ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 10
เมื่อกลับถึงบ้านพันเทพเดินตรงเข้าไปในห้องทำงาน พร้อมกับเดินไปปิดผ้าม่านที่หน้าต่างทุกบาน แล้วตะโกนเสียงเกรี้ยวกราดเรียกเวตาลด้วยความเดือดดาล
“ไอ้เวตาล แกอยู่ไหน ไอ้เวตาล ออกมาเดี๋ยวนี้นะ” ประตูตู้เปิดออกมา ผิดตรงที่ไม่เห็นตัวเวตาลเดินออกมาเหมือนเคย “แกอยู่ไหน ออกมาสิ”
เสียงเวตาลดังขึ้น แต่ไร้ตัวตน
“เจ้าเรียกข้า รึเพื่อนข้า”
“แกอยู่ไหน”
เสียงเวตาลวนรอบพันเทพ โดยพันเทพไม่เห็นตัว
“ข้าอยู่ในทุกที่ ที่ข้าต้องการจะอยู่”
“อย่ามาพูดจาวกวนกับชั้น ปรากฏตัวออกมา”
“ข้าอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว”
“ตรงหน้าอะไร ชั้นไม่เห็นจะเห็นแก”
“เจ้ามองดีๆ สิ” พันเทพมองไปรอบๆ แล้วก้มไปมองพื้นเห็นรอยเท้าเป็นคล้ายๆ ไอน้ำเดินย่ำวนไปวนมา “เริ่มมองเห็นข้าแล้วสินะ”
หนังสือบนโต๊ะเปิดเองทีละหน้า ทีละหน้า
“ตัวแกหายไปไหน ทำไมต้องล่องหน”
“มันเป็นวัฎจักรของร่างกายข้า แต่มันก็ดีไม่ใช่รึ ที่เจ้าจะไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาพบเจอตัวข้าที่เจ้าปิดบังไว้”
“แกหายไปไหนมา ชั้นมาตามหาแกตั้งหลายครั้ง คิดจะหนีชั้นรึไง”
“ถ้าหนี ข้าคงไม่กลับมา จริงรึไม่ เจ้ามีเรื่องอะไรกับข้างั้นรึ”
“ชั้นได้ของมาแล้ว ครบทุกอย่างที่แกบอก”
“อย่างนั้นรึ”
พันเทพหยิบขวดที่ใส่ยางไม้ออกมาให้เวตาลดู
“นี่ไง ยางไม้สีแดงเหมือนเลือดสดใจกลางป่าอาถรรพ์”
พันเทพยื่นขวดออกไป เวตาลรับ ขวดลอยอยู่ในอากาศ
“ใช่มันจริงๆ ข้าได้กลิ่นคาวของไอ้แก่ฤๅษี”
พันเทพรีบแย่งขวดคืนมา
“ของชั้น เอาคืนมา” เสียงประตูตู้ปิดปึงปัง เวตาลไม่พอใจ “โกรธจนต้องระบายอารมณ์เลยรึไง …ชั้นไม่ได้เอามาให้แก ของๆ ชั้นก็คือของๆ ชั้น” พันเทพหยิบตำราหนังเสือออกมา “แล้วก็นี่ของอีกอย่าง ตำราหนังเสือที่แกว่า”
กลิ่นสูดหายใจดังฟื้ด ตามมาด้วยเสียงหัวเราะดังก้อง
“เจ้าโดนแหกตาแล้ว ข้าไม่ได้กลิ่นของป่าที่ของสิ่งนี้”
“ไม่จริง ชั้นเป็นคนแย่งมาจากมือมันเอง มันจะปลอมไปได้ยังไง”
“คิดว่าพวกนั้นจะพกตำราหนังเสือของจริง เดินทางไปกับเจ้ารึไง เรื่องมันคงไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก”
พันเทพกำตำราหนังเสือของปลอมในมือตนแน่น แค้นนัก
ทิวามานั่งที่ร้านอาหารกับอบเชย อบเชยไม่ค่อยเต็มใจกินนัก
“นี่...อ้าปากหน่อยสิ เดี๋ยวชั้นป้อน”
“ไม่อายคนบ้างรึไง”
“ต้องอายอะไร ก็เธอเป็นแฟนชั้น”
“เธอไม่อาย แต่ชั้นอาย”
ทิวาหงุดหงิดขึ้นมา
“ตกลงจะเอามั้ย ยาน่ะ” ทิวาหยิบห่อยาสมุนไพรขึ้นมา อบเชยเห็นจะรีบคว้า ทิวาหลบทัน “อย่ามาขี้โกงน่าอบเชย เธอลืมไปแล้วรึไงว่าต้องทำตามความต้องการชั้นทุกอย่าง ถ้าอยากได้ยานี่นักก็ให้ชั้นป้อน...”
อบเชยไม่ค่อยพอใจนักหันซ้ายหันขวา แล้วก็อ้าปากให้ทิวาป้อน
ขณะนั้นไม้กับจันทร์เดินผ่านร้านอาหารที่เป็นกระจก ไม้มองเห็นทิวากับอบเชยกำลังป้อนข้าวกันผ่านกระจก เขายืนมองอย่างเจ็บใจ จันทร์ที่เดินตามมาหันไปเห็น
“นั่นมันอบเชยนี่”
“อย่าเอ่ยชื่อผู้หญิงคนนี้ให้ชั้นได้ยินอีก”
ไม้เดินไปอย่างไม่ใยดีอบเชย จันทร์มองอบเชยกับทิวาอย่างสงสัย
“จะเป็นไปได้ไง ชักได้กลิ่นอะไรไม่ชอบมาพากลซะแล้วสิ”
อบเชยได้ห่อยาจากทิวามาแล้ว เธอดีใจยิ้มออกแต่ทิวาไม่ค่อยพอใจนัก
“อย่าให้มันออกนอกหน้ามากนัก”
“ยานี่ต้องกินนานเท่าไหร่”
“ก็นานพอที่เธอกับชั้นจะได้ลงเอยกันนั่นแหละ”
“ฝันไปเถอะ”
“คอยดูก็แล้วกัน ว่าจะฝันหรือเรื่องจริง”
“ถ้าชั้นให้ลุงเมฆกินแล้วไม่ดีขึ้น ข้อตกลงระหว่าเราก็เป็นอันจบกัน รู้ไว้ด้วย”
อบเชยบอกแล้วลุกจากโต๊ะจะออกไปจากร้าน ทิวาคว้าแขนอบเชยไว้
“นี่จะไปไหนน่ะ”
“ก็ชั้นได้ของที่อยากได้แล้ว เธออยากกินก็กินต่อไปคนเดียวก็แล้วกัน”
อบเชยออกจากร้านอย่างไม่สนใจทิวา ทิวาเจ็บใจ
“นี่...อย่ามาทิ้งชั้นไปแบบนี้นะ อบเชย อบเชย เธอไปหาไอ้ไม้ไม่ได้ เด็ดขาดนะ ไม่งั้นเธอไม่ได้ยาอีกแน่”
คนทั้งร้านมองเสียงเอะอะของทิวา ระหว่างนั้นจันทร์ยืนดูอยู่ด้านนอกผ่านกระจก ทิวาจะวิ่งตามอบเชยไปแต่พนักงานรั้งทิวาไว้
“คุณคะ ยังไม่ได้จ่ายเงินเลยค่ะ”
“โธ่เว้ย” ทิวาหากระเป๋าสตางค์ควักเงินจ่าย
อบเชยเดินออกมาหน้าร้านดูห่อยาในมืออย่างดีใจ กำลังจะเดินไปแต่จันทร์มาขวางไว้
“ชั้นมีเรื่องต้องคุยกับเธอ” จันทร์มองไปในร้านเห็นทิวากำลังจะออกมา “ตามชั้นมาทางนี้”
อบเชยตามจันทร์ไป ทิวาออกมาไม่เห็นใครแล้ว
“โธ่เว้ย...” ทิวายกหูโทรศัพท์โทรหาสมุน “นี่พวกแก ไปแอบดูบ้านไอ้ไม้ไว้นะ ถ้าอบเชยไป ให้บอกชั้นด่วน เข้าใจมั้ย” ทิวาวางหูแล้วบ่นพึมพำออกมา “หวังว่าเธอคงไม่ผิดสัญญานะอบเชย”
จันทร์พาอบเชยมาคุยที่ท่าน้ำวัด จันทร์กับอบเชยต่างไม่มองหน้ากัน เพราะต่างฝ่ายต่างก็รู้ถึงสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งคิด
“ชั้นเห็นหมดแล้วในร้านอาหารน่ะ”
“อย่าบอกใครนะ...ชั้นขอร้อง”
“อะไรทำให้เธอต้องยอมเอาตัวเองไปเสี่ยงขนาดนั้นอบเชย เธอก็รู้ว่าพวกนั้นน่ะมันไว้ใจไม่ได้”
อบเชยหยิบสมุนไพรยื่นให้จันทร์
“เพราะสิ่งนี้ไง”
จันทร์รับมาดม
“สมุนไพรเหรอ ใช้ทำอะไร”
“รักษาลุงเมฆ”
“เธอไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย เรามาหาวิธีช่วยกันก็ได้”
“มีวิธีไหนอีกล่ะ กว่าจะหาได้ ลุงเมฆไม่เป็นอะไรไปก่อนเหรอ แล้วไม้ล่ะไม้จะทำยังไงถ้าไม่มีลุงเมฆ”
“คิดว่าไอ้ไม้มันจะดีใจเหรอถ้ามันรู้ว่าเธอยอมเสี่ยงขนาดนี้”
“ก็อย่าให้ไม้รู้ ห้ามให้ไม้รู้เด็ดขาด ไม่งั้นลุงเมฆไม่มีวันหาย”
“แล้วจะให้ชั้นทำยังไง ไอ้ไม้มันเป็นเพื่อนชั้น”
“แล้วชั้นเป็นเพื่อนเธอรึเปล่า...จันทร์ ถ้าชั้นไม่ทำแบบนี้ ลุงเมฆไม่มีวันหาย แล้วชั้นก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นไม้ต้องเสียใจ เธอเข้าใจมั้ย ได้โปรด...ช่วยชั้นเถอะนะให้ชั้นคุกเข่าขอร้องก็ได้”
อบเชยจะคุกเข่าจันทร์รีบห้ามไว้
“ไม่ต้องๆๆ ชั้นเข้าใจแล้ว ชั้นไม่บอกใครหรอก แต่เธอไม่คิดว่าไอ้ไม้จะสงสัยบ้างรึไง ที่อยู่ๆ ยาจะมาจากไหน”
“เรื่องนั้นชั้นไม่ห่วงหรอก”
เวลาผ่านไป...จันทร์มายืนอยู่หน้าบ้านเมฆอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก ในมือถือห่อยา อบเชยแอบดูอยู่ไกลๆ ไม้เดินมาหน้าบ้าน
“อ้าว จันทร์ ว่าไง”
จันทร์แอบชำเลืองมองอบเชย อบเชยพยักหน้าให้จันทร์ทำต่อไป
“พอดีว่าชั้นไปค้นตำรายาจีนมาน่ะ แล้วก็ได้สมุนไพรตัวนี้มา ชั้นว่าน่าจะลองให้พ่อแกกินดูนะ เผื่อว่าจะดีขึ้น”
“ดีขึ้นจริงๆ รึเปล่า”
“ชั้นก็ไม่รู้ แต่ใครๆ ก็ว่า ถ้าใครความจำเสื่อมให้กินนะ”
“ขอบใจมากจันทร์ ชั้นไม่รู้จะขอบคุณแกยังไง เดี๋ยวชั้นไปต้มให้พ่อกินเลยนะ” ไม้บอกอย่างดีใจ
“ได้ผลยังไงบอกด้วยก็แล้วกัน”
ไม้พยักหน้ารับ ดีใจ รีบเข้าไปในบ้าน จันทร์ยืนมองไม่ค่อยสบายใจนักหันมาสบตาอบเชย
อบเชยดูแล้วยิ้มๆ
จันทร์เดินมาหาอบเชย อบเชยยิ้ม
“ขอบใจมากนะ ชั้นจะไม่ลืมบุญคุณเธอเลย”
“แต่ชั้นไม่ชอบเลย”
“ไม่ชอบอะไร”
“มันเหมือนชั้นเอาสิ่งที่เธอทำ...มาเป็นของฉัน แล้วก็บอกคนอื่นว่าชั้นเป็นคนทำ ชั้นไม่สบายใจเลย”
“อย่าคิดมากเลยน่า เธอทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อคนอื่น ไม่มีอะไรต้องไม่สบายใจเลยน่ะ”
จันทร์ถอนหายใจท้อ แล้วเขาก็เห็นคนแว้บๆ เข้าแอบหลังเสา
“ชั้นว่ามีคนสะกดรอยตามเธอนะ”
“ก็คงเป็นพวกคนของทิวานั่นแหละ”
“แบบนี้มันจะเกินไปนะ” อบเชยยิ้มเศร้าๆ
“ชั้นกลับก่อนล่ะ ชั้นไม่อยากให้มีปัญหา”
อบเชยเดินจากไป จันทร์มองตามอบเชยอย่างเป็นห่วง
ขณะนั้นเมฆกำลังติดกระดุมเสื้อแต่ก็ติดไม่ได้ ผิดๆ ถูกๆ ไปหมด เมฆหงุดหงิด เขวี้ยงเสื้อทิ้ง ไม้เอายาสมุนไพรที่ต้มแล้วใส่แก้วยกมาให้เมฆ
“ทำไมทำไม่ได้” เมฆนั่งกุมขมับ เครียด
“พ่อ ใจเย็นๆ นะ กินยานี่ก่อน แล้วเดี๋ยวชั้นสอนให้ใส่เสื้อใหม่นะ” เมฆว่าง่ายเอายาที่ไม้เอามาดื่มเอื๊อกๆ ไม้มองดูเมฆอย่างลุ้นๆ “รู้สึกยังไงบ้างพ่อ”
“ดี”
“เดี๋ยวพ่อนอนพักหน่อยนะ เผื่อว่าจะดีขึ้น”
ไม้พาเมฆนอนบนเตียง เมฆตามไปนอนอย่างว่าง่าย
ทางด้านแพรวาขณะนั้นเธอนั่งเหม่อดูรูปไกรอยู่ในห้อง แพรวาคิดถึงไกรจับใจ จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น แพรวาสะดุ้งรีบเก็บรูปไกรทันที
“นั่นใครน่ะ”
“พ่อเอง”
แพรวายิ่งต้องรีบเก็บของใหญ่
“เดี๋ยวนะคะพ่อ” แพรวาจัดแจงเก็บของเสร็จ จึงเปิดประตูให้พันเทพ พันเทพเปิดประตูเข้ามาแล้วมองสำรวจไปทั่วห้อง “มีอะไรเหรอคะพ่อ”
“ทำอะไรอยู่ พ่อเรียกตั้งนาน”
“เปล่าคะ”
“งั้นก็ดี เดี๋ยวแต่งตัวไปบ้านท่านรมต.กับพ่อ”
“ไปทำไมกันคะ”
“จำลูกชายท่านรมต.ที่พ่อพาไปเจอคราวก่อนได้มั้ย พ่อว่าเค้าสนใจในตัวลูกนะ”
“แต่แพรวาไม่...”
“อย่าดื้อกับพ่อ รู้มั้ยท่านรมต.ไม่ได้ช่วยแค่ลูกคนเดียว ...แต่งตัว”
แพรวาไม่กล้าปฏิเสธพ่อ
ขณะนั้นราตรีแอบฟังอยู่หน้าห้อง ราตรีโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“พ่อจะพามันไปหาลูกชายส.ส.อีกแล้ว ทำไมพาไปแต่มัน ชั้นไม่ดีตรงไหน ชั้นกับแพรวาไม่เหมือนกันตรงไหนคอยดูเถอะ ชั้นจะแย่งทุกอย่างที่แกมีมาให้หมด”
ราตรีเดินกลับห้องอย่างเจ็บใจ พอเข้ามาในห้องโทรศัพท์แพรวาที่ราตรียึดมาก็ดังขึ้นหน้าจอเป็นชื่อไกรโทรมา ราตรีกำลังไม่พอใจแพรวาพอเห็นไกรโทรมาเธอถึงกับยิ้มออกมา
“หึหึ แค่คิดก็มีเหยื่อมาเสิร์ฟถึงที่”
ราตรีเดินเข้าไปหยิบโทรศัพท์แล้วกดรับ
ไกรแอบคุยโทรศัพท์อยู่ที่ท่ารถบขส. เพราะกลัวเจ๊กีมาเห็น
“แพรวา ดีใจจังที่ได้ยินเสียงคุณอีก ผมพยายามโทรหาคุณแต่ไม่ติดเลย”
“พ่อห้าม...ไม่ให้ชั้นเจอคุณอีก”
“แม่ของผมก็ห้ามเหมือนกัน”
“แต่ชั้นอยากเจอคุณ”
“จะเป็นไปได้มั้ยถ้าผมจะนัดให้เรา...”
“ได้สิคะ แต่คงต้องเป็นที่ลับตาคนหน่อยนะคะ เพราะคนของพ่อแทบจะอยู่ทุกที่”
“ถ้างั้นผมให้คุณเลือกเลยครับว่าจะเป็นที่ไหน ที่น่าจะปลอดจากคนของพ่อคุณ”
“ถ้างั้นก็น่าจะมีที่เดียวแหละค่ะ”
“ที่ไหนครับ”
ราตรีนัดเจอกับไกรที่โรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่ง...ไกรกับราตรีมาเจอกันในห้องๆ หนึ่งของโรงแรมม่านรูด
“มาเจอกันที่นี่...ผมเกรงว่าแพรวาจะเสีย”
“จะทำไงได้ละคะ ก็มันคงเป็นที่ที่ลับตาคนที่สุดแล้ว”
“แต่มัน...”
“หรือไกรไม่คิดถึงชั้น”
“ถ้าไม่รู้สึกอะไร ผมคงไม่มา”
“ก็ดีค่ะ” ราตรีเดินไปรินน้ำให้ไกร“มาเหนื่อยๆ ดื่มน้ำเย็นๆซักหน่อยนะคะ”
ราตรีรินน้ำเย็นให้ไกร แต่แอบหยอดยาบางอย่างลงไปด้วย เธอยื่นแก้วน้ำที่หยอดยาให้ไกร
“ผมทำแพรวาลำบาก ต้องมานัดเจอกันในที่แบบนี้”
“ไม่ลำบากหรอกค่ะ กินน้ำก่อนเถอะค่ะ เย็นชื่นใจ”
“ผมจะพยายามพูดกับแม่ให้เข้าใจ ว่าแพรวาเป็นคนดี”
“ขอบคุณค่ะ ทานน้ำก่อนนะคะ อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย”
ในที่สุดไกรก็ดื่มน้ำเข้าไปจนได้ ราตรีลุ้นกับผลของยาที่ผสมในน้ำให้ไกรกิน
“คุณเป็นยังไงบ้าง” ไกรถามอย่างเป็นห่วง
“ก็สบายดีค่ะ แต่คุณดูเหมือนจะไม่สบายรึเปล่าคะ”
“ผมน่ะเหรอ ผมสบายดี”
ไกรเริ่มมึนหัวล้มลงนอนบนเตียง มองเห็นราตรีเบลอๆ ราตรียื่นหน้าไปใกล้
“คุณไกรเป็นอะไรคะ คุณไกร” ไกรหลับไป ไม่รู้สึกตัว ราตรียิ้มสะใจ “โง่จริงๆ”
เวลาผ่านเวลา ไกรถูกจับถอดเสื้อผ้าเหลือแต่ผ้าเช็ดตัว ส่วนราตรีก็เช่นกัน เธอเอาโทรศัพท์มาถ่ายรูปเป็นหลักฐานแล้วยิ้มสะใจ
เย็นวันนั้นแพรวายืนเหงาๆ อยู่ริมน้ำที่ท่าน้ำของวัด ไม้เดินผ่านมาเห็นแพรวาก็ดีใจ
“คุณแพรวา”
“อ้าว...ไม้”
“ผมคิดว่าชาตินี้จะไม่ได้เจอคุณแล้วซะอีก”
“ทำไมล่ะ ชั้นยังไม่ตายนะ”
“ก็คุณเข้าไปในป่าอาถรรพ์”
“แต่ชั้นก็อยู่ตรงนี้แล้วนี่ไง”
“คุณแพรวาดูไม่ค่อยสบายใจ”
“ไม้ก็เหมือนกัน ดูเหมือนมีเรื่องกังวลใจอะไรอยู่” ไม้ยิ้มเศร้าๆ “เอามือมานี่สิ...”
“ห๊า”
“ส่งมือมาเถอะน่า” ไม้ยื่นมือให้แพรวาจับ แพรวาจับมือไม้ทั้งสองมือ หลับตาลง “ขอให้ความสุขของชั้นจงบรรเทาความทุกข์ของไม้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ขอให้ไม้ผ่านมันไปได้ด้วยดี”
ไม้มองแพรวาที่หลับตายิ้มๆ ไม้หลับตาลงบ้าง
“ขอให้ความสุขที่ยังหลงเหลือของผม บรรเทาความทุกข์ของคุณแพรวา...ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ขอให้คุณแพรวาผ่านมันไปได้ด้วยดี”
ทั้งคู่ลืมตามายิ้มให้กัน โดยไม่รู้ว่าอบเชยได้แอบมองดูทั้งสองคนอยู่อย่างเศร้าๆ พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา
“ชั้นไม่ใช่คนที่ทำให้ไม้มีความสุขอีกแล้ว”
อบเชยเดินเศร้าๆ จากไป
ที่โรงแรมม่านรูด ไกรเริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาบนเตียง แล้วเขาก็ต้องตกใจที่พบว่าตัวเองเหลือแต่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวนุ่งอยู่บนเตียง โดนมีราตรีนอนหลับอยู่ข้างๆ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
“ทำไมคุณไกรพูดแบบนี้ละคะ ทำอะไร ไม่รู้ตัวบ้างรึไง”
ไกรพยายามคิด
“ไม่รู้”
“คุณไกรพูดแบบนี้ไม้ให้เกียรติชั้นเลย”
“แต่...”
“ชั้นมันใจง่ายเองที่ยอมให้คุณทั้งตัวทั้งใจ หลงเข้าใจว่าที่คุณทำไปเพราะความรัก”
“ผมจำอะไรไม่ได้ ผมขอโทษ”
“ขอโทษ แล้วสิ่งที่ชั้นเสียไปมันได้คืนมามั้ยล่ะ ชั้นผิดหวังในตัวคุณมาก ไม่ต้องมาให้ชั้นเห็นหน้าอีก”
ราตรีทำทีท่าว่ารีบแต่งตัวเก็บของ แล้วออกไปจากห้อง
“เดี๋ยวก่อนแพรวา แพรวา...”
ไกรยังไม่หายงงว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็ยังกังวลที่เห็นแพรวาเสียใจ
ราตรีเดินออกมาจากห้องด้วยสีหน้าสะใจ
“แกล้งหลอกพวกหน้าโง่นี่ มันสะใจดีจริงๆ”
ราตรีเดินจากไป ไกรแต่งตัวยังไม่เรียบร้อยนักเปิดประตูตามออกมา แต่ราตรีเดินออกไปแล้ว
“แพรวา เดี๋ยว ฟังผมก่อน แพรวา”
อีกด้านหนึ่งอบเชยเดินเศร้าๆ มาลำพัง จู่ๆ ทิวาเข้ามาขวาง
“อยู่นี่เอง ตามหาแทบแย่”
“อย่าเรียกว่าตามหาดีกว่า เธอให้คนสะกดรอยตามชั้นตลอดเวลาเธอรู้อยู่แล้วว่าชั้นอยู่ที่ไหน”
“ก็เธอไว้ใจได้ที่ไหนล่ะ เอะอะก็ตามไปหาไอ้ไม้”
“แต่ชั้นก็ไม่ได้เจอเค้านี่”
“ก็ลองเจอสิ พ่อพิการของไอ้ไม้ ได้กลายเป็นคนไร้ความทรงจำแน่ๆ จำไม่ได้แม้แต่ลูกของมันเอง”
“ชั้นรู้แล้วน่า ไม่ต้องมาย้ำ”
“แล้วเธอก็ช่วยปฏิบัติตัวกับชั้นให้มันดีกว่านี้หน่อย ไม่ใช่มัวแต่อาลัยอาวรณ์ไอ้ไม้นั่น”
“เธอบังคับชั้นได้แต่ตัวเท่านั้นแหละทิวา”
ทิวากระชากแขนอบเชยอย่างไม่พอใจ
“อย่าปากดีให้มันมากนัก ระวังชั้นจะได้เธอหมดทั้งตัวเข้าจริงๆ” อบเชยเกรงๆ กับคำพูดทิวา ไม้กับแพรวาเดินมาพอดี ไม้เห็นทิวาจับมืออบเชยอยู่เขาเบือนหน้าหนี “ไงล่ะไอ้ไม้ ถึงกับหันหน้าหนีความจริงเลยรึไง” อบเชยมองแพรวาที่เดินมากับไม้ “นี่แพรวา พ่อบอกให้อยู่กับบ้าน เธอออกมาเที่ยวเพ่นพ่านทำไม”
“พี่ทิวาพูดดีๆ ก็ได้ ชั้นไม่ใช่นักโทษ”
“พออยู่กับไอ้ไม้แล้วพูดกับพี่แบบนี้เหรอ”
“ก็พี่พูดจาไม่ดีกับคนอื่นทำไมล่ะ”
ทิวาจะเข้าไปมีเรื่องกับไม้ อบเชยดึงทิวาเอาไว้ไม่อยากให้ไม้มีเรื่อง
“อย่าไปสนใจเลยทิวา ชั้นว่าไร้สาระ”
อบเชยมองไม้แบบดูถูก ไม้เจ็บใจแต่ทิวาสะใจ
“อบเชย...นี่เธอมัน...”
“ไปกันเถอะทิวา ชั้นไม่อยากอยู่ตรงนี้นาน”
อบเชยแสดงทีท่ารังเกียจไม้ ทั้งที่ใจจริงเธอแทบจะทนไม่ได้ที่จะอยู่ตรงนั้น อบเชยจับมือทิวาเดินออกไป ไม้มองตามแค้นๆ
“นี่เธอสองคนมีเรื่องอะไรกันเนี่ย”
“อย่าไปสนใจเลย ก็แค่คนหลอกลวงคนนึง”
ไม้เดินไปกับแพรวา อบเชยแอบมองผ่านเงาสะท้อนในกระจก เธอเจ็บปวดมาก
“ทำได้ดีนี่อบเชย”
“ไม่ต้องชม ชั้นขอแค่เอายามาให้ชั้นก็พอ”
อบเชยน้ำตาไหล แต่เธอรีบปาดมันออกก่อนที่ใครจะเห็น
คืนนั้นอบเชยพยายามจะนอนหลับ แต่ก็หลับไม่ลงซักที น้ำตาเอาแต่ไหลไม่หยุด ทางด้านไม้เขาก็นอนไม่หลับเหมือนกัน ไม้มองดูเมฆที่หลับสนิทแล้วถอนหายใจ นึกถึงอบเชยจับมือกับทิวา
“จะต้องไปคิดถึงทำไม คนแบบนั้น”
ไม้พยายามข่มตานอน
แพรวาเป็นอีกคนที่นอนไม่หลับ เธอนั่งเหม่อคิดถึงไกรแล้วเธอก็หันไปเห็นจดหมายที่หัวเตียง ที่เธอเข้าใจว่าเป็นไกรเขียน
“จดหมาย...เราแอบส่งจดหมายได้”
แพรวารีบหากระดาษกับปากกาจะมาเขียนจดหมายถึงไกร แต่ยังไม่ทันจะได้เขียนราตรีก็เปิดประตูเข้ามา
“ทำอะไรอยู่เหรอ?” ราตรีมองกระดาษกับปากกาบนโต๊ะ “กำลังจะเขียนจดหมายหาชู้รักรึไง หรือว่า...จะเขียนจดหมายถึงลูกท่านรมต.”
“ถึงเราจะเป็นพี่น้องกัน ก่อนจะเข้าห้องชั้น เธอก็ควรเคาะประตู”
“ถ้าเคาะก็ไม่สนุกน่ะสิ ชั้นจะเห็นเหรอว่าเธอกำลังจะทำอะไร”
“มีธุระอะไรก็ว่ามา”
“เห็นว่าเธอกำลังดูๆ กันอยู่กับลูกท่านรมต.เหรอ”
“เอาอะไรมาพูด”
“ไม่รู้เหรอ ก็ไปมาหาสู่กันประจำ ชั้นก็เลยคิดว่า...เธอคงไม่เอาคุณไกรแล้ว”
“หมายความว่ายังไง”
“ก็หมายความว่าคุณไกรของเธอน่ะ...แหม มันก็พูดยากนะ ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี”
“อะไร...รีบๆ พูดมาสิ”
“อย่าใจร้อนนักสิ” ราตรีหยิบซองเอกสารน้ำตาลยื่นให้แพรวา “ดูเอาเองแล้วกัน เดี๋ยวจะหาว่าชั้นพูดโกหก”
แพรวายังไม่เข้าใจคำพูดราตรีนัก รีบรับซองมาแล้วเปิดดูแล้วแพรวาก็ต้องตกใจที่เห็นรูปราตรีกับไกรในโรงแรมม่านรูด
“คุณไกรเนี่ย เห็นดูสุภาพแบบนั้น ลีลาไม่เบาเลยนะ” แพรวามือไม้อ่อนซองรูปร่วงกับพื้น แล้วเธอก็ทรุดตัวลงไม่มีเรี่ยวแรง “ถึงกับหมดแรงเลยเหรอแพรวา”
“เธอทำแบบนี้ทำไม ชั้นไปทำอะไรให้เธอ”
“ยังมีหน้ามาถามอีก เธอน่ะทำร้ายชั้นมาตลอด พ่อเลือกผู้ชายดีๆ ให้เธอ เป็นห่วงเธอ เธอมีแต่คนดีๆ เข้ามาในชีวิต แล้วเธอจะยังมาถามอีกเหรอว่าชั้นทำไปทำไม”
แพรวาได้แต่นั่งร้องไห้อยู่แบบนั้น
“เราไม่น่าเกิดมาเป็นแฝดกันเลย”
“ชั้นต่างหากที่ต้องเป็นคนพูดประโยคนั้น”
ราตรีเดินออกไปแล้วกระแทกประตูปิด ปล่อยแพรวาร้องไห้คร่ำครวญกับสิ่งที่ราตรีทิ้งไว้
วันต่อมาไม้ตื่นขึ้นมาเห็นเมฆกำลังยืนแต่งตัวโดยสามารถติดกระดุมได้ปกติ ไม้เห็นก็ดีใจ
“พ่อ พ่อแต่งตัวเองได้แล้วเหรอ”
“แค่แต่งตัวจะไปยากอะไรเล่า” ไม้ยิ้มดีใจ
เมฆตักข้าวกินเองอย่างคล่องแคล่วไม่ต้องคอยบอก ไม้เห็นพ่ออาการดีขึ้นก็ยิ้มอย่างดีใจ
“กินข้าวเอง โดยไม่ต้องคอยบอกด้วย”
“คนมันหิวก็ต้องกินสิ”
ไม้มาขับรถแทนเมฆ เมื่อมาถึงท่ารถบขส.ไม้จึงวิ่งรี่ไปหาจันทร์
“จันทร์ แกไปได้ยามาจากไหนน่ะ พ่อดีขึ้นมากเลย สามารถดูแลตัวเองได้บ้างแล้ว”
“จริงเหรอแก งั้นก็แปลว่ายานั่นได้ผลดีเลยน่ะสิ”
“ใช่ ดีมากด้วย แกไปได้ยามาจากไหน จากใคร ชั้นจะไปขอบคุณเค้า”
จันทร์นิ่ง ลำบากใจจะตอบ
“เอ่อ...แกอย่ารู้เลย แค่พ่อแกดีขึ้นก็น่าจะโอเคแล้วนี่”
“แล้วยานั่นมันต้องกินนานแค่ไหน กว่าพ่อชั้นจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง”
“ชั้นไม่รู้”
“ก็ไหนแกบอกว่าแกไปเปิดตำราหาข้อมูลมาไม่ใช่เหรอ”
“เออ แต่ลืมไปแล้ว”
“แล้วสมุนไพรนี่มันชื่ออะไร ชั้นจะไปหาซื้อได้จากไหน”
“จำไม่ได้หรอก”
“อ้าว...ปกติแกเป็นคนข้อมูลแน่นนี่ ทำไมครั้งนี้”
“อย่าถามอะไรมากได้มั้ย เอาเป็นว่าเดี๋ยวชั้นหามาให้แกใหม่ก็แล้วกัน”
จันทร์เดินหนีอย่างมีพิรุธ ไม้มองตามแปลกใจ ชาญเดินเข้ามา
“อ้าวไม้มาทำงานแทนพ่อเหรอ”
“ใช่จ้ะพี่ชาญ”
“งั้นข้าได้คู่หูคนใหม่แล้วสิ วัยรุ่นกว่าเดิมเยอะเลย” ไม้ยิ้ม “ แล้วพี่เมฆเป็นไงบ้าง”
“ก็ดีขึ้น ขอบคุณพี่ชาญที่เป็นห่วงนะ”
“แล้วอบเชยล่ะ ไม่เห็นหน้าค่าตามาหลายวันแล้ว”
ไม้นิ่งไม่ตอบอะไร
อ่านต่อหน้า 2 เวลา 12.00 น.
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 10 (ต่อ)
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่โรงแรมม่านรูดทำให้ไกรมาแอบอยู่หน้าบ้านพันเทพ ประตูบ้านรั้วเปิดรถพันเทพขับออกไป ไกรชะเง้อมองในบ้านเห็นแพรวานั่งอยู่ในสนาม ไกรจึงตัดสินใจลุยเข้าไปในบ้านโดยไม่สมุนของพันเทพ
ไกรเดินพุ่งตรงมาหาแพรวา สมุนต่างตะโกนร้องโวยวายให้เข้าสกัดไกรไว้ แพรวาหันไปดูตามเสียง เห็นไกรเดินเข้ามาก็ตกใจ สมุนพันเทพเข้าขวาง ไกรไม่กลัวและต่อสู้ปัดป้องจนสมุนล้มไปกอง สมุนพันเทพจะเข้ารุมไกรอีกแต่แพรวาสั่งห้าม
“หยุดก่อน เดี๋ยวชั้นจัดการเอง”
“แต่นายสั่ง...”
“พ่อไม่อยู่ ถ้าไม่มีใครพูด พ่อก็ไม่รู้ ชั้นรับรองว่าจะจัดการให้เค้าออกไปเอง”
สมุนมองหน้ากันแล้วเชื่อฟังคำสั่งแพรวา พากันถอยออกไป แพรวามองไกรโกรธๆ
“มีธุระอะไร”
“แพรวา ผมขอโทษ เรื่องเมื่อวานผมไม่ได้ตั้งใจ แต่ผมพร้อมรับผิดชอบทุกอย่าง”
แพรวาโกรธจนยั้งมือไม่ได้ เธอตบไกรจนหน้าหัน
“คนโง่”
“ใช่ ผมมันโง่ แต่ผมขอโอกาสอีกซักครั้งได้แก้ตัวเถอะ ผมจะไม่ทิ้งคุณไปไหน ผมจะรับผิดชอบทุกอย่างที่ผมทำ”
“อย่ามาพูดเรื่องนี้ให้ชั้นได้ยินอีก”
“คุณต้องการให้ผมทำอะไร”
“ไปไกลๆ จากชีวิตชั้น”
“แต่ผม...”
“ถ้าคุณรักอยากจะรับผิดชอบ ไปรับผิดชอบคนที่คุณทำแล้วก็ไม่ต้องมายุ่งกับชั้น”
“หมายความว่ายังไง ผมไม่เข้าใจ”
“ออกไปได้แล้ว”
“ไปรับผิดชอบคนที่คุณทำหมายความว่าอะไร ผมไม่เข้าใจ”
แพรวาพยักหน้าเรียกสมุนที่ยืนคุมเชิงอยู่ไกลๆ สมุนเข้ามาล็อคตัวไกรลากออกไป แพรวายืนหันหลังให้ไกร เจ็บปวดกับสิ่งที่ต้องกระทำน้ำตาไหลรินออกมา
ไกรถูกโยนออกมาจากบ้าน ประตูรั้วถูกปิดใส่หน้าไกร ไกรตะโกนร้องเรียกแพรวา
“แพรวา มาคุยกันก่อน แพรวาผมขอโทษ แพรวา”
ไม่มีวี่แววว่าแพรวาจะใยดีมาเปิดประตูให้เลย แพรวากล้ำกลืนกับเสียงไกรที่ร้องเรียกชื่อเธอดังข้ามรั้วมา แพรวาร้องไห้ ราตรีเดินปรบมือเข้ามา
“เก่งเหมือนกันนี่ สามารถไล่ผู้ชายที่ตัวเองทั้งรักทั้งห่วงไปได้ แต่ถ้าจะให้เก่งกว่านี้ ก็ไม่ควรมานั่งอาลัยอาวรณ์นะ”
“สะใจเธอรึยังล่ะราตรี ที่ทำลายชีวิตชั้นได้”
“ก็รู้สึกดีนะ”
“หัวใจเธอมันทำด้วยอะไรนะราตรี ชั้นไม่น่าทำอะไรเพื่อเธอเลย”
“พูดเรื่องอะไรของเธอ เธอน่ะเหรอทำอะไรเพื่อชั้น เธอน่ะทำเพื่อตัวเองทั้งนั้นแหละ” แพรวาจ้องหน้าราตรีทั้งน้ำตา ก่อนจะเดินเข้าบ้านไป “อย่ามาจ้องหน้าชั้นด้วยสายตาแบบนั้นนะ เธอนั่นแหละทำชั้นก่อน เธอแย่งทุกอย่างจากชั้นไปเองแพรวา”
แพรวาเดินจากไปแล้ว แม่บ้านเดินถือโทรศัพท์เข้ามาหาราตรี
“คุณราตรีคะ โทรศัพท์ค่ะ”
“ใคร?”
“เค้าบอกว่าเป็นลูกชายท่านรัฐมนตรีค่ะ”
“โทรหาชั้นทำไม”
“ไม่ทราบค่ะ”
ราตรีหยิบโทรศัพท์มากจากแม่บ้าน
“ฮัลโหล...ค่ะ กำลังพูด นี่ใครคะ...ที่เจอกันเมื่อวาน ชั้นน่ะเหรอคะ ... แน่ใจเหรอคะว่าราตรี...ใช่ค่ะ ... อ๋อ ค่ะ...ได้ค่ะ ไม่รังเกียจค่ะ...สวัสดีค่ะ” ราตรีครุ่นคิดถึงสายที่เพิ่งโทรเข้ามา “ลูกชายท่านรัฐมนตรีโทรชวนชั้นไปทานข้าว งั้นก็แปลว่า...แพรวาบอกว่าตัวเองเป็นชั้นน่ะสิ”
ราตรีมองตามแพรวา แอบรู้สึกผิด
อบเชยนัดจันทร์เพื่อเอายามาให้ที่ศาลาริมน้ำ
“อาการลุงเมฆเป็นยังไงบ้าง”
“เห็นไอ้ไม้บอกว่าดีขึ้น”
“จริงๆ เหรอแปลว่ายาก็ได้ผลจริง ไอ้ทิวาไม่ได้หลอก”
“อบเชย...”
อบเชยยื่นยาใส่มือจันทร์
“นี่นะ ยาห่อใหม่ เธอเอาไปให้ไม้นะ”
“อบเชย ชั้นไม่อยากทำแล้ว”
“ทำไมล่ะ”
“ชั้นรู้สึกไม่ดีที่ต้องโกหกว่าตัวเองเป็นคนหามา มันน่าละอาย ทั้งที่เธอยอมเอาตัวเองไปเสี่ยงแท้ๆ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย สุดท้ายลุงเมฆหาย ไม้มีความสุข ก็ทำเราทุกคนมีความสุข”
“เธอคิดว่าตอนนี้ไม้มันมีความสุขจริงๆ เหรอ แล้วตัวเธอเองล่ะ กำลังมีความสุขอยู่จริงๆ น่ะเหรอ”
อบเชยนิ่ง เถียงไม่ออก
“เถอะนะจันทร์ ถือว่าช่วยชั้นอีกซักครั้ง” จันทร์ลำบากใจ “ขอบใจนะ”
“เธอควรรีบกลับบ้าน ฝนจะตกแล้ว”
“อืม เดี๋ยวชั้นขอคิดอะไรอีกซักแป๊บ”
จันทร์เดินออกไป อบเชยยืนเหม่อคนเดียว
ขณะนั้นไม้ถือถุงกับข้าวมาบริเวณวัด อยู่ๆ ฝนก็เทลงมา เขามองเห็นศาลาริมน้ำจึงวิ่งเข้าไปหลบ
ไม้วิ่งเข้ามาในศาลายังไม่ทันสังเกตเห็นว่าคนที่ยืนอยู่เป็นอบเชย
“ขอหลบฝนด้วยคนนะครับ” อบเชยได้ยินเสียงไม้ จำได้จึงหันไปดู พอเห็นเป็นไม้อบเชยพยายามจะหลบไม่ให้ไม้เห็นหน้า “อากาศแปรปรวนจังนะ แดดเปรี้ยงอยู่แท้ๆ อยู่ๆ ฝนก็ตก”
“อืม”
อบเชยตอบสั้นๆ ไม่หันไปมองไม้
“เป็นคนแถวนี้เหรอครับ”
“อืม”
“ถึงว่าสิ ดูคุ้นๆ” อบเชยค่อยๆ ขยับตัวจะออกไปจากศาลา “นั่นจะไปไหนละครับ”
“กลับบ้าน”
“ฝนตกหนักขนาดนี้เนี่ยนะ ไม่รอให้มันซาก่อนละครับ”
“ไม่เป็นไร”
อบเชยจะเดินลุยฝน ไม้ห้ามไว้
“คุณรังเกียจที่ผมมาหลบฝนที่นี่”
“เปล่าค่ะ”
“งั้นทำไม ทำท่าเหมือนจะยอมลุยฝนออกไป” ไม้รั้งแขนไว้ “อย่าเพิ่งเลยครับคุณ” อบเชยหันไปหาไม้ ตกใจที่ไม้ถูกตัวเธอ ทั้งคู่เลยสบตากันจังๆ “อบเชย”
“ใช่ ชั้นเอง”
“ทำไม จะหนีชั้น เพราะกลัวกรรมที่หลอกคนอื่นไว้มันจะตามทันรึไง” อบเชยถอนหายใจ ไม่พูด
“จริงสินะ เธอเป็นแฟนทิวานี่ ทำไมยังต้องมาติดฝนแบบนี้อีกล่ะ ไอ้ทิวามันมีรถคันหรูไม่ใช่รึไง หรือแฟนไม่มารับ ปล่อยให้เธอเดินลุยฝนกลับบ้านเอง”
“มันเรื่องของชั้น”
“ทำไม ชั้นแตะต้องเธอไม่ได้อีก แม้กระทั่งความรู้สึกเลยรึไง” อบเชยนิ่ง “เธอร้ายมากนะอบเชย เธอหลอกชั้น หลอกทุกคนในชีวิตชั้นให้หลงเชื่อว่าเธอดี ชั้นเคยสงสัยว่าทำไมพันเทพถึงรู้เรื่องชั้นมากมาย
ที่แท้ เพราะมีเธอคอยคาบข่าวไปบอกนี่เอง”
“พอซะที”
“ทำไม ถึงกับทนฟังไม่ได้เลยรึไง ความจริงน่ะ”
“เธอไม่รู้อะไร อย่าพูดดีกว่า”
“ทำไมชั้นจะไม่รู้ ในเมื่อชั้นเป็นคนที่เจ็บ เจ็บที่หลงเชื่อคนอย่างเธอ”
อบเชยน้ำท่วมปากพูดอะไรไม่ได้ น้ำตาจะไหล เธอเดินหนีไม้ออกมาตากฝนเพื่อจะได้ไม่มีใครเห็นน้ำตาของเธอ ไม้วิ่งตามออกมาคว้าตัวอบเชยไว้
“ชั้นยังพูดไม่จบ อย่าเดินหนีชั้น”
“ปล่อยชั้นไปเถอะ”
“ชั้นจะปล่อยคนโกหกอย่างเธอไปง่ายๆ ได้ยังไง”
“เธอก็มีความสุขดีกับแพรวาแล้วนี่”
“อย่าเอาตัวเธอไปเปรียบกับคุณแพรวา มันคนละชั้นกัน”
“งั้นก็ปล่อยชั้นไปสิ ชั้นเทียบอะไรกับใครไม่ได้หรอก”
“ชั้นอยากจะรู้นักว่าไอ้ทิวามันยังจะอยากได้ผู้หญิงที่มีมลทินแบบเธอรึเปล่า”
ไม้ดึงอบเชยเข้ามาแล้วจูบเธอ อบเชยดิ้นพล่านขัดขืนไม้ แต่ไม้ก็ไม่สน อบเชยผลักตัวเองออกจนได้
“ดีแต่ว่าคนอื่น ตัวเองก็ไม่ได้ดีเลย”
“คนอย่างเธอชั้นไม่จำเป็นต้องคุยดีๆ ด้วยให้เสียเวลาอีกแล้ว” อบเชยเสียใจที่ไม้ทำกับเธอแบบนั้น
“ฝากบอกไอ้ทิวาด้วยนะ ว่ามันไม่ใช่จูบแรกของเธอ”
อบเชยเสียใจวิ่งออกไป ไม้เหมือนจะสะใจที่ได้ทำแต่เขาก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน
จันทร์มาหาหลวงพ่อที่กุฏิ หลวงพ่อเดินเข้ามา
“ทำวัตรเย็นเสร็จ...ไม่คิดว่าจะมีคนมาอีกนะ”
“ขอโทษครับหลวงพ่อที่รบกวน”
“โยมมีเรื่องอะไรร้อนใจรึ ถึงมาซะค่ำมืดอย่างนี้”
จันทร์วางห่อสมุนไพรให้หลวงพ่อ
“หลวงพ่อพอจะรู้มั้ยครับว่านี่มันอะไร”
หลวงพ่อรับมาแกะห่อดู
“ยาสมุนไพรนี่”
“ครับ หลวงพ่อรู้จักมั้ยครับว่ามันเป็นต้นอะไร”
“อาตมาหน้าเหมือนหมอจีนรึไง โยมถึงมาถามอาตมา”
“ผมก็ไม่รู้จะไปถามใครแล้วครับ ถ้ามีใครซักคนรู้คงดีเพื่อนผมจะได้ไม่ต้องเดือดร้อน”
“เดี๋ยวอาตมาจะลองให้เด็กวัดคนนึงลองดูนะ เด็กลูกวัดคนนั้นพอรู้เรื่องสมุนไพรอยู่บ้าง”
“จริงเหรอครับ”
เด็กวัดที่หลางพ่อพูดถึงก็คือชาญ ชาญสูดกลิ่นสมุนไพรเข้าเต็มปอด หยิบสมุนไพรเข้าปากเคี้ยวๆ
“นี่น่ะเหรอครับเด็กลูกวัดที่หลวงพ่อว่า”
“แน่นอน ข้าน่ะเก่งเรื่องสมุนไพรสุดในวัดนี้แล้ว รักษาให้เด็กวัดมาก็หลายคน ข้าไม่เคยบอกเอ็งรึไง”
“เคยบอกว่าเคยเรียนจากที่เผ่าอะไรนั่น”
“ปกากะญอ”
“เออ นั่นแหละ แต่ก็ไม่เห็นเคยบอกว่าเชี่ยวชาญ”
“จริงๆ ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรหรอก แค่พอรู้พวกพื้นฐานน่ะ”
“แล้วสมุนไพรนี้...รู้จักมั้ยล่ะ”
“ไม่รู้จัก”
“ขอบใจ”
“แต่เดี๋ยวก่อน กลิ่นของมันข้าคุ้นจมูกอยู่ เหมือนว่าเคยได้กลิ่นที่ไหน แต่ข้าไม่รับปากหรอกนะว่าจะหาได้มั้ย ว่าแต่เอ็งจะเอาไปทำอะไร”
“ก็รักษาพ่อไม้น่ะสิ”
“ถ้าเพื่อพี่เมฆละก็ ชั้นจะพยายามหามาให้ได้”
ชาญบอกอย่างมั่นใจ
กลางดึกคืนนั้นขณะที่พันเทพนอนหลับ เขาก็ฝันร้ายถึงเหตุการณ์ตอนที่เขาเลือกไม้ตะพดแล้วปล่อยไม้ตกหน้าผา พันเทพสะดุ้งตื่นเหงื่อผุดเป็นเม็ด
“ไม้”
วันต่อมาพันเทพมายืนอยู่หน้าบ้านเมฆ พันเทพเปิดประตูบ้านแล้วเดินเข้ามาในบ้านเมฆ เมฆยืนงงเพราะยังไม่ค่อยหายดีนัก
“มีธุระอะไรเหรอ”
“มีปัญญากลับมาจากป่าอาถรรพ์เหมือนกันเรอะ”
“ป่าอาถรรพ์ เรื่องอะไร...มา มา เชิญข้างใน มานั่งก่อน”
พันเทพมองเมฆอย่างสมเพช
“สมน้ำหน้า”
“กินน้ำกินท่าก่อนก็แล้วกันนะ”
“ไม้ตะพดวิญญาณอยู่ไหน”
“ไม้ตะพด...ไม้ตะพดอะไรนะ ชั้นจำไม่ได้”
“พยายามนึกดูดีๆ แกไม่มีคนสืบทอดไม้ตะพดอีกต่อไปแล้ว เอาไม้ตะพดมาให้ชั้นดีกว่า”
เมฆตาลอยไม่รู้เรื่อง ขณะนั้นไม้กลับมาบ้านพร้อมกับของเต็มไม้เต็มมือ
“ใครบอกว่าชั้นไม่อยู่แล้วล่ะ ชั้นไม่ได้ตายง่ายๆ แบบนั้นหรอกพันเทพ”
พันเทพเห็นไม้ ทั้งช็อคทั้งดีใจ
“ไม้”
พันเทพเห็นไม้กลับมาจากตลาด จึงรู้ว่าไม้ยังไม่ตาย
“ไม้ เธอยังไม่ตายจริงๆ”
“ฆ่ากันมันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก แต่สิ่งที่แกต้องชดใช้ ก็คือทำให้พ่อต้องความจำเสื่อม เพราะสมุนไพรถอนคำสาป ที่แกหลอกให้พ่อกิน”
“แล้วมันถอนคำสาปได้มั้ยล่ะ”
“แต่แกไม่บอกว่าจะทำให้พ่อเป็นแบบนี้”
“ไม้...เธอต้องทำความเข้าใจหน่อยนะ สมุนไพรนั่น ชั้นไม่ได้บังคับให้มันกิน ปากก็ปากมัน ใจก็ใจมัน ชั้นจะไปบังคับมันได้ยังไง ตัวมันเป็นคนหยิบไปกินเอง ตั้งแต่เมื่อไหร่ ยังไม่รู้ จะมาโทษกันได้ยังไง”
“ชั้นอยากจะฆ่าแกให้ตายซะตรงนี้”
“เป็นความคิดที่ไม่ฉลาดเลยไม้ เธอจะเสียใจแน่เมื่อถึงวันหนึ่ง”
“ไม่มีวันไหนที่ชั้นจะเสียใจ”
“มีสิ...วันที่เธอได้รู้ว่าคนที่เธอพยายามจะช่วยอยู่น่ะ ไม่ได้มีค่าอะไรกับเธอเลย”
“ชั้นไม่มีทางคิดกับพ่อแบบนั้น”
“เพราะเธอยังไม่รู้อะไรน่ะสิ”
“เรื่องอะไร?”
“เธออยากรู้จริงๆ น่ะเหรอ ...ร่วมมือกับชั้นสิ เอาไม้ตะพดมาให้ชั้น แล้วเราจะยิ่งใหญ่ไปด้วยกัน”
“ฝันไปเถอะพันเทพ ชั้นจะเป็นคนที่ขัดขวางแกทุกทางไม่ให้แกมีวันนั้น”
“ดี...ชั้นชอบที่เธอเป็นแบบนี้ เด็ดเดี่ยว แน่วแน่ เธอไม่รู้หรอกว่าชั้นดีใจขนาดไหนที่เธอยังไม่ตาย”
“แกกำลังจะบอกให้คนที่แกพยายามจะฆ่า เชื่อคำพูดของแกงั้นเหรอ”
“ตามใจ ไม่เชื่อก็ตามใจ”
ขณะที่ไม้กับพันเทพกำลังปะทะคารมกัน เมฆก็ออกมาจากห้องในอาการที่ยังเบลอๆ อยู่
“พ่อ...แกคือพ่อใช่มั้ย แกคือพ่อ...”
“พ่อออกมาทำไม กลับเข้าไปในห้องก่อน”
“พ่อรู้ความจริงแล้วนะ ทิวาเป็นลูก เป็นลูกจริงๆ”
“พ่อพูดอะไรเลอะเทอะอีกแล้ว เข้าไปในห้องก่อนไป” ไม้พาเมฆเข้าไปในห้อง พันเทพหัวเราะเสียงดังกับสิ่งที่เมฆพูด “หัวเราะอะไร”
“เปล๊า”
“หัวเราะไปเถอะ คราวนี้ชั้นไม่มีวันยอมให้แกมาทำอะไรครอบครัวชั้นอีกแน่”
“แล้วชั้นจะคอยดู”
พันเทพเดินหัวเราะออกไปจากบ้านเมฆ ไม้เจ็บใจ เขารู้สึกเหมือนโดนเยาะเย้ย
ที่บ้านศรนารายณ์ ขณะนั้นเคาะประตูห้องอบเชย
“อบเชย อบเชยเอ้ย สายแล้วนะลูก ตื่นได้แล้ว อบเชย...”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบจากภายใน ศรนารายณ์เปิดประตูเข้าไป ศรนารายณ์เปิดประตูเข้าไปในห้อง เห็นอบเชยยังนอนหลับสนิทอยู่จึงเดินไปปลุกอบเชยถึงเตียงนอน
“ไอ้ลูกพ่อคนนี้ ปกติมันไม่ขี้เซาขนาดนี้นี่ะ” ศรนารายณ์จับตัวอบเชย “อบเชย ลูก ...ตัวร้อนจี๋เลย บอกแล้วอย่าไปตากฝนเป็นเด็กๆ ไอ้ลูกคนนี้”
ศรนารายณ์รีบไปจัดแจงยา ผ้ามาเช็ดตัวให้ลูก
เวลาผ่านเวลา ศรนารายณ์เช็ดตัวให้อบเชยที่ยังหลับไม่ได้สติเพราะพิษไข้ แล้วอบเชยก็เพ้อถึงไม้
“ไม้ ไม้ ชั้นขอโทษ ชั้นขอโทษนะไม้”
“ดูมัน ป่วยแล้วยังห่วงคนอื่นอีก”
ศรนารายณ์ส่ายหน้า เห็นใจลูกตัวเอง
ศรนารายณ์เดินเข้ามาที่ท่ารถบขส. ด้วยหน้าตาไม่ค่อยสบายใจนัก
“เป็นไรน่ะน้าศร หน้าตาไม่ค่อยสบายใจเลย” จันทร์ถาม
“ก็อบเชยน่ะสิ ป่วยหนักเลย สงสัยเพราะตากฝนกลับบ้านเมื่อวาน”
จันทร์ชำเลืองดูไม้ ไม้ทำไม่สนใจ
“แล้วพาไปหาหมอรึยัง”
“โอ๊ย...เป็นหวัดนิดหน่อย ไม่ต้องไปหาหมอหรอก ให้มันกินยานอนอยู่บ้านเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้วมั้ง”
“แล้วตอนนี้ดีขึ้นรึยังครับเนี่ย” จันทร์ถามต่อ
“ยัง”
“อ้าว”
“เพ้อเพราะพิษไข้...ห่วงแต่คนบางคนที่ไม่ไปดูดำดูดี”
“ใครน่ะครับ”
ศรนารายณ์ชำเลืองมองไม้
“ก็แถวๆ นี้”
จันทร์หันไปมองไม้เหมือนกัน ไม้เองทำไม่สนใจ
“ก็คงเพ้อถึงแฟนเค้าละสิ ทิวาไง”
“นี่ไม้...ถามจริงๆ เหอะ เธอกับอบเชยนี่โกรธอะไรกันเหรอเห็นหน้าอบเชยมันอมทุกข์มาหลายวันแล้ว” ศรนารายณ์ถามตรงๆ
“คงไม่ได้ทุกข์เรื่องชั้นหรอก คงทุกข์เรื่องทิวาละมั้ง”
“เอาอะไรมาพูด ชั้นเห็นวันๆ อบเชยก็เอาแต่พูดถึงเรื่องของเธอมันจะไปเป็นแฟนกับไอ้ทิวาได้ยังไง ไม่มีทาง”
“อาศรก็ลองไปถามลูกสาวอาเองก็แล้วกัน ผมไม่อยากพูดอะไรมาก”
“แล้วนี่จะไม่ไปเยี่ยมมันหน่อยรึไง” ไม้ส่ายหน้า
“ชั้นกับอบเชยไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน”
“นี่ไอ้ไม้ แกอย่าโง่ไปหน่อยเลยว่ะ” จันทร์ต่อว่าไม้
“เอ๊ะนี่แก...ทำไมอยู่ๆ ก็มาด่าชั้นวะ”
จันทร์อึดอัดอยากพูด แต่ก็พูดไม่ได้
“เออ อยากทำอะไรกับชีวิตตัวเองก็ทำไปเถอะ” จันทร์เดินหนีไป
“อะไรของมัน อยู่ๆ ก็อารมณ์ขึ้นไม่มีสาเหตุ”
“วัยรุ่นนี่มันเข้าใจยากจริง”
ศรนารายณ์บ่นแล้วเดินจากไปอีกคน ไม้นิ่งคิดถึงเรื่องอบเชย
“เพราะชั้น ทำให้เธอไม่สบายเหรอเนี่ย?”
ขณะนั้นทิวามาหาอบเชยที่บ้าน ทิวาตะโกนเรียกอบเชยเสียงกร้าว
“อบเชย ออกมานี่เดี๋ยวนี้นะ อบเชย”
บ้านเงียบไม่มีเสียงตอบรับ ทิวาบุกเข้าไปในบ้านอบเชย แล้วเดินหาอบเชยตามห้องต่างๆ
“อบเชย เธออยู่ไหน ออกมาคุยกันให้รู้เรื่อง อบเชย”
ทิวาเปิดเข้าไปในห้องนอนอบเชยจึงเห็นอบเชยหลับอยู่บนเตียง ทิวาเดินเข้าไปปลุกอบเชยอย่างไม่เกรงใจ
“อบเชย เธอตื่นมาคุยกับชั้นเดี๋ยวนี้นะ อบเชย”
อบเชยตื่นมาอย่างอ่อนแรง มองทิวาอย่างเบื่อๆ เธอฝืนตัวลุกขึ้นนั่ง
“มีอะไร”
“เมื่อวานเธอไปจูบกับไอ้ไม้มาใช่มั้ย” อบเชยเบลอๆ “เธอคิดจะลองดีกับชั้นรึไง คิดว่าชั้นไม่กล้าทำอะไรเธอใช่มั้ย” ทิวาจับตัวอบเชยลุกขึ้นแล้วเขย่าอย่างอารมณ์เสีย “ดี ทีนี้เธอจะได้รู้ว่าการผิดสัญญากับชั้นเป็นยังไง”
ทิวายังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ อบเชยก็เป็นลมล้มพับไปก่อน ทิวาประคองเธอไว้ในอ้อมกอด
“นี่เป็นอะไรเนี่ย อบเชย”
ขณะนั้นไม้อยู่หน้าบ้านศรนารายณ์ ไม้มองซ้ายมองขวาไม่เห็นใครอยู่แถวนั้น ไม้จึงเดินมาบ้านศรนารายณ์เพราะเป็นห่วงอบเชย จังหวะเดียวกับที่ไม้เห็นอบเชยอยู่ในอ้อมกอดของทิวาผ่านทางหน้าต่างบ้านพอดี ไม้หลับตาลงทันที ในมือก็กำหมัดแน่น
“แกจะเสนอหน้ามาทำไมไอ้ไม้...ยังเจ็บไม่พอใช่มั้ย ทีนี้เป็นไงล่ะ เจ็บพอรึยัง”
ไม้หันหลังเดินกลับ ไม่หันกลับไปมองอบเชยอีกเลย
ที่ห้องอบเชย ทิวาอุ้มอบเชยไปนอนบนเตียงเหมือนเดิม ทิวาคลายอารมณ์โกรธลง
“อย่าคิดว่าไม่สบายแล้วชั้นจะให้อภัยเธอนะอบเชย ยังไงเธอก็ขัดคำสั่งชั้น ชั้นไม่ยอมเธอแน่”
ทิวามองอบเชย ห่วงใยอยู่ลึกๆ
ทิวาเดินออกมาจากบ้านของศรนารายณ์เจอเมฆยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าบ้าน
“ไอ้เป๋ แกอีกแล้วเหรอ”
“ชั้นมาหาศรนารายณ์ ศรนารายณ์ที่เป็นนักมวยน่ะ ชั้นจำได้ แต่อยู่ๆ ชั้นก็ลืมว่าชั้นต้องทำยังไงถึงจะเข้าไปในนั้นได้”
“ก็เปิดประตูสิไอ้โง่เอ้ย”
“เปิดประตู ยังไงนะ”
“นี่มันเปิดอยู่แล้ว แกยังจะเปิดอะไรอีกล่ะ”
“พูดดีๆ สิทิวา นี่พ่อนะ”
“ใครเป็นลูกแก จำใส่สมองเสื่อมๆ ของแกไว้ด้วยนะ ว่าชั้น...ทิวา ไม่มีทางเป็นลูกแก”
เมฆนิ่งเหมือนเข้าใจหน้าเศร้า แต่เดี๋ยวเค้าก็ลืมอีก ทิวากำลังจะเดินไปแล้ว เมฆก็เรียกอีก
“ทิวาลูกพ่อ”
“โอ๊ย ไอ้บ้า...นี่ชั้นต้องเอายาให้อบเชยมากกว่านี้ซะละมั้ง น่ารำคาญจริง”
ทิวาเดินออกไป ศรนารายณ์เข้ามาอีกทางนึง
“อ้าวพี่เมฆ”
“ใครน่ะ...ลูกเหรอ”
“ลูกเลิกอะไรกันพี่ ชั้นศรนารายณ์เอง ศรนารายณ์นักมวยแชมป์ 14 สมัยไง ทำเป็นจำไม่ได้”
เมฆนิ่งไปชั่วอึดใจ
“มาเยี่ยมเหรอ เข้าไปกินน้ำกินท่ากันหน่อยสิ”
“นี่บ้านชั้นพี่... อาการหนักสมคำร่ำลือจริงๆ”
ศรนารายณ์พึมพำคนเดียว
ศรนารายณ์พาเมฆเข้ามาในบ้าน
“ว่าจะไปเยี่ยมอยู่เลยเนี่ย”
“เยี่ยมทำไม ไม่ได้เป็นอะไรเลย”
“เหรอ...ไม่ได้เป็นก็ไม่ได้เป็น แล้วนี่ใครปล่อยให้พี่ออกมาจากบ้านเนี่ย แบบนี้มันอันตรายนะ หลงขึ้นมากลับไม่ถูกละแย่”
“เอาอะไรมาพูด ก็นี่บ้านชั้น”
“เอาเข้าไป” อบเชยเดินสโลสเลออกมาจากห้อง “ไหวมั้ยนั่นน่ะ”
ศรนารายณ์ถามลูกสาวอย่างเป็นห่วง
“ก็โอเค แล้วทิวาล่ะ”
“ทิวาอะไร ไม่เห็นจะเห็นเลย มีแต่พี่เมฆนี่แหละ”
“ลุงเมฆเหรอ” อบเชยหันไปมองเมฆ “ลุงเมฆหายแล้วเหรอคะ”
“ก็ลองคุยดูสิ”
อบเชยเดินไปหาเมฆทั้งๆ ที่ป่วยหนัก
“ลุงเมฆเป็นไงบ้างคะ” เมฆเหม่อ“ลุงเมฆ”
“นี่ชั้นมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน”
“ชั้นก็สงสัย ว่าพี่มาได้ไง ไอ้ไม้ไม่น่าปล่อยให้ออกมาได้”
“ชั้นจะมาหา...อ้าว ศรนารายณ์”
ศรนารายณ์ทำหน้างง
“ว่าไงพี่เมฆ... อาการมันเดี๋ยวดี เดี๋ยวร้ายใช่มั้ยเนี่ย” ศรนารายณ์บ่นคนเดียว
“นี่ตั้งใจจะมาหาเลย เป็นยังไงบ้าง ไม่ได้เจอกันหลายวัน”
“ลุงเมฆหายแล้วจริงๆ ด้วย” อบเชยบอกอย่างดีใจ
“เธอก็พูดแปลกๆ นะอบเชย ชั้นไม่ได้เป็นอะไร”
“ลุงเมฆได้กินยาของวันนี้ไปบ้างรึยัง”
“ยา ยาอะไร”
“สมุนไพรที่ไม้เอาไปให้ไง กินไปรึยัง”
“ยังหรอก”
“ถ้างั้น เดี๋ยวชั้นทำให้กินนะ ที่ชั้นก็มี”
“นี่ตัวเองยังไม่รอด จะทำยาให้คนอื่นอีกเรอะอบเชย” อบเชยค้อนพ่อ แล้วพาร่างกายที่เพิ่งได้สติไปทำสมุนไพรให้เมฆ “แล้วนี่เราไปมียารักษาพี่เมฆเค้าได้ยังไงเนี่ย ห๊า” อบเชยหายเข้าครัวโดยไม่ตอบคำถามพ่อ “ดูมัน พ่อถามไม่เคยสนใจฟัง”
ส่วนไม้เมื่อกลับถึงบ้านก็เรียกหาพ่อทันที
“พ่อชั้นกลับมาแล้ว” ไม่มีเสียงตอบรับจากภายในบ้าน “พ่อ” ไม้เริ่มสังเกตสิ่งผิดปกติ เขาเริ่มเดินตามหาพ่อในบ้าน “พ่อ พ่อ พ่อ”
ไม้เดินไปเตะเอกสารบางสิ่งใต้เตียง ไม้หยิบมันขึ้นมาเปิดดูจึงเห็นเป็น ประวัติวัยเด็กของทิวามีรูปตอนเด็กๆ ของด.ช.ทิวาตอนแรกเกิดแนบด้วย ไม้สงสัย
“ประวัติทิวา มาอยู่บ้านเราได้ยังไง” ไม้วางประวัติทิวาไว้ มองหาเมฆต่อ ไม้ไม่เจอเมฆเริ่มร้อนใจ
“พ่อ พ่อ” ไม้เดินตามหาเมฆออกมานอกตัวบ้าน แต่ก็ยังไม่มีวี่แวว “พ่อ พ่อ พ่อ”
ขณะนั้นเมฆยังอยู่บ้านศรนารายณ์ เมฆดื่มสมุนไพรจนหมด อบเชยยืนยิ้มดีใจ
“กินยาง่ายแบบนี้ เดี๋ยวก็หายแล้วค่ะ ไม่เหมือนพ่อ...กว่าจะกินได้แต่ละอย่าง อ้างโน่นอ้างนี่”
“ก็ร่างกายมันเยียวยาตัวเองได้”
“แต่วัยมันก็ขนาดนี้แล้ว”
“เดี๋ยวชั้นกลับบ้านก่อนดีกว่า”
ศรนารายณ์ดูนาฬิกา
“ตายละ ตาย ลูกค้าสั่งน้ำแข็งไว้นี่นา ลืมไปเลย”
“เดี๋ยวพ่อ...ไปส่งลุงเมฆก่อนสิ”
“ลูกก็ไปส่งแทนพ่อหน่อยสิ พ่อติดงาน”
“แต่...พ่อลืมไปแล้วรึไงว่าชั้นป่วยอยู่”
“เอาน่า ลูกน่ะลูกแชมป์โลก ป่วยแค่ไหนก็ไม่ถึงตายหรอก”
ศรนารายณ์รีบวิ่งออกไป เหลือเมฆกับอบเชย
ส่วนไม้เมื่อตามหาเมฆที่บ้านไม่เจอ จึงวิ่งไปตามถนน เจอใครเดินผ่านก็ถามหาเมฆ
“เห็นพ่อมั้ยป้า เห็นพ่อเดินมาแถวนี้มั่งมั้ย”
ชาวบ้านส่ายหน้าไม่รู้ ไม้ร้อนใจ รีบเดินหา แต่แล้วก็หันไปเห็นเมฆเดินมากับอบเชยอย่างอารมณ์ดี
“ลุงเมฆต้องทานยาให้ครบสามเวลาเลยนะ จะได้หายเร็วๆ”
“รู้แล้วน่า นี่ย้ำเรื่องนี้ตลอดทางเลย”
ไม้รีบเข้ามาแทรก กระชากเมฆแยกออกมาจากอบเชย
“เธอพาพ่อชั้นไปไหนมา”
“ชั้น...”
“พ่อ อย่าไปไว้ใจคนแปลกหน้าสิ คนเดี๋ยวนี้ไว้ใจได้ที่ไหน หน้าเนื้อใจเสือทั้งนั้น”
“แต่นี่มันคนกันเอง” อบเชยแย้ง
“ไอ้คนกันเองนี่แหละยิ่งแล้วใหญ่ ทำตัวให้คนอื่นไว้ใจแล้วค่อยหักหลัง นี่คงคิดจะมาล้วงความลับอะไรละสิ”
“อยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะ”
อบเชยมองไม่พูดอะไรจะเดินจากไป อยู่ๆ อบเชยก็หน้ามืดขึ้นมา เซล้มลงไป ไม้ห่วงจะเข้าไปช่วย
แต่ก็นึกภาพอบเชยกับทิวาที่ทำในห้องที่ตนเห็นขึ้นมา ไม้จึงโกรธไม่เข้าไปช่วย อบเชยเวียนหัวนั่งอยู่กับพื้น เมฆทนไม่ไหวเข้าไปช่วยอบเชยแทน
“เป็นอะไรมากมั้ยเนี่ย”
“แค่หน้ามืดนิดหน่อยค่ะ นั่งพักแป๊บนึงคงดีขึ้น”
“สำออยละสิ จะแกล้งป่วยให้ผู้ชายเห็นใจ ไม้นี้เก็บไว้ใช้กับไอ้ทิวาคนเดียวเถอะ”
“ไปพักบ้านชั้นก่อนเถอะ”
“ไม่ต้องหรอกพ่อ เค้าไม่ได้เป็นไรมาก เรากลับกันเถอะ”
ไม้พยุงเมฆกลับบ้าน โดยไม่สนใจอบเชย อบเชยมองไม้เศร้าๆ ค่อยพยุงตัวลุกขึ้นเดินกลับบ้าน
ไม้พาเมฆเข้ามาในบ้าน
“เดี๋ยวพ่อกินยาหน่อยนะ” ไม้เอายาวางให้
“ยาอะไรอีก นี่ก็เพิ่งกินมา”
“เพิ่งกินมา กินอะไรมาพ่อ”
“ก็ยาน่ะสิ”
“ยาอะไร จากที่ไหน”
“ก็จากบ้านศรนารายณ์น่ะสิ ยาแบบนี้เลย”
“แต่นี่มันยาที่ไม่ได้หาได้ง่ายๆ นะ บ้านอาศรจะมีได้ไงหรืออบเชย...”
ไม้สงสัยอะไรบางอย่าง รีบออกจากบ้านไป ไม้วิ่งกลับมาที่เดิม มองหาอบเชยแต่ไม่เห็นเธอแล้ว
“สุดท้ายก็ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ไม่มีทางที่ยายนั่นจะมียาจริงๆ หรอก ก็คงแค่แกล้งหลอกพ่อเท่านั้นแหละ”
ไม้พยายามจะมีหวังกับอบเชย แต่สุดท้ายเขาก็เป็นคนตัดความหวังนั่นซะเอง
ส่วนทิวาเมื่อกลับมาบ้าน ทิวาหงุดหงิดเดินวนไปมาอยู่ในห้องตัวเอง ยังไม่เห็นตัวเวตาล เห็นแต่ของที่เวตาลถือลอยไปลอยมา
“เมื่อไหร่แกจะกลับมามีตัวตนซักที ชั้นตกใจทุกครั้งที่แกโผล่มา”
“อีกไม่นานหรอก หึหึ”
“ตอนนี้แผนการชักจะไม่ได้เรื่อง เราต้องคิดหาวิธีอื่นแล้วล่ะ”
“ร้อนใจเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องอบเชยน่ะสิ ร้ายนัก เมื่อวานคนมารายงานว่าไปจูบกับไอ้ไม้ เจ็บใจนัก ขนาดวางเงื่อนไขไว้แน่นหนา ก็ยังแอบกลับไปหาไอ้ไม้จนได้ กล้าดูถูกชั้นกันนัก”
“ข้าไม่เห็นว่ามีเรื่องอะไรต้องร้อนใจนี่”
“ก็ไม่ใช่ตัวแกนี่ แกจะร้อนใจทำไม”
“ไม่ใช่เหตุผลเพราะมันไม่ใช่เรื่องของข้าหรอก ข้าเพียงเห็นว่ามันง่ายนิดเดียวที่จะจัดการเรื่องนี้
หากผู้ใดไม่ทำตามเงื่อนไข เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องทำตามเช่นกัน”
“ก็นั่นไง ไม่ทำตาม แล้วทำอะไรล่ะ”
“ตามใจของเจ้าเอง”
“จริงสิ ชั้นมีเรื่องที่อยากทำเต็มไปหมดเลยด้วย”
ทิวาเห็นด้วยกับความคิดเวตาล แววตามีแผนร้าย
อ่านต่อหน้า 3
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 10 (ต่อ)
ที่ท่ารถบขส.จันทร์ยืนรอชาญอย่างร้อนใจ จนกระทั่งชาญเดินเข้ามา
“ตกลงได้เรื่องมั้ย...เรื่องสมุนไพรที่ว่าน่ะ”
ชาญหยิบห่อยาออกมา
“ได้มาแล้ว แต่ข้าไม่แน่ใจหรอกนะ”
“หมายความว่าไง ไม่แน่ใจ”
“ก็ข้าอาศัยดมจากกลิ่นเอาน่ะ หากมันเป็นสมุนไพรที่กลิ่นคล้ายกัน แต่สรรพคุณต่างกัน อันนั้นก็จะแย่”
“อ้าว แล้วมันมีเยอะมั้ยไอ้ที่กลิ่นเหมือนกันแต่สรรพคุณต่างกัน”
“ก็... ไม่แน่ใจอีกเหมือนกันว่ะ”
“แล้วทีนี้จะพึ่งได้มั้ยเนี่ย ถ้าไปลองกับลุงเมฆแล้วเป็นหนักกว่าเดิมจะซวยนะ”
“เราคงต้องหาตัวทดลอง”
“บ้าเหรอ...ใครจะยอม”
“ก็อย่าให้เค้ารู้สิ”
“แล้วถ้าคนนั้นเค้าเป็นอะไรขึ้นมาเล่า”
“ไม่มีใครรู้หรอกมั้ง เราก็หาคนแข็งแรงๆ หน่อยสิ จะได้อดทน ไม่ตายง่ายๆ”
“ทฤษฎีอะไรของพี่ คนแข็งแรงที่พี่ว่า ไหนลองยกตัวอย่างมาซักคนซิ”
ศรนารายณ์เดินเข้ามาในท่ารถพอดี ถือข้าวของมาเต็มไม้เต็มมือ
“เฮ้ยพวกเรา ป๋าซื้อของอร่อยมาฝากเร็ว มากินด้วยกัน”
ชาญมองศรนารายณ์ว่าคนนี้แหละ จันทร์มองตาม
“เฮ้ย...เล่นตัวพ่อเลยเหรอ”
ชาญเดินดุ่ยๆ เข้าไปร่วมวง จันทร์เดินตามเข้าไปด้วย
“แหมพี่นี่ใจดีจริงๆ รู้ได้ไงว่าชั้นกำลังหิวพอดี” จันทร์มาสมทบด้วย แต่ไม่พูดอะไร “ตะกละจริงๆ นะเอ็ง”
“เดี๋ยวชั้นเอาไปใส่จานมาให้พี่กินนะ”
“เออดี ทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อย”
จันทร์มองดูวิธีการของชาญ
ชาญเข้ามาด้านหลังท่ารถ จัดแจงเอาน้ำร้อนผสมกับสมุนไพรให้ได้ที่
“เอาจริงเหรอพี่” จันทร์ตามมาถาม
“ก็ลองดู ชั้นว่าไม่ถึงกับตายหรอก”
“แล้วนี่เราจะรู้ได้ไงว่าได้ผลเกี่ยวกับคนที่ป่วยเป็นความจำเสื่อมจริงๆ”
“ก็ต้องอาศัย...ฟ้าดิน”
“เฮ้ย!”
ชาญยกถ้วยสมุนไพรไปเสิร์ฟ
“เอาอันอื่นใส่จานแล้วยกตามมาด้วย”
ชาญบอกแล้วเดินออกไปโดยไม่รอ
ชาญยกแก้วสมุนไพรมาเสิร์ฟให้ศรนารายณ์
“น้ำดื่มอุ่นๆ บำรุงกำลังจ้ะ”
“ชั้นไม่ได้สั่งนี่”
“ชั้นทำพิเศษมาให้จ้ะ กินสิ...ทำงานมาเหนื่อยๆ กินแล้วชื่นใจ”
ศรนารายณ์ยกแก้วขึ้นจิบ
“หืม รสชาติอย่างกับยาจีน”
“หวานเป็นลม ขมเป็นยาพี่ศร กินให้หมดเลยพี่
จันทร์ยกอาหารต่างๆ ใส่ถาดมาสมทบ เห็นศรนารายณ์กำลังยกแก้วดื่ม มองลุ้นๆ ศรนารายณ์วางแก้วลงแล้วนึกบางอย่างได้ ยืนตบๆ ตามกระเป๋ากางเกงต่างๆ
“หาอะไรน่ะอาศร”
“กุญแจรถน่ะสิ ถือมาแล้วเอาไปไว้ไหนวะ รถของโรงน้ำแข็งซะด้วย”
“เอาแล้วไงพี่ชาญ เริ่มลืมไปอีกคนละ” จันทร์กระซิบบอกกับชาญ
“พี่นึกดีๆ ดิ อย่ามาลืมเอาตอนนี้”
ศรนารายณ์อยู่ๆ ก็นิ่งไป จันทร์ ชาญ มองจ้องศรนารายณ์ ลุ้นว่าจะความจำเสื่อมไปอีกคนมั้ย แต่แล้วศรนารายณ์ก็นึกขึ้นได้ พูดขึ้นมา
“อ๋อ” ศรนารายณ์หยิบออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “นึกตั้งนาน อยู่นี่นี่เอง” จันทร์กับชาญถอนหายใจโล่งอก “พักนี้ขี้ลืม ไม่รู้เป็นอะไร แต่เมื่อกี้ให้กินน้ำอะไรเข้าไปนะ รู้สึกหัวโล่งดีจริง”
จันทร์กับชาญโล่งใจกว่าเดิม
อบเชยเดินแทบจะหมดเรี่ยวแรงกลับมาบ้าน เธอนั่งพักที่หน้าบ้าน
“เธอเลือกที่จะทำแบบนี้เองนะอบเชย เธอต้องทน ต้องผ่านมันไปให้ได้สิ”
อบเชยสิ้นหวังเรื่องไม้ ทิวาขับรถมาจอดหน้าบ้านศรนารายณ์ อบเชยเห็นรถทิวาก็เซ็งๆ
ทิวาลงจากรถมาหาอบเชย
“ไปกับชั้นเดี๋ยวนี้”
“ชั้นไม่ค่อยสบาย”
“จะเอามั้ย ยาน่ะ งั้นชั้นจะโยนทิ้งให้หมดตรงนี้แหละ”
ทิวาหยิบห่อยาออกมาแกะ จะเททิ้ง
“ไปแล้ว”
“ก็แค่นี้ ชอบทำให้มากเรื่อง”
“จะไปไหน”
“เธอจะรู้หรือไม่รู้ เธอก็ต้องไปอยู่ดี”
ทิวาขับรถมาจอดรถหน้าบ้านเมฆ
“นี่พาชั้นมาที่นี่ทำไม”
“นี่ไม่ใช่ธุระของเธอ มันเป็นธุระของชั้น”
“แต่...”
“เธอคงรู้ใช่มั้ย ว่าถ้าชั้นกลับมาไม่เจอเธอ คนที่จะซวยไม่ใช่เธอ แต่เป็นคนในบ้านนั่น ดังนั้นอยู่เฉยๆ ทำตามคำสั่งชั้นก็พอ”
ทิวาลงจากรถไป อบเชยชะเง้อตาม ห่วงคนในบ้าน ทั้งไม้ ทั้งเมฆ
ภายในบ้านเมฆเปิดหนังสือนิทานเวตาล พยายามจะอ่านให้ได้ทุกตัว
“เว...ตาล อา...ศัย...อยู่ในป่า...” ทิวาเดินเข้ามา “อ้าวทิวา...ลูกพ่อ หายไปไหนมาตั้งหลายวันแน่ะ พ่อรอลูกทุกวันเลย”
“นี่แกท่าทางอยากจะเป็นพ่อชั้นมากเลยนะเนี่ย”
“มาๆ มากินข้าวกินปลาก่อนมา”
“ชั้นไม่ได้มากินข้าวกับแก”
“เอาอีกแล้ว พูดจาไม่เพราะอีกแล้ว”
“ถ้าอยากกินข้าวกับชั้นนัก ก็ตามชั้นมาสิ”
ทิวาเดินออกไป เมฆเดินตามทิวาไปหยิบหนังสือนิทานเวตาลติดไปด้วย
ทิวากลับมาที่รถ อบเชยเห็นเมฆตามมาด้วยแล้วเปิดประตูรถเข้านั่ง อบเชยงง
“ลุงเมฆจะไปไหน” อบเชยถามอย่างแปลกใจ
“ไปกินข้าวกับลูก”
“หมายความว่ายังไง” ทิวาสตาร์ทรถขับออกไป “นี่เธอจะพาชั้นกับลุงเมฆไปไหน”
“เดี๋ยวก็รู้เอง”
ทิวาขับรถไป หน้าตาเจ้าเล่ห์
ทิวาขับรถเข้ามาจอดที่บ้านตัวเอง
“นี่เธอพาชั้นกับลุงเมฆมาที่นี่ทำไม” อบเชยหันมาถาม
“กินข้าวกับลูกชาย ไปกินด้วยกันสิ” เมฆบอก
“ลุงเมฆ ลูกชายของลุงคือไม้ ไม่ใช่ทิวา อาการลุงก็ดีขึ้นแล้ว ทำไมเรื่องนี้ถึงได้กลับตาลปัตรไปได้”
“มันคงอยากเป็นพ่อชั้นใจขาดละมั้ง หึหึ ...ลงไปได้แล้ว”
ทุกคนลงจากรถ เมฆลืมหนังสือนิทานเวตาลไว้ในรถ
ทิวาพาเมฆกับอบเชยมาที่ห้องๆ หนึ่ง ซึ่งเป็นห้องเปล่าไม่มีใครอยู่อบเชยเริ่มรู้สึกไม่วางใจเท่าไหร่นัก
“แกจะทำอะไรกันแน่”
ทิวาผลักทั้งสองคนเข้าไปในห้องแล้วล็อคประตู ทิวายิ้มเจ้าเล่ห์กับอากาศ
“เรามาคุยกันหน่อยมั้ยอบเชย”
“คุยที่ไหนก็ได้ ทำไมต้องมาคุยในนี้ด้วย แล้วลุงเมฆเกี่ยวอะไร”
“เมื่อวานเธอไปเจอไอ้ไม้มาใช่มั้ย”
“มันเป็นเรื่องบังเอิญ ชั้นไม่ได้ตั้งใจไปเจอนะ”
“ไม่ได้ตั้งใจเหรอ ...แล้วไปจูบกับมันทำไม”
อบเชยนึกถึงตอนที่โดนไม้จูบ
“ชั้น...”
“เราตกลงกันว่าไง ว่าจะไม่เจอไอ้ไม้อีก ใช่มั้ย แล้วตอนนี้เธอก็เป็นแฟนชั้น ถูกรึเปล่า? แล้วการที่แฟนเราไปจูบกับผู้ชายคนอื่นเนี่ย...เธอว่าควรจะทำยังไงดี?”
“เธอจะทำอะไรชั้นก็ได้ แต่ลุงเมฆไม่เกี่ยวนะ”
“มันน่ะตัวเกี่ยวเลย อยากให้มันหายนักใช่มั้ยไอ้เป๋สมองเสื่อมเนี่ย”
ทิวาพุ่งตรงไปผลักเมฆล้ม อบเชยจะเข้าไปช่วยเมฆ แต่เธอก็เหมือนโดนบางอย่างดึงไว้ไปไหนไม่ได้ อบเชยหันดูก็ไม่มีอะไร
“อย่าทำอะไรลุงเมฆเลยนะ”
อบเชยพยายามจะเข้าไปช่วยเมฆแต่ก็ดิ้นไม่หลุดจากบางสิ่งที่ดึงเธอไว้ แล้วด้วยความที่เธอป่วย เธอจึงมึนหัวล้มลงไป
“ชั้นบอกเธอไปแล้วว่าเงื่อนไขคืออะไร แต่เธอเหมือนจะเห็นว่าชั้นเป็นไอ้กระจอก ไม่กล้าทำอะไรใช่มั้ย เธอคอยดูไอ้เป๋นี่”
“ทิวาจะทำอะไรพ่อน่ะ”
ทิวาอัดเมฆที่ลุกมาจนล้มลง แถมยังกระทืบซ้ำไม่หยุด
“พ่อเหรอ พ่อเหรอ ใครเป็นพ่อแก พ่อชั้นคือพันเทพ ว่าที่สจ.เว้ย ไม่ใช่ไอ้กระจอกอย่างแกหรอก”
“อย่าทำพ่อ อย่าทำพ่อ”
ทิวาไม่ฟังคำเมฆกระทืบเมฆจนหมดสติ อบเชยได้แต่ร้องไห้ช่วยอะไรเมฆไม่ได้
“ขอร้องล่ะทิวา หยุดเถอะ ลุงเมฆไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย เธอมาฆ่าชั้นให้ตายดีกว่า ชั้นขอร้องล่ะ”
อบเชยที่ไร้เรี่ยวแรงพยายามร้องขอความเห็นใจจากทิวา เรี่ยวแรงเธอไม่เพียงพอที่จะต่อต้านบางสิ่งที่ดึงเธอไว้ที่เธอมองไม่เห็น เธอได้ยินเสียงหัวเราะของมันดังอยู่ข้างๆ หู อบเชยมองไปทั่วก็ไม่เห็นใคร
“ไม่ต้องขอร้องหรอก เดี๋ยวถึงตาเธอแน่...”
ที่ท่ารถบขส. จันทร์ ชาญ ศรนารายณ์เล่นหมากรุกด้วยกันอยู่ ศรนารายณ์รุกฆาต
“รุกฆาต”
“เฮ้ย ได้ไงวะพี่ ปกติไม่มีใครกินไอ้จันทร์มันลงเลยนะเนี่ย”
“ชั้นเก่งไง”
“เก่งอะไร ปกติแค่หมากฮอสพี่ยังแพ้ผมเลย”
“ทำไม...คนเรามันจะฉลาดขึ้นบ้างไม่ได้รึไง” จันทร์อมยิ้ม
“แปลว่ายาได้ผลเกินคาดนะ”
“ยาอะไรของแกไอ้จันทร์ ชั้นไม่ต้องพึ่งอะไรพวกนั้นหรอก”
ชาญกับจันทร์มองหน้ากันยิ้ม ไม้หน้าตาตื่นเข้ามา
“มีใครเห็นพ่อชั้นมั่งมั้ย”
“อ้าว ไอ้อบเชยมันยังไม่ส่งที่บ้านอีกเหรอ”
“ส่งแล้ว แต่หายไปไหนอีกก็ไม่รู้”
“แล้วไปดูที่บ้านอบเชยรึยัง” ไม้พยักหน้า
“ไม่มีใครอยู่”
“ไอ้ลูกคนนี้ ป่วยอยู่แท้ๆ”
“แถวนี้ก็ไม่มีเลย พวกเรานั่งอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน ก็ไม่เห็นนะ”
“หรือว่า...ไอ้ทิวา”
“หมายความว่ายังไง ไอ้ทิวาทำไม”
“ก็ไอ้ทิวามันจะจับอบเชยกับพ่อแกไปไงล่ะ”
“จับอบเชยก็ช่างดิ แล้วพ่อชั้นเกี่ยวอะไร”
“แกนี่มันโง่จริงๆ ไอ้ไม้เอ้ย ไม่รู้จักสงสัยอะไรบ้างเลย”
“อะไรล่ะ ก็พูดมาดิ”
“พูดมาเร็ว อยากรู้เหมือนกัน”
“ยาที่ชั้นให้แก อบเชยมันฝากไปให้ ชั้นไม่ได้เป็นคนไปค้นคว้าหามาหรอก อบเชยมันต้องยอมไปเป็นแฟนทิวาเพื่อแลกกับยารักษาพ่อแก ทีนี้ฉลาดขึ้นรึยังล่ะ” จันทร์ตัดสินใจบอกความจริง ไม้ถึงกับช็อคกับสิ่งที่ได้ยิน “อบเชยมันทำเพื่อแกมาตั้งแต่เด็ก ชั้นมาเป็นเพื่อนแกไม่เท่าไหร่ ชั้นยังเห็นเลยว่ามันรู้สึกอะไรกับแก มีแต่แกแหละ ที่ไม่เชื่อใจมัน ใครมาปั่นหัวนิดหัวหน่อยก็เชื่อ ว่ามันเป็นอย่างงั้นจริง”
“โห โคตรซึ้งอ่ะ”
“โถ ลูกพ่อ”
ไม้ฟังสิ่งที่จันทร์พูด น้ำตาไหล โกรธตัวเองที่โง่นัก แล้วเขาก็ผลุนผลันออกไป
“เฮ้ยไม้ จะไปไหนวะ”
“ก็ตามไปสิ”
ชาญ จันทร์ ศรนารายณ์วิ่งตามไม้ออกไป
ไม้ขับรถเมฆอย่างรวดเร็ว เพื่อจะไปช่วยอบเชย
“อย่าเป็นอะไรกันนะ”
ขณะนั้นทิวาซ้อมเมฆจนนอนสลบอยู่กับพื้น ทิวาเดินไปหาอบเชย
“ปากนี้ใช่มั้ยที่ไปจูบกับไอ้ไม้มา แต่ไอ้ไม้ มันก็ได้แค่จูบแค่นั้นแหละ”
“แกจะทำอะไร”
“ก็จะบอกเธอว่าชั้นทำได้มากกว่าไอ้ไม้ไง”
“อย่านะ”
อบเชยจะลุกหนีแต่เธอก็หน้ามืดเซลง ทิวาคว้าตัวเธอไว้ได้
“จะหนีทำไม…ยังไงก็ต้องโดนอยู่ดี”
ทิวาผลักอบเชยล้มลงบนพื้น แล้วพยายามจะปล้ำอบเชย
ไม้จอดรถหน้าบ้านพันเทพ เขามองอย่างมุ่งมั่น แล้วเขาก็ดึงคันเกียร์ขึ้นมา
ลูกผู้ชายกระโดดลงข้างรถทิวาเห็นหนังสือเวตาลในรถของทิวา จึงมั่นใจว่าเมฆอยู่ที่นี่แน่สมุน
เข้ารุม ลูกผู้ชายสู้อย่างง่ายดาย สมุนล้มหมด ลูกผู้ชายลุยคว้าคอสมุนขึ้นมาคนนึง
“ทิวาอยู่ไหน”
ลูกผู้ชายเอาไม้ตะพดจ่อคอหอยสมุน
ขณะนั้นอบเชยพยายามดิ้นให้หลุดจากทิวาให้ได้ แต่เธอก็สู้แรงไม่ไหวได้แต่ตะโกนขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย”
“เธอร้องให้ใครช่วยห๊า ที่นี่บ้านชั้น คนทุกคนเป็นคนของชั้น ใครจะมาช่วยเธอกัน”
“ช่วยด้วย”
ทิวาปล้ำอบเชยยังไม่ทันไร เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะ ทิวาพยายามไม่สนใจเสียงก็ดังขึ้นอีก
“อะไร ชั้นบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าเข้ามายุ่ง”
เสียงสมุนดังผ่านประตูมา
“คุณพันเทพให้มาตาม ด่วนเลยครับ”
ทิวาถูกขัดใจ หงุดหงิด
“โธ่เว้ย เรื่องอะไรวะ”
ทิวาผละจากอบเชยลุกขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อยแล้วเปิดประตู ภาพที่เห็นหน้าประตูคือลูกผู้ชายใช้ไม้ตะพดจี้คอสมุนอยู่ ทิวาตกใจจะปิดประตู แต่ลูกผู้ชายก็ซัดทิวาซะก่อนที่จะปิดแล้วก็เข้ามาในห้องทันที
“แก ไอ้ลูกผู้ชาย ชอบสาระแนเรื่องชาวบ้านนักใช่มั้ย ได้แล้วจะรู้ว่าใครแน่กว่ากัน”
ทิวาต่อสู้กับลูกผู้ชายไม่เท่าไหร่ก็เสียท่าล้มหงาย เสียงปรบมือดังขึ้นจากอากาศ ไม่มีใครเห็นว่ามาจากไหน
“เพลงมวยเจ้าไม่ธรรมดาจริงๆ เจ้าของไม้ตะพดวิญญาณ”
ลูกผู้ชายหันไปมองจนทั่วก็ไม่เห็นใคร
“แกเป็นใคร” เวตาลหัวเราะ “ใคร ปรากฏตัวออกมาสิ”
“เวลานี้ ข้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า”
ทิวาลุกขึ้นพอดี ก็ถูกเวตาลผลักเข้าไปสู้กับลูกผู้ชายต่อ
“นี่เจ้าไม่คิดจะช่วยอะไรข้าเลยรึไง” ทิวาต่อว่าเวตาล
“ข้าช่วยเจ้ามามากเพียงพอแล้ว”
“ไอ้นี่...”
“นั่นมันตัวอะไร” ลูกผู้ชายถามอย่างแปลกใจ
“ทำไมชั้นต้องบอกแกด้วย ไอ้ลูกผู้ชาย”
ทิวาเข้าสู้กับลูกผู้ชายอีกจนเสียท่า ล้มไป ลูกผู้ชายเหยียบยอดอกของทิวาไว้ ชี้ไม้ตะพดไปที่ทิวา ลูกผู้ชายมองเห็นเมฆที่โดนซ้อมจนสลบ แล้วเห็นอบเชยที่เกือบโดนข่มขืน ลูกผู้ชายโกรธชูไม้จะใช้พลังของไม้ตะพดทำร้ายทิวา แต่แล้วก็ถูกบางอย่างมาขวางไว้ ไม่ทันฟาดโดนทิวานั่นคือร่มของพันเทพนั่นเอง
“มีปัญหาอะไรกันเหรอลูกผู้ชาย ...เธอไม่ควรใช้อารมณ์ส่วนตัวขนาดนั้น”
พันเทพส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับลูกผู้ชาย ทิวาเห็นพ่อมาช่วย ดีใจ
“พ่อ”
พันเทพเข้าต่อสู้กับลูกผู้ชายอีกครั้งอย่างดุเดือด ทั้งคู่ฝีมือพอกัน เมฆรู้สึกตัวตื่นขึ้นเห็นการต่อสู้ เขาลุกขึ้นนั่งมองดูการต่อสู้ เหมือนบางอย่างคลับคลายคลับคลาว่าจะกลับมา แต่จู่ๆ การต่อสู้ของทั้งสองคนก็ต้องชะงัก เพราะมีพลังบางอย่างผลักไม้ตะพดทั้งคู่ให้กระเด็นหลุดมือทั้งลูกผู้ชายและพันเทพ
พันเทพหันไปตวาดอากาศ
“ไอ้เวตาล แกทำอะไร”
ลูกผู้ชายได้ยินชื่อเวตาลก็หันขวับ แต่ก็มองไม่เห็นอะไร เสียงหัวเราะดังในอากาศ ไม้ที่กระเด็นไปร่วงตรงหน้าเมฆทั้งสองอัน เมฆหยิบมันถือในมือทั้ง 2 เมื่อเมฆเอาไม้กระทบกันมันก็มีพลังบางอย่างพุ่งออกมาเข้าหาพันเทพ พันเทพถึงกับทรุดลง และแสงสว่างวาบนั้นก็ผ่านร่างกายของเมฆผู้ซึ่งถือทำให้เมฆถึงกับสลบไปอีกครั้ง พอเมฆสลบไม้แยกออก ทั้งลูกผู้ชายและพันเทพต่างไปเก็บไม้ของตนอีกครั้ง พันเทพบาดเจ็บถึงขึ้นกระอักเลือด ทิวาเป็นห่วงเข้าไปดู
“พ่อเป็นอะไรมั้ย” พันเทพกัดฟันส่ายหน้า ทั้งที่เจ็บจนจุก “แต่พ่อ”
“ปล่อยพวกมันไปก่อน”
พันเทพเสียงเข้ม ทิวาไม่กล้าเถียง
ไม้อุ้มเมฆมานอนบนเบาะหลังรถอย่างทนุถนอม อบเชยมองเมฆอย่างห่วงใย
“หวังว่าแสงวาบเมื่อกี้จะไม่ทำอันตรายอะไรลุงเมฆนะ”
ไม้หันไปมองอบเชย
“ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก”
“ชั้นทำอะไร”
“รับปากก่อน ว่าอย่าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงแบบนี้ โดยไม่บอกชั้น” อบเชยพยักหน้ารับ ทั้งคู่โผเข้ากอดกัน“ชั้นขอโทษ”
“ชั้นก็ขอโทษเหมือนกัน”
ทั้งคู่กอดกันร้องไห้ ศรนารายณ์ จันทร์ ชาญ ขึ้นมาบนรถพอดี
“ไป ลุยเลยมั้ยพวกเรา”
“ดูซะก่อน เค้าปลอดภัยกันหมดแล้ว”
ศรนารายณ์โผเข้าหาอบเชย
“เป็นอะไรรึเปล่าอบเชย ห๊าลูก”
“ไม่เป็นอะไรจ้ะพ่อ”
“ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้น” จันทร์ถาม
“อยากรู้แล้วทำไมไม่มาให้เร็วกว่านี้”
“ก็อยากมาอยู่หรอก ถ้าน้ำมันมันไม่หมดกลางทาง”
“ใช่ คนอะไร ขับรถไม่ดูน้ำมัน”
“เออ เอาน่า ปลอดภัยก็โอเคมั้ยล่ะ”
“แล้วตกลงเกิดอะไรขึ้น”
ไม้มองหน้าอบเชยยิ้ม รู้กันสองคน
คืนนั้นพันเทพโวยวายเวตาลในห้องทำงาน ทั้งที่ตัวเองยังเจ็บตัวอยู่
“แกทำอะไรลงไปน่ะ ถ้าไอ้เมฆมันสติดีขึ้นมาคว้าไม้ไปทั้งสองอันจะทำยังไง ใครก็หยุดมันไม่ได้ละทีนี้”
เวตาลหัวเราะสะใจ
“การกลับมาเจอกันอีกครั้งของไม้ตะพด ถอนคำสาปออกไปจากข้าได้แล้ว ข้าไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดอีกต่อไป”
“ที่แท้แกก็ทำเพื่อตัวแกเอง”
“แล้วเจ้าล่ะ ไม่ได้กำลังทำทุกอย่างเพื่อตัวเองอยู่รึ”
“แกพูดแบบนี้ แกจะลองดีกับชั้นใช่มั้ย”
“เจ้าจะทำอะไรสิ่งที่เจ้ามองไม่เห็นได้รึ”
เวตาลหัวเราะ แล้วเสียงกระพือปีกพึบพึบจากไป พันเทพเจ็บใจ เสียงเคาะประตูดังขึ้น
ทิวาเปิดเข้ามา
“ผมว่าพ่อน่าจะไปหาหมอซักหน่อย”
“นี่ชั้นต้องให้คนที่เป็นคนสร้างเรื่องทั้งหมดมาคอยสอนชั้นรึไง”
“ผมขอโทษครับพ่อ”
“จะไปไหนก็ไป”
พันเทพเหนื่อยใจที่จัดการอะไรไม่ได้เลย
ส่วนที่บ้านเมฆ ขณะนั้นไม้กับอบเชยคุยกันนอกบ้าน
“ชั้นกลัวตอนลุงเมฆฟื้นขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะมีอาการอะไรอีก เพราะแสงตอนนั้นมันจ้ามาก แล้วลุงเมฆก็ล้มไปเลย”
“แต่ชั้นรู้สึกได้ ว่าไม่ใช่เรื่องร้ายหรอก”
“แต่ดูพันเทพที่โดนลูกหลงสิ” ไม้กังวลเหมือนกัน “ตอนอยู่ในนั้น มันมีตัวอะไรบางอย่าง บินไปบินมาตลอด ชั้นมองไม่เห็นมันเลย”
“เวตาล”
“เหมือนในตำนานน่ะเหรอ”
“ชั้นได้ยินพันเทพมันเรียก เวตาล”
“นี่เราต้องเจออะไรที่เราไม่รู้อีกมากแค่ไหนเนี่ย”
“แต่ยังไง...ก็อย่าทิ้งกันไปไหนอีกนะ ชั้นไม่คุ้นที่ไม่มีเธออยู่ข้างๆ”
อบเชยยิ้มเขินๆ จันทร์กับชาญเดินออกมา จันทร์หยิบห่อยาส่งให้อบเชย
“นี่มันยานี่ เธอไปเอามาจากไหน”
“พี่ชาญเค้าไปหามา จะได้ไม่ต้องไปพึ่งไอ้ทิวาอีก”
“นี่ทุกคนทำเพื่อพ่อขนาดนี้เลยเหรอ ถ้าพ่อรู้คงดีใจแย่”
“เสียดาย ชั้นไม่ได้ทำเพื่อพี่เมฆเลย” ศรนารายณ์บอก
“โห ตัวทำเลยล่ะพี่ศร เล่นเสี่ยงชีวิตเป็นหนูทดลองยาขนาดนั้น” ชาญบอก
“หนูทดลองยา อะไรวะ”
“ก็ยาที่พี่ชาญให้กินเมื่อกลางวันน่ะ พี่ชาญแกลองยาว่าใช้ได้มั้ย”
“เฮ้ย แล้วถ้าชั้นตายล่ะ”
“ก็นั่นไง ประเด็นมันอยู่ตรงนี้แหละ”
ทุกคนหัวเราะมีความสุข
วันรุ่งขึ้นเมื่อเมฆรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เมฆลุกขึ้นจากเตียงไม้เห็นพ่อฟื้นก็ดีใจ
“พ่อฟื้นแล้วเหรอ” เมฆยังนั่งนิ่ง “พ่อ จำชั้นได้มั้ย” เมฆยังนั่งนิ่ง “พ่อรู้สึกอะไรบ้าง”
เมฆมองไม้นิ่งแล้วถามออกมา
“นี่เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
“พ่อหมายถึงเรื่องอะไร”
“พ่อจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเราออกจากป่าอาถรรพ์ แต่พ่อจำไม่ได้ว่าเรามาอยู่ที่บ้านได้ยังไง”
“พ่อจำบ้านได้...จำป่าอาถรรพ์ได้”
“พ่อคุ้นๆ ว่าพ่อกินสมุนไพรถอนคำสาปของพันเทพเพื่อไปช่วยลูก แต่มันรางเลือนเหมือนความฝัน”
“ลูก...เมื่อกี้พ่อเรียกผมว่าเป็นลูกเหรอครับ”
“ทำไมลูกพูดแบบนั้น”
“ผมดีใจ...ที่พ่อเห็นว่าผมเป็นลูก ไม่ใช่ทิวา”
“พ่อบอกอะไรลูกเกี่ยวกับทิวาเหรอ”
“พ่อจำเรื่องหลังจากออกจากป่าอาถรรพ์ไม่ได้เลยเหรอครับ” เมฆส่ายหน้า “พ่อความจำเสื่อมเพราะสมุนไพรที่พันเทพเอามาให้ แล้วพ่อก็คิดว่าทิวาเป็นลูก”
เมฆหน้าเสียทันที
“พ่อทำแบบนั้นเหรอ?” เมฆไม่กล้าสบตาไม้ เมฆมองเห็นประวัติทิวาจากรพ.วางอยู่บนโต๊ะ เมฆหยิบมันมาดูไม่อยากให้ไม้รู้ “ประวัติทิวาตั้งแต่เพิ่งเกิด มาอยู่บ้านเราได้ยังไงก็ไม่รู้” เมฆไม่ตอบทำท่ามีพิรุธ ไม้มองท่าทางแปลกๆ ของพ่อ พยายามพูดให้พ่อสบายใจ “ช่างเถอะ เรื่องนั้นไม่สำคัญ เท่ากับว่า...พ่อหายแล้ว ใช่มั้ยครับ”
“พ่อไม่ได้เป็นอะไรนี่”
“พ่อจำทุกอย่างได้เหมือนเดิมแล้วใช่มั้ยครับ”
“จำได้สิ เออ แล้วไม้ตะพดยังอยู่ใช่มั้ยไม้”
“ผมไม่ยอมให้ใครมาเอาไปง่ายๆ หรอก พ่อจำได้แล้วจริงๆ ถ้างั้นก็แปลว่า พลังของไม้ตะพดที่อยู่ด้วยกันมันมีพิเศษจริงๆ” ไม้นึกถึงตอนที่เมฆถือไม้ตะพดทั้งสองในมือแล้วแสงวาบออกมา โดนพันเทพด้วย
“มันรักษาพ่อให้หาย แล้วพันเทพล่ะ มันก็โดนแสงนั่นเหมือนกัน”
ไม้เป็นกังวลไม่หาย
อ่านต่อหน้า 4
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 10 (ต่อ)
เมื่อพันเทพตื่นขึ้นมา พยายามพยุงตัวลุกจากที่นอนแต่ก็ลุกไม่ไหวทรุดไปนอนต่อ เสียงก๊อกแก๊กดังจากมุมหนึ่งของห้องนอนที่ยังไม่มีใครเห็น พันเทพแค่จะเอี้ยวไปมองก็ลำบาก
“นั่นใครน่ะ” เสียงก๊อกแก๊กยังดังต่อเนื่อง “ชั้นถามว่าใคร”
เสียงก๊อกแก๊กหยุดลง กลายเป็นเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาแทน เสียงฝีเท้าเดินมาหยุดที่เตียงพันเทพ พันเทพชำเลืองมอง สายตาค่อยๆ เห็นเท้าที่น่าเกลียดขนาดใหญ่ ไล่ๆ ไปที่ขา จนถึงตัว ถึงหัวซึ่งคือเวตาลนั่นเอง
“เพื่อนข้า...ฃข้าคาดว่าอาการของเจ้าคงหนักเอาการ”
“แก...ทำไมแก...”
พันเทพมองเวตาลที่ตัวใหญ่ขึ้นเต็มตา มองหน้าต่างที่เปิดลมและแสงเข้ามา เวตาลไม่ได้กลัวมันอีกแล้ว
“เจ้าสงสัยว่าข้าทำไมเปลี่ยนไปงั้นสิ ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว...ว่าข้าขอเวลารวบรวมพละกำลัง ซึ่งตอนนี้ข้าก็รวบรวมได้มากจนชีวิตข้าเกือบจะสมบูรณ์แล้ว ข้าไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไป แม้กระทั่งแสงแดด แต่ดูเจ้าสิ...อ่อนแรงเหลือเกิน อาจจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน เหมือนชีวิตเจ้ากับข้ากำลังสวนทางกันนะ”
เวตาลหัวเราะ
“เพราะแกนั่นแหละทำให้ชั้นต้องเป็นแบบนี้ เพราะพลังของไม้ตะพดทั้งสองอันที่แกทำให้แกหายจากคำสาป แต่ชั้นต้องมาตกอยู่กับความทุกข์ทรมานแทนแก”
“เจ้าว่าข้าไม่ได้หรอกนะ เพราะข้าก็ไม่คิดว่าเมื่อไม้ตะพดทั้งคู่มาเจอกันมันจะมีอานุภาพมากมายขนาดนั้น เปล่งทั้งพลังทำลายร้างและพลังเยียวยา ซึ่งมันจะกระทบใครก็ได้ เพียงแต่เจ้าไปยืนประจันหน้ากับไม้ราวกับเป็นศัตรูเองนี่”
“แกจงใจทำร้ายชั้น ใช่มั้ย” เวตาลหัวเราะ
“เรื่องนั้นคงมีแต่ใจข้าเท่านั้นที่รู้ แต่ที่ข้าบอกเจ้าได้ตอนนี้ก็คือ ร่างกายเจ้าแกร่งไม่ใช่น้อยที่ต้านทานฤทธิ์เดชของไม้ตะพดได้เพียงนี้ เพราะหากเป็นคนธรรมดา...เจ้าตายไปแล้ว”
“แล้วยังไง ชั้นต้องดีใจที่ชั้นไม่ได้ตาย แต่ทรมานรึไง ชั้นอยากลุกไปฆ่าแกซะเดี๋ยวนี้”
“บัดนี้ เจ้าทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น เพราะตอนนี้ข้าสามารถหักคอเจ้าเมื่อไหร่ก็ได้” พันเทพนิ่งบนเตียง “แต่ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ทำแบบนั้นหรอก เพราะอีกไม่นานเจ้าก็คงตาย เพราะร่างกายเจ้าต้านทานฤทธิ์
ของไม้ตะพดไม่ได้”
“แก แกวางแผนจะฆ่าชั้น”
“ข้าไม่จำเป็นต้องพูด”
“ถ้าแกจะปล่อยให้ชั้นตาย แกเข้ามาห้องนี้ทำไม” เวตาลนิ่ง ไม่ตอบ “หรือว่า...ไม้ตะพด”
“ใช่ เจ้าเก็บมันไว้ที่ไหน ส่งมันมาให้ข้าซะ”
“มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก” เวตาลคำรามขู่พันเทพ “ตั้งแต่ไม้ตะพดเคยถูกขโมยไป...ชั้นเก็บมันไว้อย่างดี ในที่ที่มีแต่ชั้นเท่านั้นที่รู้ ให้แกฆ่าชั้น...ชั้นก็ไม่บอก”
เวตาลเจ็บใจ เวตาลสัมผัสตัวพันเทพเพื่อจะอ่านใจ แต่ก็ไม่รู้อะไรอยู่ดี
“เจ้านี่มันใจแข็งยิ่งนัก”
“ก็บอกแล้วไง มันไม่ง่าย”
ทิวาออกมาจากห้องน้ำ เห็นเวตาลตัวใหญ่ขึ้นยืนอยู่ในห้องก็สะดุ้งด้วยความตกใจ
“แก...เวตาลเหรอ”
“จำข้าไม่ได้เหรอเพื่อนข้า เจ้าเองเรียกร้องจะเห็นตัวข้านักไม่ใช่เหรอ”
“แต่แกไม่เหมือนเดิม”
“เจ้าควรจะดีใจที่เพื่อนเจ้าแข็งแกร่งขึ้น” ทิวายังหวาดๆ เวตาลอยู่ “เจ้ารู้รึไม่...ว่าพ่อเจ้า เก็บไม้ตะพดไว้ที่ไหน”
“ไม้ตะพด...แกจะคิดทำอะไร”
“เจ้าไม่อยากได้รึ ไม้ตะพดเลือดนั่น”
“แต่มันเป็นของพ่อ”
“พ่อที่ไม่เคยสนใจใยดีเจ้าน่ะเหรอ” ทิวาเถียงไม่ออก “เจ้ารู้รึไม่ หากใครได้ไม้ตะพดเลือดและวิญญาณมาในครอบครอง จะสามารถควบคุมให้ทุกคนทำตามเจ้าได้ เจ้าจะยิ่งใหญ่กว่าที่พ่อเจ้าเป็นนัก พลังของไม้ตะพดสามารถใช้ทั้งเยียวยาและทำลายได้ในเวลาเดียวกัน ผู้ปกครองภพภูมิทั้งหลายต้องยอมสยบให้กับเจ้า”
“พ่อถึงอยากได้มันนัก”
“โดยที่สามารถฆ่าใครก็ได้ แม้แต่ลูกของตัวเอง”
ทิวาคิดหนัก
วันเดียวกันที่ท่ารถบขส.ไม้นั่งครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องเมฆ จันทร์เดินเข้ามา
“นั่งหน้าเข้มเลย ตกลงลุงเมฆเป็นไงบ้าง”
“ก็...เหมือนว่าจะหาย จำได้ทุกอย่างเหมือนเดิม”
“แปลว่าพลังของไม้ตะพดสองอันเมื่อรวมตัวกัน มันรักษาพ่อแก”
“ก็น่าจะเป็นแบบนั้น”
“ชัวร์รึเปล่า แล้วแกยังให้ลุงเมฆกินยาสมุนไพรของพี่ชาญด้วยรึเปล่า”
“ก็ให้กินด้วย”
“แล้วเป็นไง”
“ก็ดี คุยรู้เรื่องเหมือนปกติ”
“ถ้าไม่เห็นกับตา ไม่เจอกับตัว ชั้นคงไม่เชื่อเรื่องพลังเหนือธรรมชาติแบบนี้แน่ๆ”
“อืม”
“แล้วนี่แกยังเครียดอะไรอยู่อีกวะ”
“มันมีเรื่องผิดปกติบางอย่างว่ะ”
“เรื่องอะไร”
“เกี่ยวกับทิวา”
“ไอ้ทิวานั่นมันเกี่ยวอะไร”
“ตอนพ่อความจำเสื่อม พ่อก็คิดทิวาเป็นลูก แต่พอพ่อหายแล้ว พ่อก็ทำตัวแปลกเกี่ยวกับแฟ้มประวัติของทิวา”
“แล้วแฟ้มประวัติอะไรของทิวาเนี่ย มันไปอยู่บ้านแกได้ไงวะ”
“ก็นั่นไง...ชั้นก็สงสัยอยู่เหมือนกัน”
อีกด้านหนึ่งที่บ้านพันเทพ ขณะนั้นราตรีกำลังนั่งแต่งหน้าอยู่ในห้อง จู่ๆ แพรวาก็เปิดประตูเข้ามา ราตรีตกใจ
“เคาะประตูเป็นมั้ยเนี่ย ชั้นตกใจหมด”
“ชั้นตัดสินใจแล้ว” แพรวาบอก
“เรื่องอะไรของเธอ”
“ชั้นจะบอกความจริงทั้งหมดกับไกร ว่าชั้นมีฝาแฝดซึ่งก็คือเธอ ที่เป็นคนก่อเรื่องทั้งหมด”
“แต่...”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ไกรเค้าเป็นคนดีพอ เค้าจะรับผิดชอบเธอ”
“ไม่ได้นะ...เธอเป็นคนยกลูกชายท่านรัฐมนตรีให้ชั้นเองไม่ใช่เหรอ แล้ววันนี้ชั้นก็นัดดินเนอร์กับเค้า เธอจะมาโยนนายไกรนี่ให้ชั้น จะให้มันรับผิดชอบอะไรนั่น เท่ากับเธอทำลายชั้น”
“ก็ตอนที่ชั้นบอกลูกชายท่านรัฐมนตรีว่าชั้นเป็นเธอน่ะ ชั้นไม่รู้นี่ว่าเธอกับไกรจะ...”
“ไม่เอา ยังไงชั้นก็ไม่เอาหรอก นายไกรอะไรนั่นน่ะก็แค่ลูกชายเจ้าของบขส.บ้านนอก จะไปสู้อะไรกับลูกท่านรัฐมนตรีได้ เธออยากได้ก็เอาไปสิ”
“แต่เธอกับเค้าเกินเลยกันไปแล้ว”
ราตรีลำบากใจที่จะบอกความจริง
“ก็แล้วทำไมล่ะ สมัยนี้ใครเค้าแคร์เรื่องแบบนี้กัน เธอก็ทำเนียนๆ ไป ให้เค้ารับผิดชอบเธอก็จบ ดีซะอีกจะได้มีข้ออ้างกับพ่อ ว่าเธอกับนายไกรไปถึงไหนต่อไหนจนท้อง ต้องแต่งงาน พอถึงขั้นนั้นแล้วรับรองพ่อไม่ขวางเธอหรอก”
“เธอใจร้ายมากนะราตรี เธอจะให้ชั้นกลับไปหาคนที่เค้ามีอะไรกับเธอ ชั้นจะมองหน้าเค้ายังไง”
“อย่าทำฟูมฟายนักเลย มันน่ารำคาญ เธอจะทำอะไรก็ตามใจเธอละกัน แนะนำอะไรดีๆ ก็ไม่เอา แต่ขออย่างเดียว อย่าเอ่ยชื่อชั้นขึ้นมาให้นายไกรนั่นได้ยิน ชั้นไม่อยากให้เรื่องไปถึงหูลูกท่านรัฐมนตรี วันนี้ชั้นมีนัดกับเค้าด้วย”
ราตรีคว้ากระเป๋าจะเดินออกไปจากห้อง
“ชั้นยังคุยไม่จบ เธอไปไม่ได้นะ”
“ให้ทาย...ว่าชั้นจะฟังเธอมั้ย” ราตรีเดินเชิดออกไปโดยไม่สนแพรวา พร้อมพูดส่งท้ายโดยไม่หันมามองแพรวา “ขอบใจนะ สำหรับทุกเรื่อง”
แพรวากลุ้มใจทรุดตัวนั่งลง
ไม้จอดรถบขส.เข้าท่ารถ เดินลงมาจากรถ ขณะนั้นไกรยืนรอไม้อยู่
“อ้าวคุณไกร”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะไม้”
ทั้งคู่ยิ้มให้กัน
ไม้นั่งคุยกับไกรเป็นการส่วนตัวในห้องทำงานของไกร
“ผมต้องขอโทษจริงๆ ที่ไปช่วยงานคุณไกรที่บ้านไม่ได้แล้ว”
“ชั้นเข้าใจ ม้าบอกแล้วว่าลุงเมฆป่วย เธอเลยต้องมาทำงานแทน”
“คุณไกรมาหาผม มีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ”
“หน้าชั้นมันเหมือนคนมีเรื่องรึไง”
“ครับ...คุณไกรดูเศร้าๆ ไป”
“หน้าชั้นฟ้องขนาดนั้นเลยเหรอ”
“คุณไกรมีอะไรให้ผมช่วย ได้ทุกเรื่องเลยนะครับ”
“แม้กระทั่งเรื่องแพรวา คนที่เธอเคยชอบน่ะเหรอ”
ไม้ชะงักไปนิดนึง
“จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูกนะครับ”
“ได้ไง เธอเคยชอบแพรวา เธอบอกชั้นเอง”
“ผมหมายถึงว่า...ใช้คำว่า “เคย” มันไม่ถูก เพราะตอนนี้ ผมก็ยังรู้สึกดีกับคุณแพรวาอยู่”
“แต่เธอกับอบเชยก็...”
“กับคุณแพรวาน่ะ ไม่รู้เพราะอะไร เวลาใกล้เธอแล้วผมรู้สึกอบอุ่นเหมือนได้เจอญาติพี่น้อง แล้วก็อดไม่ได้ที่จะห่วงใยเธอ ส่วนความรู้สึกกับอบเชย มันเป็นอีกอย่างนึง”
“แล้ว...ชั้นควรจะเห็นเธอเป็นคู่แข่ง หรือผู้ช่วยดี” ไม้ยิ้มให้ไกร
“ผมบอกคุณไกรไปแล้ว ว่าผมยินดีจะช่วยทุกเรื่อง ผมไม่คืนคำหรอกครับ”
“เอางั้นก็ได้...เพราะยังไงไม้ก็คือคนที่ชั้นไว้ใจที่สุดอยู่แล้ว”
ไม้กับไกรยิ้มให้กัน
ขณะนั้นอบเชยถือปิ่นโตมาหาไม้ที่ท่ารถบขส. อบเชยชะเง้อมองหาไม้จึงเห็นจันทร์ซ่อมรถอยู่แถวนั้น อบเชยจึงเดินไปหา
“จันทร์ ไม้ยังไม่กลับเข้ามาอีกเหรอ”
“กลับมาแล้วนี่ เห็นเข้าไปคุยกับคุณไกรอยู่”
“คุณไกรเหรอ”
“นี่อบเชย ชั้นกำลังจะไปรพ.ไปด้วยกันมั้ย”
“ใครเป็นอะไร”
“ไม่มี...แค่ไปสืบเรื่องบางเรื่อง” อบเชยมองไปทางห้องทำงานไกร อยากเจอไม้ “เออ ไม่ต้องตอบก็รู้ว่าไม่ไป จะรอไอ้ไม้ออกมาละสิ”
อบเชยยิ้ม ไม้กับไกรเดินออกมาจากห้องพอดี อบเชยดีใจแต่พอจะเดินไปหา ทั้งคู่ก็พากันขึ้นรถขับออกไปซะก่อน อบเชยไม่สบอารมณ์นัก
แพรวาขับรถออกมาจากบ้าน ประตูบ้านค่อยๆ ปิด ไม้ออกมายืนขวางถนน แพรวาเบรกรถกะทันหันลงมาดูแพรวา
“ไม้...ทำไมทำแบบนี้ มันอันตราย”
“ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณแพรวาครับ”
อบเชยแอบดูไม้ที่แอบมาเจอแพรวาอยู่ไกลๆ เห็นทั้งคู่พูดคุยแล้วขึ้นรถไปด้วยกัน อบเชยไม่พอใจ “ต้องมาดักเจอกันแบบนี้เลยเหรอ”
อบเชยเจ็บใจ จันทร์ออกมาจากอีกพุ่ม
“ถ้าผู้หญิงเป็นแบบเธอทุกคนนะอบเชย ชั้นขอโสดไปจนตาย”
ไม้กับแพรวามาทานข้าวที่ร้านอาหารด้วยกัน อบเชยแอบมองจากภายนอกแล้วมองปิ่นโตในมือตน
“กับข้าวชั้นมันไม่หรูหรานี่ เดี๋ยวจะเทให้หมากินให้หมดเลยคอยดู”
“พอได้แล้วมั้ง ไปทำธุระที่รพ.กับชั้นดีกว่า อยู่แบบนี้ฟุ้งซ่านว่ะ”
อบเชยยังหน้าง้ำ จันทร์ลากอบเชยออกไป
แพรวานั่งบนโต๊ะอาหารกับไม้
“มีโอกาสได้เจอไม้ก็ดี ชั้นกำลังมีเรื่องไม่สบายใจอยู่เลย”
“เรื่องเกี่ยวกับคุณไกรรึเปล่าครับ”
“ไม้รู้ได้ยังไง”
“หน้าคุณแพรวามันฟ้อง”
“ไม้...ชั้นจะบ้าตายอยู่แล้ว ชั้นไม่รู้จะทำยังไงดี”
“ใจเย็นๆ ก่อนนะครับคุณแพรวา”
“ชั้นใจเย็นไม่ไหวแล้วไม้ ชั้นแทบจะรับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้”
ไม้เอื้อมมือไปจับมือแพรวา
“ใจเย็นๆ นะครับ ตอนนี้ความทุกข์ของคุณ ได้แบ่งเบามาถึงตัวผมแล้ว”
ไกรแอบดูอยู่อีกมุมหนึ่งของร้านอาหาร ไกรเห็นไม้จับมือแพรวาก็ไม่พอใจขึ้นมาทันที แต่ก็พยายามสงบใจ
“ไม้ไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก”
ส่วนที่โต๊ะอาหารแพรวายิ้มกับสิ่งที่ไม้ทำให้
“ขอบคุณนะไม้ ไม้ดีกับชั้นจริงๆ”
ไม้ปล่อยมือแพรวา
“ผมว่าสิ่งที่คุณแพรวากำลังร้อนใจ ถ้าคุณแพรวาเผชิญหน้ากับมัน มันจะเห็นวิธีแก้ปัญหา
เองละครับ อย่าหนีอีกต่อไปเลยครับ” ไกรเดินเข้ามาหยุดยืนที่โต๊ะ แพรวาตกใจ “เชิญตามสบายเลยครับ ผมขอตัวก่อน”
ไม้บอกแล้วลุกเดินออกไป
“ไม้ เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป”
ไม้หันมาส่งยิ้มให้แพรวาแล้วเดินออกจากร้านไป ไกรนั่งลงแทนที่ไม้ ไกรกับแพรวาสบตากัน แพรวามองหน้าไกรไม่ติดนัก
จันทร์พาอบเชยมาที่โรงพยาบาล ทั้งคู่เดินเข้ามาในล็อบบี้โรงพยาบาล
“ทำไมชั้นต้องมาที่นี่กับเธอด้วยเนี่ย ห๊า”
“จะได้ไม่ฟุ้งซ่านเรื่องไอ้ไม้ไง” อบเชยมีสีหน้าไม่เต็มใจนัก จันทร์พาอบเชยไปที่ประชาสัมพันธ์
“คือผมมาขอประวัติคนไข้น่ะครับ”
“จะขอไปทำอะไรคะ”
“คือ...เพื่อนผมป่วยอยู่ในโรงพยาบาลในตัวจังหวัดน่ะครับ ทางโรงพยาบาลเค้าให้มาเอาประวัติเก่าคนไข้น่ะครับ”
“เป็นเพื่อน ไม่ใช่ญาติเหรอคะ”
“เอ่อ”
“ถ้าไม่ใช่ญาติ เราคงให้ประวัติคนไข้ไม่ได้หรอกนะคะ มันเป็นความลับของคนไข้ค่ะ”
จันทร์มองหน้าอบเชยส่งสัญญาณว่าให้ช่วย อบเชยทำทีว่าปวดท้องขึ้นทันที
“โอ๊ย คุณพยาบาลคะ ปวดท้องค่ะ ช่วยชั้นด้วยค่ะ โอ๊ยยยยยยย”
พยาบาลรีบลุกจากเคาน์เตอร์มาทันที
“เป็นยังไงบ้างคะ เดี๋ยวดิชั้นพาไปห้องฉุกเฉินค่ะ”
พยาบาลรีบประคองอบเชยไป อบเชยหันมาส่งซิกให้จันทร์
“พยาบาลคะ ปวดมากเลยค่ะ โอ๊ยยย”
พยาบาลรีบพาอบเชยไปห้องฉุกเฉิน จันทร์ก็เข้าไปนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ของพยาบาล เสิร์ชหาชื่อทิวาทันที จันทร์พิมพ์ “ทิวา” รายชื่อคนชื่อทิวาก็ขึ้นปรื้นบนหน้าจอ จันทร์ไล่หาทีละคนจนเห็นชื่อ ทิวา ศักดินันท์ เขาก็กดชื่อนั้น ก็มีประวัติขึ้นมาพรื้ด
ที่ห้องฉุกฉินอบเชยทำท่าว่าปวดท้อง พยาบาลก็ห่วงเคาน์เตอร์ จึงฝากพยาบาลคนอื่น
“นี่ฝากคนไข้คนนี้ด้วยนะ เดี๋ยวชั้นไปประจำเค้าน์เตอร์ละ”
อบเชยคว้ามือพยาบาลเคาน์เตอร์เอาไว้ กำแน่น
“โอ๊ย ปวดจังเลย”
“คุณคะ เดี๋ยวหมอก็มาดูแล้วค่ะ ไม่ต้องกลัวนะคะ”
“หมอมาแล้วเหรอ”
ที่เคาน์เตอร์เครื่องปริ๊นค่อยๆพิมพ์เอกสารออกมา หมอเดินเข้ามาในห้องฉุกเฉินมาพอดี
“คุณปวดท้อง ปวดตรงไหน”
หมอถาม อบเชยชี้มั่วไปที่ท้องน้อยด้านขวา
“ตรงนี้”
“ปวดยังไง”
“ก็ร้าวเลย ปวดมากเลย เดินแทบไม่ไหว”
“ไส้ติ่งแน่ๆ เดี๋ยวเตรียมผ่าตัดเลย”
“ห๊า ผ่าตัด”
จันทร์ได้เอกสารออกมาครบ เขามองเอกสารอย่างภูมิใจแล้วมองไปที่ป้ายห้องฉุกเฉิน รีบวิ่งไปหาอบเชย ทางอบเชยบุรุษพยาบาลเตรียมเข็นรถอบเชยไปขึ้นเตียงจะไปผ่าตัด
“ไม่เอา ไม่เอา ไม่ผ่า”
“ไม่ต้องกลัวนะ ผ่าไส้ติ่งเดี๋ยวนี้ วันสองวันก็หายแล้ว” หมอบอก อบเชยส่ายหน้าดิก
“กี่วันหายก็ไม่ผ่า”
“ปล่อยไว้แบบนี้ เดี๋ยวไส้ติ่งแตก เสียชีวิตได้นะครับ”
“ไม่แตกหรอก คือไม่ปวดแล้วไง”
จันทร์เปิดประตูเข้ามาในห้องฉุกเฉิน
“อบเชย”
อบเชยวิ่งลงจากเตียงไปยืนข้างจันทร์ อบเชยกระซิบถามจันทร์
“ตกลงได้มามั้ย ถ้าไม่ได้ชั้นต้องผ่าตัดแล้วเนี่ย”
“ได้มาแล้ว”
“นี่มันอะไรกันครับ” หมอถามอย่างแปลกใจ
“คือแฟนน่ะครับ เค้าสติไม่ดี ชอบคิดว่าตัวป่วยเป็นนั่นเป็นนี่ วันก่อนก็คิดว่าตัวเองเป็นอัมพาต” จันทร์บอก อบเชยมองจันทร์เคืองๆ
“เอ๊า”
“ขอโทษทีครับที่ทำให้วุ่นวาย”
“แผนกจิตเวชเชิญชั้นสองนะคะ” พยาบาลบอก
“ครับ”
จันทร์พาอบเชยเดินออกไป
อบเชยเดินออกมาจากตึกโรงพยาบาลกับจันทร์
“ถ้าชั้นโดนผ่าตัดขึ้นมาจะทำยังไงเนี่ย”
“ชั้นจะมาเยี่ยม”
“บ้าสิ”
“แต่เธอเป็นบ้าก็น่าจะเหมาะกว่านะ เพราะขนาดไม่มีหลักฐานทุกคนยังเชื่อสนิท”
“มากไปละ เล่นด้วยแล้วลามปาม เดี๋ยวเหอะ...แล้วประวัติไอ้ทิวาเนี่ย ไม้จะเอาไปทำอะไร”
“ก็ไม้มันบอกว่าที่บ้านมันพ่อมันเก็บประวัติทิวาตอนเด็กเอาไว้ ชั้นว่าแปลกๆ เลยอยากลองหาประวัติทิวาแบบปัจจุบันมาลองดูซะหน่อย ว่ามันมีอะไรพิรุธ”
“ทำไมต้องเก็บประวัติไอ้ทิวาด้วย คนชั่วแบบนั้น เมื่อไหร่จะเลิกมาพัวพันกับพวกเราซะที”
ส่วนที่ร้านอาหาร แพรวารวบช้อนทั้งที่กินไปไม่กี่อย่าง เธอก้มหน้าก้มตาไม่สบตาไกร
“อิ่มแล้วเหรอแพรวา ทานไปนิดเดียวเองนะ”
“ค่ะ”
“ไม่คิดจะเงยหน้ามามองผมบ้างเลยเหรอ” แพรวานิ่ง ไม่เงย “คุณเกลียดผมขนาดนั้นเลยเหรอ”
แพรวายังคงนิ่ง “ผมขอโทษที่ต้องให้ไม้พาคุณมาพบผม แต่ถ้าไม่ใช้วิธีนี้ ผมไม่มีทางได้พบคุณแน่ๆ”
“อย่าพูดอะไรดีกว่าค่ะ เวลานี้ชั้นยังไม่พร้อมจะฟังเท่าไหร่”
“ผมจะให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอคุณ”
“คุณก็รู้ว่าครอบครัวเราสองคนน่ะ...”
“แต่เมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว ก็ต้องแก้ปัญหาสิ คุณมัวแต่หนีหน้าอยู่แบบนี้จะให้ผมทำยังไง”
“ชั้นบอกว่าคุณอย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้ไง”
“ก็ผมพยายามจะแสดงความรับผิดชอบกับสิ่งที่ได้ทำลงไป”
“หยุดเถอะชั้นขอร้อง คุณไม่ต้องแสดงความรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น”
แพรวาลุกขึ้นเดินหนีไกรออกจากร้าน ไกรควักแบงก์พันวางบนโต๊ะแล้วรีบวิ่งตามไป
แพรวาเดินหนีไกรออกมาจากร้านอาหาร ไกรวิ่งตามคว้าแขนไว้ได้
“แพรวา หยุดก่อน”
“ปล่อยชั้นเถอะ”
“คุณอยากให้ผมทำอะไร คุณบอกผมมาสิ ผมจะทำทุกอย่าง แต่อย่าหนีหน้ากันแบบนี้”
“เรื่องของเราสองคนน่ะ มันเหมือนจับพลัดจับผลู คุณไม่ได้อยากมารักชั้น ไอ้ความใกล้ชิดที่เราไปหลงป่าด้วยกัน มันอาจจะเป็นแค่ความผูกพันเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ใช่ความรักก็ได้ คุณไม่ต้องมาตามแก้ปัญหา หรือรับผิดชอบอะไรทั้งนั้นแหละ”
“คุณว่าเรื่องระหว่างเรามันเป็นแบบนั้นเหรอ”
“หรือคุณว่าไม่จริง” ไกรไม่เถียง แพรวายิ้มสมเพชตัวเอง “น่าสมเพชมั้ยล่ะ ที่ชั้นคาดหวังจะให้คุณเถียงแล้วบอกชั้นว่าไม่จริง แต่คุณก็ไม่ทำ”
“ที่ผมไม่เถียงคุณ เพราะผมจะพิสูจน์ให้คุณดู ว่าจริงๆ แล้วความรู้สึกของเรามันคืออะไร แต่ผมทำมันไม่ได้ ถ้าคุณไม่ให้โอกาสผม”
แพรวาอ่อนลง ไกรและแพรวาสบตากัน
อ่านต่อตอนที่ 11