xs
xsm
sm
md
lg

เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 9

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 9

พรและทุกคนในครอบครัวนั่งคุยกันอยู่ ศรีไพรสงสัยเหตุไฟไหม้กุฏิหลวงตาเมื่อคืนนี้

“ถ้าไม่มีเสียงปลุกไอ้พวกนั้น ป่านนี้หลวงตากับลุงมหาเฉื่อยคงตายอยู่ในกองไฟ ต้องมีคนวางเพลิงเผากุฏิหลวงตา มีถังน้ำมันทิ้งอยู่แถวๆ นั้น หรือพ่อว่าไง”
“ใครวะ มันจะก่อกรรมทำเข็ญกับพระกับเจ้า มันช่างไม่กลัวบาปกรรม” พรสงสัย
สดพยักหน้าเห็นด้วย...
“ใช่ คนพวกนี้มันเจ็บแค้นอะไรหลวงตาฉุน ท่านเป็นพระปฏิบัติ สอนให้ชาวบ้านอยู่กับร่องกับรอย ไม่เคยทำให้ญาติโยมเพลียบุญด้วยการสร้างไม่เลิกสร้างจนเกินจำเป็น ไอ้เรื่องนี้แม่ว่ายังไงๆอยู่”
“คนที่เสียประโยชน์คงจะโกรธ ไม่ก็ขู่ชาวบ้านด้วยวิธีเชือดไก่ให้ลิงดู ว่าแต่ใครล่ะแม่ ที่มันเข้าข่ายต้องสงสัย” ศรีแพรถาม
“ฉันว่า...มันต้องเป็นพวกเศรษฐีบุญช่วยแน่” ศรีไพรบอกอย่างมั่นใจ

บุญช่วยกระหยิ่มยิ้มย่อง เมื่อแผนเผากุฏิหลวงตาเพื่อขู่ชาวบ้านสำเร็จ ขณะที่จ่าสินนั่งมองชาริณีอย่างเงียบๆ
“ข้าจะไปวัด ทำทีเป็นว่าได้ข่าวไฟไหม้ เราจะสร้างกุฏิให้หลวงตาฉุนใหม่ เรียกคะแนนนิยมจากชาวบ้าน” บุญช่วยบอก
“เสียเงินอีกแล้วหรือ พ่อ” ชาริณีแย้ง
“ถึงคราวเสียก็จำเป็นต้องเสีย มันอยู่ที่เสียแล้วเสียเปล่า หรือว่าเสียแล้วได้ประโยชน์”สไบขัด
ชาริณีมองไม่พอใจ
“ไม่ว่าจะเสียยังไง มันก็ได้ชื่อว่าเสีย เห็นไปวัดทีไร เสียท่าหลวงตากับมหาเฉื่อยกลับมาทุกที”
ชิงชัยหันไปถามจ่าสิน
“มีทางที่เราจะทำอะไรได้บ้างมั้ย จ่า”
“มีทางจับแพะ เอาไอ้ตัวแสบๆ เข้ากรงขังซะให้หมด อยากจับใครล่ะ คุณชิงชัย ผมจะจัดการให้”
นัยน์ตาของจ่าสิน มองไปยังชาริณีด้วยความสนใจ แต่ชาริณีชิงชังจ่าสิน
“จัดการได้จริงๆ หรือว่าดีแค่คุย”
“อยากให้ผมจับใครล่ะ ผมจะจับให้ดู”
“แน่นะ”
“ใคร”
“ไอ้ศรีไพร” ชาริณียิ้มท้าทาย

รถตำรวจแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านเรือนไทย จ่าสินนำกำลังตำรวจนอกเครื่องแบบ พร้อมอาวุธ มาจับศรีไพรที่บ้าน
“เก็บปืนเสียเถอะ จ่า ลูกปืนแพงนะ งบประมาณหลวงก็มาจากภาษีของประชาชน จะใช้ลูกปืนต้องคิดมากๆหน่อย”
ศรีไพรก้าวออกมายืนที่บันไดอย่างไม่กลัว จ่าสินตวาด
“ยกมือขึ้น เฮ้ย ค้นตัว หาอาวุธ”
พรก้าวออกมา
“อย่านะ ถ้าจะค้นกันทั้งตัวละก็ กลับไปเอาตำรวจหญิงพร้อมหมายค้นมา นี่มันเรื่องอะไรกันจ่าสิน มาจับไอ้ศรีไพรลูกข้าข้อหาอะไร”
“ต้องสงสัยว่าวางเพลิงเมื่อคืน” จ่าสินประกาศ
“อะไรนะ ไอ้ศรีไพรน่ะหรือต้องสงสัยว่าวางเพลิงกุฏิหลวงตา น้องสาวฉันจะทำยังงั้นทำไม” ศรีแพรโต้
“ทำทำไม ก็เพื่อโยนความผิดให้กับคนที่กำลังมีเรื่องขัดแย้งกับวัดอยู่น่ะซี”
“อ้อ ที่มาจับแพะนี่ ก็เพื่อฟอกข้อสงสัยให้เศรษฐีบุญช่วยซีนะ” สดโวยวาย
แสนแกล้งเห่า
“โฮ่งๆๆ”
“เอ็งเห่าทำไมวะไอ้แสน นี่เอ็งหาว่าข้าเป็นสุนัขรับใช้เศรษฐีบุญช่วยใช่มั้ย อยากจะเจอข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานอีกกระทงนึงมั้ย ไอ้นี่...เดี๋ยวพัด...”
จ่าสินเงื้อมือจะตบแสน ศรีไพรก้าวเข้ามาขวางไว้
“อ๊ะๆ อย่านะ ไอ้ข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานกับข้อหาต่อสู้เจ้าพนักงานน่ะ แก้ต่างไม่เท่าไหร่หรอก สมัยนี้...มีสื่อให้ร้องขอความเป็นธรรม ออกอากาศประจานไปทั่วประเทศ ผู้บังคับบัญชาเบื้องบน คงไม่หูหนวกตาบอด ไม่รู้ไม่เห็นว่าใครทำอะไร”
“เอ็ง ไอ้...”
“จับซี จับได้ แต่ฉันต้องใช้สิทธิ์ตามกฏหมาย เพราะคำพูดต่อไปนี้อาจใช้เป็นหลักฐานประกอบรูปคดี ไอ้จะมาจับตัวไปแล้วทำรถคว่ำ แต่มีรูกระสุนที่หัวไม่ได้ มันหมดสมัยดึกดำบรรพ์ไปแล้วละ จ่า”
ทวนที่ตามมาดูเหตุการณ์ ก้าวเข้ามาปกป้องศรีไพร
“ใช่ครับ วิธีการชุ่ยๆ แบบนั้นมันหมดสมัยไปแล้ว เดี๋ยวนี้ผู้พิทักษ์สันติราษฏร์อยู่ที่ไหน ต้องจับกุมให้โปร่งใส อ้า...จับข้อหาต้องสงสัยวางเพลิงในวันเกิดเหตุ”
“ใช่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแกวะ” จ่าสินหันไปมองไม่พอใจ
“เกี่ยวครับ เกี่ยวโดยตรงเลย เพราะคืนที่เกิดเหตุนั่น ผมเป็นพยานได้ว่ายายมู่ทู่..เอ๊ย คุณศรีไพรคนนี้นอนหลับอุตุ ส่งเสียงกรนเหมือนเข็นเรืออยู่ในมุ้ง”
พรสะดุ้ง โกรธ
“ไอ้ทวน เอ็งรู้ได้ยังไงว่าลูกสาวของข้านอนกรน”
“รู้ซีครับ”
“แกรู้ได้ยังไง” จ่าสินถาม
“ผมเป็นพยานยืนยันได้ว่าศรีไพรไม่ได้ออกจากบ้าน นอนหลับมู่ทู่อยู่ในมุ้ง”
จ่าสินตวาดเสียงเข้ม
“ฉันถามว่าแกรู้ได้ยังไง”
“อ้า...เอ้อ...ผม...ผมปีนหน้าต่างขึ้นมาแอบดูศรีแพร แต่เห็นศรีไพรหลับอยู่ในมุ้ง กรนสียงดัง...ครืดๆๆๆ ครับจ่า”
ทวนยิ้มเก้อ มองไปยังพรอย่างหวั่นๆ พรขยับปืนยาวในมือ


ศรีไพรดึงหูทวนเข้ามาที่ป่าละเมาะ ทวนส่งเสียงร้องเอะอะ
“นี่ ผมไม่ใช่ควายนะ ปล่อย เจ็บนะ มาบิดหูผมทำไม”
“ตอบฉันมาตรงๆ ปีนเข้าบ้านฉันจริงๆเหรอ”
“โธ่ จริงซะที่ไหน”
“แล้วโกหกจ่าสินทำไม”
“ขืนไม่อ้างเหตุ เป็นพยานรู้เห็นว่าคุณนอนอยู่ในมุ้ง จ่าสินก็เอาตัวคุณไปโรงพักน่ะซี พอไปถึงที่นั่นคุณอาจจะเจอหลายคดี รวมทั้งคดีค้ายาด้วย”
ศรีไพรนิ่งอึ้ง แววตาหวั่นวิตก
“จริงซีนะ ฉันลืมไป จ่าสินเป็นสมุนรับใช้ของเศรษฐีบุญช่วย จะเชือดไก่ให้ชาวบ้านดูทั้งที มันต้องเชือดทีละหลายๆ ตัว ไม่ว่าจะเป็นหลวงตาฉุน หรือ…คนที่ขัดผลประโยชน์ของเศรษฐีบุญช่วย”
“ถ้าผมมาด้อมๆ มองๆ ที่บ้านคุณ ผมกับไอ้เมินคงเข้าไปช่วยหลวงตาไม่ทันหรอก ทำอะไรน่ะ...สุขุมไว้ เราไม่ได้สู้กับใครตัวต่อตัว แต่สู้กับหมาหมู่”
ศรีไพรถอนใจ
“ไอ้คนเลว กินเงินภาษีประชาชน ยังทรยศหักหลังคนที่ให้ข้าวให้น้ำอีก ฉันจะเอามันออกจากราชการให้ได้ ว่าแต่...นายช่วยฉันทำไม”
“คุณตายไปตอนนี้ คุณทิ้งขยะไว้ให้ผมกับไอ้เมินทั้งกอง ช่วยกันมีชีวิตอยู่ จะได้ช่วยกันกำจัดขยะเหม็นเน่าพวกนี้”
“นายทวน นี่เป็นครั้งแรกเลยนะ ที่นายพูดเข้าหูฉัน นายคงพอคบได้หรอกถ้านายรู้คุณแผ่นดิน เราต้องกวาดล้างคนชั่วออกไป เพื่อให้คนดีๆ มีที่อยู่”
ทวนกระซิบ
“แล้วยังงี้...มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นพี่เขยของศรีไพรหรือยัง”
“ยัง...ยัง...ยังไม่พอ”
“โธ่ แล้วต้องดีแค่ไหนล่ะ”
“ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าชีวิตนี้...พลีเพื่อชาวบ้านนาได้”
ศรีไพรมองสบสายตาของทวนอย่างท้าทาย ทวนหน้าแหยๆเมินหน้าไป

จ่าสินขับรถยนต์เข้ามาจอดที่บ้านบุญช่วยอย่างเครียดๆ ชาริณีเดินลงมาจากบ้าน ส่งเสียงเย้ยหยันจ่าสินที่จับศรีไพรไม่สำเร็จ
“ไง เสียดายน้ำลายมั้ย คุยไว้ว่าจะจับไอ้ศรีไพรเข้าคุก เพื่อเชือดไก่ให้ชาวบ้านดูแต่ทำไม่สำเร็จ”
“ผมจับมันไม่ได้ เพราะมันมีพยานรู้เห็นที่อยู่ตอนเกิดเหตุ”
“เวลาตีหนึ่ง คนบ้านนาเข้านอนกันหมดแล้ว ใครเป็นพยานชี้ว่ามันอยู่ที่ไหน”
“ไอ้ทวน”
“คุณทวน”
ชาริณีอึ้ง จ่าสินมองอย่างรู้ทันว่าชาริณีหลงรักทวน จึงเล่าต่อ...
“มันอ้างว่า...มันปีนขึ้นไปที่หน้าต่างห้องนอนของไอ้ศรีไพร เห็นไอ้ศรีไพรนอนหลับอยู่ในมุ้ง ผู้ชายน่ะคุณ คุณคิดว่ามันปีนฝ่าลูกกระสุนเข้าไปทำอะไรในห้องไอ้ศรีไพร ไอ้นั่นน่ะ...ล้างขี้เลนขี้โคลนออก หน้าตามันก็พอใช้ได้ ยังไง…มันก็เป็นผู้หญิง”
“ไม่จริง คุณทวนเขาไม่ทำยังงั้น”
“มิน่าล่ะ คุณถึงได้พยายามเอาไอ้ทวนมาเข้าพวก ระวังนะ...คนอย่างไอ้ทวนน่ะมันอาจจะล้วงตับพ่อคุณก็ได้ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่า ไอ้ทวนกับไอ้เมิน หายหัวไปไหนมาเกือบสิบปี”
ชาริณีสะบัดหน้าขึ้นเรือนไป จ่าสินมองตามอย่างพอใจในตัวชาริณีมาก

พรเดินไปมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง เคร่งเครียด ในมือถือปืนยาว สดมองแล้วส่ายหัว
“ดูพ่อเอ็งซี เดินเหมือนชะมดติดจั่นตั้งแต่เช้ายันค่ำ เอาแต่คำรามเสียงดัง…ฮึ่ม...ๆ”
“แม่ พ่อเชื่อหรือว่าพี่ทวนเขาปีนหน้าต่างขึ้นมาหาไอ้ศรีไพรน่ะ”
“แม่ก็ไม่รู้ว่าเขาเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ไอ้ศรีไพรมันบอกแม่ว่าที่เจ้าทวนพูดไปยังงั้นเพราะต้องการให้เรื่องจับมันจบ”
“ฉันเชื่อที่พี่ทวนพูด” ศรีแพรบอก
“แต่ข้าไม่เชื่อ ข้าชักจะได้กลิ่นตะหงิดๆ เหมือนมีตัวอะไรมาล้วงคอข้า”
“พ่อ พ่อคิดมากไปหรือเปล่า ศรีไพรมันไม่มีอะไรกับพี่ทวนหรอก มันแค่จะหลอกเขาไว้ใช้ พ่อก็เห็นด้วยกับความคิดของน้องไม่ใช่หรือ”
สดเห็นด้วย
“นั่นน่ะซี ไม่ใช้วิธีนี้ คงเสร็จหรอก...นาร้อยไร่ไถด้วยควายสดๆน่ะ”
“ยังไง ข้าก็ต้องระวังไอ้ทวน โธ่ๆๆๆ ไหนจะไอ้เมิน ไหนจะไอ้ทวน แล้วข้าจะเอาเวลาที่ไหนไปหลับไปนอน รู้ยังงี้ไม่มีลูกผู้หญิงหรอก มีลูกผู้หญิงเหมือนมีส้วม ไม่รู้จะส่งกลิ่นออกมาเมื่อไหร่ เป็นเพราะความผิดของแกเชียวยายสด ทำไมแกไม่มีลูกผู้ชาย”
พรพาล สดโมโหขึ้นมาบ้าง
“อ้าว แล้วฉันเลือกได้มั้ยล่ะ ทำไมแกไม่โทษตัวเอง ทำไม่เป็น”
“ยายสด แก...”
ศรีไพรเดินออกมาจากเรือน ยิ้มรื่นเริง
“เวลาพ่อแม่ทะเลาะกันนี่ ฉันมีความสุขจังเลยจ้ะ พ่อแม่รักใคร่ปรองดองกันทีไรก็หันมาด่า...เอ๊ย อบรมสั่งสอนฉันทุกที ไป ไอ้แสน ไปลงเบ็ดกันที่ลำคลองดีกว่าว่ะ”
ศรีไพรและแสนเดินลงเรือนไป
“หนอย เห็นพ่อแม่รักกันไม่ได้...เครียด แต่พอเห็นพ่อแม่เกลียดกันแล้วมีความสุข ไอ้...ไอ้ลูกเนรคุณ...”

พรมองตามไปอย่างเคืองๆ

อ่านต่อหน้า 2







เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 9 (ต่อ)

เมิน ทวน ทอก และหมอก ช่วยกันขนของที่รอดพ้นจากไฟไหม้ เข้ามาวางไว้บนศาลาวัด หลวงตาเดินนำหน้ามหาเฉื่อยขึ้นมาพร้อมย่าม กับตำรายาเก่าๆ

“มีของเหลือไฟแค่นี้ นอกนั้นข้าคว้าออกมาไม่ทันว่ะ”
“พระคุณเจ้า หลวงพ่อขอรับ นี่จะอยู่บนศาลาจริงๆ หรือครับนี่ ให้ไอ้พวกนี้มันปลูกกุฏิชั่วคราวให้ จะได้ไม่ลำบาก” มหาเฉื่อยออกความเห็น
“เอาน่ะ อยู่ที่ไหนก็ได้ ยุงมันชุมนักก็กางกลดซีวะ อยู่บนศาลาติดแอร์โล่งๆ ยังงี้ข้าชอบ”
“ติด...ติดแอร์ตรงไหนครับหลวงตา” ทวนสงสัย
“แอร์กี่ก็ไม่มี” เมินบอก
“ก็มีแอร์โกรกไง ลมโกรกไปโกรกมาเป็นธรรมชาติดีเสียอีก ธรรมมะกับธรรมชาติน่ะโว้ยท่านเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ธรรมมะก็คือแนวทางการ ดำรงค์ชีวิตอยู่ด้วยวิธีที่ธรรมชาติท่านก็ดำรงชีพของท่านมา พวกเอ็ง…”
หลวงตาพูดไม่ทันจบ บุญช่วยเดินนำหน้าชิงชัย ชาริณี หลิมและเลิศเข้ามา
“เศรษฐีบุญช่วยมาขอรับหลวงพ่อ”
มหาเฉื่อยบอก หลวงตามีอาการหูตึงขึ้นมาทันที
“ใคร ใครถูกหวย อ้อ...ท่านเศรษฐีถูกหวยหรือ คราวนี้เท่าไหร่ล่ะ จะทำบุญบำรุงศาสนาสักเท่าไหร่”
ชิงชัยหน้าตึง
“มาถึงยังไม่ทันจะนั่งเลยหลวงตา ชวนทำบุญอีกแล้ว”
“นั่นน่ะซีคะหลวงตา ตีตั๋วไปสวรรค์มาหลายรอบแล้วไม่เห็นพวกเราไปถึงสวรรค์สักที” ชาริณีโต้
บุญช่วยแกล้งพูด...
“ผมได้ข่าวว่ากุฏิของหลวงพ่อถูกเผา นี่ต้องเป็นฝีมือของไอ้พวกที่ต้องการเขตเศรษฐกิจใหม่ ศูนย์การค้า สวนสนุก ทางด่วน รถไฟฟ้าแน่ๆเลยครับหลวงพ่อไม่เห็นด้วยกับแนวคิดใหม่ มันก็เลยเผาซะเป็นการเตือนว่า...ยังไงหลวงพ่อก็หลีกเลี่ยงความเจริญไม่พ้น”
บุญช่วยทำเสียงหัวเราะ แต่ขู่ๆอยู่ในที
“ในมุมกลับกัน อาจจะเป็นพวกที่เสียประโยชน์ เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ยังเคารพนับถือหลวงตาอยู่ก็ได้” ทวนแย้ง
“มันก็เลยใช้วิธีขู่...ขู่แบบเชือดไก่ให้ชาวบ้านดูเป็นตัวอย่าง จะได้ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งของมัน” เมินเสริม
“ไอ้เมิน ไอ้...”
ชิงชัยจะด่า ชาริณีพูดขึ้นก่อน
“มองโลกในแง่ร้ายไปหรือเปล่า คุณทวน คุณเมิน พ่อของฉันหวังดีต่อท้องถิ่นนะ”
หลวงตาเสียงดังขึ้น...
“อ้อ ท่านเศรษฐีจะมาจองกฐินปีนี้นี่เอง บันทึกเอาไว้ในสมุดข่อยนะท่านมหาเฉื่อยว่าปีนี้กฐินวัดบ้านนาเรามีคนจองแล้ว ท่านเศรษฐีบุญช่วย”
มหาเฉื่อยรับมุก
“ขอรับหลวงพ่อ ไอ้เมิน ส่งสมุดข่อยมาให้ข้าเร็วๆ”
เมินกุลีกุจอไปหยิบ
“นี่ครับลุงมหา ทำบุญทำทานกับศาสนาไว้ ตายไปจะได้สิทธิพิเศษ แถมรองเท้าสเก็ต แต่จะวิ่งไปสวรรค์หรือนรก นี่ก็ต้องแล้วแต่ผลกรรมที่ทำไว้บนโลกมนุษย์”
“บันทึกลงไปตัวโตๆ ว่ากฐินปีนี้เป็นกฐินใหญ่กฐินยักษ์ ไม่ใช่ต้นกระถินริมรั้วคณะกรรมการจะได้ประชุมกันเพื่อวางแผนจัดงาน ลิเก ลำตัด ภาพยนต์ ดนตรี แล้วก็...หุ่นกระบอก รวมไม่หักค่าใช้จ่าย ไปเก็บที่ท่านเศรษฐี...เจ้าภาพ” มหาเฉื่อยพูดเร็วๆ ไม่ให้ใครขัด
“ขออนุโมทนาบุญนะโยมนะ เอ้า มหาเฉื่อย...บรรเลง...”
มหาเฉื่อยพนมมือ อาราธนาศีล ทุกคนจำต้องยกมือขึ้นพนมเพื่อฟังสวดของหลวงตา ชิงชัย ชาริณีหันมามองหน้าบุญช่วยที่สีหน้ากระอักกระอ่วนพูดไม่ออก จำต้องรับเป็นเจ้าภาพกฐินงานวัดบ้านนา

+ + + + + + + + + + + +

สไบยิ้มเยาะหยัน ประชดบุญช่วย ชาริณี ชิงชัยที่ไปเสียรู้หลวงตามาอีกตามเคย
“ไปเสียรู้หลวงตาฉุนมาอีกเท่าไหร่ล่ะคะพี่ ก็ไหนว่าจะไปดูหน้าหลวงตาฉุนเรื่องที่กุฏิถูกเผา แถมจะไปข่มขู่มหาเฉื่อยกับไอ้ทวนไอ้เมิน ให้มันยอมแพ้เรื่องที่ดินในป่าช้า แล้วเป็นยังไงไปรับเป็นเจ้าภาพกฐิน รู้มั้ยว่าต้องเสียเงินอีกเท่าไหร่”
“เสียเท่าไหร่ก็เสียไป ถือว่านี่เป็นการลงทุน” ชาริณีโต้
“ยิ่งหน้าใหญ่ยิ่งเสียเยอะ ไหนจะเลี้ยงสมุนรับใช้ที่ไร้ความสามารถอีกล่ะ ให้จ่าสินไปจับไอ้ศรีไพรก็ทำไม่สำเร็จ ยังงี้เลี้ยงเอาไว้ไม่คุ้มข้าวสุก”
ชิงชัยเริ่มไม่พอใจสไบ
“จ่าสินยังทำประโยชน์ให้เราได้ ระวังปากหน่อย…”
“ใช่ ไม่มีหน้าที่กลับไปเข้าครัวไป๊ นี่เป็นเรื่องของครอบครัว” ชาริณีไล่
สไบหน้าตึง
“ฉันเป็นเมียท่านเศรษฐี ฉันต้องเตือนด้วยความหวังดี”
บุญช่วยถอนใจ
“ไอ้การเป็นเจ้าภาพกฐินน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่ไอ้เรื่องที่ในป่าช้าที่มันยังไม่ไปไหนนี่ซี ช่วยกันคิดว่าจะทำยังไง”
ชาริณีเสนอ
“เราต้องเจรจาต่อรองกับหลวงตาฉุนผ่านลูกศิษย์ หลวงตาหูตึงพูดทีไรพ่อเสียเงินทุกที หนูจะเป็นคนไปเจรจาเอง”
กับใคร...” สไบถาม
“คุณทวน” ชาริณีตอบด้วยท่าทีมั่นใจ

+ + + + + + + + + + + +

ทวนซึ่งไปหาปลาในคลอง ลุยขึ้นมาเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน แล้วต้องชะงักไปเมื่อเห็น ชาริณีรออยู่ที่ฝั่ง
“คุณ มาทำอะไรแถวๆนี้ครับ ก็เมื่อเช้าคุณไปจองกฐินที่วัด กุศลเกิดเลยมาโปรดสัตว์ผู้ยากหรือครับ”
ชาริณีก้าวเข้าหาทวน ทวนถอยก้าวไปจนหลังติดต้นไม้ใหญ่ เธอยกมือทั้งสองข้าง ยันต้นไม้ กันร่างของเขาไว้ไม่ให้หนี
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์สองเท้าประเภทผู้ชายหล่อๆ อย่างคุณ ไหนๆ พ่อของฉันก็จองกฐินของวัดแล้ว คุณจะไม่ช่วยพูดกับหลวงตาฉุน ให้หลวงตายอมเซ็นชื่อในเอกสารยินยอมให้ใช้ประโยชน์ที่ดินป่าช้าหรือ คุณทวน”
“เอ้อ...ผม...ผมไม่ใช่หลวงตา ผมตัดสินใจไม่ได้หรอกครับ”
“แต่คุณก็โน้มน้าวท่านได้ พูดให้ท่านเชื่อว่า...ชาวบ้านต้องการเขตเศรษฐกิจกับความเจริญ คุณทำได้...”
“เอ้อ...แต่ว่า...ผม...”
“ไม่ยังงั้นฉันจะจูบคุณ แล้วร้องดังๆว่าคุณปลุกปล้ำข่มขืนฉัน ชาวบ้านจะได้รู้ว่าลูกศิษย์ของหลวงตาเป็นพวกอันธพาล ชอบรังแกผู้หญิง”
“อย่า อย่าทำยังงั้นนะครับ”
“ยอมทำตามที่ฉันต้องการแล้วใช่มั้ย”
“ไม่...ไม่...ไม่...”
“ไม่ปฏิเสธ”
“ไม่ได้ ผมทำไม่ได้ สงสารผมนึกว่าปล่อยนกปล่อยกาไปเถอะครับ แล้วผมจะสำนึกในบุญคุณ ผม...ผมกลัวแล้ว...”
ขณะเดียวกัน ศรีไพรกับแสนค่อยๆ โผล่ที่โปะไปด้วยโคลนขึ้นมาแอบมอง
“กลัวแน่นะ”
ชาริณียื่นหน้าเข้ามาจะจูบ ทวนลดตัวลง ลอดหว่างแขนของชาริณีวิ่งหนีไป ชาริณีจูบต้นไม้เข้าเต็มที่ สะดุ้ง กรีดร้อง
“บ้า ผู้ชายบ้า เป็นผู้ชายแบบไหนกันนี่ แค่นี้ก็ต้องกลัวด้วย เอ๊ะ เสียงใครหัวเราะน่ะ ใคร”
ศรีไพร แสนโผล่หน้าขึ้นมา
“คน ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก”
ชาริณีอึ้ง
“ไอ้ ไอ้ศรีไพร”
“นี่เศรษฐีบุญช่วยโลภเสียจนสิ้นคิด ส่งลูกสาวมาเป็นเหยื่อล่อไอ้เข้ถึงนี่เชียวหรือ สงสารความรวยไม่รู้จักพอของท่านเศรษฐีจริงๆ”
“ไอ้ศรีไพร แก...แกเห็น...”
แสนหัวเราะเสียงดัง
“โห พี่ทวนเขาวิ่งไม่เหลียวหลังเลย”
“แก...เห็น...ฉัน...”
ศรีไพรยิ้มเย้ย
“เอาที่ดินแปลงเก่า มาแลกที่ผีตายในป่าช้า”
ชาริณีกรี๊ดด้วยความโกรธ แค้นใจ ผลุนผลันวิ่งออกไปด้วยความอับอาย ศรีไพรและแสน หันมามองหน้ากันแล้วส่งเสียงหัวเราะขบขัน

+ + + + + + + + + + + +

ทวนวิ่งหนีชาริณีผ่านป่าช้าเพื่อกลับเพิงที่พัก แล้วหยุดยืนใต้ต้นไม้ด้วยความเหน็ดเหนื่อย
“โอย เกือบไป เกือบเสียพรหมจรรย์โดยประมาท รู้ยังงี้ชวนไอ้เมินกับไอ้พวกนั้นมาด้วยก็ดีหรอก เป็นผู้ชายสมัยนี้ไม่ปลอดภัย...เล้ย”
ศรีไพรก้าวเข้ามา
“ใช่ นายน่าจะขอบใจฉันนะ ที่ฉันพยายามช่วยนายไว้ ไม่ยังงั้นนายโดนกระสือไล่ แล้วดูดตับไตไส้ติ่งไปกินแล้ว”
“นี่ นี่คุณ...เห็น...”
“ไอ้แสนด้วย ป่านนี้มันคงจะไปโพนทะนา ให้คนเขารู้กันทั่วบ้านนาแล้วล่ะ”
“ดี ศรีแพรรู้ด้วยยิ่งดี ศรีแพรจะได้รู้ว่าผมรักแท้มั่นคงแค่ไหน ขนาดมีโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมเพียบยังปฏิเสธเลย ยังงี้...มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นพี่เขยของศรีไพรหรือยังเอ่ย”
ศรีไพรเสียงดัง
“ยัง ยังไม่พอ...”
ทวนเสียงดัง
“นี่ ยายมู่ทู่ ว่าที่พี่เขยดีๆ มีคุณธรรม รักแท้ยังงี้ยังไม่เอาอีกหรือถามหน่อย อยากได้พี่เขยเป็นโจรหรือยังไง นี่...เดี๋ยวก็จูบฝากไปให้พี่สาวซะหรอก”
“นาย อย่าเข้ามานะ ถ้านายเข้ามาทำบ้าๆ กับฉัน ฉันจะหวดด้วยไม้อันนี้”
“คนเราพอหน้ามืด ไม้อันแค่นี้มันมองไม่เห็นหรอก ฟาดซี ต้องแม่นๆ ด้วยนะ เอาให้ทีเดียวจอดเลย ไม่จอด...จูบนะ”
ทวนก้าวเข้ามา จวนเจียนจะถึงตัว ศรีไพรไม่กล้าตี เพราะเริ่มๆมีความรู้สึกผูกพันต่อทวนแล้ว จึงขว้างไม้ทิ้ง หันหลังกลับวิ่งหนี
“เอ๊ะ นี่เราทำอะไรลงไปนี่ จูบนี่...มันฝากถึงกันได้ซะที่ไหนล่ะ ไม่น่าเล้ย..เรา...”
ทวนถอนหายใจเฮือก สะบัดหน้า เคาะศีรษะถี่ๆ

หลายวันต่อมา ศรีแพรเดินตรวจแมลงศัตรูพืชในท้องนากับสดและพร ขณะเดียวกัน ทวน เมิน ทอกและหมอก คลานมาตามพื้นนา หลบสายตาของพรและสดเพื่อแอบมองศรีแพร แต่ไปชนเข้ากับปลายเท้าของศรีไพร ทั้งหมดสะดุ้ง รีบลุกขึ้นยืน ร้องออกมาพร้อมกัน

“ว๊าก มู่ทู่”
ศรีไพรหน้าตึง
“พวกนายมาทำอะไรที่นี่ ทำไมไม่อยู่ปรนนิบัติหลวงตา”
“อ้า ตอนนี้หลวงตาท่านจำวัด พวกเราก็เลย...เอ้อ...มาดู..ศรีแพร เอ๊ย ต้นข้าว” เมินแก้ตัว
“ใช่ มาดูต้นข้าว ปักดำแล้วท่านจะโดนตั๊กแตนปาทังก้ารังแกมั้ย” ทวนฉีกยิ้ม
ทอกเสนอหน้า...
“ที่นาแถวๆ นี้ฉีดยาฆ่าแมลงกัน พี่ทวนกับพี่เมินเขาก็เลยกลัวว่าแมลงมันจะหนีภัยสารเคมีมาจัดปาร์ตี้กันในแปลงนี้จ้ะ”
“ข้าวท่านกำลังแตกยอดอ่อน กำลังจะตั้งท้องเดือนสองเดือนนี่ ถ้าโดนกองทัพแมลงลง ท่านคงจะรับมือไม่ไหว” หมอกช่วยพูดต่อ
“เห็นความหวังดีของผมหรือยังล่ะ” ทวนถาม
“ผมด้วย รักไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยนะจ๊ะ ศรีแพร...เอ๊ย...ตั๊กแตนปาทังก้าจ๋า”
ทุกคนช่วยกันพูด ศรีไพรมองค้อน
“ฮึ อ้างว่าห่วง กลัวแมลงจะลงกินข้าวอ่อนๆ ในนาใช่มั้ย ถ้าห่วงจริง...มีวิธีแก้ไข...”
ศรีไพรกอดอก แล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

ศรีไพรเดินนำหน้าทวน เมิน ทอกและหมอกเข้ามายังถังที่หมักสารสะเดาไว้ แสนเดินตามมาด้วย
“พา...พาพวกเรามาทำไมที่นี่” ทวนสงสัย
“อ้างว่าที่ไปด้อมๆ มองๆ อยู่ที่ท้องนาน่ะ เป็นห่วงข้าวท่าน กลัวแมลงศัตรูพืชจะรังแกใช่มั้ย นี่เลย...นี่คือสารสะเดาที่หมักไว้ตั้งแต่สามเดือนที่แล้ว ใช้สารที่หมักโดยวิธีธรรมชาตินี่ผสมกับน้ำฉีดฆ่าแมลงได้ ไอ้แสน...เปิด...”
แสนเปิดฝา กลิ่นเห็นโชยมา ทุกคนปิดจมูกไปตาๆกัน
“โอย ทำไมมันเหม็นยังงี้ล่ะ ศรีไพร”
“ถ้าไม่เหม็น พวกแมลงร้ายนั่นมันจะหนีหรือ”
“ถ้ามันแค่หนีแต่ไม่ตาย มันจะมีประโยชน์อะไร ตอนนี้...ชาวนาเริ่มใช้สารเคมีฉีดฆ่าแมลงกันแล้ว แมลงเลยมาลงที่นาเราแปลงเดียว” ทวนออกความเห็น
“ฉันว่าแล้วไง มันจัดปาร์ตี้กันครื้นเครง เมากันหัวราน้ำ” ทอกว่า
หมอกพยักหน้าเห็นด้วย
“มันอาจจะมีทั้งบุพเฟ่ท์ทั้งอาหารตามสั่ง อยู่บนยอดข้าวท่านก็ได้”
“พี่ศรีไพรเขามีวิธีปราบมันด้วยไอ้นี่….”
แสนชี้ ทวน กับเมินร้องออกมาพร้อมกัน
“สารสะเดา”
ทวนและเมินหันมาสบสายตากัน ไม่เชื่อว่าสารสะเดาจะมีฤทธิ์ฆ่าแมลงได้ ขณะเดียวกันนั้น ศรีแพรยืนมองเมินกับทวนด้วยความสงสาร
สดเข้ามาสมทบ มองด้วยความรู้สึกที่เริ่มอ่อนโยนต่อทวนและเมิน
“ฉันสงสารพี่เมินจังเลยจ้ะ แม่”
“เออ แม่ก็ชักจะสงสารไอ้ทวนกับไอ้พวกนั้นมันแล้วละ แต่พ่อของเอ็งน่ะซี...”

สดพูดแล้วถอนใจ พลางส่ายหน้า

อ่านต่อหน้า 3 







เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 9 (ต่อ)

วันต่อมา พรนั่งส่งเสียงคำรามอยู่ในลำคอ นัยน์ตาขุ่นขวางมองมายัง 4 สหาย ทวน เมิน ทอกและหมอก ที่กำลังฉีดสารสะเดาใส่ต้นข้าวกลางทุ่ง โดยมีศรีไพรเป็นคนคอยควบคุมสั่งการอยู่ด้วยความเหี้ยม

“ยังไงข้าก็ไม่มีวันสงสารไอ้คนพวกนี้ เสร็จนา...ข้าจะฆ่าโคถึกทิ้งซะ วันเสร็จศึก...กูจะฆ่าขุนพล แล้วยกลูกสาวให้พวกอำเภอ ฮ่าๆๆๆ” พรมองแล้วเย้ยหยัน
ทวนส่งเสียงร้อง
“โอย เหม็นขึ้นจมูกเลย แต่มันจะเหม็นสักกี่วัน เดี๋ยวพอหมดกลิ่นเหม็น พวกแมลงมันก็ยกทัพกลับมาโจมตีอีก”
“ถ้ามันกลับมา มันก็เจอสารสะเดาเหม็นหึ่งนี่อีก”
เมินมองท้อๆ
“ศรีพร แล้วนี่ต้องฉีดอีกกี่รอบ กว่าข้าวท่านจะเกี่ยวได้”
“ต้องฉีดไปเรื่อยๆ”
“โอย เสียแรงตาย...” ทวนบ่น
“แล้วเสียเงินมั้ย ไม่เสีย สารหมักพวกนี้ทำเองได้ ใช้รดต้นไม้ ใช้ซากของมันทำปุ๋ย สำคัญมันอยู่ที่ลดต้นทุนการผลิตได้ ถ้าต้นทุนการผลิตต่ำชาวนาก็จะได้ ถ้าต้นทุนการผลิตสูง...ก็...หนี้”
“โอย กว่าจะได้เป็นเขย”
เมินทำท่าจะเป็นลม ทวนรีบพูด
“ไม่รู้จะรอดไปถึงเกี่ยวข้าวหรือเปล่า แต่...ฉันต้องพยายามต่อไป”
“ฉันจะไม่มีวันยอมแพ้แก ฉันต้องแต่งงานกับศรีแพรให้ได้”
เมิน ทวนช่วยกันฉีดยาอย่างแข็งขัน ศรีไพรยิ้มเยาะทั้งสองด้วยรอยยิ้มขบขัน

บุญช่วยเกรี้ยวกราด เมื่อทำการไม่สำเร็จ ยึดที่ดินในป่าช้าวัดไม่ได้
“จนป่านนี้เรายังยึดที่ป่าช้าไม่ได้ รถแทรกเตอร์จอดรอไถปรับ เสียเวลาเปล่าๆ ชาวนาก็เลยพาลทำไม่รู้ไม่ชี้ เพราะเกรงใจหลวงตาฉุน เรามีแต่เสียประโยชน์”
ชาริณีออกความเห็น
“ไอ้ศรีไพรคนเดียว ที่มันคอยเป็นก้างขวางคอ ต้องหาทางจัดการไอ้ศรีไพร”
“จะทำอะไรก็รีบๆ เดี๋ยวหมดหน้านา ชาวนารู้ว่าเหลือแต่หนี้ เราจะเอาชาวนาไม่อยู่นะคะ พี่” สไบเริ่มกังวล
ชิงชัยหันไปหาสองลูกน้อง
“คืนนี้เอ็งไปกับข้า ไอ้หลิม ไอ้เลิศ”
“คุณชิงชัยจะทำอะไรครับ”
“ข้าจะฉุดไอ้ศรีไพร”
ชิงชัยยิ้มกระหยิ่ม

ค่ำคืนนั้น ที่ศาลาวัดบ้านนา ศรีไพรและแสนช่วยกันประเคนน้ำมะตูมให้หลวงตา
“บอกพ่อแม่เอ็งด้วยนะว่าข้าขอบใจ กลางค่ำกลางคืน ยังอุตส่าห์ต้มน้ำมะตูมมาถวายพระ”
ศรีไพรยิ้มรับ
“พ่อเห็นว่าหลวงตากำลังลำบาก ไม่มีกุฏิอยู่ต้องมาจำวัดบนศาลา ก็เลยให้พี่ศรีแพรทำน้ำร้อนน้ำชามาถวาย แล้วนี่หลวงตาจะทำยังไงต่อไป”
“จะต้องไปทำอะไรวะ ข้าจำวัดอยู่ที่นี่ก็ไม่เห็นจะเป็นไร ว่าแต่เอ็งเถอะ ก็ลำบากอยู่ไม่ใช่หรือ”
“ชาวนาไม่ยอมเข้าใจเรื่องที่พ่อพยายามช่วย”
“คนเรานี่มันก็เหมือนคางคกละวะ ยางไม่ตกเมื่อไหร่ไม่รู้สึก เอ็งต้องให้คางคกมันยางตกเสียก่อน มันถึงจะได้สำนึก ถ้าเรามุ่งมั่นที่จะทำความดี มันก็ไม่ไปไหนเสียหรอก มันต้องมีคนเห็นอยู่วันยังค่ำคืนยังรุ่งแหละวะ”
ทวนรีบพูด...
“อย่างน้อยก็มี...”
หลวงตาหันไปมอง
“มีไอ้ทวนไอ้เมินกับไอ้พวกนี้มันเห็น แต่ก็นั่นแหละ...น้ำน้อยจะแพ้ไฟ มันก็ต้องแพ้ ใครจะไปทำอะไรได้”
ศรีไพรมองสบสายตาแสนพยักหน้า
“ต้องกลับละหลวงตา เดี๋ยวจะดึก”
“ให้ไอ้ทวนมันไปส่งซี ดึกๆ ยังงี้ทางมันเปลี่ยวนะ”
“ไม่ต้อง ขี้เกียจเดินย้อนกลับมาส่งกุ้งพวกนี้อีก”
ศรีไพร แสนก้มลงกราบก่อนคลานออกไป ทวนมองตาม เมินสะกิด
“ไปซี หลวงตาสั่งให้แกไปส่งยายมู่ทู่”
“ทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมไม่ใช่แก”
“อ๊าว ก็ฉันไม่มีอะไรกับยายมู่ทู่นี่ แกนั่นแหละ...ไปส่ง”
หลวงตารำคาญ
“เออ อย่ารังเกียจกันเลยวะ ให้มหาเฉื่อยไปส่ง ไป๊”
“เอ้อ...ไม่ต้องหรอกลุงมหาเฉื่อย ผมไปก็ได้...ไปโว้ยไอ้หมอก ไปด้วยกัน”
“จ้ะ พี่”
ทวนและหมอกลุกขึ้นตามศรีไพรออกไป อย่างไม่เต็มใจ เมินมองตาม หัวเราะเยาะทวน

ศรีไพรขี่จักรยานโดยมีแสนซ้อนท้าย ชิงชัย หลิมและเลิศดักอยู่ที่หัวโค้งทางเปลี่ยวพร้อมอาวุธ อาทิ ปืน เชือก และมีด ศรีไพรถูกลูกน้องชิงชัยมาขวางรีบเบรครถจักรยาน
“ไปไหนมาวะ ไอ้ศรีไพร ค่ำมืดดึกดื่นยังงี้ ตาพรไม่ได้บอกหรือว่ามันอันตรายสำหรับผู้หญิง” ชิงชัยทักทายน้ำเสียงกวนๆ
แสนกระซิบ
“พี่ ทำไงดีล่ะ มันมีปืนมาด้วย”
“ใจเย็นไว้ไอ้แสน ไม่ต้องกลัว เราต้องทำใจดีสู้หมา”
“แต่ไอ้พวกนี้มันหมาบ้านะ”
ศรีไพรหันไปเผชิญหน้า ตวาดถาม...
“นี่ ถอยไปนะ จะรีบกลับบ้าน”
“จะรีบไปไหน นี่คงจะเอาน้ำร้อนน้ำชาไปถวายหลวงตาฉุนละซีท่า ตอนนี้หลวงตาฉุนไม่มีกุฏิจะจำวัด ต้องไปจำวัดที่ศาลา เอ็งก็เลยต้องดูแลท่านเป็นพิเศษ เป็นพวกเดียวกับหลวงตาฉุน เพราะไม่มีชาวบ้านคนไหนกล้าพูดกับเอ็ง”
“ไอ้วิธีสกปรกแบบนี้ มันเท่ากับรังแกชาวบ้านด้วยนะ เขาต้องตกเป็นทาสของพวกเอ็งไปอีกกี่ชาติถึงจะหลุดหนี้”
“เอ็งด้วย เอ็งก็ต้องตกเป็นทาสของข้า หลังจากที่ข้าฉุดเอ็งไปทำเมีย ไอ้หน้าตาแบบนี้ข้าบอกตรงๆ นะ ว่าไม่ใช่สเป็ค แต่เพื่อเขตเศรษฐกิจใหม่แล้ว ข้าจำเป็นต้องปล้ำเอ็งทำเมีย”
หลิมรีบเสริม
“พอเอ็งเป็นเมียพี่ชิงชัย เขาจะคิดยังไง เอ็งก็ต้องคิดเหมือนเขา คนเป็นผัวเป็นเมียกันแล้วมันต้องคิดไปในทิศทางเดียวกันว่ะ”
ศรีไพรกระโดดเตะปากหลิมทันที หลิมลงไปกองกับพื้น
“โอ้ย คุณชิงชัย ไอ้ศรีไพรมันเตะปากผม”
“ถ้าไม่อยากเก็บปากเอาไว้กินน้ำพริกละก็ เข้ามาเลย...” ศรีไพรเตรียมพร้อมที่จะสู้
“เอาโว้ยช่วยกันจับมัน ไอ้หลิม เอ็งจับไอ้แสนไว้”
 
ศรีไพรและแสน พยายามต่อสู้กับพวกของชิงชัย ศรีไพรถูกเลิศรวบตัวทางข้างหลังเหวี่ยงลงไปนอนกับพื้น ชิงชัยก้าวเข้ามา ปลดกระดุมเสื้อ
“ฤทธ์เดชมากนักนะ ไอ้ศรีไพร ทีแรกข้าคิดจะฉุดเข้าป่า แต่ตอนนี้ไม่ทันแล้วละโว้ย ข้าจะจัดการเอ็งตรงนี้แหละ”
ทันใด ทวน หมอกเข้ามาช่วยศรีไพรและแสน
“ไอ้ทวน ไอ้หมอก”
“เออ ข้าเองว่ะ ลูกผู้ชายหรือหมาตัวผู้วะ รังแกผู้หญิงเพศเดียวกับแม่เอ็งน่ะ”
“เอาโว้ย จัดการมันเลย” ชิงชัยประกาศ
ศรีไพร หมอก ทวนและแสนเข้าสู้กับพวกของชิงชัย ศรีไพรต่อยชิงชัยกระเด็นออกไปนอนหงายที่พื้น แล้วเข้าไปเหยียบอก ก่อนซัดด้วยกำปั้นเข้าใบหน้าตูมใหญ่


เช้าวันใหม่ สไบวิ่งตัดหน้าคนอื่นๆ ลงมาจากเรือนด้วยความตื่นตระหนก เมื่อเห็นศรีไพร ทวน แสน และหมอก ขับเกวียนซึ่งบรรทุกร่างที่สลบไสลของชิงชัย หลิมและเลิศเข้ามา ขณะที่บุญช่วยสีหน้าเคร่งเครียด

“คุณชิงชัย แพ้มาอีกแล้วหรือ นี่แกทำอะไรคุณชิงชัยของฉัน โธ่ คุณชิงชัยขาไม่รู้สึกตัวเลยค่ะ พี่ หน้าก็แตกยับอีกแล้ว” สไบโวยวาย
“คุณสไบของบ่าวขา ดูหน้าตาคุณชิงชัยซีคะ มีแต่รอยรองเท้า แล้วที่เสื้อนี่ก็…ไม่รู้ใครยำมามั่ง เละเลยค่ะ”แหว่งเสริม
“แก ไอ้ศรีไพร” สไบชี้หน้า
ชาริณีพูดขัดขึ้น...
“ไอ้ศรีไพร คุณ...คุณทวน นี่มันเรื่องอะไรกัน นี่รุมพี่ชายของฉันหรือ”
“ผมตอบไม่ได้หรอกครับ ผมมาถึงที่เกิดเหตุตอนพี่ชายคุณรุมผู้หญิงกับเด็กผมก็เลย...ช่วยสงเคราะห์สั่งสอนพี่ชายคุณแทนคุณพ่อคุณ...”
“อีกแล้ว...” หมอกรีบเสริม
ศรีไพรมองไปด้านหลังบุญช่วย เห็นจ่าสิน
“จ่าสินอยู่นี่ด้วยก็ดีแล้ว...”
“โฮ่งๆๆ” แสนแกล้งเห่า
“ฉันจะเก็บซากไอ้พวกนี้ไปส่งที่โรงพักก็ไกลไป เลยเอามาส่งให้จ่าที่นี่เพราะรู้ว่าจ่ามากินมานอนมาสุขสบายอยู่ที่บ้านเศรษฐีบุญช่วย” ศรีไพรจ้องหน้าจ่าสิน
“ไม่ใช่เรื่องอะไรของแก”จ่าสินไม่พอใจ
“ครับ ไม่ใช่เรื่องอะไรของศรีไพร แต่นี่เวลาราชการไม่ใช่หรือครับ หรือว่าตอนนี้จ่าย้าย สน.มาเปิดทำการอยู่ที่บ้านท่านเศรษฐีบุญช่วย โรงพักของจ่านี่ดีนะ ย้ายไปย้ายมา ที่ไหนมีผลประโยชน์ให้ก็อยู่ที่นั่น” ทวนพูดกวน
“ไอ้ทวน...”
ทวนแกล้งร้องเสียงดัง
“อย่าจับผมเลยครับผมกลัวแล้ว ราษฏรเต็มขั้นอย่างผม ไม่มีอำนาจไปเบ่งทับแผลเรื้อรังของใคร ว่าแต่ขยะสังคมพวกนี้จะให้เก็บไว้ที่ไหนครับ”
บุญช่วยโมโห ตะโกน
“เอาปืนมาให้กู”
“อ๊ะๆๆ อย่านะ กระบอกนี้ถึงจะเก่าไปหน่อย แต่มีทั้งทะเบียนทั้งใบพกพา อยู่ที่ไหนก็ต้องรักษากฏหมายไม่ใช่หรือ จ่า เอ้า เอาไป...ฉันเลยถือโอกาสแจ้งความกับจ่าเลยนะว่าถูกไอ้พวกนี้ปองร้าย ฉุด หวังจะข่มขืนฆ่า”
ชาริณีโต้ทันที
“โกหก สภาพพี่ชายฉันบอบช้ำยังงี้ แกยังหาว่าเขาข่มขืนแกอีก ยังกับหน้าตาแกมันชวนให้ข่มขืนนักนี่”
“พวกคุณนี่เหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้องเลยนะ ใครจะข่มขืนใครบางทีมันไม่มีมูลเหตุมาจากหน้าตาหรอก แต่มันมาจาก...นี่...สันดาน...ไป กลับ”
“ผมลาละครับ จ่า”
ทวนยกมือไหว้จ่าสินด้วยท่าทีกวนๆ จ่าสินตัวสั่นไปด้วยความโกรธ

วันต่อมา จ่าสินขึ้นจี๊ปที่มีสมุนรออยู่พร้อมอาวุธครบมือ ตรงไปที่วัดบ้านนา เพื่อจะจับทวนข้อหาอันธพาล เมื่อไปถึงวัด หลวงตากำลังกวาดลานวัดอยู่หน้าโบสถ์ โดยมีทอก หมอก และมหาเฉื่อยช่วยงานด้วย
มหาเฉื่อยหันไปมอง...
“เอ๊ะ จ่าสินมาจับใคร มีปืนผาหน้าไม้ยังกะจะมาจับผู้ร้าย”
หลวงตาเริ่มมีอาการหูตึง
“ใครเสื้อคับ ก็ไปขยายให้มันหลวมๆ ซีวะ มันจะได้สบายเนื้อสบายตัว”
จ่าสินเดินตรงมาหา
“ไอ้ทวนอยู่ที่ไหน หลวงตา มีคำสั่งให้จับไอ้ทวนในข้อหาอันธพาล”
“พระไม่มีบ้านอยู่หรอก พระต้องอยู่วัด” หลวงตาบอก
มหาเฉื่อยอธิบาย
“คือยังงี้ครับหลวงพ่อ จ่าสินมาจับไอ้ทวนในข้อหาอันธพาล เอ๊ะ มันไปพาลใคร ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“นั่นน่ะซี ก็ไม่เห็นพี่ทวนเขาจะมีพฤติกรรมอย่างที่จ่าว่าเลยนะ” ทอกแย้ง
“หุบปาก ไอ้ทอก อยากได้กระสุนไว้เป็นที่ระลึกในกระพุ้งแก้มมั้ย” จ่าสินตวาด
“แหม ไอ้แต้มสูงแต้มต่ำนี่อย่าเอามาต่อรองกันในวัดเลยโยม พระเจ้าท่านอดไม่ไหวท่านจะลุ้นไปด้วย”
จ่าสินเห็นว่าพูดกับหลวงตาไม่รู้เรื่อง หันมาทางมหาเฉื่อย
“ไอ้ทวนอยู่ที่ไหน มหาเฉื่อย”
มหาเฉื่อยเริ่มกังวล
“หลวงพ่อ ทำยังไงดี จ่าสินมาจับไอ้ทวน”
“จะรีบกลับไปไหน มาตั้งนานแล้วทำไมต้องรีบร้อนกลับ เห็นสีเหลืองของพระแล้วร้อนหรือยังไง จ่า”
หมอกมองไปยังโบสถ์อย่างตาหวั่นๆ จ่าสินมองตาม แล้วสั่งให้ลูกน้องเข้าไปค้นในโบสถ์ทันที

จ่าสินเปิดประตูโบสถ์เข้ามา เห็นทวนและเมินนุ่งขาวห่มขาว นั่งสมาธิหลับตานิ่งๆ หลวงตาและมหาเฉื่อย หมอก ทอกตามเข้ามาในโบสถ์
“มีเรื่องอะไรหรือจ่าสิน” หลวงตาสบสายตาจ่าสินด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “จะจับไอ้ทวนกับไอ้เมินมันต้องมีหลักฐาน ไม่ใช่จับก่อนแล้วหาหลักฐานไปมัดมันทีหลัง และที่สำคัญสถานที่นี้เป็นโบสถ์ เป็นสถานที่ประกอบพิธีสงฆ์ซึ่งมีพระพุทธองค์เป็นองค์ประธาน เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธ์ ต่อให้มันเป็นนักโทษประหารก็ควรรอให้มันออกไปนอกเขตขัณฑสีมาเสียก่อน แล้วจะจับจะกุมยังไงก็แล้วแต่ ไอ้สองคนนี่นั่งสมาธิอยู่ตั้งแต่เมื่อคืน อาตมาเป็นคนบังคับให้มันถือศีลเสียบ้างเพราะคนสมัยนี้มันขาดศีล มันก็เลยทุจริตผิดสำแดง ใจน่ะ..ต้องจับมากล่อมเกลาเสียบ้าง ไม่ยังงั้นมันจะเตลิดไปกับกิเลส ตัณหาไอ้ตัวที่คอยยั่วให้แย่ จ่าเข้ามาในโบสถ์นี่ก็ดีแล้วนั่งลง มหาเฉื่อย ไปหยิบกัณฑ์เทศน์มา”
“เอากัณฑ์ไหนครับหลวงพ่อ”
“เอากัณฑ์ใหญ่ๆ ยาวๆ”
จ่าสินทำหน้าเจื่อนๆ กลัวถูกบังคับให้ฟังเทศนา รีบสั่งสมุน
“ไป กลับ...”
จ่าสินและสมุนออกไป หมอก ทอกถอนหายใจอย่างโล่งอก ทวนและเมินยังคงอยู่ในสมาธิ
“ไปกันแล้วครับหลวงพ่อ” มหาเฉื่อยบอก
“เห็นมั้ย เห็นบารมีของพระพุทธองค์หรือยัง แม้แต่โจรมันยังกลัวเทศน์กัณฑ์ใหญ่ๆ ยาวๆ เลย”
ทุกคนชะเง้อมองตามจ่าสินกับสมุนไป

แหว่งเดินหิ้วตะกร้าทำหน้าเชิดหยิ่งตามหลังสไบ เข้าไปในตลาดสด ศรีแพรผ่านมาเห็นพอดี จ้องมองสไบด้วยความโกรธ
ศรีแพรเดินเข้ามาตบหน้าสไบฉาดใหญ่ สไบล้มลงแหว่งเข้าประคอง
“ว้าย คุณสไบของบ่าวขา มันตบคุณสไบของบ่าวขาเรื่องอะไรกันนี่”
สไบตวาด
“นังศรีแพร แกตบฉันเรื่องอะไร”
“ตบฝากไปให้ไอ้ชิงชัย ที่มันดักฉุดน้องสาวฉันไงล่ะ กลับไปบอกมันด้วยนะถ้ามันทำยังงี้อีก ฉันจะตบแกอีก”
ศรีแพรสะบัดหน้าออกไป สไบและแหว่งงุนงง
“นัง...นังศรีแพร”
“เอ๊ะ ตบนี่ มีฝากกันได้ด้วยหรือคะ คุณสไบของบ่าวขา รู้ยังงี้ บ่าวตบนังศรีแพร ฝากไปให้ไอ้ศรีไพรแล้วละค่ะ เป็นยังไงบ้างคะคุณสไบของบ่าวขา”
“จะเป็นยังไง ฉันก็เจ็บน่ะซี แกเป็นบ่าวของฉันยังไง แกถึงไม่ปกป้องฉันเลยนังแหว่ง”
“โถ ก็ตอนนั้นแหว่งกำลังชมสินค้าอยู่นี่ค่ะ มันจู่โจมยังกับทิ้งระเบิดยังงี้ บ่าวเลยตบสวนไม่ทันค่ะ คุณสไบของบ่าวขา”
“นังศรีแพร แก...”
สไบทำอะไรไม่ได้ ได้แต่มองตามอย่างโกรธจัด

ทอก หมอก มหาเฉื่อย และเจ๊กตงนั่งเล่นหมากรุกอยู่ในร้าน ขณะที่เนี้ยวชงกาแฟอยู่หลังหม้อต้มกาแฟ พลางคุยไปด้วย
“สมน้ำหน้า โดนเสียบ้างจะได้ผงกหัวลงหน่อย นังกิ้งก่า ตั้งแต่เลื่อนขั้นขึ้นมา เป็นเมียเศรษฐีบุญช่วยนี่ นังสไบของบ่าวขา ทำท่าเหมือนกิ้งก่าได้ทองดีนัก”
“อาเนี้ยว ไม่ใช่เรื่องของลื้อ ลื้อไม่ควรจะมีอารมณ์ร่วมกับคนที่ไม่ได้เป็นฝ่ายท่านเศรษฐีนะ” เจ๊กจงปราม
“นี่ เตี่ย เตี่ยยังไม่เลิกเข้าพวกกับเศรษฐีบุญช่วยอีกหรือ มันรังแกพี่ทวน พี่เมิน ไอ้ศรีไพรยังงี้ เตี่ยยังเห็นมันดีอีกหรือ”
“เตี่ยไม่ได้เห็นมันดี แต่เตี่ยเห็นทางธุรกิจ”
“เชิญเตี่ยทำธุรกิจไปคนเดียวเถอะ ฉันจะเป็นพวกพี่ทวนกับไอ้ศรีไพร”
“อาม่วยเนี้ยว...”
มหาเฉื่อยรีบขัด
“เอาละ รุกทีเถอะ ข้านั่งลุ้นมานานแล้ว เอ็งไม่รุกเดี๋ยวข้ามีอารมณ์ลุกนะ ใครจะเข้าพวกใครก็คิดให้ดี อย่าลืมความถูกต้อง กุฏิยังโดนเผาได้ นับประสาอะไรกันคนอย่างเราๆ จะไม่โดนเผาทิ้ง”
ทอกหันแมองนอกร้าน...
“เฮ้ย ไอ้แขกมาแล้วว่ะ เดี๋ยวนี้ไอ้สุมิตรามายัน มันพัฒนาตัวเองจากเดินขายมุ้ง มาขี่จักรยานขายสรรพสินค้าแล้วหรือวะ”
สุมิตรส่งเสียงร้องเพลงมาแต่ไกล เมื่อมาถึงร้านก็ลงจากรถแล้วทักทาย...
“อีนี้ซาลาม...นมัสเตท่านมหาเฉื่อย คุณพี่ทอกคุณพี่หมอก อาเนี้ยวคนสวยไม่สุด แขกมีสินค้าใหม่มาให้เลือกพร้อมข่าวดี มีเครดิตให้ชาวบ้านนาโดยไม่ต้องรออนุมัติ ขอปุ๊บรับเงินปั๊บ เอาของไปใช้ได้ทันที ส่งใช้โดยไม่ต้องโอนผ่านธนาคาร ไม่ต้องเดินทางไปจ่ายตามเคาเตอร์เซอร์วิชให้วุ่นวาย แขกมาตามเก็บถึงบันไดบ้านเองเลยจ้ะ ฮัดช้า...ฮัดชา...”
“ไอ้แขก ออกไป นี่เป็นเขตร้านของข้า ห้ามไม่ให้เอ็งเอาสินค้าเข้ามาขายในเขตสัมปทานนี้” เจ๊กตงไล่
“แต่ว่า...นาร๊ายนารายณ์...อาม่วยเนี้ยวของแขกหน้าดำคร่ำเครียด อีนี้มีปัญหาหัวใจปรึกษาสุมิตราได้ อยากรู้เรื่องเนื้อคู่ต้องมองไปทางทิศปัจฉิม จะได้พบชายชาวต่างชาติรูปหล่ออารมณ์ดี มีฐานะมั่นคง ข้อสำคัญ...อีนี้สุมิตรารักแท้จ้ะ”
หมอกงง
“เฮ้ย นี่เอ็งโฆษณาขายอะไรวะ ไอ้แขก”
“อีนี้ฉานขายหัวใจจ้ะ อีนี่จะดาวน์ จะผ่อน จะจ่ายรายเดือนรายวันฉานไม่เกี่ยง อีนี้แขกเก็บถึงในมุ้งเลยจ้ะ”
“หนอย เก็บถึงในมุ้งเชียวเรอะ นี่แน่ะ ไอ้แขก...”
เจ๊กตงไล่ตี สุมิตรวิ่งออกจากร้านไป มหาเฉื่อยส่ายหน้า ไม่พอใจเจ๊กตง
“ไอ้เจ๊กตงข้าว่าเอ็งทำเกินไปแล้วนะ เอ็งจะค้าขายซะคนเดียวไม่แบ่งใครหรือไง บ้านนาเรากลายเป็นแผ่นดินที่แบ่งพรรคแบ่งพวก คนเห็นแก่ตัว ไปโว้ย พวกเรา...กลับ นั่งร้านไอ้เจ๊กตงแล้วข้าเครียดว่ะ...เครียด”
ทุกคนลุกออกไป เนี้ยวหันไปเล่นงานเจ๊กตง
“เห็นมั้ยเตี่ย เพราะเตี่ยเชียว นี่ถ้าเตี่ยทำตัวเป็นกลาง เรื่องมันไม่เป็นยังงี้หรอก ไม่รู้ละ..อั๊วโกรธเตี่ย โกรธๆๆๆ”

เนี้ยวสะบัดหน้าแล้วเดินหนีเข้าร้าน เจ๊กตงเห็นอาการลูกสาวได้แต่ทอดถอนใจ

โปรดติดตามตอนต่อไป วันพรุ่งนี้

วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554





กำลังโหลดความคิดเห็น