xs
xsm
sm
md
lg

ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 7

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แจ้งเพื่อทราบ :
เนื่องจากแฟนเพจเฟสบุ๊ค "ละครออนไลน์" มีปัญหาด้านเทคนิคบางประการ ทีมงาน “ละครออนไลน์” จึงจะทำการปิดภายในวันพรุ่งนี้ (พุธที่ 22 มีนาคม พศ. 2555) และจะดำเนินการเปิดใหม่ให้เร็วที่สุด โดยจะแจ้งให้แฟนๆ ที่ติดตามทราบเป็นระยะ จึงขออภัยมา ณ ที่นี้

ลูกผู้ชายไม้ตะพด  ตอนที่ 7

ไม้จัดการหมอคงจนล้มลงได้ในที่สุด สร้อยพระเป็นพวงที่คอหมอคงขาดกระเด็น หมอคงล้มลง ส่วนพวกซากผีที่ถูกปลุกขึ้นมาต่างหันมาสนใจหมอคงแทน หมอคงไล่แต่พวกผีไม่สนใจ ต่างก็รุมทึ้งหมอคงที่ล้มลงมึนหัวอยู่
 
ไม้หันมาอีกทีก็ไม่เห็นลูกผู้ชายและกุมารทองแล้ว เหลือแต่ไม้ตะพดวางนิ่งอยู่
“พ่อ”
ด้านเมฆฟื้นอีกทีในที่มืดมิด คลำไปเจอไฟแช็ค เมฆจุดไฟแช็คแล้วถอดสิ่งที่อำพรางหน้าตนออก เมฆมองไปทั่วเห็นเป็นที่แคบมากล้อมไปด้วยผนังไม้ปิดทึบ เมฆส่องไฟไปเห็นตัวเองนอนทับโครงกระดูกของศพนึงอยู่ เมฆตกใจแล้วก็ตั้งสติได้
“นี่ต้องเป็นโลงศพแน่ๆ เลย”
ขณะนั้นไม้ถือไม้ตะพดเดินไปทั่วป่าช้า ตะโกนเรียกหาเมฆ
“ลูกผู้ชาย ลูกผู้ชาย” เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับ “ลูกผู้ชายอยู่ที่ไหน ลูกผู้ชาย” ไม้เป็นห่วงพ่อมากขึ้น
“ลูกผู้ชาย ... พ่อ ... พ่อ”
เมฆอยู่ในโลงได้ยินเสียงไม้ รู้สึกดีใจ
“ไม้ ไม้ ไม้”
เมฆทุบโลงดังปังๆ เสียงดัง แต่ไม้กลับไม่ได้ยินเสียงอะไร
“พ่อ พ่ออยู่ไหน พ่ออยู่ตรงไหนน่ะ ส่งเสียงมานิดนึงก็ยังดีผมจะไปช่วย”
“ไม้ พ่ออยู่นี่ ได้ยินมั้ย”
เมฆตะโกนบอกแล้วทุบโลงอีกปังๆ แต่ไม้ได้ยินเพียงเสียงแผ่วๆ เท่านั้น ไม้เดินตามหาแหล่งกำเนิดของเสียงนั้น
“นั่นพ่อรึเปล่า พ่ออยู่ตรงไหน พ่อ พ่อ”
เมฆได้ยินเสียงไม้ตะโกนแว่วๆ เช่นกัน
“พ่ออยู่นี่ ไม้”
เมฆทุบฝาโลงอีก เมฆทุบฝาโลงจนเจ็บแผล ไม้ยังได้ยินเสียงปึงๆ อยู่
“พ่ออยู่ไหน พ่อ พ่อ เสียงเหมือนบางอย่างกระแทกกับไม้กระดาน”
ไม้มองไปตามโลงศพ ค้นดูตามโลงศพหลายโรงก็ไม่มี ไม้เริ่มกลัวพ่อจะเป็นอะไรแล้วเขาก็มองเห็นรอยเท้าของเด็กบนพื้น
“กุมาร”
ไม้เดินตามรอยเท้าเด็กไป ไม้เดินตามรอยเท้าเด็กไปหยุดอยู่ที่หลุมศพของเด็กคนหนึ่งซึ่งก็คือกุมารทองนั่นเอง
“นี่มันไอ้เด็กที่เป็นกุมารทองเมื่อกี้นี่” ไม้ดูพื้นดินบริเวณนั้นมันต่างจากบริเวณอื่น เพราะเหมือนเพิ่งถูกขุดใหม่ๆ “ตรงนี้แน่” ไม้เริ่มขุด “พ่อรอเดี๋ยวนะ ชั้นมาช่วยแล้ว”
ไม้รีบขุดเพื่อช่วยพ่อ
เมฆมองดูแผลของตัวเองที่เลือดไหลออกมา เขาไม่สบายใจ ขณะที่ไม้ก็รีบขุดดินเพื่อไปช่วยพ่อตนให้ได้ ไฟแช็คที่เมฆจุดค่อยๆ หมดจนมืดไป
“พ่ออย่าเป็นอะไรนะ ชั้นมาช่วยพ่อแล้ว พ่อ” ในที่สุดไม้ก็ขุดไปเจอโลงที่ฝังอยู่จนได้ ไม้พยายามงัดมันออกก็ไม่ได้ “พ่อ พ่อ พ่ออยู่ในนั้นมั้ย”
เสียงตอบของเมฆตอบออกมาให้ได้ยิน
“ไม้ นั่นไม้เหรอลูก”
“พ่อ ชั้นจะรีบหาอะไรมาเปิดไอ้โลงนี้ให้ได้”
ไม้มองซ้ายมองขวาไม่มีอะไรที่พอจะใช้ได้เลย เขานึกได้ถึงไม้ตะพดในมือ ไม้ใช้อำนาจไม้ตะพดทำลายฝาโลงศพจนแตกออก แล้วก็เห็นเมฆนอนอยู่ภายใน สองพ่อลูกโผเข้ากอดกัน
เมฆกับไม้ ยืนมองโครงกระดูกที่อยู่ในโลง ในโลงเต็มไปด้วยธูปเทียนและหัวกะโหลกก็ถูกเจาะแผ่นกะโหลกด้านหน้าหายไปเป็นวง
“กุมารนั่นคงอยากให้เราเจอสิ่งนี้”
“ไอ้หมอคงนี่ร้ายจริงๆ คนตายไปแล้วก็ยังแอบมาทำพิธี เอาไปทำกุมารเป็นทาสรับใช้ตัวเอง”
“ชั้นไม่เคยคิดมาก่อนเลยนะ ว่าเรื่องไสยศาสตร์พวกนี้จะเป็นเรื่องจริง” ทั้งคู่ช่วยกันปิดฝาโลง เมฆเจ็บแผลผ่าตัดของตน “พ่อเป็นอะไรรึเปล่า”
“เรารีบไปจากที่นี่เถอะ ก่อนที่ใครจะเห็นลูกผู้ชายตอนนี้”
เมฆกับไม้รีบกลับบ้าน ไม้พยุงเมฆเข้ามาในบ้าน
“พ่อนั่งก่อน พ่อเป็นยังไงบ้าง”
“ทนได้..แต่วันนี้ไม้ทำดีมากนะ”
“จริงเหรอพ่อ” ไม้ยิ้มภูมิใจ
“พ่อน่ะอ่อนแอเต็มทีละ มันคงถึงเวลาที่พ่อต้องมอบภาระสำคัญให้กับลูกจริงๆ ซักที”
“แต่ชั้นยังไม่เก่งขนาดนั้นนะพ่อ”
“พ่อเชื่อว่าลูกจะเก่งกว่าที่พ่อเห็นวันนี้อีก” ไม้ยิ้มภูมิใจ
วันต่อมาไม้กับเมฆมาที่ตลาด ไม้พยุงเมฆมาที่ร้านขายของชำ
“พ่อน่ะดื้อ บอกว่าไม่ต้องมาก็ไม่เชื่อ”
“มันทางผ่านอยู่แล้ว ไม่งั้นไม้ต้องไปส่งพ่อแล้วเดินย้อนกลับมาที่นี่อีก”
แต่แล้วทั้งคู่ก็ต้องตกใจ ที่จู่ๆ หมอคงก็โผล่มาประชิดเมฆกับไม้ หมอคงจ้องเมฆไม่ขยับ
“ลูกผู้ชาย แกคือลูกผู้ชาย”
ไม้กับเมฆหน้าซีด ชาวบ้าน คนขายของต่างหันมาดูตามเสียง เมฆกับไม้ อึกอัก ทำอะไรไม่ถูกคนขายหัวเราะ
“ไม่ต้องตกใจพี่เมฆ ไอ้หมอคงน่ะอยู่มันก็กลายเป็นบ้า”
“หมายความว่ายังไง”
“ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่ามีคนไปเจอมันนอนสลบอยู่แถวป่าช้าน่ะ สงสัยจะไปทำอะไรไม่ดี แต่โชคร้ายของเข้าตัวไปซะก่อน”
“แล้วหมอคงนี่มันพูดเรื่องอะไรอีกรึเปล่า”
“ก็ไม่นะ พูดถึงแต่ลูกผู้ชายเนี่ยแหละ คนหนอคน...กรรมแท้ๆ”
ทุกคนหันไปดูหมอคงที่ดูเลอะเลือนสติไม่ดี

คืนนั้นขณะที่ทิวาเดินผ่านหน้าห้องเก็บของ ทิวาได้ยินเสียงบางอย่างดังจากห้องเก็บของ
เสียงเหมือนการท่องคาถา มนต์ดำอะไรบางอย่าง
“เสียงอะไรน่ะ”
ทิวาเปิดประตูเข้ามาในห้องเก็บของ แล้วมองซ้ายมองขวาแต่ไม่เห็นอะไร เห็นมีเพียงตู้ใบหนึ่งที่ปิดอยู่ ทิวาเดินเข้าไปดู ทิวายิ่งใกล้ตู้เหมือนยิ่งถูกดูดพลัง พอทิวาสัมผัสกับตู้ เขาก็ได้ยินเสียงประหลาด
“ตำราหนังเสือของข้า พาข้าไปพบฤๅษี ตำราของข้า”
ทิวาเปิดประตูตู้ ก็มีตัวประหลาดแว่บออกมา
ทิวาสะดุ้งตื่นเป็นเวลาเช้าแล้วเขาถอนหายใจโล่งอก
“ฝันถึงตัวประหลาดนี่อีกแล้ว ...ตำราหนังเสือ อะไรของมัน”
แพรวากับราตรีนั่งทานอาหารอยู่ที่โต๊ะอาการ พันเทพเดินเข้ามานั่งที่หัวโต๊ะ
“ทิวาไปไหน”
“ตั้งแต่เช้าก็ยังไม่เห็นเลยค่ะพ่อ”
“แล้วเราล่ะเป็นยังไงบ้างทำงานที่วินรถตู้น่ะ” พันเทพถามราตรี
“น่าเบื่อ ไม่มีอะไรเลย พ่อให้ราตรีไปทำอย่างอื่นแทนได้มั้ย”
“มัวแต่เลือกงานแบบนี้ จะเก่งได้ยังไงล่ะ เพิ่งเริ่มต้นทำงานก็บ่นแล้ว” ราตรีหน้างอ “แพรวา...เดี๋ยวเย็นนี้ หัวหน้าพรรคจะเลี้ยงผู้สมัคร เดี๋ยวลูกไปกับพ่อหน่อย”
“ออกงานเหรอ ราตรีไปด้วยสิคะ”
“ไม่ต้องหรอก งานนี้เป็นงานใหญ่งานโต ต้องมีบัตรเชิญถึงจะเข้าได้เท่านั้น”
“แล้วแพรวามีบัตรเชิญไปงานรึไง”
“ลูกชายท่านรัฐมนตรีน่ะอยากพบกับแพรวา” พันเทถยิ้มภูมิใจ
“แต่พ่อคะ...”
“นี่ การเลือกตั้งครั้งนี้สำคัญกับพ่อมากนะ”
แพรวานิ่งเงียบไม่อยากขัดใจพ่อ ราตรีไม่พอใจ ทิวาเดินมานั่งที่โต๊ะ
“ขอโทษครับ พอดีผมตื่นสาย”
“เป็นอะไร ทำไมตื่นสาย”
“ไม่มีอะไรครับ แค่ฝันแปลกๆ”
“ถ้าไม่ได้เป็นอะไรก็อย่าผิดวินัยของบ้าน”
“ขอโทษครับ”
“พักนี้...พ่อดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเลยนะคะ เครียดเรื่องเลือกตั้งเหรอคะ”
“อืม...ก็หลายเรื่อง”
หลังจากทานอาหารเสร็จ พันเทพกลับเข้าห้องทำงานแล้วนั่งดูผลโพลที่ออกมาในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ปรากฏว่าคะแนนเขาตามมาเป็นอันดับที่ 2 ซึ่งทิ้งห่างจากคู่แข่ง พันเทพหงุดหงิด
“เสียเวลาหาเสียงขนาดนั้น โพลยังออกมาแค่ที่สอง แบบนี้มันได้ยังไงกัน” พันเทพนั่งเครียด แล้วก็คิดถึงเวตาลขึ้นมา “ไอ้เวตาลมันต้องรู้วิธี”
พันเทพเดินเข้ามาในห้องเก็บของ เขย่าตู้ที่ล็อค
“เวตาล เจ้าเวตาล แกยังอยู่ในนั้นชั้นรู้”
“เจ้าเอาอาหารมาให้ข้าใช่รึไม่”
“แกตอบมา ว่าการรวมตัวของไม้ตะพดสองอัน สามารถครองงำจิตใจคนได้รึเปล่า ชั้นสามารถสั่งให้ใครทำอะไรก็ได้เมื่อชั้นมีไม้ทั้งสองอันใช่มั้ย”
“ใจเย็นๆ ก่อนเพื่อนข้า เจ้าคิดจะมาถามข้อมูลโดยไม่ปล่อยข้าออกไป ให้ได้กิน ได้เป็นอิสระบ้างรึ”
“เจ้าทรยศ ชั้นจำเป็นต้องทำโทษให้เข็ดหลาบ แกตอบชั้นมาก่อนสิแล้วชั้นจะปล่อย”
“ย่อมได้ ... พลังของไม้ตะพดทั้ง 2 อันเมื่อรวมตัวกันนั้นมหาศาล เจ้าสามารถใช้พลังของมันทำในสิ่งที่ปรารถนาได้ทั้งนั้น”
“ดี ถ้างั้น ชั้นต้องได้ไม้ตะพดอีกอันมาก่อนการเลือกตั้ง”
“ถ้ามันทำได้ง่ายๆ แบบนั้น เจ้าคงได้ไม้ตะพดอีกอันมาครอบครองนานแล้วจริงรึไม่ ข้าว่าเจ้าต้องการผู้ช่วย”
พันเทพนิ่งคิด มองกุญแจ
ขณะนั้นแพรวาอยู่ในห้อง แพรวาเปิดตู้ดูเสื้อผ้าสำหรับใส่ไปงาน ราตรีเปิดประตูเข้ามา
“ทำเป็นทำท่าว่าไม่อยากไปงานกับพ่อ แต่ก็กลับเข้ามาเลือกเสื้อผ้า”
“เข้ามามีอะไร”
“ก็แค่เข้ามาปรึกษาว่าเธอน่ะทำยังไง ถึงได้หว่านเสน่ห์ผู้ชายไปทั่วได้ ไม่ว่าจะคนกระจอกอย่างไอ้ไม้ หรือกระทั่งลูกชายรัฐมนตรี”
“ชั้นก็แค่อยู่เฉยๆ ไม่ได้คิดร้ายอะไรกับใคร”
“นี่เธอว่าชั้นเหรอ”
“เปล่านี่ เธอร้อนตัวไปเอง”
“เธอคิดว่าเธอแน่รึไง เราเป็นแฝดกัน เธอไม่ได้มีอะไรดีไปกว่าชั้นหรอก”
“ชั้นก็ไม่ได้คิดอย่างงั้นนี่”
“แต่เธอทำ เธอทำทุกอย่างเพื่อให้เธอเหนือชั้น ทำทุกอย่างให้ทุกคนมาสนใจเธอ ตั้งแต่ตอนอยู่เมืองนอกละ ทั้งในโรงเรียนหรือจะตอนอยู่กับแม่ พอชั้นจะย้ายกลับมาเมืองไทย เธอก็ยังจะ ตามมาด้วย ทำไมไม่อยู่กับแม่ที่โน่นซะล่ะ ทำไมต้องตามมาแย่งความรักจากชั้นไปอีก”
ราตรีระเบิดอารมณ์ใส่แพรวา
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นพันเทพยังอยู่ที่ห้องเก็บของ
“เจ้ามีแผนอย่างไร” เวตาลถามพันเทพ
“ชิงไม้มาจากลูกผู้ชาย” เวตาลหัวเราะ “หัวเราะอะไร”
“แผนเจ้ามันช่างโง่สิ้นดี คนอย่างลูกผู้ชายถ้าไม่สิ้นลมก็คงไม่ปล่อยไม้ให้มาอยู่กับเจ้าหรอก”
“แล้วต้องทำยังไง”
“ฆ่ามันเสียสิ แล้วเจ้าจะหมดเสี้ยนหนาม”
“ฆ่า...”
“หากเจ้าได้ตำราหนังเสือกลับมาเมื่อไหร่ ข้าจะบอกวิธีฆ่ามันให้ แล้วเจ้าจะได้เป็นเจ้าของไม้ตะพดทั้งสองสมใจ”
“ดี...ชั้นเชื่อแก”
พันเทพจะเดินออกไปจากห้อง
“ทีนี้เจ้าปล่อยข้าออกไปจากตู้นี่สิ ข้าหิวเหลือเกิน”
“เอาไว้ให้แกทำความดีความชอบมากกว่านี้ก่อนสิ เลือดของชั้นที่แกมาแอบดูดกินคงอิ่มไปได้หลายวันน่า”
พันเทพหัวเราะแล้วเดินออกจากห้อง เวตาลโมโหทุบตู้ปึงปัง
“เจ้า เจ้าหลอกข้า คอยดูเถิด เจ้าไม่มีวันได้ไม้ตะพดสมใจหรอก คอยดู”
ขณะนั้นราตรียังอยู่ที่ห้องแพรวา แพรวาพยายามอธิบายเหตุผลกับราตรี
“ชั้นบอกเธอไปไม่รู้กี่ครั้งแล้วราตรี ว่าชั้นไม่เคยคิดอะไรแบบนั้น เธอคิดของเธอคนเดียว”
“งั้นก็ให้ชั้นไปพบลูกชายรัฐมนตรีแทนเธอสิ”
“จะทำยังงั้นได้ยังไง พ่อให้ชั้นไป เธอก็ได้ยิน”
“ก็ให้ชั้นปลอมตัวเป็นเธอไปก็ได้นี่ ไม่เห็นจะยาก”
“ถึงคนอื่นไม่รู้ เธอคิดเหรอว่าพ่อจะดูไม่ออก”
“นั่นไง เธอพยายามทำทุกอย่างให้เหนือชั้น พยายามจะกีดกันชั้น ไม่ต้องมาปฏิเสธ” แพรวาทำหน้เเบื่อ “ไม่ต้องมาทำท่าทางแบบนั้นเลยนะแพรวา เธอคอยดูเถอะ ชั้นจะแย่งทุกอย่างมาจากเธอให้หมด”
ราตรีอาละวาด มือปัดกรอบรูปที่ทั้งคู่ถ่ายด้วยกันบนโต๊ะแพรวาหล่นลงพื้น พอกรอบรูปแตกราตรีก็เห็นรูปที่ซ่อนอยู่ด้านหลังโผล่ออกมา ราตรีเก็บขึ้นมาจึงเห็นเป็นรูปไกร ราตรียิ้มออกมาแพรวาแย่งรูปคืนไป ราตรีทำหน้าเจ้าเล่ห์
“อย่ายุ่งกับคุณไกรนะ”
“คิดว่าชั้นจะเชื่อมั้ยล่ะ”
ราตรียิ้มแล้วเดินออกไป แพรวาไม่สบายใจ
ทางด้านพันเทพหลังออกจากห้องเก็บของ พันเทพก็พาสมุนมาบ้านเมฆ สมุนคนหนึ่งไปดูที่ประตู ปรากฏว่าล็อคกุญแจ
“ประตูบ้านล็อค ไม่น่ามีใครอยู่ครับ” สมุนหันมาบอกพันเทพ
“งั้นก็ดี พังเข้าไปค้นให้ทั่วว่ามันเก็บตำราหนังเสือไว้ไหน ยิ่งถ้าเจอไม้ตะพดยิ่งดี”
สมุนกรูเข้าไปพังบ้านเมฆ แล้วลุยเข้าไป พันเทพยืนดู
ขณะนั้นเมฆกับไม้อยู่ที่ชายป่า เมฆยื่นชุดลูกผู้ชายพร้อมหนังเสือที่ถูกพับเรียบร้อยให้ไม้
“ฝากลูกทำหน้าที่นี้แทนพ่อด้วย”
“ครับพ่อ”
“พ่อไม่มีอะไรจะสอนลูกอีกแล้ว ต่อจากนี้ลูกจงฝึกฝนด้วยตัวเองให้หนัก”
ไม้พยักหน้ารับ
“ผมสงสัยอย่างนึงครับพ่อ”
“เรื่องอะไร”
“ตระกูลของเราได้ไม้ตะพดมาครอบครองได้ยังไง”
“เรื่องมันเกิดตั้งแต่สมัยทวดของลูกน่ะ ทวดเป็นพรานที่ชอบตระเวนล่าสัตว์ในป่าต่างๆ มีป่าแห่งหนึ่งที่ชาวบ้านเรียกกันว่าป่าอาถรรพ์ ทุกคนที่เข้าไปไม่มีวันได้กลับมา”
“ทวดเข้าไปในป่าอาถรรพ์เหรอครับ”
“ใช่ ด้วยนิสัยกล้าหาญ ไม่ฟังใคร ทวดเลยเข้าไป ทวดหายไปนาน แล้วก็กลับออกมา...ไม่มีใครรู้ว่าทวดเจออะไรบ้าง เพราะทวดเหมือนกับคนเสียสติ แต่ทวดออกมาพร้อมกับไม้ตะพดที่บอกกับปู่ของลูกว่าต้องเก็บรักษามันให้ดีที่สุด”
“แล้ว...ป่านั่น มีใครเคยเข้าไปหาความจริงรึเปล่า”
“ไม่มี เพราะพอทุกคนเห็นอาการของทวด คนๆ เดียวที่กลับออกมาได้ แต่กลับเสียสติทุกคนยิ่งขยาดเกินกว่าจะเข้าไป”
“มันอาจจะมีความลับบางอย่างซ่อนไว้ก็ได้”
“แต่มันอาจจะเสี่ยงเกินไปที่จะเข้าไป”
“ก็จริง”
“เอาล่ะ เราไปจากที่นี่เถอะ พ่อจะพาลูกไปเอาสิ่งสุดท้ายที่ลูกควรจะได้”
“ไม้ตะพด”
เมฆพาไม้ไปเอาไม้ตะพด ระหว่างนั้นอบเชยเดินถือปิ่นโตมาที่บ้านเมฆ
“ทำบัวลอยเผือกมาฝากลุงเมฆด้วย น่าจะชอบนะ”
อบเชยเดินเข้าไปในบ้านแล้วเธอก็ต้องตกใจเมื่อเห็นพันเทพและพวกกำลังรื้อบ้านเมฆกระจุยกระจายไปหมด
“พวกแกทำอะไรกันน่ะ”
พันเทพหันขวับมาตามเสียง
“จับมันไว้”
อบเชยต่อสู้กับเหล่าสมุนพันเทพโดยต้องประคองไม่ให้บัวลอยในปิ่นโตหกด้วย อบเชยรับมือสมุนพันเทพอย่างมีชั้นเชิง โดยที่ของในปิ่นโตไม่หกเลยและก็สู้กับสมุนได้
“ดีนะยังไม่หกเลย” อบเชยหันไปตวาดสมุนพันเทพที่ล้มอยู่กับพื้น “แกรู้มั้ยบัวลอยทำยากนะ ถ้าหกไป เลือดพวกแกก็ทดแทนไม่ได้”
“งั้นเลือดเธอคงทดแทนได้สินะ”
พันเทพใช้ร่มคู่กายตีปิ่นโตล้มคว่ำ ของที่อยู่ในปิ่นโตทะลักออกมา อบเชยโกรธมาก
“ไอ้พันเทพ แกรู้มั้ยของทั้งหมดนั่นชั้นตั้งใจทำแค่ไหน ลูกแกน่ะไม่มีปัญญาทำให้แกกินหรอก”
อบเชยเข้าสู้กับพันเทพอย่างไม่กลัว แต่ด้วยร่มของพันเทพทำให้อบเชยแพ้สิ้นท่า อบเชยกระเด็นชนข้างฝา นอนจุก
“ปากดีนัก... จับมันมัดไว้” พันเทพบอกสมุน สมุนเข้าไปจับอบเชยที่นอนสิ้นฤทธิ์กับพื้น “ดีเหมือนกัน ชั้นหาตำราหนังเสือไม่เจอ แต่แกคงช่วยชั้นได้”
เมฆกับไม้มาที่ท่ารถบขส. เมฆพาไม้ขึ้นมาบนรถ
“ชั้นเคยพยายามหาไม้ตะพดบนรถนี่ แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ”
“มันอยู่ข้างกายพ่อมาตลอดเวลา ลูกลองไปนั่งที่เบาะคนขับสิ”
ไม้เดินไปนั่งที่เบาะคนขับ แล้วมองหา
“ก็ยังไม่เห็นอยู่ดี”
“ใช้สัมผัสของลูกสิ”
ไม้หลับตาเอามือวางบนคันเกียร์โดยอัตโนมัติ แล้วไม้ก็ได้กลิ่นหอมของไม้ ไม้สูดดมไปที่คันเกียร์ “อยู่กับพ่อตลอดเวลา คันเกียร์นี่ใช่มั้ย”
เมฆพยักหน้า ไม้ นึกถึงตอนที่เขาสู้กับพันเทพด้วยคันเกียร์นี้
“ถึงว่าสิ ตอนนั้นผมถึงชนะไอ้พันเทพได้ เพราะเกียร์นี่ คือไม้ตะพดนี่เอง”
“ลูกต้องเก็บรักษามันไว้ยิ่งชีวิต อย่าให้มันตกไปอยู่ในมือคนชั่วเด็ดขาด ไม่งั้นละก็เราไม่มีทางต้านทานอำนาจมันได้แน่ๆ”
“ครับพ่อ”
ศรนานายณ์เดินอยู่ที่ตลาดแม่ค้าพ่อค้าต่างเอาของที่ตนขายให้ศรนารายณ์ฟรี
“เอานี่มีดพกนะพี่ศรนะ พกไว้สู้กับศัตรูนะ” พ่อค้าเอามีดใส่กระเป๋าเสื้อศรนารายณ์ “พี่น่ะฮีโร่ในดวงใจของผมเลย”
“แหม เราก็พูดเกินไป”
“ลูก ไปขอลายเซ็นลุงศรสิลูก”
เด็กหลายคนเข้ามาขอลายเซ็นศรนารายณ์ ศรนารายณ์รับสมุดมาเซ็นแทบไม่ทัน
“ไม่ต้องแย่งกัน ได้ทุกคน ได้ทุกคน”ศรนารายณ์ยิ้มมีความสุข “ยังกับตอนที่ได้แชมป์ใหม่ๆ เลยนะเนี่ย”
ส่วนที่บ้านเมฆ อบเชยถูกมัดกับเสากลางบ้าน มีพันเทพและสมุนพันเทพยืนล้อมอยู่
“พวกแกเอาตำราหนังเสือไปซ่อนไว้ไหน”
“ไม่รู้”
พันเทพตบอบเชย
“ยังจะไม่รู้อีก ชั้นรู้ว่าแกเอามาจากบ้านชั้น ไม่งั้นคืนนั้นแกจะบุกรุกบ้านชั้นไปทำอะไร”
“ตำราหนังเสือคืออะไร ชั้นยังไม่รู้จักเลย”
“โกหก” พันเทพตบอบเชยอีก
“แกนี่มันชั่วจริงๆ ทำได้กระทั่งผู้หญิง”
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ตำราหนังเสืออยู่ไหน”
“ก็บอกว่าไม่รู้ไง ก็แค่หนังเสือชั้นจะเอาไปทำอะไรล่ะ ชั้นยังไม่เห็นประโยชน์ซักนิด”
“ก็เพราะพวกแกคิดจะฆ่าชั้นน่ะสิ”
“ชั้นจะเอาหนังเสืออะไรนั่นมารัดคอแกตายรึไง ชั้นไม่โง่ขนาดนั้นหรอก”
“ก็เพราะแกรู้ว่าคนที่ถือไม้ตะพดทั้ง 2 คนไม่สามารถฆ่ากันเองได้น่ะสิ แกเลยต้องรวบรวมตำราหนังเสือและอีกหนึ่งของวิเศษ เพื่อฆ่าชั้นใช่มั้ยล่ะ อย่าคิดว่าชั้นจะรู้ไม่ทันหรอกนะ”
“ไม้ตะพดฆ่ากันเองไม่ได้งั้นเหรอ...” อบเชยพึมพำออกมา
“ตอบมา ตำราหนังเสืออยู่ที่ไหน”
“ชั้นไม่รู้”
พันเทพหยิบของที่กระจัดกระจายในบ้านมาชิ้นหนึ่ง ใช้ของตบไปทีที่หน้าอบเชย อบเชยหน้าหัน เลือดกลบปาก
เมฆกับไม้เดินกลับมาถึงบ้านก็เห็นประตูพังอยู่ ไม้ตกใจจะรีบเข้าไปดูแต่เมฆห้ามไว้
“ไม้อย่าเพิ่ง พ่อว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่ ลูกอยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวพ่อเข้าไปดูเอง”
“ชั้นจะปล่อยให้พ่อเข้าไปได้ยังไง”
“นี่เป็นอีกบททดสอบของการเป็นลูกผู้ชายที่ลูกต้องเรียนรู้ ...พ่อจะเข้าไป ลูกแอบดูอยู่ด้านนอกนี่ ถ้าเกิดเรื่องไม่ดี ลูกรู้ใช่มั้ยว่าจะต้องเข้าไปแบบไหน”
ไม้พยักหน้ารับ เมฆเดินเข้าไปในบ้าน
อบเชยเลือดกลบปากในขณะที่เมฆเข้าไปเห็น
“พวกแกทำอะไรกันน่ะ”
“อ้าว...เจ้าของบ้านกลับมาแล้ว เชิญ เชิญ หาน้ำหาท่ากินให้ใจเย็นก่อน” เมฆจะเดินเข้าไปหาอบเชย แต่สมุนพันเทพจับตัวเมฆไว้ “บอกให้นั่งพักก่อน จะรีบร้อนไปไหนเล่า”
“อบเชยเป็นไงบ้าง”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ไม้ที่แอบยืนดูอยู่ด้านนอกร้อนใจเพราะเป็นห่วงอเบชย
“อบเชย”
ไม้มองดูชุดลูกผู้ชายในถุงที่อยู่ในมือ
ระหว่างนั้นศรนารายณ์เดินถือข้าวของที่ได้จากชาวบ้านพร้อมกับถุงใส่เสือผ้าแปลงเป็นชายนิรนามมาตามถนน
“ของเยอะแยะขนาดนี้ แวะเอาไปฝากพี่เมฆกับไม้ด้วยดีกว่า”
ศรนารายณ์เดินยิ้มไปทางบ้านเมฆ
ส่วนที่บ้านเมฆขณะนั้นสมุนพันเทพจับเมฆไปมัดรวมกับอบเชย
“ดี มาสองคนก็ดี มันจะต้องมีซักคนที่รู้เรื่องนี้ล่ะใช่มั้ยเมฆ”
“แกน่ะมันเลวมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่” พันเทพหัวเราะ
“ถือเป็นคำชมที่ดี”
“ปล่อยอบเชยไป อบเชยไม่เกี่ยว”
“อย่ามาทำพระเอกน่า บอกมาว่าตำราหนังเสืออยู่ไหน”
“ตำราหนังเสืออะไรอีก ชั้นไม่รู้”
“อย่ามาไขสือ มันต้องอยู่ที่นี่แหละ ไม้กับนางนี่มันเอามาซ่อน”
“รู้ได้ไงว่าอยู่ที่นี่ ไหนล่ะหลักฐาน”
“หลักฐานเหรอ นี่ไง” พันเทพต่อยหน้าเมฆ เมฆเลือดกลบปาก “คราวนี้เห็นชัดขึ้นมารึยังล่ะ ว่าอยู่ไหน”
ลูกผู้ชายปรากฏตัวขึ้น
“หยุดทำร้ายคนอื่นซะที”
พันเทพมองลูกผู้ชายแล้วมองไปที่เมฆ แปลกใจที่เมฆและลูกผู้ชายอยู่พร้อมกันสองคน
“ลูกผู้ชาย..เป็นไปได้ไง” พันเทพสับสนมองลูกผู้ชายสลับเมฆ
ศรนารายณ์เดินมาถึงหน้าบ้านเมฆ ก็ได้ยินเสียงคนคุยกันเสียงดังข้างใน
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
ศรนารายณ์แอบดูภายในบ้านก็ตกใจที่เห็นพันเทพมาบุกบ้านเมฆ แต่มุมที่ศรนารายณ์เห็นนั้น มีของบังลูกผู้ชายพอดี ศรนารายณ์จึงไม่เห็นลูกผู้ชาย ศรนารายณ์ดูถุงใส่ชุดฮีโร่ของตัวเอง
ภายในบ้านลูกผู้ชายกับพันเทพกำลังเผชิญหน้ากัน เมฆกับอบเชยถูกจับมัดไว้
“ไม่ได้เจอกันซะนานนะลูกผู้ชาย ที่บาดเจ็บคราวก่อนหายแล้วเหรอ”
“ไม่ต้องมาพูดมาก ปล่อยสองคนนั่นก่อนดีกว่า อย่าทำเป็นเรื่องใหญ่เลย”
“คราวนี้ลูกผู้ชายดูท่าทีเปลี่ยนไปนะ”
“เวลาผ่านไป... มีแต่แกนั่นแหละที่ยังเลวไม่มีวันเปลี่ยน”
พันเทพหัวเราะ
“ถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกันนะ”
พันเทพกับลูกผู้ชายกำลังจะเริ่มสู้กัน อยู่ๆ ก็มีฮีโร่อีกคนโผล่มา
“ข้าคือผู้ผดุงความยุติธรรมมาช่วยทุกคนแล้ว” ทั้งหมดหันไปมองศรนารายณ์งงๆ ศรนารายณ์หันไปเห็นลูกผู้ชายก็ตกใจ “เฮ้ย...”
“ใครอีกน่ะ”
ศรนารายณ์อึ้ง เลิ่กลั่ก มองคนโน้นที คนนี้ที ตาปริบๆ แล้วก็วิ่งหนีจากไป
ศรนารายณ์วิ่งมาแอบหลังบ้าน ถอดหมวกโม่งออก
“ลูกผู้ชายกลับมาทำไมวะเนี่ย เรากำลังจะได้เป็นฮีโร่ประจำตำบลอยู่แล้วเชียว”
ศรนารายณ์รีบถอดชุดแล้วออกไป โดยลืมถุงของที่ชาวบ้านให้ไว้
ทุกคนหันความสนใจกลับมาจากศรนารายณ์
“อยากรู้นักว่า...ลูกผู้ชายคนนี้ ฝีมือจะเป็นยังไง”
“เดี๋ยวก็รู้”
ลูกผู้ชายบุกเข้าหาพันเทพ ทั้งคู่ต่อสู้กันโดยมีสมุนพันเทพเข้าร่วมด้วย แต่ทุกครั้งที่ไม้ตะพดลูกผู้ชายกับพันเทพกระทบกัน เมฆจะเจ็บแปลบที่แผลขึ้นทันที และเสียงโอดโอยถึงความเจ็บปวดดังมาจากตู้ที่ขังเวตาลไว้เช่นกัน
พันเทพกับลูกผู้ชายยังต่อสู้กันต่อเนื่อง เมื่อไม้กระแทกกันจังๆ หลายๆ ทีเมฆถึงกระอักเลือด แผลเก่าซึมเลือดออกมาอีก
“ฝีมือไม่เลวเลยนี่”
อบเชยพยายามดิ้นให้หลุดจากเชือกเพื่อไปช่วยลูกผู้ชาย เมฆก็ช่วยกันกับอบเชย ทั้งที่ตนก็เจ็บแผลทุกครั้งที่ไม้ตะพดกระทบกัน แต่ก็อดกลั้นไว้ อบเชยพยายามเอาเท้าเขี่ยมีดที่หล่นอยู่มาจนได้ เอามาตัดเชือกจนขาด ระหว่างที่ลูกผู้ชายต่อสู้ อบเชยหลุดไปได้ เธออาศัยทีเผลอแทงพันเทพ โดนต้นแขนข้างถนัดพอดี พันเทพบาดเจ็บเลยต้องล่าถอยไป
“พวกแกใช้วิธีหมาหมู่ ฝากไว้ก่อนเถอะ”
“ที่แกกับสมุนรุมลูกผู้ชายทีเดียวตั้งหลายคน เค้ายังไม่ว่าอะไรเลย”
พันเทพกับสมุนกลับไป อบเชยมองหน้าลูกผู้ชาย ลูกผู้ชายหลบตา
“จบเรื่องแล้ว ชั้นขอตัว”
ลูกผู้ชายรีบออกไปทันที อบเชยจะห้ามไว้ก็ไม่ทัน
“ลูกผู้ชาย ลูกผู้ชาย...”
“ปล่อยเค้าไปเถอะ” เมฆบอก
“คำขอบคุณก็ไม่ยอมฟังรึไง”
“ลูกผู้ชาย มาช่วย คงไม่ได้หวังอะไรหรอก”
อบเชยมองตามอย่างสงสัย
“แล้วนี่ไม้ไปไหนละคะ”
“ไม้ ... ก็ไปช่วยงานคุณไกรละมั้ง”
อบเชยมองไปเห็นถุงของบางอย่างวางกับพื้นแอบๆ ประตู อบเชยหยิบมาดู
“นี่มันของของใครซื้อมาเนี่ย ทำไมมาวางไว้ตรงนี้”
“เอ ไม่รู้เหมือนกันนะ หรืออาจจะเป็นของไอ้โม่งคนที่โผล่มาคนนั้น”
“จริงสิ”
อบเชยก้มไปเปิดดู เป็นของหลายอย่างที่ชาวบ้านให้ แต่มีสมุดเล่มนึงมีลายมือเด็กเขียนไว้ว่า ให้ลุงศรนารายณ์ อบเชยเริ่มประติดประต่อเรื่องราวได้ เธอนึกถึงตอนที่เจอถุงใส่เสื้อผ้าพร้อมไอ้โม่งในบ้าน

“พ่อ ... พ่อคือไอ้โม่ง...”

อ่านต่อหน้า 2





แจ้งเพื่อทราบ :
เนื่องจากแฟนเพจเฟสบุ๊ค "ละครออนไลน์" มีปัญหาด้านเทคนิคบางประการ ทีมงาน “ละครออนไลน์” จึงจะทำการปิดภายในวันพรุ่งนี้ (พุธที่ 22 มีนาคม พศ. 2555) และจะดำเนินการเปิดใหม่ให้เร็วที่สุด โดยจะแจ้งให้แฟนๆ ที่ติดตามทราบเป็นระยะ จึงขออภัยมา ณ ที่นี้

ลูกผู้ชายไม้ตะพด  ตอนที่ 7 (ต่อ)

ศรนารายณ์หนีมาที่ท่ารถบขส.แล้ววางถุงชุดปลอมตัวไว้ข้างๆ เขากลุ้มใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้

“เป็นแบบนั้นได้ยังไงวะ ทำไมไม่ดูให้ดีๆ ไอ้ศรเอ๊ย”
จันทร์กับชาญเดินมา เห็นถุงแปลกๆ วางอยู่ ชาญหยิบมาดูเล่นๆ
“นี่อะไรเนี่ย”
ชาญหยิบไปพร้อมกับรื้อของออกมาทันที เห็นชุดทั้งหมดที่ใช้ปลอมตัว
“อย่านะ อย่า...หมดกัน”
ศรนารายณ์ร้องห้ามอย่างตกใจ จันทร์หยิบชุดมาดูใหญ่ หยิบหมวกโม่งขึ้นมาสุดท้าย
“ใช่จริงๆ”
“ชายนิรนาม”
ศรนารายณ์รีบเอาของคืนมาไม่กล้าสู้หน้าจันทร์กับชาญแล้วรีบเดินออกไป
“เฮ้ย จะหนีไปไหนพี่ศร ชั้นอยากจะถามเกี่ยวกับลูกผู้ชายที่หายไป เฮ้ย”
“แกคงอายน่ะ ที่มีคนรู้ว่าแกพยายามจะเป็นฮีโร่”
“อายทำไม แกพยายามจะเป็นฮีโร่เพื่อช่วยคนอื่น ไม่เห็นต้องอาย”
“ก็จริง”
ศรนารายณ์กลับมาบ้าน พอมาถึงหน้าบ้านอบเชยก็เปิดประตูออกมาประจันหน้าพ่อ
“พ่อ”
ศรนารายณ์ตกใจ กลัวอบเชยจับได้
“ทำไมต้องเสียงดังด้วยเนี่ย ตกใจหมด”
“พ่อกำลังทำอะไรอยู่กันแน่”
“นั่นหน้าไปโดนอะไรมาน่ะ มา เดี๋ยวพ่อทำแผลให้”
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย พ่อคือชายนิรนามที่ใส่ไอ้โม่งเข้าไปในบ้านลุงเมฆวันนี้ใช่มั้ย”
“ไม่ใช่ เอาอะไรมาพูด พ่อไม่รู้ไม่เห็นเรื่องพันเทพเลยนะ”
“ไม่ใช่แล้วรู้ได้ไงว่าพันเทพอยู่ด้วย”
“เอ่อ...”
ศรนารายณ์ไม่รู้จะตอบลูกสาวยังไง
“พ่อทำแบบนี้ทำไมเนี่ย” อบเชยต่อว่าพ่อ
“ก็พ่อไม่มีความสำคัญกับที่นี่อีกแล้ว ทุกคนเห็นพ่อเป็นแค่ไอ้แก่คนนึง ทั้งที่พ่อเคยทำชื่อเสียงมานะ พ่อเป็นแชมป์มวย 14 สมัย”
“โธ่พ่อ...ถ้าพ่ออยากให้ชาวบ้านกลับมาชื่นชม ก็ไม่เห็นต้องทำตัวเป็นคนอื่นเลยนี่ ก็เป็นพ่อแบบนี้แหละ ไปช่วยชาวบ้าน ชาวบ้าน เค้าก็ชื่นชมกันเอง พ่อน่ะเท่จะตาย ไม่เห็นต้องไปพรางหน้าตาเลย”
“จริงสินะ...พ่อมันโง่เองล่ะ”
“พ่อน่ะเป็นฮีโร่ของชั้นเสมอนะ”
สองพ่อลูกกอดกัน
ส่วนพันเทพเมื่อกลับมาบ้าน พันเทพก็เข้ามาในห้องทำงานเพื่อทำแผลที่ต้นแขน
“ไม่น่าพลาดท่าให้พวกมันได้ ไม่งั้นคงได้ตำราหนังเสือมาแล้ว”
พันเทพบ่นคนเดียวอย่างเจ็บใจ โดยไม่รู้ว่าทิวามาแอบได้ยินสิ่งที่เค้าพูดอยู่หน้าประตู
“ตำราหนังเสือ...มีอยู่จริงเหรอเนี่ย”
พันเทพหยิบรูปไม้ขึ้นมาดู
“ลูกผู้ชาย.. ไอ้เมฆ คายมรดกออกมาแล้วเหรอ”
ทิวาสับสนเมื่อเห็นพันเทพมองรูปไม้ เขายังไม่เข้าใจอยู่ดี พันเทพมองรูปไม้ น้ำตาพันเทพไหลอย่างยินดี
ค่ำวันเดียวกันนั้นพันเทพอยู่ในชุดสุทดูภูมิฐาน ส่วนแพรวาอยู่ในชุดราตรีสวย
“ลูกพ่อสวยมาก”
“ขอบคุณค่ะพ่อ”
“ไปกันเถอะลูก”
“ค่ะ” แพรวาเดินเข้าไปควงแขนพันเทพ พันเทพเจ็บแขน “พ่อเป็นอะไรรึเปล่าคะ”
“แขนเคล็ดนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรลูก”
ราตรีเดินมาหาทั้งคู่
“จะไปกันแล้วเหรอคะ ขอให้โชคดีนะคะพ่อ”
“ขอบใจมากลูก”
“มีความสุขนะแพรวา”
ราตรีทำหน้าเย้ยๆ ถามแพรวา แพรวาไม่สบายใจไม่รู้ราตรีจะทำอะไรกันแน่ พันเทพพาแพรวาขึ้นรถไป ราตรีมองตามจนรถออกไปจากบ้านเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทร
“ตกลงมันอยู่ที่ไหน ...ห้องสมุดเหรอ ได้เดี๋ยวชั้นตามไป...คนอะไรไปอยู่ที่แบบนั้น เพี้ยนรึเปล่า”
ราตรีมาที่ห้องสมุดซึ่งขณะนั้นไกรกำลังค้นคว้าหนังสือในหอสมุดอย่างตั้งใจ มีหนังเสือกางเปรียบเทียบ แต่ก็ยังไม่เจออักขระที่เหมือนกับในหนังเสือ
“มันเป็นตัวอักษรอะไรกันแน่นะ นี่ก็ค้นตำราแทบจะทุกภาษาในโลกแล้วยังไม่เจออีก”
ราตรีเดินผ่านชั้นหนังสือเข้ามานั่งติดกับไกร
“สวัสดีค่ะ”
“อ้าว คุณแพรวา” ราตรียิ้มรับ
“คุณไกรมาทำอะไรที่นี่คะเนี่ย”
“มาค้นหาข้อมูลบางอย่างน่ะครับ”
ราตรีมองหนังเสือที่วางอยู่
“แล้วหาเจอมั้ยคะข้อมูล” ไกรส่ายหน้า
“แล้วคุณแพรวาล่ะมาทำอะไร”
“ชั้นก็มาหาหนังสืออ่านเหมือนกัน” ราตรีมองหนังสือบนโต๊ะที่ไกรเอามาอ่าน เกี่ยวกับภาษาทั้งหมด “ว่าจะมาหาหนังสือไปทบทวนความรู้ที่บ้านซะหน่อย”
“เหรอครับ งั้นคุณแพรวาช่วยดูนี่ให้ที”
ไกรหยิบหนังเสือยื่นให้ราตรีดู ราตรีอ่านข้อความภาษาไทย
“นี่มันเรื่องไม้ตะพด...”
“ดูตัวอักษรด้านหลังสิครับ”
“ไม่เคยเห็นเลยนะคะอักขระแบบนี้”
“ใช่ครับ ผมค้นดูแล้วจะว่าภาษาพม่าก็ไม่ใช่”
“ลองดูพวกภาษาท้องถิ่นรึยังคะ อาจจะเป็นภาษาของพวกชนกลุ่มน้อยต่างๆ”
“จริงสิครับ ทำไมผมคิดไม่ออกว่ามีภาษาพวกนั้นอีก”
“แต่คงเป็นหนังสือหายากหน่อยนะคะ เพราะเป็นภาษาที่เฉพาะจริง ต้องคนเคยอ่าน เคยเขียนมาเท่านั้น”
“นั่นสินะ...ผมงมมาทั้งวัน เจอคุณแพรวาแป๊บเดียวกระจ่างเลย ไม่น่าเชื่อ”
“คุณก็พูดเกินไปค่ะ”
“ให้ผมเลี้ยงข้าวเป็นการตอบแทนละกันนะครับ”
ราตรียิ้มให้ไกร พอไกรไม่เห็นแววตาก็เปลี่ยนเป็นมองไกรร้ายๆ
ไกรพาราตรีมาทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนี่ง
“คุณไกรนี่ไว้ใจคนง่ายจังนะคะ” จู่ๆ ราตรีก็พูดขึ้นมา
“ทำไมละครับ คุณแพรวาก็เป็นคนดี เคยช่วยผมมาก็หลายครั้ง มีอะไรไม่น่าไว้ใจตรงไหน”
“ก็ดีแล้วค่ะ ชั้นจะได้ทำอะไรง่ายขึ้น”
“ทำอะไรง่ายขึ้น หมายถึงอะไรครับ”
“เปล่าค่ะ ชั้นขอถ่ายรูปคู่กับคุณไว้เป็นที่ระลึกหน่อยได้มั้ยคะ”
“ได้ครับ รู้จักกันมาตั้งนานก็ไม่เคยถ่ายรูปกันเลย”
ราตรีนั่งติดกับไกร เอามือตนเองไปโอบคอไกรใช้โทรศัพท์ถ่ายรูป
“ขอบคุณค่ะ”
ราตรียิ้มเจ้าเล่ห์
ที่บ้านพันเทพขณะนั้นทิวานั่งหน้าเครียดกับเรื่องที่ได้เห็นพันเทพนั่งมองรูปไม้แล้วน้ำตาพันเทพไหล
“พ่อ กะ ไอ้ไม้นี่มันยังไงกัน พ่อเกลียดมันหรือรักมันกันแน่”
ทิวายิ่งคิดก็ยิ่งเครียด
ส่วนที่บ้านศรนารายณ์ อบเชยนอนอยู่บนเตียง เธอกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องลูกผู้ชาย
“ถ้าลุงเมฆเป็นลูกผู้ชายจริง... วันนี้ลุงเมฆกับลูกผู้ชายทำไมอยู่พร้อมหน้ากัน หรือว่าลุงเมฆจะถ่ายทอดวิชาให้ไม้แล้ว ถ้าเป็นแบบนั้น ไม้ก็คือลูกผู้ชายน่ะสิ”
วันต่อมาขณะที่ไม้ยังนอนหลับอยู่บนเตียง แล้วเสียงใสๆ ก็เรียกชื่อเขาดังเข้าไปในภวังค์
“ไม้ ไม้”
ไม้ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาเห็นหน้าอบเชยเข้ามาใกล้ ไม้สะดุ้ง
“เฮ้ย อะไรเนี่ย”
“ไม้ตื่นแล้ว”
“ประชิดตัวขนาดนี้ ใครจะหลับลง”
“กินยาแก้ช้ำในมั้ย”
“ทำไมต้องกิน”
“ก็ที่ช่วยชั้นไว้เมื่อวาน ชั้นก็ต้องตอบแทน”
“ช่วยเธอเมื่อวาน…” ไม้ทำหน้างงๆ
“เอาเถอะน่า ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรมากเอาเป็นว่าชั้นรู้ก็แล้วกัน นี่เดี๋ยวชั้นจะพาไม้ไปดินเนอร์หรูใต้แสงเทียนเลย”
“นี่มันหาข้ออ้างนี่ เราเพิ่งไปกันเองนะ”
“อันนั้นไม้ขอบคุณที่ชั้นช่วยไม้ อันนี้ชั้นขอบคุณที่ช่วยชั้น เจ้าภาพคนละคนนะ”
“ตาย เอะอะก็ขอบคุณ งั้นก็ขอบคุณกันไม่รู้จักจบจักสิ้นละทีนี้”
“เอาน่า อยากกินอะไร ที่ไหนดี” ไม้ส่ายหน้า “คิดดีๆ โอกาสแบบนี้มีไม่บ่อยนะ เนี่ย เดี๋ยวไอ้พันเทพ
ก็ต้องหาเรื่องมาเอาหนังเสือไปให้ได้อีก จะไม่มีเวลานะ”
“จริงสิ ถ้าพันเทพรู้ว่าหนังเสืออยู่ที่คุณไกร คุณไกรคงเดือดร้อนแน่”
“เฮ้ย สนใจเรื่องกินข้าวหน่อยสิ”
“ไม่เอาแล้ว มีเรื่องต้องทำเยอะแยะ”
“โอเค งั้นคิดให้ก็ได้ เย็นนี้เจอกันที่...” อบเชยกระซิบบอกสภานที่ “ตกลงนะ”
อบเชยวิ่งระริกระรี้ออกไป ไม้มองตามแล้วส่ายหน้าอย่างระอา
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่บ้านพันเทพราตรีนั่งมองรูปไกรที่ถ่ายคู่กับตนในโทรศัพท์มือถือที่ถ่ายไว้อย่างครุ่นคิดแล้วยิ้มออกมา
“แพรวา ถ้าชั้นจะเอาแกจะทำอะไรได้”
เสียงเมสเสจดังขึ้นที่โทรศัพท์แพรวา แพรวาลุกขึ้นมารับ ก็พบว่าเป็นรูปของราตรีที่ถ่ายคู่กับไกรส่งมา แพรวาหน้าเสีย
ส่วนที่ท่ารถบขส. เมฆในชุดคนขับรถอยู่บนรถของตน เมฆกำลังเช็ดทำความสะอาดกระจก พวงมาลัย คันเกียร์ เบาะ ด้วยความรัก ยิ้มแย้ม
“ยินดีต้อนรับการกลับมาของคนขับรถที่สุดของบขส. พี่เมฆ เมฆ” ชาญบอก
“แกก็พูดเกินไป”
“ต้องทำตามคำแนะนำของหมออย่างเคร่งครัดนะครับ โดยเฉพาะคนที่ผ่าตัดมาเนี่ย”
“ขอบคุณมากจันทร์ที่เป็นห่วง”
“ระวังอาการแทรกซ้อนนะครับ จุดนี้สำคัญมาก”
คำพูดของจันทร์ทำให้เมฆคิดถึงเมื่อวานตอนที่ลูกผู้ชายสู้กับพันเทพ แล้วเขาเจ็บแผล
“ชั้นจะระวัง”
สีหน้าเมฆเป็นกังวล
ส่วนไกรขณะที่ถือเอกสารเดินออกจากห้องเจ๊กี เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น
“สวัสดีครับ”
“แพรวาเองนะคะ”
“ครับ คุณแพรวาว่าไง”
“วันนี้คุณไกรพอจะมีเวลาว่างมั้ยคะ”
“นี่เล่นตลกอะไรกันรึเปล่าครับเนี่ย”
“หมายความว่าไงคะ”
“เมื่อกี้นี้คุณเพิ่งตกลงนัดทานข้าวกับผมไปเอง นี่เป็นนัดเดียวกันรึเปล่าครับ”
“อ้าว เหรอ”
“คุณนี่คุยสนุกดีนะครับ”
“ค่ะ”
“ตกลงว่าเย็นนี้คุณแพรวาไปใช่มั้ยครับ”
“คือ...เอ่อ ค่ะ” แพรวาตอบรับอย่างงงๆ
“แล้วเจอกันครับ”
“งั้น…แค่นี้ก่อนนะคะ ...เอ่อ แป๊บค่ะ”
ไกรวางโทรศัพท์ไปแล้วไม่ได้สนใจอะไร แพรวากังวลใจ ราตรีเปิดประตูเข้ามา
“เป็นไงล่ะ”
“อย่าเที่ยวหลอกคนอื่นไปทั่วนะ คุณไกรเป็นคนดี”
“แล้วชั้นเป็นคนไม่ดีตรงไหนเหรอ ชั้นว่าก็ออกจะเหมาะสมกันดีนะ ผู้ชายแสนดี…โง่ๆ กับชั้นเนี่ย”
“ทำไมเธอเป็นคนแบบนี้นะ”
“เธอนั่นแหละทำไมเป็นคนแบบนี้ เธอไม่เห็นเหรอว่าทั้งบ้านเป็นคนยังไง เธอต่างหากผ่าเหล่า”
ราตรีหัวเราะอย่างมีความสุขแล้วปิดประตูห้องจากไป แพรวาทำอะไรไม่ถูก
ทิวาแอบเข้ามาในห้องทำงานพันเทพ ภายในห้องมีโชว์โบราณของพันเทพซึ่งมีปืนโบราณโชว์อยู่ด้วย ทิวากำลังแอบไขกุญแจเพื่อเอามันออกมา
“ถ้าเรามีสิ่งนี้...อะไรๆ มันคงง่าย ไอ้ไม้”
ราตรีถือถาดอาหารเช้าเข้ามาในห้องพันเทพ พันเทพยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง
“ราตรีเห็นว่าพ่อไม่ลงไปทานอาหารเช้า ราตรีเลยให้คนจัดอาหารเช้ามาให้ค่ะ” ราตรีบอกแต่พันเทพยังหลับอยู่อย่างกระสับกระส่าย เหงื่อผุดเต็มใบหน้า “อ้าว ทำไมยังไม่ตื่นอีกเนี่ย” ราตรีวางอาหารลงข้างเตียง “พ่อเป็นอะไรรึเปล่าคะเนี่ย”
พันเทพละเมอ
“เอาตำราหนังเสือมา เอาคืนชั้นมานะ”
“ตำราหนังเสือเหรอ? มันคือสิ่งที่อยู่กับนายไกรนั่นรึเปล่านะ”
ราตรีพึมพำออกมา พันเทพยังหลับไม่ได้สติ ราตรีจับตัวพ่อจึงพบว่าพ่อตัวร้อนจัด
“พ่อคะ พ่อ ราตรีอยู่นี่ ตัวร้อนจี๋เลย” ราตรียกหูโทรศัพท์ในห้อง “โทรเรียกหมอมาที่นี่ด่วนเลย”
ราตีมองพันเทพอย่างเป็นห่วง
ราตรีเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานพันเทพ ทิวาที่ยังอยู่ในนั้นรีบเอาปืนซ่อน
“อ้าวพี่ทิวา มาทำอะไรในนี้”
“แล้วเธอล่ะ มาทำอะไร”
“พ่อไม่สบาย รู้รึเปล่า”
“เหรอ”
“ชั้นได้ยินพ่อพูดถึงตำราหนังเสือ พี่รู้เรื่องนี้รึเปล่า”
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่มันน่าจะเกี่ยวกับไม้ตะพดวิเศษ และมันคงสำคัญมาก”
“ถ้างั้นน่าจะใช่”
“ใช่อะไร หมายความว่าไง”
“เปล่าหรอก แล้วพี่มาทำอะไรที่นี่ พี่ยังไม่ตอบชั้นเลย”
“เอ่อ...ก็เข้ามาดูงานของพ่อ ไม่มีอะไร”
“นึกว่าจะเข้ามาขโมยของซะอีก เห็นท่าทางแปลกๆ”
“เธอก็พูดบ้าๆ”
ราตรี ทิวา มองหน้ากันยิ้มๆ
ราตรีกลับมาดูพันเทพที่ห้อง ขณะนั้นหมอตรวจอาการพันเทพเรียบร้อยแล้ว
“ไข้ขึ้นเพราะว่ามีแผลอักเสบอยู่ เดี๋ยวหมอทำความสะอาดแผลแล้วฉีดยาให้ ฝากคุณดูแลคนไข้ให้ทานยาตรงเวลาด้วย”
“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา”
“คนไข้ไปโดนอะไรมาครับเนี่ย”
“อาจจะเป็นอุบัติเหตุระหว่างการหาเสียงน่ะค่ะ”
“พยายามดูแลอย่าให้เคลื่อนไหวมาก เพราะถ้าเคลื่อนไหวมากแผลก็จะอักเสบขึ้นมาอีก”
“ค่ะ”
หมอเดินออกไปจากห้อง ราตรีมองพันเทพ
“พ่อจะรู้มั้ยว่ามีแต่ราตรีที่เป็นห่วงพ่อ ดูคนอื่นๆ ซิ ถ้าพ่ออยากได้ตำราหนังเสือ ราตรีจะไปเอามาให้ โดยที่พ่อไม่ต้องออกแรงเลยซักนิด”
ที่ท่ารถบขส.ชาญกับจันทร์นั่งคุยกันอยู่
“ตกลงว่าพี่ศรเค้าจะยังปลอมเป็นฮีโร่อยู่อีกรึเปล่านะ”
“โดนจับได้แบบนั้น คงไม่ทำแล้วละมั้ง”
“ก็ดีแล้วน่ะนะ เพราะชุมชนเราควรจะมีฮีโร่เป็นลูกผู้ชายแค่คนเดียว”
เมฆเดินมา
“คุยเรื่องอะไรกัน”
“ก็เรื่องฮีโร่นิรนามคนใหม่น่ะสิ ไม่คิดว่าจะเป็นคนใกล้ตัว”
“เรื่องนี้เอง” เมฆไม่สนใจ
“เฮ้ย พี่เมฆ ไม่อยากรู้เหรอว่าเป็นใคร”
“ไม่จำเป็นหรอก”
“ทำไมล่ะ”
“แกคิดว่าเรื่องแบบนี้ลูกผู้ชายของแกจะมามัวสนใจ สงสัยมั้ยล่ะ ทุกคนต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองกันไป เดี๋ยวอะไรก็ดีขึ้นเอง”
“บ๊ะ จริงของพี่ ลูกผู้ชายไม่มาสนใจเรื่องไร้สาระแบบนี้หรอก”
“งั้นก็เลิกพูดแล้วไปทำงานได้แล้ว”
“โดนไปหนึ่งดอกเลยพี่ชาญ”
ชาญเดินตามเมฆไปขึ้นรถบขส.ที่จอดอยู่
เย็นวันนั้นหลังจากเสร็จงาน เมฆมาซื้อกับข้าวที่ตลาดโดยจอดรถไว้ท้ายตลาด หลังจากซื้อของเสร็จเมฆเดินถือกับข้าวที่ซื้อกลับมาที่รถที่จอดไว้ เมฆแจ็บแปลบที่แผลขึ้นมา เขาพยายามไม่สนใจมัน แต่แล้วก่อนจะขึ้นรถ เมฆก็ได้ยินเสียงคนร้องขอความช่วยเหลือมาจากแถวนั้น
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
เมฆหันมองรอบตัว จะรุดไปช่วยแล้วก็คิดได้
“ชุดลูกผู้ชายให้ไม้ไปแล้วนี่”
เสียงผู้หญิงยังดังมาเป็นระยะ
“ช่วยด้วย”
เมฆคิดทบทวนแล้วเขาก็ไม่รอช้า รีบไปหาต้นเสียงทันที
เมฆเดินเข้ามาในสวนผลไม้ของชาวบ้าน เขายังได้ยินเสียงผู้หญิงเป็นระยะ แล้วเขาก็เจอกับต้นเสียง หญิงคนนึงเลือดกลบปากถูกมัดไว้ที่โคนต้นไม้ เมฆรีบเข้าไปแก้มัดให้
“เกิดอะไรขึ้น”
“มันมีคนเข้ามาปล้นบ้านชั้น มันจับลูกชั้นไปด้วย”
“มันไปทางไหนแล้ว”
“ทางโน้น”
เมฆยังทำเดินกระเผกเดินตามผู้หญิงที่นำไป เมฆหาไม้ขนาดเหมาะมือพกติดไปด้วย
ระหว่างนั้นที่ท้ายสวนมีโจรสองคนสะพายเป้ใส่ของที่ขโมย และอุ้มเด็กคนหนึ่งไว้
“นี่แกจะเอาเด็กไปด้วยจริงๆ ใช่มั้ย”
“แกไม่รู้อะไร เด็กวัยแบบนี้ ขายได้ราคาดีนะเว้ย”
เสียงเด็กร้องไห้งอแง
“เอาไปให้มันร้องตลอดทาง เราจะได้เป็นที่สังเกตรึไง”
“ก็มัดปากมันไว้สิ”
โจรจัดการมัดปากเด็กไม่ให้ร้อง
“นั่นไงคะ” ผู้หญิงบอกเมฆเมื่อตามมาจนทันโจร
“ไวนักนะ... คิดจะพาคนมาช่วยเหรอ”
“ไม่ต้องกลัวหรอกพี่ ก็แค่ไอ้เป๋คนนึง”
“แกคืนเด็กคนนั้นมาเถอะ เด็กมันไม่รู้เรื่องอะไรด้วย”
“แกนั่นแหละ ที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย อย่ามายุ่งดีกว่า”
“วอนหาเรื่องตายซะแล้ว”
“อยากได้อะไรก็เอาไปเถอะ ชั้นขอแค่ลูกชั้นคืน” ผู้หญิงบอก
“ขอมากไปรึเปล่า”
โจรทั้งสองคนจู่โจมเข้าหาเมฆ เมฆต่อสู้อย่างคล่องแคล่วว่องไว โจรสองคนโดนไปไม่น้อย แต่เมฆก็ยังช่วยเด็กมาไม่ได้อยู่ดี
“ไอ้เป๋นี่มันไม่ธรรมดา”
“ส่งเด็กมา”
“อยากได้ก็เข้ามาเอาสิ”
โจรพาเด็กไป ปรากกฎว่าคนที่อุ้มเด็กสะดุดล้ม เด็กกระเด็นหลุดจากมือไปเกี่ยวกับต้นไม้พอดี เด็กห้องต่องแต่ง เมฆถือโอกาสนี้เข้าจัดการกับโจร แต่ระหว่างต่อสู้ เด็กที่แขวนกับกิ่งไม้ไม่ใหญ่นักแต่สูง ก็ร้องไห้ดิ้นไปมา แม่เด็กพยายามจะช่วยแต่ก็ไม่ถึง เมฆต้องรีบสู้เพื่อจะมาช่วยเด็กให้ทัน กิ่งไม้ค่อยๆ ร้าว ปริ จนจะหักลงมา
เมฆปราบโจรจนสลบไปทั้งคู่ แล้วเขาก็ไปรับเด็กที่ร่วงลงมาไว้ได้ทัน พอเมฆคืนเด็กส่งให้แม่ได้ เขาถึงกับทรุดเพราะแผลมีเลือดไหลออกมามาก
“คุณ เป็นอะไรมากมั้ยคะเนี่ย”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ชั้นต้องขอบคุณคุณมากที่มาช่วย ไม่รู้จะตอบแทนคุณยังไงดี”
“สิ่งที่จะตอบแทนผมได้ดีที่สุดก็คือ เรื่องวันนี้คุณอย่าไปบอกใคร”
“ได้ค่ะ ชั้นรับปาก”
“จะไม่ถามหน่อยเหรอว่าเพราะอะไร”
“ทีคุณยังมาช่วยชั้นทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันได้เลย ชั้นก็ไม่ถามหาเหตุผลในสิ่งที่คุณขอค่ะ”
เมฆกับผู้หญิงยิ้มให้กัน
ที่บ้านพันเทพขณะนั้น ราตรีนั่งอ่านนิตยสารแฟชั่น ดูเสื้อผ้า พร้อมกับคุยโทรศัพท์
“ชุดราตรีชั้นตัดเสร็จรึยัง...แล้วมันจะเสร็จทันงานวันเกิดพี่ทิวามั้ย...ดี เร่งๆ หน่อย เข้าใจมั้ย...แค่นี้”
ราตรีวางหู แพรวาเดินเข้ามา
“ราตรี บอกมาเถอะว่าเธอนัดคุณไกรไว้ที่ไหน” ราตรีอ่านหนังสือไม่สน
“อย่ามาทำน้ำเสียงแบบนี้กับชั้นนะ ชั้นไม่ใช่ขี้ข้าเธอ”
“เราเป็นพี่น้องกัน เธอไม่ควรทำแบบนี้”
“เธอคิดว่าชั้นอยากจะเป็นพี่น้องกับเธอนักรึไงชั้นอยากจะอยู่ไกลๆ กับเธอให้มากที่สุด แต่ทำไมฟ้าต้องแกล้งให้ชั้นกับเธอ เป็นฝาแฝดกัน เกิดมาหน้าตาเหมือนกันด้วย”
“ราตรี...ขอร้องล่ะ เธอจะโกรธจะเกลียดชั้นชั้นไม่ว่า แต่อย่าดึงคนอื่นเข้ามายุ่ง”
“อย่ามาพูดทำเป็นคนดีหน่อยเลย ชั้นก็แค่นัดคุณไกรทานข้าว ไม่เห็นจะมีใครเดือดร้อน แต่เธอนั่นแหละกลัวชั้นจะทำลายภาพที่เธอสร้างไว้...ใช่มั้ยล่ะ”
ราตรีย้อนถาม
“เอางั้นก็ได้ งั้นชั้นจะโทรไปยกเลิกนัดคุณไกรเดี๋ยวนี้แหละ ไม่ต้องมีใครไปทั้งนั้น”
แพรวาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะโทรหาไกร ราตรีคว้าโทรศัพท์เขวี้ยงทิ้ง
“ไม่ได้นะ เธอจะยกเลิกนัดไม่ได้”
“ทำไมจะไม่ได้ เธอไม่มีสิทธิ์อะไรมาสั่งชั้นเหมือนกัน”
“ก็ลองดูสิ ถ้าเธอทำแบบนั้น ชั้นจะทำให้ชื่อของเธอป่นปี้ไม่มีชิ้นดีเลย”
“เธอจะทำอะไรน่ะ”
“ถ้าเกิดชั้นนอนกับเค้าขึ้นมา คนที่เสียทุกอย่างก็คือเธอสินะ ทั้งชื่อเสียง แล้วก็นายไกรของเธอก็เป็นของชั้น”
แพรวาหน้าเสีย ราตรีลอยหน้าลอยตาสะใจ
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่บ้านศรนารายณ์ อบเชยกำลังแต่งหน้าอยู่หน้ากระจกเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“อุ้ย...ก็บอกแล้วว่านัดกันตอนเย็น ไม้นี่ใจร้อนจริง ดีนะเนี่ย...ทางเราสวยพร้อมไว้ก่อน” อบเชยทำท่าทางสวยเปิดประตู กลายเป็นทิวา “เข้าใจว่าอยากเจอแต่แหม...” อบเชยชะงักเมื่อเห็นทิวา น้ำเสียงเปลี่ยนทันที “มาทำไมเนี่ย”
“ทำไมวันนี้สวยจัง”
“เรื่องของชั้น”
“ยังดุเหมือนเดิม”
“มาหาพ่อเหรอ พ่อไม่อยู่หรอก”
“เปล่า มาหาเธอนั่นแหละ”
“มีอะไร”
“จะชวนไปกินข้าว”
“ไม่ว่าง มีนัดแล้ว”
“มีนัดแล้วก็เลื่อนนัดสิ”
“นัดสำคัญ ไม่เลื่อนหรอก มีอะไรอีกมั้ย มีอะไรต้องทำอีกเยอะ”
อบเชยจะปิดประตูใส่ทิวา แต่ทิวาเอามือกันไว้
“เธอทำเฉยชากับชั้นแบบนี้ไม่ได้นะ”
“ทำไมจะทำไม่ได้ นายไม่ได้สำคัญกับชั้นซะหน่อยนี่” อบเชยปิดประตูใส่หน้าทิวาปัง แล้วก็ไม่ได้สนใจทิวาอีก “เสียเวลาจริง”
ทิวาเจ็บใจทุบประตูปังปังด้วยความโมโห
“เธอเปิดประตูออกมานะ อบเชย อย่ามาทำแบบนี้กับชั้น อบเชย” เมื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากภายในบ้าน ทิวายิ่งโมโห “เธอคอยดูนะอบเชย แล้วเธอจะเสียใจที่ทำกับชั้นแบบนี้ คอยดู”
ทิวาเดินออกไปอย่างโมโห
ราตรีแยกจากแพรวาเดินมาที่รถ
“วันนี้ชั้นจะเอาหนังเสือจากนายไกรไปให้พ่อ แล้วแก ก็จะกลายเป็นหมาหัวเน่า ยายแพรวา”
ราตรีบ่นพึมพำอยู่คนเดียวแล้วสตาร์ทรถขับออกไป แพรวาแอบดูราตรีที่กำลังขับรถออกไป เธอรีบวิ่งไปสตาร์ทรถของตัวเองขับตามราตรีออกไป
แพรวาขับรถตามราตรีมาจนถึงร้านอาหารแห่งหนึ่ง แพรวารีบหาที่จอดรถทันที...แพรวาเดินหลบๆเข้ามาในร้าน เธอชะเง้อดูจนเห็นด้านหลังของราตรีนั่งอยู่โต๊ะนึง แพรวายิ้มแล้วเลือกนั่งโต๊ะที่ติดกับทางเข้าออกมากที่สุด
“นั่งตรงนี้ ถ้าคุณไกรมาก็เจอเราก่อน ...ไม่ว่าเธอจะมีแผนร้ายอะไร เธอทำไม่สำเร็จหรอกราตรี”
แพรวายิ้มที่เอาชนะราตรีได้
ผ่านเวลา...แพรวานั่งกินน้ำจนหมดแก้วรอไกร แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าไกรจะมา แพรวาชะเง้อดูราตรีที่เห็นเพียงด้านหลังก็ยังไม่มีใครมานั่งด้วย จนในที่สุดคนที่แพรวาคิดว่าเป็นราตรีก็ลุกขึ้นเดินออกมา พอแพรวาเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นก็ต้องตกใจ เพราะเธอไม่ใช่ราตรี หญิงสาวคนนั้นเดินมาที่โต๊ะของแพรวาพร้อมกับยื่นกระดาษให้หนึ่งแผ่น แพรวารับมาอ่าน ข้อความเขียนว่า “เธอคิดว่าชั้นจะโง่กว่าเธองั้นเหรอ ...ราตรี”
“นี่หมายความว่า...ราตรีจ้างเธอมาปลอมเป็นเค้าเหรอ”
“ชั้นก็ไม่รู้ค่ะ แต่มีผู้หญิงคนนึงหน้าเหมือนคุณให้เงินชั้น บอกว่าให้ชั้นมานั่งกินข้าวที่ร้านนี้ โดยอย่าให้คุณเห็นหน้า พอกินข้าวเสร็จแล้วก็ให้เอาจดหมายนี่มาให้คุณค่ะ”
“ร้ายกาจนักนะราตรี”
แพรวาเจ็บใจ
ขณะนั้นราตรีนั่งวินมอเตอร์ไซค์มาลงที่หน้าศาลาท่าน้ำที่วัด
“ป่านนี่ยายแพรวาหน้าโง่คงกำลังนัดเดทกับผีอยู่ละสินะ หึหึ แผนการตื้นๆ จะทำอะไรชั้นได้”
ไกรเดินมาที่ศาลาท่าน้ำพอดี
“คุณมาถึงเร็วจังนะครับ”
“พอดีนั่งวินมอเตอร์ไซค์มาน่ะค่ะ”
“อ้าว ทำไมละครับ”
“รถเสียพอดีเลยค่ะ สงสัยคงต้องรบกวนคุณไกรไปส่งแล้วละค่ะ”
“ได้สิครับ คุณแพรวาช่วยผมไว้ตั้งเยอะแยะ เรื่องแค่นี้ไม่ใช่การรบกวนหรอกครับ”
ราตรียิ้มเจ้าเล่ห์
แพรวาเดินมาหน้าร้านอาหารอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แพรวาเดินมายืนหน้ารถราตรีที่จอดทิ้งไว้ ที่หน้ารถราตรีมีโน้ตติดไว้โดยใช้ที่ปัดน้ำฝนหนีบไว้ แพรวาเห็นจึงหยิบขึ้นมาอ่าน
“ถ้าชั้นจะเอาคุณไกรขึ้นมาจริงๆ เธอคิดว่าจะหยุดชั้นได้เหรอ”

แพรวาขยำกระดาษทิ้งอย่างเจ็บใจ

อ่านต่อหน้า 3 เวลา 17.00 น.





แจ้งเพื่อทราบ :
เนื่องจากแฟนเพจเฟสบุ๊ค "ละครออนไลน์" มีปัญหาด้านเทคนิคบางประการ ทีมงาน “ละครออนไลน์” จึงจะทำการปิดภายในวันพรุ่งนี้ (พุธที่ 22 มีนาคม พศ. 2555) และจะดำเนินการเปิดใหม่ให้เร็วที่สุด โดยจะแจ้งให้แฟนๆ ที่ติดตามทราบเป็นระยะ จึงขออภัยมา ณ ที่นี้

ลูกผู้ชายไม้ตะพด  ตอนที่ 7 (ต่อ)

ราตรีกับไกรให้อาหารปลากันไปคุยกันไป ระหว่างที่ราตรีคุยกับไกร เธอแอบกดโทรหาแพรวาโดยไม่ให้ไกรรู้ตัว

“ดูปลาโน่นสิครับ แย่งกันกินใหญ่เลย”
โทรศัพท์แพรวาดังขึ้นเป็นราตรีโทรมา แพรวารีบกดรับ
“ราตรี อยู่ไหนบอกมานะ”
ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝั่ง ได้ยินแต่เสียงราตรีกับคุณไกรคุยกันตอบกลับมา
“คุณแพรวานี่ไม่เหมือนผู้หญิงที่ผมเคยรู้จักนะครับ ตอนแรกผมนึกว่าคุณไม่แตกต่าง”
“อะไรทำให้คุณเปลี่ยนความคิดละคะ”
“ก็ผมเจอคุณแต่ละที่ ทั้งในห้องสมุด ทั้งที่นี่ ผมไม่คิดว่าคุณจะชอบที่แบบนี้ พักหลังนี่ท่าทีคุณเปลี่ยนไปจากเดิมนะครับ”
“เป็นแบบนี้แล้วชอบมั้ยละคะ”
“ชอบสิครับ” ไกรมองราตรีตาหวาน
“อย่ามองแบบนั้นสิคะ มันเขิน”
ราตรีกดวางโทรศัพท์ แพรวาที่ยืนฟังที่ปลายสายน้ำตาหยดลงมาโดยไม่รู้ตัว เธออธิบายความรู้สึกของตัวเองไม่ถูกเหมือนกัน
ราตรีหยุกหยิกปิดโทรศัพท์ ไกรสังเกตเห็น
“มีอะไรรึเปล่าครับ”
“เปล่าค่ะ พอดีมีคนโทรมา แต่ชั้นไม่อยากรับ อยากคุยกับคุณมากกว่า”
“แล้วนี่ที่คุณนัดผมมาวันนี้ มีอะไรรึเปล่าครับ”
“ชั้นก็แค่อยากรู้ว่าคุณแปลข้อความในหนังเสือแผ่นนั้นได้รึยัง”
“ยังเลยครับ คนที่จะรู้ภาษาแบบนี้หายากจริงๆ”
“ชั้น...ขอดูหนังเสือแผ่นนั้นอีกทีจะได้มั้ย”
“ได้สิ”
ไกรหยิบหนังเสือออกจากกระเป๋าส่งให้ราตรี
“นี่พกไปไหนมาไหนตลอดเลยเหรอคะเนี่ย”
“เผื่อคิดอะไรออกน่ะครับ”

ราตรีมองไกรอย่างเจ้าเล่ห์
อีกด้านหนึ่งที่ตลาดไม้เดินออกจากร้านขายตุ๊กตามองหน้าตุ๊กตาของตัวเองในมือที่จะสุขก็ไม่สุข จะเศร้าก็ไม่เศร้าขนาดพอดีมือ
“ของแบบนี้ อบเชยจะชอบมั้ยนะ” แพรวาเดินเศร้าผ่านมาพอดี “อ้าวคุณแพรวา? มาทำอะไรแถวนี้ครับเนี่ย”
แพรวายิ้มๆ มองตุ๊กตาในมือไม้
“ชั้นก็...เดินเล่นไปทั่วล่ะ”
“คุณแพรวามีเรื่องอะไรไม่สบายใจรึเปล่า ท่าทางดูไม่ค่อยดีเลย”
“ถ้าไม้ไม่มีธุระอะไรที่ไหน อยู่เป็นเพื่อนชั้นหน่อยได้มั้ย”
สีหน้าแพรวาไม่ค่อยสบายใจ ไม้ลังเลเป็นห่วงแพรวา แต่เขาก็ดูนาฬิกาห่วงนัดกับอบเชยด้วย
พอถึงเวลานัดอบเชยถือปิ่นโตเดินมาถึงที่ท่าน้ำ แต่เมื่อมาถึงยังไม่เห็นใคร
“พายเรือ พายเรือ พายเรือ สองคนไปดูหิ่งห้อยกันหนุงหนิง กินข้าวกันใต้แสงเรืองๆ ใต้ต้นลำพู” อบเชยพูดแล้วเขินเอง “ไม้ก็... เข้าใจว่าบรรยากาศมันพาไป เมื่อไหร่จะมาซักที”
อบเชยชะเง้อมองไม้แล้วนั่งจินตนาการเรื่องระหว่างตนกับไม้รอไม้มาตามนัด
ขณะนั้นไม้อยู่กับแพรวาที่ร้านอาหาร น้ำตาแพรวาไหลออกมาเธอปาดทิ้งไม่อยากให้ไม้เห็น แต่ไม้ก็เห็น
“คุณแพรวาร้องไห้? เป็นอะไรครับ”
“แค่อ่อนแอน่ะ”
“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจ เล่าให้ผมฟังได้นะ”
“ถ้าไม้ไม่รู้เหตุผล ไม้ยังจะอยู่เป็นเพื่อนชั้นอยู่รึเปล่า”
“อยู่สิครับ ผมคงไม่สบายใจถ้าทิ้งให้คุณแพรวาเศร้าคนเดียว”
“ขอบใจนะ ไม้ดีกับชั้นเสมอเลย”
พระอาทิตย์เกือบจะลับขอบฟ้าแล้วอบเชยชะเง้อรอไม้ แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของเขา
“ทำไมไม่ตรงเวลาแบบนี้นะไม้ คอยดูเถอะมาถึงแล้วจะฆ่าให้ตายเลย”
อบเชยบ่นแล้วยังชะเง้อรอไม้อยู่
ทางด้านราตรี ระหว่างอยู่บนรถไกร ราตรีจึงขอยืมหนังเสือจากไกร
“คุณไกรจะว่าอะไรมั้ยคะ ถ้าชั้นจะยืมหนังเสือไปลองเทียบกับหนังสือที่บ้านดู”
“เอ่อ อย่าดีกว่าครับ เกรงใจคุณแพรวาเปล่าๆ”
“ไม่นะคะ ไม่ต้องเกรงใจเลย ชั้นเต็มใจทำให้”
ไกรนิ่งคิด ราตรีลุ้นกับคำตอบ
“อย่าดีกว่าครับ นี่มันไม่ใช่ของผมทั้งหมด ผมควรจะขออนุญาตเค้าก่อน”
“ชั้นรับรองว่าชั้นจะไปค้นคว้าเงียบๆ ไม่บอกใครเลยค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ ให้ผมปรึกษากับคนที่นำมันมาฝากให้ผมก่อนดีกว่า”
ราตีแอบทำหน้าเบื่อ
“ก็ได้ค่ะ ถ้าคุณไกรไม่ไว้ใจชั้น”
“อย่าพูดแบบนั้นสิครับ ผมไว้ใจคุณ”
“นี่เหรอคะการกระทำของคนไว้ใจกัน”
“ผมไว้ใจคุณ แต่ไม่ไว้ใจโชคชะตา ผมไม่รู้ว่าจะมีคนมาลอบทำร้ายคุณเอามันไปรึเปล่า...ดังนั้นอย่ากดดันผมเลยนะครับ” ราตรีไม่สบอารมณ์นัก แต่ก็เก็บอารมณ์ส่งยิ้มให้ไกร “ถึงบ้านคุณพอดีเลยครับ”
“เราจะได้เจอกันอีกใช่มั้ยคะ”
“แน่นอนสิครับ”
ไกรยิ้ม ราตรีเก็บความไม่พอใจไว้ในใจแล้วส่งยิ้มกลับไป
ไกรส่งราตรีเสร็จแล้วขับรถออกไป ราตรียืนอยู่หน้าบ้านคนเดียว
“โธ่เอ๊ย ของแค่นี้ทำเป็นห่วงไปได้ คอยดูเถอะชั้นจะเอามาให้ได้”
ขณะนั้นอบเชยยังอยู่ที่ท่าน้ำและยังชะเง้อรอไม้อยู่ แม้จะค่ำมืดดึกดื่นแล้วก็ตาม รอไปพลาง ตบยุงไปพลาง อบเชยเริ่มท้อ
อีกด้านหนึ่งไม้กำลังขับรถมาส่งแพรวาที่บ้าน แพรวาหลับสนิทอยู่ในรถตัวเองเหมือนเด็ก ไม้แอบมองดูแพรวาหลับด้วยความรู้สึกเอ็นดู ไม้ทิ้งตุ๊กตาที่ตั้งใจจะให้อบเชยไว้ที่เบาะคนขับ แล้วลงจากรถโดยไม่ปลุกแพรวา ไม้กดกริ่งหน้าบ้านแพรวาให้คนออกมารับแพรวาเข้าไป และหายไปก่อนที่ใครจะเห็น
อบเชยเดินกลับบ้านคนเดียวเหงาๆ จึงคาดกับไม้ที่มาหาอบเชยที่ท่าน้ำแต่อบเชยไม่อยู่แล้ว มีเพียงปิ่นโตหนึ่งเถาวางอยู่เท่านั้น ไม้ถอนหายใจ
“ขอโทษนะอบเชย”
แพรวาถือตุ๊กตาที่ไม้ทิ้งไว้ให้กลับเข้าห้อง พร้อมกับโน้ตที่เขียนว่า “ให้มันอยู่เป็นเพื่อนคุณ ไม้”
แพรวามองหน้าตุ๊กตายิ้มๆ
วันต่อมาที่ท่ารถบขส. ชาญกับจันทร์ ต่างช่วยกันทำความสะอาดขัดถูรถบขส.แต่ละคัน ไกรเดินเข้ามา
“นี่มีใครได้เจอไม้แล้วบ้างเนี่ย”
“หายเข้ากลีบเมฆไปเลย”
“เพื่อนสนิทมัน ยังไม่รู้ ไม่ต้องไปหาที่ไหนแล้วมั้ง”
“พักหลังนี่ชั้นไม่ได้เจอไม้เลย”
“ไม่ต้องห่วง ข้าก็ไม่เจอ”
“แบบนี้เรื่องก็ไม่เดินไปไหนซักที ชั้นทำคนเดียวคงไม่รอดแล้ว”
“เรื่องอะไรน่ะ”
“เรื่องหนังเสือ”
“หนังเสือแผ่นนั้น”
“หนังเสืออะไรขอรู้มั่งสิ”
“รู้ไปแล้วจะช่วยอะไรได้มั้ย”
“ช่วยอะไรไม่ได้หรอก มันเป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้”
ไกรยื่นหนังเสือให้ชาญดู ชาญมองแล้วก็ตกใจ นี่มัน...
“ลายแทงเพื่อเข้าไปในป่าอาถรรพ์นี่” ชาญบอก
“ป่าอาถรรพ์ รู้ได้ไง” ไกรถามอย่างแปลกใจ
“ก็ภาษาที่ว่าเนี่ยเป็นภาษาปะกากะญอของเผ่าชั้นเอง”
“ไม่น่าเชื่อ ว่าเรื่องอยู่ๆ มันจะง่ายแบบนี้”
“แล้วป่าอาถรรพ์คืออะไร”
“มันคือป่าที่ใครต่อใครก็รู้กันดี โดยเฉพาะคนหาของป่า แล้วก็พวกชนกลุ่มน้อยอย่างชั้น ว่าอย่าเข้าไปเหยียบเลยน่ะสิ”
“ทำไมล่ะ”
“เพราะไม่มีใครได้ออกมา”
“แล้วหนังเสือนี่จะบอกทางให้เราเข้าไปในป่าน่ากลัวนี่เพื่อหาอะไรกัน”
ชาญเพ่งอ่าน
“ไม่แน่ใจนะ แต่มันเกี่ยวข้องกับบางสิ่งถึงชีวิตแน่ๆ”
ไกร จันทร์ ชาญ ต่างสงสัยอยากค้นหา
ที่บ้านเมฆ เมฆเข้าไปในห้องน้ำเปิดดูแผลที่หลังของตน เลือดไหลซึมออกมาเมฆเอาผ้าปิดไว้ไม่อยากให้ใครเห็น เมฆเดินออกมาจากห้องน้ำ ขณะนั้นไม้รอเข้าต่อ อยู่ๆ เมฆก็เซถลาเหมือนคนเป็นลม ไม้พยุงไว้ได้
“พ่อเป็นอะไรรึเปล่าน่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก สงสัยลุกนั่งเร็วไปหน่อย เลยหน้ามืด”
“แน่ใจนะว่าไม่เป็นไร”
“ไม่เป็นไร”
“ไปทำงานไหวมั้ยเนี่ย”
“สบายอยู่แล้ว”
เมฆส่ายหน้ายิ้มให้ไม้อย่างเป็นกันเอง ไม้ยิ้มให้พ่อ
ไม้พาเมฆมาส่งที่ท่ารถบขส.
“บอกว่าไม่ต้องมาส่งก็มาส่งอีก”
“แหม แค่มาส่งพ่อแค่นี้ ไม่ได้ลำบากอะไรเลย”
“หายไปนานเลยนะไม้นะ ลืมเพื่อนไปแล้วมั้งเนี่ย” จันทร์บอก
“ไม่ได้ลืม แกก็พูดซะ”
“บางทีเราก็ต้องทำใจ ไอ้ตัวเราก็ไม่ใช่ผู้หญิงหรืออะไร คนจะได้มาใส่ใจตลอดเวลา” ชาญบอก
“เอ๊า ประชดกันเข้าไป”
อบเชยเดินถือของพะรุงพะรังจากตลาดเดินผ่านมา ไม้เหลือบไปเห็น
“นั่นอบเชยนี่” ไม้เดินไปหาอบเชยทันที
“เป็นไง ชั้นพูดผิดมั้ย เห็นผู้หญิงล่ะรี่เข้าไปเลย” ชาญบอก
อบเชยเดินถือของก้มหน้าก้มตาไม่ทักทายใคร ไม้วิ่งเข้าประชิดตัว
“มา เราช่วย”
อบเชยหันขวับไปตามเสียงของไม้ แล้วความงอนก็จับใจขึ้นมา ไม้เอาถุงจากมืออบเชยจะมาถือ อบเชยกำแน่น ไม่ยอมปล่อย
“ไม่ต้อง”
“ขอโทษ เมื่อวานติดธุระสำคัญจริงๆ”
“แล้วจะมาบอกตอนนี้น่ะเหรอ มันไม่ทันหรอกนะ คนรอก็รอไปแล้ว คนเสียใจก็เสียใจไปแล้ว”
“ก็ขอโทษแล้วไง จะให้ทำอะไรอีกล่ะ”
“ธุระอะไร...ที่ว่าสำคัญน่ะ”
“ก็ธุระ...”
“บอกมา แล้วชั้นจะไม่โกรธ ชั้นอยากรู้ว่าอะไรที่สำคัญกว่าชั้นบ้างในสายตาของไม้”
“ก็...” ไม้อึกอัก
“บอกมาเถอะ ชั้นอยากรู้จริงๆ”
“คุณแพรวาเค้ามีเรื่องไม่สบายใจ เลยขอร้องให้ชั้นอยู่เป็นเพื่อน”
“แล้วไม้ก็อยู่...ทั้งที่มีนัดกับชั้น” อบเชยยิ้มเศร้าๆ
“แต่คุณแพรวาเค้าเดือดร้อน...”
“แล้วน้ำตาของชั้นล่ะ มันไม่มีความหมายเลยรึไง”
ไม้ถึงกับเงียบเถียงไม่ออก น้ำตาอบเชยหยดติ๋ง แทนความรู้สึกทั้งหมด อบเชยไม่พูดอะไรเดินหนีไป ไม้ยืนนิ่งเสียงตะโกนเชียร์จากอีกฝั่งดังมา
“เฮ้ย ตามไปดิวะ ยืนนิ่งทำไม”
“หรือจะยกให้ข้า”
จันทร์กับชาญหัวเราะร่วน ไม้เดินตามอบเชยไป
ไม้เดินตามอบเชย ตะโกนเรียกแต่อบเชยก็ไม่หยุด
“อบเชยรอก่อน อบเชย” อบเชยเดินจ้ำไม่หยุดรอ ไม้คว้าแขนเธอไว้ให้หยุด “อบเชยรอเดี๋ยวไง”
“พออยากจะคุยก็ต้องคุยให้ได้ โดยไม่คิดถึงใจคนอื่นเลยรึไง”
ไม้จับมืออบเชย
“ขอโทษ”
อบเชยสีหน้าอ่อนลง ทั้งไม้และอบเชยไม่รู้เลยว่าทิวาแอบซุ่มดูทั้งสองคนอยู่
“ไอ้ไม้...แกจะแย่งทุกอย่างไปจากชั้นใช่มั้ย”
ทิวาหันไปมองปืนที่เบาะรถตน
ขณะนั้นพันเทพเดินหาเสียงพบปะผู้คนอยู่ ไม่ไกลจากท่ารถบขส.
“เข้าคูหากาพันเทพนะครับ”
พันเทพแจกใบปลิวให้ชาวบ้าน
ขณะที่ไม้กับอบเชยกำลังเคลียร์กันอยู่ จู่ๆ ทิวาก็วิ่งรี่เข้ามาจากไหนก็ไม่รู้
“พอทีเรื่องนี้ ชั้นเบื่อการมีชีวิตของแกเต็มทนแล้วไอ้ไม้”
“นี่มันเรื่องอะไร”
“ไม่ต้องพูดมาก ชั้นทนกับเรื่องแบบนี้มานานแล้ว”
“อย่าทำอะไรบ้าๆ นะทิวา”
ทิวาสู้กับไม้ แต่ทิวาดูอ่อนหัด สู้ไม้ไม่ได้เลย ทิวาเสียหน้า ควักปืนออกมา
ชาวบ้านเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับทิวาและไม้ จึงวิ่งมาตะโกนบอกในท่าระบขส.
“แย่แล้ว ไอ้ไม้กำลังจะโดนทิวาลูกพันเทพยิง”
“ห๊ะ”
“จำผิดคนรึเปล่า ไอ้ไม้มันอยู่กับอบเชยนะ”
“นั่นแหละ อบเชยก็อยู่ด้วย”
ทุกคนวิ่งกรูกันไป พันเทพเห็นทิวาจ่อปืนมาที่ไม้ เขาก็วิ่งตัวปลิวมาช่วยไม้อีกคน
“อย่าอยู่เลย”
ทิวากำลังจะยิงไม้ พันเทพกระโดดเข้ามาผลักไม้ล้มลง ลูกปืนถากแขนพันเทพล้มลงไปกลิ้งกับไม้ ทุกคนยืนงงที่พันเทพทำอย่างนั้น สมุนเข้ามาดูพันเทพ อบเชยวิ่งเข้ามาดูไม้
“เจ้านายเป็นยังไงบ้างครับ”
“ไม้เป็นยังไงบ้าง”
“พ่อ ทำแบบนี้ทำไม ยอมเสี่ยงตายไปช่วยมันทำไม”
ทิวาถามอย่างไม่พอใจพันเทพเงียบไม่ตอบอะไร เมฆยังยืนตะลึงกับการกระทำของพันเทพ ไม้ก็เช่นกัน

เมื่อพันเทพกับทิวากลับมาบ้าน ทิวาก็โวยวายเสียงดังอย่างไม่พอใจ
“ทำไมพ่อยอมตายเพื่อไอ้ไม้”
พันเทพยึดปืนจากทิวา แล้วตบหน้าทิวาฉาด
“อย่าทำอะไรโง่ๆ แบบนี้อีก”
“พ่อ พ่อช่วยมันแล้วทำร้ายลูกตัวเองเหรอ”
“หัดคิดซะบ้างสิ ทำลงไปก็กลายเป็นฆาตกร แล้วตอนนี้ก็เป็นช่วงหาเสียงด้วย พ่อเข้าไปเดินเรื่องช่วยออกหน้าออกตาก็ไม่ได้ ลูกจะติดคุกตลอดชีวิต อยากเป็นแบบนั้นรึไง” ทิวาสงบลง “ถ้าขืนทำอะไรไม่คิดแบบนี้อีก ชีวิตลูกนั่นแหละที่จะแย่ ไม่มีใครคอยช่วยลูกได้ตลอดเวลาหรอกนะ”
“พ่อแน่ใจนะ ว่าพ่อทำเพื่อผม”
ทิวามองพันเทพอย่างไม่แน่ใจนัก พันเทพเบี่ยงเบนความสนใจเอามืออุดแผลที่เลือดไหลออกมา
ส่วนเมฆกับไม้เมื่อกลับมาบ้าน เมฆถามไม้อย่างเป็นห่วง
“เจ็บอะไรตรงไหนบ้างรึเปล่าลูก”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ทำไม…ทำไมพันเทพถึงทำแบบนั้น”
“ผมก็ไม่รู้”
“หากจะช่วยลูกตัวเองไม่ให้เป็นฆาตกร ก็น่าจะห้ามลูกตัวเอง ไม่ใช่เข้ามาปกป้องลูกคนอื่นแบบนี้นี่”
ไม้นิ่งคิดสีหน้าเมฆดูกังวลและสงสัยมาก
ขณะนั้นอบเชยนั่งอยู่หน้าบ้านเมฆ ใจกระสับกระสายไม่อยู่กับที่คอยชะเง้อมองในบ้านตลอด ชาญกับจันทร์เดินเข้ามา
“ไม้จะเป็นอะไรมากรึเปล่านะ”
“ก็เห็นอยู่ว่าไม่เป็นไร ไอ้พันเทพต่างหากที่โดน”
“มันจะทำแบบนี้ทำไม”
“จะว่าเรียกคะแนนจากนักข่าวก็ไม่น่าใช่ เพราะการที่ไอ้ทิวาก่อเรื่องแบบนี้ ก็ไม่เป็นผลดีกับคะแนนเสียงพันเทพแน่ๆ”
“นั่นสินะ”
“ไม้จะเป็นไงนะ”
“นี่ เมื่อกี้ยังโกรธเค้าอยู่เลย นี่อะไร ห่วงจะเป็นจะตาย” อบเชยค้อนจันทร์ ไม้เปิดประตูออกมาอบเชยนิ่งไม่แสดงท่าที “เป็นไงบ้างวะแก มีคนแถวนี้เค้าเป็นห่วง”
ไม้มองอบเชย
“ไม่เป็นไร”
“ตายยากว่างั้นเถอะ”
“ไม่เป็นไรก็ดี” อบเชยบอกแต่ยังงอนอยู่
“หืม ไม่เป็นไรก็ดี เมื่อกี้เดินไปเดินมาเป็นหนูติดจั่น ห่วงเหลือเกิน”
“ก็...”
ไม้ยิ้ม จังหวะนั้นรถไกรแล่นมาจอดหน้าบ้านเมฆ ไกรลงจากรถมาหาไม้
“อ้าวคุณไกร”
อบเชยเห็นไกรจึงถือโอกาสประชดไม้
“กำลังคิดถึงคุณไกรอยู่พอดี”
ไม้มองอบเชยเคืองๆ
“ไม้...ชั้นเอาหนังเสือมาคืนน่ะ”
“ได้เรื่องมั้ย”
ไกรกับจันทร์มองไปยังชาญ
ทั้งหมดย้ายเข้ามาคุยกันในบ้านเมฆ อบเชยนั่งติดไกร ไม้มองเคืองๆ
“ไม่ใช่แค่อ่านออกนะ ชั้นรู้ด้วยว่าป่าอาถรรพ์อยู่ตรงไหน”
“พี่ชาญพาไปได้”
“ไอ้พาไปน่ะได้ แต่ขอไม่เข้านะ”
“แล้วใครจะอ่านคำในหนังเสือให้พวกเราล่ะ”
“แต่ป่านั่นมันอันตรายมาก คนที่เข้าไปทุกคนไม่มีวันได้กลับมาอีกเลย”
“เดี๋ยวๆ จะเข้าไปกันแล้ว รู้เหรอว่ามันเป็นลายแทงไปหาอะไร”
“นั่นสิ”
“แต่คนที่รู้ก็น่าจะมี ไม่งั้นมันคงไม่อยากได้นัก”
“พันเทพ”
ไกรนึกถึงพันเทพ
ขณะนั้นพันเทพเอาเลือดที่ไหลของต้นแขนที่ถูกลูกกระสุนถากให้อาหารไม้ตะพด เลือดซึมหายไปในไม้ตะพดอย่างเคย
“เราต้องได้ตำราหนังเสือมาให้ได้ ...ของทั้งสาม อย่างต้องอยู่กับพันเทพคนเดียว”
พันเทพบอกกับตัวเอง
ส่วนที่บ้านเมฆ ขณะนั้นไกรเตรียมจะกลับบ้าน ไม้ออกมาส่งหน้าบ้าน ไกรจึงเตือนไม้ให้ระวังตัว
“ช่วงนี้ต้องระวังตัวให้ดีนะไม้”
“พวกคนศัตรูเยอะ ไม่ว่าช่วงไหนก็ต้องระวังตัวทั้งนั้นแหละค่ะ” อบเชยบอก
“มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้เลยนะ”
“ถ้าเจอลูกผู้ชาย ฝากความคิดถึงด้วยนะ”
“คุณไกร เดี๋ยวชั้นขอติดรถไปด้วยคนนะคะ”
“ได้สิ”
อบเชยยิ้มให้ไม้ยั่วๆ ไม้แอบหึงแต่ทำไม่สนใจ
“คุณไกรพาไปทานอาหารอร่อยๆ ด้วยสิคะ ชั้นละหิ๊วหิว”
“ได้สิ”
อบเชยเข้าไปนั่งในรถมองไม้ยั่วๆ ไม้ไม่ค่อยพอใจนัก
ไกรขับรถพ้นมาจากบ้านเมฆ อบเชยจึงหันมาบอกไกรว่า
“ไม่ต้องไปกินหรอกนะคะข้าวน่ะ ชั้นไม่หิวหรอก”
“คุณทำแบบนี้กับผมบ่อยๆ ไม่สงสารผมบ้างเหรอ”
“ชั้นขอโทษค่ะ”
“ถ้ามันทำให้คุณสบายใจก็ไม่เป็นไร ผมยินดี”
“ทำเอาชั้นรู้สึกผิดเลยค่ะ”
อบเชยบอกพร้อมกับยิ้มให้ไกร
ทางด้านทิวาขณะนั้นทิวากำลังคิดถึงเหตุการณ์ต่าง ตั้งแต่เห็นพันเทพดูรูปไม้ในห้อง ตอนที่เขาซ้อมไม้แล้วพันเทพตบเขา จนล่าสุดที่เขาจะยิงไม้ พันเทพก็กระโดดเข้าขวางอีก
“พ่อห่วงมันยิ่งกว่าตัวเอง ทำไม ...ต้องมีใครปกปิดอะไรไว้แน่ ชั้นต้องรู้ให้ได้”
คืนนั้นเมฆนอนคิดเรื่องเดียวกับทิวาจนนอนไม่หลับ เมฆลุกขึ้นนั่งแล้วตัดสินใจเดินออกจากบ้านไป
เมฆเดินมาที่หน้าบ้านพันเทพ มองซ้ายมองขวาไม่เห็นใคร จึงเอาซองจดหมายซองหนึ่งสอดไว้ แล้วก็รีบเดินจากไป
ส่วนที่บ้านศรนารายณ์ ขณะนั้นอบเชยนั่งเหม่อมองฟ้า มองดาว และนั่งกินแตงโมในจานแล้วพ่นเม็ดทิ้ง แต่ละเม็ดที่พ่น เธอก็ท่องรักไม่รัก สลับไปเหมือนเด็ดกลีบดอกไม้ ไม้แอบดูอบเชยที่บ้าน แต่แล้วไม้ก็ไปเผลอเหยียบไม้ผุบริเวณนั้นส่งเสียงดัง อบเชยรู้ตัวทันที
“นั่นใครน่ะ” ไม้เงียบไม่กล้าเผยตัว “ถามว่าใคร...ไม่ตอบใช่มั้ย ถ้าชั้นเจอเองเดี๋ยวจะต่อยม้ามแตกเลยคอยดู”
ไม้ค่อยๆ เดินออกมาจากความมืด
“ชั้นเอง”
อบเชยแอบอมยิ้มดีใจ ไม่ให้ไม้เห็นแล้วก็ทำเข้มเหมือนเดิม
“มีธุระอะไร”
“เปล่า ก็แค่ผ่านมาทางนี้”
“ก็เลยมาแอบดูว่างั้น”
“ก็ไม่ได้อยากแอบดู แต่คนบางคนโกรธอยู่ก็เลยไม่รู้จะทำไง”
“ก็ง้อสิ”
“ง้อไม่เป็นหรอก”
“นี่รู้มั้ยทำไมผู้หญิงถึงชอบให้ง้อ”
“ไม่รู้”
“ก็เพราะว่าเธออยากให้ผู้ชายรู้ว่าสิ่งที่เขาทำลงไป ผู้หญิงสูญเสียความรู้สึกไปแค่ไหน การง้อก็คือการเติมความรู้สึกที่หายไปให้มันเต็ม”
“ก็บอกว่าง้อไม่เป็นไง” อบเชยหน้างอ “เอางี้ดีกว่า เอาแตงโมมานี่ซิ ถ้าแตงโมบอกให้ดี เธอก็ดีนะ
ถ้าแตงโมงบอกว่าไม่ต้องคืนดีชั้นก็จะยอมรับ”
“ไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ”
“ที่เธอไปเที่ยวกับคุณไกรชั้นยังไม่ว่าอะไรซักคำเลยนะ”
ไม้เอาแตงโมมากัดหนึ่งคำแล้วพ่นเม็ดแตงโมออกมา แต่ละเม็ดที่พ่นไม้จะท่องคำว่าดี ไม่ดี สลับกันไปมา
“ดี...ไม่ดี... ดี... ไม่ดี... ดี หมดแล้ว”
“ไม่จริง ไหนอ้าปากซิ”
ไม้อ้าปากให้อบเชยดู ก็ไม่เห็นเม็ดแตงโมเหลือในปาก
“เห็นมั้ย บอกแล้วว่าไม่มี ทีนี้เราดีกันแล้วนะ” อบเชยนิ่งๆ ไม่ค่อยพอใจกับผลนัก “สบายใจละ กลับบ้านดีกว่า” ไม้บอกแล้วเดินกลับบ้าน
“อ้าว ทำงี้ได้ไง”
“แล้วเจอกันพรุ่งนี้”
ไม้เดินจากอบเชยไป อบเชยอมยิ้ม
พอพ้นมาจากอบเชยไม้ก็พ่นเม็ดแตงโมอีกเม็ดนึงที่ซ่อนไว้ในปากออกแล้วเดินอมยิ้มจากไป
วันต่อมาแม่บ้านเดินมาเคาะประตูห้องพันเทพขณะพันเทพกำลังอยู่กับกองเอกสาร
“คุณพันเทพคะ มีจดหมายไม่มีชื่อผู้ส่งส่งถึงคุณพันเทพค่ะ”
“เอามาดูหน่อยซิ”
“นี่ค่ะ”
พันเทพเปิดจดหมายออกอ่าน ข้อความเขียนว่า “เจอกันที่ลานหลังวัด บ่ายสอง” ไม่ลงชื่อผู้ส่ง
พันเทพอ่านแล้วครุ่นคิด
ส่วนที่บ้านเมฆ ขณะนั้นไม้เดินเข้าห้องน้ำจะอาบน้ำ เขาเห็นหยดเลือดในห้องน้ำ
“นี่มันเลือดนี่... พ่อ”
ไม้นึกเป็นห่วงเมฆขึ้นมา
พันเทพมาที่ลานหลังวัดตามจดหมาย เมื่อมาถึงพันเทพดูนาฬิกาที่ข้อมือซึ่งเป็นเวลาบ่ายสองพอดี
พันเทพชะเง้อหาเจ้าของจดหมาย แล้วเมฆก็เดินเขยกออกมา
“แกนี่เองเหรอ ก็นึกว่าใคร”
เมฆมองร่มในมือพันเทพ
“แค่นัดมาคุยแค่นี้ ทำไมต้องพกร่มมาด้วย”
“ถ้าชั้นรู้ว่าเป็นแก คงไม่ต้องถือมาให้เมื่อย”
“ชั้นไม่เสียเวลาต่อปากต่อคำกับแกหรอก ชั้นมีเรื่องจะคุยด้วย”
“เอ...เรามีเรื่องต้องคุยกันตั้งแต่เมื่อไหร่นะ ชั้นเดาหัวข้อเรื่องไม่ถูกเลยนะเนี่ย”
“เรื่องไม้”
พันเทพทำตาโต
“ประเด็นน่าสนใจ”
“เมื่อวานแกมาช่วยไม้ไว้ทำไม”
“อยากรู้เรื่องจริงหรือเรื่องโกหกล่ะ”
“อย่ามาเล่นลิ้น บอกความจริงมา”
“แกก็ทำให้ชั้นพูดให้ได้สิ”
“จะให้ชั้นสู้กับแก...ทั้งที่สภาพชั้นเป็นแบบนี้น่ะเหรอ”
พันเทพเอาร่มตีพับในของเมฆ เมฆล้มลงคุกเข่า
“หรือสภาพนี้ดี” พันเทพหัวเราะ “ถ้าสู้ไม่ได้ก็คงต้องอ้อนวอนแล้วมั้ง”
จังหวะนั้นลูกผู้ชายก็ปรากฏตัวออกมา
“อย่างแกต้องสู้กับชั้นนี่ จะมัวไปรังแกคนที่อ่อนแอกว่าอยู่ทำไม”
“เหมือนลูกผู้ชายจะเพ่งเล็งชั้นอยู่คนเดียวเลยนะ วันนี้ชั้นยังไม่ได้ทำอะไรใครซักหน่อย”
“ไม่ต้องพูดมาก ชั้นเห็นสิ่งที่แกทำอยู่”
“เป็นนักสู้ต้องพูดน้อยๆ สินะ ได้...”
เมฆตะโกนห้ามลูกผู้ชาย แต่ไม่ทันลูกผู้ชายกับพันเทพปะมือกัน แล้วพอไม้ตะพดกระทบกัน เมฆก็ทรมานลงไปโอดโอยกับพื้น
“อย่า...ลูกผู้ชาย อย่า โอ๊ย”
ลูกผู้ชายตกใจเมื่อเห็นเมฆลงไปชักดิ้นชักงอ
“เกิดอะไรขึ้น” ลูกผู้ชายถามเมฆอย่างเป็นห่วง
“ไม้ตะพด...เมื่อกระทบกัน ทำแผลของชั้นทรมานเหลือเกิน”
ลูกผู้ชายเปิดดูแผลที่ด้านหลังของเมฆ ตอนนี้มันเต็มไปด้วยเลือด ลูกผู้ชายตกใจ
“ดูเหมือนว่าแผลที่เกิดจากการกระทำของไม้ตะพด มันจะทรมานทุกครั้งที่ไม้กระทบกัน”
พันเทพนิ่งคิด...
“ชั้นไม่เชื่อ”
พันเทพเอาร่มฟาดไปที่ลูกผู้ชาย ลูกผู้ชายยกไม้ตะพดขึ้นมาป้องกันตัว พอไม้กระทบกันเท่านั้นแหละ เลือดที่แผลของเมฆก็พุ่งปรี๊ดออกมา น่ากลัวยิ่งนัก
“ชั้นบอกให้หยุดก่อนไงล่ะ”
พันเทพหยุดตามที่ลูกผู้ชายบอก
“ได้ ...มันไม่ควรตายเร็วนัก อยู่อย่างช้ำใจน่าจะดีกว่า”
“พันเทพ บอกความจริงมาเถอะ”
พันเทพยิ้มหยามหยันอย่างผู้ชนะ
ไม้พาเมฆกลับบ้านและทำแผลให้
“พ่อแน่ใจนะว่าจะไม่ไปหาหมอ” ไม้ถามเมื่อทำแผลเสร็จ เมฆพยักหน้า
“เงินเราไม่ได้เยอะขนาดนั้นลูก อะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็ประหยัดไป”
“พ่อเป็นแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้ว ทำไมไม่บอกชั้น”
“ครั้งที่แล้วที่ลูกกับพันเทพสู้กัน พ่อเลยได้รู้ คิดว่าไม่นานคงจะดีขึ้น”
“แต่ชั้นก็มาสู้กับพันเทพอีก” ไม้ถอนหายใจ “แล้วจะเอายังไงละทีนี้ จะให้สู้กับพันเทพโดยไม่มีไม้ตะพด ชั้นทำไม่ได้หรอก ต้องแพ้แน่ๆ”

ไม้คิดหนักรู้สึกกลุ้มใจเป็นอย่างมาก

อ่านต่อตอนที่ 8 พรุ่งนี้




กำลังโหลดความคิดเห็น