ดอกโศก ตอนที่ 6
ดอกโศกยังคงถูก อุ๊ หรือ เพ็ญตระการ คาดคั้นเรื่องจำนวนเงินที่ตัวเองได้ยินไม่ค่อยชัด แต่ปักใจเชื่อว่าเป็นเจ็ดแสนต่อ โดยมีโอ๋ ที่ถูกอ้นเรียกว่าบ่างคอยยุยงอยู่เป็นหย่อมๆ
“ว่าไง บอกมาดิ๊เอาไปให้คู่รักใช่มั้ย ตั้งเจ็ดแสน” น้ำเสียงหยันอยู่ในที
“แสนเดียว จริงๆ อุ๊” ดอกโศกยืนยันเสียงเรียบ
“ไม่เชื่อ ในเมื่อชั้นได้ยิน นี่...เต็มสองหูนิ่”
ดอกโศกรู้สึกอ่อนใจนัก จนต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ตามใจ”
“พี่อุ๊ก็เค้าบอกเท่าไหร่ก็เท่านั้นสิ” อ้นพูดแทรกขึ้นมา แต่ถูกอุ๊ดุเอา
“ตาอ้นอย่ายุ่ง”
“ใช่ อย่ายุ่ง ตัวน่ะไม่เกี่ยวซะหน่อย” โอ๋คอยเสริมตลอด
“เอ๊ะ พี่อุ๊จะไม่ให้ยุ่งได้ไง พี่อุ๊ทำไม่ถูกอภิรมย์เค้าจะโกหกพี่อุ๊ทำไม ในเมื่อคุณปู่เป็นคนให้ พี่อุ๊คิดว่าคุณปู่จะโกหกด้วยงั้นเหรอ” อ้นฉุนนิดๆ
“เพราะยัยตัวดีคิดว่ายังไงๆ ก็ไม่ถึงหูคุณตาน่ะสิ” อุ๊คิดไปนั่น
“จริง เค้าต้องรู้ว่าใครจะไปถามคุณปู่ จริงมะ” โอ๋ไม่พลาดที่จะเสริมส่งอุ๊
ดอกโศกเบื่อเต็มทนจึงเดินหันหลังจากไป
“จะไปไหน” อุ๊มาขวางหน้าไม่ให้ไป “คนอะไรตัวเองเป็นหลานมาจากไหนก็ไม่รู้ อยู่ๆ มาเอาเงินคุณตาตั้งเยอะแยะ”
ดอกโศกถอนหายใจ มองอุ๊อย่างหมดปัญญา เดินหลีกเลี่ยงหนีไปอีกทาง
อุ๊ หรือจะยอมคว้าไหล่รั้งไว้ทันที พร้อมกับดึงกลับมาจนร่างดอกโศกเซ
อ้นเห็นจึงรีบเข้ามาช่วยดอกโศก ส่วนโอ๋ก็มาช่วยอุ๊ อุ๊เปลี่ยนทิศหันไปโรมรันกับอ้น ทำให้ดอกโศกต้องช่วยอ้นรับมือด้วย
จากนั้นจึงเกิดเป็นเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายไปหมด อุ๊ฟาดตรงเนื้อตัวดอกโศกไปหลายที จังหวะสุดท้าย ดอกโศกกำลังเงื้อมือจะฟาดอุ๊
แต่มีเสียงเพ็ญพักตร์ตวาดดังลั่น “หยุดเดี๋ยวนี้แม่ดอกโศก”
ดอกโศกหันขวับมาดู จังหวะนั้นอุ๊หันมาแล้วฟาดตรงตัวดอกโศกอย่างเต็มแรง...เสียงดัง จนดอกร่างโศกเซออกไป
เพ็ญพักตร์โผเข้ามาจับตัวดอกโศก กระชากกระเด็นไปอีก
“อย่ามาระรานลูกฉันอีกนังตัวดี” เพ็ญพักตร์พูดสำทับเสียงกร้าว
ดอกโศกหันขวับมามองเพ็ญพักตร์ นัยน์ตาเข้ม
“อุ๊ต่างหากเป็นคนระรานอภิรมย์ครับป้าเพ็ญ” อ้นเหลืออดแล้ว
“ไม่ต้องยุ่งนายอ้น” เพ็ญพกตร์หันไปตวาดใส่
“แต่ป้าเพ็ญต้องฟังความให้ครบสิครับ” อ้นขัดเคืองใจ
“ไปให้พ้นไอ้กะเทย” เพ็ญพักตร์ด่า...แรง
ทุกคนถึงกับเงียบกริบกันไปหมด อ้นสีหน้าบิดเบี้ยว ด้วยความเสียใจ จ้องหน้าเพ็ญพักตร์เขม็ง
“คุณป้าไม่ควรพูดอย่างนั้น คุณป้าเป็นผู้ใหญ่แล้วยังเป็นป้าด้วย” ดอกโศกพูดพร้อมกับคว้ามืออ้นก่อนจะพูดขึ้นมาอีก “เป็นกะเทยไม่ผิดนะคะคุณป้า”
ดอกโศกพาอ้นเดินไปทันที
เพ็กพักตร์โกรธจัดตะโกนตามหลัง “นังดอกโศก จองหอง กลับมานี่เดี๋ยวนี้”
ดอกโศกไม่สนใจ เดินลับตัวไป
“อุ๊จะไปฟ้องคุณตา” อุ๊ฮึดฮัด โกรธเหลือแสน
“โอ๋ไปด้วย โอ๋เป็นพยานได้” โอ๋ยังแจ๋เหมือนเดิม
“ไม่ต้องยุ่ง ชั้นไปคนเดียวได้”
“แต่ถ้าโอ๋ฟ้องด้วย คุณปู่จะได้เชื่อมากขึ้นนะพี่อุ๊” ยังไม่รู้สำนึกอีก
“เธ่อเอ๊ย....ชั้นคนเดียวก็พอย่ะ เธอไม่เกี่ยวหรอก”
อุ๊พูดขาดคำเดินลิ่วไปอย่างเร็ว โอ๋ยืนหน้าสลดอยู่ตรงนั้น เพ็ญพักตร์มองนิ่งๆ ไม่ยินดียินร้าย
“ป้าเพ็ญขา” โอ๋ขอความเห็นใจ
“ก็จริงอย่างอุ๊เค้าพูดนี่ยัยโอ๋”
พูดจบเพ็ญพักตร์ก็เดินไปทันที โอ๋เสียใจจนร้องไห้สะอื้นออกมานิดๆ
โอ๋กลับมาถึงบ้านก็เอาแต่นั่งก้มหน้าสะอื้นเบาๆ พฤกษ์ ผู้เป็นพ่อรู้เรื่องก็เอ็ดเอาอีก
“ไม่ต้องร้องไห้อยากไปยุ่งกับเขาเอง พ่อบอกหลายหนแล้วไม่เคยจำว่าไม่จำเป็นอย่ายุ่งกะอุ๊”
“พี่อุ๊เล่าให้โอ๋ฟังก่อน”
“ทีหลังไม่ต้องฟังเขา หลบไป ชวนไม่ต้องไป” พฤกษ์บอกย้ำอีก
โอ๋กัดฟัน กลั้นสะอื้น
“ที่ว่าเงินเยอะน่ะ...เท่าไหร่” พฤกษ์สนใจเรื่องเงิน
“ตั้งเจ็ดแสนค่ะ คุณพ่อ”
“อะไรนะเท่าไหร่นะโอ๋ พูดใหม่ซิ”
เพ็ญพักตร์ตามลูกสาวเข้ามาที่ห้องผู้เป็นพ่อ เอาเรื่อง...เรื่องเงิน
“เงินเท่าไหร่นะที่ว่ามาก” นายพลสุดเขตย้อนถามลูกและหลาน
เพ็ญพักตร์ตอบย้อนบิดาออกมาอย่างรวดเร็ว “คุณพ่อคะ หนูไม่คิดว่าคุณพ่อจะถึงกับพูดไม่จริงเพื่อช่วยเหลือ...แม่นี่นะคะ”
“เธอเคยเห็นฉันเป็นคนอย่างนั้นเหรอเพ็ญพักตร์” เลยถูกย้อนกลับ
“หนูไม่ทราบ”
ระหว่างพฤกษ์ก็เดินเข้ามาเร็วรี่ โดยมีโอ๋ตามมาติดๆ กัน
“คุณพ่อครับ...กำลังพูดเรื่องนี้ใช่มั้ยครับว่าคุณพ่อจ่ายไปก้อนใหญ่มาก จำเป็นหรือคุณพ่อต้องจ่ายมากขนาดนั้นให้คู่รักของดอกโศก”
ส่วนอีกมุมหนึ่งในบริเวณบ้าน อ้นนั่งหน้าอัดอั้นตันใจมองไปข้างหน้า ดอกโศกนั่งสีหน้าเงียบสงบอยู่ข้างๆ
“อภิรมย์เธอรู้มาก่อนมั้ย” อ้นถามใบหน้ายังมองไปเบื้องหน้า
“เรื่องอะไร”
“เรื่องที่ฉันเป็น”
ดอกโศกพยักหน้า
“เธอรู้ได้ไง” อ้นถามต่อ
“ไม่รู้...รู้แต่ว่ารู้”
“เธอคิดยังไง”
“ฉันว่า เธออย่าฟังคุณป้าเพ็ญหรืออุ๊หรือโอ๋หรือใครทั้งนั้น”
“ไม่ใช่ ฉันถามว่าเมื่อเธอรู้ว่าชั้นเป็นกะเทยแล้วเธอคิดว่ายังไง”
“คิดว่างั้นควรจะคิดยังไงล่ะอ้น” ใบหน้าสวยละมุน นั้นคลี่ยิ้มนิดๆ
“อ้าว บางคนก็เกลียดกะเทย” อ้นเริ่มน้ำตาซึมๆ
“งั้นเหรอ งั้นชั้นก็ตอบได้ว่า ชั้นรังเกียจคนที่เกลียดกะเทย”
อ้นมองดอกโศกอย่างประทับใจ
ดอกโศกยิ้มให้กำลังใจสายตาปลุกปลอบ อ้นยื่นมือมา ดอกโศกจับมือ เขย่าแรงๆ
จังหวะซาบซึ้งนั้น สาวใช้จอมเจ๋อ จิ๋วก็เข้ามา แล้วเรียกขึ้น
“คุณอ้น...” พูดพร้อมกับหอบๆ พักหายใจ “คุณอภิรมย์ ท่านให้ไปหาค่ะ”
อ้นหันมา “นึกแล้วว่าต้องมีคนฟ้องคุณปู่”
“ใคร” ดอกโศกถามเบาๆ ไม่อยากให้จิ๋วได้ยิน
“ใครก็ได้หนึ่งในสองนั่นแหละ จิ๋ว ไปเลย ไม่ต้องเงี่ยหูฟัง เดี๋ยวเหอะ นังคนสาระแน” อ้นหันไปว่าจิ๋ว ที่เสนอหน้าคอยฟังอยู่
“โห คุณอ้น ด่ายังกะหญิงแน่ะ” จิ๋วตั้งท่าวิ่งออกไป
อ้นหันมาหัวเราะกับดอกโศก พยักหน้าชวนไปกัน
อ้นนึกได้ “เออ อภิรมย์ เธอให้แฟนตั้งเจ็ดแสนจริงเหรอ”
จิ๋วได้ยินเต็มสองหู คิดในใจเดี๋ยวจะไปบอกสุดสวย
เหตุการณ์ในห้องสุดเขต
“เอ้า ไปตามพจน์มารึยัง พูดกันให้ได้ยินหมดทุกคนนี่แหละจะได้ไม่พูดกันผิดๆ อีก” ประมุขของรัตนชาติพลลภกล่าว
พจน์เดินเข้ามาพอดี “ขอโทษครับผมมาช้า”
“นั่ง...นั่ง” สุดเขตกวาดสายตามองทุกคน แล้วนึกได้ “เจ้าอ้นกับเจ้าอภิรมย์ยังไม่มา...คอยก่อน”
“ทำไมครับ ไอ้อ้นทำอะไรครับคุณพ่อ” พจน์ฉงนในใจ
สองคนเดินมาอย่างรีบๆ ดอกโศกจูงมืออ้น
“ไม่เห็นต้องรีบเลยอภิรมย์”
“รีบก็ไม่เห็นเป็นไรนี่อ้น เอาให้เรื่องจบเร็วๆ ดีกว่า”
“อภิรมย์ ถามจริงๆ เจ็ดแสนหรือแสนเดียว”
ดอกโศกยิ้มล้อๆ ไม่อยากให้อ้นเครียด “ไม่บอก”
“ไม่บอกเหรอ อ๋อ...งั้นรู้แล้ว โธ่เอ้ย งั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้วสิ ไป...อยากเห็นหน้าคุณป้าเพ็ญนัก ว่าแต่...แสนเดียวแน่นะ” อ้นไม่วายถาม
ระหว่างรออ้นและดอกโศก ทุกคนนั่งกันอยู่พร้อมหน้าแล้ว สุดเขตก็ปรารภขึ้น
“จ่ายเงินก้อนใหญ่ ฉันเอาเงินใครมาจ่ายรึไงถึงได้เดือดร้อนกันขนาดนี้” สุดเขตเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเครียดเคร่ง
ทุกคนเงียบกริบ
“ว่าไง เอ้า พูดไปซิเพ็ญพักตร์” สุดเขตถามลูกสาวคนโต
“เงินของคุณพ่อ เราทราบดีค่ะ และก็ไม่เคยคิดจะก้าวก่าย แต่...”
“อะไร...ก็พูดออกมาสิ”
“พฤกษ์ เธอรู้เรื่องจากโอ๋แล้วใช่มั้ย” เพ็ญพักตร์หันไปหาแนวร่วม
“ก็อย่างที่ผมเรียนถามคุณพ่อว่า...จำเป็นแค่ไหนที่คุณพ่อต้องเสียเงินมากมายให้คู่รักของเด็กคนนี้ ขอโทษครับ ผมถามคุณพ่อในฐานะลูกเท่านั้นครับ ไม่ได้ก้าวก่ายอะไร” นายพันพฤกษ์บอก
“เอาล่ะ ก็เข้าใจอยู่ ฉันถามหน่อยเถอะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ไปได้ยังไง ใครเอาข่าวไปบอกจนรู้กันไปหมด” สุดเขตไล่เรียงเหตุการณ์
“อุ๊เองค่ะคุณตา” เพ็ญตระการรับออกมา
“งั้นรึ...เจ้าอุ๊นี่เอง มันอะไรกันล่ะลูก” น้ำเสียงนายพลชราอ่อนลงเพราะยังสงสารเรื่องเก่าอยู่
“อุ๊ได้ยินคุณตาพูด อุ๊ก็เลยบอกคุณแม่”
“พฤกษ์ล่ะรู้ได้ไง” สุดเขตหันไปทางพฤกษ์
“รู้จากยายโอ๋ครับ”
“พี่อุ๊บอกโอ๋ค่ะ” โอ๋พูดต่อ
“ก็โอ๋ถาม” อุ๊ขัดขึ้น
“พี่อุ๊บอก โอ๋ยังไม่ได้ถามเลย” โอ๋แย้ง
“โอ๋อย่านะ ตัวเองน่ะถามเค้า ถามตั้งสองหน” อุ๊โกหก
“พี่อุ๊...ทำไมพี่อุ๊พูดงั้นล่ะคะ พี่อุ๊บอกว่า....” โอ๋จะแย้ง แต่ถูกสุดเขตพูดสวนขัดจังหวะออกมาเสียก่อน
“เอาล่ะ หยุดทั้งสองคน บอกเล่ากันแบบเด็กๆ มันก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ผู้ใหญ่ใช่มั้ย ที่โวยวายเป็นเรื่องใหญ่โต”
“คุณพ่อคิดว่าไม่ใหญ่โตหรือคะ เงินตั้งเจ็ดแสนนะคะ ไม่ใช่น้อยๆ ถึงจะเป็นเงินคุณพ่อแต่คู่รักของดอกโศกเป็นใคร ทำไมเราต้องเสียเงินมากมายขนาดนั้น” เพ็ญพักตร์ไม่พอใจ
สุดเขตจ้องหน้าตอนเพ็ญพักตร์พูดคำว่าเจ็ดแสน
ระหว่างนั้นดอกโศกกับอ้นเข้ามา ไหว้คุณตาคุณปู่ แล้วเดินไปนั่งแอบๆ
“มาแล้วรึ...เอาล่ะอยู่กันทุกคนแล้ว” สุดเขตมองที่โอ๋กับอุ๊ ถามขึ้น “อุ๊ โอ๋....ของอุ๊หรือโอ๋เดือนร้อน ปู่ก็ช่วยเพราะนั่นเท่ากับปู่ช่วยหลานของปู่” กวาดสายตามองไปทั่วๆ ทุกคน ก่อนจะถามดอกโศก “อภิรมย์ฤดี คนที่ตาช่วยเป็นคู่รักเจ้ารึ”
“เป็นเพื่อนค่ะ” ดอกโศกตอบเท่าที่ถาม
“ไม่ใช่คู่รัก?” สุดเขตถามย้ำ
“ไม่ใช่ค่ะ”
“เป็นแค่เพื่อน...ทำไมถึงเดือดร้อนนัก” เพ็ญพักตร์ไม่เชื่อพูดสอดออกมา
“เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็กๆ ค่ะ”
“ถ้าคุณตาไม่ช่วย เธอจะทำยังไง” พฤกษ์ถามบ้าง
“หนูจะหาเงินทางอื่นค่ะ เพราะป้อมเขาช่วยตัวเองไม่ได้อย่างแน่นอน” ดอกโศกตอบ
“หาทางไหนนอกจากหาคุณตา” พฤกษ์ซักไซ้
ดอกโศกนิ่งไปอึดใจ มองเห็นสายตาทุกคู่จ้องมาที่ตัวเองเป็นตาเดียว “คุณตาช่วยแล้ว” มองสบตาคุณตาเต็มๆ “หนูก็เลยไม่ต้องหาค่ะ”
สุดเขตพยักหน้าพอใจคำตอบ
“เป็นอันว่าเข้าใจแล้วนะ อ้น” หันไปทางอ้น ที่เห็นผิดสังเกตตั้งแต่เข้ามาแล้ว
“ครับ คุณปู่”
“มีอะไรหรือเปล่าลูก ปู่เห็นเจ้าเดินออกไปทานโน้น ท่าทางไม่ดี” สุดเขตถาม รู้ดีว่าต้องมีบางอย่างแน่ๆ
อ้นก้มหน้า
“ใครว่าอะไร”
“ครับ”
“หมายความว่าไง...ครับ”
“คุณปู่ทราบแล้วนี่ครับ”
“ปู่ไม่รู้หรอกยังไม่มีใครบอกปู่”
เพ็ญพักตร์ฟังอยู่สีหน้าไม่ดีนัก ตั้งแต่สุดเขตพูดเรื่องอ้น และเริ่มขยับตัว “ลูกขอตัว”
“เดี๋ยวสิ เพ็ญพักตร์อย่าเพิ่งไปฟังหลานมันก่อน....อ้น”
เวลาเดียวกันนั้นที่หน้าห้องสุดสวย เห็นว่าจิ๋วกำลังเล่าให้สุดสวยฟังอยู่ สุดสวยฟังด้วยท่าทางสนใจมาก
ส่วนในห้องสุดเขตยังคุยอยู่ที่เรื่องอ้น
“ว่าไงเจ้าอ้น ปู่ถามไม่ตอบอึกอักอยู่ทำไม ลูกผู้ชายนะ”
เพ็ญพักตร์ได้ยินคำว่าลูกผู้ชาก็หัวเราะเยาะออกมาเบาๆ
สุดเขตได้ยินหันมาจ้องหน้าเพ็ญพักตร์ จนเพ็ญพักตร์หลบตาวูบ คุณตาหันมาจ้องอ้น
“ป้าเพ็ญไล่ผมว่าผมว่าเป็น...”
ระหว่างที่อ้นกำลังจะบอกเรื่องถูกเพ็ญพักตร์ด่าว่า สุดสวยก็เดินเข้ามาอย่างเร็ว
“คุณพ่อให้เงินดอกโศกไปตั้งเจ็ดแสนหรือคะ ทำไมล่ะ ทำไมคุณพ่อต้องให้เงินมากมายซะขนาดนั้นคะ...ทำไมคะ คุณพ่อ”
สุดเขตต้องหันปลอบประโลมสุดสวย โอบบ่าไว้แล้วหันหลังให้ทุกคน พูดจาเบาๆ ท่าทีนุ่มนวล
สุดสวยยังฮึดฮัด “ไม่เอาลูกไม่ฟัง คุณพ่อรักมันใช่มั้ย รักมันมากใช่มั้ย” พูดน้ำเสียงอยู่ในลำคอ “ลูกไม่ยอม”
“สุดสวย...ไม่เป็นไรนะลูก พ่อพาไปพัก ไป...ไปกับพ่อ”
“คุณพ่อ” คราวนี้สุดสวยตะเบ็งเสียงดังขึ้นมาทันที “ให้เงินมันไปเจ็ดแสนใช่มั้ย....ให้ทำไมคะ มันเป็นใครอยู่ๆ มาเอาเงินคุณพ่อตั้งเจ็ดแสน” จังหวะนั้นหันขวับมาเห็นดอกโศก “แก....แกตัวปอกลอก ปอกลอก....ปอกลอก”
“อุ๊ โอ๋ อ้น อภิรมย์ฤดี ออกไปข้างนอกได้แล้ว” สุดเขตบอกหลานๆ
ดอกโศกรีบลุก อ้นรีบลุก โอ๋ตามไป อุ๊ยังรีๆ รอๆ
“อุ๊...ออกไปก่อนนะลูก ตามีเรื่องคุยกับแม่กับอาๆ”
“ค่ะ” อุ๊ถึงยอมออกไป
“ที่ให้เด็กๆ ออกไปเพราะอยากจะพูดกับพวกเธอแค่สี่คน ฟังแล้วเป็นหน้าที่ของพวกเธอที่จะพูดต่อกับลูกของเธอ”
สุดเขตกวาดสายตามองหน้าลูกๆ ทุกคน ก่อนจะตัดสินใจบอกสิ่งที่ลูกทั้ง 4 คนอยากรู้นัก
“อภิรมย์ฤดี...เพื่อนของเขาเดือดร้อนมาก พ่อช่วยไปหนึ่งแสนสองหมื่น ไม่ใช่เจ็ดแสน”
ทุกคนอึ้งไปหมด
“แสนสองไม่มากหรอกที่จะให้หลานที่พ่อแทบจะไม่ได้ให้อะไรเขาเลยตั้งแต่เขาเกิดมา...หวังว่าทุกคนคงทำเรื่องให้จบ อย่าให้พี่น้องต้องแตกกันเพราะเงินแค่นี้”
ทุกคนอึ้งอีก สุดเขตพูดจบก็หันมาที่สุดสวย
“สุดสวยเราไปเดินเล่นกันนะลูก
“แต่ทำไมคุณพ่อต้องให้เงินมันด้วย พี่เพ็ญเขาก็ไม่อยาก พี่พฤกษ์เค้าก็ไม่อยาก พี่พจน์ก็ไม่อยาก...” สุดสวยถามด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ ลงแล้ว
“ไม่ใช่....ผมไม่” พจน์รีบปฏิเสธทันที
สุดเขตรีบโบกมือ ไม่อยากรับรู้อีก “พ่อว่าแค่นี้พอแล้ว” โอบตัวสุดสวย “เดี๋ยวพ่อจะพูดให้ลูกฟังนะ ไป...เราไปด้วยกันนะคะ”
“คุณพ่อรักลูกมั้ยคะ”
สุดเขตแสดงกิริยารักใคร่สุดสวย แล้วพากันออกไป
เพ็ญพักตร์ พฤกษ์ พจน์ นั่งอึ้งกันไปหมด
ในที่สุดเพ็ญพักตร์ก็ลุกขึ้น “ฉันทายว่าอีนังเด็กคนนี้ต่อไปจะทำให้เรายุ่งยากเหมือนอย่างที่แม่ของมันทำให้คุณแม่ของเราตาย
สองคนนิ่งงันไป แต่มองหน้าเพ็ญพักตร์ สายตาเป็นคำถาม
“คอยดูกันไปไม่ผิดแม่มันหรอก เชื่อฉัน”
ลึกลงไปในสีหน้าและนัยน์ตาของเพ็ญพักตร์ เห็นความร้ายกาจฉายโชนอย่างชัดเจน
อ่านต่อหน้า 2
ดอกโศก ตอนที่ 6 (ต่อ)
ปรียากมลเอ่ยขึ้นในสิ่งที่อัศนัยคาดไม่ถึง ในอีกวันต่อมา ภายในห้องรับแขกบ้านอัศนัย
“ฉันมีเงินมากนะอัศนัย มากกว่าที่เธอจะคิดทีเดียว”
“โอเค....มีมาก....เกินที่ผมจะคิด แล้วไงล่ะ”
“ฉันจริงจังนะ....ฟัง” ปรียากมลจับหน้าของอัศนัยให้หันมาทางตัวเอง “ฉันไม่อยากทิ้งเงินไว้ในแบงค์รับแต่ดอกเบี้ยที่น้อยนิดเดียว ฉันอยากทำให้เงินมันต่อเงิน”
“คุณจะทำอะไร”
“นั่นมันเรื่องของคุณ”
“อะไรนะ”
“เป็นเรื่องของคุณ”
“อย่าพูดเล่นน่าปรียากมล”
“ฉันจะลงทุนกับคุณ คุณมีหน้าที่ทำให้เงินของฉันงอกได้” ฟังดูเหมือนปรียากออกคำสั่ง
“ผมปฏิเสธ”
“ทำไม”
“ผมไม่อยากรับผิดชอบเงินใคร”
“คุณไม่ต้องรับผิดชอบ เอาเงินฉันไปลงทุนได้คือได้ เสียคือเสีย fair?”
“แฟร์ แต่ผมไม่ทำ”
ปรียากมลหยิบโทรศัพท์มือถือมากด “ไม่เป็นไร คุณไม่ทำฉันไม่ง้อ” พูดโทรศัพท์กับปลายสาย “เชิญค่ะ”
ตระกูลเดินเข้ามา มือหยิบมือถือใส่กระเป๋า ยิ้มแย้มแจ่มใส
อัศนัยเข้าใจกระจ่างได้ทันที “เป็นไปไม่ได้ ปรียากมลมันไม่ง่ายอย่างที่คุณคิด”
“ทำไมจะไม่ง่ายคุณอัศนัย เพราะบัดนี้เรามีหุ้นส่วนใหม่ที่ชื่อปรียากมล เรียบร้อยแล้วสำหรับบริษัทที่จะเปิดใหม่” ตระกูลบอก
เรื่องไม่จบ เพราะในห้องชั้นบนของบ้านตอนเย็นวันนั้น อัศนัยำลังยืนหงุดหงิดมองไปนอกหน้าต่าง ปรียากมลเข้ากอดจากด้านหลัง
อัศนัยจับมือนั้นออก แล้วปล่อยลงแรงๆ “อย่า”
ปรียากมลฉุนนัก ขัดเคืองใจอีกด้วย “อัศนัย...คุณเป็นอะไร”
“คุณกลับไปก่อนเถอะปรียากมล”
“ไม่”
อัศนัยตวาดอย่างแรง “ผมบอกให้คุณกลับ”
“ไม่กลับ” ปรียากมลตวาด...แรงเหมือนกัน
“ถ้าอย่างนั้นผมไปเอง” อัศนัยสุดทนจะออกจากห้องแล้ว
ปรียากมลโลดแล่น ดึงประตูปิด กดล็อคทันควัน แล้วขวางอยู่อย่างนั้น
“ข้ามศพฉันไปก่อน”
“ปรียากมล ขอโทษนะ ผมขออยู่คนเดียว” อัศนัยบอกเสียงนุ่ม
ครู่ต่อมาอัศนัยเดินหนีลงมาที่ห้องด้านล่างอย่างรวดเร็ว ปรียากมลตามไม่ลดละ
อัศนัยหันไปตวาด “พูดไม่รู้เรื่องหรือไง ผมอยากอยู่คนเดียว”
“โอเค...ฉันจะกลับก็ได้ แต่บอกไว้ก่อนนะคุณเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอก ฉันเป็นหุ้นส่วนของบริษัทของคุณเรียบร้อยแล้ว”
พูดจบปรียากมลเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ดอกโศกอยู่ในห้องนอน ส่วนอัศนัยอยู่ที่สนามหน้าบ้าน ในเวลาเดียวกัน เสียงโทรศัพท์มือถือดัง ดอกโศกรีบกดรับทันทีเพราะคอยอยู่แล้ว
“ดอกโศก”
“คะ”
“ยังไม่นอนหรือ”
“คอยโทรศัพท์คุณนัยค่ะ คุณนัยบอกว่าจะโทร.ทุ่มหรือสองทุ่ม”
อัศนัยมองนาฬิกา บอกเวลา 3 ทุ่ม
“มีเรื่องวุ่นวายนิดหน่อย...คุณนัยขอโทษนะ”
“ค่ะ”
“ดอกโศก”
“คะ”
“แต่คุณนัยนึกถึงดอกโศกตลอดเวลานะ เป็นห่วงว่า...ว่ามีใครว่าอะไรหรือเปล่า”
ดอกโศกนิ่ง
“ดอกโศก ทำไมเงียบไป มีอะไรหรือเปล่า” อัศนัยสงสัย
“เมื่อวานคุณนัยไม่โทร.” ตัดสินใจถามขึ้น
“เมื่อวานมีอะไร...มีอะไรหรือดอกโศก”
“เมื่อวาน....” น้ำเสียงดอกโศกลังเล จะพูดหรือไม่พูดดี
อัศนัยรู้ได้ทันทีว่ามีเรื่อง “ดอกโศก...ร้องไห้หรือเปล่านั่น”
“ไม่ค่ะ...ไม่ได้ร้อง”
“เล่าให้คุณนัยฟังเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น ถ้าให้คุณนัยเดาเกี่ยวกับเงินที่คุณตาจ่ายให้ใช่มั้ย มีใครรู้เรื่องนี้แล้วมาว่าดอกโศกหรือ”
“ค่ะ” เสียงดอกโศกสั่นเครือ ก้อนสะอื้นพุ่งขึ้นมาเป็นริ้วๆ
“คุณนัยไปหาเดี๋ยวนี้ได้มั้ย”
“ไม่ค่ะ คุณนัยอย่ามาเดี๋ยวจะเป็นเรื่องอีก”
“ดอกโศก....อดทนนะ ใครว่าอะไรไม่ต้องเก็บมาคิดมาก คุณตารู้ทุกอย่างคุณตาต้องเป็นคนบอกให้ทุกคนเข้าใจ”
“คุณตาบอกแล้วค่ะ”
อัศนัยสีหน้าโล่งใจนิดหน่อย “งั้นเหรอ...ดีแล้ว ดอกโศก...เชื่อคุณนัย ดอกโศกมีหน้าที่อย่างเดียวเรียนหนังสือ...ตั้งใจเรียนอย่างเดียว ใครว่าอะไรไม่ต้องสนใจ..ทำได้มั้ย”
“คุณนัยคิดว่าดอกโศกทำได้มั้ยคะ”
“ทำได้....ดอกโศกคนที่คุณนัยเห็นมาตั้งแต่เด็กต้องทำได้ คุณนัยเชื่อใจดอกโศกคนนั้น”
ดอกโศกสะท้อนใจขึ้นมา “คุณนัยเชื่อใจดอกโศกหรือคะ ทำไมดอกโศกไม่เชื่อใจตัวเองดอกโศกไม่อยากอยู่บ้านนี้เลย” พูดถึงตอนนี้ ดอกโศกสุดกลั้นสะอื้นออกมาแรงๆ
“ดอกโศก...ดอกโศกจ๋า คุณนัยขอโทษนะ ถ้าคุณนัยเอาเงินไปให้ทันดอกโศกก็อยู่บ้านยายไม่ต้องมาอยู่ที่นี่”
อัศนัยโทษเป็นความผิดตัวเองเสมอ ดอกโศกนิ่งเงียบ
“ดอกโศก....คุณนัยพบคุณนายประดับ ท่านบ่นว่าไม่ได้พบดอกโศกนานแล้ว ท่านคิดถึง”
“ค่ะ...ดอกโศกไม่ได้ไปหาคุณนายเลย”
“คุณนัยไปรับเอามั้ยพรุ่งนี้ แล้วไปหาคุณนาย...ไปรับที่โรงเรียนนะ”
“ไม่ค่ะ”
“ไม่ต้องค่ะ” อัศนัยพูดออกมาพร้อมดอกโศก แล้วหัวเราะเบาๆ “คุณนัยเคยเดาผิดมั้ย”
ดอกโศกหัวเราะเบาๆ “ไม่เคยค่ะ”
“ดีแล้ว คนเราต้องคิดให้ดีก่อนจะรับความช่วยเหลือจากใคร ไม่ใช่ทุกคนที่จะหวังดี”
“คุณนัยด้วย?” ดอกโศกท้วง
“ยกเว้นคุณนัย ดอกโศกไม่ต้องสงสัยอะไรเลยนะ”
“ดอกโศกไม่เคยสงสัยอะไรคุณนัยเลยค่ะ นิดเดียวก็ไม่เคย”
“ดีมาก ไปนอนได้แล้ว เด็กดี...” อัศนัยคิดอยู่อึดใจ “ของคุณนัย”
ดอกโศกกดโทรศัพท์ปิด สีหน้าละมุน เห็นความความสุขสีจางๆ บนใบหน้าสวยเศร้านั้น
อัศนัยกดโทรศัพท์ สีหน้าลึกซึ้งมาก
ดอกโศกหันกลับมา เห็นจานขนมและนม 1 แก้ววางอยู่ แล้วเห็นหลังเฉลยไวๆ เดินออกประตูไป พร้อมกับปิดตามหลัง
ทางด้านอัศนัยหันมา เห็นหมื่นยืนถือถาดใส่กาแฟรออยู่
“ใครสั่ง” อัศนัยเดินกลับเข้าตึก
“หมื่นสั่ง”
“เชื่อได้นักนี่แก”
“แม่สั่งหมื่น หมื่นเลยไปสั่งกาแฟ” หมื่นยังทะเล้นต่อ
“วันหนึ่งแกจงสั่งตัวเองให้ได้ ไม่มีแม่แล้วทำไงวะ” อัศนัยว่า
“อ๋อ แม่หนังเหนียวไม่ตายง่ายหรอกคุณนัย ว่าแต่คุณนัยน่ะ โทร.ถึงใครคนหนึ่งเหรอ พูดจบแล้วหน้ายังคิดถึงเค้าอยู่เลย” หมื่นแซวเข้าให้
“ใช่ ฉันยังคิดถึงเขาอยู่เพราะเขาเป็นคนที่น่าคิดถึง” เดินออกไปทันที
“จริงเหรอครับคุณนัย คุณนัย..จุด..จุด...จุด แล้วเหรอครับ” หมื่นเดินตามไปซักต่อ “ใครน่ะครับ”
“ไอ้บ้าอะไรของแกวะ จุด จุด จุด...”
อัศนัยบ่น เป็นเวลาเดียวกับที่ ดอกโศกดื่มนมของเฉลย ใจคิดถึงอัศนัย นัยน์ตาลึกซึ้ง
เช้าวันหยุดวันหนึ่ง สุดสวยกำลังพูดเบาๆ อ้อนสุดเขตอยู่ในห้อง จังหวะหนึ่งมองไปเห็นดอกโศก
“มาทำไม” สุดสวยปราดออกไปผลัก “ไปให้พ้นไม่ให้เข้า”
สุดเขตร้องห้าม รั้งตัวไว้ “สุดสวย...อย่าลูก”
“ไม่...ไม่ คุณพ่ออย่าให้มันเข้ามา มันจะมาแย่งคุณพ่อไปจากลูก”
“สุดสวย ไม่มีใครแย่งพ่อไปจากลูกได้ นั่งตรงนี้ก่อนนะลูกคนดี เชื่อพ่อนะลูก เอ้า ดูหนังสือนี่รูปภาพเยอะเลย...ผู้หญิงใส่เสื้อผ้าสวยนะคะ ลูกชอบตัวไหนพ่อจะพาไปซื้อ”
“จริงนะคะคุณพ่อ ซื้อหลายๆ ตัวนะคะ”
“จริงค่ะ...” สุดเขตเดินมาหาดอกโศก “มีอะไร”
“หนูขออนุญาตไปหาคุณนายประดับค่ะ”
“ไม่ไปโรงเรียนเหรอ”
“วันหยุดค่ะ”
สุดเขตพยักหน้าให้ “ไปเถอะ บอกสมให้ไปส่งเจ้าแล้วกัน”
แต่ดอกโศกมารถแท็กซี่ และกำลังลงรถ พอจะเดินเข้าบ้านคุณนายประดับ ก็เห็นอัศนัยเดินมายิ้มแย้มเบิกบานใจเข้ามาเหมือนกัน
“มองอะไร คุณนัยคิดถึงคุณนายประดับเหมือนกันนี่”
ดอกโศกค้อนนิดๆ คิดในใจคุณนัยรู้ทันไปเสียทุกอย่าง
อัศนัยหัวเราะชอบใจ “จะไปรับก็ไม่เอาเด็กอะไรดื้อจริงๆ คุณนายทราบหรือยังว่าดอกโศกจะมาหา”
“เขาโทรศัพท์มาบอกแล้วว่าจะมาช่วยฉันปลูกต้นไม้” คุณนายเดินนำลงสวนไป สองคนก้าวเดินตามไป
คุณนายประดับ เดินนำเข้ามาในสวน คนสวนผู้ชายทำแปลงไว้แล้ว กำลังเกลี่ยดิน
“วันนี้จะเอามะลิลงแปลง ดอกโศกเขาชอบดอกมะลิ” คุณนายบอก
“คุณนายครับต้นดอกโศกมีมั้ยครับ”
ดอกโศกมองหน้าอัศนัยทันที อัศนัยมองตาม
ที่บริเวณต้นอโศกใหญ่ ซึ่งมีทั้งอโศกสปัน อโศกระย้า อโศกน้ำ ในบ้านคุณนายประดับ
ดอกโศก กับอัศนัยยืนใต้ต้นไม้ แหงนมอง อัศนัยถามขึ้น
“นี่หรือต้นอโศก...ไม่เคยเห็นเลย”
“ต้นนี้อโศกสปัน ค่ะ” ดอกโศกบอก
“นั่นดอกใช่มั้ย”
“ค่ะ เวลาบานเป็นพวง ห้อยระย้า สวยนะคะ”
อัศนัยามองหน้าดอกโศกที่แหงนเงยมองดอกไม้ เห็นเสี้ยวหน้าอ่อนละมุนละไม
ดอกโศกรู้สึกตัวว่าถูกมอง หันมา ทั้งสองสบสายตากันจังๆ นิ่งกันอยู่สักครู่
“สวย....” อัศนัยพูดเสียงบางเบาที่สุด
“เวลาบานเป็นพวงยิ่งสวยค่ะ สีสวยนะคะคุณนัย หอมด้วย”
“เขาอยู่สูงอย่างนั้นได้กลิ่นหรือ”
“กลิ่นลอยมาตามลมค่ะ” ดอกโศกบอก
อัศนัยทำท่าสูดกลิ่นนิดๆ “จริงด้วย...นิดเดียว”
“คุณนัยชอบดอกไม้กลิ่นแรงๆ เหรอคะ”
อัศนัยชะงักไปชั่วครู่ นึกสงสัย ไม่รู้ว่าดอกโศกพูดประชดหรือเปล่า “อะไรนะ”
ดอกโศกชำเลืองค้อนน่ารักอีกแล้ว “ไม่เชื่อหรอกว่าไม่ได้ยิน”
อัศนัยหัวเราะเต็มเสียง อ้าปากกว้าง...ดอกโศกก็พลอยหัวเราะด้วย
อัศนัยหยุด แล้วมองกิริยาน่ารักนั้น “ดอกสวยแต่ทำไมชื่อโศก”
“เขาไม่ได้ชื่อโศก เขาชื่ออโศกค่ะ ที่แปลว่าไม่โศก” ดอกโศกท้วง
อัศนัยแตะเชยคางเบาๆ “แต่ดอกโศกคนนี้ถึงจะชื่อโศก แต่ก็อย่าโศกเศร้าอีกเลยนะ...เพี้ยง”
ดอกโศกซาบซึ้งนัก ไหว้นุ่มนวล แล้วก้มหน้านิ่ง น้ำตาคลอเต็มสองตา
“รู้มั้ยว่าคุณนัยชอบดอกโศกตรงไหน” เอื้อมเอามือปาดน้ำตาให้
“คะ”
“ตั้งแต่ดอกโศกเป็นเด็ก คุณนัยเห็นว่าเป็นเด็กอดทน สู้ชีวิตขยันไม่ยอมแพ้ แล้วก็เป็นเด็กที่ซื่อสัตย์
ดอกโศกจ้องมอง
“ยังจำได้ว่า คุณนัยสงสารจะซื้อหนังสือพิมพ์ที่เหลือ แต่ดอกโศกขายให้เล่มเดียว บอกว่าไม่มีใครซื้อหนังสือพิมพ์หลายเล่ม สุรุ่ยสุร่าย”
ดอกโศก หัวเราะขำตัวเอง “เหรอคะ”
“ถูกเด็กสอนวันนั้นจ๋อยไปเลย”
ดอกโศกหัวเราะชอบใจ
อัศนัยตบหัว จับโยกเบาๆ “ถึงจะมีอะไรมาทำให้โศก...ก็สู้นะ”
ดอกโศกรับคำหนักแน่น “ค่ะ....สู้”
“เมื่อวานเกิดอะไรขึ้นเหรอ”
ดอกโศกเล่าเหตุการณ์เรื่องกรณีเงินเจ็ดแสน เป็นภาพคร่าวๆ พอให้รู้เรื่องว่า ดอกโศกโดนอาละวาดยังไง
ต้นมะลิที่ถูกปลูกลงแปลงเรียบร้อยแล้ว ดอกบานสะพรั่ง ดอกโศกกับอัศนัยเดินคุยกันมาแต่ไกล
“ตกลงคุณตาบอกหรือเปล่าว่าที่จริงแสนเดียว” อัศนัยซักต่อ
“ไม่ทราบค่ะ คุณตาให้พวกเด็กๆ ออกมาก่อน” ดอกโศกว่า เท่าที่ตนเห็น
“มีใครพูดอะไรอีกมั้ย”
“ไม่มีค่ะ”
“งั้นคุณตาคงบอกแล้ว” อัศนัยหยุด จับไหล่ดอกโศกทั้งสองข้าง มองตา “อย่าท้อแท้นะ”
“ไม่ค่ะ...ไม่ท้อแท้” ดอกโศกรับคำ
“ไม่ต้องสนใจอะไร เรียนหนังสืออย่างเดียว”
“ค่ะ เรียนหนังสือ กับ....”
“อะไร?” อัศนัยฉงน ต้องซัก
“กับคอยรับโทรศัพท์ตอนสองทุ่ม”
อัศนัยหัวเราะเสียงดัง....โยกหัวดอกโศกไปมา
“ดีมาก...คนเก่งของคุณนัย”
อ่านต่อหน้า 3
ดอกโศก ตอนที่ 6 (ต่อ)
ทั้งสามคนอยู่ในสวนบริเวณหน้าบ้านคุณนาย อัศนัยกับดอกโศกเดินตาม และตั้งใจฟังที่คุณนายประดับ ปิยมิตร หนึ่งในไม่กี่คนในชีวิตดอกโศก เล่าเรื่องพรรณไม้
“อโศกมีหลายพันธุ์ อโศกสบัน อโศกระย้า อโศกพวง เขาสวยตรงดอกสีสด ใบเขาก็สวยเขียวเข้มเป็นมัน” คุณนายอธิบาย
“แต่คงมีคนเข้าใจผิดเหมือนผมว่าชื่อดอกโศก” อัศนัยว่า
“ชื่อเขาเป็นมงคลแต่มีค่าว่าโศกคนเลยเข้าใจผิด และก็มีต้นอโศกอินเดียที่ปลูกเป็นแนวตามถนน” คุณนายประดับบอก
ค่ำวันนั้นปรียากมลนั่งดื่มเหล้าอยู่กับตระกูลในคลับหรูแห่งหนึ่ง มีผู้คนบางตา ทั้งสองนั่งห่างๆ ชนแก้วกัน จังหวะต่อมา ปรียากมล ลุกขึ้นไปเต้นรำกับตระกูล เป็นเพลงเร่งเร้าหัวใจ จังหวะเร็วๆ สนุกๆ
ปรียากมลจัดเต็มวาดลวดลายพลิ้วไหว สวยงามราวกับนักเต้นเท้าไฟระดับมืออาชีพ
อีกจังหวะทั้งคู่ดื่มเหล้า เขยิบเข้ามาใกล้กัน เมามายกันพอประมาณ แต่ยังมีแรงผลัดกันป้อนเหล้าให้กันบ้าง
ถึงจังหวะเพลงสโลว์ สองคนเต้นรำคู่กัน ตระกูลพยายามดึงรั้งร่างปรียากมลเข้ามาหาตัว ปรียากมลทำไมจะไม่รู้ เธอยอม...พออึดใจ ให้ยาหอมตระกูล แล้วดึงตัวเองออกมา
ตระกูลพยายามดึงเข้าไปอีก แต่ปรียากมลยันอกไว้ พลางส่ายหน้า
ปรียากมลกระแทกตัวนั่งลง ดื่มเหล้าต่อ ตระกูลดึงแก้วเหล้าออก แล้วโน้มตัวเข้าไปหา
ปรียากมลชูเช็คเงินสดกั้นไว้ “เดี๋ยว”
“อะไรครับ”
“รางวัลที่คุณยอมขายหุ้นให้ฉัน”
ตระกูลหยิบเช็คมา แล้วจะเข้าไปหาอีก
ปรียากมลผุดลุกขึ้น “good night”
“คุณจะไปไหน”
ปรียากมลก้มลงกระซิบใกล้ๆ หู อย่างจงใจ “ฉันจะไปหาอัศนัย” แล้วเดินไปในทันที
ตระกูลอึ้ง
ภายในห้องทำงานอัศนัยที่บ้าน ค่ำคืนเดียวกันนั้น
อัศนัยดูจอคอมพ์ตรงหน้า มีรูปดอกอโศกนานาพันธุ์ เสียงคุณนายประดับพูดว่าดอกอโศกอะไรบ้างในฉากที่แล้ว
จังหวะหนึ่งนั้น สีหน้าอัศนัย คิดถึงดอกโศกที่พูดว่า “เขาไม่ชื่อโศกค่ะ เขาชื่ออโศกที่แปลว่าไม่โศก”
ในภาพความคิดของอัศนัย ใบหน้าดอกโศกยิ้ม หัวเราะ อยู่ซ้อนเข้ามา
อัศนัยหันมาวาดภาพดอกโศก ยิ้มแย้มเต็มที่ อัศนัยวาดไปอย่างรื่นรมย์ เติมตรงโน้น แต่งตรงนี้
“อัศนัย” เสียงคุ้นหูดังแทรกขึ้นมา
อัศนัยหยิบผ้าคลุมภาพดอกโศกอย่างรวดเร็ว หันกลับไปต้นเสียง ปรียากมล เดินเร็วๆ เข้ากอดอัศนัยเต็มอ้อมแขน เงยหน้าแนบหน้าแล้วจูบนิ่งเนิ่นนาน
สองคนนั่งลงอย่างแรงบนเก้าอี้
อัศนัยถอนหายใจแรงๆ “เฮ้อ”
“เป็นอะไร”
“เหนื่อย....คุณไม่หายใจมั่งเลย”
ปรียากมลหัวเราะเสียงดังมาก “จะบ้า ไม่หายใจก็ตายน่ะสิ”
“ดึกป่านนี้มาทำไม”
“ก็เพิ่งกลับ”
“กลับจากไหน”
“เลี้ยงฉลอง”
“ทำไมไม่กลับบ้าน”
“คิดถึงคุณ” ปรียากมลปากว่ามือถึง โผเข้ากอดทันที “คุณคิดถึงฉันมั้ยอัศนัย”
“ก็....คิดถึงมั้ง”
“อย่าพูดเล่น ฉันจริงจังนะ”
“จริงจังอะไร เมาเห็นๆ” อัศนัยสัพยอก
“ไม่เมาเหล้าแต่ฉันเมารัก...” ปรียากมลดึงแขนอัศนัย “ทำไมคุณทำให้ฉันเป็นบ้าอยู่คนเดียวแบบนี้”
“ปรียากมล....ผมต้องใช้เวลา”
“ใช้เวลา...ใช้เวลาทำอะไร”
“ใช้เวลาที่ผมจะรักคุณมากพอที่จะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต”
“ถ้าตรงนั้นเป็นร้อย คุณรักฉันแค่ไหนแล้วตอนนี้”
อัศนัยนิ่ง
“มากกว่าห้าสิบ ไม่ถึงห้าสิบ หรือเท่าไหร่ บอกมาสิ” ปรียากมลเสียงดังขึ้น
อัศนัยกอด...พร้อมกับกดหัวให้แนบไหล่ “มากกว่าห้าสิบ”
ปรียากมลนิ่งไปนิด เหมือนจะปรับอารมณ์ว่าต้องใจเย็น หันมากอดคอซุกไซ้ จัดระเบียบอารมณ์ตัวเองจนปกติ “ฉันรักคุณเต็มร้อย กว่าคุณจะรักฉันได้เต็มร้อยเท่ากัน ฉันคงไปสองร้อยแล้ว เมื่อไหร่คุณจะตามทัน”
อัศนัยกอดโยกตัวเบาๆ สีหน้าอ่อนโยนลง
เวลาเดียวกันนั้น ในแสงมืดสลัวของห้องนอนเพ็ญพักตร์ ตระกูลพลิกตัวออกจากร่างของเพ็ญพักตร์ นอนหงายหายใจแรงๆ สักครู่ พลิกตัวหันหลังให้เพ็ญพักตร์พลิกตัวกอด แนบหน้ากับหลังตระกูล สีหน้าสุขสมใจ
“คุณทำยังไงคุณตระกูลเขาถึงยอมขายหุ้นให้” อัศนัยพูดเข้าเรื่อง
“ไม่ได้ทำอะไรเลยคุยกันแบบนักธุรกิจ เค้าคงต้องการเงินสดมั้ง”
“ไม่จริงหรอกเขาไม่สนใจเงินสด เขาพยายามจะซื้อหุ้นจากผมด้วยซ้ำคุณต้องทำ ‘อะไรซักอย่าง’ เขาถึงขายให้คุณ” อัศนัยพูดอย่างรู้จักตระกูล และปรียากมลดี
“คุณหึงเหรอ”
“ปรียากมล” อัศนัยหัวเราะเบาๆ “อย่างนี้เขาเรียกว่าล้ำหน้า ผมยังไม่ได้พูดเลยว่า ‘อะไรซักอย่าง’ น่ะ มันอะไร”
“แต่เสียงคุณบอกว่ามันคืออะไร ทำไม ถ้าฉันทำ ‘อะไร’ คุณจะว่ายังไง”
“จะว่า... ว่า ‘อย่าเล่นกับไฟ’!“
“ทำไม”
“ภรรยาเขาไม่ใช่ธรรมดา”
ปรียากมลยิ้มในหน้า “เห็นแล้วว่าไม่ธรรมดา แต่ว่าพูดประเด็นหึงดีกว่า คุณหึงมั้ย”
“ก็....หึงนิดหน่อย”
“จริงเหรอ....ดีใจจัง”
อัศนัยพูดเตือนน้ำเสียงจริงจัง “พอนะปรียากมล คุณได้สิ่งที่ต้องการแล้ว อย่าก้าวต่อไปมันจะเป็นเรื่องยุ่งยากจนคุณจัดการกับมันไม่ได้เลยล่ะ”
“โอเคฉันเชื่อคุณ อย่าให้ฉันเจอเมียเขาอีกแล้วกัน เพราะเธอน่ะเหมือนไม้ขีด ไอ้ฉันก็เหมือนน้ำมัน หุ้นส่วนใหญ่ของคุณอาจจะไหม้ไปทั้งตัวก็ได้”
หม่อนเปิดผ้าคลุมเตียงนอนในห้องนอนแขก ปรียากมลอยู่ในชุดนอนเดินออกมาจากห้องน้ำ
“คุณอัศนัยล่ะ”
“เข้าห้องไม่ออกมาอีกแล้วค่ะ” หม่อนบอกเสียงเรียบ
“จริงหรอจ๊ะ ป้าหม่อน” กดโทรศัพท์หา “อัศนัยมาหาฉันซักนาทีหนึ่งนะ” กดปิดทันที
ป้าหม่อนหน้ามุ่ยๆ ไม่ได้โกรธแค้นแบบจริงจังนักหนา เพียงแต่ไม่ชอบแน่นอน แต่รู้สถานะตัวเองดี
ครู่เดียวเท่านั้นอัศนัยเคาะประตูเข้ามา ถามขึ้น
“มีอะไรเหรอ”
ปรียากมลขึ้นเตียงไปแล้ว ยื่นมือหาออกมาหา “แค่จะให้ good night kiss”
“โธ่เอ๋ย...”
“เล็กๆ...” ปรียากมลต่อให้
อัศนัยหัวเราะเบาๆ ก้มลงจุ๊บเล็กๆ “good night”
“good night” ปรียากมลจงใจมองข้ามบ่าอัศนัย ไปสบตาหม่อนเย้ยในที หม่อนออกไปทันที
“ฉันขออยู่ที่นี่ซักอาทิตย์หนึ่งนะ อัศนัย”
“ได้...ไม่มีปัญหา”
“Thanks……darling”
ในห้องดอกโศก เช้าวันหนึ่ง ดอกโศกอยู่ชุดนักเรียน เตรียมหยิบข้าวของ เฉลยเปิดประตูเข้ามา หน้ายังเฉย แต่เสียงธรรมดา “รถคอยแล้วคุณอภิรมย์”
พูดจบก็ออกไป แล้วปิดประตู
ดอกโศกวิ่งจะออก มีโทรศัพท์ดัง ดอกโศกเปิดตู้หยิบโทรศัพท์ที่ซุกๆ ออกมา
“คุณนัย....บ้านคุณนาย....เย็นนี้หรือคะ แต่ดอกโศกไปได้แป๊บเดียวนะคะ....ค่ะ”
ดอกโศกซ่อนซุกมือถือไว้อย่างเดิมแล้วออกไป ปิดประตู
วันเดียวกันในซอกตึกแห่งหนึ่ง ป้อมโดนเด็กแว้น 2 คนรุมซ้อม ป้อมสู้ไม่ได้หนีล้มลุกคลุกคลาน
เลิกเรียนวันนั้นดอกโศกรีบๆ เดิน จนเจนนิเฟอร์ผิดสังเกต
“อภิรมย์ รีบไปไหน”
“ไปหาคุณนายประดับ ไม่ได้ไปตั้งนานแล้วคุณนายบ่นถึง”
“กลับบ้านเย็นคุณตาไม่ว่าเหรอ” เจนนิเฟอร์สงสัย
“เดี๋ยวบอกอุ๊ให้ไปเรียนคุณตา” ดอกโศกว่า
“โธ่เอ้ย เธอยังหวังพึ่งยัยคนนี้อยู่อีกเหรอ”
“แค่เรียนคุณตาเท่านั้น”
ระหว่างนั้นอุ๊เดินมากับเพื่อนพอดี
“อุ๊....ฉันจะไปหาคุณนายประดับที่อยู่แถวบ้านเก่า เธอช่วยเรียนคุณตาให้หน่อย”
“ได้...” อุ๊ว่า
“ขอบใจนะอุ๊” ดอกโศกรีบเดินไป
“ฉันจะเรียนคุณตาว่าเธอจะไปหาแฟนเด็กแว๊นขี้ยาที่ถูกตำรวจจับ แล้วคุณตาต้องจ่ายเงินช่วยไปเป็นแสนเอาออกจากคุกน่ะ”
เสียงอุ๊ที่ดังไล่หลังมาก้องกังวาน ดอกโศกหยุดกึก
เด็กนักเรียนที่อยู่แถวนั้นหยุดฟังไปตามๆ กัน มีซุบซิบกันด้วย
ในบรรยากาศเงียบกริบนั้น...ดอกโศกหันกลับมาช้าๆ จ้องหน้ากับอุ๊นิ่งๆ อุ๊ จ้องหน้าเฉยๆ แต่สายตาหมิ่นหยามลึกๆ อยู่ในที
“เพ็ญตระการ เธอคนสิสัยไม่ดี พูดทำไมมีประโยชน์อะไร” เจนนิเฟอร์ออกโรงแทน
“พูดความจริง มีอะไรป๊ะ เจนนิเฟอร์แม่หนังหน้าไฟ”
“แปลว่าอะไร” เพื่อนอุ๊กระซิบถาม
“เห็นคนแก่ที่บ้านเขาชอบพูด แปลว่าหยั่งเงี๊ยะ ออกหน้ารับแทนคนแบบไม่เข้าท่า” อุ๊ตอบเพื่อนแต่เสียงดัง ตั้งใจแดกดันเจนนิเฟอร์นั่นแหละ
“อย่างเธอผู้ใหญ่บ้านฉันเขาเรียกปากไม่มีหูรูด” เจนนิเฟอร์ว่า
“อีกแระ แปลว่าอะไรวะ” เพื่อนอุ๊ถามอีก
“แปลว่าคนพูดไม่มีความคิด” เจนนิเฟอร์แปลให้
“ใช่...ชั้นพูดอะไรมีมีความคิด คนมีเพื่อนเป็นเด็กแว๊นติดยาขี้คุกมีความคิดมั้ยล่ะ”
ดอกโศกจ้องอุ๊นิ่งๆ แล้วหันหลังกลับเดินห่างออกมา
“ปากไม่ดี แล้วยังจิตใจไม่ดี ใจดำเหมือนใคฮะ?” เจนนิเฟอร์ตะโกนใส่หน้า แล้วหันกลับตามดอกโศกไป
“ต๊าย ยัยเจนมันออกรับแทนทุกอย่าง” เพื่อนอุ๊ว่า
อุ๊จ้องตามไปอย่างเคียดแค้น
“หมายความว่ายังไงใจดำเหมือนใคร.....ฮึ อุ๊ เหมือนใคร”
อุ๊โมโหหันไปผลักเพื่อนเต็มแรง
ดอกโศกเดินออก เด็กนักเรียนบางคนที่เดินๆ ออกมา ลอบมองซุบซิบกัน
“มองอะไรกัน ไม่เคยเห็นคนหรือไง” เจนนิเฟอร์แว้ดใส่
เด็กพวกนั้นหลบตา หายไปหมด
ระหว่างนั้นรถตุ๊กตุ๊กของสมปอง โฉบเข้ามา เบรกเอี๊ยด แทบจะยกล้อ
“ไอ้โศก”
ดอกโศกยังไม่ได้ยิน
“ไอ้ออ.....โศกกกก...” สมปองตะโกน
“น้าปอง”
“เร็ว...ขึ้นรถ”
“มีอะไรน้าปอง”
“ไอ้ป้อมน่ะสิ เกิดเรื่องอีกแล้ว...ไอ้เด็กเวรเนี่ย”
อุ๊ ออกมาทันได้ยินพอดี เสียงสมปองบอกดอกโศกต่อ “....เร็ว....ขึ้นรถเร็วเว๊ย”
อัศนัยอยู่ในออฟฟิศ หยิบโทรศัพท์กำลังจะหมุนโทร.ออก
ระหว่างนั้น บุรี หัวหน้าช่างเดินเข้ามาเร็วๆ ท่าทางรีบร้อน
“มีอะไรครับอาบุรี” อัศนัยวางโทรศัพท์
“ผมส่งรายการรับสมัครพนักงานโรงงานเซรามิกที่เชียงใหม่มาให้คุณนัยเห็นหรือยังครับ”
“เห็นแล้วครับมีอะไรหรือ”
“มีบางตำแหน่ง คุณตระกูลบอกจะหาเอง” บุรีบอก
“งั้นหรือ” อัศนัยแปลกใจนิดหน่อย “เช่นตำแหน่งอะไรครับ
บุรีสีหน้าขรึมไปนิดหน่อย ดูออกว่าไม่ค่อยปลอดโปร่งใจนัก “ก็มี...”
ตระกูล ยืนแอบฟังอยู่แล้ว สีหน้านิ่งเฉย
“พนักงานตรวจนับสต๊อกสินค้า กับพนักงานดูแลลูกค้าและยอดขายครับ”
อัศนัยนิ่งคิดสักครู่ “ไม่เป็นไร ผมจะคุยกับคุณตระกูลเองครับอาบุรี”
ตระกูลฟังพอแล้ว หันหลังกลับเดินออกไปทันที
เย็นวันนั้นคุณนายประดับเดินออกมา มองทอดสายตาออกไป อัศนัยนั่งคอยดอกโศกอยู่ตรงนั้นด้วย
ในห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน ป้อมซึ่งเจ็บหนักมากนอนอยู่บนเตียงคนไข้ สองคนยืนมองป้อม ดอกโศกตาแดงๆ สงสารเพื่อน ในขณะที่สมปองมองอย่างปลงๆ
ไม่นานหลังจากนั้นดอกโศก กับสมปอง เดินออกมาที่หน้าห้องผู้ป่วย
“น่าเบื่อจริงๆ ไอ้เวรป้อม หาเรื่องให้ได้ไม่เว้นแต่ละวัน” สมปองบ่น ออกไปทางโวยวาย
“เขาโดนซ้อมนะน้าปอง”
“ก็น่านแหละ มันไม่ทำเรื่องจะโดนซ้อมมั้ย”
“น้าปองก็รู้ว่าป้อมเขาเป็นคนเงียบๆ ไม่หาเรื่องใคร น้าปองต้องโทษคนที่มาซ้อมป้อมสิ”
“นี่ไอ้โศก ไม่ต้องออกรับแทนไอ้ป้อมไปทุกอย่างหรอก คนเราน่ะนะ...” มองหน้าดอกโศก
ดอกโศกตั้งใจฟัง
“จะเดินจมดินจมโคลน มันก็ขาของตัวเอง เดินไปเอง มีใครมาผูกเชือกลากไปมั้ยล่ะ”
พูดแล้วสมปองเดินโคลงเคลงออกไป ดอกโศกหน้านิ่ง อึ้งอยู่กับคำพูดประโยคนั้นของน้าสาว
อ่านต่อตอนที่ 7 พรุ่งนี้ เวลา 12.00 น.