เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 8
อาการของศรีไพรก็ไม่ต่างจากทวน ที่รีบวิ่งมายังโอ่งแล้วตักน้ำขึ้นมาถูๆๆ จมูกของตัวเอง เมิน ทอกและหมอกกำลังช่วยกันย่างปลาอยู่ ต่างพากันหันมองมายังทวนด้วยความแปลกใจ ทวนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“ถูๆๆๆ เอากลิ่นไม่พึงประสงค์ออกไปให้หมด โธ่ๆๆ ไม่น่าเล้ย รักษาเนื้อรักษาเนื้อรักษาตัวมาได้ตั้งนาน ไม่น่าเสียท่าเลย” ทวนล้างหน้าไปบ่นไป
“ไอ้ทวน แกเป็นอะไรวะ มาถึงก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ จะล้างจะเช็ดไปถึงไหน ฉันไม่เห็นมีอะไรติดปลายจมูกแกมาเลย” เมินงง
“ไม่มีได้ยังไง ต้องมีซีวะ นี่ แกเห็นจมูกของฉันมั้ย ดูดีๆ มีร่องรอยอะไร”
ทอกส่ายหน้า
“ไม่เห็นมีอะไรเลยพี่ทวน เห็นมีแต่รอย...รอย...เอ๊ะ นี่มันรอยนิ้ว นิ้วทั้งห้า”
หมอกรีบเข้าไปดู
“ไหนวะ เออ จริงๆ ด้วย ยิ่งล้างยิ่งเป็นรอยนิ้วทั้งห้า พร้อม...พร้อมฝ่ามือ สันนิษฐานว่าคงจะหนัก”
“ไปโดนใครตบมาวะ ถ้าให้ฉันเดา น้ำหนักมือหนาเป็นป้านยังงี้ ต้องเป็น...ยายมู่ทู่”
“โว๊ยยยยย” ทวนแผดเสียงดัง โกรธและเสียใจ ล้างหน้า ถูๆๆๆ “มีน้ำยาฆ่าเชื้อมั้ย”
“ไม่มี”
“ยาฆ่าหญ้าล่ะ”
“ไม่ใช้สารเคมี”
“โธ่ๆๆๆ แล้วจะใช้อะไรวะ ยาฆ่าเชื้อไม่มี เกิดฉันเป็นบ้าล่ะ”
ทวนโวยวายลั่น เมื่อถามหาอะไรก็ไม่มี
“ก่อนเป็นบ้าน่ะ แกต้องเป็นโรคกลัวน้ำก่อน ถามหน่อย...จมูกของแกไปโดนอะไรมาแกถึงได้กลัวติดเชื้อ” เมินถามอย่างอยากรู้มากๆ
“โดน...โดน...”
ทวนพูดไม่ออก ทอกรีบพูดต่อ...
“พี่ คงไม่ได้หมายความว่าจมูกของพี่ไปโดน อ้า...โดน...”
“แก้ม...”
หมอกบอกทันที ทอกโวยวายขึ้นมา
“ใช่ โดนแก้มใครมาหรือเปล่า พี่ถึงได้มีรอยนิ้วทั้งห้าแถมมาด้วยยังงี้”
เมินชี้หน้า...
“เอ๊ะ หรือว่าแก...แก...เป็นไปไม่ได้ ศรีแพรสัญญากับฉันแล้วว่าจะเก็บแก้มเอาไว้ให้ฉันคนเดียว งั้นแกก็...ก็...”
ทอก หมอกและเมินหันมาสบสายตากัน เมินอุทานขึ้นพร้อมๆ กัน...
“ยายมู่ทู่...”
กลางดึกคืนนั้น ศรีแพรนอนหลับสนิทหันหลังให้ศรีไพร โดยที่ศรีไพรนอนตรงกลาง มีแสนนอนขนาบอีกข้างหนึ่ง ศรีไพรผุดลุกผุดนั่ง เพราะนอนไม่หลับ นึกถึงจูบแรกของทวน
“โอย ทำไมมันนอนไม่หลับวะ เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว เหมือนจะเป็นไข้ พอจะเป็นไข้มันก็แค้น...แค้น...แค้นใจจนนอนไม่หลับ รู้ยังงี้ไม่ปีนขึ้นไปเก็บมะขามเทศบนต้นหรอก นี่แน่ะ...นี่แน่ะ เขกหัวตัวเองซะเลยอยากตะกละนัก”
ศรีแพร กับแสนตื่นขึ้นมาด้วยความรำคาญ ศรีไพรรีบล้มตัวลงนอน ห่มผ้าทำเป็นหลับ
“เป็นอะไร ผุดลุกผุดนั่งอยู่นั่นแหละ นี่ตีเท่าไหร่แล้วยังไม่นอนอีก พรุ่งนี้พี่ต้องตื่นก่อนไก่นะ จะทำของไปวัด” ศรีแพรบ่น
“นั่นน่ะซี เป็นอะไรไปฮึ พี่ศรีไพร ไม่มีใครเขาเชื่อหรอกว่าพี่ไปโดนจูบมาน่ะ แม่ก็ไม่เชื่อ พ่อก็ไม่เชื่อ หาว่าพี่เครียดเรื่องชาวบ้าน นอนเถอะ...ฉันง่วงแล้วนะ”
แสนบอก ศรีไพรทำเสียงรำคาญ
“ก็นอนไปซี ใครไปว่าอะไรล่ะ”
ศรีแพร กับแสนล้มตัวลงนอน ศรีไพรก็ผุดลุกขึ้นนั่ง
“โธ่ๆๆๆ แล้วนี่จะทำยังไงดีล่ะ จะเอาหน้าไปมองใครได้ ไม่น่าตะกละเลยเรา ไม่ยังงั้นคงไม่...”
“โอย นี่จะนอนหรือไม่นอน” ศรีแพรเริ่มโมโห
“เอ้อ อ้า นะ...นอน...นอนไม่หลับ...”
“นอนไม่หลับเรื่องอะไร อย่าคิดมากเลยน้องพี่ เรื่องในบ้านนานี่ยังต้องคิดอีกเยอะ รีบเป็นบ้าเป็นบอเสียตอนนี้พี่กับพ่อกับแม่จะพึ่งใครล่ะ”
“จริงด้วย ไอ้เรื่องที่พี่หลับกลางวันแล้วฝันไปว่ามีผู้ชายมาจูบพี่น่ะ พี่ลืมมันเสียเถอะ มันเป็นความฝัน ไม่มีทางเป็นจริงๆ ร๊อก...”
แสนพลิกตัวหนี นอนหลับ ศรีไพรมองอย่างขุ่นเคือง
“ทำไม ทำไมเอ็งถึงได้คิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้”
“เซ้าซี้อะไรก็ไม่รู้คนจะนอน ไปนอนกับแม่ดีกว่า”
แสนหอบผ้าห่มมุดมุ้งออกไปด้วยความรำคาญ ศรีไพรหันมาสบสายตาของศรีแพร
“พี่ก็ไม่เชื่อใช่มั้ยว่าฉัน...”
“นอนเสียเถอะ นอนให้เต็มอิ่มพรุ่งนี้อาการจะได้ค่อยยังชั่ว พ่อไม่เชื่อน่ะดีแล้ว ถ้าพ่อเชื่อ...มีหวัง..หลังลาย”
ศรีแพรล้มตัวลงนอน ศรีไพรขยาดๆ ด้วยความหวั่นกลัว
เช้าวันต่อมา สดเดินตามพรลงบันไดเรือนไทย รู้สึกจะเป็นกังวลหนักเรื่องที่ศรีไพรถูกจูบ แต่ไม่มีใครเชื่อ
“ตาพร ฉันว่ามันจะยังไงๆ อยู่นา ไอ้เรื่องเมื่อวานนี้น่ะ”
“เรื่องอะไร แก”
“ก็เรื่องที่...”
“อ๋อ ไอ้เรื่องนั้นน่ะหรือ มันเกิดจากความเครียด คิดเรื่องของคนอื่นมากเกินไปเลยร่ำๆ จะเป็นบ้า แกไม่ต้องกลัวหรอกไอ้ศรีไพรน่ะ มันได้อยู่เป็นสิริมงคลของพ่อแม่แน่ๆ หน้าตามันยังงั้นใครเขาอยากจะจูบมัน...เอ๊ะ...จะ...จูบ”
พรชะงัก หันมามองหน้า สดพยักหน้าแหยๆ
“ใช่ จะ...จูบ”
“เมื่อกี้นี้ข้าว่าอะไรนะ นี่แกเชื่อหรือว่ามีคนจูบลูกสาวของแกจริงๆ มันไม่ได้นอนหลับแล้วฝันไป”
ศรีไพรเดินออกมาจากบ้าน สัมภาระในการทำนาเต็มสองบ่า
“พ่อ เลิกพูดเรื่องนี้เสียทีเถอะ ฉันฝันไป อยากเชื่อว่าฉันฝันไปพ่อก็เชื่อเถอะ ตอนที่ฉันยังตัวเล็กๆน่ะ พ่อยังไม่อยากจูบฉันเลย” ศรีไพรบ่นอย่างน้อยใจ
“จูบเข้าไปลงยังไงวะ มีแต่ขี้มูกกับขี้ตา แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพ่อไม่ได้รักเอ็งนะ”
“ไหน พ่อจูบแก้มฉันซิ”
พรโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
“ไม่จูบโว้ย โตเป็นควายแล้วยังจะให้พ่อแม่จูบอีก เอ็งนี่มันพิลึกขึ้นทุกวันนะ บอกอย่าเครียด...อย่าเครียดก็ไม่เชื่อ เครียดมากๆ เลยเพี้ยน ไป...ไปนาโว้ย”
พร เดินนำหน้าสดออกไป ศรีไพรมองตามอย่างหงุดหงิด
ทวนนั่งซึมเศร้าขณะที่ เมิน ทอกและหมอก เตรียมตัวออกไปท้องนา
“ไปกันเถอะ ฉันต้องแสดงความขยันขันแข็งให้ว่าที่คุณพ่อเห็น คุณพ่อจะได้ยกศรีแพรให้ฉัน ฉันอยากเห็นหน้าศรีแพรเต็มทีแล้วละโว้ย”
“พี่ พี่เป็นอะไรน่ะพี่ทวน เมื่อคืนนี้พี่ก็ผุดลุกผุดนั่ง ไม่ได้หลับได้นอน”ทอกสงสัย
“เฝ้าแต่เดินไปเดินมา แล้วถอนหายใจเฮือก นานๆ ก็เอามือขึ้นมาลูบจมูก เลยไปถึงแก้มที่โดนตบ” หมอกเสริม
เมินถามยิ้มๆ
“หรือว่าแกจะคิดถึงรสชาดของจูบแรก เฮ้ย เป็นยังไงวะไอ้ทวน หอมหวานอย่างที่ฉันคิดมั้ย”
ทวนโกรธ ลุกขึ้นยืน
“นี่ อย่ายั่วโทสะฉันได้มั้ย ใครบอกว่าฉันคิดถึงรสจูบ หรือรสตบของยายมู่ทู่ มันเป็นอุบัติเหตุโว้ย...”
ทอก หมอก เมิน หัวเราะขึ้นพร้อมกัน
“ก๊ากกก อุ-บัติ-เหตุ”
“ใช่ มันเป็นอุบัติเหตุ มันบอกแกไม่ได้หรอกว่ามันจะเกิดเมื่อไหร่ โธ่ ฉันไม่น่าไปเดินหาสัญญานโทรศัพท์แถวนั้นเลย”
เมินเริ่มสงสัย
“เดี๋ยวก่อน แกไปเดินหาสัญญานโทรศัพท์ โทร.หาใคร”
“นี่มันเรื่องส่วนตัวของฉัน ฉันจะติดต่อใครก็เป็นเรื่องของฉัน เอาผ้าขาวม้ามานี่ ไปโว้ย ฉันจะไปทำนา...”
ทวนดึงผ้าขาวม้ามาโพกศีรษะ ก่อนเดินออกไป ทอกและหมอกรีบเดินตามไป เมินมองตามอย่างไม่หายสงสัย
ขณะที่ทุกคนช่วยกันทำนา ทวนและศรีไพรต่างมองจ้องกันอย่างเคืองแค้น ส่วนเมินนั้นหาโอกาสส่งภาษามือนัดหมายกับศรีแพรที่บึงบัว แต่ไม่พ้นสายตาพรที่มองอย่างสงสัย
“เฮ้ย ทำไม้ทำมืออะไรวะ ไอ้เมิน ทำท่าเหมือนหมาเกาขี้เรื้อน ข้าให้เอ็งมาช่วยดำนานะ ไม่ได้ให้เอ็งเกาสีข้าง”
“เอ้อ อ้า มัน...มันคันครับคุณพ่อ”
“อย่ามาเรียกข้าว่าพ่อ ข้าไม่ใช่พ่อของเอ็ง หรือถ้าเอ็งจะล้มเลิกข้อตกลงข้าก็ไม่ขัดข้อง ดีซะอีก ไม่ต้องมานั่งระวังพวกเอ็ง”
ศรีไพรรีบเข้ามาปราม
“พ่อ อย่า...อย่าใจร้อน นายังไม่เสร็จ ไว้ให้ถึงตอนเกี่ยวตอนขนข้าวขึ้นยุ้งซะก่อน แล้วเราค่อย...เสร็จนาฆ่าโคถึก...เสร็จศึก...เชือด...ขุนพล”
“เชือด...”
“ใช่ พ่อ ฉันจะเชือดเรียงทีละตัว...ทีละตัว...จากนั้น…”
“อะไรวะ”
“ฉันจะยำพวกนั้นให้...เละ”
ศรีไพรยกปลายนิ้วขึ้นปาดลำคอตัวเอง ทำหน้าเหี้ยม ขณะที่ทวนมองมายังศรีไพร มองเหมือนไม่อยากมอง
หลิมและเลิศ เดินขึ้นมาบนบ้านเศรษฐีบุญช่วยอย่างรีบเร่ง ขณะที่บุญช่วยและชิงชัยรออยู่อย่างกระวนกระวาย
“ยังไงวะ ล่ารายชื่อชาวนาได้ครบมั้ย”
หลิมหน้าแหย
“ไม่มีใครยอมเซ็นเลยครับคุณชิงชัย อ้างว่า...ต้องให้หลวงตาฉุนเซ็นก่อน พวกชาวบ้านถึงจะกล้าตามหลวงตาฉุนไปสวรรค์ครับ”
บุญช่วยโมโห
“ไอ้พวกอวดดี ทำไมมันถึงกล้าขัดคำสั่งของข้า”
“เป็นเพราะไอ้พวกนั้น มันพูดให้ชาวนางง เลยนึกภาพศูนย์การค้า ทางด่วน หรือรถไฟฟ้าไม่ออก” ชิงชัยบอก
“ไม่เห็นจะยาก ก็ให้หลวงตาเซ็นชื่อในหนังสืมยินยอมก่อน ชาวบ้านก็ต้องเซ็นตาม” ชาริณีพูดหน้าตาเฉย เห็นเป็นเรื่องธรรมดา
“แล้วใครจะเอาหนังสือนี่ไปให้หลวงตาฉุนเซ็น” สไบถาม
“มันต้อง...ข้า...”
บุญช่วยประกาศเสียงดัง
อ่านต่อหน้า 2
เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 8 (ต่อ)
บุญช่วยตรงไปที่วัดบ้านนา และขึ้นไปบนศาลาการเปรียญ มหาเฉื่อยค่อยๆ เลื่อนเอกสารที่บุญช่วยส่งให้ มาวางไว้ตรงหน้าหลวงตาฉุนที่ทำทีเป็นหูตึงเหมือนเคย
“ขอบใจท่านเศรษฐีบุญช่วยนะ วันนี้มากันแต่เช้า มาไม่มาเปล่า มากันทั้ง โค-ตะ-ระ-เชียวนะ”
บุญช่วยยิ้มกริ่ม
“ลงนามในเอกสารนี่เสียเถอะหลวงพ่อ หลวงพ่อจะได้เดินนำหน้าสาธุชน คนนับถือพุทธไปสวรรค์”
“น้ำแข็งปั่นเรอะ ไม่เอา...ฟันข้าไม่ดีว่ะ ข้ากินหมาก กินน้ำแข็งไม่ได้หรอกข้าเสียว...เสียวฟัน”
ชิงชัยหงุดหงิด พยายามอธิบาย
“ไม่ได้พูดเรื่องเสียว...อ้า...เสียวฟันหรอกหลวงตา พ่อขอให้หลวงตาเซ็นเอกสาร จะได้นำพวกชาวบ้านไปสวรรค์”
“ยังไม่ถึงเวลาฉัน ยังไม่ต้องประเคนหรอก อีกนานกว่าจะเพล เป็นพระท่านให้ฉันสองมื้อ เวลาลงโบสถ์น้ำอัฐบาลพอได้”
“ฮึ น้ำอัฐบาล...”
“กะบาลใครวะ เมื่อกี้นี้ใครจะตีกบาลใคร”
บุญช่วยรีบขัด
“เซ็นเสียเถอะหลวงพ่อ ยังไงเราก็ปฏิเสธความเจริญไม่ได้ ผลประโยชน์ที่เราได้จากที่ดินในป่าช้า หลวงพ่ออาจจะได้จำวัดในกุฏิติดแอร์”
หลวงตายิ้ม
“เออ ข้าชอบ อะไรที่มันเย็นแต่พองามข้าชอบทั้งนั้นแหละ เอามา...จะให้เซ็นตรงไหนล่ะ เอามาซีมหาเฉื่อย”
“นี่ขอรับหลวงพ่อ”
หลวงตารับเอกสารไปเปลี่ยนกับที่วางอยู่อย่างรวดเร็ว แล้วเซ็นชื่อ แล้วส่งให้ มหาเฉื่อยหันมายิ้ม
“อ้า...ทั้งหมดเป็นเงินหนึ่งแสนห้าหมื่นบาทครับท่านเศรษฐี นี่เป็นใบอนุโมทนาบัตรที่หลวงพ่อท่านเซ็นชื่อไว้เรียบร้อยแล้ว สามารถนำไปหักภาษีเงินได้ประจำปี ขอให้มีความสุขความเจริญ อ้า...หนึ่งแสนห้าหมื่นบาทครับท่านเศรษฐี...ขอให้คิดอะไรสมความปรารถนาทุกประการเทอญ...สา...ธุ”
บุญช่วย ชิงชัย หลิม เลิศต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กด้วยความงงงัน ที่ต่างเสียรู้หลวงตาและมหาเฉื่อย
คนเร่ร่อน เข้าไปก้มๆ มองๆ อยู่ในบริเวณบ้านของเศรษฐีบุญช่วย แล้วหลบวูบเมื่อเห็นรถยนต์แล่นเข้ามาจอด
บุญช่วยและชิงชัย ก้าวลงมาจากรถยนต์อย่างโกรธแค้น ที่เสียรู้หลวงตาและมหาเฉื่อย ต้องเสียเงินบริจาคแทนที่จะได้ลายเซ็นยินยอมของหลวงตา ทางด้านหลิม เลิศ นำรถไปจอดเรียบร้อยแล้วเดินตามเข้ามา ขณะเดียวกันชาริณีวิ่งตัดหน้าสไบและแหว่งลงมา
“วุ๊ย เกือบตกบันไดแน่ะค่ะ คุณสไบของบ่าวขาเดินอยู่ดีๆ มาวิ่งตัดหน้า”แหว่งบ่น
ชาริณีถามบุญช่วยด้วยความร้อนใจ
“สำเร็จมั้ย พ่อ หลวงตาฉุนยอมเซ็นชื่อมั้ย”
“สำเร็จอะไรได้ เสียเงินน่ะไม่ว่า หมดไปอีกแสนห้าได้ใบอนุโมทนาบัตรมาใบเดียว”
“อ้า ใช้หักภาษีได้ครับ ท่านเศรษฐี” หลิมเสริม
“ข้าไม่เคยเสียภาษีโว้ย แค่เสียรู้หลวงตาฉุนกับมหาเฉื่อย ตีตั๋วไปสวรรค์ราคาแสนห้าข้าก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
สไบมองค้อน
“ก่อนทำอะไรน่าจะดูให้รอบคอบ”
“ก็เพราะไอ้หลิมคนเดียว ไม่รู้จักดูให้ถี่ถ้วน เดี๋ยวพัด...”
ชิงชัยจะเข้าไปอัด บุญช่วยหันไปเห็นคนเร่ร่อน
“เฮ้ย นั่นใครวะ ใครหลบอยู่ตรงนั้นเอาตัวมันมา”
หลิม เลิศรีบผละไปจับตัวคนเร่ร่อนเข้ามา
“แกมาทำอะไรที่นี่” ชิงชัยถาม
“คนขอทานละมั้ง พี่ชิงชัย คงเข้ามาขอเศษอาหารน่ะ” ชาริณีดูจากการแต่งตัวที่มอซอ
“ไม่มีหรอก จะเก็บไว้ให้สุนัขสองตัวนี่รับประทาน”
แห่วงชี้ไปที่หลิมกับเลิศ บุญช่วยมองสงสัย
“บ้านนามีขอทานตั้งแต่เมื่อไหร่วะ เมื่อก่อนนี้ไม่เคยเห็นเลยนี่หว่า เข้ามาขอทานหรือเข้ามาทำอะไร”
“มีเศษเงินใบละห้าร้อย ทำบุญทำทานกับคนยากด้วยเถอะท่านเศรษฐี เกิดชาติหน้าจะได้ร่ำรวย...ฉลาด โกงไป โกงมาเหมือนชาตินี้” คนเร่เร่อนแบมือขอ
“ช้าไม่มีอารมณ์จะทำทาน ทำบุญไปแสนห้าแล้วโว้ย ไป...เอาตัวมันไปโยนทิ้ง” บุญช่วยไล่
เลิศและหลิมหิ้วปีกคนเร่ร่อนออกไป นอกบริเวณประตูบ้าน โยนลงกับพื้นก่อนปัดมือไล่ฝุ่น เลิศชี้หน้าขู่
“จำไว้ ห้ามเข้าไปขอทานในบริเวณบ้านท่านเศรษฐีอีก หิวข้าวไปขอที่วัดกินอยากได้เงินไปขอชาวบ้าน ถ้าข้าเห็นเอ็งเมื่อไหร่ละก็...เจ็บ”
หลิม เลิศเดินกลับเข้าบ้านไป คนเร่ร่อนเขม้นมองเข้าไปในบริเวณบ้านของบุญช่วยอย่างสอดแนม
ศรีไพรนั่งอยู่ที่บันไดชั้นล่าง ขณะที่ศรีแพรถือกระจาดลงมา ศรีไพรทำจมูกฟุตฟิตเพราะได้กลิ่นน้ำอบไทยที่ศรีแพรใส่
“บอกแม่ด้วยนะ พี่จะออกไปเก็บบัวมาถวายพระ เดี๋ยวจะเก็บฝักมาเผื่อไอ้แสนมันด้วย”
ศรีแพรบอกแล้ว รีบเดินลงเรือนไป ศรีไพรมองตามอย่างสงสัย
“เอ๊ะ ไปเก็บบัวแต่ทำไมใส่น้ำอบซะฟุ้งเลย หรือว่า...”
ศรีไพรนึกถึงตอนที่พรโวยวายเมินว่า ทำมือเหมือนหมาเกาขี้เรื้อน แล้วนึกขึ้นมาได้ว่าเป็นภาษามือ ศรีไพรรีบไปหยิบหนังสือ “บทเรียนภาษามือ” ที่ทวนเคยให้ไว้ จากกระเป๋ากางเกงด้านหลังออกมาเปิดอ่าน แล้วตีความได้ว่า...
“เจอ-กัน-ที่-บึง-บัว”
“เจอแน่...” ศรีไพรทำหน้าเหี้ยมๆ
เมินประแป้งลายพร้อย หวีผมเรียบหล่อ ก้าวเข้ามาริมตลิ่ง เห็นศรีแพรลอยเรือเก็บบัวอยู่กลางบึง เมินหันรีหันขวาง
“มาซะหล่อเหมือนแท่งคอนกรีตสำเร็จ เอาไงดีวะ ลอกคราบเหลือแต่เนื้อล้วนๆ เพื่อความปลอดภัย ยังไงศรีแพรก็ไม่เห็นหรอกน่ะ ของมันอยู่ในน้ำนี่หว่า”
เมินถอดเสื้อ หยิบโทรศัพท์มือถือซ่อนไว้ในกองเสื้อผ้า ก่อนที่จะว่ายน้ำไปหาศรีแพร โดยไม่รู้ว่าทวนตามมา แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือของเมินขึ้นมามองด้วยความสงสัย
“ไอ้เมินมันมีเครื่องมือสื่อสารรุ่นนี้ด้วยเหรอ”
ทางด้านเมิน ว่ายน้ำเข้ามาร้องเพลงเกี้ยวกับศรีแพร ช่วยกันเก็บบัวเต็มลำเรือ เมินดึงศรีแพรมาจูบ
“อย่า พี่เมิน เดี๋ยวเรือล่ม”
“พี่อยากให้เรือล่ม พี่จะได้ตายพร้อมกับศรีแพรในบึงบัวนี่ กลางคืนใครผ่าน ไปผ่านมา เขาจะได้เห็นเราสองคนพายเรือเก็บบัวด้วยกัน”
“ชาวบ้านเลยต้องจ้ำพายหนี แล้วเรียกบึงนี้ว่าบึงผีหลอก” ศรีแพรขำๆ
“พี่พยายามทำนา เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าพี่เป็นคนรักจริง แต่ไม่รู้เมื่อไหร่พี่จะได้แต่งงานกับศรีแพร”
“พี่ต้องอดทนนะ ถึงพ่อกับศรีไพรจะโหดร้ายกับพี่ยังไง พี่ก็ต้องเห็นแก่ความรักของเรา”
“เพราะเห็นแก่ศรีแพรน่ะซี พี่ถึงได้พยายามฟอกตัวให้พ่อกับศรีไพรเห็นว่า พี่เป็นลูกผู้ชายพอที่จะดูแลปกป้องศรีแพรได้ โอย...”
อยู่ๆเมินก็ร้องขึ้นมา ศรีแพดรแปลกใจ
“พี่เมิน เป็นอะไรไปน่ะ”
“ไม่รู้ตัวอะไรกัด”
“ขึ้นมาบนเรือนี่ก่อนมั้ย พี่เมิน”
“มะ...ไม่ ไม่ได้ ขึ้นไม่ได้จ้ะ โอ้ย...อีกแล้ว หนอย...กัดตรงไหนไม่กัด รู้ที่กัดซะด้วยไอ้ปลาตัวเมีย”
“หรือว่าตะเข้...ว๊าย... หรือว่าในบึงบัวมีจรเข้ พี่เมินรีบขึ้นมาเร็ว เร็วๆ”
ศรีแพรตกใจ โผเข้าดึงตัวเมิน เรือล่มลง ทั้งคู่มองสบสายตากัน ค่อยๆ เลื่อนใบหน้าเข้าหากัน ทันใดศรีไพรพรวดพราดขึ้นมาจากน้ำ
“หยุด...หยุดเดี๋ยวนี้ ถอยห่าง...รักษาระยะ ไม่ยังงั้นโดนไอ้เข้งับที่สำคัญแน่”
“ศรีไพร”เมินตกใจ
“มาได้ยังไงนี่”ศรีแพรงง
“นึกว่าฉันไม่รู้ภาษามือหรือ มีคนให้หนังสือบทเรียนภาษามือกับฉัน ฉันเลยรู้ว่าพี่นัดกันที่ไหน กลับบ้านเดี๋ยวนี้พี่ศรีแพร บัวเบอนี่ไม่ต้องเลย ถ้าพี่ไม่กลับบ้านฉันจะสั่งไอ้โห้ลูกน้องฉัน งับไม่ให้เหลือเลย...”
“โอ้ย...ไม่ให้เหลือเลยเรอะ”เมินร้องลั่น
“ไม่ให้เหลือพันธุ์ จะกลับหรือไม่กลับ...”
ศรีแพรรีบบอก
“กลับก็ได้ ฉันไปก่อนนะพี่เมิน”
“ยังจะสั่งลากันอีก ไม่ให้สั่ง ขึ้นฝั่งเดี๋ยวนี้ ไม่ยังงั้นฉันจะ...”
“ไปก็ได้”
ศรีไพรดึงศรีแพรว่ายน้ำขึ้นฝั่ง
“ฮึ ยายมู่ทู่ ยายตัวกันท่า สงสัยจัง...ไอ้ทวนมันจูบลงได้ยังไงวะ...” เมินมองตามไปด้วยความขุ่นเคือง
เมื่อกลับมาที่เพิง เมินนุ่งผ้าขาวม้า เข้ามาค้นหาโทรศัพท์มือถืออย่างร้อนใจ ทวนนอนกดโทรศัพท์ดูหมายเลขบนหน้าจอ
“หาไอ้นี่อยู่ใช่มั้ย ไอ้หมาเมิน”
“ไอ้ทวน แก...แกขโมยของๆ ฉันเหรอ”
“จะว่าขโมยก็ไม่ถูก เอาเป็นว่าฉันเห็นมันกองอยู่กับชุดหล่อของแกที่ตลิ่งบึงบัวว่ะ”
“เอามานี่...” เมินแย่งคืน
“มีโทรศัพท์มือถือใช้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“แกก็มี ไม่เห็นแกเคยบอกฉันเลยว่าแกมีใช้ แล้วทำไมฉันต้องรายงานแกด้วยวะ”
“กลัวเพื่อนยืม หรือกลัวเพื่อนรู้ว่าแกติดต่อกับใครบ้าง”
“ฉันจะติดต่อกับใคร ไม่เกี่ยวกับแกนี่ แต่สำหรับศรีแพรแล้ว โทร.สายตรงพิเศษ ใช้สัญญานผ่านหัวใจ ติ๊กๆๆ กริ๊ง...ศรีแพรจ๋า ทำอะไรอยู่ ก่อนนอนห่มผ้าหนาๆ แล้วอย่าลืมแปรงฟันด้วยใบข่อย รักคิดถึงนะ...จุ๊บ...จุ๊บ”
เมินจูบโทรศัพท์ ทวนมองอย่างเครียดๆ
“ไอ้เมิน”
“ครับผม”
“แก...”
ทวนก้าวเข้ามาเผชิญหน้า มองเมินตรงๆ
“มีเบอร์กองบัญชาการส่วนกลาง กับมีสายตรงของหัวหน้าหน่วยปราบปราม แก...เป็นใคร”
“แกล่ะ เป็นใคร ทำไมถึงได้รู้ว่าเบอร์ในเครื่องของฉัน เป็นเบอร์ของบุคคลสำคัญ แก...เป็นใคร”
เมินสบสายตาของทวนอย่างท้าทาย
อ่านต่อหน้า 3 -4 วันพรุ่งนี้
วันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 8 (ต่อ)
หลวงตาฉุนเดินนำหน้ามหาเฉื่อย มาหยุดที่บันไดทางขึ้นศาลา มองมายังคนเร่ร่อน ซึ่งกำลังนั่งกินข้าวอยู่ข้างๆ บันได
“มันจะเป็นใครก็ให้มันกินให้อิ่ม คนเราน่ะ...มันก็กินแค่อิ่มเท่านั้นแหละ แล้วจะไปโลภทำไม ทุกวันนี้สังคมมีแต่คนรวยกระจุกแต่จนกระจาย”
“มันเป็นยังไงขอรับหลวงพ่อ ไอ้จนกระจายรวยกระจุกที่หลวงพ่อเทศน์โปรดผมนี่” มหาเฉื่อยสงสัย
“มันก็มีคนร่ำรวยอยู่แค่กระจุกเดียว แต่มีคนจนกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปน่ะซี ไอ้จะทำให้คนรวยกับคนจนมันมีอะไรๆ เหมือนๆ กันหรือใกล้เคียงกันมันก็ผิดธรรมชาติที่มนุษย์จะเป็นได้ เพราะสติกับปัญญาของคนมีไม่เท่ากัน มันอยู่ที่ว่าคนรวยกับคนจนต้องอยู่ร่วมกันให้ได้ เอออวยช่วยเหลือกัน เอ้อ...เอาข้าวก้นบาตรมาให้เจ้าขอทานเร่ร่อนนี่ มันจะได้เร่ร่อนอยู่ในบ้านนานานๆไง”
หลวงตาเดินขึ้นศาลาไป มหาเฉื่อยมองตามไปอย่างงงๆ
“หลวงพ่อท่านขึ้นธรรมาสน์เทศน์ข้างกะไดศาลา แล้วมาเกี่ยวกับไอ้เจ้าขอทานเร่ร่อนนี่ได้ยังไงวุ๊ย งั้นเดี๋ยวข้าจะเอาข้าวก้นบาตรมาให้นะ”
มหาเฉื่อยเดินขึ้นศาลาไป คนเร่ร่อนค่อยๆ เปิดหมวกที่สวมอยู่ มองตามไป
สไบจัดอาหารอยู่ในครัว แหว่งถือจานอาหารของชาริณีกลับเข้ามา
“จืดไป รับประทานไม่ลงค่ะ คุณสไบของบ่าวขา”
สไบชักสีหน้ามึนตึง หยิบน้ำปลาเทใส่ลงไปในจาน แหว่งเดินออกไป ครู่หนึ่งก็เดินกลับเข้ามา...
“เค็มไป รับประทานไม่ลงค่ะ คุณสไบของบ่าวขา”
สไบฟังแล้วโมโห หยิบน้ำตาลทรายใส่ลงไปในจาน แหว่งเดินออกไปอีกครั้ง ไม่นานนักก็กลับมา...
“หวานไป รับประทานไม่ลงค่ะ คุณสไบของบ่าวขา”
สไบโกรธจัด หยิบจานอาหารมาถุยน้ำลายใส่ลงไปในจาน แหว่งยกจานออกไป ครู่ใหญ่แหว่งถือจานอาหารเข้ามาอย่างระรื่น
“รสชาติกลมกลืน หนืดเหนียวได้ที่ รับประทานเกลี้ยงเลยค่ะ คุณสไบของบ่าวขา”
“สมน้ำหน้า อยากเรื่องมากนัก ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครนาย ใครขี้ข้า”
“นี่ถ้าคุณชาริณีรู้ว่าอาหารจานเด็ดจานเดียว เป็นสูตรพิเศษของคุณสไบของบ่าวขาละก็...รับรองว่าต้องรีบกลับไปเกิดใหม่ ใส่ลายเพิ่มมาอีกเพียบกว่าจะสู้ คุณสไบของบ่าวขาได้ พอรับประทานเสร็จ ก็กางปีกกางหาง...โบยบิน”
“นังชาริณีมันไปไหน”
“คงจะไปจับผู้ชายค่ะ คุณสไบของบ่าวขา”
“จับผู้ชาย”
สไบสงสัยขึ้นมาทันทีว่าชาริณีไปไหน
ชาริณีที่แต่งตัวเปรี้ยว และโป๊ มาดักทวนที่คันนา ทวนเดินผิวปากมาแต่ไกล ชะงักก้าว เปลี่ยนเป็นก้าวถอย ชาริณีรีบเข้ามายืนขวางหน้าทวนไว้
“จะหนีไปไหน ทำเหมือนไม่กล้าสู้เสน่ห์ของฉันเลยนะ เป็นผู้ชายพันธุ์แท้ หรือว่า...เป็นผู้ชายกลายพันธุ์”
“ผู้ชายแท้ซีครับ ทำไมคุณถามผมยังงั้นล่ะ”
“ถ้าเป็นผู้ชายแท้ ข้อเสนอต่อไปนี้ ไม่ควรปฏิเสธนะ อยากจะเลื่อนฐานะจากชาวนาผู้ยากไร้ เป็นลูกจ้างให้ไอ้ศรีไพรมันใช้งานเหมือนควาย หรือจะเป็นลูกเขยของท่านเศรษฐีบุญช่วย”
ทวนอึ้ง
“คุณ นี่คุณลงทุนถึงขนาดนี้เชียวหรือ ขนาดเอาเนื้อตัวเข้าแลก แทนเงื่อนไขเรื่องเงิน ไม่ใช่ผมไม่ชอบเงินนะ เงินน่ะ...ใครๆ ก็ชอบ แต่ผมบอกแล้วไง ผมกินอิ่มนอนหลับ มีเสื้อผ้าสวมใส่ มีที่อาศัยซุกหัวนอน ปัจจัยสี่เพียบออกยังงี้แล้ว ผมเลยนึกไม่ออกว่าปัจจัยที่ห้าที่ต้องใช้เงินน่ะมันคืออะไร”
ชาริณีเริ่มลูบไล้ไปทั่วตัวของทวน เริ่มจากทรวงอก ทวนทำหน้าสยิวสยอง
“ปัจจัยที่ห้ามันก็คือ...นี่ไง...”
“คุณ...”
“ทีแรกฉันก็คิดว่าคุณเป็นแค่นายบื้อชาวนาธรรมดาๆ แต่พอรู้จักคุณไปนานๆ ฉันก็เลยเห็นอะไรบางอย่างในตัวคุณ”
“อะไร”
“ก็ความยะโสโอหังของคุณ ที่ไม่ยอมก้มหัวให้พ่อฉันน่ะซี รู้มั้ย...ว่าอะไรที่มีรสชาติที่สุด”
“อะไร”
“ก็ผู้ชายที่ได้มาครอบครองยากๆไง”
ศรีไพรขี่หลังควายผ่านมา แกล้งทำไม่เห็นทวนและชาริณี เมินหน้าไป ทวนรีบร้องตะโกนอย่างดีใจ
“ศรีไพร...ศรีไพร...”
“ไอ้ศรีไพรอีกแล้วเหรอ” ชาริณีหงุดหงิด
“ผมต้องรีบไปแล้วจริงๆ ครับ รอด้วย ขอโดยสารไอ้ไฉไลเฉิดไปด้วยคนไฉไลเฉิดรอพ่อ..เอ๊ย..รอพี่ด้วย ให้พี่ขี่หลังไปด้วยคนนะ”
“ไอ้ไฉไลเฉิด...ไป...”
“มอๆๆๆ” ควายร้อง
“เห็นมั้ย ไอ้เจ้าไฉไลเฉิดมันหยุดรับผม ขอบใจมากนะลูก...เอ๊ย น้องรัก เอ้า...ไปด้วยคน”
ทวนกระโดดขึ้นหลังควายกอดเอวศรีไพรไว้แน่น เพราะกลัวชาริณี
“ไปด้วยก็ไปเฉยๆ ไม่ต้องกอดเอว” ศรีไพรโวย
“ไม่กอดได้ไงล่ะ เดี๋ยวตก”
“ก็นั่งดีๆ ซี มันจะได้ไม่ตก”
“มอๆๆๆ” ควายร้อง
“จ้ะ นั่งดีๆ แล้วจ้ะ ไปกันได้แล้วไฉไลเฉิด”
ควายเดินออกไป
“ไอ้ควายบ้า เอาคุณทวนไปแล้ว คุณทวนก็พิลึกผู้หญิงสวยๆ ไม่สน ไปสนใจ...ควาย” ชาริณีมองตามไปอย่างแค้นเคือง
ทวนและศรีไพร นั่งหลังไฉไลเฉิดเข้ามาในท้องนา
“ไป พ้นเขตอันตรายแล้ว ลงไปได้”
ศรีไพรทำหน้ามึนตึง แต่แววตาของทวนกลับอ่อนโยน ล้อเลียน ยั่วโทสะ
“ผมยังขวัญเสียอยู่เลยนะคุณ พักนี้ไม่รู้ดวงเป็นอะไร มีเหตุให้ต้องแพ้ภัยผู้หญิงอยู่เรื่อย เดี๋ยวโดนจับ เดี๋ยวโดนจูบ ยี๊ส์ จั๊กกะจี๋จัง”
ศรีไพรโกรธ อาย หันมาตวาดแว๊ด
“นี่ ลงไป ไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุอย่างคราวที่แล้วอีก”
“อะไรนะ คุณเรียกมันว่าอะไรนะ อุบัติเหตุหรือ”
“ก็ใช่น่ะซี มันเป็นอุบัติเหตุ เหตุมันอุบัติขึ้นมาแล้ว จะให้ทำยังไงล่ะ”
“ผมเสียหายที่ปลายจมูกนะ”
“ฉันก็เสียทั้งแก้ม...”
“แต่กลิ่นฉุนของคุณ ยังติดอยู่ที่ปลายจมูกผม จนผมนอนไม่หลับเลยนะ”
“ไอ้กลิ่นสกปรกของคุณ มันก็ติดอยู่ที่...ที่...”
ทวนรีบต่อ...
“ใจ”
ศรีไพรมองค้อน...
“แก้มย่ะ แก้มของฉันจนฉันรำคาญ นอนไม่หลับเหมือนกัน”
“มอๆๆ”ควายร้อง
“ไฉไลเฉิดก็นอนไม่หลับเหมือนกันหรือ ตัวเอง”
ทวนแกล้งถาม ศรีไพรตวาดแว๊ด
“นี่ ไม่ต้องสาระแนเลยนะ เรื่องของคน ไม่ใช่เรื่องของควาย”
“มอๆๆๆ”
ทวนหัวเราะ
“เห็นมั้ย ไอ้ไฉไลเฉิดมันงอนแล้ว คนอะไร๊ ไม่นึกถึงจิตใจของสัตว์เลย ไฉไลเฉิดมีบุญคุณกับเราแค่ไหน ไหนจะไถไหนจะย่ำไหนจะนวด แล้วยังงี้ยังไม่ขอโทษไฉไลเฉิดอีก”
“นี่ จะลงไปดีๆ หรือจะให้ฉัน...ฉัน...”
ศรีไพรใช้ข้อศอกกระทุ้งเข้าที่พุงของทวน จนเสียหลัก ทำให้ต่างก็ตกลงจากควายพร้อมๆ กัน และศรีไพรอยู่ในอ้อมแขนของทวน
อ่านต่อหน้า 4
เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 8 (ต่อ)
เวลานั้นพรเดินอยู่บนคันนา ตรวจดูนาข้าวที่ปักดำต้นกล้า แล้วยิ้มอย่างมีความสุข ที่เห็นต้นกล้าเติบโตเขียวขจีเต็มท้องทุ่ง
“เฮ้อ ไม่อยากเชื่อเลยว่าแรงงานไม่ถึงสิบคน ไถกับดำจนเสร็จ ต่อไปนี้ก็ถึงขั้นตอนดูแลรักษา ไม่ให้ศัตรูพืชลงกินผลผลิต”
พรกวาดสายตา ก่อนเขม้นมอง ป้องสายตาจากแสงแดดมองออกไป
“เฮ้ย นั่นมันอะไรวะ”
ศรีไพรกำลังรัวกำปั้นทุบๆๆๆ ที่อก ทวนพยายามปัดป้อง ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด
“โอ้ย นี่จะฆ่ากันหรือยังไง นี่มันเรื่องอะไรกันนี่ ถึงได้ใช้ผมเป็นกระสอบทราย นี่ ยายมู่ทู่ ฟังผมก่อนซี หรือผมพูดไม่จริงล่ะ ทำร้ายจิตใจคนยังไม่พอ ยังทำร้ายหัวใจของควายอีก สาบานมาว่าเกิดเป็นผู้หญิง”
“ไม่สาบาน ไม่มีอะไรต้องสาบาน เอาไอ้ขี้มูกเหม็นๆ นี่ออกไป ในจมูกของนายมันมีแต่ขี้มูกเหม็นหึ่ง”
“แก้มของคุณก็เหมือนกัน ในกระพุ้งแก้มมีแต่เมือกเน่าๆ ทำเป็นแก้มจิ้มลิ้ม แต่หลวงตาท่านว่าในสังขารมีแต่ยุบหนอ...พองหนอ เน่าทั้งนั้น”
“นายน่ะซีเน่า”
“ใครเหม็นก็คนนั้นแหละ เน่า”
พรวิ่งเข้ามากันไว้ ศรีไพรรีบเข้าหลบข้างหลัง พรชี้หน้าทวนด้วยความโกรธ
“ไอ้ทวน เอ็งรังแกลูกข้าเรื่องอะไร นี่เอ็งคงจะมาดักปลุกปล้ำเพื่อข่มขืนฆ่าลูก สาวของข้าใช่มั้ย ดูซี ลูกของข้าเป็นผู้หญิงตัวเล็กนิดเดียว เอ็งยังทำได้ลงคอ เอ็งเป็นผู้ชายยังไงวะ”
“พ่อ คุณพ่อครับ ฟังผมก่อน...” ทวนร้อง
“ข้าไม่ฟัง ข้าเห็นเอ็งรังแกลูกสาวของข้า”
“ผมนี่นะ รังแกลูกสาวคุณพ่อ รัวไม่นับรับแทบไม่ทันยังงี้หรือครับ เรียกว่ารังแก ใครรังแกใครกันแน่”
“เอ็งเป็นผู้ชาย เอ็งต้องรังแกผู้หญิง มา...มาให้ข้าตีกบาลซะดีๆ ไอ้ทวน เอ๊ะหรือว่าไอ้เรื่องที่เอ็งจูบลูกสาวของข้า เรื่องจริง”
“จริงครับ แต่...ผมไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นอุบัติเหตุ”
“อุบัติเหตุเรอะ”
ไวเท่าความคิด พรวิ่งไล่ตีศีรษะทวน จนทวนวิ่งหนีไป ศรีไพรชะเง้อมองตามไปอย่างหวั่นๆ
กลางดึกคืนนั้น หลิมและเลิศ แอบมาดูลาดเลาที่กุฏิหลวงตา ที่หลังพุ่มไม้ เห็นหลวงตาเดินนำหน้ามหาเฉื่อยขึ้นกุฏิ
“ไอ้พวกนั้นมันเป็นยังไงบ้างล่ะ ท่านมหาเฉื่อย ตั้งแต่ป่าช้าวัดบ้านนาไม่มีผีหลอกแล้ว มันอยู่กันยังไง” หลวงตาหันมาถาม
“เห็นว่ามันไปช่วยไอ้ศรีไพรดำนาเสร็จแล้วละขอรับหลวงพ่อ ต่อไปก็คงจะไปช่วยฉีดยากันแมลงศัตรูพืช ไม่ไหวละครับ...ไม่ใช้สารเคมี กลัวมันจะแห่หนีย่าฆ่าแมลงมาลงที่นาตาพรคนเดียวซีครับ”
“แล้วไอ้ศรีไพรมันหาทางป้องกันไว้หรือยัง”
“เอ อันนี้ผมก็จนด้วยเกล้า ไม่รู้จะตอบหลวงพ่อยังไง”
มหาเฉื่อยเดินตามหลวงตาเข้ากุฏิปิดประตู หลิมหันกลับมาบอกเลิศ
“หลวงตาฉุนคงจะทำวัตรเย็นแล้ว มหาเฉื่อยอยู่กับหลวงตาในกุฏิด้วย จัดการซะเดี๋ยวนี้เลย”
“เอาเลย โทษฐานที่หลวงตาไม่ยอมเซ็นชื่อในหนังสือมอบป่าช้าให้เป็นเขตเศรษฐกิจ”
เลิศจุดคบเพลิง หลิมหิ้วถังน้ำมัน ค่อยๆ ย่องออกไป ขณะเดียวกันนั้น คนเร่ร่อน ที่เห็นเหตุการณ์ รู้ว่าจะเกิดเรื่องร้ายกับหลวงตา และมหาเฉื่อย จึงรีบไปที่เพิงท้ายป่าช้าทันที
ทวน เมิน ทอกและหมอก นอนหลับก่ายกันอยู่ในมุ้ง เสียงหลังคากระทบก้อนหินดังโครม ทุกคนสดุ้งตื่น
“เฮ้ย เสียงอะไรวะ” ทอกโวยวาย
“เสียงเหมือนใครกระโดดลงมาบนหลังคา” หมอกบอก
“ใคร ผีเผอก็เลิกหลอกไปแล้ว หรือว่าลุงผีขอทานแกจะมาเล่นตลกอะไร” ทวนลุกขึ้น
“แกมีอารมร์ขันดีหรอก วันๆ ไม่เคยให้ใครเห็นหน้า นี่...แกออกไปดูซี ตัวอะไรตกลงมาบนหลังคา” เมินสั่ง
ทวนคลานออกมา ทอกตามออกมา
“ไม่เห็นมีอะไรเลย” ทวนมองไปรอบๆ
“ไม่มีก็เข้ามานอน ฉันเสียเวลาฝันถึงศรีแพร นี่...ไม่ต้องสะเออะมาฝันถึงศรีแพรของฉันหรอก แกน่ะ...ฝันถึงไม้ตะพดของตาพรไปเถอะ แกดันไปจูบแก้มลูกสาวคนแปลกของคุณพ่อเข้าให้” เมินหัวเราะขำๆ
“ไอ้...ไอ้เมิน”
ทวนจะหันมาด่า ทอกโวยวายขึ้นก่อน
“พี่ทวน ดูนั่น...”
ทอกชี้ให้ทวนมองไปยังเปลวไฟ
“นั่นมันไฟนี่ ไฟมาจากกุฏิหลวงตา”
“กุฏิหลวงตาหรือ เฮ้ย...”
ทั้งสี่หนุ่มรีบวิ่งไปทันที
ที่กุฏิไฟกำลังลุก มหาเฉื่อยพยายามร้องตะโกน...
“ช่วยด้วยโว้ย ไฟไหม้ เอาข้ากับหลวงพ่อออกไปที”
ทวนวิ่งนำหน้าเมิน ทอกและหมอกเข้ามา ทุกคนหน้าเสียเมื่อได้ยินเสียงมหาเฉื่อย
“เอ็งไปเกณฑ์คนมาดับไฟ ข้ากับไอ้ทวนจะเข้าไปอุ้มหลวงตาออกมา” เมินสั่ง
“ช่วยด้วยโว้ย”
ทวน กับเมินวิ่งฝ่าเปลวไฟเข้าไปในกุฏิ ทอก หมอกวิ่งส่งเสียงตะโกนออกไป
“เฮ้ย ไฟไหม้โว้ย ช่วยกันดับไฟที ไฟไหม้...”
ด้านใน มหาเฉื่อยเข้ามาประคองหลวงตาซึ่งนั่งสมาธิอยู่นิ่งๆ
“หลวงพ่อ หาทางออกไปจากกุฏิเถอะครับ ไฟมาถึงตัวแล้ว”
“วางเสียเถอะ เบาดีโยม”
“โธ่ๆๆๆ หลวงพ่อ วางตอนนี้ไม่ได้ขอรับ วางแล้วไหม้แหง๋แก๋ กระโดดเถอะครับ”
“กระโดดกำแพงเรอะ ไม่มีหรอก ข้าไม่มีพระกระโดดกำแพง ข้าไม่สะสมวัตถุ”
“หลวงพ่อขอรับ โธ่ๆๆๆ”
ทันใดทวน เมินวิ่งฝ่ากองไฟเข้ามา
“เอ็งเอาหลวงพ่อขึ้นหลัง แล้วโดดหน้าต่างลงไป ข้าจะเอามหาเฉื่อยขี่คอ แล้วจะโดดตาม” เมินสั่ง
“เร็วครับหลวงตา ขึ้นหลัง”
ทวนเอาหลวงตาขึ้นหลัง เมินเอามหาเฉื่อยขี่คอ ต่างก้าวเข้าไปยืนที่หน้าต่าง แล้วกระโดดลงมาจากหน้าต่าง ขณะที่ไฟยังลุกโชติช่วง
วันต่อมา มหาเฉื่อยโมโหมาก โวยวายเสียงดัง ขณะที่ศรีไพร และชาวบ้านอยู่กันเต็มศาลา
“เห็นมั้ยล่ะ เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ ข้ากับหลวงพ่อท่านเกือบจะได้เปลี่ยนแอดเดรสใหม่ เป็นป่าช้านิเวศน์ นี่ดีนะ...ที่ไอ้ทวนไอ้เมินกับไอ้พวกนี้มันหูไวตาไว มันถึงได้เข้าไปแบกข้ากับหลวงพ่อท่านออกมาเสียทันการ ไม่ยังงั้นละก็...”
“ไม่เปลี่ยนแค่แอดเดรสอย่างเดียว แต่ลุงมหาเฉื่อยต้องเปลี่ยนโลเกชั่นใหม่เป็นป่าช้า” ศรีไพรออกความเห็น
หลวงตามองชาวบ้าน
“ถึงตอนนี้พวกเราชาวบ้านนา รู้หรือยังล่ะว่าป่าช้ามีความสำคัญสำหรับพวกเราแค่ไหน ฮึ รู้มั้ย”
ชาวบ้านต่างนิ่งเงียบ หลบสายตาที่กวาดมองของหลวงตา ไม่มีใครตอบ เมินเข้ามากระซิบทวน
“แกคิดเหมือนฉันมั้ย”
“อะไร”
“ก็ไอ้เสียงที่ดังปลุกเรา...เมื่อคืนไง”
ทวนนิ่งคิดอย่างสงสัยเช่นกัน
โปรดติดตามตอนต่อไป วันพรุ่งนี้
อาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554