ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 9
ที่บ้านพันเทพ ทิวาเดินเข้ามาในห้องรับแขกด้วยสีหน้าครุ่นคิด เจอราตรีนั่งอ่านหนังสืออยู่
“ทำไมบ้านเงียบๆ คนหายไปไหนหมด”
“เคยรู้อะไรบ้างมั้ยเนี่ย”
“ก็บอกมาสิ จะได้รู้”
“แพรวาหายไป พ่อออกไปตามหาแพรวา”
“เธอรู้ได้ไง”
“พ่อก็บอกคนทั้งบ้านนั่นแหละ พี่ไปอยู่ไหนมาล่ะ”
“ก็อยู่บ้านนี่แหละ ถึงแปลกใจไงว่าชั้นทำไมไม่รู้”
“อ๋อ...จริงๆ ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นะ เพราะยังไงพี่ก็เป็นลูกที่พ่อไม่รักอยู่แล้วนี่”
“ราตรี”
“ทำไม ชั้นพูดอะไรผิดไปเหรอ หรือยอมรับความจริงไม่ได้รึไงล่ะ”
ราตรีเดินออกไปอย่างไม่แคร์ ทิวาเจ็บใจ
ทิวาขับรถมาจอดหน้าบ้านศรนารายณ์อย่างอารมณ์เสีย แล้วตะโกนเรียกอบเชย
“อบเชย อบเชย อบเชย”
ศรนารายณ์เดินออกมาดู
“เฮ้ย ใครวะมาตะโกนโวยวายหน้าบ้านคนอื่น...เธอนี่เอง มีอะไร”
“อบเชยอยู่มั้ย ชั้นมาหาอบเชย”
“เธอไปสนิทสนมกับอบเชยตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมต้องไปมาหาสู่กัน”
“ทำไมจะมาหาไม่ได้ จะขัดขวางรึไง”
“หึหึ คงไม่ต้องขัดขวางหรอก เพราะถ้าเธอสนิทสนมกับอบเชยจริง เธอคงรู้อยู่แล้วว่าอบเชยไม่อยู่”
“อบเชยไปไหน ไปทำอะไร”
“ไปทำเรื่องสำคัญ ที่เธอไม่จำเป็นต้องรู้”
“แกไม่มีสิทธิ์พูดแบบนั้น”
“กลับไปได้แล้วไป ชั้นไม่อยากเถียงกับเด็ก”
ศรนารายณ์พูดจบก็เดินเข้าบ้านไป ทิ้งทิวายืนเจ็บใจอยู่คนเดียว
“แกไม่มีสิทธิ์ทำเหมือนชั้นไร้ความสำคัญแบบนั้น ไม่มีใครมีสิทธิ์ทำกับชั้นแบบนั้น” ทิวาบอกอย่างเจ็บใจ
ส่วนที่ป่าอาถรรพ์ชาญเดินดูแผนที่ในหนังเสือ แล้วหยุดในจุดหนึ่ง
“ถ้าดูจากแผนที่แล้ว ตอนนี้เรากำลังจะเข้าสู้เขตป่าช่วงที่สอง คือจะอันตรายกว่าเดิม”
“นี่เดินมาตั้งนานเพิ่งถึงช่วงที่สองเองเหรอเนี่ย”
“แล้วป่าช่วงที่สองนี่เราต้องระวังอะไรบ้างล่ะ”
“เท่าที่ชั้นเคยฟังตำนานเล่ามา เค้าบอกว่าจะมีสัตว์ร้ายนานาชนิด รวมไปถึงพืชภัณฑ์ที่มีพิษด้วย”
“ก็คือระวังทุกอย่างที่เราจะเจอนั่นเอง”
“ไม่ใช่แค่ระวัง อย่าแตะต้องมันเชียว”
ไม้หันไปถามเมฆที่ดูหน้าซีดๆ
“พ่อ ไหวรึเปล่า”
“ไหวสิลูก”
“งั้นเราลุยกันต่อเลยนะ”
พอก้าวเข้าผ่านป่าช่วงที่สอง เมฆก็ปวดทรมานที่แผลขึ้นมาทันที เขาพยายามอดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ แต่มันก็ยังออกมาทางสีหน้าอยู่ดี เมฆเดินไม่ไหวถึงกับชะงัก
“หยุดเดินทำไม”
ไม้หันไปดูพ่อเห็นเมฆสีหน้าไม่ดี จึงรีบวิ่งไปหา
“พ่อเป็นอะไร พ่อ”
“เปล่า”
“แต่สีหน้าพ่อไม่ดีเลย”
เมฆพยายามจะไม่แสดงออก แต่สุดท้ายก็ไม่ไหวลงไปทรุดตัวลงนั่ง
“พ่อ”
“ไม้ พ่อคงไปต่อไม่ไหวแล้ว”
“ไม่ได้นะพ่อ”
จันทร์เข้ามาดูอาการเมฆ
“เลือดไหลออกมาจากแผลเต็มเลย แบบนี้ไม่ดีแน่”
“ทำไมอยู่ๆ ก็เป็นล่ะ”
“หรือเพราะพลังของป่าอาถรรพ์ในช่วงที่สองนี่”
“ถ้างั้น พ่อก็ต้องเป็นหนักขึ้นเรื่อยๆ สิ”
“ต้องรีบทำให้เลือดหยุดไหลก่อน”
“มันมีสมุนไพรห้ามเลือด แต่ชั้นจำชื่อไม่ได้ มันต้นอะไรนะ...”
“พี่ชาญนึกเข้าสิ...นึกเข้า”
แต่ทั้งหมดก็ต้องตะลึงเมื่อพันเทพยื่นสมุนไพรต้นหนึ่งมาให้
“ต้นนี้ใช่มั้ย” ทุกคนหันไปมองพันเทพ “ใช้ต้นนี้บดให้พอมีน้ำแล้วโปะลงไปที่แผล”
ทุกคนมองหน้ากันอย่างไม่ไว้ใจพันเทพนัก
“ชั้นจะรู้ได้ยังไงว่าแกไม่โกหกเพื่อจะฆ่าพ่อชั้น” พันเทพยิ้ม
“ไม่มีทางรู้หรอก เธอต้องเสี่ยงเอาเอง”
ไม้มองสมุนไพร มองพ่อ มองพันเทพ แล้วตัดสินใจเอาก้อนหินมาบดสมุนไพร
“เอาจริงเหรอไม้”
“เรามีทางเลือกอื่นด้วยเหรอ ยังไงก็ต้องยอมเสี่ยง”
ไม้มองหน้าพันเทพอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
ทางด้านทิวา เมื่อกลับจากบ้านศรนารายณ์ทิวามายืนอยู่หน้าตู้ที่เวตาลอยู่ แต่เวตาลไม่ได้ออกมา
“เวตาล ถ้าแกทำให้ชั้นได้ทุกอย่างที่ชั้นอยากได้จริงละก็ ชั้นจะยอมร่วมมือกับแก”
“เจ้าคิดถูกแล้ว เพื่อนข้า”
สีหน้าทิวายังสับสน ไม่แน่ใจกับการตัดสินใจของตัวเองนัก
ที่ป่าอาถรรพ์ไม้นำสมุนไพรที่บดแล้วใส่มือแต่แทนที่จะโปะลงไปที่แผลเมฆ ไม้กลับเอามีดกรีดข้อมือตนเอง ทำเอาทุกคนตกใจรวมถึงพันเทพ
“ทำไมลูกทำแบบนั้น”
“ผมอยากแน่ใจว่าพ่อจะปลอดภัย”
พันเทพมองอย่างไม่พอใจนัก ไม้เอาสมุนไพรโปะลงที่แผลตนเองปรากฏว่าเลือดหยุดไหล ทุกคนมองอย่างตื่นเต้น
“ได้ผลจริงๆ ด้วย”
ไม้มองพันเทพอย่างไว้เชิง ไม่เอ่ยขอบคุณ ไม้เปิดแผลของเมฆแล้วโปะลงไป เสียงเมฆร้องจากความปวดแสบปวดร้อนของมัน
“โอ๊ยยยยยยยยยย”
ไม้และทุกคนนิ่งทำอะไรไม่ถูกได้แต่ดูอาการ เมฆกำมือไม้ไว้แน่นก่อนจะสลบไป
“พ่อ พ่อเป็นอะไร ทำไมแผลชั้นหาย แล้วพ่อ…”
ไม้เห็นพ่อสลบไปนึกว่าพ่อตายจึงลุกขึ้นจะชกพันเทพทันที อบเชยลงไปดูเมฆแทน
“ไอ้พันเทพ ชั้นจะฆ่าแก”
ไม้กระชากคอเสื้อพันเทพจะต่อย เสียงอบเชยดังขึ้น
“ไม้ เดี๋ยวก่อน...” ไม้หันหน้าตามเสียงอบเชย “ลุงเมฆยังไม่ตาย แค่สลบไปเท่านั้น”
จันทร์ดูแผลของเมฆ
“เลือดหยุดไหลแล้วด้วย”
ไม้หันมองหน้าพันเทพที่เค้ากระชากคอเสื้ออยู่ พันเทพยิ้มเจ้าเล่ห์ ไม้ปล่อยคอเสื้อพันเทพ
“อย่ามองชั้นในแง่ร้ายขนาดนั้นสิ แผลพ่อเธอแค่ใหญ่กว่าเลยทรมานนิดหน่อย”
เมฆฟื้นขึ้นมา ไม้วิ่งเข้าไปหา
“พ่อ...”
เมฆมองพันเทพอย่างไม่เข้าใจ
“แกช่วยชั้นทำไม”
“ทรมานใจดี...ว่ามั้ย”
เมฆกับพันเทพ มองหน้ากัน
เวลาผ่านไป...ทั้งหมดเดินกันเหน็ดเหนื่อยมาถึงบริเวณหนึ่ง เริ่มมีเสียงประหลาดผ่านจากต้นไม้โน้นที ไปต้นไม้นี้ที ทุกคนเริ่มมองกันหวาดระแวง
“นั่นเสียงอะไรน่ะ”
“จะรู้มั้ยล่ะ ก็มาถึงพร้อมกันเนี่ย”
“ชั้นว่าท่าทางมัน...ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ”
ไม้ระแวงภัยที่จะเกิดขึ้น เดินไปอยู่ใกล้ๆ เมฆเพื่อปกป้องพ่อตน
“ก็รีบๆ เดินให้มันพ้นตรงนี้ไปสิ”
เมฆหันไปเห็นตัวประหลาดคล้ายคางคาวบินผ่านหัวพันเทพไป
“นั่นตัวอะไรน่ะ”
เมฆบอกทุกคนหันพรึ่บมองตามเมฆอย่างระแวดระวัง
“พวกเราอยู่ใกล้ๆ กันไว้ก่อน อย่าให้มันโจมตีได้ง่ายๆ”
เสียงร้องคล้ายค้างคาวดังจากตรงโน้นที ตรงนี้ที
“มันตัวอะไร ค้างคาวแม่ไก่เหรอ ตัวใหญ่โคตร”
“ค้างคาวแม่ไก่ แกไปหาดูตามเขาดินมั้ยล่ะ นี่ป่าอาถรรพ์โว้ย มันต้องไม่ใช่แค่ค้างคาวแน่”
แล้วเมฆกับพันเทพก็พูดขึ้นพร้อมกัน
“เวตาล”
“เวตาลเหรอ”
“ดูเหมือนมันจะไม่ได้มาตัวเดียวซะด้วย”
“มันคงตามกลิ่นเลือดมนุษย์มาละสิ ไอ้พวกนี้ชอบกินเลือดมนุษย์ที่สุด”
ทุกคนกลืนน้ำลายสยองกับคำพูดของพันเทพ
“แล้วนี่รู้ได้ไงเนี่ย เคยเลี้ยงรึไง” จันทร์ประชดถาม
“หึ หึ”
“ระวังตัวนะทุกคน เวตาลมันเจ้าเล่ห์และว่องไวมาก”
เมฆบอก ฝูงเวตาลจำนวนหนึ่งเริ่มเข้าโจมตีทุกคน ทุกคนต่างเอาตัวรอดด้วยฝีมือมวยที่มี ส่วนไม้ก็ต้องปกป้องเมฆที่บาดเจ็บด้วย พันเทพเอาไม้ตะพดออกมาสู้ แทงเวตาลตายบ้าง คอขาด ตัวขาดบ้างก็มี ฝูงเวตาลขยาดพันเทพต่างชะงัก บินถอยออกไปมองไกลๆ
“มันกลัวไม้ตะพด ไอ้เวตาลกระจอกมันกลัวไม้ตะพด”
พันเทพหัวเราะ ดูเหมือนเวตาลกลัว แต่จริงๆ แล้วมันไปรอพวกอีกทั้งฝูงบินมารอสมทบ ทุกคนแหงนมองฝูงเวตาลที่เพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ
“ชั้นว่ามันไม่ได้กลัวแล้วล่ะ”
จันทร์บอกฝูงเวตาลเข้ารุม ทุกคนต่อสู้เอาตัวรอด พันเทพก็สู้ไปแล้วเดินมาหาเมฆกับไม้ ไม้กำลังปกป้องเมฆอยู่
“แกเอาไม้ตะพดอีกอันออกมาสิ มันจะได้ไม่กล้ายุ่งกับเรา มันรับรู้ได้ถึงพลังมหาศาลของไม้ตะพดที่รวมกัน” พันเทพบอกเมฆ เมฆหันไปมองไม้
“ไม่มีหรอกไม้ตะพดนั่นน่ะ” ไม้บอก
“ยามคับขันแบบนี้ ยังจะปกปิดไม่ให้ใครรู้เรื่องที่เธอมีไม้ตะพดอีกเหรอ”
“ก็บอกว่าไม่มีไง”
“ถ้างั้นเราทุกคนก็ได้ตายอยู่ในป่านี่ล่ะ”
พันเทพหงุดหงิดต่อสู้ด้วยไม้ตะพด ดูเหมือนเขาจะเป็นคนที่ฆ่าเวตาลได้จำนวนมากอยู่คนเดียว นอกนั้นก็ได้แต่ต่อยเตะ เอาไม้ฟาดไปตามเรื่อง เมฆคุยกับไม้ระหว่างสู้โดยที่พันเทพไม่ได้ยิน
“ลูกไม่มีไม้ตะพดจริงๆ เหรอ”
“ชั้นไม่ได้เอามาหรอกพ่อ ชั้นกลัวว่าเอามาแล้ว ถ้าต้องสู้กับพันเทพพ่อก็บาดเจ็บอีก แล้วพันเทพก็อาจจะขโมยไม้ไปได้ง่ายๆ ด้วย”
เมฆยิ้มให้ไม้
การต่อสู้ดูเหมือนจะแย่ลง เพราะจำนวนเวตาลมีมากมาย พันเทพเพลี่ยนพล้ำไม้ตะพดของตนกระเด็นหลุดจากมือ เมฆเห็นฝูงเวตาลกรูเข้าจะรุมไม้ตะพด เมฆรีบกระโดดเข้าไปกลางวงคว้าไม้ตะพดไว้ แล้วใช้ไม้ตะพดของพันเทพฟาดฟันเวตาลในท่านั่ง แต่ก็ยังเจ็บแผลไม่น้อย พันเทพไม่ยอมให้ไม้ตะพดตนไปอยู่ในมือเมฆ พยายามจะแย่งมาจากเมฆให้ได้ พันเทพแย่งมาได้แล้วถีบเมฆที่อ่อนแอไปให้พวกเวตาลรุมทึ้ง
“พ่อ”
ไม้เรียกพ่อด้วยความตกใจเมื่อหันไปเห็นฝูงเวตาลรุมเมฆ ไม้จะเข้าไปช่วยแต่พันเทพรั้งไม้ไว้ ทุกคนมองดูอย่างตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“พ่อ พ่อ”
“เธออย่าเข้าไปเลย เข้าไปก็ตายเปล่าๆ ไอ้พวกเวตาลนั่นมันหิวโซ”
“แกมันเลวมาก ปล่อยชั้น ชั้นจะไปช่วยพ่อ”
ในมิติที่ต่างไป วิญญาณของเมฆคล้ายว่าหลุดออกจากร่าง เขาเห็นทุกคนหมดเห็นฝูงเวตาลที่ล้อมร่างเขา เป็นภาพเคลื่อนไหวช้ากว่าปกติและไร้เสียง แต่ไม่มีใครเห็นเขาอีกคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ แม้พยายามส่งเสียงเรียกก็ไม่มีใครได้ยิน
“ไม้ ไม้”
เมฆจะวิ่งไปหาไม้แล้วฤๅษีก็ปรากฏตัวขึ้น
“เธอคือผู้ดูแลไม้ตะพดวิญญาณใช่มั้ย”
“ท่าน...นี่ผม ตายไปแล้วใช่มั้ย”
“อยู่ที่เจ้าอยากตายรึเปล่าล่ะ”
“ผมเลือกได้ด้วยเหรอ”
“ที่เลือกได้ เพราะมันไม่ใช่เวลาของเจ้า”
“งั้นผมขอไปช่วยไม้...”
“งั้นเจ้าร่วมมือกับข้า เพื่อขับไล่เวตาลพวกนั้นไปเถิด”
เมฆพยักหน้ารับ ฤๅษีเดินมาจับบ่าเมฆทั้งสองข้างแล้ววิญญาณทั้งคู่ก็หายไป
ไม้พยายามจะไปช่วยเมฆที่โดนเวตาลรุม แต่พันเทพห้ามไว้ ไม้จึงสู้กับพันเทพ
“ปล่อยชั้น ชั้นจะไปช่วยพ่อ”
“มันไม่ใช่พ่...”
ยังไม่ทันที่พันเทพจะพูดจบ อบเชยก็ขัดขึ้นมาก่อน
“ไม้ดูนั่นสิ”
ทุกคนหันไปดูตามที่อบเชยชี้ ภาพที่เห็นก็คือฝูงเวตาลค่อยๆ ถอยออกมาจากร่างเมฆ ไม่กล้าทำอะไร ร่างของเมฆเรืองแสงด้วยเงาของฤๅษีเรืองๆ เมฆลุกขึ้นมาดูแข็งแรงกว่าปกติ ทุกคนตะลึงในสิ่งมหัศจรรย์ที่เห็น
“พ่อ”
เมฆเริ่มสู้กับฤๅษีด้วยมือเปล่า แต่มีอิทธิฤทธิ์มากกว่าปกติ
“อย่ามัวแต่ยืนมองกันอยู่ ช่วยกันปราบพวกมันสิ”
คนอื่นๆ ได้สติก็ช่วยกันขับไล่เวตาลไปจนหมด ไม้เดินไปหาเมฆ
“พ่อ...เป็นอะไรมั้ย” ไม้จับมือพ่ออย่างเป็นห่วง แต่แค่ไม้แตะตัวเมฆ เมฆก็ล้มหมดสติไปทันที “พ่อ”
ไม้ประคองเมฆที่หมดสติอย่างห่วงใย
“ต้องเกิดอะไรขึ้นกับลุงเมฆแน่ๆ อยู่ก็มีพลังวิเศษ แล้วอยู่ๆ ก็เป็นลมไปแบบนี้”
“พ่อ พ่อได้ยินชั้นมั้ย”
“ตายไปจริงๆ ซะละมั้ง”
ไม้มองพันเทพโกรธๆ
“แกเกือบฆ่าพ่อชั้น แกยังจะมาพูดแบบนี้อีก”
“ใช่ ไม่พูดก็ไม่มีใครว่า”
พันเทพยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน เมฆค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง
“พ่อฟื้นแล้ว พ่อ”
“ฤๅษี”
“ฤๅษี หมายความว่าไงพี่เมฆ”
“ฤๅษีมาช่วยพวกเราไว้” เมฆกลับมาเจ็บที่แผลเหมือนเดิม “โอ๊ย...”
“ก็เมื่อกี้เล่นสู้ยังกับฮีโร่ ก็ต้องเจ็บเป็นธรรมดา”
“ที่พ่อพูดถึงฤๅษีหมายความว่ายังไง”
“ฤๅษีมาช่วยให้พ่อสู้กับพวกมันได้”
“หึหึ ฤๅษีเรอะ มันคงรอให้คนมาหาอยู่เต็มแก่สินะ”
พันเทพบอก เมฆมองพันเทพอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“แกเกือบจะฆ่าชั้น”
“ช่วยไม่ได้นะ แกเอาไม้ตะพดของชั้นไป อะไรที่ไม่ใช่ของแกก็อย่ามาก้าวก่ายสิ”
“แต่ถ้าชั้นไม่หยิบไม้ตะพดไว้ มันคงกลายเป็นของพวกเวตาลไปแล้ว”
“ชั้นว่าแกแค่พูดจาให้ตัวเองดูเป็นพระเอกซะมากกว่า”
เมฆมองพันเทพอย่างระอาใจที่คิดได้แค่นี้
“พอเถอะ เราเสียเวลาเดินทางมามากแล้ว รีบไปเถอะ ไม่งั้นได้นอนอยู่ตรงนี้แน่”
ชาญเดินนำทุกคนไป แม้จะยังไม่พอใจกัน ทุกคนก็เดินตามชาญไป
อีกมุมหนึ่งของป่าอาถรรพ์ไกรนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ แพรวาเองก็หลับอยู่ข้างๆ เสียงๆ หนึ่งทำให้ไกรตื่นจากภวังค์
“โยมไกร”
ไกรงัวเงียตื่นขึ้นมาจึงเห็นพระพม่า
“หลวงพ่อ”
“อาตมาเตือนโยมแล้วว่าอย่าเข้ามา”
“ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่แบบนี้...แล้วนี่หลวงพ่อก็ติดอยู่ในป่านี่เหมือนกันเหรอ”
“ป่านี้เต็มไปด้วยภาพลวง”
“ผมจะต้องทำยังไงถึงจะได้ออกไปครับหลวงพ่อ”
“ยึดสติตั้งมั่น อย่าหลงไปตามภาพลวงตา”
ไกรสะดุ้งตื่นแล้วหันไปมองแพรวาที่นอนหลับอยู่ข้างๆ ไกรรีบปลุกแพรวา
“แพรวา แพรวา” แพรวางัวเงียตื่นขึ้น “ผมพอจะรู้วิธีออกจากป่าอาถรรพ์แล้ว”
“จริงเหรอ”
แพรวาถามอย่างดีใจ
กลุ่มของไม้เดินมาถึงหน้าถ้ำ แต่ละคนมีท่าทางอ่อนล้า ไม้พยุงเมฆมา
“นี่พี่ชาญ เมื่อไหร่จะถึงซักที นี่ก็เดินมาทั้งวันแล้วนะ”
“นี่ยังไม่ถึงป่าช่วงสุดท้ายเลย”
“แบบนี้ คงต้องนอนค้างในนี้ซะละมั้ง”
“นั่นไงตรงนั้นมีถ้ำ เราน่าจะนอนค้างในนี้ได้นะ”
“ดีเหมือนกันพ่อจะได้พัก”
“อย่าให้รู้ว่ากำลังถ่วงเวลากันล่ะ”
พันเทพเดินนำเข้าไปในถ้ำอย่างไม่พอใจนัก สมุนตามเข้าไปติดๆ พันเทพเดินเข้ามาในถ้ำพร้อมกับร่มคู่ใจของเขา
“เจ้านายระวังนะครับ มันอาจจะมีตัวประหลาดอยู่ในนี้ก็ได้” สมุนบอก
“หึ...ชั้นไม่กลัวหรอก”
แค่พันเทพเดินเข้าไปในถ้ำ เหล่างู ตะขาบ แมงป่อง สัตว์ร้ายที่อาศัยอยู่ในถ้ำนั้นต่างพากันหนีหมด เพราะพลังของไม้ตะพดที่พันเทพถือ
ขณะนั้นไม้ อบเชย จันทร์ ชาญและเมฆยังคุยกันอยู่หน้าถ้ำ
“น่าแปลก” จันทร์บอก
“แปลกอะไรของเอ็งอีกล่ะ” ชาญถาม
“ก็พี่บอกว่าป่าช่วงที่สองเต็มไปด้วยอันตราย แต่ชั้นไม่ยักเห็นแม้แต่มดตะนอยซักตัว ยังไม่มีเลย”
ชาญพยักหน้าเห็นด้วย
“ก็จริง”
“มัวคุยอะไรกันอยู่ได้ ชั้นว่าเวลานี้ เราหนีกันเถอะไอ้พันเทพมันเผลอแล้ว” อบเชยบอก
“จริงสิ มันไม่มีแผนที่ มันตามเราไปไม่ถูกหรอก”
“เดี๋ยวก่อน ดูนั่นสิ”
จันทร์พยักหน้าให้ทุกคนหันไปดูที่ปากถ้ำ ทุกคนหันตามไปจึงเห็นสัตว์นานาชนิดทั้ง งู ตะขาบ แมงป่อง ค้างคาว ต่างอพยพออกมาจากถ้ำเป็นแถว ทุกคนหลบทางให้สัตว์
“นี่มันสัตว์มีพิษทั้งนั้น”
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
“ชั้นว่าชั้นรู้แล้ว ว่าทำไมตลอดมานี่เราถึงไม่เจออันตรายอะไรเลย”
“เพราะไม้ตะพดของพันเทพใช่มั้ย”
จันทร์พยักหน้า
“ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ”
“อำนาจของไม้ตะพดนี่มันร้ายกาจจริงๆ” อบเชยบอก
“ทีนี้...ยังจะอยากหนีไปจากไอ้พันเทพอีกรึเปล่าล่ะ”
ไม้กับอบเชยนิ่งไป
“ถูกของจันทร์นะ ถ้าพันเทพอาศัยแผนที่ของเรา เราก็อาศัยพลังของไม้ตะพดของพันเทพให้รอดพ้นจากสัตว์ร้าย” เมฆบอก
“แต่ถ้าสุดท้าย ไอ้พันเทพได้ของในตำนานจริงๆ มันต้องตลบหลังเราแน่ มันอาจจะทิ้งเราให้ตายในป่าอาถรรพ์ก็ได้”
“ไม่ต้องกลัวหรอก...ยังไงชาญก็เป็นคนเดียวที่อ่านแผนที่ได้ เราได้กลับออกไปแน่”
ทุกคนมองหน้าเมฆแล้วเห็นด้วย
ไกรพาแพรวามาตรงทางที่เคยเดินเข้ามา
“มันก็ไม่ใช่ทางออกไปอยู่ดี”
“ทีนี้คุณลองเชื่อว่ามันคือทางออก เราเข้ามานี้ เราก็ต้องออกทางนี้ นี่คือความจริง คุณต้องไม่หลงภาพลวงตานี่”
“ชั้นจะลองดู”
ไกรกับแพรวาจับมือกันหลับตาอยู่ตรงนั้น มวลอากาศเริ่มจะขยับเหมือนทางออกจะเริ่มเปิด แต่แล้ว เสียงกรี๊ดแพรวาก็ดังขึ้นไกรตกใจลืมตาขึ้นก็เห็นงูเหลือมขนาดใหญ่พอจะกินคนทั้งคนได้ มันชูคอหิวโหยขวางทางเขาอยู่ ไกรตกใจดึงแพรวามาหลบด้านหลัง
“ไม่ต้องกลัวนะ งูพวกนี้ไม่มีพิษหรอก”
“แต่มันรัดเราทั้งคู่ตายได้เลยนะ”
“มันจะไม่ล่าเหยื่อถ้ามันอิ่มแล้ว”
“แต่ท่าทางมัน...ไม่เหมือนอิ่มนะ”
“มันอาจไม่อยากให้เรากลับออกไป”
“แล้วทำไงดีล่ะ”
“ลองถอยออกห่างจากตรงนั้นพร้อมๆ กันมั้ย จะได้รู้ว่าสิ่งที่เราสันนิษฐานถูกมั้ย”
แพรวาพยักหน้ารับ แล้วค่อยๆ ถอยออกพร้อมกับไกร งูยังชูคอเหมือนเดิม พอไกรกับแพรวาถอยออกไปไกลเข้า งูก็ค่อยๆ สงบลง แล้วนอนขดกับพื้นเฝ้าทางออกนั้น
“มันไม่อยากให้เราออกจริงๆ ด้วย”
ไกรกับแพรวามองหน้ากันอย่างนึกท้อ
อีกด้านหนึ่งภายในถ้ำ ไฟลุกโชนตรงกลางถ้ำ ต่างคนต่างแยกย้ายกันนอนในมุมต่างๆ พันเทพหลับแต่มือกำร่มไว้แน่น มีสมุนนอนอยู่ไม่ไกล ชาญกับจันทร์นอนใกล้ๆ กัน ส่วน ไม้ เมฆ อบเชย นอนเรียงกัน มีไม้อยู่ตรงกลางทุกคนนอนหลับ ยกเว้นอบเชยที่แอบขยับตัวไปนอนใกล้ๆ ไม้ ไม้รู้สึกตัวจึงกระซิบถาม
“จะทำอะไรน่ะ”
“แหะ แหะ ก็แค่อยากนอนใกล้”
“ทำไมต้องนอนใกล้ๆ ด้วย”
“มันหนาว”
“หนาวก็ไปนอนใกล้กองไฟโน่น”
“มันเหงา”
“ก็ไปปลุกไอ้จันทร์กับพี่ชาญมานั่งคุยโน่นไป”
“มันกลัวด้วยนะ”
“งั้นไปนอนใกล้พันเทพไป รับรองไม่มีอะไรมาทำร้ายเธอได้”
“แล้วถ้ามัน...รัก...ล่ะ” อบเชยพูดล้อๆ ไม้ผลักอบเชยออก
“ไอ้บ้า...ไปนอนไกลๆ เลยไป เป็นผู้หญิงจะมาทำแบบนี้ได้ไง”
อบเชยยิ้มสนุกที่แกล้งไม้ได้ ไม้นอนหันหลังให้อบเชยแต่แอบยิ้ม
ขณะเดียวกันนั้นไกรกับแพรวานอนเบียดกันในชะง่อนหินแคบๆ
“ที่เดิม ท่าเดิมเลย” ไกรบอก
“เบื่อใช่มั้ยที่มาอยู่ใกล้ๆ กับชั้น” แพรวาประชด
“ไม่ได้หมายความแบบนั้น แต่ผม...ไม่อยากอยู่ใกล้ชิดกับใครจนเกินไป”
“ทำไม”
“กลัวใจตัวเอง”
แพรวาได้ยินก็ทำหน้าไม่ถูกนัก
“พรุ่งนี้งูนั่นอาจจะไปแล้วก็ได้ เราอาจจะได้ออกจากป่าไปซะที”
“ผมก็หวังให้เป็นแบบนั้น”
ไกรบอกออกไป สีหน้ายังดูเป็นกังวล
อ่านต่อหน้า 2
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 9 (ต่อ)
กลางดึกคืนนั้น ขณะที่ทุกคนหลับกันสนิท เมฆลุกขึ้นมาเติมฟืน เมฆมองไปที่ไม้ที่หลับอยู่แล้วเจ็บปวดอยู่ในใจลึกๆ
“ไม้ มองหน้าลูกทีไร ทำให้คิดถึง...” เมฆนึกถึงตอนที่พันเทพแย่งทิพย์ไปจากเขา เมฆน้ำตาไหลออกมาแล้วรีบปาดน้ำตาทิ้ง “ทิพย์... ช่างเหมือนทิพย์เหลือเกิน”
เมฆเจ็บปวดกับความจริงที่เกิดขึ้น เมฆเหลือบไปเห็นพันเทพที่ยืนมองอยู่อีกมุมหนึ่ง
“แกผูกพันกับสายเลือดของชั้นมากเกินไปรึเปล่าไอ้เมฆ แกคงคิดอยากจะให้ไม้เป็นลูกของแกจริงๆ สินะ”
“เด็กคนนี้ ถึงจะมีเลือดชั่วๆ ของแกปนอยู่ แต่มันก็สู้เลือดดีๆ ของทิพย์ไม่ได้แม้แต่นิด”
“แต่ไอ้ทิวาลูกแกนี่สิ ต่อให้พ่อจริงๆ ของมันจะประเสริฐแค่ไหน มันก็ยังเลวไม่แพ้ชั้นอยู่ดี”
“ก็เพราะแกเลี้ยงทิวาให้เติบโตมาในความชิงชัง และความเห็นแก่ตัวของแกน่ะสิ”
“แต่สุดท้ายมันก็คือลูกแกอยู่ดี”
พันเทพหัวเราะสะใจ เมฆมองพันเทพอย่างเจ็บใจ
เช้าวันรุ่งขึ้นไม้ อบเชย จันทร์ ชาญ เมฆ เดินออกมาจากถ้ำ
“ไม่รู้ป่านนี้คุณไกรกับคุณแพรวาเป็นไงบ้าง” ไม้พูดขึ้นมา
“โดนเสือจับกินไปแล้วมั้ง” อบเชยบอก
“เธอนี่มัน...”
“อย่าพูดถึงสัตว์ร้ายในป่า เดี๋ยวก็มาจริงหรอก” ชาญบอก
“ก็พ่อยังไม่เห็นจะห่วงลูกตัวเองเลย เราจะไปห่วงแทนทำไมล่ะ”
อบเชยบุ้ยหน้าให้ดูพันเทพที่ออกมาจากถ้ำหลังสุด ทุกคนหันไปมอง แต่เมฆกลับเครียดที่ได้ยินเรื่องพ่อๆ ลูกๆ พันเทพเดินมามองเมฆ
“จ้องชั้นอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ชั้นเพิ่งช่วยแกไปเมื่อวานนะ” เมฆไม่พูดโต้ตอบ “ยืนทำอะไรกันอยู่ เดินทางสิ”
“แน่ะ...มาทีหลังยังมาเร่งคนอื่นอีก”
ชาญแอบบ่น
ทางด้านไกรเขาตื่นขึ้นมาก่อนแพรวา ไกรลุกเดินออกมาจากชะง่อนหิน ไกรเดินมาดูบริเวณทางออกไม่เห็นงูยักษ์นอนอยู่แล้วไกรจึงยิ้มออกมา
“งูไม่อยู่แล้ว แบบนี้ต้องรีบไปบอกแพรวา”
ขณะที่ไกรกำลังดีใจอยู่นั้น อยู่ๆ งูก็โผล่มาจู่โจมเขาจากอีกทาง ไกรหลบล้มลงไป งูทำท่าจะเอาชีวิตเขาให้ได้ ขู่ฟ่อๆ ไกรเลยวิ่งหนีอย่างรวดเร็วไม่รู้ทิศรู้ทาง งูเลื้อยตาม
ไกรวิ่งหนีงูจนสะดุดล้มไม่เป็นท่างูทำท่าจะจู่โจม ไกรไม่มีทางหลบทัน จึงจ้องตางูแล้วตั้งสติ
“แกไม่มีอยู่จริง แกไม่มีอยู่จริง แกเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น แกไม่มีอยู่จริง”
งูอ้าปากพุ่งเข้าจะฉกไกร แต่ภาพก็มืดไป
แพรวาสะดุ้งตื่นขึ้นมาไม่เห็นไกร เธอตกใจลุกออกมาตามหาไกรแต่ไม่เจอจึงเริ่มกลัว
“คุณไกร คุณไกรอยู่ไหน อย่าปล่อยชั้นอยู่คนเดียวแบบนี้สิ ชั้นกลัว”
แพรวาตะโกนเรียกไกรและทำท่าจะร้องไห้ออกมา
กลุ่มของไม้ ขณะนั้นทั้งหมดพากันเดินทางต่อโดยมีสมุนพันเทพเดินรั้งท้าย แต่เกิดไปสะดุดหินล้มกะเทเร่ ทุกคนหันไปมอง
“อะไรของแก เดินแค่นี้ก็ล้มรึไง ลุกขึ้นมา อย่าช้า” พันเทพดุสมุน
“ครับนาย” แต่ยังไม่ทันได้ลุก แผลถลอกธรรมดาของการหกล้มก็ค่อยๆ กลายเป็นสีดำ เน่า แล้วค่อยๆ ขยายวงเพิ่มขึ้น “เกิดอะไรขึ้น ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
ชาญวิ่งมาดูแผลที่ขาของสมุนที่กำลังเน่า
“โดนอะไรมา”
“ก็แค่สะดุดล้มกระแทกหิน”
“ชั้นบอกแล้วใช่มั้ยว่าของทุกอย่างอันตรายหมดแม้แต่ก้อนหิน นี่คงไปโดนหินต้องคำสาปแน่ๆ”
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
“ทีนี้จะทำไงล่ะ”
“ตามหลักของป่า สิ่งมีพิษอยู่ที่ไหน เดินไปไม่เกินสิบก้าวยาถอนพิษจะอยู่บริเวณนั้น อันนี้ก็น่าจะเหมือนกัน”
“งั้นช่วยกันหาเร็ว”
“ไม่ต้องหาหรอก ต้นนั้นไงยาถอนคำสาปมีเขียนไว้ในตำราโบราณของจีนถึงพืชที่ใช้ถอนคำสาป บางคนเชื่อว่ามันไม่มีอยู่จริง แต่บางคนก็เชื่อว่ามันสูญพันธุ์ไปแล้ว”
“แล้วมันช่วยพ่อชั้นได้มั้ย” ไม้ถามพันเทพ
“หึหึ ก็แล้วแต่จะคิด”
ไม้รีบไปเด็ดมา
“งั้นชั้นจะให้พ่อกิน”
“เดี๋ยวก่อนไม้...ชั้นว่าอย่าเพิ่งเลย มีเหรอที่ไอ้พันเทพมันจะช่วยเราถึงสองครั้งน่ะ”
“ยังไงก็ลองให้สมุนมันกินดูก่อนสิ เดี๋ยวก็รู้ผล”
ไม้พยักหน้าเห็นด้วย ไม้เอาสมุนไพรไปให้สมุนพันเทพกิน สมุนไม่ลังเลรีบกินเพราะกลัวขาจะเน่า สมุนเคี้ยวกร้วมๆ ทุกคนมองสมุนอย่างตั้งใจเพราะอยากรู้ผล แล้วขาที่เน่าดำเป็นวงใหญ่ก็ค่อยๆ หดเล็กลงเล็กลงจนเหลือแค่แผลถลอกธรรมดา ทุกคนตาโตถึงความมหัศจรรย์
“โห ไม่เห็นกับตาไม่เชื่อนะเนี่ย”
“จริง... เอ็งรู้สึกยังไงบ้าง”
ชาญถามสมุนพันเทพ สมุนมีท่าทางเซื่องๆ เหมือนเมายา ดูเบลอๆ
“อืม”
“สงสัยจะออกฤทธิ์แรงไปหน่อย”
“ถ้างั้นพ่อก็กินได้สิ ดูสิ แผลที่โดนคำสาบหายเลย”
“รอดูอาการอีกหน่อยดีกว่าไม้ ไอ้นี่มันยังเบลออยู่เลย”
ไม้เก็บสมุนไพรที่ว่าใส่กระเป๋าไว้ พันเทพยืนมองยิ้มๆ เมฆจ้องพันเทพเขม็ง
“แกจ้องชั้นทำไม...ชั้นสังเกตนะ แกจ้องชั้นมาตลอดทางเลย”
เมฆเดินไปกระซิบพันเทพ
“แกใช้เด็กที่ไม่รู้เรื่องด้วยมาเป็นเครื่องมือตามล่าไม้ตะพดของแก แกไม่เคยคิดเลยว่าถ้าเด็กมันรู้
มันจะเจ็บปวดแค่ไหน”
“ชั้นยังไม่ได้พูดอะไรซักคำเลยนะ”
พันเทพกระซิบกับเมฆแล้วยิ้มเยาะ ทั้งคู่ต่างมองหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
“เอ๊า ไม่มีใครเป็นอะไรก็ดีแล้ว เราจะเข้าสู่ป่าช่วงสุดท้ายของแผ่นที่แล้ว” ชาญบอก
ทุกคนเดินมาถึงต้นไม้ใหญ่กลางป่า ซึ่งก็คือจุดสุดท้ายของแผนที่
“เรามาถึงที่ที่แผนที่บอกแล้ว”
พันเทพมองไปรอบๆ
“ใช่ ที่นี่จริงๆ ด้วย” พันเทพนึกถึงตอนที่เวตาลพาเขามาในนิมิต “ถึงตอนนั้นมันจะมืด แต่ชั้นก็จำได้ ต้นไม้ต้นนี้”
ไม้ทำหนังเสือตกโดนรากไม้ พอดีกับที่พันเทพเข้าไปลูบคลำต้นไม้ เมื่อหนังเสือไม้ตะพดและต้นไม้สัมผัสกัน ลมก็กรรโชกแรง ป่าก็โหยหวนไปทั้งป่า ทุกคนหันมองหน้ากันกลัว ไม้รีบเก็บหนังเสือขึ้นมาทุกอย่างก็กลับปกติ
“แกต้องการอะไรจากที่นี่ ที่นี่ไม่เห็นมีอะไรก็แค่ต้นไม้ ไม่มีกระทั่งฤๅษีในตำนาน”
เสียงโวยวายจากจันทร์ดังขึ้น
“ไม้ มาดูนี่”
ทุกคนมามุงดูตามที่จันทร์ว่า
“มีโครงกระดูกคนอยู่ใต้รากต้นไม้นั่น ใครกัน”
“หรือจะเป็น...”
“ใช่...นั่นคือฤๅษีคนที่สร้างไม้ตะพด”
“จริงเหรอ นี่คือต้นกำเนิดไม้ตะพดเหรอเนี่ย ว้าว เท่สุดๆ ชั้นได้มาอยู่บนต้นกำเนิดของลูกผู้ชาย” ชาญบอกอย่างภูมิใจ
“แล้วทำไมหนังเสือต้องบอกให้มาที่นี่ เพื่ออะไร”
“ก็เพื่อให้ชั้นได้ในสิ่งที่ต้องการไง”
พันเทพเอามีดกรีดต้นไม้ ยางที่ไหลออกมาเป็นสีแดงราวกับเลือดสด ใส่ขวดขนาดเล็กที่เตรียมมา
พอมีดกรีดลงไป ลมก็กรรโชกอีกครั้ง
“แต่เดี๋ยวนะ มาเพื่อกรีดยางเนี่ยเหรอ เดี๋ยวพาไปสวนยางภาคใต้ก็ได้มั้ง”
“ก็แกมันไอ้โง่ ไม่รู้อะไรน่ะสิ”
พันเทพเก็บขวดใส่กระเป๋า
“นี่ชั้นพาแกมานะ ยังมาว่าโง่อีกเหรอ”
“ถ้าอยากเป็นคนฉลาด ก็ส่งตำราหนังเสือมาให้ชั้นสิ”
“ไม่มีทาง”
“นี่แกคิดจะหักหลังพวกเราจริงๆ สินะ”
“หึหึ” พันเทพหันไปบอกสมุน “จัดการพวกมัน” พันเทพยืนรอให้สมุนวิ่งเข้าไปทำหน้าที่ แต่สมุนนิ่ง พันเทพหันไปด่า “แกยืนทำอะไรของแกอยู่ ไม่ได้ยินที่ชั้นสั่งรึไง” สมุนเบลอใส่ ทำหน้างง พันเทพไม่พอใจ
“เออ ชั้นจัดการคนเดียวก็ได้”
“พวกเราหนีก่อน ไอ้พันเทพมีไม้ตะพด”
“พี่ชาญพาเราออกไปจากที่นี่”
ไม้พยุงเมฆออกไปอย่างทุลักทุเล กลุ่มของไม้พากันหนีหมด พันเทพตามไปเหลือสมุนงงยืนอยู่
“นี่...มาอยู่ที่นี่ได้ไง...เราคือใครวะ”
สมุนคนที่กินสมุนไพร พูดกับตัวเอง
กลุ่มของไม้หนีพันเทพมาถึงริมหน้าผา แต่สุดท้ายพันเทพก็คว้าตัวเมฆไว้ได้
“จะหนีไปไหนกันเล่า นักสู้ทั้งนั้นไม่ใช่เหรอพวกเธอน่ะ เก่งจริงก็ช่วยคนที่ตัวเองรักให้ได้สิ”
พันเทพต่อยซ้ำแผลของเมฆ เมฆทรุดกอง พันเทพกระทืบซ้ำไปยังขาข้างที่แกล้งเป๋ของเมฆด้วย
เมฆทำอะไรไม่ได้ ไม้ทนไม่ได้วิ่งเข้าไปสู้คนแรกด้วยมือเปล่ากับพันเทพ อบเชยวิ่งเข้าไปช่วยเสริม
“หน้าไม่อาย ให้ผู้หญิงช่วย”
“แกก็หน้าไม่อายเหมือนกันแหละ ใช้ไม้ตะพดสู้กับคนมือเปล่า”
จันทร์กับชาญมองหน้ากัน เข้ามาร่วมสู้ด้วยอีก ทั้งหมดช่วยกันรุมพันเทพที่ต่อสู้อย่างคล่องแคล่วด้วยร่มไม้ตะพด กลุ่มของไม้เป็นฝ่ายเสียเปรียบ จันทร์ ชาญ ถูกซัดหมอบไปก่อน ตามด้วยอบเชยสลบเช่นกัน ทั้งหมดเจ็บหนักไม่แพ้กัน เหลือแต่ไม้ที่ฝีมือดีสุดยังพอสู้กับพันเทพได้ แต่ไม้ก็เกือบจะสู้ไม่ไหว ล้มไม่เป็นท่า
“เธอมาเป็นพวกเดียวกับชั้นดีกว่าน่าไม้ ...แล้วชั้นจะบอกความจริงบางอย่างกับเธอ”
ไม้ไม่สนใจคำพูดพันเทพ เขาจ้องที่ไม้ตะพด มีแผนการบางอย่าง
“ชั้นไม่สนเรื่องพวกนั้นหรอก ตอนนี้ชั้นกำลังสนแค่ว่า ถ้าไม้ตะพดอันเดียวแต่มีคนถือสองคน ไม้จะช่วยใคร”
ไม้พุ่งเข้าไปจับปลายไม้อีกด้านของร่มพันเทพ แล้วออกแรงเหวี่ยงกระแทกพันเทพกระเด็นไป แต่ความที่พันเทพยังไม่ปล่อยร่ม ก็เลยกระเด็นไปทั้งคู่ กระแทกกับพื้น ร่มพันเทพหลุดมือไปวางหมิ่นที่ริมหน้าผาจะตกไม่ตกแหล่ ส่วนไม้ลงไปห้อยอยู่ที่หน้าผามีมือของพันเทพจับไว้ พันเทพมองไม้และมองร่มที่ทำท่าจะตกที่อยู่ไปไม่ไกลนัก
“เธอหน้าเหมือนแม่มากเธอรู้ตัวมั้ย” พันเทพบอกกับไม้
“จะมัวพล่ามอะไร ก็ปล่อยให้ชั้นตายๆ ไปเลยสิ”
“แม่ของเธอสวยมาก ทุกครั้งที่ชั้นเห็นเธอ ชั้นอดคิดถึงเค้าไม่ได้”
เลือดไหลอาบแผลเมฆ ขณะที่เขามองเห็นพันเทพกับไม้อยู่ไกลๆ เมฆเป็นห่วงไม้ เขามองแผลตัวเองแล้วก็เห็นสมุนไพรที่พันเทพให้ไม้หล่นอยู่ เมฆตัดสินใจกัดสมุนไพร กระเดือกกิน แล้วเขาก็มีอาการเกร็ง เจ็บท้องจนตัวงอ ไม่สามารถลุกไปช่วยไม้ได้ ไม้ยังคงห้อยต่องแต่งอยู่ขณะพูดกับพันเทพ
“แกพูดอะไรของแก”
พันเทพมองไม้ตะพดที่อยู่ในด้ามร่ม จวนเจียนจะตกไป
“ถ้าต้องเลือกระหว่าง ลูกกับของ...ชั้นบอกไปแล้วนี่ ว่าจะเลือกอะไร”
พันเทพเลือกที่จะปล่อยมือไม้ แล้วกระโดดไปคว้าร่มของตนที่กำลังจะตกแทน พันเทพกำร่มเอาไว้ในมือ แววตาเหี้ยมเกรียม เขาไม่ก้มลงไปดูไม้ด้วยซ้ำ พันเทพหยิบหนังเสือจากชาญที่สลบอยู่แล้ววิ่งหายเข้าป่าไป
ที่หน้าผาไม้ใช้มือเดียวเกาะแง่งหินที่ยื่นออกมา แทบจะหมดแรงแล้ว
“ช่วยด้วย ใครได้ยินบ้าง ช่วยด้วย”
เสียงเงียบ ไม่มีท่าทีว่าใครจะมา ไม้มืออ่อนล้าเต็มทีจนในที่สุดเขาก็เกาะไม่ไหว ไม้ทำใจปล่อยตัวเองผลุดจากแง่งหิน แต่แล้วเขาก็ไม่ตกเพราะคนที่มาคว้าข้อมือของเค้าไว้คือเมฆนั่นเอง
“พ่อ”
เมฆช่วยลากไม้ขึ้นมาจนสำเร็จ
“ขอบคุณครับพ่อ พ่อเป็นยังไงบ้าง เมื่อกี้ไอ้พันเทพมันทำพ่อเจ็บ”
“ไม่เป็นไรแล้ว พ่อกินสมุนไพรที่ลูกเก็บไว้ไปแล้ว”
“แล้วเป็นไงมั่งครับพ่อ” เมฆเปิดแผลให้ไม้ดู แผลหายสนิท ไม้ดีใจ “หายแล้วจริงด้วย คำสาปหายไปแล้ว”
จันทร์ ชาญ ฟื้นมาพร้อมๆ กัน แต่ยังมึนอยู่
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
“ไอ้พันเทพนี่มันร้ายน่าดู”
“ไปดูอบเชยก่อนดีกว่า”
ทุกคนพากันไปดูอบเชย
ขณะนั้นพันเทพถือหนังเสือ ร่มไม้ตะพดและยางไม้อย่างมีความสุข วิ่งไปในป่าแล้วพูดปลอบใจตัวเองเรื่องไม้
“ชั้นมีสามสิ่งนี้ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว ต่อให้ไม่มีไม้ไม่มีลูกผู้ชาย ไม้ตะพดอีกอันจะไปอยู่กับใคร เมื่อไหร่ ชั้นก็จะฆ่ามันได้ แล้วชั้นก็จะยิ่งใหญ่คนเดียว ชั้นไม่มีเรื่องต้องเสียใจ มีแต่เรื่องน่าดีใจต่างหาก..ชั้นไม่ต้องการใครซักคนเดียว”
ระหว่างที่ไม้ไม่อยู่ ทิวามาหาไม้ที่บ้าน ทิวาเปิดประตูบ้านเข้ามา เมฆซึ่งนอนอยู่ลืมตาขึ้นมาดู
“ไอ้ไม้อยู่ไหน” เมฆลุกขึ้นงงๆ ทิวาไม่สนบุกเข้าถึงตัวเมฆ “ชั้นถามว่าไอ้ไม้อยู่ไหน”
“ทิวากลับมาบ้านแล้ว มากินข้าวมาลูกมา”
“อะไรของแก ชั้นไปเป็นลูกแกตั้งแต่เมื่อไหร่”
“พ่อทำกับข้าวไว้รอลูกกลับบ้านพอดีเลย มานั่งกินข้าวนะลูกนะ”
“ไอ้บ้านี่ บอกว่าชั้นไม่ใช่ลูกแกเว้ย ชั้นไม่เป็นลูกคนกระจอกอย่างแกหรอก ลูกแกน่ะไอ้ไม้ ตอนนี้ไอ้ไม้อยู่ไหน”
“ไม่ใช่...”
แล้วอยู่ๆ เมฆก็นิ่ง พยายามลำดับความคิดตน
“บ้าไปแล้ว...แน่ๆ”
ทิวาจะเดินออกจากบ้าน เมฆก็พูดขึ้นมาว่า
“ไม้ตะพดล่ะ ลูกเก็บมันไว้ดีรึเปล่า”
“ไม้ตะพดเหรอ?” ทิวาหันกลับมาหาเมฆ “ไม้ตะพดวิเศษใช่มั้ย”
เมฆพยักหน้า
“ไม้ตะพดวิญญาณ ที่พ่อบอกให้ลูกดูแลเท่าชีวิตน่ะ”
“อ๋อเก็บดีสิ แต่มันอยู่ไหนนะ”
“ก็ที่พ่อบอกให้เก็บมันไว้ที่...” เมฆเงียบไป
“ที่ไหน” ทิวารีบถาม
“ทำไมพ่อนึกไม่ออกนะ...”
“โธ่เว้ย...นึกสิ นึก นึกให้ออก”
เมฆพยายามคิด ทิวาลุ้น
“ทิวาลูกพ่อ”
“เออ ลูกก็ลูก”
“พ่อว่าพ่อนึกออกแล้ว” ทิวายิ้ม ดีใจ “พ่อนึกออกแล้ว ว่า...พ่อยังไม่ได้ทำกับข้าวให้ลูกนี่นา”
“ห๊า...”
“ยังไม่ได้ทำเลย เดี๋ยวพ่อไปทำกับข้าวก่อนดีกว่า”
เมฆเดินเข้าครัวไป ทิวาโกรธจัด
“ไอ้บ้าเอ๊ย ชั้นไม่น่าไปหวังอะไรกับคนบ้าอย่างแกเลย ไม่ได้เรื่องซักอย่าง”
ทิวาพลุนผลันออกจากบ้านไป ทิวาเดินออกมาจากบ้านเมฆอย่างหงุดหงิดแล้วเขาก็มีสติฉุกคิดขึ้นมา
“แล้วถ้ามันมีไม้ตะพดจริงๆ ล่ะ คงไม่บ่อยที่มันจะคิดว่าเราเป็นลูก”
ทิวาตัดสินใจเดินกลับเข้าไปหาเมฆอีกครั้ง ทิวาเดินกลับเข้าไปเมฆนั่งเหม่ออยู่เห็นทิวาก็ดีใจ
“ทิวา ลูกกลับมาแล้ว หายไปตั้งนาน”
“นานบ้าอะไรล่ะ”
“หิวมั้ยลูก”
“ไม่ล่ะ คือชั้นอยากได้ไม้ตะพด”
“ไม้ตะพด ใช่สินะ”
“เออ เอามาสิ”
“ลูกฝึกท่าต่างๆ คล่องรึยัง”
“ท่า? คล่องแล้ว”
“ดี ไหนลองแสดงให้พ่อดูซิ”
“แสดง...ก็บอกว่าคล่องแล้วยังจะให้แสดงอะไรอีกล่ะ”
“แสดงให้พ่อเห็นสิลูก”
“ไอ้บ้านี่ ชั้นชักจะโมโหแล้วนะ ชั้นหาเองก็ได้”
ทิวาเดินเข้าไปตามห้องเพื่อหาไม้ตะพด ทิวาเข้าไปในห้องนอนรื้อค้นข้าวของต่างๆ ในห้องนอน
“ลูกไม่มีวันหามันเจอหรอก นอกจากแสดงให้พ่อเห็นว่าลูกคู่ควรกับมัน” เมฆบอก
“แสดงกับผีแกสิ”
ทิวาเดินเข้าไปค้นห้องอื่นอีก ทิวาเข้าไปค้นถึงในห้องครัวรื้อทุกอย่างที่เห็นแต่ก็ไม่มีวี่แววไม้ตะพด
“บ้านก็เล็กแค่นี้ มันจะไม่มีได้ยังไงวะ” ทิวาโมโหหันไปมองหน้าเมฆที่ดูจะเหม่อลอยขึ้นมา “แกเอาไม้ตะพดไว้ไหน บอกชั้นมา” เมฆตาลอยหันมามองทิวา “ตกลงแกเป็นแค่ไอ้บ้าที่หลอกให้ชั้นเชื่อใช่มั้ย”
เมฆยังนิ่งไม่ตอบโต้ ทิวาโมโหจัดจะต่อยเมฆ ถึงเมฆจะเหม่อลอยแต่เมฆก็สามารถรับหมัดของทิวาได้ ทิวาตกใจ
“แกจะสู้ชั้นเหรอ อย่าคิดว่าชั้นไม่กล้าทำอะไรคนบ้านะ”
ทิวาสวนเมฆไปอีกหมัด เมฆก็รับหมัดของทิวาได้อีก ทิวาโมโหพยายามจะสู้เมฆให้ได้ แต่เมฆก็สู้กับทิวาอย่างเป็นต่อและเหนือชั้นกว่าเยอะ
“นี่แกไปเรียนวิชาพวกนี้มาจากไหนเนี่ย หรือพอเป็นบ้าก็เกิดเก่งขึ้นมาได้”
เมฆสู้ทิวานิ่งๆ แต่มือไวมาก ทิวาโมโหระดมทุกวิชามวยที่เขารู้ใส่เมฆ แต่เมฆก็รับได้หมดแถมยังจับทิวาล็อคคอได้อย่างง่ายดาย
“แกมันแค่ไอ้กระจอก แกไม่มีสิทธิ์มาทำกับชั้นแบบนี้นะ” ทิวาสะบัดเมฆออก “บนโลกนี้ไม่มีใครมีสิทธิ์มาดูถูกชั้นทั้งนั้น”
เมฆหายเหม่อขึ้นมา
“กลับมาแล้วเหรอลูก พ่อรอตั้งนานแน่ะ กินข้าวมารึยัง”
“โอ๊ยยย ตกลงแกไม่มีไม้ตะพดจริงๆ หรอกใช่มั้ย แกก็แค่ไอ้บ้า ชั้นไม่น่ามาเสียเวลาด้วยเลย” ทิวาผลักเมฆ คราวนี้เมฆไม่ต่อสู้จึงล้มลงไปตามแรงผลัก “ทีแบบนี้ล่ะไม่หลบ แกมันบ้าจริงๆ”
ทิวาเดินหงุดหงิดออกไปจากบ้าน
คืนนั้นอบเชยนอนก่ายหน้าผากคิดไม่ตกเรื่องของเมฆ
“อยู่ๆ ลุงเมฆจะสติฟั่นเฟือนได้ยังไงกัน แกก็อยู่กับพวกเราตลอด กินก็กินด้วยกัน นอนก็นอนด้วยกัน จะมีก็แต่...สมุนไพรถอนคำสาปของพันเทพ หรือว่า...” อบเชยนึกถึงตอนที่สมุนพันเทพกินสมุนไพรแล้วมีอาการมึนๆ ยา “ใช่...ตอนนั้นไอ้สมุนที่กินก็ดูเบลอๆ ต้องใช่แน่ๆ มันเป็นแผนของพันเทพที่หลอกให้กินสมุนไพรของมันสินะ ร้ายจริงๆ”
คืนเดียวกันนั้นที่บ้านพันเทพ แพรวาเปิดประตูห้องออกมาที่หน้าห้องมีสมุนเฝ้าอยู่สองคน
“คุณหนูจะไปไหนครับ” สมุนถาม
“นี่ไม่ไปหลับไปนอนกันบ้างเหรอ”
“รอจนกว่าคุณหนูจะหลับครับ”
แพรวาทำทีหาว
“ชั้นว่าชั้นจะนอนแล้วล่ะ”
แพรวาปิดประตูแล้วปิดไฟขึ้นเตียงนอน สมุนเปิดประตูแง้มเข้ามาดูพอเห็นแพรวาปิดไฟนอนหลับแล้ว สมุนจึงพยักหน้าให้กันแล้วปิดประตู แพรวาได้ทีลุกมาแง้มดูไม่เห็นสมุนแล้วเธอจึงเปิดไฟหยิบโทรศัพท์โทรหาไกรทันที
ขณะนั้นที่บ้านเจ๊กี เจ๊กีกำลังจะเข้านอนไกรชงโสมให้กินก่อนนอน
“ดื่มเยอะๆ นะม้าจะได้หายเร็วๆ”
“มีลื้ออยู่ก็หายเร็วอยู่แล้ว” เสียงโทรศัพท์ไกรดังขึ้น ไกรหยิบจะรับแต่พอเห็นชื่อแพรวา ไกรชะงัก เจ๊กีสงสัย “ใครโทรมา”
“เอ่อ คงพวกโทรผิดน่ะครับ พักนี้มีคนโทรผิดมาบ่อย”
“แล้วนี่จะปล่อยให้มันดังแบบนี้เหรอ”
“รับก็เสียเวลาเปล่าครับ ช่างมันดีกว่า” แพรวารอให้ไกรรับ แต่ไกรก็ไม่รับซักที “เดี๋ยวผมไปนอนก่อนนะครับแม่”
“ได้ๆ”
ไกรเดินออกจากห้องไป
ไกรกลับมาที่ห้องแล้วดูมิสคอลที่แพรวาโทรมา เขารีบโทรกลับทันที
โทรศัพท์แพรวาสั่นครืดๆ โชว์สายเรียกเข้าเป็นชื่อไกร แพรวาเห็นแล้วดีใจจะกดรับแต่ราตรีเปิดประตูเข้ามาพอดี แพรวารีบเอาโทรศัพท์ยัดไว้ใต้หมอนทันที
“นี่นางตัวแสบ พ่อให้เอาโทรศัพท์มาเปลี่ยนให้เธอ” ราตรียื่นโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ให้
“เปลี่ยนทำไม”
“ก็ไปทำเรื่องอะไรไว้ล่ะ หนีตามผู้ชาย ทำเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล เอาเครื่องเก่ามานี่ เอาเครื่องนี้ไปใช้เร็ว ไม่งั้นชั้นจะฟ้องพ่อนะว่าเธอไม่ทำตามคำสั่ง”แพรวาจำใจหยิบโทรศัพท์เครื่องเก่ายื่นให้ราตรี “ทีนี้คอยดูซิ จำเบอร์ก็ไม่ได้ ผู้ชายก็ไม่รู้เบอร์ใหม่จะทำยังไงต่อ” ราตรียิ้มเยาะ “สมน้ำหน้า”
ราตรีกลับออกไปพร้อมปิดประตูห้องปัง แพรวาได้แต่เศร้าอยู่คนเดียว เมื่อแพรวาไม่รับสายไกรทิ้งตัวนอนอย่างหงอยๆ
วันต่อมาอบเชยมาบ้านพันเทพ อบเชยเดินดุ่มๆ เข้าไปในสนามหน้าบ้านอย่างไม่กลัว ขณะนั้นทิวากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ สมุนเห็นอบเชยจึงกรูเข้าไปจะห้าม
“พ่อนายกลับมารึยัง” อบเชยถามทิวา
“มีแขกมาเยี่ยมแต่เช้าเลย ดีจัง... บอกแม่บ้านให้เอากาแฟมาหน่อยไป” ทิวาสั่งสมุน
“ไม่ต้อง ชั้นไม่กิน”
“น่า กินหน่อยเถอะ ไม่งั้นเธอคงไม่ได้พบพ่อชั้นแน่” ทิวาพยักหน้าให้อบเชยดูสมุนที่ตอนนี้มาล้อมเธอเต็มไปหมดแล้ว อบเชยทำอะไรไม่ได้ต้องยอมกินกาแฟกับทิวา “พวกนายถอยไปห่างๆ ไป” สมุนขยับออกไป ทิวาพูดคุยกับอบเชยต่อ “เธอมีธุระอะไรกับพ่อชั้น ถ้าบอกชั้นดีๆ ชั้นอาจจะให้เธอเจอพ่อก็ได้”
“ชั้นจะมาขอสมุนไพรรักษาพ่อไม้” ทิวาหัวเราะ
“ไอ้เป๋ที่ตอนนี้กลายเป็นบ้าไปแล้วน่ะเหรอ”
“เธอรู้เรื่องพ่อไม้ได้ยังไง”
“ทำไมจะไม่รู้ เสียสติขนาดมาคิดว่าชั้นเป็นลูก ขำชะมัด”
“ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะพ่อเธอทำนั่นแหละ”
“แล้วเธอเป็นลูกมันรึไง ถึงต้องมาเดือดร้อนแทน ทำไมไม่ให้ไอ้ไม้มาเองล่ะ”
“จะช่วยหรือไม่ช่วย ถ้าไม่ ชั้นก็จะเข้าไปหาพ่อเธอเอง”
“เธอคิดว่าพ่อชั้นจะบอกเธอง่ายๆ เหรอ ใช้สมองคิดบ้างสิอบเชย ตอนนี้มีแต่ชั้นเท่านั้นแหละที่จะช่วยเธอได้”
“งั้นก็ช่วยซะสิ”
“มันจะง่ายไปหน่อยละมั้ง ในเมื่อยาที่จะรักษาพ่อไอ้ไม้ ทั้งหมู่บ้านนี้มีแต่พ่อชั้นคนเดียวที่รู้ มันคงต้องมีอะไรแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่ากว่านั้นสิ”
“เช่นอะไร”
ทิวามองแหวนกระดุมที่อบเชยใส่
“เช่นว่า...เธอต้องมาเป็นคนรักของชั้นคนเดียว”
“ทุเรศ หาคนรักเองไม่ได้แล้วก็มาบังคับคนที่ไม่มีทางเลือก”
“ถ้าเธออยากว่าชั้น เธอเอาตัวเองให้รอดก็แล้วกัน”
อบเชยจ้องหน้าทิวาต่างคนต่างไม่ยอมกัน
สมุนพาอบเชยออกมานอกบริเวณบ้านแล้วยืนกั้นเป็นแนวไม่ให้เข้าไปอีก ทิวาเดินมาพูดยั่ว
“คิดดูให้ดีละกันนะอบเชย พ่อชั้นน่ะมีสูตรสมุนไพรรักษาคนเล่มใหญ่ เป็นตำราของต้นตระกูลชั้นคิดขึ้นมาเอง ไม่มีใครหน้าไหนจะมีและทำได้เหมือนกับพ่อชั้นอีกแล้ว”
อบเชยกัดฟันเดินหันหลังจากมา
“ใครจะไปยอมเป็นแฟนกับแก ไอ้คนเลว เอาแต่ได้ ฉวยโอกาสได้ทุกสถานการณ์ ไม่มีทางหรอก”
ที่บ้านเมฆ ขณะนั้นเมฆกับไม้นั่งกินข้าวด้วยกัน ไม้ตักข้าวให้เมฆ
“กินเยอะๆ นะพ่อนะ” เมฆนั่งนิ่งมอง แล้วก็เอามือหยิบอาหารกิน “พ่อ ทำไมไม่ใช้ช้อนล่ะ” ไม้หยิบ
ช้อนใส่มือเมฆ สอนให้เมฆกินข้าว “กินแบบชั้นนี่ไง ตักเอาเข้าปากนะ” เมฆทำตามไม้ “ทีนี้เคี้ยวนะ เคี้ยว”
เมฆเคี้ยวตามไม้ไปด้วย ไม้มองพ่ออย่างท้อๆ เมฆทำช้อนหล่น ไม้ก้มลงไปเก็บให้ก็เห็นกางเกงพ่อตนเป็นคราบฉี่ ไม้พยายามตั้งสติกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“พ่อ ชั้นขอตัวไปข้างนอกแป๊บนึงนะ”
เมฆพยักหน้ารับรู้
อ่านต่อหน้า 3 เวลา 12.00 น.
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 9 (ต่อ)
ไม้เดินออกมาหน้าบ้าน เขากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ทั้งสงสารพ่อและเวทนาตัวเองจับใจ อบเชยเดินมาพอดีจึงเห็นไม้กำลังร้องไห้ อบเชยใจหายตกไปตาตุ่ม ไม้รู้ตัวว่าถูกมองจึงหันไปมองอบเชยยื่นมือไปแตะหลังไม้ ไม้ถึงกับร้องไห้โฮกับเธอ
“ไม้เป็นอะไรรึเปล่า”
“อาการของพ่อหนักขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้จะทำยังไง”
“ใจเย็นๆ นะ มันต้องมีทาง” อบเชยพูดปลอบใจ
“ชั้นสงสารพ่อเหลือเกิน”
อบเชยลูบหลังไม้พยายามปลอบโยน เธอคิดถึงข้อเสนอของทิวาขึ้นมาทันที
ที่ท่ารถบขส.จันทร์สไลด์ตัวออกมาจากการซ่อมรถใต้ท้องรถก็เจอกับอบเชยที่ยืนรออยู่
“อ้าวอบเชย มีอะไร”
“ขอคุยด้วยซักแป๊บนึงสิ”
จันทร์กับอบเชยมานั่งคุยกันที่ม้าหิน
“ลุงเมฆเป็นหนักขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงว่าสิไม่มาทำงานเลยไอ้ไม้ก็หายหัว”
“ตั้งแต่ชั้นรู้จักไม้มาตั้งแต่เด็ก ชั้นไม่เคยเห็นน้ำตาของไม้มาก่อน คราวนี้มัน...”
“ชั้นเข้าใจ ไอ้พันเทพนี่ก็เลวได้ไม่สิ้นสุดจริงๆ”
“ถ้ามีวิธีไหนที่แม้จะต้องเสี่ยงแต่มันอาจจะช่วยไม้ให้มีความสุขมากกว่านี้ได้ ชั้นจะทำ”
“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกมั้งอบเชย มันจะกลายเป็นว่าไม่มีใครเลยที่มีความสุขนะ”
“ก็ดีกว่าให้ชั้นมีความสุขอยู่คนเดียว โดยที่เห็นคนที่ชั้นรักเจ็บปวด...นี่จันทร์ ถ้าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ ชั้นฝากนายดูแลไม้ด้วยนะ อย่าให้ไม้ต้องเจอเรื่องแย่ๆ อีก”
“แล้วเธอล่ะ...”
“เธอรับปากสิว่าจะไม่ทิ้งไม้ไปไหน”
“อืม”
อบเชยมองเหม่อออกไป มีแผนการอะไรบางอย่าง
ทางด้านทิวา ขณะนั่งอยู่ในห้อง ม่านขยับลู่ไปมาเหมือนมีคนเดินผ่าน ทิวาคุยกับเวตาล
“แน่ใจนะว่าแผนนี้จะได้ผล”
“แน่นอน”
“แต่อบเชยอาจจะไม่...”
“เชื่อข้าเถอะ นางมาแน่ เพียงแต่เจ้าต้องใจเย็น”
“แล้วเจ้าหาสมุนไพรนั่นได้จริงรึเปล่าล่ะ”
“เจ้ายังสงสัยในตัวข้าอีกเหรอ”
“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ปรากฏตัวซักที”
“ข้ากำลังอยู่ในภาวะของการเปลี่ยนแปลงรูปร่างน่ะสิ ข้ามั่นใจนักว่าไม่มีใครอยากเห็นข้าในเวลาเช่นนี้หรอก”
“แต่เจ้าแปลกไป...”
“เช่นไรเล่า”
“ตอนข้าเจอเจ้าครั้งแรก เจ้าเคยกลัวแสงอาทิตย์”
“เพราะเลือดที่เจ้าหาให้ข้า...ทำให้ร่างกายของข้าเริ่มกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง”
“ดังนั้นเจ้าจงตอบแทนชั้นในสิ่งที่ชั้นอยากได้ด้วยเหมือนกัน”
เสียงโทรศัพท์มือถือทิวาดังขึ้น เขากดรับแล้วยิ้มออกทันทีเมื่อเห็นว่าคนที่โทรเข้ามาคืออบเชย
ทิวาออกมาเจอกับอบเชยที่รออยู่ที่ลานวัด
“ชั้นมาฟังข่าวดี”
“เงื่อนไขที่ชั้นต้องเจอคืออะไรบ้าง”
“เลิกยุ่งเกี่ยวกับไอ้ไม้อีกเด็ดขาด”
“แต่ชั้นกับไม้ยังไงก็เพื่อนกัน”
“เข้าใจคำว่าเด็ดขาดมั้ย”
“แล้วยังไง”
“อาการของอัลไซเมอร์ที่พ่อไม้เป็นน่ะ ต้องรักษาด้วยยาระยะยาว”
“แล้วลุงเมฆจะหายได้ยังไง”
“ชั้นจะทยอยส่งยาให้ทุกอาทิตย์ โดยไม่ระบุผู้ส่ง ทั้งหมดนี้แลกกับเธอแค่สองเงื่อนไขคือเป็นคนรักของชั้น...คนเดียว และสองทำตามสั่ง”
“อืม”
“ดังนั้นอย่างแรกที่เธอต้องทำคือถอดแหวนในมือนั่นออกซะ”
“ห๊ะ”
“ถอดสิ”
“แต่นี่แค่ของไม่มีราคาอันนึงเท่านั้น”
“แต่ชั้นรู้ว่ามันเป็นของไอ้ไม้ ถอดมา” อบเชยจำใจถอดแหวนที่ตนทำขึ้นเองให้ทิวาอย่างไม่สบอารมณ์นัก “แล้ววันนี้เธอไปกินข้าวกับชั้น”
อบเชยต้องจำใจไปกินข้าวกับทิวาอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
อีกด้านหนึ่งขณะนั้นแพรวามานั่งกินอาหารที่ร้านอาหารอย่างเหงาๆ อยู่คนเดียว จนกระทั่งไกรพาเจ๊กีเดินเข้ามาในร้าน
“ร้านนี้อาหารใช้ได้นะครับม้า”
“ลื้อรู้ได้ไง มากินบ่อยเหรอ มากินกับใคร”
“แค่เคยผ่านมากินน่ะ”
ไกรพาเจ๊กีไปนั่งโต๊ะใกล้ๆ กับแพรวา แพรวาเหลือบเห็นไกรก็ดีใจ แต่พอหันไปมองก็มีสมุนคุมอยู่มากมาย ไกรเองหันไปเห็นแพรวาก็ดีใจเช่นกันแต่ก็มีเจ๊กีอยู่ด้วย
“ลื้อมองอะไรอาไกร อั๊วคุยด้วยมองอั๊วนี่”
ไกรก้มหน้างุดไม่พูดไม่จา แต่ไกรกับแพรวาก็แอบมองกันตลอด
ทิวาพาอบเชยมาอวดกับทุกคนที่ตลาด
“จำไว้ นี่แฟนชั้นนะ ใครห้ามยุ่งเด็ดขาด นี่แฟนชั้น”
“ทำไมต้องประกาศด้วย” อบเชยถามอย่างไม่พอใจ
“แล้วทำไมจะประกาศไม่ได้ ก็ให้ทุกคนมันรู้เอาไว้ไง ของๆ ชั้น...ใครมายุ่งชั้นเอาตายแน่”
ไม้เดินถือของมาเต็มไม้เต็มมือจะกลับบ้าน เจอทิวายืนขวางทางพอดี ไม้หยุดแล้วตาก็ไปชำเลืองเห็นอบเชย
“อบเชย ไปทำอะไรตรงนั้น โดนพวกมันรังแกเหรอ”
อบเชยนิ่ง ไม่กล้าสบตาไม้ ทิวาหัวเราสะใจ
“โดนรังแกอะไรเล่า อบเชยเค้าเต็มใจมาหาชั้นเอง” ทิวาหยิบแหวนของอบเชยขึ้นมา “ดูนี่สิ...นี่มันกระดุมของใครนะ”
ไม้มองแหวนนิ่งแล้วมองหน้าอบเชย อบเชยไม่พูดอะไรออกมาซักคำเอาแต่ก้มหน้าไม่พูดไม่จา ทิวาทิ้งแหวนลงกับพื้นแล้วใช้เท้าขยี้จนพัง
“เป็นไงล่ะ ชั้นคงไม่ต้องพูดอะไรมากนะ”
“อบเชย นี่มันหมายความว่ายังไงน่ะ”
อบเชยเอาแต่ก้มหน้าไม่พูด
“อบเชยคงลำบากใจที่จะตอบ แต่ตอนนี้ชั้นกับอบเชยตกลงคบเป็นแฟนกันแล้ว”
“ชั้นไม่ฟังคำพูดแก...จริงเหรออบเชย” ไม้หันไปถามอบเชย อบเชยนิ่งในที่สุดก็พยักหน้า “หมายความว่าไง...ชั้นงงไปหมดแล้ว”
“ก็หมายความว่าแกมันตกกระป๋องไปแล้วไงล่ะ ไอ้หน้าโง่”
ทิวาหัวเราะสะใจ แล้วยื่นมือมาจับอบเชย อบเชยไม่ปฏิเสธ
“ไปกันเถอะอบเชย ก่อนที่ชั้นจะหมั่นไส้กระทืบมันซะก่อน”
“นี่หมายความว่าที่ผ่านมาเธอหลอกชั้นมาตลอดงั้นเหรอ”
อบเชยไม่พูดอะไรเดินจากไปพร้อมกับทิวา ทิ้งไม้ให้ยืนเก้ออยู่คนเดียวในตลาด ไม้ทำอะไรไม่ถูกนัก ชาวบ้านต่างพากันมองไม้ทนยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้จนต้องรีบเดินออกไปอย่างเจ็บปวด
เมื่อกลับมาบ้าน ไม้หั่นผักเพื่อทำกับข้าวแล้วเขาก็นึกถึงภาพอบเชยที่จับมือกับทิวา ทำเอาไม้ไม่มีสมาธิจนมีดบาดมือตัวเอง ไม้หงุดหงิดโยนมีด โยนผัก นั่งเครียด เมฆเดินงงๆ เข้ามา
“นี่เธอเป็นใคร เข้ามาในบ้านชั้นได้ยังไง”
“นี่ชั้นไม้ไงพ่อ ไม้เอง”
“หิว”
“เดี๋ยวชั้นทำกับข้าวให้นะ รอก่อนนะพ่อนะ”
เมฆนั่งลงรอกับพื้น
“เสร็จรึยังล่ะ”
ไม้เครียดเป็นสองเท่ากับเรื่องอบเชยและเรื่องเมฆ เขาทรุดตัวลงนั่งคล้ายกำลังหมดแรง
ทิวาพาอบเชยมานั่งบนรถ อบเชยหันหน้ามองออกนอกหน้าต่างน้ำตาไหลออกมา ไม้เครียดเรื่องพ่อจึงออกมาทำใจที่หน้าบ้าน ระหว่างนั้นทิวาขับรถพาอบเชยผ่านหน้าบ้านเมฆ
“ขับมาแถวนี้ทำไม” อบเชยถามอย่างแปลกใจ
“สะใจดีออก”
ทิวาขับรถผ่านหน้าบ้านเมฆ ไม้ที่ยืนอยู่หน้าบ้านมองเห็นรถทิวากับอบเชยพอดี อบเชยกับไม้สบตากัน อบเชยหลบสายตาไม้ไม่กล้ามองหน้าเขา เสียงหัวเราะเยาะเย้ยของทิวาดังมาจากในรถไม้กล้ำกลืนมองจนลับสายตา
อบเชยมองไม้ผ่านกระจกมองหลัง เธอต้องหลับตาลงเพราะไม่อยากมองเห็น
“โอ๊ยยย ปวดใจ” ทิวาหัวเราะอย่างสะใจ
“ถ้าพอใจแล้วก็หุบปาก ชั้นอยากอยู่เงียบๆ”
อบเชยทรมานใจอย่างบอกไม่ถูก ผิดกับทิวาที่ยิ้มสะใจ
ไม้เดินเศร้าๆ เข้าไปในบ้านเมฆเห็นจึงถามขึ้นมา
“นั่นใครน่ะ” ไม้รู้สึกเจ็บปวดกับคำถามนี้
“นี่ผมเองพ่อ”
“ผมน่ะใคร”
“ไม้ ลูกพ่อไง”
เมฆเดินมาดูไม้ใกล้ๆ
“ไม่ใช่ เธอไม่ใช่ทิวาลูกชั้น” ไม้พูดไม่ออก “ออกไปนะ เธอไม่ใช่ทิวา”
“ทิวาไม่ใช่ลูกพ่อ ผมต่างหากที่เป็นลูกพ่อ”
“อย่ามาโกหก แกต้องการอะไร”
เมฆถอยหนีไม้ ไม้เดินเข้าหา
“พ่อดูสิ ผมลูกพ่อจริงๆ”
“ไม่ใช่” เมฆผลักไม้ออก
“พ่อ”
ไม้จะเข้าไปกอดเมฆ แต่เมฆคิดว่าไม้กำลังจะทำร้ายเขา เมฆจึงใช้วิชามวยอัดไม้จนกระเด็นออกมา
“อย่าเข้ามานะ”
“พ่อ ชั้นเอง”
เมฆโจมตีไม้ด้วยวิชาที่เขาสอนไม้เอง ไม้ไม่สู้เมฆเลยพยายามจะห้ามแต่เมฆก็ตีความไปว่าไม้จะสู้ เขาเลยทำร้ายไม้จนเลือดกำเดาไหลออกมา แต่ก็ไม่เท่ากับน้ำตาของความเสียใจ
“พ่อกำลังทำร้ายชั้นด้วยวิชาที่พ่อสอนชั้นเองงั้นเหรอ?”
“สอนเหรอ”
“ลูกผู้ชายไงพ่อ พ่อจำได้มั้ย ไม้ตะพดวิญญาณไง”
เมฆเริ่มนิ่ง เหม่อลอยคิดอีกครั้ง
“ไม้ตะพดวิญญาณ ลูกผู้ชาย”
พอได้ยินคำว่าไม้ตะพดและลูกผู้ชายก็ทำให้เมฆสงบลง แต่ไม้ก็ไม่ได้คลายความหนักใจเลย ไม้มองเเมฆที่เหม่อลอยอย่างหนักใจ
ทางด้านแพรวากับไกร ทั้งคู่ต่างลำบากใจจึงได้แต่แอบมองกัน ไกรถือเมนูสั่งอาหารเจ๊กีไม่เห็น ไกรจึงแอบเขียนบางอย่างลงบนเมนูอาหาร แพรวาหันมาเห็น
“ม้าจะสั่งอะไรเพิ่มเติมอีกมั้ยครับ”
“โอย แค่นี้ก็เจี่ยไม่หมดแล้ว”
“งั้นแค่นี้ก่อนครับ”
เด็กเสิร์ฟรับเมนูอาหารจะเดินไป แพรวายกมือเรียกเด็กเสิร์ฟ
“น้องคะ ขอเมนูหน่อยค่ะ”
เด็กเสิร์ฟยื่นเมนูให้แพรวา แพรวารับมาเปิดอ่านเห็นคำว่า “ผมคิดถึงคุณ” ที่ไกรเขียน แพรวาอมยิ้มทั้งคู่มองตากัน แพรวาหาปากกาขึ้นมาเขียนบ้าง ไกรมองเห็นเมื่อแพรวาเขียนเสร็จก็ยื่นให้เด็กเสิร์ฟที่รออยู่
“โทษทีนะ ชั้นไม่สั่งแล้ว”
ไกรยกมือขึ้นบ้าง
“น้อง ทางนี้ขอเมนูอีกครับ”
“ลื้อจะสั่งอะไรอีก”
“เรายังไม่ได้สั่งของหวานกันเลยนะม้า”
“ลื้อจะให้ความดันขึ้นตายรึไง ให้อั๊วเจี่ยของหวานน่ะ”
เด็กเสิร์ฟเอาเมนูมาให้ไกร ไกรเปิดออกอ่าน ด้านในเขียนต่อจากข้อความเขาว่า “ฉันก็คิดถึงคุณ” ไกรยิ้ม
“ลื้อยิ้มอะไรอาไกร อ่านเมนูแค่นี้”
“ผมว่าของหวานมันหวานไปหน่อย ม้าอย่ากินเลยนะ”
ไกรกับแพรวาแอบสบตายิ้มให้กัน
เมื่อกลับมาบ้านแพรวานั่งดูรูปไกรอยู่ในห้อง พันเทพเปิดประตูพรวดเข้ามาแพรวาตกใจเอารูปไกรซ่อนด้านหลัง
“ทำอะไรอยู่น่ะ”
“เปล่าค่ะ”
“แล้วนั่นซ่อนอะไรไว้ด้านหลัง” แพรวาอึกอัก “เอามันมาให้พ่อ”
แพรวาลำบากใจแต่ก็ต้องส่งรูปไกรให้พ่อ พันเทพมองดูรูปนิ่งๆ แล้วส่งคืนแพรวา แพรวาไม่กล้าสบตาพ่อตน
“เดี๋ยววันนี้แพรวาเข้าไปเดินเรื่องที่พรรคแทนพ่อหน่อย”
“ค่ะ”
“พวกเอกสาร เดี๋ยวพ่อจะให้คนเตรียมไว้ให้”
“ค่ะ”
“คงไม่ได้มีนัดที่ไหนใช่มั้ย”
“เปล่าค่ะ”
“งั้นก็ไปได้แล้ว”
แพรวารีบเดินออกไปจากห้องอย่างเกรงๆ พันเทพ พันเทพมองตามแพรวาที่เดินออกไปจนพ้นสายตา เขาเดินมาหยิบรูปไกรที่แพรวาวางไว้บนโต๊ะ ขยำมันจนยับยู่ยี่
“พวกแกเข้ามานี่ซิ” พันเทพตะโกนเรียกสมุน สมุน 2-3 วิ่งเข้ามาในห้อง “พวกแกไปเตรียมคนให้พร้อม ชั้นจะไปถล่มไอ้พวกบขส.ให้ราบเลย”
“นายครับ ทุกครั้งที่เราบุกบขส. มันจะต้องมีไอ้ลูกผู้ชายเสนอหน้ามาช่วย ทำให้เราไม่เคยทำสำเร็จซักครั้งนะครับ”
พันเทพนึกถึงตอนที่ปล่อยไม้ตกหน้าผา
“มันไม่มีลูกผู้ชายอีกแล้ว”
พันเทพพูดทั้งเจ็บปวด ทั้งเจ็บแค้น
ขณะนั้นที่ท่ารถบขส.จันทร์กับชาญกำลังขัดถูรถของเมฆกันอยู่
“นี่พี่เมฆไม่อยู่ เราจะยังต้องมาเช็ดล้างซะเนี้ยบแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย”
“ไอ้ไม้มันฝากไว้ ย้ำอยู่นั่นว่าให้ดูแลเท่าชีวิต รถเก่าขนาดนี้แล้วยังจะหวงอีก”
“ก็เพราะมันเก่านี่แหละมั้ง เลยต้องดูแลมากหน่อย ไม่งั้นเดี๋ยวหลุดเป็นชิ้นส่วนซะ”
ชาญพูดจบเขาก็รู้สึกแปลกๆ ที่หนังตาขวา จันทร์สังเกตเห็น
“เป็นอะไรน่ะพี่ชาญ”
“อยู่ๆ ก็ตากระตุก”
“ขวาร้ายซ้ายดี ใช่มะ”
“จะทักทำไมวะเนี่ย เดี๋ยวก็เกิดเรื่องจนได้”
“พี่เชื่อเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ งมงายไปรึเปล่า”
เสียงเอะอะดังมาจากท่ารถบขส.ทั้งคู่หันไปมอง
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” จันทร์ถามอย่างแปลกใจ
“ก็เพราะเอ็งทักที่ข้าตาขวากระตุกนั่นไง เรื่องร้ายๆ ก็มาเลย”
พันเทพลงจากรถมาพร้อมกับสมุนมากมาย จันทร์ ชาญ เดินออกมาดูจึงเห็นถังขยะที่ถูกรถพันเทพชนกระเด็นล้มระเนระนาด ต้นเหตุของเสียงที่จันทร์กับชาญได้ยิน
“เจ๊กีอยู่มั้ย” พันเทพถามหาเจ๊กี
“มีธุระอะไร”
“ไม่ใช่เรื่องของพวกแก”
“ถ้าจะมาหาเจ๊กีเฉยๆ ทำไมต้องพาคนมาเยอะขนาดนั้นด้วย”
“ชั้นไม่ได้บอกว่ามาหาเจ๊กีเลย”
“แล้วแกถามถึงเจ๊กีทำไม”
“ก็แค่คิดว่า ถ้ามันอยู่ก็ดี แต่คิดไปคิดมา...ถึงไม่อยู่ ก็ดีเหมือนกัน”
“หมายความว่าไง”
“ก็หมายความว่าชั้นไม่ได้ตั้งใจมาคุยกับใครน่ะสิ”
พันเทพพยักหน้าส่งสัญญาณให้สมุนบุก สมุนก็แห่เข้ารุมจันทร์กับชาญ ทั้งคู่รับมือด้วยทักษะที่มีซึ่งสูสีกับสมุนพันเทพ มีทั้งรุกและรับและพลาดบ้างในบางทีแต่ก็ยั้งพันเทพไว้ไม่ได้ พันเทพปล่อยให้จันทร์ กับชาญสู้ ส่วนตัวเขาก็เข้าไปด้านในบขส.
พันเทพเดินเข้ามาด้านใน มีสมุนตามมาประกบ พันเทพมองขึ้นไปบนรถของเมฆที่จอดอยู่
“ทำลายให้หมด”
สมุนบางคนพังข้าวของ บางคนไปลุยกับเด็กอู่คนอื่นๆ เจ๊กีเดินออกมาโวยวาย
“นี่มันอะไรกันเนี่ย”
พันเทพหันไปหาเจ๊กี
“โผล่มาจนได้นะ...จับมันไว้” พันเทพสั่งสมุน สมุนเข้าจับเจ๊กี เจ๊กีดิ้นไม่ยอม
“จะทำอะไรอั๊ว”
สมุนตบเจ๊กีสลบไป
ระหว่างนั้นไม้อยู่ที่บ้าน ไม้มองเมฆกับอาการเมฆที่หลงๆ ลืมๆ เขาถึงกับกุมขมับเครียดกับอาการของเมฆ เสียงคนเอะอะโวยวายผ่านไป ไม้มองตาม
“นั่นจะรีบไปไหนกันน่ะพี่”
“ตอนนี้น่ะที่บขส.แย่แล้ว ไอ้พันเทพพาพวกไปบุกไม่เหลือชิ้นดีเลย”
“พันเทพ? มันเรื่องอะไรกัน”
“ไม่มีใครรู้เลย อยู่ๆ มันก็มาบุก”
ชาวบ้านรีบวิ่งไป ไม้นิ่งคิด
“มันคงคิดว่าชั้นตาย แล้วพ่อก็เป็นแบบนี้ มันจะไม่มีลูกผู้ชายแล้วล่ะสิ”
เมฆเดินมาหาไม้
“มีอะไรเหรอ” เมฆถามไม้
“ไอ้พันเทพมันบุกที่บขส. ชั้นต้องรีบไปช่วยคนที่นั่น พ่อรออยู่นี่ ห้ามออกไปไหนเด็ดขาดนะ”
“พันเทพเหรอ?”
“พ่อต้องอยู่บ้านนะ อย่าออกไปไหน”
ไม้รีบวิ่งเข้าบ้านเพื่อเตรียมตัว เมฆยังยืนนิ่ง
“พันเทพ”
ส่วนเจ๊กีเมื่อฟื้นจากสลบจึงพบว่าตัวเองถูกจับมัดไว้ในห้องทำงาน พันเทพกำลังดูแฟ้มเอกสารงานบนโต๊ะ
“ลื้อต้องการอะไร”
“กิจการไปได้สวยนี่”
“อาพันเทพ เมื่อไหร่ลื้อจะเลิกตามจองล้างจองผลาญอั๊วซักทีห๊า อั๊วไปทำอะไรให้ลื้อนักหนา”
“แกคิดว่าชั้นรู้ไม่ทันแกเหรอ ต่อหน้าคนอื่นก็ทำเป็นคนดีมีน้ำใจ แต่แกน่ะส่งลูกชายมาวุ่นวายกับลูกสาวชั้น เพื่อจะทำลายกิจการชั้น”
“กิจการรถตู้เถื่อนของลื้อน่ะเหรอ อั๊วไม่ลดตัวไปยุ่งด้วยหรอกของเถื่อนๆ มันก็จะพังด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว อาไกรอีไม่สนใจเรื่องต่ำๆ หรอก”
“จะให้ชั้นเชื่อเหรอ งั้นบอกมาซิว่ามีเหตุผลอะไร ที่ลูกแกจะมายุ่งกับลูกชั้น”
“อั๊วไม่รู้ ยังกับอั๊วอยากให้มันไปยุ่งกับลูกลื้อนักงั้นล่ะ ผู้หญิงหยำฉ่าเลวเหมือนพ่อมัน” พันเทพหลังมือใส่เจ๊กี “ลื้อนี่มันเลวจริงๆ ทำร้ายได้กระทั่งผู้หญิง”
“อยากจะด่าอะไรชั้นก็ด่าไป แต่อย่าพูดอะไรเสียหายถึงลูกชั้น...ก็ได้ ถ้าแกไม่ยอมรับว่าแกส่งลูกแกไปทำลายกิจการ ไปทำลายครอบครัวฉัน ชั้นก็ขอทำลายอู่บขส.ของแกก่อนละกัน แกจะได้รู้ว่าอย่าคิดจะลองดีกับชั้น” พันเทพเอาไฟแช็คเผาแฟ้มเอกสารที่ตนถืออยู่ต่อหน้าเจ๊กี เจ๊กีได้แต่มอง “ออกไปจัดการให้เรียบร้อย” พันเทพสั่งสมุน
“อย่ายุ่งกะอู่ของอั๊วนะ”
สมุนไม่ฟังเจ๊กี รีบออกไปทำตามคำสั่งพันเทพ พันเทพมองหน้าเจ๊กีอย่างสะใจ
“ก็ถ้ามันพินาศหมดตัวแล้ว ก็ขายสัมปทานมาให้ชั้นก็ได้นะ เดี๋ยวชั้นดูแลต่อเอง”
พันเทพเดินยิ้มออกไป ทิ้งเจ๊กีที่ถูกมัดไว้ในห้อง
“ช่วยด้วย ใครเรียกตำรวจมาที ช่วยด้วย”
เจ๊กีตะโกนขอความช่วยเหลือ
ทิวาจอดรถริมถนน อบเชยไม่สบอารมณ์นัก อบเชยมองเห็นชาวบ้านแตกตื่นฮือฮากับบางอย่าง
อบเชยมองด้วยความอยากรู้ ชาวบ้านคนหนึ่งวิ่งผ่านตรงรถพอดี อบเชยเรียกไว้
“เดี๋ยวป้า เค้ามีเรื่องอะไรกันน่ะ”
“เห็นเค้าว่ากันว่า ที่บขส.โดนไอ้...” ชาวบ้านมองหน้าทิวา แล้วไม่กล้าพูดชื่อพันเทพ “โดนถล่ม”
“พวกไหนถล่ม”
ชาวบ้านมองหน้าทิวา ไม่กล้าพูด อบเชยพอเข้าใจ ชาวบ้านเกรงๆ ทิวา รีบแยกตัวไปอบเชยเปิดประตูรถจะลง
“นั่นเธอจะไปไหน” ทิวาถาม
“ชั้นก็จะไปช่วยคนอื่นจากเงื้อมมือพ่อเธอน่ะสิ”
อบเชยจะไป ทิวาพูดสวนขึ้น
“ชั้นไม่ให้เธอไปไหนทั้งนั้น เธอต้องอยู่กับชั้นที่นี่”
“นี่มันไม่ได้เป็นไปตามเงื่อนไขแล้วนะ เธอแค่ไม่ให้ชั้นเจอไม้...”
“แล้วคิดเหรอว่าชั้นไม่รู้ว่าที่เธอร้อนรนอยู่นี่ เพราะเป็นห่วงไอ้ไม้มากกว่าคนอื่นๆ ที่นั่น หรือเธอจะเถียง”
อบเชยเถียงไม่ออก
“ก็แล้วแต่จะคิด ชั้นไม่สนแล้ว”
อบเชยจะไป ทิวาพูดสวนขึ้นอีก
“ถ้าเธอไป สัญญาระหว่างเราจบ ชั้นจะปล่อยให้พ่อไอ้ไม้มันเป็นแค่คนบ้า ปัญญาอ่อนไปจนตาย เธอจะไม่ได้ยารักษาแม้แต่นิดจากชั้น”
อบเชยลำบากใจ สิ้นหวัง เธอต้องยอมจำนนอยู่กับทิวาอย่างนั้น
ส่วนที่ท่ารถบขส. จันทร์กับชาญ ต่อสู้กับพวกสมุนจนในที่สุดก็ปราบได้ทั้งหมด ทั้งคู่เหนื่อยหอบ
“รีบเข้าไปด้านในเถอะ ป่านนี้แย่แล้ว”
“ไป”
จันทร์กับชาญ รีบวิ่งเข้ามาในบขส. เห็นคนอื่นๆ ในบขส.ถูกทำร้ายบาดเจ็บ บางคนสลบ รถหลายคันถูกรื้อโยนอะไหล่ออกมากอง สมุนคนหนึ่งราดน้ำมันไปทั่วรถเมฆ ทั้งคู่หันไปเห็นพันเทพอยู่บนรถเมฆ
“นั่นไอ้พันเทพ เอาไงดี เรามีกันแค่สองคน”
“พี่ไปจัดการไอ้พวกสมุนมันก่อน เดี๋ยวชั้นขึ้นไปจัดการไอ้พันเทพเอง”
“เอ็งจะไหวเหรอ”
“ไม่ไหวก็ต้องไหว ยังไงพี่ก็รีบตามมาช่วยก็แล้วกัน”
ทั้งคู่พยักหน้าให้กันแล้วแยกย้าย ชาญเข้าไปจัดการสมุนคนอื่นๆ
พันเทพเดินอยู่บนรถดูรูปเมฆกับไม้ที่ติดอยู่ตรงคนขับ พันเทพมองดูไม้ในรูปเอานิ้วสัมผัสใบหน้าของไม้
“ไม่มีลูก ไม่ได้ไม้ตะพดวิญญาณ”
พันเทพตะโกนอย่างหงุดหงิด ทำลายข้าวของบนรถ ถีบเก้าอี้ หักกระจกมองหลัง พันเทพกำลังจะเอาเท้าถีบคันเกียร์ จันทร์ขึ้นมาบนรถพอดี
“แกจะจองล้างจองผลาญพวกเราไปถึงไหน”
“เก่งนี่ ที่ออกมาจากป่าอาถรรพ์ได้โดยไม่มีแผนที่”
“หึหึ ไม่มีแผนที่งั้นเหรอ”
“หัวเราะอะไร”
“หัวเราะที่แกน่ะ ช่างไม่รู้อะไร”
“ชั้นไม่รู้อะไร หมายความว่าไง” จันทร์ยิ้มไม่พูด พันเทพเข้ากระชากคอจันทร์ “พูดมา”
“เห็นคนร้อนรนอยากรู้มันน่าสนุกกว่าเยอะ”
“แก” พันเทพผลักจันทร์ล่ม แล้วใช้ไม้ตะพดของตนฟาดเข้าที่จันทร์ จันทร์เจ็บปวด “แกไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชั้น พูดมาอะไรที่ชั้นไม่รู้”
“แกฆ่าชั้นให้ตาย ชั้นก็ไม่บอก”
“อยากตายนักใช่มั้ย ได้”
พันเทพซ้ำจันทร์ด้วยไม้ตะพดเข้าไปอีก จันทร์พยายามสู้แต่ฝีมือคนละชั้น จันทร์พ่ายโดนไม้ตะพดฟาดกระแทกพื้นสลบไป ชาญกระโดดขึ้นมาบนรถไม่รอช้ารีบช่วยจันทร์ทันที แต่ปะมือกับพันเทพได้เพียงนิดหน่อย ชาญก็เสียท่าล้มลงไปกองอีกคน
“ไอ้พวกกระจอกเอ้ย ตายมันบนนี้ล่ะ”
พันเทพจุดไฟแช็คโยนลงบนคราบน้ำมันที่สมุนเทไว้ ไฟลุกพรึ่บ พันเทพไม่สนใจเดินลงจากรถไป
พันเทพเดินลงมาจากรถ ยืนมองไฟที่ไหม้แล้วก็หันหลังเดินจากไป
อบเชยชะเง้อมองไปที่ท่ารถ เห็นควันขโมงขึ้นบนฟ้าอบเชยยิ่งร้อนใจเป็นห่วง ทิวาถือดอกไม้มายื่นให้อบเชย
“นี่ของเธอ”
อบเชยมองหน้าทิวา ไม่รับดอกไม้ ไม่สนใจกระทั่งทิวา ชะเง้อมองที่บขส.อย่างเป็นห่วง ทิวาเจ็บใจเขวี้ยงดอกไม้ทิ้ง อบเชยหันมามอง
“อย่ามาเรียกร้องความสนใจด้วยวิธีแบบนี้เลย มันไม่ได้ผลหรอก”
ทิวาเจ็บใจที่โดนอบเชยว่า จึงเอาเท้าขยี้ดอกไม้จนเละไม่เหลือชิ้นดี
ควันเริ่มขโมงในรถชาญที่นอนกองกับพื้นค่อยๆ ลากสังขารไปช่วยจันทร์ที่นอนสลบ แต่ตัวเองก็ไม่ค่อยไหวนัก
“จันทร์ เอ็งฟื้นเร็ว จันทร์”
ชาญเอามือตบหน้าเพื่อปลุกจันทร์ให้ฟื้น แต่จันทร์ก็ยังแน่นิ่ง ชาญพยายามปลุกจันทร์ต่อไป แต่เห็นว่าจันทร์คงไม่ตื่นแน่ ชาญพยายามจะลากจันทร์ลงไปจากรถ แต่ความที่บาดเจ็บก็ไปไม่ค่อยไหว ควันเริ่มมากมายขึ้น ชาญเริ่มสำลักควันเขาหมอบลงต่ำจะทิ้งจันทร์ไปแต่ก็ทิ้งไม่ลง
ไม้ใส่ชุดลูกผู้ชายวิ่งเข้ามาเห็นรถของเมฆที่กำลังไหม้ไฟ
“ไม้ตะพด”
ลูกผู้ชายวิ่งเพื่อรีบไปที่รถก็มีสมุนพันเทพมาขวางตามรายทาง
“เฮ้ย ลูกผู้ชาย ลืมพกไม้ตะพดมาเหรอ”
แต่ลูกผู้ชายก็จัดการเหล่าสมุนได้ไม่ยากนัก พอจัดการเสร็จลูกผู้ชายรีบวิ่งไปที่รถทันที ลูกผู้ชายมาถึงรถจะรีบเข้าไปเอาไม้ เจอจันทร์นอนสลบกับชาญที่สำลักควันอาการแย่ ลูกผู้ชายมองไปที่คันเกียร์ เห็นไฟลามไปแถวๆ นั้นแล้ว ไม้มองไม้ตะพดห่วงๆ แต่จันทร์กับชาญก็กำลังแย่ ลูกผู้ชายตัดสินใจวิ่งไปทางท้ายรถช่วยจันทร์กับชาญก่อน
“ลูกผู้ชาย ช่วยจันทร์ก่อน” ชาญบอก ลูกผู้ชายช่วยจันทร์ออกไปนอกรถ
ลูกผู้ชายวางจันทร์ในที่ปลอดภัย แล้วจะวิ่งกลับไปที่รถแต่มีคนร้องให้ช่วย เพราะโดนซากรถทับอยู่
ลูกผู้ชายต้องรีบเข้าไปช่วย
ระหว่างนั้นไฟไหม้ใกล้ถึงคันเกียร์แล้ว ลูกผู้ชายรีบขึ้นมาบนรถช่วยพยุงชาญออกมา
“ไม่เป็นไร แค่นี้ก็พอ ไปช่วยคนอื่นเถอะ”
ลูกผู้ชายส่งชาญลงบันไดรถไปแล้วฝ่าควันเข้าไปเพื่อหยิบไม้ตะพด ลูกผู้ชายสำลักควันหมดสติไป แต่เขาก็รู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่นเหมือนมีใครลากเขาออกไป
ระหว่างหมดสติไม้ถูกถอดหน้ากากลูกผู้ชายออก
อ่านต่อหน้า 4
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 9 (ต่อ)
พันเทพเดินกลับมา ก็เห็นว่ารถทั้งหมดทุกคันยางแบนหมด ลูกผู้ชายบาดเดินกระเผกนิดหน่อยคล้ายเมฆที่เจ็บขา
“นี่มันอะไรกันเนี่ย ทำไมยางรถเป็นแบบนี้” แล้วลูกผู้ชายก็ปรากฎตัวออกมา“ลูกผู้ชาย ทำไม… ก็ไม้ตายไปแล้ว ไอ้เมฆก็บาดเจ็บนี่” พันเทพรำพึงแล้วนึกถึงตอนที่ให้สมุนไพรเมฆไป แล้วเมฆยังไม่กิน “ถ้ามันกินสมุนไพร มันก็ควรจะความจำเสื่อม”
ลูกผู้ชายไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ เขาเป็นฝ่ายบุกพันเทพไม่ยั้ง พันเทพก็รับมือ ทั้งคู่สู้กันอย่างดุเดือด ไม่มีใครยอมใคร
ไม้ในชุดธรรมดารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเห็นหน้าชาญที่กำลังจ้องเขาอยู่
“ไม้ เป็นยังไงบ้าง”
ไม้ค่อยๆ เรียกสติตัวเองให้กลับมา
“ไม้เหรอ” ไม้คิดได้ว่าตัวเองแต่งเป็นลูกผู้ชายอยู่ก่อนหน้านี้ คิดว่าความลับแตก “เรียกชั้นว่าไม้เหรอ หมายความว่าทุกคนรู้ความจริงแล้วว่าชั้นเป็น...” ไม้คลำหาหน้ากากไม่มี มองชุดตัวเองก็ไม่ใช่ชุดลูกผู้ชาย
“เอ็งเป็นอะไรของเอ็ง เพี้ยนรึไง”
“ชุดล่ะ หน้ากาก”
จันทร์ที่บาดเจ็บฟื้นแล้ว เข้ามาสมทบกับชาญอีกคน
“เฮ้ย...แค่สำลักควันสมองเสื่อมเลยเหรอวะ”
“สองคน ไม่เป็นอะไรแล้วนี่”
“เออ ดีนะลูกผู้ชายมาช่วยไว้ ไม่งั้นคงแย่...ว่าแต่แกเถอะโผล่มาตอนไหน มาถึงก็มานานสำลักควันเลยรึไง”
ไม้นึกถึงไม้ตะพดที่กำลังจะไหม้ไฟ
“แย่ละ”
ไม้รีบวิ่งขึ้นไปที่รถ ไม้วิ่งขึ้นมาดูบนรถไฟมอดไปแล้ว แต่คันเกียร์ว่างเปล่าไม้ตกใจ
“เกียร์ เกียร์รถไปไหน ไหม้ไฟไปแล้วเหรอ”
“ชั้นก็ไม่รู้ ตอนชั้นขึ้นมาดับไฟ เกียร์มันก็ไม่อยู่แล้ว ไม่รู้ว่าไอ้พันเทพมันหยิบติดมือไปรึเปล่า แต่นี่ดีนะรถไม่เสียหายอะไรมาก ที่เห็นควันขึ้นเยอะๆ เพราะมันไหม้ยางน่ะ”
“ทำไมเป็นแบบนี้”
ไม้เจ็บใจ ไม้รีบวิ่งออกไปชาญไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ที่หน้าท่ารถพันเทพกับลูกผู้ชายยังสู้กันอย่างไม่รามือ
“ชั้นอยากรู้นักว่าแกคือใครกันแน่”
ลูกผู้ชายไม่พูดไม่จาไม่ตอบใดๆ ต่อสู้ไม่ยั้งมือ จนเสียงหวอรถตำรวจดังแว่วมา
“เฮ้ย ใครกล้าแจ้งตำรวจวะ”
พันเทพล่อกแล่กจะหนี ลูกผู้ชายขวางไว้ แต่พันเทพก็ใช้ความฉลาดแกมโกง คว้าชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นมาเป็นโล่ ผลักเข้าหาลูกผู้ชายทำเสียหลัก แล้วพันเทพก็รีบวิ่งหนีหายไปก่อนตำรวจจะมาถึง ชาวบ้านที่ถูกใช้พันเทพเป็นเครื่องมือสกัดลูกผู้ชายเห็นตำรวจมารีบเล่าเหตุการณ์ทันที
“คุณตำรวจครับ ไอ้พันเทพตัวก่อเรื่องเลยมันใช้ผม ทำให้ลูกผู้ชาย” ชาวบ้านหันไปหาลูกผู้ชาย ปรากฏว่าลูกผู้ชายหายไปแล้ว “อ้าว...”
“คุณบอกว่าใครเป็นตัวก่อเรื่องนะ”
“พันเทพ”
ตำรวจมองหน้ากันมีเลศนัย
“ทำไม ผมพูดอะไรผิดเหรอ”
ไม้วิ่งทะเล่อทะล่าออกมาหน้าบขส.
“ไอ้พันเทพล่ะ ใครเห็นไอ้พันเทพบ้าง”
“หายแว้บไปเลย เร็วยังกับผีแน่ะ”
ไม้จะวิ่งตามพันเทพไป
“เดี๋ยวก่อน คนที่อยู่ในที่เกิดเหตุอย่าเพิ่งไปไหนทั้งนั้น ขอให้เจ้าหน้าที่ได้สอบสวนก่อน” ตำรวจบอก
“แต่...”
“มีพิรุธนะเนี่ย จะไม่ให้การเนี่ย”
“คือ...”
ไม้ได้แต่ชะเง้อมองหาพันเทพ อยากตามไปใจจะขาด
ไม้ จันทร์ ชาญและตำรวจกำลังสอบปากคำกันอยู่ ไกรวิ่งพรวดเข้ามาในบขส.
“ม้า อาม้าล่ะ”
ไม้ จันทร์ ชาญมองหน้ากันงงๆ ไกรรีบเข้าไปดูห้องทำงานเจ๊กี ไกรเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงาน เจ๊กียังถูกมัดอยู่ที่เดิม ข้าวของในห้องกระจัดกระจายเต็มไปหมด
“ม้า”
“อาไกร”
ไกรรีบแก้มัดให้เจ๊กี
“นี่เจ๊เป็นคนแจ้งความรึเปล่า”
“ใช่”
“แล้วแจ้งยังไง โทรศัพท์ก็อยู่ตั้งไกล”
เจ๊กีพยักเพยิบให้ดูเท้าตัวเอง บอกเป็นนัยๆ
“อั๊วน่ะ ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว”
“เจ็บตรงไหนรึเปล่าม้า”
“เจ็บตัวน่ะเรื่องเล็ก เจ็บใจนี่สิ ลื้อรู้มั้ยวันนี้อาพันเทพมันมาเพราะอะไร เพราะเรื่องที่ลื้อไปวุ่นวายกับลูกสาวมัน อั๊วบอกลื้อแล้วใช่มั้ยอาไกร อั๊วห้ามลื้อแล้ว ทีนี้ลื้อเห็นรึยังว่ามันพาความเดือดร้อนมาให้แค่ไหน เลวทั้งพ่อทั้งลูก”
“แต่...”
“ไม่ต้องมาแต่แล้ว ลื้ออยากเห็นอั๊วเจ็บตัวกว่านี้รึไง ห๊า” ไกรนิ่งเถียงไม่ออก ไม้ จันทร์ ชาญ เดินเข้ามา “พวกลื้อเข้ามาก็ดีแล้ว ให้การกับตำรวจไปเลยว่าเรื่องเป็นมายังไง ตำรวจอีกจะได้ตามไปจับไอ้พันเทพให้มันรู้แล้วรู้รอด อาจันทร์ เดี๋ยวลื้อโทรตามประกันให้อั๊วด้วย”
“ครับเจ๊”
ตำรวจจดรายงานความเสียหายทั้งหมดลงแฟ้มโดยมีไม้ จันทร์ ชาญเดินตาม
“เดี๋ยวทางเราคงต้องสืบหาหลักฐานที่แน่ชัดก่อนนะครับ”
“ห๊า หลักฐานที่แน่ชัด แค่นี้ยังไม่ชัดพออีกเหรอครับ”
“เราเห็นความเสียหาย แต่ไม่มีหลักฐานไหนอ้างไปถึงตัวผู้ต้องสงสัยเลย”
“จะไม่มีได้ยังไง รถที่เสียอยู่ข้างหน้าบขส.น่ะ ลองเช็คทะเบียนดูได้เลยว่าชื่อใคร”
ทั้งหมดออกมาที่หน้าท่ารถแต่ตอนนี้ไม่มีรถพันเทพเหลืออยู่แล้ว
“รถ...มันจอดอยู่ตรงนี้ หายไปไหนแล้ว”
จันทร์เดินไปถามชาวบ้าน
“รถพันเทพที่จอดตรงนี้ หายไปไหนแล้ว”
ชาวบ้านไม่มีใครกล้าพูดซักคน
“มันจะเป็นไปได้ไง ไม่มีใครเห็น รถตั้งคันเบ้อเริ่ม”
“กลิ่นมันชักจะไม่ดีแล้วนะคุณตำรวจ”
“ผมก็ทำตามหน้าที่นะครับ ตอนนี้พวกคุณไม่มีหลักฐาน พยานก็ล้วนแต่เป็นคนในอู่เองทั้งนั้น ผมก็คงเดินเรื่องอะไรได้ไม่มาก นอกจากคุณมีหลักฐานมาเพิ่มเติม”
“เฮ้ย พูดแบบนี้ได้ไงวะ”
ตำรวจสองนายเดินจากไปทิ้งทั้งสามคนไว้
“เรื่องนี้ต้องมีนอกมีในแน่ๆ” จันทร์บอก
“เอาน่าอย่าเพิ่งมองโลกในแง่ร้าย”
“นี่ถ้าไม่ได้ลูกผู้ชายช่วยไว้ พวกเราคงแย่ เราคงหวังพึ่งพวกนี้ไม่ได้หรอก”
ไม้ได้ยินชื่อลูกผู้ชาย ไม้นึกขึ้นได้
“ลูกผู้ชาย...ไม้ตะพด ชั้นขอตัวก่อนนะ”
ไม้รีบทิ้งทุกคนไปอย่างไม่ร่ำไม่ลา
“อ้าว เฮ้ย ไอ้นี่”
“ว่าแต่เอ็ง จะไปโรงพยาบาลซักหน่อยมั้ยล่ะ”
“พี่ก็ไม่ได้ดีไปกว่าชั้นเลยนะสภาพน่ะ”
“ทำแผลซักหน่อยก็ดีเหมือนกัน”
จันทร์กับชาญกอดคอกันไปโรงพยาบาล
ทางด้านพันเทพเมื่อกลับถึงบ้าน พันเทพนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นทำความสะอาดเนื้อตัวนิ่งๆ สมุนเดินเข้ามาหา
“ตกลง จัดการเรียบร้อยมั้ย”
“เรียบร้อยครับนาย รถที่ยางแบน เราก็ให้รถไปยกกลับมาเรียบร้อยครับ”
“แล้วพวกตำรวจ”
“เรียบร้อยครับ ยังไงตำรวจก็ไม่กล้ายุ่งกับนักการเมืองอยู่แล้ว”
“ก็ดี” พันเทพยิ้มมุมปาก “ออกไปได้แล้ว”
สมุนเดินออกไปตามคำสั่ง พันเทพคิดถึงลูกผู้ชายที่ต่อสู้กับเขาวันนี้
“มันคือใครกัน ไอ้ลูกผู้ชายคนนั้น”
ไม้กลับมาที่บ้าน เตรียมตัวจะไปทวงคืนไม้ตะพดจากพันเทพ
“บุกบ้านไอ้พันเทพโดยไม่มีไม้ตะพด เราต้องมีอาวุธติดตัวไปด้วย”
“กลับมาแล้วเหรอ”
“พ่อ พ่อเก่งมากนะที่อยู่บ้านเองได้ แต่เดี๋ยวชั้นต้องออกไปอีกที พ่ออยู่รอที่บ้านอีกแป๊บนึงนะ”
ไม้รีบเดินจะไปหาอาวุธ
“ไฟไหม้ ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย”
ไม้ชะงักเมื่อได้ยินสิ่งที่เมฆพูด
“พ่อรู้ได้ยังไงว่าไฟไหม้ พ่อไปที่นั่นมาเหรอ”
“พันเทพมันเป็นคนไม่ดีนะ ระวังไว้”
ไม้คิดถึงคนที่ช่วยเขาตอนเกือบจะหมดสติสำลักควัน
“พ่อ พ่อไปที่อู่มาใช่มั้ย”
“ไอ้พันเทพ ต้องอยู่ไกลๆ มัน”
“พ่อตั้งสติหน่อยสิ”
“ระวังพันเทพนะ”
“ไม้ตะพดอยู่กับพ่อรึเปล่า พ่อเอากลับมาด้วยมั้ย”
เมฆเงียบไม่ตอบอีก ไม้ร้อนใจเดินไปทั่วบ้าน ไม้เดินผ่านตู้เสื้อผ้าเขาสะดุดตาเห็นชุดลูกผู้ชายแขวนอยู่
“ชุด...” ไม้หันหาเมฆ “ใช่พ่อจริงๆ ด้วย พ่อไปช่วยชั้น พ่อจำลูกผู้ชายได้ พ่อไปต่อสู้มา ใช่มั้ย” เมฆยังเหม่อลอยคิดอะไรไม่ออก ไม้ค้นในตู้มีแต่ชุด ไม่มีไม้ตะพด “พ่อเอาไม้ตะพดวิญญาณมาด้วยใช่มั้ย”
เมฆได้ยินคำว่าไม้ตะพด เขาก็นึกอะไรได้
“ไม้ตะพด คันเกียร์”
“ใช่พ่อ ไม้ตะพดนั่นน่ะพ่อเอามาใช่มั้ย” เมฆทำท่าต่อสู้ “ใช่ พ่อเอามาใช่มั้ย” เมฆพยักหน้า “อยู่ไหนล่ะพ่อ พ่อเก็บไม้ตะพดไว้ที่ไหน”
เมฆตาลอยคิดไม่ออก
“ไม่รู้”
“พ่อ”
ไม้อ่อนใจกับอาการพ่อ เมฆเดินขากระเผกออกไป ไม่สนใจ
สมุนพันเทพบาดเจ็บหลายคนทำให้สมุนในบ้านร่อยหรอ แพรวาเห็นคนน้อยจึงแอบย่องออกมาจากบ้านตนเองเพื่อไปหาไกร ขณะนั้นไกรพาเจ๊กีมาพักที่บ้าน
“ม้าพักก่อนนะ เรื่องที่อู่เดี๋ยวผมจัดการให้ม้าเอง”
“ลื้ออย่าลืมเรื่องที่ม้าย้ำนะ อย่าไปยุ่งกับลูกอาพันเทพอีก” ไกรไม่กล้าตอบตกลง “ลื้ออยากให้อั๊วเจ็บตัวมากกว่านี้ใช่มั้ย อยากให้อาพันเทพบุกมาฆ่าอั๊วถึงบ้านรึไง ลื้อไม่เห็นเหรอว่าที่อู่เป็นยังไง”
“ครับม้า ผมจะไม่ยุ่ง”
เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น
“ใครมาน่ะ ไม่รู้เวล่ำเวลาเลย”
“เดี๋ยวผมไปดูให้เองครับม้า”
“เออ”
ไกรปลีกตัวจากเจ๊กีไป
แพรวายืนยิ้มอยู่หน้าบ้าน ไกรเดินมาเห็นว่าเป็นแพรวาถึงกับเครียด
“คุณเป็นยังไงบ้าง ชั้นคิดถึ...”
“คุณกลับไปซะเถอะ” แพรวาชะงัก
“ทำไม”
“คุณยังจะมาถามว่าทำไมอีกเหรอ พ่อคุณทำอะไรไว้ รู้ตัวบ้างมั้ย”
“พ่อชั้น พ่อทำอะไร”
“พ่อคุณพาพวกไปถล่มขู่แม่ผม ไม่ให้ผมไปยุ่งกับคุณอีก”
“ชั้น...ขอโทษ”
“ขอโทษอะไร ไม่มีประโยชน์หรอก เรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว”
“คุณโกรธชั้น เพราะสิ่งที่พ่อชั้นทำงั้นเหรอ”
“คุณกลับไปเถอะ ผมไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดร้อนอีกโดยเฉพาะแม่ผม”
“ชั้นขอโทษ ชั้นไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง”
“ไปซะ ทุกอย่างจะจบ”
“ถ้าชั้นเจ็บ...แล้วเรื่องมันจะจบจริงๆ รึเปล่า” ไกรเบือนหน้าหนีไม่ตอบ “มันไม่น่ามีความทรงจำระหว่างเราเลย เราไม่น่าไปติดอยู่ในป่าด้วยกันเลย”
“ถ้ามันจะมีอะไรซักอย่างผิดพลาด คือเราไม่น่าเจอกันเลยต่างหาก”
ไกรหันหลังให้แพรวาเดินจะกลับเข้าบ้าน
“ถ้าคุณจะทิ้งความรู้สึกทั้งหมดไว้ตรงนี้ ชั้นขอเก็บมันกลับไปก็แล้วกันมันไม่ผิดอะไร มันไม่สมควรจะโดนทิ้งอย่างไร้ค่าแบบนั้น”
ไกรเจ็บปวดกับคำพูดของแพรวา แต่เขาก็ไม่หันกลับไปมอง แพรวาเดินจากไปอย่างเศร้าๆ แพรวาหันมามองไกรจากด้านหลังไม่มีวี่แววที่เขาจะหันมา แพรวาเดินจากไปพอแพรวาเดินจากไปแล้ว ไกรมองอย่างเศร้าๆ
อบเชยมาที่อู่รถในขณะที่ไม่มีใครเธอมองซากรถเมฆที่โดนไฟไหม้ อบเชยดินสัมผัสรถไปทั่วคันอย่างเศร้าๆ เมื่อนึกถึงตอนที่เธอมาหาไม้ตอนที่ไม้ถูกเมฆขังไว้ในรถ อบเชยเดินขึ้นมาบนรถเมฆเห็นรอยไฟไหม้ตามจุดต่างๆ เธอเศร้า
“ชั้นไม่ได้เป็นคนปกป้องเธออีกแล้ว...” อบเชยคิดถึง ตอนที่เธออยู่ที่อู่นี้เห็นไม้เห็นเมฆทำความสะอาดรถคันนี้ “ไม้กับลุงเมฆคงรักรถคันนี้มากเลยสินะ”
อบเชยมองดูรถที่มีรอยไหม้ไปทั่วคันแต่ก็ไม่ได้มากนัก
ขณะนั้นไม้ยังเที่ยวค้นหาไม้ตะพดไปทั่วบ้านแต่ก็ไม่เจอ ส่วนเมฆนั่งกินข้าวอยู่บนโต๊ะ
“มากินข้าวเร็วลูก”
“ชั้นกินไม่ลงหรอก ถ้าชั้นหาไม้ตะพดไม่เจอ พ่อ…พ่อจำไม่ได้เลยเหรอว่าไม้ตะพดอยู่ไหน”
เมฆนิ่งพยายามคิดตามที่ไม้บอกไม้ลุ้นคำตอบ
“อ้อ…W
“พ่อนึกได้แล้วเหรอ อยู่ไหนพ่อ”
“พ่อเจ็บขา”
ไม้ถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ
“ไม่รู้ว่าที่ไหนไม่เป็นไร แต่มันอยู่กับเราหรืออยู่กับพันเทพ พ่อได้ให้ไม้ตะพดพันเทพไปรึเปล่า”
เมฆส่ายหน้า
“พันเทพเป็นคนไม่ดี ไม่ควรมีไม้ตะพด”
“งั้นแปลว่ามันอยู่กับพ่อ” เมฆพยักหน้า “ที่ไหนละพ่อ”
เมฆมองไปทั่วบ้านคิดตามไม้
“พ่อเจ็บขา” ไม้ถอนหายใจ
“เอาละ พ่อค่อยๆ คิดนะ ยังไม่ต้องตอบตอนนี้ก็ได้ ชั้นจะรอวันที่พ่อนึกออกนะ”
ไม้เดินไปหยิบยาแก้ปวดมาวางให้เมฆกิน
“กินยานะ จะได้หายเจ็บขา”
ไม้ถอนหายใจอย่างท้อๆ
ไกรเดินกลับมาที่ห้องทำงานแล้วนึกถึงสิ่งที่ทำกับแพรวาแล้วรู้สึกผิด ไกรหยิบโทรศัพท์โทรหาแพรวา แต่เสียงที่ตอบรับกลับมาบอกว่าเบอร์นี้ยกเลิกไปแล้ว ไกรเศร้า
“ผมขอโทษ”
ส่วนแพรวาเมื่อถึงถึงบ้านเธอนั่งร้องไห้อยู่ในห้อง จนกระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้น แพรวารีบปาดน้ำตาแล้วเปิดประตู จึงเห็นพันเทพยืนอยู่หน้าห้อง
“นั่นร้องไห้อยู่เหรอน่ะ”
“เปล่าค่ะ” พันเทพนิ่ง ไม่อยากเถียงลูก “พ่อมีอะไรรึเปล่าคะ”
“ก็แค่แวะมาหา”
“แวะมาหาเพราะอะไรคะ เพราะพ่อไป...” แพรวาไม่กล้าพูดต่อ
“จะพูดอะไร”
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”
“ก็ดีแล้ว บางอย่างคิดได้แต่ไม่ควรพูด โดยเฉพาะกับพ่อตัวเอง” แพรวานิ่งอย่างเกรงๆ พันเทพลูบหัวแพรวา “นอนได้แล้ว อย่าฟุ้งซ่าน”
พันเทพเดินจากไป แพรวามองตามอย่างเจ็บปวด
เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อจันทร์เดินเข้ามาในท่ารถ ก็เห็นอู่รถถูกเก็บกวาดจนสะอาด จันทร์งงๆ คนหลายคนถือกระป๋องสี ถังน้ำ กล่องเครื่องมือ กำลังจะเดินสวนออกไปจันทร์เรียกไว้
“พี่...พวกพี่เป็นใคร เข้ามาวุ่นวายอะไรในอู่”
“พวกเราเป็นลูกศิษย์ครูศรนารายณ์”
“เอ้า แล้วมาทำอะไรที่นี่”
“ก็อบเชยขอแรงให้มาช่วยเคลียร์ที่นี่ให้หน่อยพวกเราก็เลยมาช่วย ทำทั้งคืนเพิ่งเสร็จเนี่ย”
“อบเชย”
นักมวยเดินสวนออกไป
จันทร์เดินขึ้นมาบนรถเมฆ บนรถเมฆกลับมาเหมือนเดิมอบเชยนั่งหลับอยู่ที่เบาะคนขับ รถมีเกียร์แล้ว แต่ไม่ใช่เกียร์ไม้ตะพด...จันทร์เดินมาดูอบเชยอย่างเวทนา อบเชยสะดุ้งตื่น
“เช้าแล้วเหรอเนี่ย”
“เธอนี่มันจริงๆ เลยนะอบเชย”
“หมายความว่าไง”
“ก็ที่ทำอยู่นี่ไง”
“จันทร์ ชั้นขอร้อง อย่าไปบอกไม้นะว่าชั้นทำ”
“หึ? ทำไมบอกไม่ได้”
“เอาเหอะน่าบอกไม่ได้ก็คือบอกไม่ได้”
“ไม่มีเหตุผลนี่หว่า ชั้นไม่ช่วยหรอก”
“ถ้าเธอบอกไม้ ชั้นรับรองได้ว่าเธอจะเป็นคนทำให้ชั้นเดือดร้อนแน่ๆ ขอร้องอย่าพูดอะไร”
“เธอกับไอ้ไม้มีเรื่องอะไรกันเหรอ”
อบเชยส่ายหน้า
“ชั้นต้องไปแล้ว เพราะถ้ายิ่งออกไปสาย คนยิ่งเห็นชั้น เธอจะยิ่งพูดลำบาก”
“แล้วจะให้ชั้นพูดว่าอะไร ที่อยู่ๆ อู่ก็กลับมาเป็นปกติได้แบบนี้”
“เธอก็บอกว่าเธอทำคนเดียวก็แล้วกัน”
อบเชยรีบรุดออกไป จันทร์ยังยืนงง
“เฮ้ย แบบนั้นได้ไง ใครจะเชื่อเนี่ย”
จันทร์มองตามอบเชยออกไปอย่างหนักใจ
อีกด้านหนึ่งไกรมานั่งรอแพรวาอยู่ที่ร้านอาหารเผื่อว่าเธอจะมาทานอาหารที่ร้านนี้ แต่ก็ไม่มีวี่แวว ไกรจึงถามเด็กเสิร์ฟ
“ผู้หญิงสวยๆ ที่มาทานร้านนี้บ่อยๆ ยังไม่มาแน่นะ”
“ยังจริงๆ ครับ”
ไกรพยักหน้ารับทราบ แล้วนั่งรอต่อ
ขณะนั้นแพรวานั่งแกร่วอยู่บนโต๊ะอาหารคนเดียวเขี่ยข้าวไปมาไม่อยากกิน พันเทพลงมาเห็น
“นี่คนอื่นไปไหนกันหมดเนี่ย”
“ยังไม่ตื่นมั้งคะ”
“แล้วนี่เป็นอะไร”
“เปล่าค่ะ”
“ถ้าเบื่อนักก็ออกไปข้างนอก”
“ไปได้เหรอคะ”
“ได้ แต่ต้องไปกับพ่อ”
แพรวาจ๋อยๆ
ไกรยังนั่งอยู่ในร้านอย่างมีความหวังแล้วเขาก็เห็นแพรวาเปิดประตูเข้ามา ไกรดีใจรีบลุกไปหาทันที
“แพรวา” แพรวาสะดุ้งตกใจ “ที่ผมพูดไม่ดีเมื่อวาน ผมขอโทษ ผมรู้ว่าคุณกับพ่อไม่เหมือนกัน”
พันเทพเดินตามแพรวาเข้ามา
“แล้วชั้นมันไม่ดียังไงเหรอ” ไกรชะงักเมื่อเจอหน้าพันเทพที่มาด้วย พันเทพจ้องหน้าแพรวาดุๆ มองหน้าไกร “แม่เธอไม่บอกอะไรบ้างเลยรึไง”
“อย่ายุ่งกับแม่ผม ถ้าไม่พอใจอะไรเรื่องของผมก็มาทำผมนี่”
“พระเอกจริงๆ”
“แพรวากับผมน่ะ”
“หุบปาก ชั้นไม่อยากฟังอะไรจากแกทั้งนั้น”
“คุณต้องฟัง เพราะมันคือความจริง”
พันเทพตบหน้าไกรฉาดใหญ่
“ชั้นบอกว่าไม่ฟังไม่ได้ยินรึไง แกมันก็แค่ไอ้เด็กเมื่อวานซืนอย่ามาอวดดีสั่งสอนชั้น ชั้นรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร”
“คุณบังคับใจใครไม่ได้หรอก”
“งั้นเหรอ งั้นมาคอยดูกันว่าชั้นทำได้มั้ย”
พันเทพลงมือทำร้ายไกรไม่หยุดด้วยความโกรธ ไกรไม่สู้เลยแม้แต่นิดจนเขาลงไปนอนกองกับพื้นแพรวารีบเข้าไปห้าม
“พ่อ พอแล้ว”
“อย่ามายุ่งกับลูกสาวชั้น”
“คุณบังคับผมไม่ได้”
พันเทพหันมองแพรวา
“ถ้าลูกไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ก็อย่าดื้อกับพ่อ เข้าใจมั้ยแพรวา” แพรวาพยักหน้า ไม่อยากให้ไกรเจ็บตัวอีก “ไป”
พันเทพคว้าข้อมือแพรวา ออกไปจากร้าน ไกรที่นั่งกับพื้นมองตามอย่างสิ้นหวัง
ส่วนที่ท่ารถบขส.ไม้ขึ้นมาบนรถเมฆแล้วก็ต้องตกใจที่สภาพต่างไปจากที่โดนพันเทพทำไว้
“นี่เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
“อ๋อ ก็ช่วยๆ กันทำน่ะ”จันทร์บอก
“เร็วขนาดนี้เลยเหรอ”
“คนละไม้คนละมือ”
“ขอบใจมากนะเว้ย”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอบใจชั้นหรอก”
ไม้หันไปเห็นคันเกียร์ ดีใจ นึกว่าไม้ตะพด
“นั่นเกียร์ที่หายไป” ไม้ดึงคันเกียร์จนมันหลุดขึ้นมา
“อ๋อใช่ ชั้นหาอะไหล่มาเติมเองล่ะ นี่แกจะถอดออกมาทำไมวะ”
“ไม่ใช่”
“ใช่ไม่ใช่ไม่รู้ แต่นี่ต้องซ่อมใหม่เลยนะเนี่ย อบเชยอุตส่าห์...” จันทร์รีบปิดปากตัวเอง
“อบเชยเกี่ยวอะไรด้วย”
“เปล่า” ไม้ไม่พอใจที่ได้ยินชื่ออบเชยเดินออกไปจากรถ “อะไรวะ”
ไม้กลับบ้านมาพร้อมกับข้าว ไม้มองเมฆที่นั่งอยู่
“พ่อมากินข้าวมา”
“กลับมาแล้วเหรอ”
“พ่อนึกออกรึยังว่าพ่อเอาไม้ตะพดไว้ที่ไหน”
“ไม้ตะพดเหรอ” เมฆคิด ไม้ลุ้น “พ่อเจ็บขา”
ไม้ถอนหายใจแล้วนึกท้อ
“พ่อ ไม้ตะพดมันสำคัญกับเรามากนะ”
“พ่อเจ็บขา”
“พ่อเพิ่งกินยาแก้ปวดไปไม่ใช่เหรอ”
“เจ็บขา”
“ไหนมาดูซิ ไปโดนอะไรมา” ไม้ก้มลงไปจับขาของเมฆเพื่อดูว่าทำไมเมฆเจ็บขา ไม้คลำที่ขากางเกงก็พบว่าเจอท่อนไม้แข็งๆ อยู่ “ขาพ่อ ทไมเป็นแบบนี้”
ไม้คลำไปจนเริ่มจะเดาได้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ ไม้รีบจับขากางเกงถกขึ้นจึงเห็นไม้ตะพดผูกกับขาซ่อนอยู่ในนั้นเป็นเหตุให้เมฆต้องเดินขาเป๋ ไม้ยิ้มดีใจ
“พ่อไม่เคยให้ไม้อยู่ห่างตัวเลย ทำไมชั้นคิดไม่ได้นะ”
ไม้ยิ้มมีความสุข เมฆยังงงๆ ไม่ค่อยรู้เรื่องนัก
อีกด้านหนึ่งที่พรรคการเมืองพันเทพถูกหัวหน้าพรรคเรียกเข้าไปพบ และมีการคุยกันค่อนข้างตึงเครียด
“นี่คุณพันเทพ สายผมรายงานมาว่าคุณน่ะมีเรื่องไม่ดีให้ชาวบ้านครหาอยู่ตลอดเวลา ระวังตัวบ้างสิ ถึงว่าผลโพลที่ออกมาถึงแพ้ย่อยยับ”
“คือ...”
“ผมน่ะให้คุณมาอยู่พรรคของผม เพราะเห็นว่าเป็นที่นับหน้าถือตาในชุมชน เพราะตั้งใจจะวางแผนการเมืองระดับชุมชนให้ดี เพื่อหวังผลไปถึงการเลือกตั้งครั้งหน้าแต่นี่ยังไง...ผมดูคนผิดไปรึไง”
“ผมจะระวังตัวให้มากกว่านี้ครับ”
“จำคำพูดตัวเองไว้ให้ดีๆ นะ เพราะถ้าคราวนี้คุณพลาด ผมก็ไม่เอาคุณแล้ว” พันเทพหน้าเสีย หัวหน้าพรรคดูเครียด ไม่ไว้หน้า “ออกไปได้แล้ว”
พันเทพเดินหงุดหงิดกลับมาที่ขึ้นรถ แล้วปัดหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนเบาะจนกระเด็น
“ทำเป็นวางอำนาจ ขู่อย่างงั้นอย่างงี้... ชั้นพันเทพ ไม่ได้เกิดมาเพื่อจะอยู่ใต้อำนาจของใคร ถ้าชั้นได้ไม้ตะพดทั้งสองอันเมื่อไหร่ ชั้นไม่มีวันมาทำงานรับใช้แกหรอก”
คนขับรถมองพันเทพพูดผ่านกระจกมองหลัง พันเทพหันไปสบตาผ่านกระจก ทำเสียงกร้าวใส่
“มองอะไร ขับรถไป”
อ่านต่อตอนที่ 10 พรุ่งนี้