหน่าอยู่
“นี่เป็นคลิปของฝรั่งที่พี่รวบรวมมาให้หน่าดู พี่ว่าท่าเต้นมันสวยดี แล้วก็ก็ไม่ยากด้วย หัดซะหน่อยคนงานเราน่าจะเต้นได้”
“เรื่องแด๊นซ์นี่ไม่มีปัญหา หน่ากับเพื่อนเคยบ้าแด๊นซ์อยู่พักนึง เต้นกระจายเลย ตอนนี้น้อยลงแต่ยังได้อยู่ค่ะ”
นับดาวปิดโปรแกรม ถอดทัมป์ไดร์ฟให้น้อยหน่า
“มีท่าเต้น มีชุด มีของประกอบฉาก แต่ไอเดียก็สำคัญ กรรมการชอบให้รางวัลกับโชว์ที่มีแนวคิดดีๆด้วย”
น้อยหน่าพยักหน้าเห็นด้วย
“พี่อยากพูดเรื่องโซล่าเซลล์ เมื่อก่อนอาจจะฟังดูเป็นเรื่องไกลตัว แต่วันนี้เป็นเรื่องใกล้ตัวแล้ว โดยเฉพาะตอนนี้โลกเรากำลังมีปัญหาเรื่องพลังงาน แต่ทำไมเราจะปล่อยให้แหล่งพลังงานที่ถูกและดีแบบแสงอาทิตย์ให้ผ่านไปเฉยๆโดยไม่เอามาใช้ จริงป่ะ”
“ค่ะ ที่โรงเรียนหน่าเขาก็กำลังจะติดตั้งโซล่าเซลล์แล้ว ปีหน้าคงได้ใช้ พ่อเขาก็จะติดที่ไร่เหมือนกัน”
“ถ้าหน่าเห็นด้วยก็ดี หน่าลองไปคิดดูว่าจะใส่เรื่องโซล่าเซลล์ลงไปในโชว์ได้ยังไง”
“ได้ค่ะ”
“งั้นเอาตามนี้ ถ้าไม่มีอะไร พี่ลงไปก่อนนะ”
“พี่ดาวคะ...หน่าขอบคุณค่ะ”
“ขอบคุณเรื่องอะไร”
“ขอบคุณที่ช่วยพูดให้พ่อเข้าใจ”
นับดาวยิ้มๆเดินออกมา
นับดาวนั่งอยู่หน้าบ้าน คุยมือถือกับชนะชัย
“ขอโทษนะคะ เมื่อกี้ยุ่งๆอยู่เลยไม่ได้รับสายน่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ คิดถึงน่ะครับก็เลยโทรมาหา ความจริงอยากโทรหาวันละหลายๆครั้งซะด้วยซ้ำ”
“แหม ขนาดนั้นเชียวเหรอคะ”
ปราบเดินมาจากอีกด้านหนึ่งของมุมบ้าน กำลังจะเข้าบ้าน ได้ยินเสียงคนคุย เลยยื่นหน้าออกไปดู เห็นนับดาวคุยมือถืออยู่
“อยู่ที่นี่ดาวไม่ได้ว่างทั้งวันนะคะ”
ปราบชะงักฝีเท้าลง
“บวชชีพราหมณ์เป็นไงบ้างครับ เบื่อนั่งสมาธิรึยังครับ”
“ไม่เลยค่ะ ถึงที่นี่ไม่มีอะไรหวือหวา แต่ก็เป็นโลกแห่งธรรมะ สะอาด บริสุทธิ์ ไร้คาวโลกีย์ใดๆมาแผ้วพาน สุข สงบ เหมือนอยู่บนทิพย์วิมานเลยล่ะค่ะ”
ปราบขมวดคิ้ว งงมากพึมพำกับตัวเอง
“ไร่เราดีขนาดนั้นเชียวเหรอเนี่ย”
“แล้วมีปัญหาอะไรกับใครไหมครับ คนไม่รู้จักกันมาอยู่ด้วยกันน่ะ” ชนะชัยถาม
“ไม่เลยค่ะ คนที่นี่น่ารักมาก ค่อยพูดค่อยจา อ่อนโยน สุภาพมากๆ”
“ก็คงจริง คนงานไร่เราสุภาพเป็นกันเอง แต่ไม่ยักรู้สึกว่ามันอ่อนโยน สงสัยเราจะอยู่จนคุ้นเคยเลยไม่รู้สึก”
ปราบยิ้มพอใจ ฟังต่อ
“แล้วเขาต้อนรับคุณดาวดีไหมครับ” ชนะชัยถาม
“ดีค่ะ โดยเฉพาะเจ้าของสถานที่ท่านก็เป็นคนดี น่าเคารพ เป็นคนมีจิตใจเมตตามาก ดาวยัง
เลื่อมใสท่านเลยค่ะ”
คราวนี้ปราบยิ้มปลื้ม
“แหม อันนี้คุณดาวก็ยกย่องเราเกินไป ลับหลังนี่เรียกเราว่า ท่าน เลยเหรอเนี่ย”
“ท่านเป็นใครเหรอครับ”
“ท่านเป็นแม่ชีน่ะค่ะ”
ปราบชะงัก เริ่มรู้สึกว่าคงมีการเข้าใจผิด
“ดาวครับ ผมคงไม่ได้มารบกวนเวลาปฎิบัติธรรมของดาวแล้ว แค่อยากได้ยินเสียงของดาวบ้าง”
“เหมือนกันแหละค่ะ ดาวก็คิดถึงคุณค่ะ คิดถึงวันละตั้งหลายหน”
ปราบอึ้ง
“ถ้าจุ๊บๆคนบวชชีพราหมณ์ทางโทรศัพท์นี่จะได้ไหมครับ”
“ได้สิคะ ไม่มีใครห้ามหรอกค่ะ”
“จุ๊บๆนะครับ”
นับดาวหัวเราะคิกคัก
“จุ๊บๆเหมือนกันค่ะ”
“กู๊ดไน้ท์ครับ”
“กู๊ดไน้ท์เช่นกันค่ะ”
นับดาววางสาย ยิ้มกับมือถือก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านไป ปราบรู้สึกแปลกๆ
“เหอะ ท่าทางจะรักกันมากเลยนะเนี่ย”
อ่านต่อหน้า 3
หนุ่มบ้านไร่กับหวานใจไฮโซ ตอนที่ 6 (ต่อ)
น้อยหน่ากับตะวันกันช่วยคิดท่าเต้น แม้ว่าตะวันไม่ถนัดเรื่องนี้ แต่ก็ช่วยออกความเห็นเต็มที่ จากนั้นน้อยหน่าได้ลองเต้นให้นับดาวดู เมื่อนับดาวเห็นดีด้วย เธอจึงนาสอนให้คนงานที่มารวมการแสดง จากนั้นก็ไปตระเวรซื้อของมาแต่งชุด และช่วยกันตกแต่งชุด
บริเวณลานในไร่ปรีดา คนงานที่ไม่ได้ร่วมการแสดง มานั่งกระจายๆ จับกันเป็นกลุ่มๆ ล้อมรอบพื้นที่ว่างไว้ บ้างก็มุงรอบรถเข็นผลไม้ รถเข็นไอติม ปราบกับปกป้องนั่งรถเข้ามาจอด ค่อยๆอ้อยอิ่งคุยอะไรกันอยู่หัวเราะเอิ๊กอ๊าก น้อยหน่ารีบวิ่งเข้ามา
“เร็วๆสิคะ เขารออยู่คนเดียวเลย”
“โทษทีจ้ะ” ปราบบอก
น้อยหน่าวิ่งเลยปราบไปหาปกป้อง ปราบงงๆน้อยหน่าฉุดปกป้องไป ขณะที่หันกลับมาชี้นิ้วสั่งปราบ
“พ่อไปนั่งดูกับพี่ดาวตรงนู้น ตั้งใจดูดีๆล่ะ เดี๋ยวจะให้คอมเม้นต์ด้วย”
ปราบเดินมาที่นั่งใต้ร่มไม้ มีนับดาว ป้ายวง นั่งรออยู่แล้ว ปราบนั่งข้างๆนับดาว
“คึกคักกันน่าดู”
“วันนี้เป็นวันซ้อมใหญ่แสดงเหมือนจริงครั้งแรกเลยนะคะ”
ปราบนั่งดูลูกสาว น้อยหน่าวิ่งไปทางนู้นที ทางนี้ทีวิ่งไปเป่านกหวีดปรี๊ด พวกคนงานที่ต้องแสดงก็สวมชุดคอสตูม วิ่งเข้ามารวมกันกลางลาน พวกคนดูปรบมือต้อนรับ
“แค่เริ่มต้นก็รู้สึกเลยว่าใช้ได้ ถ้าเทียบกับตอนที่ผมกับอาป้องช่วยกันทำก็ถือว่าใกล้เคียงกันเลย”
“รอให้เขาแสดงเสร็จก่อนค่อยพูดดีกว่า” นับดาวแย้ง
“นั่นสินะ อาจจะท่าดีทีเหลวก็ได้ ใช่มั้ย”
“อาจจะดีกว่าจนคุณกับคุณปกป้องเทียบไม่ติดเลยต่างหาก”
ปราบหันมามองนับดาว
“จำที่ฉันเคยบอกได้ใช่มั้ยว่าเขามีแวว...ดูเอาเองละกันค่ะ”
น้อยหน่ารอจนคนงานเตรียมพร้อม เธอกดเพลย์ปล่อยแบ๊คกิ้งแทร็ก เพลงประกอบอินโทรดังขึ้น พวกแดนเซอร์ดูง่วงหงาวหาวนอน คนงานหัวเราะกันคิกคัก ปกป้องในชุดทึมๆเดินถือไมค์ร้องเพลงออกมา คนงานกรี๊ดต้อนรับ ปราบหน้าเหวอ
“อ้าว อาป้อง เล่นด้วยเหรอเนี่ย ไม่เห็นบอกกันเลย”
ตะวันวาดคุมสปอร์ตไลท์ฉายไฟมาที่แดนเซอร์ ทำนองเพลงเปลี่ยนจังหวะเป็นคึกคัก ปกป้องสลัดชุดที่ดูทึมๆออก เป็นชุดที่ดูร้อนแรง แดนเซอร์ที่มีแผงโซล่าเซลล์ที่หลัง พอโดนแสงก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ส่งต่อพลังไปให้แดนเซอร์อื่นๆ เต้นอย่างสนุกสนานคึกคักพร้อมเพรียง การแสดงจบลง พวกคนงานปรบมือกันเกรียว น้อยหน่าขอไมค์จากปกป้อง วิ่งมาหาปราบ ยื่นไมค์ให้
“เป็นไงบ้างคะ เอาจากใจพ่อเลยนะคะ”
“พ่อไม่รู้จะพูดยังไง ทุกคนในที่นี้ก็คงรู้สึกเหมือนพ่อ พวกเราอยู่ด้วยกันมาตลอด ตั้งแต่ตอนที่ เราทำโชว์ส่งประกวดครั้งแรกๆ จนถึงครั้งล่าสุด พ่อนึกว่าพวกเราทำได้เจ๋งแล้ว จนกระทั่งพ่อมาได้ดูโชว์อันนี้ มันสุดยอดมากๆ ถ้าถามว่ารู้สึกยังไง บอกได้เลยพ่อประทับใจมากๆ... ลูกเก่งมากน้อยหน่า”
“เยส”
น้อยหน่าดีใจมาก กระโดดกอดพ่อ ปราบกอดคอลูกสาว แล้วหันไปบอกทุกคน
“ทุกคนด้วย ทุกคนเก่งมากๆครับ”
คนงานปรบมือกัน น้อยหน่ากระโดดไชโยกับคนงาน แล้วหันมากอดปราบอีกครั้ง ปราบลูบศีรษะลูกสาวนับดาวมองภาพที่พ่อลูกกอดกันแล้วน้ำตาซึม ป้ายวงเข้ามากอดนับดาว
“ขอบคุณคุณมากค่ะคุณนับดาว...ถ้าไม่ใช่คุณ คงไม่มีภาพแบบนี้ ขอบคุณคุณจริงๆค่ะ”
นับดาวยิ้มให้ป้ายวง หญิงสาวมองเลยไปเจอปราบมองมาที่เธอ ชายหนุ่มยิ้ม ยกหัวแม่โป้งให้ นับดาวรู้สึกเขิน ยิ้มตอบไป ปกป้องตะโกนบอกรถไอติม รถผลไม้ รถน้ำ
“เฮ้ย สามคันนั้นนะ แจกฟรีเลย เดี๋ยวมาเก็บเงินที่อั๊ว”
คนงานเฮ วิ่งเข้าไปมุงกันที่รถ ขณะที่ทุกคนกำลังอิ่มเอมกับความสุข ในกลุ่มคนงาน มีคนงานผู้หญิงคนหนึ่งผมยาว สวมหมวก ซึ่งก็คือแองจี้ปลอมตัวมาปะปนอยู่ด้วย แองจี้เก็บกล้องที่ซ่อนไว้ในถุงย่าม แล้วเดินปลีกตัวออกมา น้อยหน่ากวาดตาไปเจอพอดี เอะใจ รู้สึกคนงานผู้หญิงคนนั้นหน้าคุ้นๆ เดินฝ่ากลุ่มคนงานจะไปหาผู้หญิงคนนั้น แองจี้เหมือนรู้ตัว รีบเร่งฝีเท้า น้อยหน่าเดินหลบคนนู้นคนนี้ แล้วก็มีคนมาขวาง เจิดนั่นเอง
“คุณน้อยหน่าครับ ผมมีเรื่องขอร้อง”
“อะไรคะพี่เจิด”
“ผมอยากเล่นเป็นวัวครับ”
น้อยหน่างง ลืมเรื่องคนงานผู้หญิงลึกลับคนนั้นไปเลย
“วัวอะไรคะ”
“ในโชว์ไงครับ ผมว่าเราควรมีวัวตัวหนึ่งด้วย เป็นสัญลักษณ์ของฟาร์มเราไงครับ เดินไปเดินมา บอกว่าฟาร์มเราขนาดวัวยังมีความสุขเลย ทำให้โชว์น่ารักดีด้วย ขอผมเป็นวัวตัวนั้นเถอะนะครับ”
น้อยหน่าเห็นดีด้วย
“ก็ได้มั้งคะ”
“เยส”
เจิดยิ้มดีใจ เดินออกไป น้อยหน่ามองหาผู้หญิงคนนั้น แต่ไม่เห็นแล้ว แองจี้ขึ้นมอเตอร์ไซค์หันกลับมามองที่น้อยหน่าแว่บหนึ่ง แล้วขับมอเตอร์ไซค์ออกไป
เพชรสีนั่งเล่นสมาร์ทโฟนอยู่ แองจี้เคาะประตู แองจี้มองซ้ายมองขวา เห็นว่าไม่มีใคร
“พี่เพชรสีคะ เมื่อตอนเย็น หนูแอบไปที่ไร่ปรีดามาค่ะ”
“ไปทำไม”
“หนูรู้มาว่ามันจะมีซ้อมใหญ่การแสดงงานเกษตรนะค่ะ หนูเลยแอบไปดูแล้วแอบถ่ายคลิปมาด้วยค่ะ”
“เอ๊ะ ยัยนี่ ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ต้อง ทะลึ่งจริงๆ ตอนนี้สถานการณ์ของฉันกำลังดูดีอยู่ เกิดแกไปแอบถ่ายแล้วโดนจับได้ขึ้นมา ฉันก็ซวยไปด้วยน่ะสิ”
“ไม่มีใครเห็นหรอกค่ะ หนูรับรองได้ หนูระวังเต็มที่”
แองจี้ยื่นมือถือให้
“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวแกไปถ่ายคลิปที่มันหลอกด่าฉันอีก”
“คราวนี้ไม่หรอกค่ะ เชื่อหนูเถอะค่ะ ไอเดียมันดีจริงๆ”
เพชรสีชะงัก
“อะไรนะ แกหมายความว่ามันดีกว่าของฉันงั้นเหรอ”
แองจี้อึกอัก
“เอ่อ...”
เพชรสีเอามือถือมาดู ดูไปพักใหญ่ๆ
“หึๆ กระจอก คิดได้แค่นี้เองเหรอ ไร้สาระมาก ก๊องแก๊งยังกะโชว์ของเด็กอนุบาล”
เพชรสียังดูอยู่เรื่อยๆ หัวเราะเยาะไปด้วย
อลิสานั่งรออยู่ในร้านอาหารที่เป็นห้องกระจก มองออกไปนอกร้าน เห็นรถโฟร์วีลมาจอดหน้าร้าน นับดาวลงมาจากรถ พูดคุยอะไรกับปราบที่ขับรถอยู่ ท่าทางสนิทสนม ก่อนที่จะปิดประตูรถปราบขับรถออกไป นับดาวเดินเข้ามาในร้าน
“สวัสดีค่ะน้าอะซ่า”
“สวัสดีจ้ะ คุณปราบเขามาส่งเหรอ”
“ค่ะ เขาบอกเขาจะมาตัดผมพอดี เลยแวะมาส่งดาว”
“ดูสนิทกันมากขึ้นนะ”
“ก็ทำนองนั้นแหละค่ะ”
นับดาวตอบแบบไม่คิดอะไร ขณะก้มหน้าดูรายการอาหารในเมนู แล้วสั่งอาหารไป บริกรรับรายการอาหาร
แล้วเดินออกไป”
“น้าอะซ่ามีอะไรด่วนเหรอคะ”
“พี่ฟู่เขาแจ้งข่าวมาให้น้ารู้น่ะ อ่ะ ดูไอ้นี่ก่อน”
อลิสาส่งแผ่นพับให้นับดาวดู
“เป็นงานเปิดตัวโครงการหัวใจสู่ผู้ยากไร้ ของคุณหญิงสริน เป็นการระดมเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหัวใจที่ไม่มีตังค์น่ะ”
“แล้วไงคะ”
“เขาจะจัดงานคืนวันศุกร์นี้ รูปแบบงานก็เชิญเซเล็บไปพร้อมกับคู่ควง ตั้งชื่องานว่า หัวใจคู่รักสู่หัวใจผู้ยากไร้...เขาก็จะไปกันเป็นคู่ๆ งานก็ออกแนวโรแมนติกหน่อยไม่ค่อยเน้นเรื่องโรคอะไรหรอก”
“ค่ะ”
“พี่ฟู่เขาได้ไปเห็นรายชื่อแขกรับเชิญ...มีเอมี่ด้วย”
“ยัยนี่เปลี่ยนคู่ไปเรื่อย เปลี่ยนทีไรเป็นข่าวทู้กที เรื่องชำนาญของเขาเลยล่ะ”
“ครั้งนี้ก็คงเป็นข่าวดังอีกนั่นแหละ”
“เขาจะควงไปกับใครเหรอคะ”
“คุณชนะชัย”
นับดาวแค้นทันที
“ยัยเอมี่ แก๊...”
นับดาวเดินวนไปวนมา ดูนาฬิกา รอจนสี่ทุ่มจึงโทรหาชนะชัยซึ่งอยู่ที่บ้าน
“สวัสดีครับดาว”
“สวัสดีค่ะจ๊อบ เนี่ย เพิ่งเลิกนั่งสมาธิ ก็โทรหาจ๊อบเลยค่ะ”
“ดีใจจังเลยครับ”
“จ๊อบคะ วันนี้ดาวได้แมสเสจจากพี่ฟู่ด้วย เขาชวนดาวไปงานหัวใจคู่รักสู่หัวใจผู้ยากไร้”
ชนะชัยชะงักอึ้ง
“อ๋อ”
“เอ๊ะ จ๊อบรู้จักงานนี้ด้วยเหรอคะ”
“ครับ คุณเอมี่เขามาชวนผมไปเหมือนกัน”
“อุ๊ย จริงเหรอคะ ตอนแรกดาวว่าจะชวนจ๊อบไปงานนี้ แต่ถ้า...”
ชนะชัยรีบแทรก
“เปล่าครับ ผมยังไม่ได้รับปากเขา แค่บอกว่าขอดูก่อน ใจนึงก็อยากไปเพราะเห็นเป็นงานการกุศล”
“ก็ไปกับเอมี่สิคะ”
“ตอนแรกผมนึกว่าดาวต้องอยู่นั่งสมาธิซะอีก”
“ค่ะ แต่ว่าพี่ฟู่เขาคะยั้นคะยอ ดาวเกรงใจพี่ฟู่ ก็เลยจะขอลาทางนี้วันนึง”
“ตกลงครับ งั้นเราไปงานด้วยกันนะครับ”
“เอ่อ...แต่เอมี่เขาชวนจ๊อบก่อนนี่คะ”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมปฏิเสธทางคุณเอมี่เอง”
“อืม ถ้าอย่างนั้นให้ดาวพูดดีกว่าค่ะ ดาวกับเขาเป็นเพื่อนกันมานาน ดาวรู้วิธีคุยกับเขาค่ะ”
“เอ่อ...”
“นะคะ เชื่อดาวเถอะค่ะดาวจัดการได้”
“ครับ”
“งั้นเดี๋ยวดาวโทรไปหาเอมี่ก่อนละกัน แค่นี้นะคะจ๊อบ”
“ครับ”
นับดาววางสาย ยิ้ม
“เรื่องอะไรฉันจะโทรบอกแกยัยเอมี่ คิดจะเล่นฉันทีเผลอเหรอ แกนั่นแหละต้องหน้าแหก ฉันจะฉีกหน้าแกกลางงานเลย ยัยตัวอิจฉา”
ปราบนั่งอ่านหนังสือวิชาการเกี่ยวกับสัตว์อยู่ แก้วนั่งทำงานอยู่แถวนั้น ทันใดนั้นมือถือของปราบดังขึ้น เขาหยิบมาดูเบอร์และกดรับสาย
“สวัสดีครับคุณเพชรสี”
แก้วหูผึ่งทันที แต่ยังนั่งทำงานเงียบๆต่อไป
“เย็นนี้เหรอครับ ก็ว่างอยู่ครับ...ผมต่างหากต้องขอบคุณคุณเพชรสี...ได้สิครับแต่ผมขออนุญาตเป็นเจ้ามือนะครับ ถ้าไม่ได้ก็ไม่ตกลง ครับ สองทุ่มที่ร้านโกออนครับ”
ปราบวางสาย หันมามองแก้วแว่บหนึ่ง แก้วพิมพ์งานไปเรื่อยๆ ปราบหันมาอ่านหนังสือต่อ แก้วบิดขึ้เกียจ ลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ พอปิดประตู เธอรีบกดโทรออกทันที
“พี่เองนะน้อยหน่า...ตั้งใจฟังนะ พี่พูดนานไม่ได้...”
นับดาวกำลังอาบน้ำให้เฉาก๊วย น้อยหน่าในชุดนักเรียนขับรถในไร่มาจอด วิ่งลงมาจากรถทำท่าเหมือนมีเรื่องสำคัญ แต่พอเห็นนับดาวอาบน้ำให้เฉาก๊วยก็ชะงัก
“อ้าว น้อยหน่า ทำไมวันนี้กลับบ้านเร็วจัง”
“มีเรื่องสำคัญน่ะค่ะ...ว่าแต่ นี่เฉาก๊วยมันยอมให้พี่อาบน้ำให้มันด้วยเหรอคะเนี่ย”
“อืม ใครๆเห็นก็ทัก แต่ก็ไม่มีอะไรนี่ แรกๆพี่ก็เกร็งๆ แต่ก็ไม่มีอะไร”
“แปลว่าเฉาก๊วยมันชอบพี่ ไอ้ม้าตาถั่ว”
“อ้าว นี่ด่ากันทางอ้อมเหรอ”
น้อยหน่ายิ้มแหยๆ
“เปล่าค่ะ หน่าว่ามันที่มันก็ชอบยัยเพชรสีเหมือนกัน”
นับดาวมองเฉาก๊วย
“ชอบยัยเพชรสีเหรอ แกคิดอะไรของแกยะไอ้ม้าโง่”
“พี่ดาว หน่ามีเรื่องจะมาบอก...เรื่องยัยเพชรสีนั่นแหละ คืนนี้มันนัดดินเนอร์กับพ่อ”
“แล้วเธอไปรู้ได้ไง”
“พี่แก้วที่คลินิกโทรมาบอก พี่แก้วก็เกลียดยัยนี่เหมือนกัน พี่ดาว ช่วยหน่าด้วยนะคะ”
“ช่วยอะไร”
“หน่าอยากแก้แค้นยัยนั่น”
“เธอจะทำยังไงเหรอ”
“แอบเข้าไปในครัว เอายาฆ่าปลวกใส่อาหารของมัน”
“เธอดูหนังมากไปหน่อยมั้ง อีกอย่าง ต่อให้เธอทำได้จริง พ่อเธออาจกินยาฆ่าปลวกไปด้วยก็ได้”
น้อยหน่าแปลกใจ
“แล้วจะทำยังไงล่ะคะ”
“ก่อนอื่น พี่ต้องรู้เรื่องบางเรื่องก่อน”
“อะไรเหรอคะ”
“พ่อเธอชอบเพชรสีรึเปล่า”
“ไม่ชอบหรอกค่ะ”
“เธอรู้ได้ไง”
น้อยหน่าอึกอักตอบไม่ถูก
“ก็...”
“ถ้าพ่อเธอไม่ชอบเพชรสี ทำไมเขาถึงไปดินเนอร์ด้วย”
น้อยหน่าอึ้งอีก เริ่มกังวลขึ้นมา
“พี่อย่าบอกนะว่าพ่อชอบยัยนั่น”
“พี่จะไปรู้ได้ไง”
“ถ้าพ่อชอบยัยนั่นจริงๆ จะทำไงดีล่ะคะ”
“พี่ก็ไม่รู้ พี่รู้แต่ว่าเพชรสีน่ะเขาชอบพ่อเธอ ถ้าพ่อเธอชอบเขาด้วยก็...อีกหน่อยเขาก็เป็นแฟนกัน แล้วก็แต่งงานกัน”
น้อยหน่าหน้าเครียดยอมรับไม่ได้
“ไม่เอา หน่ายอมไม่ได้...พี่นับดาว ช่วยหน่าด้วย”
“ถ้าเรื่องล้างแค้นเพชรสีน่ะโอเค แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องความรัก เป็นเรื่องของคนสองคน สามคนก็ได้ รวมเธอด้วยเพราะเธอเป็นลูกเขา แต่พี่ไม่เกี่ยวแน่ๆ แล้วก็ไม่อยากเกี่ยวด้วย”
“พี่ดาวช่วยหน่าด้วยเถอะค่ะ ถ้าพี่ดาวยอมช่วย หน่าสัญญา พี่จะให้หน่าไปทำอะไรก็ได้หน่า ยอมทุกอย่าง”
นับดาวจ้องหน้า
“ที่พูดมาน่ะแน่ใจนะ”
“แน่ใจค่ะ แต่ว่าพี่ต้องช่วยหน่าเชี๊ยะยัยเพชรสีให้กระเด็นให้ได้นะคะแล้วหน่าจะทำตามที่พี่พูด ไม่บิดพลิ้ว”
“ตกลง”
นับดาวยื่นมือเช็คแฮนด์กับน้อยหน่า นับดาวแอบยิ้มเจ้าเล่ห์
นับดาวกับน้อยหน่านั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งในเงาสลัวๆ ของร้านรถเข็นขนมปังสังขยา ฝั่งตรงข้ามของร้านอาหารหรู จับตามองไปที่ร้านฝั่งตรงกันข้าม ทั้งสองเห็นปราบนั่งรออยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง ชายหนุ่มแต่งตัวดีเป็นพิเศษ...น้อยหน่ามองค้อน
“เชอะ แต่งซะหล่อเชียว ไอ้เฉาก๊วยมันต้องติดโรคตาถั่วมาจากพ่อแน่ๆ มาชอบยัยงูพิษนี่ได้”
“ยังไม่ทันไรก็ใจร้อนซะแล้ว พี่บอกว่าไง งานนี้ต้องใจเย็นๆ”
“ค่ะ...” น้อยหน่าท่องกับตัวเอง “ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ”
เพชรสีขับรถหรูมาจอดแล้วลงจากรถ วันนี้หญิงสาวดูดีมาก แต่งตัวสวยบาดใจ นับดาวกระซิบน้อยหน่า
“เพชรสีมาแล้ว”
น้อยหน่าหันไปมอง กำส้อมที่จิ้มขนมปังแน่น
“จะจีบพ่อฉันเหรอ อย่าหวังเลย”
น้อยหน่าถมึงทึง ลุกพรวด นับดาวกระชากลงมานั่งลงตามเดิม
“บอกให้ใจเย็นๆ ไม่รู้เรื่องหรือไง”
น้อยหน่าจ๋อย
“ขอโทษค่ะ”
ทั้งสองมองดูเพชรสีเดินเข้าไปในร้าน
“พี่ย้ำอีกครั้งนะ เกมส์คืนนี้ตัดสินกันที่ความเยือกเย็น ยัยเพชรสีก็เป็นพวกจุดเดือดต่ำเหมือนกัน ถ้าจะให้พ่อเธอเลิกชอบยัยนี่ก็ต้องยั่วให้เพชรสีโมโหจนหลุดตัวตนที่แท้จริงออกมา แต่ก่อนหน้านั้น เธอต้องควบคุมตัวเองให้ดี ถ้าเธอขืนเอาแต่เอะอะโวยวายแบบนี้ เธอนั่นแหละที่จะแพ้อย่างย่อยยับ”
น้อยหน่าเม้มปาก
“ค่ะ”
นับดาวจ้องหน้าถามย้ำ
“แน่ใจ”
“ค่ะ”
“งั้น ลุย”
สองสาวพยักหน้าให้กันอย่างมุ่งมั่น
ปราบนั่งคุยกับเพชรสี บนโต๊ะที่มีเชิงเทียน ดูโรแมนติค
“ถ้าเป็นไปได้ เพชรสีก็อยากปรับความเข้าใจกับน้อยหน่าเหมือนกัน...เพชรสีไม่ได้ตำหนิน้องเขาหรอกค่ะ เพชรสีเข้าใจด้วยซ้ำว่าเขาเป็นเด็กขาดความอบอุ่น”
“ความจริงผมก็พยายามเต็มที่แล้วนะครับ”
“พี่ปราบอาจจะต้องการผู้หญิงซักคนมาช่วยตรงนี้ก็ได้น่ะค่ะ มาช่วยดูแลน้อยหน่ามาทำหน้าที่แทนแม่ของเขา”
“ตอนนี้ผมว่าผมเจอคนคนนั้นแล้วครับ”
ปราบมอง เพชรสีเขิน...
“พี่ปราบคงไม่ได้หมายถึง...เอ่อ...”
“ครับ”
เพชรสีเขิน
“พี่ปราบล่ะก็...”
“คุณนับดาวน่ะครับ”
เพชรสีสะอึก
“เขาเข้าใจน้อยหน่าได้ดีกว่าผมซะอีก จนหลังๆนี่ยัยน้อยหน่าเชื่อนับดาวมากกว่าผมด้วยซ้ำ”
เพชรสีพยายามข่มอารมณ์ลงอย่างยากเย็น
“เพชรสีเป็นอะไรรึเปล่า”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ...เอ่อ เพชรสีว่าเราเปลี่ยนเรื่องพูดเถอะค่ะ เพชรสีอยากคุยเรื่องของเราสองคนมากกว่า”
“เอ่อ เรื่องอะไรเหรอครับ”
“ก็แบบว่า...”
เพชรสียิ้มเขิน แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร นับดาวกับน้อยหน่าก็เดินมาทัก
“พ่อ หวัดดีค่ะ”
ปราบกับเพชรสีประหลาดใจ ปราบออกอาการเขินๆเล็กน้อยที่นับดาวกับน้อยหน่ามาเจอ
“เอ่อ...มาไงเนี่ย”
“ดาวชวนน้อยหน่าออกมาหาอะไรอร่อยๆกินน่ะค่ะ...สวัสดีค่ะคุณ...เอ่อ...คุณเม็ดสี”
เพชรสีเสียงแข็งใส่ทันที
“ฉันชื่อเพชรสี”
“ขอโทษด้วยนะคะที่จำชื่อคุณผิด”
“ไม่เป็นไร...ที่จริง ฉันนึกว่าคุณจะจำชื่อฉันได้ไม่มีวันลืมซะอีก หึๆๆ”
เพชรสีกำหมัดทำท่าชกแบบน่ารักๆ นับดาวพูดขึ้นลอยๆ
“ดาวเป็นแบบนี้ล่ะค่ะ มีครั้งนึง ดาวไปเที่ยวต่างจังหวัด โดนหมาบ้าตัวนึงกัด เขาบอกเป็นหมาเจ้าถิ่นดังมาก แต่พออีกวันนึง ดาวก็ลืมชื่อมันซะได้ น่าแปลกมั้ยล่ะคะ”
เพชรสีชะงักรู้ว่าถูกด่า
“จำชื่อไม่ได้ก็จำหน้าไว้ก็ได้นะ ถ้าเจออีกจะได้นอบน้อมกับหมาตัวนั้น ไม่งั้นคงโดนมันกัดอีกแน่ๆ...คราวนี้อาจถึงตายก็ได้”
“แต่หมาเนี่ยถ้าลงมันบ้าล่ะก็ อีกแป๊บเดียวก็ตายแล้วล่ะค่ะ...” นับดาวหันไปหาปราบ “ใช่ไหมคะคุณปราบ”
ปราบอึกอักงงๆ
“อ๋อครับ ถ้าออกอาการแล้ว 7 วัน 10 วัน ก็ตายครับ”
นับดาวทำหน้าตกใจ เพชรสีเม้มปาก นิ่ง น้อยหน่าถือโอกาสนั่งลงข้างๆปราบ
“อย่าคุยเรื่องไม่เจริญอาหารเลยค่ะ พ่อกับคุณเม็ดสี เอ๊ย คุณเพชรสีสั่งอะไรกันรึยังคะ”
ปราบหันมาบอกลูกสาว
“ยังเลยจ้ะ”
น้อยหน่ายกมือเรียกบริกร
“สั่งอาหารค่ะ...พี่ดาวนั่งสิคะ”
นับดาวทำเป็นปรามน้อยหน่า
“น้อยหน่าจ๊ะ คุณพ่อเขาจะคุยกับคุณเพชรสีสองคนน่ะ เราอย่าไปรบกวนเขาเลย”
ปราบรีบบอก
“อ๋อ ไม่หรอกครับ เชิญนั่งเลยครับ”
นับดาวนั่งลงข้างเพชรสี ยิ้มหวานให้ เพชรสีฝืนยิ้ม เริ่มออกอาการหงุดหงิด ขณะที่บริกรเดินเข้ามา เพชรสีหันไปเอาใจปราบ
“คุณปราบคอร์สดินเนอร์ร้านนี้อร่อยมากเลยนะคะ ออกทีวีมาหลายช่องแล้ว” เพชรสีหันไปถามบริกร “มีซุปอะไรบ้างคะ”
“ซุปหอมฝรั่งเศส ซุปผักโขม แล้วก็ซุปใสเหล้าเชอรี่ครับ”
เพชรสีพยักหน้า กำลังจะสั่ง น้อยหน่าชิงสั่งก่อน
“เอาซุปหน่อไม้ ส้มตำปูปลาร้า ตำซั่ว ต้มแซ่บ แล้วก็ ซกเล็ก”
นับดาวเสริมทันที
“ขอข้าวเหนียวด้วยค่ะ”
เพชรสีไม่ค่อยพอใจ
“ของแบบนั้น ร้านนี้เขาไม่มีหรอก”
น้อยหน่ามองหน้า
“รู้ได้ไง เป็นเจ้าของร้านเหรอ”
บริกรเว่าอีสานทันที
“มีเด้อ มีโม้ด ซุบหน่อไม้ ซุบบักมี่ ซกเล็ก อ่อม ก้อย แจ่วบอง ซอยแซ่ หมกหม่ำ ตำปลาร้า ตำมั่ว ตำซั่ว ตำป่า”
บริกรร่ายยาวหน้าแป้นแล้น จนเพชรสีหงุดหงิด บริกรหยุดหายใจนิดหนึ่ง นับดาวหันไปบอก
“ต่อสิคะ”
“พอแล้ว”
เพชรสีเผลอตวาด บริกรหน้าเสีย ปราบหันไปถาม
“คุณเพชรสีคงหิวแล้วใช่ไหมครับ”
เพชรสีรู้ตัว พยายามเก็บอาการ
“ไม่หรอกค่ะ...” เพชรสีหันไปบอกบริกร “แค่นั้นแหละจ้ะ ขอบใจมาก...เมื่อกี้เพชรสีหูอื้อน่ะค่ะ เลยพูดเสียงดังไปหน่อย ว้า แย่จัง”
เพชรสีทำท่าน่ารัก นับดาวกับน้อยหน่าสบตากัน แล้วแกล้งพูด
“หรือคุณเพชรสีไม่ชอบอาหารอีสาน จะสั่งอาหารฝรั่งก็ได้นะคะ”
“นั่นสิครับ เดี๋ยวเรากินอาหารฝรั่งกันก็ได้ ผมกินเป็นเพื่อนคุณเพชรสีเองครับ”
ปราบบอก เพชรสียิ้ม น้อยหน่าพูดตัดหน้า
“เอ แต่หน่าได้ข่าวว่าพี่เพชรสีชอบกินอาหารอีสานมาก โดยเฉพาะก้อยกะปอม”
“ทุเรศ ฉันน่ะเหรอจะกินของพรรค์นั้น” เพชรสีโต้
“แองจี้เขาเล่าให้ฟังค่ะ”
“เธอจะยุให้ฉันกับแองจี้ทะเลาะกันหรือไง ชอบเห็นความแตกแยก นี่มันอาการของเด็กมีปัญหาชัดๆ”
น้อยหน่าฉุนตั้งท่าจะสวน นับดาวรีบยื่นขาไปสะกิดใต้โต๊ะ น้อยหน่าพยายามคุมสติ นับดาวหันไปยิ้มให้เพชรสี
“ไม่ต้องอายนะคะ ถ้าคุณเพชรสีอยากกิน เดี๋ยวดาวสั่งให้ก็ได้”
เพชรสีชักฉุน
“บอกแล้วไงว่าไม่จริง พวกเธอจะเอาไงกับฉัน”
น้อยหน่าฉีกยิ้ม
“ก็อยากเอาใจคุณเพชรสีน่ะค่ะ”
“ไม่ต้อง ฉันใช่เด็กขาดความอบอุ่น ไม่ต้องมาพะเน้าพะนอกันหรอก เคยชินกับวิธีแบบนี้มากสินะ”
น้อยหน่าฉุนกึก
“หมายความว่าไงคะ”
เพชรสียิ้มเยาะ นับดาวเขี่ยขาน้อยหน่า แต่น้อยหน่ายังโกรธอยู่ ปราบหันมาปรามลูกสาว
“พอแล้วน้อยหน่า”
เพชรสียิ่งยิ้มกว้าง น้อยหน่ายิ่งโมโห
“หน่าคุยกับเพชรสีอยู่ พ่อไม่เกี่ยว”
ปราบชะงัก
“น้อยหน่า!”
น้อยหน่าจะเถียงปราบ นับดาวรีบหันไปจกข้าวเหนียวที่บริกรยกมา ยัดเข้าปากทันก่อนที่จะเถียงปราบ
“หิวข้าวมากใช่ไหม อ้ะ กินไปก่อน”
น้อยหน่าตาเหลือก ทั้งร้อนทั้งคำใหญ่ เพชรสีมองแบบยิ้มเยาะ น้อยหน่ารีบกลืนข้าวเหนียวจะด่าเพชรสี นับดาวตักส้มตำยัดปากอีก
“อ้ะ ตำปลาร้า แซ่บบ่”
ปราบมองนับดาวกับน้อยหน่า รู้ทันว่าทั้งสองมีแผนอะไรแน่ๆ
น้อยหน่ากับนับดาวเดินมาขึ้นรถที่จอดอยู่เยื้องๆกับร้านอาหาร
“หน่าขอโทษค่ะ หน่าใจร้อน เลยทำเสียแผนหมดเลย”
“ไม่เป็นไร เราแพ้ศึกแต่ยังไม่แพ้สงคราม ถือเป็นบทเรียนละกัน”
“อย่างงี้พ่อยิ่งเห็นใจยัยเพชรสีเข้าไปใหญ่”
นับดาวเงียบไป หันไปมองปราบที่มาส่งเพชรสีที่หน้าร้าน พูดคุยยิ้มแย้มกันดูมีความสุข
“เชอะ”
นับดาวออกรถ
อ่านต่อหน้า 4
หนุ่มบ้านไร่กับหวานใจไฮโซ ตอนที่ 6 (ต่อ)
ค่ำคืนนั้น...ปราบตั้งกล้องถ่ายรูปดาวบนฟ้า เขากดสายลั่นชัตเตอร์ แล้วเดินมานั่งโขดหิน เทนมร้อนควันฉุยจากกระติกใส่ฝากิน ทันใดนั้นมีเสียงหัวเราะเยือกเย็นของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น ปราบหันขวับ มองไปรอบๆแต่ไม่เจอใคร เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง ปราบนิ่ง...ที่หลังพุ่มไม้ นับดาวนั่งยองๆ ยิ้มชอบใจ ส่งเสียงหัวเราะเยือกเย็นอีกครั้ง ปราบเดินมาที่พุ่มไม้ หยิบกระติกออกมาเปิดฝาออก
“ผมกลัวแล้วครับ คุณผี อย่ามาหลอกหลอนกันเลยครับ คงหิวใช่มั้ยครับ กินนมมั้ยครับ ร้อนจี๋เลย”
ปราบทำท่าจะเทนมใส่ตรงที่นับดาวแอบอยู่ หญิงสาวรีบวิ่งออกมา
“อย่านะ ตาบ้า”
“โธ่ นึกว่าผีตายทั้งกลมที่ไหน ที่แท้ก็...”
นับดาวรีบแทรก
“นางฟ้า”
“เห็ดนางฟ้าในถุงขี้เลื่อยน่ะพอได้...นึกไงมาทำผีหลอกผมเนี่ย”
“ลองดู เผื่อคุณกลัวผี จะได้อำให้รีบขายที่ให้ฉัน”
“นอนไม่หลับเหรอไง...อ้ะ”
ปราบยื่นฝากระติกใส่นมร้อนให้
“นมร้อน กินแล้วทำให้นอนง่ายนะ”
“ขอบคุณ”
นับดาวรับมา แต่ยังไม่กิน วางไว้ข้างๆตัว
“น้อยหน่านอนหลับแล้วเหรอ”
“อืม ฉันตั้งใจมาคุยกับคุณเรื่องเมื่อเย็นนี้น่ะ”
“มีอะไรเหรอ”
“ฉันเป็นตัวตั้งตัวตีชวนน้อยหน่าไปเองแหละ”
“ผมพอมองออก รู้ด้วยว่าพวกคุณคิดอะไร”
นับดาวมีทีท่าแปลกใจ
“คิดจะยั่วโมโหเพชรสีให้เขาอาละวาดออกมาใช่มั้ยล่ะ”
“อุ๊ย รู้ทันซะด้วย”
“แล้วคุณคิดว่าทำไมผมถึงไปดินเนอร์กับเขาล่ะ”
“หา หรือคุณก็...”
“ผมยังคาใจอยู่ ผมอยากรู้ว่าตัวจริงเขาเป็นคนยังไง”
“เสียดายที่วันนี้ฉันกับน้อยหน่าทำไม่สำเร็จ”
“ก็ไม่เชิง”
“หมายความว่ายังไง”
“ถึงเพชรสีจะไม่ลุกมาโวยวายอะไร แต่ผมก็เห็นอะไรบางอย่างในตัวเขาที่เขาพยายามปิดมันไว้อยู่ดี”
“ผิดคาดแฮะ นึกว่าจะเก่งแต่เรื่องตอนวัว ตอนควายซะอีก”
ปราบจ้องหน้า
“อย่ามาดูถูกผม และอย่าเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป...นี่คือคำเตือนจากผม”
“ฉันทำให้คุณรู้สึกแบบนั้นเหรอ”
“อืม อย่าลืมว่านอกจากเรื่องของน้อยหน่ากับเพชรสีแล้ว ยังมีเรื่องของคุณกับผมด้วย”
“ขอบคุณค่ะที่เตือน ฉันอาจจะดูถูกคุณ อาจจะเชื่อมั่นในตัวเองมากไป แต่เชื่อฉันเถอะเกมส์ระหว่างฉันกับคุณน่ะ สุดท้ายแล้ว ฉันคือผู้ชนะ ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อไหร่เท่านั้นเอง”
นับดาวยิ้มให้ หยิบฝากระติกใส่นมขึ้นมา
“เหมือนนมถ้วยนี้ พอได้เวลาก็ค่อยดื่ม มันก็จะอุ่นๆ อร่อยพอดี”
นับดาวดื่มนมจนเกลี้ยง วางฝากระติก แล้วเดินจากไป ปราบไม่พูดอะไร ดูนาฬิกาสักพัก แล้วก็กดสายชัตเตอร์หยุดถ่าย แล้วหันมามองตามนับดาวที่เดินจากไป
“เดี๋ยวก็รู้...เรื่องกะเวลาลงมือน่ะ ผมก็แม่นเหมือนกันนะ”
เสี่ยไฝเดินเข้ามาในห้อง เพชรสีกำลังดูคลิปบนมือถือของเธอ
“เรื่องประกวดเป็นไงมั่งเพชรสี อยากได้เงินเพิ่มมั้ย งานนี้พ่อทุ่มเต็มที่ขอแค่ให้ชนะเท่านั้น”
“ไม่ต้องห่วงค่ะพ่อ...อ่ะ ถ่ายมาพอดีเลยค่ะ เพิ่งซ้อมเมื่อเช้า”
เพชรสีกดเพลย์ ก่อนจะยื่นให้ เสี่ยไฝรับมาดู
“เอ๊ะ ไม่เห็นเหมือนของเก่าเลย เปลี่ยนท่าเต้นหรือเปล่าเนี่ย”
“ใช่ค่ะ”
“พ่อว่าก็ดูสนุกขึ้นนะ แล้วไอ้แผ่นที่เอาไว้ข้างหลังนี่คืออะไรเหรอ”
“โซล่าเซลล์ไงคะ”
“อืม น่าสนใจดีนะ ไปเอาไอเดียมาจากไหนเนี่ย”
“คิดเองค่ะ”
เสี่ยไฝยิ้ม ลูบศีรษะเพชรสี
“เก่งมากลูกพ่อ...อย่างงี้ปีนี้พ่อชนะเห็นๆสินะ”
เสี่ยไฝดูคลิปในมือถือ ท่าเต้นของคนงานเสี่ยไฝเหมือนท่าเต้นของของคนงานไร่ปรีดา เพชรสียิ้มภาคภูมิใจ
นับดาวกับน้อยหน่า ช่วยกันตรวจเสื้อผ้าที่จะให้แดนเซอร์ใส่
“ดูๆก็เรียบร้อยดีไม่มีปัญหาอะไร”
“ค่ะ” น้อยหน่าพยักหน้ารับ
“งั้นถ้าพรุ่งนี้พี่ไม่อยู่ก็คงไม่เป็นไรนะ”
“อ้าว...พี่จะไม่ไปงานเหรอคะ”
“พี่มีธุระสำคัญต้องไปทำที่กรุงเทพ เป็นงานการกุศลน่ะจ้ะ หาเงินไปช่วยเหลือคนเป็นโรคหัวใจแต่ไม่มีเงิน”
“เอ่อ...ถ้าอย่างนั้นหน่าก็คงไม่กล้าตื๊อให้พี่อยู่แล้วล่ะ เดี๋ยวบาปซะปล่าวๆ”
“ยังไงทางนี้ดูเรียบร้อยดี แล้วพี่ก็เชื่อมือหน่าว่าคุมเกมส์ได้อยู่แล้ว พี่ถึงไม่กังวลอะไร”
“แต่หน่ากลัวว่าถ้ามีอะไรผิดพลาดขึ้นมา...”
“เรื่องแบบนั้นน่ะมีอยู่แล้วล่ะ แต่ถ้าหน่าต้องตั้งสติให้ดี ไม่มีปัญหาอะไรแก้ไขไม่ได้หรอก เจอปัญหาบ่อยๆสิดี ทำให้หน่าเก่งขึ้น มั่นใจในตัวเองมากขึ้น”
น้อยหน่าอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า ยิ้มออกมา
“ค่ะ”
“สู้ๆ”
นับดาวให้กำลังใจเต็มที่
ในงานเกษตรแฟร์...ด้านหลังเวทีบรรยากาศเต็มไปด้วยความวุ่นวาย คนเดินไปเดินมา น้อยหน่าเดินเข้าไปหา ผู้กำกับเวที ที่กำลังวุ่นวายสั่งนู่นสั่งนี่
“สวัสดีค่ะพี่ จากไร่ปรีดาค่ะ”
ผู้กำกับหยิบรายชื่อจากกระเป๋าหลังออกดู
“ไร่ปรีดา...โอเค คิวที่ห้านะ”
ผู้กำกับเวที ติ๊กเครื่องหมายถูกหน้าทีมปรีดา น้อยหน่าแปลกใจ
“เอ๊ะ วันก่อนบอกคิวที่สี่ไม่ใช่เหรอคะ”
“อ๋อ ทีมของเสี่ยไฝเขามีความจำเป็นต้องขึ้นเวทีเร็วหน่อย เขาขอพี่ พี่ก็เลยเลื่อนเขาขึ้นมาเป็นคิวแรก ทีมของน้องก็ร่นไปหนึ่งคิว โอเคมั้ย”
“ก็ได้ค่ะ”
“พอทีมที่สี่ขึ้นเวทีปุ๊บ น้องพาทีมของน้องมาสแตนบายหลังเวทีเลยนะ”
“ค่ะ”
ผู้กำกับหันไปสั่งงานต่อ น้อยหน่ามองไปรอบๆ ก่อนเดินออกไป เพชรสียืนอยู่ที่มุมหนึ่งมองตามน้อยหน่าไปแล้วยิ้มเยาะ
“รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง...เธอไม่สืบเรื่องทางฉันเลย แล้วจะชนะฉันได้ไง ยัยอ่อนเอ๊ย”
ที่บ้านนับดาวในกรุงเทพ...นับดาวแต่งองค์ทรงเครื่องกลับสู่สภาพสาวเซเลบริตี้ชั้นนำของเมืองไทย เดินเยื้องย่างออกมาจากห้อง อลิสารออยู่
“เสร็จรึยังจ๊ะ”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ ไปกันเถอะค่ะ”
“แล้วเธอไม่โทรบอกคุณชนะชัยก่อนเหรอ”
“โทรตอนถึงหน้าบ้านเขาละกัน ถ้าโทรบอกก่อน เขาคงโทรไปบอกยัยเอมี่ตามมารยาท ยัยนั่นก็จะไม่ไปงาน เราต้องเล่นแบบไม่ให้ตั้งตัวค่ะ ให้ยัยเอมี่ไปเคว้งกลางงาน ฮะๆๆ แค่คิดก็สนุกแล้ว”
นับดาวกับอลิสาเดินออกไปจากบ้าน
เอมี่อยู่ในชุดเฉิดไฉไม่แพ้นับดาว ยืนสำรวจตัวเองในกระจกจนพอใจ ก็หยิบมือถือขึ้นมาโทรออก
“หวัดดีจ้ะโจโจ้ซัง”
โจโจ้อยู่ที่โต๊ะทำงาน ในโต๊ะข่าวสังคม ท่าทางโจโจ้ดูวุ่นๆอยู่
“หวัดดีเพื่อนเอมี่ ว่าไงยะหล่อน”
“นี่ วันนี้ที่งานโรคหัวใจน่ะ หล่อนต้องเก็บภาพฉันกับคุณชนะชัยให้เยอะๆนะให้ยัยนับดาวดูแล้วอกแตกตายไปเลย เข้าใจมั้ย”
“เสียใจย่ะ ไม่สามารถ”
“หมายความว่าไง”
“วันนี้วุ่นวายขายปลาช่อนมาก เพื่อนนายเขาจัดงานเกษตรแฟร์เขาขอมาให้นายไปช่วยทำข่าวให้หน่อย ฉันเลยโดนโยกไปทำข่าวที่นั่น...แต่ไม่เป็นไรหรอก เพื่อเพื่อน ฉันจะสั่งน้องนักข่าวที่ไปงานแทนฉันให้ถ่ายรูปตามที่เพื่อนต้องการละกัน”
“เอางั้นก็ได้ ขอบคุณมาก”
“ย่ะ แค่นี้ก่อนนะ”
โจโจ้วางสาย เอมี่เก็บมือถือ
“ยัยนับดาว หนีไปนั่งสมาธิเหรอแก รอเจอรูปในหนังสือพิมพ์วันพรุ่งนี้ก่อนเถอะ รับรองสมาธิแกต้องแตกซ่านกระเด็นกระดอนกระอักเลือดเป็นลิ่มๆแน่ๆ...ฮิๆ”
เอ็มมี่หัวเราะอย่างสะใจ
ปกป้องแอบเข้าไปปัสสาวะ หลังพุ่มไม้ เสร็จเรียบร้อยกำลังจะเดินออกมา เห็นรถบันทุกของทีมเสี่ยไฝจอดส่งทีมแดนเซอร์พอดี เพชรสียืนคุมอยู่ด้วย พวกทีมแดนเซอร์ทยอยลงมาจากรถ มีคนทำห่อผ้าหล่น ห่อผ้าเปิดออก เห็นแผ่นโซลาเซลล์จำลองหลุดออกมา
“ยัยซุ่มซ่ามเอ๊ย ทำโซล่าเซลล์หล่นอีก ดีนะไม่แตก ยังยืนเฉยอีก รีบๆเก็บสินังโง่เดี๋ยวมีคนเห็นพอดี”
แดนเซอร์รีบเก็บโซล่าเซลล์จำลอง พวกทีมแดนเซอร์เดินเข้าไปหลังเวที่การแสดง ปกป้องมองอย่างแปลกใจ
“แผ่นโซล่าเซลล์เหมือนของเราเลยนี่หว่า...หรือว่า...ยุ่งแล้วไง...”
ปกป้องรีบหยิบมือถือออกมา
อลิสาขับรถ นับดาวนั่งอยู่ข้างๆ มือถือนับดาวดังขึ้นเธอกดรับสาย
“สวัสดีค่ะอาป้อง”
อลิสาหันมามองนับดาว
“อยู่กรุงเทพค่ะ...ค่ะ...อะไรนะคะ...แน่ใจเหรอคะ...ค่ะ...เดี๋ยวขอดาวคิดก่อนนะคะ...แต่อย่าเพิ่งบอกน้อยหน่านะคะ...ค่ะ เดี๋ยวดาวโทรกลับค่ะ”
นับดาววางสาย หน้าตายุ่งยาก
“มีอะไรรึเปล่าดาว”
“คุณปกป้องโทรมา มีปัญหาที่นู่น เขาสงสัยว่ายัยเพชรสีจะก๊อปการแสดงของไร่เรา”
“อ้าว แล้วจะทำไงล่ะ”
“เขาอยากให้ดาวกลับไปช่วย”
“แล้วเธอจะกลับไปมั้ย”
นับดาวนั่งคิดอย่างสับสน
“ไม่ค่ะ”
นับดาวโทรกลับไปหาปกป้อง
“อาป้องคะ ดาวกลับไปไม่ได้จริงๆค่ะ...ยังคิดมาออกเหมือนกัน ถ้าเขาก๊อปเราจริงๆแล้วออกมาดีกว่าของเรา เราก็สละสิทธิค่ะ ไม่ขึ้นเวทีค่ะ...ค่ะ...แค่นี้ก่อนนะคะ”
นับดาววางสาย
“แน่ใจนะดาว เราจะไม่ไปช่วยเขาจริงๆเหรอ”
“ตัวตนของดาวอยู่ที่นี่ค่ะ...ถึงจะไปอยู่บ้านไร่ แต่ดาวก็ยังคือดาว...นับดาวว้าวแซ่บ”
นับดาวทำหน้าเนียนๆใจหนึ่งก็นึกห่วงๆอยู่เหมือนกัน
เจิดในชุดมาสค็อตรูปวัว เดินร้องมอๆ อยู่มุมหนึ่งใกล้ๆเวที น้อยหน่ากับตะวันวาดจัดการเตรียมความพร้อมให้กับทีมแสดงอย่างแข็งขัน
“ขอบใจเธอมากตะวัน ไม่มีอะไรแล้วล่ะ ที่เหลือฉันจัดการเองได้”
“งั้นเราจะไปนั่งดูกับแม่ ถ้ามีอะไรรีบโทรตามเลยนะ”
น้อยหน่าพยักหน้า
“ขอให้โชคดีนะ”
ตะวันวาดเดินออกไป ห่างออกมา ปกป้องกำลังปรึกษากับปราบอยู่
“อาคุยกับนับดาวแล้ว เขาบอกอย่าเพิ่งบอกน้อยหน่า”
“ผมเห็นด้วย ถ้าเรายังไม่แน่ใจว่าเขาก๊อปการแสดงเราจริงหรือเปล่าเราก็ยังไม่ควรบอกหน่าเกิดเราโวยวายไปแล้วเขาไม่ได้ก๊อปขึ้นมา เราจะเสียซะเปล่า”
“แต่ถ้าเค้าก๊อปล่ะ...”
“ถึงตอนนั้นเราค่อยท้วง ชี้แจงให้กรรมการฟังแล้วกันครับ หลักฐานเราก็มี ทั้งคลิปการซ้อมทั้งสมุดสเก็ตช์แบบของน้อยหน่า”
ปราบบอกเครียดๆ
ชนะชัยเดินเข้ามาในล็อบบี้ มองทางเข้างานเห็นมีแขกเหรื่อพอสมควร เขาจึงยังไม่เข้าไปกดมือถือโทรหานับดาว มือถือส่งสัญญาณเลขหมายที่ท่านเรียก ยังไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ ชนะชัยเก็บมือถือ ท่าทางหงุดหงิด ทันใดนั้นเขาก็เห็นเอมี่เข้ามาจากอีกด้านหนึ่งของงาน ชนะชัยลังเลแล้วเดินหลบเสา กดมือถือหานับดาวอีกครั้ง
ในงานเกษตรแฟร์...แขกเหรื่อมากันเต็มงานแล้ว ประธานเป็นรัฐมนตรีมากับภรรยา ตัดลูกโป่งเปิดงาน คนดูปรบมือ ประธานกับพวกแขกผู้มีเกียรติลงจากเวทีไป พิธีกรดำเนินรายการต่อ
“อันดับต่อไปเป็นกิจกรรมที่พวกเรารอคอยกัน เป็นสีสันอันขาดไม่ได้ของงานเกษตรแฟร์ของเรา นั่นคือ การประกวดโชว์ของพี่น้องเกษตรกรของเราเองครับ ปีนี้เราได้รับเกียรติจากท่านนายอำเภอมาเป็นประธานในงาน ทุกไร่ทุกฟาร์มก็เอาจริงมาก เรียกได้ว่ากรรมการต้องปวดเศียรเวียนเกล้าในการตัดสินแน่ๆเลยครับ และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอเชิญพบกับการแสดงของทีมที่หนึ่งได้เลยครับ...ทีมบ้านเสี่ยไฝ ชื่อชุดแสงทองครับ”
บนเวทีปิดไฟมืด ระหว่างที่พวกทีมนักแสดงของเสี่ยไฝ วิ่งขึ้นมาเตรียมพร้อมบนเวที น้อยหน่าก็วิ่งมาหาปราบเพื่อมาดูการแสดงของเสี่ยไฝ ปราบถามลูกสาวอย่างแปลกใจ
“ทีมของเสี่ยไฝขึ้นเป็นทีมแรกเหรอ”
“ค่ะ จริงๆต้องขึ้นทีหลัง แต่เขาติดอะไรไม่รู้ ขอขึ้นก่อนน่ะค่ะ”
ปราบกับปกป้องสบตากัน ไฟบนเวทีสว่าง น้อยหน่าอึ้ง ทีมของเสี่ยไฝ จัดท่าเหมือนที่น้อยหน่าเตรียมให้ทีมของไร่ปรีดา มีโซล่าเซลล์ที่หลัง แต่คอสตูมและพร็อบทุกอย่างดูดีกว่า การแสดงเริ่มต้น ทุกคนอยู่ในท่าเกียจคร้าน มีเสียงอินโทรจากวงดนตรีข้างหลังที่เล่นสด แล้วไฟก็จับไปที่มุมเวที นักร้องคนหนึ่งก็เดินออกมาร้องเพลง เพลงเดียวกับที่น้อยหน่าเตรียมไว้ด้วย เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากคนดูดังกระหึ่ม
“พ่อคะ เขาก๊อปของเราไปนี่คะ ก๊อปไปเต็มๆเลยอ่ะ”
ปราบพยักหน้ารับรู้ ตะวันวาดวิ่งมาหา
“น้อยหน่า ทำไมทีมของเสี่ยไฝเขา...”
น้อยหน่าโกรธ
“ฉันว่าเป็นฝีมือยัยแองจี้อีกแน่ๆ”
ห่างออกไปไม่มาก แองจี้จับตาดูพวกปราบอยู่
ปราบเดินนำปกป้องกับน้อยหน่ามาที่หลังเวที ผู้กำกับเวทีอยู่แถวนั้น เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของแต่ละคน
ก็รีบเข้ามาหา
“จะไปไหนกันครับเนี่ย”
“ผมจะขอพบกรรมการ”
“มีอะไรเหรอครับ”
“ทีมของผมถูกทีมเสี่ยไฝขโมยท่าเต้น”
ตะวันวาดเข้ามายืนยัน
“ผมไม่ใช่คนของไร่ปรีดา ผมเป็นพยานให้ได้ว่าถูกก๊อปจริงๆ”
ก่อนที่ ผู่กำกับเวทีจะพูดอะไร แองจี้ก็เดินเข้ามาหา พูดกับ ผู้กำกับเวที
“สงสัยจะมีเรื่องเข้าใจผิดกันน่ะค่ะ”
น้อยหน่าไม่พอใจ
“เข้าใจผิดอะไร”
“ฉันมีหลักฐานนะว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด”
“หลักฐานอะไร ไหน”
“แต่ว่า...ให้อาปราบดูก่อนแล้วกันนะคะ”
แองจี้ยืนสมาร์ทโฟนของเธอให้ ดูคลิป เป็นคลิปจากกล้องวงจรปิดในร้านอาหาร ตอนน้อยหน่ามีเรื่องกับเพชรสี แองจี้กระซิบ
“จำได้ใช่มั้ยคะว่าน้อยหน่าถูกภาคทัณฑ์อยู่ ถ้าคุณอายังจะไปหากรรมการ หนูก็จะส่งคลิปนี้ให้อาจารย์ฝ่ายปกครองแล้วก็ตำรวจ น้อยหน่าก็จะถูกไล่ออกจากโรงเรียนแล้วก็ถูกดำเนินคดีด้วย”
ปราบอึ้ง แองจี้เก็บสมาร์ทโฟน
“เข้าใจผิดกันใช่ไหมคะ”
ปราบเงียบ น้อยหน่าแปลกใจ
“คุณพ่อ”
“คลิปอะไรวะปราบ”
ปราบเงียบไปครู่หนึ่ง พูดกับกรรมการ
“ครับ เข้าใจผิดครับ ไม่มีอะไรแล้วครับ”
น้อยหน่าอึ้ง
“คุณพ่อ”
ผู้กำกับเวทีพยักหน้าหงึกๆ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจอะไร แต่ก็ไม่สนใจกลับไปทำงานต่อ ปราบหันไปหาน้อยหน่า
“กลับเถอะ”
“ไม่ พ่อต้องบอกก่อนว่าเขามีหลักฐานอะไร”
นับดาวโผล่มา กระหืดกระหอบ
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
ชนะชัยเดินออกมาจากห้องน้ำ จ๊ะเอ๋กับเอมี่พอดี
“สวัสดีค่ะคุณจ๊อบ มานานรึยังคะเนี่ย เอมี่ว่าจะโทรหาอยู่พอดี”
“เอ่อ เพิ่งมาเมื่อครู่เองครับ”
“เข้างานเลยมั้ยคะ”
โดยไม่รอคำตอบ เอมี่ควงแขนชนะชัยเดินตรงไปที่หน้างาน พอสื่อหันมาเห็นปั๊บก็กรูมาทันที เอมี่เดินควง
ชนะชัยไปที่แบล็คดร็อปอย่างรู้หน้าที่ เอมี่ยิ้มรับขณะที่ชนะชัยยิ้มเล็กน้อย ช่างภาพถ่ายรูปกันไฟแลบ ชนะชัยมองไปที่ประตูลิฟต์ทันใดนั้นประตูลิฟต์เปิดออก แต่คนที่ออกมาก็ไม่ใช่นับดาวเป็นนักนักข่าวนั่นเอง
“คุณเอมี่แสนหวาน ทำไมวันนี้ควงคุณชนะชัยมาได้ล่ะคะ”
เอมี่ยิ้มแย้ม
“ก็ชื่องานหัวใจคู่รักไม่ใช่เหรอคะ”
สื่อมวลชลฮือฮา ถามกันรัว
“หรือว่า...คุณชนะชัยว่าไงคะ”
ชนะชัยกำลังลุ้นที่ประตูลิฟต์ ไม่ทันตั้งตัว เอมี่สะกิด ชนะชัยหันมายิ้มให้สื่อ
“ครับ”
นักข่าวตยหยึ่งบอก
“งั้นเข้าใกล้กันหน่อยสิคะ”
เอมี่เบียดกะแซะชนะชัย สื่อรีบถ่ายภาพกัน
ปราบ ปกป้อง น้อยหน่า นับดาว อยู่ที่มุมหนึ่งของงาน น้อยหน่าร้องไห้
“หน่าผิดเอง หน่าโง่เอง พ่อไม่ต้องสนใจหน่าหรอกค่ะ ไปหากรรมการ มันอยากฟ้องก็ให้มันฟ้องไป หน่ายยอมโดนไล่ออกค่ะ”
“หน่า เรื่องโชว์ เรื่องโดนก๊อป ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย สิ่งที่สำคัญคืออนาคตของลูก เพราะฉะนั้น อย่าพูดให้พ่อได้ยินอีกนะว่ายอมโดนไล่ออกน่ะ”
“แต่ว่า...หน่าต้องรับผิดชอบค่ะ”
ปราบจ้องหน้าลูกสาว
“แค่ลูกของพ่อเป็นเด็กมีความรับผิดชอบ เท่านี้พ่อก็ดีใจแล้ว”
น้อยหน่าเงียบลง ตะวันวาดแค้นๆ
“ได้...ถ้าเล่นกันแบบนี้ก็ได้”
ตะวันวาดเดินออกไป ปกป้องรีบคว้าแขนไว้
“จะไปไหน”
“ผมจะไปถามพวกเขาว่าทำเลวๆแบบนี้ได้ไง ไม่อายใจบ้างเหรอ”
“ตาว่าใจเย็นก่อนเถอะนะ”
ปกป้องมองปราบ
“ปราบ อาว่าเรากลับกันเถอะ เดี๋ยวพาพวกคนงานไปเลี้ยงข้าวปลอบใจพวกเขาซะหน่อยที่อดแสดง”
ปราบเห็นด้วย
“ก็ดีครับ ผมก็ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”
นับดาวรีบขัดขึ้น
“ไม่ได้ค่ะ เราต้องขึ้นเวที”
“อะไรของคุณ อย่าบอกนะว่าจะให้ขึ้นไปโชว์ทั้งๆที่โดนทีมเสี่ยไฝตัดหน้าไปแล้ว”
“เราก็เปลี่ยนโชว์ เราต้องรักษาศักดิ์ศรีของไร่เรา รักษาหน้าตาของเรา”
“คุณจะหน้าใหญ่ไปถึงไหน ไม่แสดงก็ไม่เห็นเป็นไร”
นับดาวขยิบตา ปราบงง เธอดึงเขาออกมาคุยกันห่างจากคนอื่นๆ แล้วกระซิบเบาๆ
“ฉันไม่สนใจหน้าตาอะไรหรอก แต่ฉันห่วงน้อยหน่า”
ปราบกระซิบตอบ
“หมายความว่าไง”
“ถ้าเรากลับไปแบบนี้ น้อยหน่าจะรู้สึกผิดเต็มๆ เราต้องเปิดโอกาสให้เขาได้แก้ตัว”
“แล้วคุณจะให้ทำยังไง”
“ให้เขาขึ้นไปแสดงอะไรก็ได้บนเวที”
“ล้อเล่นน่ะ น้อยหน่าไม่ใช่พวกดาราอะไรแบบนั้น เขาทำไม่ได้หรอก”
“ไม่ต้องแสดงอะไรมาก เป็นตัวของตัวเองก็ได้ ให้คนดูประทับใจก็พอ ให้เขาได้ภูมิใจว่าได้ทำอะไรเพื่อแก้ไขสถานการณ์ ไม่งั้นลูกคุณ จะดูถูกตัวเองและหมดความมั่นใจในตัวเองไปอีกนานเลยนะ”
ปราบเงียบ มีท่าทีเห็นด้วย
“เอาไงก็เอา แต่คุณต้องคิดเรื่องการแสดงสดนี่ด้วยละกัน ผมคิดอะไรแบบนี้ไม่เป็น”
“ไม่ต้องห่วง คุณทำตามที่ฉันบอกละกัน”
ปกป้องกับน้อยหน่ามองมาที่นับดาวกับปราบ ไม่ได้ยินว่าคุยอะไรกัน แล้วก็เห็นนับดาวพูดกับปราบอีกประโยค คราวนี้ปราบตกใจ
“เฮ้ย ไม่เอา ผมไม่ขึ้นเวทีเด็ดขาด อย่ามามองผมแบบนี้”
“ก็ไหนเมื่อกี้คุณบอกเอาไงก็เอา อย่าลืมสิว่าเราทำเพื่ออะไร”
ปราบอึ้งทันที
รถตู้วิ่งมาจอด ประตูเปิดออก โจโจ้กับตากล้องลงมาจากรถ โจโจ้มองเข้าไปในงาน
“โอ๊ย งานเริ่มไปถึงไหนต่อไหนแล้วเนี่ย...เร็วๆๆ ก่อนที่งานจะจบ”
ตากล้องกับผู้ช่วยรีบเตรียมอุปกรณ์กันมือเป็นระวิง
“จะมีใครเด็ดๆให้สัมภาษณ์บ้างมั้ยน้า”
โจโจ้กวาดตามองไปทั่วงาน เห็นด้านหลังของนับดาวเดินหายไป โจโจ้เพ่งมอง รู้สึกคุ้นกับเงานั้น
“ใครนะ ดูคุ้นๆจัง”
จบตอนที่ 6
อ่านต่อ ตอนที่ 7 พรุ่งนี้ เวลา 09.30น.