xs
xsm
sm
md
lg

ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 6

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ลูกผู้ชายไม้ตะพด  ตอนที่ 6

ที่บ้านเจ๊กีขณะนั้นไกรกำลังสอนท่ากรงเล็บพยัคฆ์ให้ไม้ในหลักการสุดท้าย ไม้ทำตามได้ดี ไกรยิ้ม

“ชั้นไม่มีอะไรจะสอนให้ไม้แล้วล่ะ ต่อไปไม้ต้องหาเวลาฝึกเองแล้ว ทั้งเรื่องของสมาธิจากโยคะที่ใช้จับวิธีการเคลื่อนไหวและท่ากรงเล็บพยัคฆ์ที่ชั้นสอนให้”
ไม้พยักหน้าภูมิใจ
“แล้วนี่เรื่องลายแทงบนหนังเสือนั่น ไม้จะเอายังไงกับมันต่อ”
“ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน”
“เอางี้มั้ย เอามาให้ชั้น ชั้นจะลองไปดูให้ว่านี่มันภาษาอะไรกันแน่”
ไม้ยื่นหนังเสือให้ไกร
“ขอบคุณนะครับคุณไกร”
“เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นดีกว่า”
“อะไรครับ”
“วันนี้มีคนนัดชั้นไว้ จริงๆ ชั้นก็ไม่อยากไปซักเท่าไหร่ แต่ถ้าไม้ไปด้วย ชั้นคงไปพบเค้าซักหน่อย”
“นัดคนไว้...วันนี้...คุณแพรวา”
“ใช่ ไม้รู้ได้ยังไง”
ไม้นิ่งไม่ตอบอะไร
เย็นวันนั้นแพรวาเดินเข้ามาในร้านคนเดียว พอนั่งที่โต๊ะแพรวาก็หยิบกระจกขึ้นมาส่องสำรวจความเรียบร้อยแล้วไกรก็เดินเข้ามาในร้าน แพรวารีบเก็บกระจกยิ้มต้อนรับ แต่แล้วก็ต้องผิดคาดเล็กน้อยที่ไม้เดินตามเข้ามาอีกคน ไม้กับไกรเดินไปหาแพรวาที่โต๊ะ แพรวายิ้มเจื่อนๆ ที่ไกรไม่ได้มาคนเดียว
“พอดีว่าผมกับไม้ทำธุระด้วยกันมา ก็เลยชวนมาด้วย”
“คุณแพรวาสวยจังเลยครับ” ไม้บอก แพรวายิ้มรับเป็นพิธี
“สั่งอาหารกันเลยละกันนะครับ จะได้ไม่เสียเวลา”
“ชั้นทำคุณเสียเวลาเหรอคะ” แพรวาถามไกร ไม้รับตอบแทน
“ไม่ครับ ไม่เสียเวลาเลย”
ขณะนั้นอบเชยมาจ่ายตลอดและเดินผ่านหน้าร้านอาหารมองเห็นไม้อยู่ในร้าน
“นั่นไม้นี่นา มากับใครน่ะ...คุณไกรนี่ แล้วนั่น...หืม...ยายแพรวานี่เอง ไม่ได้ละ ปล่อยไปแบบนี้ไม่ได้”
อบเชยเดินลุยเข้าไปในร้าน
ไม้ ไกร แพรวานั่งคุยกันอยู่อบเชยเดินเข้ามา
“ตายแล้ว บังเอิญจังเลยนะ ชั้นว่าจะมานั่งกินข้าวที่นี่พอดีเลยดีเลยจะได้ไม่เหงา” อบเชยบอกแล้วหันไปบอกเด็กเสิร์ฟ “เดี๋ยวขอจานเปล่าเพิ่มอีกใบนะ”
อบเชยนั่งลงที่โต๊ะโดยที่ทุกคนยังงงกันอยู่
“จะมากินข้าวที่นี่พอดี แล้วซื้อของทำกับข้าวมาทำไมตั้งเยอะแยะ” ไม้ถาม
“ก็เผื่อไว้สำหรับวันหลังไง”
“อบเชยมาก็ดีเลย กินกันเยอะๆ สนุกดี”
แพรวายิ้มแห้ง ๆ
“แต่เหมือนจะมีคนไม่สนุกด้วยนะคะเนี่ยแต่ไม่เป็นไรหรอก ชั้นไม่สน”
“อบเชย มีมารยาทหน่อย”
“ชั้นไม่มีมารยาทตรงไหน ชั้นก็ไม่ได้เคี้ยวเสียงดังหรือถุยน้ำลายลงชามข้าวใครซักหน่อย จริงมั้ยคุณไกร” ไกรยิ้มมีความสุข “คุณไกรยังเห็นด้วยกับชั้นเลย” เด็กเสิร์ฟยกอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะพอดี อบเชยตักอาหารให้ไม้ “ไม้ลองกินนี่ดูสิ ที่นี่เค้าทำอร่อยนะ”
ไม้เหลือบตามองแพรวาอย่างเกรงใจ ไกรตักอาหารให้อบเชยบ้าง
“อันนี้ก็อร่อย อบเชยลองทานดูสิ”
อบเชยยิ้ม ไม้มองแล้วก็ตักอาหารให้แพรวาบ้าง
“นี่ครับคุณแพรวา...ลองทานปลานี่ดู”
อบเชยมองเคืองๆ ยกจานตัวเองไปรับอาหารที่ไม้ตักแทน
“คุณแพรวาไม่ทานปลา ไม้ไม่รู้เหรอแต่ชั้นชอบนะ ขอบคุณมาก”
แพรวาจะตักอาหารให้ไกรบ้าง ไกรก็พูดตัดบทขึ้นมาซะก่อน
“มัวแต่ตักให้คนโน้นคนนี้ เลยไม่ได้เริ่มต้นทานกันซักที”
“งั้นชั้นกินก่อนเลยละกันนะ รีบกินจะได้แยกย้ายกันกลับ”
แพรวาค่อยๆ ตักอาหารเข้าปากอย่างเซ็งๆ ที่ทุกอย่างไม่เป็นตามที่คิดเลย
“ไม่ต้องเคี้ยวละเอียดนักหรอก กว่าจะกินแต่ละคำ เล็มใบเกี๊ยวอยู่นั่นแหละ คนกันเองทั้งนั้น” อบเชยพูดกับแพรวา ไกรยิ้มกับคำพูดของอบเชย แพรวาอายๆ ไม้ไม่พอใจอบเชยนัก
“อบเชยก็เป็นแบบนี้ละครับคุณแพรวา อย่าถือสาเลย”
“ใครว่า มีอบเชยมาด้วย บรรยากาศโต๊ะอาหารคึกคักขึ้นเยอะเลยนะ”
อบเชยยิ้มรับคำชมจากไกร กินอาหารอย่างไม่สนใจ
หลังจากทานอาหารเสร็จทุกคนออกมายืนหน้าร้านอาหารเตรียมตัวกลับ
“เดี๋ยวผมไปส่งมั้ยครับ” ไม้ถามแพรวา
“เค้ามีรถ จะวิ่งตามรถเค้าไปส่งเค้าที่บ้านเหรอ จะวิ่งกลับไม่ไหวนะ” อบเชยบอก
“วันนี้ไม่ได้เอารถมาหรอก รถมันเก่าชอบมีปัญหา เลยให้คนรถมาส่งน่ะ” แพรวาบอก
“อยากให้ผู้ชายไปส่งก็ว่ามาเถอะ” อบเชยแอบบ่น
“ดีเลย ถ้างั้น...” ไม้จะเสนอตัวไปส่งแพรวาแต่อบเชยพูดขัดซะก่อน
“ไม้ พ่อไม่สบายไม่ใช่เหรอ ไม่รีบไปเฝ้าพ่อล่ะ” ไม้อึกอัก “คุณไกรเค้ามีรถ ฝากให้คุณไกรไปส่งง่ายกว่าเยอะ”
ไกรมองแพรวา อึกอัก
“เอ่อ...”
“ตกลงตามนี้นะ” อบเชยไม่รอคำยืนยันจากใครทั้งนั้นเธอสรุปเสร็จสรรพแล้วลากไม้ออกมาเลย
“ไปกันเถอะไม้ เดี๋ยวลุงเมฆจะรอ”
แพรวายิ้มกับบทสรุป ไกรมองหน้าแพรวาอึกอัก
อบเชยลากไม้แยกมา แต่ไม้ยังหันรีหันขวางเป็นห่วงแพรวาอยู่ อบเชยมองไม้อย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“ไม่ไว้ใจคุณไกรรึไง”
“ไม่ใช่แบบนั้น”
“ไม่ต้องห่วงมากหรอกน่ะ ยายแพรวานั่นน่ะ ดูแลตัวเองได้ แต่ลุงเมฆนี่สิ วันนี้หมอนัดฟังผลตรวจไม่ใช่เหรอ”
ไม้พยักหน้ารับ อบเชยยิ้มที่สิ่งที่ตนทำไปสำเร็จ

อาการป่วยของเมฆทรุดหนักลงจนพยาบาลต้องย้ายเตียงเมฆเข้ามาในห้องไอซียู
“คนไข้เป็นอะไรมา”
พยาบาลประจำห้องไอซียูถาม
“อุณหภูมิในร่างกายแปรปรวนหนักเลยค่ะ”
“อาการประหลาดมาก ไม่เคยพบเคยเห็น”
“จะว่าแผลติดเชื้อก็ไม่ใช่ ชั้นลองดูแผลแล้ว ก็ไม่มีเลือดมาเลี้ยงซักนิด”
“ญาติคนไข้มารึยังเนี่ย”
เมื่อไม้มาโรงพยาบาล ไม้จึงเข้าไปคุยกับหมอเรื่องอาการป่วยของพ่อ
“ตอนนี้พ่อของคุณอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิดนะครับ มีการล้มเหลวของร่างกายเป็นระยะ”
“เป็นแบบนั้นได้ยังไง เมื่อวานพ่อผมยังพูดได้ เดินได้อยู่เลย”
“จากแผลที่เราพบบริเวณด้านหลังคนไข้ นอกจากจะทำให้เนื้อบริเวณนั้นตาย ไม่สามารถสร้างกล้ามเนื้อใหม่มาทดแทนแล้ว” ระหว่างที่หมอพูดเมฆนอนอาการหนักเลือดกำเดาไหลออกจมูก “อวัยวะภายในที่กระทบกระเทือนไปด้วยก็คือไตที่ใช้การไม่ได้ไปข้างนึง ซึ่งเราจะรอให้คนไข้มีอาการทรงตัวแล้ว จะทำการผ่าตัดเอาไตข้างนั้นออก แล้วเนื้อบริเวณรอบๆ ที่ตายไปก็คงต้องใช้ส่วนอื่นมาทดแทน”
“แล้วเอาไตออกนี่มีผลกระทบอะไรบ้างครับ”
“ประสิทธิภาพของร่างกายก็จะลดลงราว 30-50% ครับ ไม่สามารถทำงานหนักๆ หรือใช้แรงเยอะๆได้ คนไข้ปกติทำงานอะไร ต้องใช้แรงเยอะมั้ย”
“ขับรถบขส.ครับ”
“ถ้าแค่ขับรถจริง ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”
“ครับ”
“ส่วนเรื่องผ่าตัดนี่ไม่ต้องกังวลนะครับ เทคโนโลยีตอนนี้มันก้าวไปไกลแล้ว”
ไม้กังวลใจอย่างบอกไม่ถูก
ไม้เดินออกจากห้องหมอ อบเชยที่รอผลอยู่รีบวิ่งเข้าไปถาม
“ไม้ ลุงเมฆเป็นยังไงบ้าง”
ไม้ส่ายหน้าแล้วเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรซักคำ อบเชยเดินตามอย่างเป็นห่วง
ส่วนไกรระหว่างขับรถไปส่งแพรวา บรรยากาศในรถค่อนข้างเงียบ
“ขอโทษนะคะ ชั้นคุยไม่ค่อยเก่ง ไม่เหมือนอบเชย”
“เป็นเรื่องปกติครับ คนจะเป็นธรรมชาติเหมือนอบเชยหาไม่ได้ง่ายๆ”
“คุณไกรดูจะชื่นชมอบเชยนะคะ”
“คุณไม่รู้สึกเหรอว่าอยู่ใกล้ๆ อบเชยแล้วมีความสุข”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไม่ควรเขียนจดหมายนั่นหาชั้น”
“จดหมาย ผมเขียนถึงคุณเหรอ...ผมคิดว่าคุณเขียนถึงผมซะอีก”
แพรวาหยิบจดหมายออกจากกระเป๋าส่งให้ไกร
“นี่ไง ชั้นหยิบนี่มาจากที่บ้านคุณ มันจะไม่ใช่ของคุณได้ยังไง”
ไกรรับจดหมายมาดู
“แต่ผมมั่นใจว่าผมไม่ได้เขียนแน่ๆ คุณคิดว่าการที่หม่าม้าผมโดนพ่อคุณคอยส่งคนมารังแกเพราะเรื่องสัมปทานหลายปีที่ผ่านมาเนี่ย จะทำให้ผมอยากใกล้ชิดคุณรึไง”
“จริงสินะ...ชั้นก็หลงคิดมาตลอดว่าชั้นกับพ่อเป็นคนละคนกัน คงไม่มีใครคิดอะไรเรื่องนี้” แพรวานึกน้อยใจไกร
“คนที่ถูกกระทำมีค่าไม่เท่ากับคนที่กระทำหรอกครับ”
“หึหึ ชั้นกลายเป็นคนที่เข้าใจผิด แล้วคิดไปเองตลอดเลยสินะ น่าสมเพชจริงๆ”
“ผมต้องขอโทษด้วยที่มีส่วนทำให้มันเป็นเช่นนั้น แต่เรื่องนี้เชื่อเถอะ มันไม่ได้เกิดจากความตั้งใจของใคร”
“แล้วความรู้สึกที่เกิดขึ้นแล้วล่ะ ชั้นต้องดูแลมันเองคนเดียวใช่มั้ย”
“คุณกล้ากว่าที่ผมคิด”
“ชั้นต้องดีใจกับคำชมแค่นี้สินะ”
บรรยากาศในรถเงียบลงอีกครั้ง...
ที่โรงพยาบาลขณะนั้นไม้นั่งนิ่งไม่พูดอะไรกับใครทั้งนั้น แม้กระทั่งอบเชยที่นั่งอยู่ข้างเค้าตลอด ไม้นิ่งเครียดอบเชยนั่งมองอย่างสงสารแต่ทำอะไรไม่ได้ อบเชยมองมือไม้ที่วางอยู่แล้วค่อยๆ เอื้อมมือไปจับเป็นกำลังใจ ไม้หันมามองอบเชยส่งยิ้มให้
“ที่พ่อต้องเป็นแบบนี้ ก็เพราะชั้นคนเดียวแท้ๆ เพราะชั้นแอบจะเข้าไปขโมยร่มพันเทพ พ่อเลยต้องเป็นลูกผู้ชายเข้าไปช่วย พ่อมารับเคราะห์แทนชั้นแท้ๆ”
“อย่ามัวแต่หาใครผิดใครถูกอยู่เลย มาช่วยกันแก้ปัญหาเถอะ”
ไม้โผเข้าซบไหล่อบเชยร้องไห้ อบเชยลูบหัวปลอบ
“ลุงเมฆเขายอมรับแล้วเหรอ ว่า เค้าเป็นลูกผู้ชาย” ไม้ส่ายหน้า อย่างเศร้าใจและห่วงพ่อ “ไม้ยังมีชั้นนะ ไม่เป็นไร”
ไม้นิ่งซบไหล่อบเชยอยู่อย่างนั้น แล้วจู่ก็มีผ้าเช็ดหน้ายื่นมาให้ไม้ ไม้กับอบเชยเงยไปมองพร้อมกัน คนๆ นั้นคือพันเทพนั่นเอง ทั้งคู่ตกใจ
“ร้องไห้ไปก็เสียน้ำตาเปล่าๆ น่า”
“แกมาได้ยังไง”
“ไม่ว่าเรื่องอะไร ถ้าพันเทพอยากรู้ ต้องได้รู้”
ไม้อดกลั้นไม่ไหวจะลุกขึ้นต่อยพันเทพ แต่อบเชยห้ามไว้
“นี่มันโรงพยาบาล จะมีเรื่องหรือทำอะไรกันไปที่อื่นเถอะ”
“จริงๆ เธอเองก็ไม่เกี่ยวนะ ชั้นตั้งใจจะคุยกับไม้คนเดียว”
“ชั้นเกี่ยวกับทุกเรื่องของชีวิตไม้นั่นแหละ จะคุยอะไรชั้นต้องอยู่ด้วย”
“ชั้นไม่มีเรื่องต้องคุย”
“แต่ชั้นมี ชั้นมาคนเดียว...ไม่สังเกตรึไง”
“ใครจะไว้ใจได้” ไม้มองร่มในมือพันเทพ “แต่เอาเถอะ ชั้นจะยอมคุยด้วยซักครั้ง”
ทั้งหมดไม่รู้ว่าทิวาได้สะกดรอยตามพันเทพมาด้วย ทิวาแอบดูทั้งหมดคุยกัน
“พ่อมาหาไอ้ไม้ โดยไม่มีสมุนมาซักคนเนี่ยนะ พ่อกับไอ้ไม้นี่มันยังไงกันแน่...ร่มนั่น ทำไมพ่อต้องพกมันมาหาไอ้ไม้ด้วย”
ไม้ อบเชย พันเทพมาคุยกันที่ศาลาริมน้ำของโรงพยาบาล
“มีอะไรก็พูดมา”
“ชั้นมาทวงของๆ ชั้น”
“ของอะไร”
“หนังเสือโบราณของชั้น”
ไม้สะดุ้งเฮือก
“เอ่อ…”
“พูดเรื่องอะไร” อบเชยแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“มีแต่พวกเธอที่บุกรุกบ้านชั้น”
“อาจจะเป็นคนในบ้านก็ได้”
“ถ้าเป็นคนในบ้าน มันคงไม่เพิ่งหายตอนนี้หรอก จริงมั้ย แต่มาหายตอนพวกเธอไปพอดี”
“คิดว่าจะมาของ่ายๆ แบบนี้โดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยนอะไรเลยเหรอ”
“ชั้นมาทวงของของฉัน ไม่ได้มาขอ”
“ถ้าได้ไปง่ายๆ มันจะสนุกเหรอ ของแบบนี้มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”
“ข้อแลกเปลี่ยน…อะไรล่ะ”
“ร่มนั่นไง”
พันเทพหัวเราะ
“กล้าพูดซะจริง ชั้นไม่อยากทำร้ายเธอหรอกนะไม้ แต่ชั้นคงให้ไม่ได้”
“ถ้างั้น ชั้นก็ให้ไม่ได้เหมือนกัน ถ้าอยากได้แกคงต้องออกแรงแล้วล่ะ”
“ไม้ เธอสู้มันไม่ได้หรอก เธอก็เห็นแล้วนี่ว่าพ่อชั้นกับลูกผู้ชายเป็นยังไง” อบเชยกระซิบกับไม้ ไม้กระซิบตอบ
“ชั้นแค่อยากเห็นร่มนั่นใกล้ๆ ได้ลองสัมผัสมันอีกครั้ง เพื่อพิสูจน์ว่ามันคือไม้ตะพดเลือดจริงรึเปล่า เธอต้องช่วยชั้นดูด้วย”
“วางแผนอะไรกัน…ไม่ต้องวางแผนให้เปลืองสมองหรอก เข้ามาพร้อมกันสองคนนั่นแหละ”
“ถ้าแพ้ก่อนจะพิสูจน์ได้ยังไงล่ะไม้” อบเชยยังกระซิบกับไม้
“หนังเสือทั้งคู่อยู่ที่คุณไกร มันไม่มีทางสงสัยคุณไกรหรอก” ไม้กระซิบตอบ ขชณะนั้นทิวายังแอบดูอยู่
“นั่นกำลังจะทำอะไรกันแน่”
พันเทพเดินไปหยิบไม้พายจากเรือที่จอดอยู่ริมน้ำทั้งสองอันโยนให้ไม้กับอบเชย ทั้งคู่รับ
“ชั้นไม่อยากจะสู้กับคนไม่มีอาวุธ”
การต่อสู้เริ่มขึ้น ไม้เป็นคนบุกเข้าไปก่อนตามด้วยอบเชย ทั้งคู่ร่วมกันสู้อย่างไม่ยอมแพ้ แต่เป้าหมายหลักกลับไม่ใช่การเอาชนะ แต่คือการแย่งร่มในมือพันเทพมาอยู่ในมือตนต่างหาก ทิวาดูการต่อสู้อย่างใจจดจ่อ
ไม้ อบเชย พันเทพ ยังสู้กันต่อเนื่องไม้โจมตีมือพันเทพข้างที่ถือร่มตลอดเพื่อให้ร่มร่วงจากมือมาให้ได้ อบเชยก็เช่นกัน ทิวาที่ยืนแอบดูอยู่ก็ทึ่งในความสามารถที่มีเพิ่มขึ้นของไม้
“ไอ้ไม้มันไปแอบฝึกวิชามาจากใครอีก ทำไมมันเก่งขึ้น”
หลายครั้งที่ไม้พลาดท่าโดนพันเทพโจมตีบ้าง แต่ไม้ก็พยายามรวบรวมสมาธิเพื่อมองการเคลื่อนไหวของพันเทพให้ออก และกับพันเทพที่ไม่แข็งแรงสมบูรณ์นัก ในที่สุดไม้ก็ถือโอกาสเอาพายในมือเปลี่ยนกับพันเทพจนได้พันเทพตกใจที่ร่มตกไปอยู่ในมือของไม้ แต่จะเข้าไม่ชิงก็ไม่ถนัดนักเพราะมีอบเชยขวางอยู่อีกคน
“ไม้ เร็ว จะไม่ไหวแล้ว”
อบเชยพยายามขวางพันเทพเต็มที่ไม่ให้พันเทพโจมตีไม้ได้ พอไม้ได้สัมผัสกับร่มเขาก็รู้สึกถึงอำนาจอีกครั้ง แล้วไม้ก็ใช้ร่มทำท่ากรงเล็บพยัคฆ์ที่เขาเรียนจบมาจากไกร เมื่อไม้ใช้ร่มทำท่ากรงเล็บพยัคฆ์ ร่มก็เปล่งอณุภาพมากกว่าที่ควรจะเป็น ราวกับว่าอยู่ถูกมือถูกคน เป็นจังหวะเดียวกับที่อบเชยเสียหลักพอดี ไม้จึงเข้าจู่โจมพันเทพ ทำเอาพันเทพกระเด็นตกน้ำไป ไม้มองร่มที่อยู่ในมือตนนึกทึ่งในพลังของมัน อบเชยก็เช่นกัน
“ไม้ตะพดเลือด”
ทิวาที่แอบดูอยู่เห็นก็ตกใจเช่นกันที่ไม้ทำได้แบบนั้น
“ไม้ตะพดเลือดเหรอ? พ่อมีไม้ตะพดแต่ไม่เคยเล่าเรื่องไม้ตะพดให้ฟังซักคำ”
ทางด้านเมฆแม้จะนอนไม่ได้สติอยู่ในห้องไอซียู แต่เหมือนเมฆจะรับรู้สิ่งที่ไม้ทำเพราะหัวใจเมฆเต้นรัวจนเครื่องร้อง พยาบาลรีบวิ่งเข้ามาดู
“ตะพดเลือด”
เมฆเพ้อออกมา พยาบาลแตกตื่น
พันเทพเดินขึ้นจากน้ำในสภาพท่าทางแย่
“เอาร่มของชั้นคืนมา”
“ก็เราต่างสู้กันเพื่อให้ได้ของที่ตัวเองอยากได้ไม่ใช่เหรอวันนี้แกแพ้ แกก็ต้องเสียของที่ชั้นอยากได้ให้ชั้น”
“ไม้ ไหนว่าแค่จะลองทดสอบดูไง” อบเชยบอก
“ไม่มีทาง เป็นแบบนี้ไม่ได้”
“ที่เป็นแบบนี้เพราะแกประมาทฝีมือชั้นเกินไป”
“เป็นแบบนี้ไม่ได้ ...เอาคืนมาก่อน ยังไม่ถึงวันที่จะยกมันให้แก”
“พูดเรื่องอะไร แกเนี่ยนะ อีกหน่อยจะยอมยกของรักของหวงให้ชั้น”
“ไม้เอ๋ย ไม้”
ท่าทางพันเทพปราณีอยากบอกความจริงกับไม้ แต่ยังไม่ทันที่พันเทพจะพูดอะไร ทิวาก็โผล่มาจากที่ซ่อน
“เอาร่มคืนพ่อชั้นซะเถอะไม้ ร่มนั่นเป็นของตระกูลชั้น มันควรจะตกทอดไปถึงลูกหลาน ไม่ใช่ให้แกมาแย่งไปต่อหน้าต่อตาด้วยวิธีหมาหมู่แบบนี้”
“ไม้ ส่งร่มคืนพวกมันไปเถอะ เราได้รู้สิ่งที่อยากรู้แล้วไม่ใช่เหรอ” อบเชยบอก
“จะส่งคืนไปง่ายๆ ได้ยังไง ก็เพราะสิ่งนี้ไม่ใช่เหรอที่ทำให้พ่อชั้นต้องมาเจ็บปางตายขนาดนี้ ชั้นไม่ยอมให้มันเอาไปทำร้ายใครอีกแน่”
“ชั้นก็ไม่ยอมให้ตกไปอยู่ในมือแกเหมือนกัน”
ทิวาวิ่งเข้าลุยไม้ตัวต่อตัว พันเทพจะเข้ามาเสริมแต่อบเชยก็ช่วยขวางไว้ พันเทพพอไม่มีร่มแล้ว ก็ไม่เก่งมากนัก ผิดกับไม้ที่พอมีร่มความคล่องแคล่วก็เพิ่มอีกเท่าตัว ทิวาไม่สามารถสู้ไม้ได้ ล้มลงหมดท่า พันเทพก็เช่นกัน โดนไม้ใช้ร่มฟาดมาอีกทีก็หมดท่า
“ของสิ่งนี้ไม่ควรอยู่กับพวกแก”
“แกใช้มันไม่เป็นหรอกไม้ มันจะกลายเป็นแค่ของไร้ประโยชน์อันหนึ่ง”
“ไม่ต้องมาหลอก ชั้นไม่ได้โง่ขนาดนั้น”
“ชั้นจะไปเอามันคืนแน่ คอยดู”
“ถ้าแกคิดว่าจะชนะชั้นได้ก็ลองดู”
ไม้กับอบเชยพากันวิ่งออกไป ทิวาเจ็บใจที่เสียร่มไป
“พ่อไม่ควรปล่อยมันไปแบบนี้ พ่อปล่อยมันไปอีกแล้ว”
“เวลานี้จะไปสู้อะไรได้”
“ทำไมพ่อไม่เคยบอกผมซักคำ เกี่ยวกับร่มคันนั้น ทุกคนรู้ ยกเว้นผม”
“มันยังไม่ถึงเวลา”
“ทั้งที่ผมเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลที่ยังไงของสิ่งนี้ก็ต้องตกทอดมาที่ผม แต่พ่อไม่เคยบอก ไม่เคยแม้จะสอนมวย สอนวิชาการต่อสู้ให้ผม ถ้าผมไม่เอ่ยปากขอ ทำไม?”
“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาจะมาถามเรื่องอะไรแบบนี้ ถ้าแกเป็นลูกที่ดีจริง เห็นพ่อตัวเองเจ็บ ยังมัวจะห่วงเรื่องอะไรแบบนั้นอยู่อีกรึไง”
ทิวาไม่พอใจพ่อนัก แต่เค้าก็เข้าไปพยุงพันเทพลุกขึ้น
ที่ห้องไอซียูเมฆสงบลงแล้ว นอนนิ่งกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง พยาบาลโล่งใจพากันเดินออกมา พอพยาบาลออกมาจากห้องไอซียู ไม้ก็วิ่งเข้ามา
“ผมจะเข้าไปเยี่ยมพ่อ”
“นี่หมดเวลาเยี่ยมแล้วนะคะ”
“แต่ผมต้องเข้าไป ผมมีเรื่องสำคัญต้องคุยกับท่าน”
“หมดเวลาเยี่ยมแล้วจริงๆ ค่ะ อีกอย่างพ่อคุณก็ยังไม่ได้สติเลย พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่นะคะ”
“แต่”
“สภาพคุณแบบนี้ เข้าไปมีแต่จะทำให้คนไข้ติดเชื้อ เชื่อชั้นเถอะค่ะ ชั้นทำเพื่อตัวคุณเอง”
พยาบาลเดินไป ไม้เชื่อพยาบาลได้แต่ยืนมองพ่อผ่านช่องกระจกตรงประตู
“พ่อ...พ่อเก็บไม้ตะพดอีกอันไว้ที่ไหนกัน ชั้นได้ไม้ตะพดเลือดมาแล้วนะ”
“นี่เธอทำเพื่อพ่อหรือทำเพื่อตัวเองจะได้อยู่เหนือทุกคนกันแน่” อบเชยถามขึ้นมา
“ทำไมเธอพูดแบบนั้น” ไม้ย้อนถาม
“แววตาเธอตอนที่ถือไม้ตะพดนั่นสู้ มันไม่เหมือนไม้คนเดิมที่ชั้นเคยรู้จัก”
“ไอ้ไม้ขี้แพ้นั่น...มันหายไปก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ไม้ ชั้นขอเตือนนะ อยู่ห่างๆ กับไม้ตะพดเลือดนั่นไว้ อำนาจน่ะมันหอมหวานก็จริงแต่เธอคิดดูให้ดี ว่าเคยมีใครได้ดีเพราะมันบ้าง แม้กระทั่งตัวพันเทพเองเธอแน่ใจได้ยังไงว่าที่พันเทพเลว ไม่ใช่เพราะครอบครองไม้นี่”
ไม้ก้มดูร่มในมือ แต่เค้าก็วางมันไม่ลง
“เธอก็อ่านนี่ ในหนังเสือบอกไว้ว่าถ้าไม้สองอันมารวมกันจะมีอำนาจมหาศาล อำนาจนั่นอาจช่วยพ่อก็ได้”
“ชั้นให้เวลาแค่สามวันที่จะช่วยพ่อเธอ ถ้าเกินกว่านั้นชั้นถือว่าทำเพื่อตัวเอง หลังจากสามวันแล้ว ถ้าเธอไม่เอาไม้ไปทิ้ง ชั้นจะเป็นคนเอาไปทิ้งเอง”
อบเชยยืนคำขาดไม้ ไม้ลำบากใจ
ส่วนพันเทพเมื่อกลับมาบ้าน พันเทพเดินเข้ามาในห้องในสภาพบาดเจ็บตามเนื้อตัว ท่าทางทุลักทุเล เวตาลออกมาจากตู้เดินมาหาพันเทพ
“เจ้าดูท่าทางไม่สู้จะดี”
“ชั้นเสียไม้ตะพดเลือดไปแล้ว”
เวตาลมีท่าทางโกรธ
“ทำไม ทำไมเจ้าจึงเสียของสำคัญเช่นนั้นไปได้”
“ก็เพราะชั้นร่างกายไม่สมบูรณ์ก็เลยพลาดท่าน่ะสิ”
“เจ้าไม่มีไม้ตะพด เจ้าไม่มีไม้ตะพด เจ้าไม่มีไม้ตะพด”
“จะตอกย้ำทำไม”
เวตาลบินปึงปึง ชนโน่นชนนี่ไปทั่วห้องเหมือนพยายามจะหนี แต่ยังมีพลังไม่เพียงพอที่จะควบคุมการบินได้
“อะไร แกจะทำอะไร” เวตาลตกตุ๊บมากองกับพื้น “แกคิดจะหนีรึไง”
“เปล่าข้าเปล่าคิดหนี ข้าแค่ทดสอบพลังของข้าเท่านั้น”
“เรื่องไม้ตะพด แกไม่ต้องห่วง ชั้นจะเอาคืนกลับมาได้แน่”
เวตาลมองหน้าพันเทพอย่างไม่ไว้ใจนัก พันเทพเดินออกไปจากห้อง
“ถ้าพลังข้าเข็มแข็งซักหน่อย ข้าคงไม่ต้องตกอยู่กับคนพวกนี้หรอก”
เวตาลเดินเข้าตู้จ๋อยๆ อีกครั้ง
ทางด่านไม้ เมื่อกลับมาบ้านไม้ยกแผ่นไม้กระดานในบ้านขึ้นแล้วซ่อนร่มพันเทพไว้ แล้วค้นบ้านตัวเองอีกครั้ง คราวนี้เค้ารื้อกระจุยกระจายทั้งบ้านแต่ก็ไม่เจอไม้ตะพด
“ถ้าพ่อเป็นลูกผู้ชาย พ่อก็ต้องเก็บไม้ไว้ใกล้ตัวพ่อสิ ถ้าไม่ใช่ที่นี่แล้วเป็นที่ไหน” ไม้หันไปเห็นกุญแจรถบขส.วางอยู่ “รถ”
วันต่อมาขณะที่จันทร์กำลังล้างรถของเมฆอยู่ด้านล่าง ชาญขึ้นไปทำความสะอาดรถด้านบน ชาญเดินขึ้นไปจะเช็ดกระจกดันไปชนคันเกียร์เข้าหัวกระปุกเกียร์ด้านบนหลุดออกกลิ้งไป ชาญตกใจ
“ซวยละ พี่เมฆรู้โดนด่าแน่ แกยิ่งรักรถอยู่ด้วย”
ชาญวิ่งไปเก็บกระปุกเกียร์จะเอามาใส่คืนที่เดิม แล้วชาญก็เห็นสารพันมด มอด เดินไต่ออกมาจากคันเกียร์ที่เป็นโพรงตรงกลาง
“พวกเอ็งมาอยู่อะไรกันในนี่ ไม่ไปอยู่ตามต้นไม้เล่า ในนี้มีแต่น้ำมันเกียร์ เดี๋ยวก็อดตายกันพอดีหรอก ไป๊”
ชาญปัดพวกมด พวกมอดออกไป กำลังจะใส่หัวเกียร์เข้าที่เดิม แล้วเชาญก็ได้กลิ่นหอมลอยมาแตะจมูก
“กลิ่นหอม…กลิ่นอะไรเนี่ย”
ชาญทำจมูกฟุดฟิดเข้าไปที่คันเกียร์ แต่ยังไม่ทันจะดมให้ถนัด ชาญก็ได้ยินเสียงไม้ทักกับจันทร์ที่ล้างรถอยู่ข้างล่าง
“พ่อเป็นไงบ้างไม้”
“ไม่ค่อยดี”
ชาญตกใจรีบเอากระปุกเกียร์ที่หลุดยัดใส่ไว้ที่เดิมทันที ยังไม่ทันจะได้พิสูจน์กลิ่นอะไร
“เดี๋ยวไอ้ไม้เอาไปฟ้องพ่อมันล่ะแย่เลย”
ไม้เดินขึ้นมาบนรถ จันทร์ตามขึ้นมา
“อ้าวพี่ชาญ ทำอะไรน่ะ”
“เช็ดกระจก”
“ทำไมทำท่าทางแปลกๆ”
“เปล่าเลย ไม่ได้ทำอะไรพังเลยนะ”
“พ่ออาการไม่ค่อยดีแล้วแกมาที่นี่ทำไม ทำไมไม่เฝ้าพ่อ” จันทร์ถาม
“มาหาของสำคัญ พี่ชาญ ปกติพ่อเก็บของไว้ที่ไหนน่ะ”
“แกไม่เคยเก็บอะไรไว้บนรถนะ ก็อย่างที่เห็นมีแค่รูปเอ็งกับเค้าติดอยู่ตรงกระจกรถแค่นั้น”
ไม้เดินดูทั่วรถก็ไม่เห็นวี่แววของของอะไรเลย
“พ่อแกให้มาเอาอะไร”
จันทร์ถามแต่ไม้ไม่ตอบ ไม้เดินดูตามใต้เก้าอี้ ใต้เบาะ
“ก็ไม่น่าจะอยู่จริงๆ” ไม้เดินมานั่งตรงข้างเกียร์ มือเค้าจับที่คันเกียร์อย่างหงุดหงด “อยู่ไหนว้า”
“นี่มันเรื่องอะไรกันวะ”
“เรื่องมันยาวว่ะ เดี๋ยววันหลังจะเล่าให้ฟัง”
ไม้เอามือออกจากคันเกียร์
ไม้มาที่โรงพยาบาลยืนดูเมฆที่ยังหลับอยู่ในห้องไอซียู พยาบาลเดินมา
“พ่อยังไม่ตื่นเลยเหรอครับ”
“ยังค่ะ แต่วันนี้เราต้องผ่าตัดพ่อคุณแล้วนะคะ”
“ต้องผ่าตัดเลยเหรอ”
“หมอกลัวว่ายิ่งรอ อาการจะยิ่งแย่ค่ะ เพราะเคสพ่อคุณน่ะผิดปกติมาก อยู่ๆ ก็ทรุดไป อาจจะเพราะการทำงานของอวัยวะภายในที่ผิดปกติค่ะ” ไม้พยักหน้าเศร้าๆ “เดี๋ยวช่วยเซ็นยินยอมให้ด้วยนะคะ”
พยาบาลยื่นเอกสารให้ ไม้รับมาแล้วจำใจเซ็น ไม้มองพ่อผ่านกระจกที่ประตูอย่างเวทนา พยาบาลได้เอกสารแล้วเดินจากไป
“พ่อ...ผมได้ตะพดเลือดมาแล้ว เราจะกลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดด้วยกันนะ พ่ออย่าเพิ่งทิ้งผมไปนะ”
วันเดียวกันนั้นไกรมาหาหลวงพ่อที่กุฏิวัด
“อ้าวโยมไกร มีเรื่องอะไรรึเปล่าหรือแม่โยมจะนิมนต์ไปปัดรังควาญอะไรอีก”
“ไม่ใช่หรอกครับหลวงพ่อ พอดีผมมีเรื่องอยากจะปรึกษาหลวงพ่อหน่อยน่ะครับ”
“เรื่องอะไร”
ไกรหยิบหนังเสือทั้งสองแผ่นยื่นให้หลวงพ่อ
“คือผมได้หนังเสือนี่มาโดยบังเอิญ มันเป็นของโบราณน่ะครับ หลวงพ่อเห็นลายจางๆ ที่เหมือนลายแทง ด้านหลังของตัวอักษรไทยที่เขียนไว้มั้ยครับ”
“อืม มันมีอะไรเหรอโยม”
“ผมสงสัยว่า ตัวอักษรที่เขียนไว้ตามจุดต่างๆ นั่น มันเป็นภาษาอะไร ผมไม่คุ้นเลย”
“อืม เดี๋ยวนะ” หลวงพ่อหยิบแว่นมาใส่ “อืม ถ้าจำไม่ผิด มันเหมือนตัวอักษรพม่านะ แต่อาตมาเองก็อ่านไม่ออกหรอก”
“แล้วพอมีใครที่จะอ่านออกบ้างมั้ยครับ”
“อืม...ในวัดนี้ไม่น่าจะมีนะ เพราะพวกเด็กกะเหรี่ยงทั้งหลายที่เคยมาอาศัยวัดเรียน มันก็กลับขึ้นเขากันหมดแล้ว โยมคงต้องไปถามหาดูน่ะนะ”
“ครับ ผมจะลองดู”
“ว่าแต่มันเป็นลายแทงไปที่ไหนล่ะ”
“นั่นสิครับ ผมก็สงสัยเหมือนหลวงพ่อนั่นแหละ”
“มันก็น่าจะเกี่ยวกับอักษรไทยที่เขียนไว้นี่ละมั้ง”

ไกรคิดตามคำแนะของหลวงพ่อ

อ่านต่อหน้า 2




ลูกผู้ชายไม้ตะพด  ตอนที่ 6 (ต่อ)

พันเทพนั่งอยู่ในห้องทำงานหน้าดูซีดๆ และกำลังสั่งการบางอย่างทางโทรศัพท์

“จัดการยึดรถบขส.ไอ้เมฆมันมา ชั้นอยากจะรู้นักว่าไม้มันจะตัดสินใจยังไง ระหว่างคืนร่มมาให้ชั้น หรือปล่อยให้รถที่พ่อมันรักนักรักหนาถูกถอดชิ้นส่วนขายทอดตลาด”
พันเทพวางหูโทรศัพท์ สีหน้าจริงจัง
ส่วนไกรเมื่อกลับมาจากวัด ไกรนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์มีหนังเสือทั้ง 2 แผ่นอยู่ใกล้มือ เขาเสิร์ซหาข้อมูลเกี่ยวกับอักขระพม่าอยู่ที่หน้ากูเกิ้ล
“ดีนะที่ยุคนี้มีคอมพิวเตอร์ ไม่งั้นละก็ไม่รู้จะไปถามเกี่ยว กับภาษาพม่าที่ไหนเลย ฉลาดไม่ใช่น้อยเลยเรา”
ไกรพิมพ์คำว่า “ตัวอักษรภาษาพม่า” แล้วเปรียบเทียบข้อมูลจากรูปภาพตัวอักษรพม่าที่หามาได้ แต่ก็เหมือนว่ามันจะไม่ใช่นัก
“มันก็แค่คล้ายๆ แต่มันก็ไม่ถึงกับใช่ภาษาพม่านี่นา มันเป็นภาษาอะไรกันแน่นะ”
ไกรดูจากหนังเสือที่ถือในมือ เพ่งพินิจดูลายแทงจางๆด้านหลัง
ที่ท่ารถบขส.ขณะนั้นชาญกำลังนั่งเขียนจดหมายอยู่ ตัวอักษรของจดหมายเหมือนกับตัวอักษรในลายแทง จันทร์เดินมาชะโงกดู
“เขียนจดหมายรักเหรอ”
ชาญรีบเก็บจดหมาย
“อย่ามายุ่ง”
“ไม่ได้แอบอ่านซักหน่อย”
“นั่นแหละ”
“จริงๆ ก็อยากแอบอ่านอยู่หรอกนะ แต่อ่านไม่ออก เขียนภาษาอะไรน่ะ ไม่เห็นคุ้น”
ชาญทำปากชู่ว์ให้เงียบๆ
“อย่าพูดเสียงดังสิ”
“อะไรของพี่”
“ความลับของข้า ถ้าเอ็งพูดไปล่ะน่าดู”
“ความลับ”
“ก็เรื่องข้าเขียนจดหมายถึงหัวหน้าเผ่าปกากะญอ”
“หึ”
ชาญลากจันทร์ไปแอบดูกันสองคน
“ถ้าเจ๊กีรู้ว่าข้าไม่ใช่คนไทย แต่เป็นกระเหรี่ยงหนีเข้าเมืองแล้วไล่ข้าออกละก็ ข้าจะพาคนทั้งเผ่ามาฆ่าเอ็ง”
“ตกลงนี่พี่เป็นชนกลุ่มน้อย...”
“ข้าเป็นปกากะญอด้วยหัวใจเว้ย”
“เฮ้ย...พูดเป็นเล่น ทำไมพูดไทยชัดแบบนี้”
“เคยมีครูไทยขึ้นไปสอนหนังสือ ข้าน่ะเก่งสุดในหมู่บ้านเรื่องภาษาไทยนี่ล่ะ”
“แล้วนี่มาทำไมต้องมาลักลอบทำงานด้วย”
“ชู่ววว! พูดเบาๆ ...ที่ข้าดั้นด้นมาที่นี่ ก็เพราะข้าได้ยินตำนานลูกผู้ชายมาตั้งแต่ยังเด็ก ข้าอยากเป็นสมุนลูกผู้ชาย อยากเจอลูกผู้ชายตัวเป็นๆ อยากใช้วิถีการต่อสู้แบบปกากะญอช่วยลูกผู้ชาย”
“ไอ้หนีบกระเป๋ารถบขส.เนี่ยนะ มันเป็นการต่อสู้วิถีกระเหรี่ยงยังไง”
“ที่บ้านข้าเราฝึกจากกระบอกไม้ไผ่”
“บ๊ะ...เท่ระเบิด ชาวกระเหรี่ยงตามหาฝัน”
“อย่าเหมารวมแบบนั้น ข้าคือปกากะญอต่างหาก”
“งั้นแสดงว่าตอนแรกๆ ที่เรารู้จักกัน พี่ทำท่าเหมือนไม่รู้ตำนานไม้ตะพดมาก่อนก็โกหกน่ะสิ”
“ข้าจะแน่ใจได้ยังไงว่าพวกเอ็งไว้ใจได้น่ะ ข้าก็ต้องเออออทำไม่รู้ไม่ชี้ไปก่อน”
ขณะที่จันทร์กับชาญกำลังคุยกัน สักหัวหน้าแก๊งวินมอเตอร์ไซค์ก็บุกเข้ามาพร้อมกับพวกในแก๊ง
จันทร์ ชาญ มองหน้ากัน
“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย”
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่โรงพยาบาลไม้เดินวนไปวนมารอผลการผ่าตัดอยู่หน้าห้อง อบเชยมองดูไม้ที่เดินวนเป็นหนูติดจั่น
“มานั่งรอดีๆ เถอะไม้ เดินไปเดินมาแบบนั้นจะทำชั้นเป็นลมไปอีกคน”
“ก็มันตื่นเต้นนี่ พ่อจะเป็นยังไงบ้าง”
“ลุงเมฆต้องปลอดภัยแน่ๆ เชื่อเถอะ” ไม้ถอนหายใจ นั่งลง “ไม้ เรื่องร่มของพันเทพน่ะ อย่าเก็บไว้เลยนะ คืนมันไปเถอะ ไอ้พันเทพหรือทิวา มันไม่มีทางปล่อยไม้ให้เป็นแบบนี้แน่ๆ ชั้นไม่อยากให้ไม้เดือดร้อน”
“ก็ไหนเธอบอกว่าให้เวลาชั้น 3 วันที่จะหาไม้ตะพดอีกอันมารวมพลังน่ะ”
“นั่นมันชั้น แต่เจ้าของเค้าจะปล่อยให้มันตกอยู่ในมือคนอื่นนานขนาดนั้นเหรอ พ่อเธอก็ไม่ค่อยดี ถ้าไอ้พันเทพจะเล่นงานก็ไม่ใช่เรื่องยาก จริงมั้ยล่ะ”
ไม้คิดตามคำอบเชย แล้วหมอก็เดินออกมาจากห้องผ่าตัด ไม้กับอบเชยรีบวิ่งไปหา
“เป็นยังไงบ้างครับหมอ”
“เรียบร้อยดี ไม่มีอะไรต้องน่าห่วง”
ไม้ถอนหายใจโล่งอก หมอเดินไป
“ไม้คิดดีๆ นะ”
ไม้นิ่งคิดตามที่อบเชยพูด
ส่วนที่ท่ารถบขส. สักเดินกร่างเข้ามาในบขส.อย่างไม่กลัวใคร เขาพกอาวุธคู่ที่เป็นเฟืองมอเตอร์ไซค์มาด้วย
“รถคันไหนของไอ้เมฆ”
สักถามชาญกับจันทร์
“ทำไม มีอะไรเหรอ”
“ถ้าอยากรู้ ก็บอกมาสิว่ารถไอ้เมฆคันไหน”
“พวกแกไม่มาดีแน่ เราไม่โง่บอกพวกแกหรอก”
“ชอบทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากดีนัก พวกเราค้นให้ทั่ว” สักบอกเรื่องน้อง
“เฮ้ย แกจะมาทำแบบนี้ไม่ได้นะ”
เสียงตะโกนจากแก๊งวินมอเตอร์ไซค์คนหนึ่ง
“พี่สักครับ คันนี้มีรูปไอ้เมฆกับลูกมันติดอยู่ด้วย ต้องเป็นคันนี้แน่ๆ ครับ”
“ดี... กุญแจรถอยู่ไหน” สักถามชาญกับจันทร์
“กุญแจรถก็อยู่ที่คนขับสิ แล้วลุงเมฆก็ไม่เข้ามาทำงานด้วย”
“ไปหากุญแจสำรองมา” สักตะโกนบอกลูกน้อง
“ชั้นไม่ปล่อยให้แกทำแบบนี้หรอก”
ชาญบอกแล้วเข้าสู้กับสัก แต่ความที่ไม่มีกระบอกตั๋วทำให้ชาญสู้ไม่คล่องนัก จึงเจอสักต่อยอัดเข้าที่ท้อง กระเด็นล้มไป ไม่ใช่แค่นั้นกุญแจสำรองที่ชาญเก็บไว้ก็กระเด็นหล่นมาด้วย
“พอไม่มีกระบอกตั๋ว สู้ไม่ได้เรื่องเลยนะ”
จันทร์มองเห็นกุญแจสำรองที่กระเด็นออกมารีบวิ่งจะไปเก็บ แต่สักก็ใช้เฟืองที่คล้องโซ่ฟาดไปที่มือจันทร์ที่จะหยิบ
“โอ๊ย...”
ขณะที่สักจะเดินเข้าไปหยิบกุญแจรถ ชาญก็ใช้ความไวชิงไปก่อน
“ส่งกุญแจรถมา”
แก๊งวินมอเตอร์ไซค์ประจันหน้าชาญกับจันทร์
“เรื่องอะไร อยากได้ก็เข้ามาเอาเองสิ”
“ได้...”
จันทร์โยนกระบอกตั๋วให้ชาญ การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นระหว่างจันทร์ ชาญ กับแก๊งวินมอเตอร์ไซค์ จันทร์กับชาญต่อสู้เพื่อปกป้องกุญแจรถไว้ให้ได้ การต่อสู้จึงเป็นในรูปแบบทุกคนแย่งของสิ่งเดียวกัน ของย้ายมือไปคนโน้นที คนนี้ที แล้วก็เอาคืนมาได้ แต่เดี๋ยวก็ตกไปที่ฝ่ายวินมอเตอร์ไซค์อีก แก๊งวินมอเตอร์ไซค์จะเอาไปสตาร์ทรถออกไป แต่จันทร์กับชาญก็ต่อสู้ ขวางระหว่างการไปสตาร์ทรถ แต่ในที่สุดด้วยคนที่น้อยกว่า จันทร์ ชาญ ก็พลาดท่าโดนเอารถไปจนได้
ขณะนั้นไม้นั่งเฝ้าพ่อที่ยังไม่ได้สติอยู่ข้างเตียง แล้วเมฆก็เพ้อบางอย่างออกมา
“อย่าเอาไปนะ อย่าเอาไป”
“พ่อ พ่อว่าอะไรนะ”
“เอารถคืนมา อย่าให้มันเอาไป”
“หมายความว่าไงน่ะพ่อ”
อบเชยถืออาหารเดินเข้ามาให้ไม้
“อบเชย พ่อเพ้อถึงเรื่องรถอะไรก็ไม่รู้ ชั้นควรทำยังไง”
“ก็คงแค่เพ้อน่ะ ไม้น่ะมากินอะไรก่อนเถอะ ยังไม่กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
“ไม่เป็นไร รอพ่อฟื้นก่อนดีกว่า”
“ลุงเมฆจะฟื้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ...ไม้ต้องกินอะไรบ้างจะได้มีแรง” ไม้นิ่ง ไม่ฟัง “ ได้...ถ้าไม้ไม่กินชั้นจะป้อนเอง”
ไม้เหลือบมองอบเชยไม่รู้ว่าพูดเล่นหรือเอาจริง อบเชยถือกล่องข้าวถือช้อนเดินรี่เข้ามาเอาจริง
“ไม่เอา ไม่กิน”
“ต้องกิน”
“ไม่กิน”
“กินเถอะน่า”
ไม้เอามือปัดป้อง แต่อบเชยก็ใช้วิชามวยที่รู้พยายามทะลุการ์ดของไม้เข้าไป ทั้งคู่ทำเหมือนต่อสู้กลายๆ แต่ดูไม่จริงจังนัก จนพลาดพลั้งกลายเป็นอบเชยเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดไม้ ทั้งคู่มองกันซึ้ง
“ทำไมดื้อแบบนี้นะ” อบเชยต่อว่า
“เธอนั่นแหละดื้อ”
“ถ้ายังไม่กินคราวนี้ชั้นจะป้อนด้วยปาก ให้มันรู้กันไปว่าใครจะดื้อกว่ากัน”
“ไอ้บ้า” ไม้ผลักอบเชยออก อายหน้าแดง อมเชยก็ยิ้มที่ตนกล้าพูดออกไปได้ “เออ กินก็ได้พอใจยังล่ะ”
“ก็แค่นั้น ชอบทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก”
แล้วจู่ๆ จันทร์กับชาญก็วิ่งหน้าตื่นมาหาไม้
“ไม้...แย่แล้ว”
“แย่ซะยิ่งกว่าแย่”
“ทำไม มีเรื่องอะไร”
“พวกแก๊งวินมอเตอร์ไซค์ มันมาเอารถของพ่อแกไปแล้ว”
“มันฝากข้อความไว้ด้วยว่า ถ้าอยากได้รถคืนก็ให้คืนของมันไปก่อนไม่งั้นรถจะกลายเป็นแค่กองเศษเหล็ก”
“นั่นไง ไอ้พันเทพมันเริ่มเร็วกว่าที่ชั้นคิดซะอีก เอายังไงล่ะไม้”
“ว่าแต่แกไปเอาอะไรของพันเทพมาวะ”
“นั่นสิ ยึดรถทั้งคันเลยนะ เจ๊กีเอาตายแน่”
ไม้หน้าเครียด หันไปมองพ่อที่หลับอยู่
“รถของพ่อ...”
ที่บ้านพันเทพ ขณะนั้นพันเทพหน้าซีดๆ นั่งทานอาหารอยู่หัวโต๊ะ ลูกๆ อยู่กันพร้อมหน้า
“พ่อไม่สบายรึเปล่าคะ ทำไมหน้าซีดๆ”
“นั่นสิคะ”
ทิวามองหน้าพ่อ พูดประชด
“พ่ออาจจะมัวเอาเวลาไปดูแลอย่างอื่นมากกว่าตัวเองน่ะสิ”
พันเทพมองทิวาด้วยสายตาดุๆ ทิวานิ่ง ไม่กล้าพูดต่อ
“ก็มัวแต่เอาเวลาไปลงพื้นที่หาเสียงน่ะสิคะ”
“หาเวลาพักผ่อนบ้างนะคะพ่อ”
“นี่ พูดเรื่องพักผ่อนแล้วชั้นก็นึกได้ พักนี้ชั้นฝันประหลาดอยู่บ่อยๆ” ราตรีบอก
“ฝันประหลาดเหรอ?ฝันว่าอะไร”
“ฝันถึงตัวอะไรก็ไม่รู้หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว มาบินวนอยู่ในบ้านเราชั้นไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป”
พันเทพฟังแล้วชะงัก
“พี่ก็ฝัน...เป็นฝันที่เหมือนจริงมากด้วย ฝันว่าไปเจอตัวประหลาดในตู้ที่ห้องทำงานพ่อ มันพูดกับพี่ด้วย” ทิวาบอก
“ชั้นก็ฝันเหมือนกัน เห็นตัวประหลาดมีปีก มาเล่านิทานให้ฟังฝันหลายคืนติดแล้ว แต่ละวันเล่าไม่ซ้ำเรื่องกันเลย” แพรวาบอก
“น่าแปลกนะ ที่พวกเราสามคนฝันถึงอะไรคล้ายๆ กัน”
“ไม่มีอะไรหรอก...แค่ความฝัน จะไปจริงจังอะไรกับมัน พวกเราน่ะโตแล้ว ยังเชื่อเรื่องเด็กๆแบบนี้อีกรึไง”
พันเทพกังวลใจแต่ปิดบังไว้ ลูกๆ มองหน้ากันเกรงๆ เสียงโทรศัพท์พันเทพดังขึ้น พันเทพรับ
“เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย ดี ที่เหลือเดี๋ยวพวกชั้นจัดการเอง”
พันเทพวางโทรศัพท์
อบเชย ไม้ จันทร์และชาญ ยังนั่งคุยกันอยู่ที่โรงพยาบาล
“แกเอาอะไรของมันมาน่ะไม้ ทำไมมันถึงกับต้องมายึดรถกันแบบนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วนะ”
“จะอะไรซะอีกล่ะ ไม้น่ะไปยึดร่ม ของรักของหวงไอ้พันเทพมาน่ะสิ” อบเชยบอก
“ห๊า ร่มนั่น อยู่กับเราแล้วเหรอแล้วตกลงว่ามันใช่...” ไม้พยักหน้ารับ จันทร์พูดต่อ “สังหรณ์ใจไม่ผิด ถ้าไม่ใช่ของสำคัญมีเหรอจะเอาซ่อนไว้กับของใกล้ตัว แล้วพกติดตัวตลอดเวลาขนาดนั้น”
“เดี๋ยวนะ นี่พวกเอ็งคุยอะไรกันเนี่ย ข้าไม่เห็นจะรู้เรื่อง”
“พี่ไม่รู้น่ะดีแล้ว มีอะไรก็บ้าจี้บอกเค้าหมด”
“แน่ะๆๆ มาโทษข้า ถ้าเอ็งเก่งจริงพวกนั้นก็เอารถไปไม่ได้หรอก”
“ชั้นไม่เคยพูดซักคำว่าชั้นเก่ง”
“พอแล้ว จะทะเลาะกันทำไมเนี่ย หาคนผิดก็ไม่มีประโยชน์ ...จะเอายังไงล่ะไม้”
“ขอเวลาให้พ่อรู้สึกตัวก่อน แล้วชั้นจะบอก”
คืนนั้นพันเทพเดินขึ้นมาบนรถของเมฆที่ยึดมาได้ แล้วมองไปทั่วรถ
“ถ้าแกเก็บไม้ตะพดวิญญาณไว้บนรถนี่ก็ดีสิ ไอ้เมฆ” แล้วพันเทพก็ได้ยินเสียงกุกกักดังอยู่นอกรถ พันเทพไปดูเห็นเงาตะคุ่มๆ “นั่นใคร ออกมานะ” เวตาลค่อยๆ ก้าวโผล่มาจากเงามืดให้พันเทพเห็น “แกแอบตามชั้นมาเหรอ บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าออกมาจากห้อง”
“ข้าแค่ออกมายืดเส้นยืดสาย เจ้าจะให้ข้าตัวงออยู่ในตู้ตลอดเวลางั้นรึ”
พันเทพมองซ้ายมองขวากลัวคนมาเห็น
“ขึ้นมานี่ เดี๋ยวก็มีคนเห็นพอดี” เวตาลเดินขึ้นมาบนรถ “แกน่ะเที่ยวเข้าฝันลูกๆ ของชั้น อยากให้คนจับได้นักรึไง”
“ข้าเปล่า แต่ข้าบอกแล้วว่าข้ากำลังอยู่ในช่วงฟื้นคืนพลัง พลังที่กระจัดกระจาย ข้ารวบรวมไม่ได้หรอก”
“ถ้าเป็นอย่างงั้นจริง ชั้นก็จะไม่ถือ อย่าให้รู้ว่าแกตั้งใจจะวุ่นวายกับคนในครอบครัวชั้น”
เวตาลทำหน้าเจ้าเล่ห์ เมื่อเวตาลเคลื่อนไหวไปมาบนรถก็สัมผัสได้ถึงฤทธิ์ของไม้ตะพด
“เจ้าได้ไม้ตะพดเลือดคืนมาแล้วรึ”
“ยัง แต่เชื่อว่าจะได้มันคืนเร็วๆ นี้ล่ะ”
“ยัง...แต่ทำไมข้ารู้สึกถึงพลังที่มหาศาลในนี้”
“พลัง...หมายความว่าไง”
เวตาลเดินย่องค้นหาแหล่งพลังในรถ แล้วก็มาหยุดที่เกียร์
“ข้ารู้สึก...”
แต่แล้วพันเทพก็ได้ยินเสียงคนมาซะก่อน
“มีคนมา หลบเร็ว” เวตาลออกทางหน้าต่างหายไปกับความมืด ทิวาเดินขึ้นมาบนรถ “พ่อน่ะเอง ผมกำลังสงสัยว่านี่รถใคร มาจอดในบ้านเราได้ยังไง”
“แล้วคิดว่ายังไงล่ะ”
“ตอนนี้ผมพอจะเข้าใจแล้วว่า พ่อยึดรถพ่อมันมาเพื่อแลกกับไม้ตะพดใช่มั้ยครับ”
“หึ หึ ฉลาดนี่ ...อยากจะรู้ว่าไม้จะจัดการเรื่องนี้ยังไง”
ทางด้านเมฆ ระหว่างที่ยังนอนไม่ได้สติเมฆฝันเห็นตัวเองยืนอยู่ริมถนนที่ปกคลุมด้วยหมอก มืดมิดจนไม่สามารถมองเห็นรอบด้าน แต่เมฆเห็นรถของตนจอดอยู่ท่ามกลางหมอก เขาเดินไปจะขึ้นไปบนรถ
แต่แล้วก็เจอตัวประหลาดเดินลงมาจากบันไดถือคันเกียร์ลงมาด้วย
“ไม้ตะพดกลายเป็นของข้าแล้ว”
เวตาลบอกแล้วแยกเขี้ยวขู่เมฆ
“ไม่นะ” เวตาลดึงด้ามเกียร์ออก ดึงสิ่งที่เคลือบอยู่ด้านนอกออก เหลือแต่ไม้ตะพดแล้วหัวเราะก้องกังวาล “ไม่...”
เสียงเวตาลยังหัวเราะก้องกังวาน
ขณะนั้นไม้นอนฟุบอยู่ข้างเมฆ แล้วต้องสะดุ้งตื่นเมื่อเมฆส่งเสียงร้องออกมา
“ไม่...”
“พ่อ พ่อเป็นอะไร พ่อ” เมฆรู้สึกตัวขึ้นจากการผ่าตัด ลืมตาเห็นไม้ “พ่อฟื้นแล้ว” ไม้บอกอย่างดีใจ
“ไม้” เมฆรู้สึกเจ็บที่แผลผ่าตัด “เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
“พ่อเพิ่งผ่าตัดมา”
“ผ่าตัด”
วันต่อมาทิวาเดินค้นดูบนรถของเมฆ เห็นรูปเมฆคู่กับไม้ที่ติดตรงหน้าปัดรถ ทิวาหยิบมาฉีกทิ้ง
“ไม้ตะพดต้องเป็นของทิวาคนนี้เท่านั้น มันจะเป็นของใครไม่ได้ทั้งนั้น”
ทิวานั่งลงบริเวณเกียร์รถ แล้วทิวาก็ได้กลิ่นหอมของไม้
“กลิ่น...นี่กลิ่นอะไรเนี่ย”
ทิวาทำจมูกฟุดฟิดเข้าไปใกล้กับคันเกียร์ แต่แล้วพันเทพก็ขึ้นมาบนรถพอดี
“ขึ้นมาทำอะไรบนนี้”
“เอ่อ...เปล่าครับ”
“มีอะไรก็ไปทำซะสิ”
“คือผมกำลังคิดว่า ผมอยากจะจัดการเรื่องไม้ตะพดให้พ่อเอง เพราะเห็นพักนี้พ่อดูซีดๆ เหมือนไม่ค่อยสบาย ให้ผมไปจัดการลากตัวไอ้ไม้มาที่นี่ดีมั้ยครับ ให้มันเลือกไปเลยว่าจะคืนร่มหรือเอารถพ่อมันกลับไป เพราะนี่ก็ผ่านมาคืนนึงแล้วไม่เห็นวี่แววว่ามันจะทำอะไร”
“เรื่องนี้ให้พ่อจัดการเองดีกว่า มันไม่ใช่เรื่องของเด็ก”
“แต่”
“แล้วเรื่องไม้ตะพด ห้ามเอาไปพูดที่ไหนเด็ดขาด อยู่ๆ จะพูดออกมาเหมือนเมื่อกี้ก็ไม่ได้”
“ครับ”
“ไปได้แล้ว”
ทิวาเดินลงจากรถไปอย่างไม่ค่อยพอใจนัก พันเทพหักกระจกมองหลังออกมากำไว้ในมือแล้วเรียกสมุนขึ้นมา
“ชั้นไม่รอแล้ว เตรียมเอารถนี่ไปทำลายเป็นเศษเหล็กซะ ส่วนนี่...” พันเทพ โยนกระจกมองหลังที่หักออกมาให้สมุน “ส่งให้มันไปดูต่างหน้าจะได้รู้ว่าชั้นไม่ได้มีเวลาตัดสินใจให้มันมาก”
ที่โรงพยาบาล ไม้กับเมฆคุยกัน
“ต่อไปนี้ พ่อจะเที่ยวออกแรงทำอะไรเหมือนเดิมไม่ได้แล้วนะครับ ร่างกายพ่อไม่สมบูรณ์เหมือนเก่า” เมฆมีสีหน้าเป็นกังวล “แต่พ่อไม่ต้องห่วง ต่อไปนี้ผมจะดูแลพ่อเอง ผมจะสืบต่อสิ่งที่พ่อทำไว้ทั้งหมดเอง”
“สืบต่อเหรอ...” เมฆถึงความฝันที่คันเกียร์ไปตกในมือของเวตาล เมฆนึกขึ้นมาได้ “รถ รถของพ่อ อยู่ที่ไหน”
“รถของพ่อ...ตอนนี้อยู่ที่ไอ้พันเทพครับ”
เมฆจะลุกขึ้นไปเอารถมาให้ได้
“ไม่ได้การละ” เมฆจะลุกแต่เจ็บแผล “โอ๊ย...”
“อย่าเพิ่งลุกพ่อ พ่อยังไม่หายดี เดี๋ยวเรื่องนี้ให้ผมจัดการเองเถอะ”
“ไม่ว่าลูกจะรู้อะไรมา หรือกำลังคิดจะทำอะไรก็ตาม มันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าไม่มีรถคันนั้น”
“หมายความว่า...ไม้ตะพดอยู่ในรถเหรอ”
อบเชยเดินถือปิ่นโตใส่อาหารมาในโรงพยาบาล แล้วเธอก็มองเห็นสมุนพันเทพเดินหลังไวๆอยู่
“นั่นมันสมุนไอ้พันเทพนี่ ต้องมีเรื่องอะไรกันแน่ๆ”
อบเชยรีบเดินตามสมุนพันเทพไป สมุนพันเทพจะเปิดประตูห้องพักฟื้นเมฆเข้าไป แต่อบเชยก็กระโดดเข้ามาขวางไว้ก่อน
“มีธุระอะไร ที่นี่มันโรงพยาบาล ไม่ใช่ที่ที่ใครจะมาหาเรื่องใครได้”
“เธอมาก็ดี เอาไป” สมันพันเทพโยนกระจกมองหลังให้ อบเชยรับกระจกมองหลังไว้ได้ทัน “ฝากบอกไอ้เมฆ ไอ้ไม้ด้วยว่า ตอนนี้รถบขส.ของพวกมัน กำลังถูกส่งไปรื้อให้เป็นเศษเหล็กแล้ว”
“ห๊า”
สมุนพันเทพมองหน้ากันแล้วเดินไป ไม้เปิดประตูออกมา
“มีเรื่องอะไรเหรออบเชย” อบเชยยื่นกระจกรถให้ “นี่กระจกรถของพ่อ”
“คนของไอ้พันเทพบอกว่า รถกำลังจะถูกรื้อเป็นเศษเหล็กแล้ว”
“ไม่ได้นะ เป็นแบบนี้ไม่ได้”
ไม้รีบวิ่งออกไป อบเชยก็ตามไปด้วย
“ไม้รอด้วย”
ไม้วิ่งเข้ามาในบ้านรื้อพื้นที่ตนซ่อนร่มของพันเทพไว้ เขามองร่มใจยังเต็มไปด้วยความเสียดายแต่ก็ต้องตัดใจ ไม้ถือร่มออกไปพร้อมอบเชย
ไม้และอบเชยเข้ามาในโรงงานของเก่าแล้วมองหารถของเมฆ แล้วก็เห็นเหล่าแก๊งวินมอเตอร์ไซค์กำลังรุมทึ้งถอดล้อทั้งสี่อยู่
“เฮ้ย หยุดนะ”
“มันเรื่องอะไรของแก”
“นั่นรถพ่อชั้น”
“แต่คุณพันเทพยกให้พวกเราแล้ว อยากจะให้เราทำอะไรกับมันก็ได้แกไม่มีสิทธิ์”
“ถ้าขายทุกชิ้นคงจะได้เงินไม่น้อยนะพวกเรา”
“พวกแกทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”
“แกนี่มันตัวก่อกวนทุกเรื่องจริงๆ”
พันเทพเดินออกมาจากรถบขส.
“นึกว่าจะไม่ได้เห็นร่มของชั้นอีกซะแล้ว... ใครเอาร่มในมือนั่นมาให้ชั้นได้ ชั้นจะจ่ายเงินเพิ่มให้อีกเท่าตัวเลย”
พันเทพบอกแก๊งวินมอเตอร์ไซค์ แก๊งวินมอเตอร์ไซค์ผู้กระหายเงินตาลุกวาวเมื่อได้ยินเช่นนั้น
พวกมันต่างรุมกันบุกเข้าหาไม้ทันที ไม้ใช้ร่มเป็นอาวุธมีอบเชยคอยช่วยปะมือกับพวกวิน สักใช้เฟืองมอเตอร์ไซค์จะฉกร่มในมือไม้ได้แต่ไม้ก็คว้ามันมาคืนมาได้ซะก่อน พันเทพยืนดูการต่อสู้ของไม้ที่ก้าวหน้าไปมาก
“เชื้อไม่ทิ้งแถว”
แต่พลังของไม้ตะพดไม่ได้มีมากนัก แม้จะใช้ท่ากรงเล็บพยัคฆ์ด้วยก็ตาม
“ทำไมร่มนี่มันถึงไม่วิเศษเหมือนวันก่อนที่ไม้ใช้มันนะ”
“ไม่รู้ ...ที่รู้ตอนนี้เราต้องขึ้นไปบนรถนั่นให้ได้ ไม้ตะพดอีกอันอยู่บนนั้นจะปล่อยให้ไอ้พันเทพทำลายไม่ได้”
ขณะที่ทั้งคู่คุยกัน สักก็ใช้จังหวะนั้นจู่โจมด้วยเฟืองโซ่คู่กายตนไปที่ไม้ อบเชยเห็นพอดีจึงเอาตัวเข้าขวางจนได้รับบาดเจ็บ ไม้คว้าอบเชยไว้ในอ้อมกอด
“อบเชย อบเชยเป็นอะไรมั้ย”
“ไม่เป็นไร ไปเอาไม้บนรถก่อนเถอะ”
ไม้โกรธที่สักทำกับอบเชยแบบนั้น จึงสู้กับสักจนสักโดนร่มพันเทพฟาดแล้วล้มลงไป แล้วไม้ก็ขึ้นไปบนรถเผชิญหน้ากับพันเทพได้ในที่สุด

ไม้ขึ้นมาบนรถเผชิญหน้ากับพันเทพ พันเทพนั่งยิ้มรออย่างไม่กลัวเกรงพอไม้ขึ้นมาได้พันเทพก็ปรบมือให้ด้วยความยินดี
“เก่งจริงๆ ฝีมือของเธอพัฒนาไปมาก”
“ชั้นขอรถพ่อชั้นคืน”
“พ่อแกเหรอ” พันเทพหยิบกุญแจรถขึ้นชูยั่วไม้ “คงไม่ได้ลืมข้อแลกเปลี่ยนระหว่างเราใช่มั้ย”
ไม้มองร่มของพันเทพในมือแล้วคิดตุกติกกับพันเทพด้วยการจะฟาดพันเทพด้วยร่ม แต่พันเทพก็สามารถหลบแล้วเอามือคว้าปลายร่มอีกด้านไว้ได้ทัน
“ทำแบบนี้...คือจะโกงชั้นรึไงกะใช้อาวุธของชั้นฆ่าชั้นแล้วก็ยึดมันไว้เองงั้นเหรอ” พันเทพหัวเราะ “ร้ายกาจไม่เบา แต่ชั้นเคยบอกเธอแล้วไงไม้...ว่าเธอน่ะใช้มันไม่เป็นหรอก ของๆ ชั้นไปอยู่กับเธอมันก็กลายเป็นแค่ร่มธรรมดาๆ ที่ไม่มีอะไรวิเศษเพราะอะไรรู้มั้ยเด็กน้อย...เพราะมันเป็นของชั้นไม่ใช่เธอไงล่ะ”
พันเทพใช้แรงดันร่มจากปลายด้านหนึ่งไปกระแทกหน้าไม้ จนไม้เลือดกำเดาไหลออกจากจมูก “ชั้นไม่อยากจะทำร้ายเธอหรอกนะไม้ แต่เธอน่ะกำลังหลงผิดจริงๆ”
พันเทพดันปลายร่มให้อีกด้านไปรองรับเลือดกำเดาที่ไหลหยดของไม้พอดี แค่มีเลือดหยดลงที่ร่ม ทั้งคู่ต่างก็สัมผัสได้ของพลังของไม้ตะพดที่มีพลังอำนาจเหมือนเดิม
“ร่มนี่”
“มันไม่ได้กินเลือดมานานไงล่ะ พลังจึงลดลง”
แต่พันเทพก็ชิงร่มในมือของเขาได้ก่อนไม้ ไม้ถูกผลักลงไปล้มอยู่กับพื้นรถ ไม้มองลอดใต้เก้าอี้ต่างๆ บนรถมองหาไม้ตะพด มองบนเพดาน มองที่กระจก มองจนทั่วรถ
“ไม้ตะพดอยู่บนนี้...แล้วอยู่ตรงไหน” ไม้คิดอยู่ในใจ
“คราวนี้ชั้นจะเป็นคนสั่งสอนเธอเอง เธอจะได้จำไว้ว่าอย่าทำแบบนี้กับชั้น”
พันเทพมีร่มเป็นอาวุธ แต่ไม้สู้ด้วยมือเปล่าจึงโดนร่มฟาดกระเด็นไปทางโน้นทีทางนี้ที ตาไม้ก็ยังสอดส่ายหาไม้ตะพดที่ซ่อนอยู่บนรถ
“แกได้ร่มคืนไปแล้ว ก็เอากุญแจรถมา”
“ขอชั้นสั่งสอนเด็กดื้ออย่างเธอหน่อยเถอะ”
พันเทพต้อนไม้มาจนมุมตรงคันเกียร์หน้ารถ พันเทพฟาดร่มมาที่ไม้ ไม้พยายามหลบและป้องกันตัว จึงคว้าเอาคันเกียร์ดึงขึ้นมาเป็นอาวุธ ในนาทีที่คันเกียร์กระทบกับร่มของพันเทพก็เหมือนมีพลังอะไรบางอย่างผลักพันเทพกระเด็นไปท้ายรถ เลือดที่แผลบริเวณข้อเท้าก็ไหลซึมออกมา พันเทพปวดแผลที่เท้า หน้าซีดหนักกว่าเดิม
“โอ๊ย...นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
ไม้ถือคันเกียร์มาที่พันเทพโดยไม่รู้ว่าเป็นไม้ตะพด พร้อมหยิบเอากุญแจรถเมฆมาจากพันเทพ
“เกมจบแล้ว พันเทพ”
ไม้เดินลงจากรถไป
ไม้เดินลงมาหาอบเชยที่บาดเจ็บอยู่ ไม้อุ้มอบเชยที่บาดเจ็บอบเชยคิดไม่ถึงทั้งตกใจทั้งประทับใจจนกลั้นยิ้มไว้ไม่ได้ สักและแก๊งวินมอเตอร์ไซค์จะเข้ารุมไม้อีก พันเทพเดินเขยกลงมาจากรถ
“ปล่อยไป ชั้นได้สิ่งที่ต้องการแล้ว”
ไม้พาอบเชยขึ้นรถไป
ไม้วางอบเชยลงบนเบาะ แล้วหยิบคันเกียร์ใส่เข้าที่ก่อนที่จะขับรถออกจากโรงงานของเก่า โดยมีพันเทพกับเหล่าแก๊งมอเตอร์ไซค์มองตามออกไป
เมื่อกลับมาบ้านพันเทพเดินกระเผลกเจ็บขาลงจากรถ ทิวาวิ่งเข้ามาหา
“พ่อ พ่อเป็นอะไร” ทิวาเห็นร่มในมือพ่อ “ร่ม พ่อได้คืนมาแล้ว แปลว่าไอ้ไม้ทำพ่อให้เป็นแบบนี้ใช่มั้ย ผมจะไปจัดการมันเอง”
“ไม่ต้อง แค่นี้ก็วุ่นวายพออยู่แล้ว”
“พ่อ แต่มัน...” พันเทพมองทิวาดุดัน ทิวานิ่งไม่กล้าพูดต่อ พันเทพเดินเข้าด้านใน ทิวาเจ็บใจ
“ยังไงชั้นก็ไม่ยอมให้จบแค่นี้หรอก พ่อไม่จัดการแก ชั้นจัดการแกเองไอ้ไม้”
ไม้พาอบเชยมาส่งที่บ้าน อบเชยนอนคว่ำอยู่บนเตียงไม้ทำแผลบริเวณเอวด้านหลังให้อบเชย อบเชยยิ้มมีความสุข
“ใครให้เธอเอาตัวเข้ามาขวาง ไม่คุ้มกันเลย”
“ใครว่าไม่คุ้ม คุ้มจะตาย”
“หมายความว่าไง”
“เปล่า” อบเชยอมยิ้ม
“บอกให้ไปหาหมอก็ไม่ไป”
“แบบนี้ดีกว่าเยอะ”
“เดี๋ยวแผลติดเชื้อขึ้นมาจะแย่”
“ไม่กลัวหรอก”
“แล้วไม้ตะพดเลือดก็กลับไปอยู่กับไอ้พันเทพจนได้”
“ก็มันของเค้านี่”
“เธอยอมให้คนเลวมีไม้ตะพดเพื่อทำลายคนอื่นรึไง”
“จะต้องกลัวอะไร ในเมื่อคนดีก็มีไม้ตะพดอยู่อีกอันก็ถือว่าเป็นการต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อดีออก ว่าแต่ไม้ตะพดล่ะที่ไม้ว่าอยู่บนรถ หาเจอรึเปล่า” ไม้ส่ายหน้า “ไม่เป็นไรหรอก ยังไงก็ได้รถคืนมา หาเมื่อไหร่ก็ได้
หรือไม่ลุงเมฆก็คงจะบอกเองนั่นแหละ” ไม้เก็บยาทำแผล เอาผ้าห่มห่มให้อบเชย “เสร็จแล้วเหรอ...”
“อืม”
“เร็วจัง” อบเชยบ่นอย่างเสียดาย
“ขอบใจนะที่ไปช่วย”
“เปลี่ยนคำขอบใจเป็นอย่างอื่นได้มั้ยล่ะ”
“เป็นอะไร”
“ก็แบบพาไปเลี้ยงข้าว เลี้ยงไอติม กันสองคนอะไรแบบนั้น”
“เอาตัวเองให้หายก่อนเถอะแล้วค่อยมาปากดี”
ไม้ยิ้มกับพฤติกรรมของอบเชย
พันเทพเดินเข้ามาในห้องนอนตัวเอง แล้วก้มดูบาดแผลที่คิดว่ารองเท้ากัดที่เท้ามันดูลุกลามขึ้นกว่าเดิม
“มันไม่น่าใช่แค่รองเท้ากัดแล้ว”
พันเทพครุ่นคิดเกี่ยวกับแผลของตน
ไม้ขับรถเข้ามาในท่ารถบขส. จันทร์กับชาญที่อยู่ที่นั่นวิ่งมาหาทันที ต่างดีใจที่ไม้เอารถกลับมาได้ คนในบขส.ก็ต่างเข้ามายินดีกับไม้
“เฮ้ยไม้ เอ็งนี่แจ๋วไปเลยว่ะ เอารถกลับมาได้ยังไงเนี่ย”
“ใช้ความสามารถนิดหน่อย” ไม้บอก
“เดี๋ยวนี้ไปหาเรื่องสนุกที่ไหน ไม่ชวนเลยนะ”
“น้อยๆ หน่อยเอ็ง เอ็งเป็นช่างประจำที่นี่ จะเที่ยวออกไปไหนมาไหนตามอำเภอใจได้ไง ชวนชั้นนี่”
“โห...พี่ชาญ พี่เป็นกระเป๋ารถ พี่ยิ่งกว่าชั้นอีกนะ อย่าหวังเลยไอ้ไม้จะชวนน่ะ”
ชาญมองค้อนจันทร์ แล้วพูดกับไม้
“ลุยเดี่ยวเลยนะเดี๋ยวนี้ จะเก่งใหญ่แล้ว”
ไม้ยิ้มภูมิใจ
“พี่ก็พูดเกินไป”
“มีความสุขละสิ ได้สัมผัสกับความหอมหวานของชัยชนะบ้างน่ะ”

ไม้ยิ้มมีความสุข โดยไม่รู้ว่าทิวาแอบดูอย่างเคียดแค้นอยู่

อ่านต่อหน้า 3




ลูกผู้ชายไม้ตะพด  ตอนที่ 6 (ต่อ)

ค่ำคืนนั้นขณะที่พันเทพนอนหลับอยู่ในห้อง เวตาลก็ย่องมาเหมือนเคย และค่อยๆ เปิดเท้าพันเทพเพื่อดูดกินเลือด แต่ยังไม่ทันได้ดูดเลือดก็ต้องตกใจที่หันไปเห็นพันเทพลุกขึ้นมานั่งจ้องเขม็ง เวตาลถอดกรูดติดผนัง

“แกนี่เอง ที่ทำให้ชั้นอ่อนแอแบบนี้ เพราะแกชั้นถึงได้แพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า”
“ข้าเปล่าทำอะไรเจ้านะ เปล่า”
“ยังจะมาโกหกอีก ชั้นเห็นกับตาว่าแกกำลังจะแอบมาดูดเลือดชั้น คงทำมาทุกวันเลยสินะ อาหารก็เลี้ยงอย่างดี ยังจะทำแบบนี้อีก”
“เจ้าเลี้ยงข้าด้วยหมูเห็ดเป็ดไก่ มันเพิ่มพลังให้ข้าช้าเหลือเกิน ไม่มีอะไรเติมพลังให้ข้าได้ดีเท่าการดื่มเลือดมนุษย์”
“ไอ้เนรคุณ”
พันเทพจะลุกมาซัดเวตาลด้วยความโมโห แต่ก็เซลุกขึ้นไม่ไหว เวตาลยิ้มมุมปากที่เห็นพันเทพเซ
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะอ่อนแรงกว่าข้าอีกสินะ”
เวตาลดื้อดึงจะเข้าโจมตีพันเทพ แต่แล้วเวตาลก็ต้องชะงัก เพราะเห็นร่มที่พันเทพคว้าไว้ในมือซะก่อน
“เจ้าได้ร่มคืนมาแล้ว…”
“ถ้าชั้นบอก จะได้เห็นหรอกเหรอว่าแกคิดชั่วอะไรอยู่”
พันเทพถือร่มชี้หน้าด่าเวตาล เวตาลหงออยู่มุมห้อง
“ข้าจะไม่ทำกับเจ้าแบบเดิมอีกแล้วนะ”
“ไม่ต้องมาโกหก ชั้นจะขังลืมกับแกเลย คอยดู”
พันเทพจ้องหน้าเวตาลเขม็ง โกรธ เวตาลหงอ
เวตาลถูกโยนเข้าไปในตู้ พันเทพปิดล็อคไขกุญแจแน่น เสียงเวตาลเอะอะทุบตู้ปึงปัง
“ปล่อยข้าออกไปนะ ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว”
พันเทพไม่สนใจเสียงโวยวายของเวตาล มองตู้ด้วยแววตาแค้น
วันต่อมาอบเชยออกมาเดินซื้อของที่ตลาดทั้งที่ยังบาดเจ็บที่เอว อบเชยเดินผ่านหน้าร้านขายดอกไม้จึงหยุดยืนมอง อบเชยหยิบดอกกุหลาบอยากจะซื้อให้ไม้
“นี่ดอกเท่าไหร่คะ”
“ยี่สิบครับ”
“ยี่สิบเลยเหรอ”
อบเชยวางดอกไม้คืนที่เดิมแล้วเดินต่อไปจ๋อยๆ แล้วดอกกุหลาบดอกเมื่อครู่ก็ถูกยื่นมาวางอยู่ตรงหน้า อบเชยยิ้มดีใจคิดว่าเป็นไม้ แต่พออบเชยหันไปกลายเป็นทิวาอบเชยหน้าเจื่อนลงทันที
“สวัสดีตอนเช้า”
“ทิวา”
“ก็แน่ล่ะ คิดว่าเป็นใครล่ะ” อบเชยทำหน้าเซ็ง “เราไม่ได้ไปกินอะไรด้วยกันนานแล้วนะ”
“ก็ไม่เห็นจำเป็น”
“ทำไมพูดแบบนี้”
“นี่จะบอกอะไรให้ ไม่มีใครเค้าสนคนแบบนายหรอกนะทิวา คนที่ไม่มีอะไรเป็นของตัวเองนอกจากปัญหาที่พ่อสร้างไว้ตราหน้าอยู่”
“นี่เธอ…”
“ไม่ต้องมายุ่งกับชั้นแล้วนะ ยังไงชั้นก็ไม่มีวันสนใจเธอหรอก หัวใจชั้นน่ะมีแต่ไม้คนเดียวเท่านั้น”
ทิวากำหมัดในมือตนเแน่น อบเชยเดินจากไปอย่างไม่สนใจ
ส่วนเมฆเมื่ออาการดีขึ้นจนออกจากโรงพยาบาล ไม้จึงรับเมฆกลับบ้าน ไม้พยุงเมฆเดินมากินข้าวหน้าบ้าน อบเชยเตรียมกับข้าวมาให้ ทั้งสามคนดูมีความสุข ทิวาแอบมองอยู่
“ถึงตอนนี้ชั้นจะสู้แกไม่ได้ มันก็ต้องมีวิธีอื่นที่จะทำลายความสุขของแก”
ทิวาพึมพำออกมาแล้วมองไม้อย่างแค้นๆ
อีกด้านหนึ่งที่บ้านพันเทพ แพรวากำลังแต่งหน้าแต่งตัวอยู่หน้ากระจก ราตรีเดินเข้ามา
“มีอะไรเหรอราตรี”
“พ่อให้มาถามว่าเสร็จรึยัง”
“ใกล้แล้ว”
“แค่ไปช่วยพ่อหาเสียง ต้องแต่งหน้าแต่งตัวขนาดนั้นเลยรึไง”
“แล้วราตรีไม่ไปเหรอ”
“พ่อให้ไปดูงานที่วินรถตู้ ซึ่งชั้นไม่เข้าใจเลย ทำไมพ่อถึงเลือกให้เธอไปหาเสียงด้วยบ่อยๆ”
“ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ราตรีมองของในห้องแพรวาที่มีกล่องของขวัญ ดอกไม้มากมายเต็มไปหมด
“นี่อะไรนักหนาเนี่ย”
“ก็พวกชาวบ้านน่ะ ชอบเอาของขวัญ เอาดอกไม้มาให้ ชั้นละเกรงใจพวกเค้านัก”
ราตรีมองแพรวาอย่างหมั่นไส้
ทิวากำลังนั่งครุ่นคิดถึงแผนการที่จะทำลายไม้ ราตรีเดินเข้ามาพอดี
“ไหนบอกจะไปช่วยพ่อหาเสียง”
“พ่อให้แพรวาไปแทน บอกให้ราตรีไปคุมงานประจำที่วินรถตู้ บ้ารึเปล่า งานคุมวินรถตู้ งานออกหน้าล่ะให้แพรวา งานกรรมกรล่ะให้ชั้น”
“ก็เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่เด็กแล้วนี่ ยังไม่ชินอีกเหรอ”
“ชั้นกับแพรวาเป็นแฝดกันนะ ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหน ทำไมมีแต่คนมาสนใจ มาชอบแพรวาเต็มไปหมด”
“คนสนใจแพรวางั้นเหรอ...หนึ่งในนั้นก็คือไอ้ไม้สินะ”
“มีแต่พวกโง่ทั้งนั้น”
ทิวายิ้มเมื่อนึกแผนการบางอย่างได้
“เธออยากจะหาอะไรสนุกๆ ทำรึเปล่าล่ะราตรี”
“ทำอะไร”
“ทำลายความสุข”
ราตรีนึกสนใจจึงยอมทำตามแผนการของทิวา ทิวาจึงให้ราตรีแต่งตัวเป็นแพรวาแต่ท่าทางของราตรีกระด้างกระเดื่องผิดกับแพรวาตัวจริง
“นี่นะแผนของพี่ น่ามวนท้องชะมัดวิธียังกับผู้หญิง”
“อย่าพูดมากเลยน่า”
“ให้ชั้นทำตัวเป็นแพรวา น่าอึดอัดชะมัด”
“พูดจาให้มันเป็นแพรวาหน่อย เดี๋ยวก็โดนจับได้หรอก”
“แล้วนี่ชั้นต้องทำอะไรบ้างเนี่ย”
“ทำให้อบเชยกับไอ้ไม้ แตกคอกันให้ได้ ที่เหลือชั้นจัดการต่อเอง”
ทิวามองไปด้วยสายตามุ่งมั่นว่าแผนจะสำเร็จ
ส่วนที่บ้านเมฆ หลังจากทานข้าวเสร็จไม้กับอบเชยกำลังล้างจานด้วยกัน
“ถ้าลุงเมฆเป็นแบบนี้ไปตลอดก็คงหายเร็วขึ้นนะ”
“อืม แล้วนี่แผลเธอเป็นไงบ้าง”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าเธออยากจะพาไปกินข้าวขอบคุณก็ไปไหว”
“ก็เอาสิ”
“เอาแบบโรแมนติกใต้แสงเทียนกันสองคนเลยได้มั้ยล่ะ”
“มากไปละ”
“ถ้าพาไปจริงๆ ชั้นจะกลับบ้านไปแต่งตัวแล้วนะ”
“จะโกหกทำไมล่ะ”
ไม้กับอบเชยยิ้มให้กัน อบเชยระริกระรี้
ไม้มาส่งอบเชย เดินออกมาหน้าบ้าน เจอราตรีที่แต่งตัวเป็นแพรวายืนรออยู่ รอยยิ้มของอบเชยเจื่อนลงทันที
“สวัสดีจ้ะไม้”
“อ้าว คุณแพรวา มีอะไรรึเปล่ามาหาถึงนี่เลย”
ยังไม่ทันพูดพร่ำทำเพลงอะไร ราตรีก็ถลาเข้าซบอกไม้ร้องไห้ อบเชยเห็นก็อึ้ง ไม้เองก็เช่นกัน
“ไม้ช่วยชั้นที ชั้นสับสนไปหมด ไม่รู้จะทำยังไง”
ไม้ทำอะไรไม่ค่อยถูกนัก แต่ก็ยกมือขึ้นโอบลูบหัวปลอบใจราตรีในอ้อมกอดของเขาตามสถานการณ์ อบเชยมองอย่างไม่พอใจนัก
“ไม้ ตกลงว่าวันนี้...”
“เอาไว้วันหลังแล้วกันนะ”
อบเชยมองไม้อย่างน้อยใจ แล้วเดินจากไปอย่างเศร้าๆ ไม้เองก็ไม่รู้จะทำยังไง ทิวาที่แอบมองดูอยู่ยิ้มออก
อบเชยนั่งเศร้าๆ อยู่ริมถนนแล้วกินลูกชิ้นปิ้งกับหมาข้างถนนแทน พร้อมกับบ่นพึมพำกับหมา
“ชั้นนะ...ทำทุกอย่าง ยอมเสี่ยงตาย ยอมเจ็บตัว แต่สุดท้ายก็เป็นได้แค่นี้แหละ”
ไกรขับรถผ่านมาเห็นพอดี เขาจอดรถทักทายอบเชย
“ไง เดี๋ยวนี้เป็นเพื่อนกับหมาแล้วรึไง”
อบเชยมองไกรยิ้มเนือยๆ
ไม้พาราตรีเข้ามานั่งในบ้าน ราตรีมองบ้านที่ซอมซ่ออย่างรังเกียจ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอครับคุณแพรวา”
“คือชั้นทะเลาะกับพ่อน่ะค่ะ ชั้นไม่อยากให้พ่อทำร้ายไม้” ไม้ยิ้มดีใจ
“ขอบคุณคุณแพรวามากนะครับที่เป็นห่วง จริงๆ ผมก็พูดลำบากนะเรื่องแบบนี้”
ไม้ยกน้ำมาเสิร์ฟให้ราตรี ราตรีมองน้ำในแก้ว ไม่กล้ากิน
“มีน้ำแร่รึเปล่า”
“ว่าไงนะครับ”
“เปล่าค่ะ”
ราตรีรีบปฏิเสธ
ส่วนไกรหลังจากจอดรถทักอบเชย เขาก็พาอบเชยมากินข้าวที่ร้านอาหาร อบเชยกินเอากินเอาอย่างประชดชีวิต ไกรมองอย่างเอ็นดู
“หิวขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เปล่า แต่อยากกินให้มันติดคอตายไปเลย”
“มีเรื่องไม่สบายใจอะไร”
“พูดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก มันเจ็บตรงนี้ นี่” อบเชยชี้ที่ใจ ไกรหัวเราะ “ชั้นพูดจริงจังนะ หัวเราะอะไร”
“ก็เธอตลก”
“พวกผู้ชายก็แบบนี้ เห็นแค่ชั้นเป็นสีสันในชีวิต ชั้นก็มีหัวใจเหมือนกันนะ”
“แต่ผมไม่เคยเห็นคุณเป็นแบบนั้น”
“คุณไกรน่ะไม่รู้ตัวก็พูดไป พอมีทางเลือกเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็จะเลือกอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ชั้น”
ไกรคว้ามืออบเชยมาจับ
“ต่อให้คนอื่นจะทำเธอเสียใจยังไง แต่ชั้นจะไม่ทำแบบนั้น”
“เป็นคำปลอบใจที่ดีค่ะ”
“ชั้นพูดจริงจังนะ”
อบเชยมองไกรที่สีหน้าจริงจังแล้วทำตัวไม่ถูก
ไม้เดินมาส่งราตรีหน้าบ้าน ราตรีทำหน้าเบื่อมาก
“ขอโทษทีนะครับ พอดีพ่อผมป่วย เลยไม่ได้ต้อนรับดีนัก”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ส่วนเรื่องผมกับพ่อคุณ ผมว่าไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ คุณทำหน้าที่ลูกที่ดีผมเข้าใจครับ ผมแยกออกว่าเป็นคนละคนกัน” ราตรียิ้มฝืนๆ “ขอบคุณมากนะครับ คุณแพรวามีน้ำใจกับผมตลอดเลย”
ราตรียืนตบยุง
“ยุงเยอะจังนะที่นี่ อยู่ไปได้ไงเนี่ย”
“โทษทีนะครับ เดี๋ยวผมเข้าไปเอายามาให้ทา”
“ไม่ต้องหรอก ชั้นขอตัวเลยดีกว่า”
ราตรีหันหลังให้ไม้อย่างสะอิดสะเอียน ไม้ยิ้มหวานส่ง
หลังจากกินข้าวเสร็จไกรขับรถมาส่งอบเชยที่บ้าน อบเชยหลับไม่รู้เรื่องไกรมองเธออย่างเอ็นดู
จับไรผมที่ปรกปิดหน้าป้ายขึ้นไป แล้วอบเชยก็สะดุ้งตื่น
“ถึงแล้วเหรอ ขอบคุณนะคะ”
อบเชยเดินลงจากรถไป ไกรมองยิ้มๆ
เช้าวันรุ่งขึ้นขณะที่อบเชยยังหลับอุตุอยู่บนเตียง ศรนารายณ์เดินมามองหน้าอบเชยแล้วเอามือจับหน้าหันไปหันมาอย่างเพ่งพินิจ อบเชยงัวเงียตื่น
“ทำอะไรน่ะพ่อ”
“ขอดูหน้าลูกตัวเองหน่อยซิ เปลี่ยนไปแค่ไหนแล้ว ไม่ได้เจอหน้ากันนานจนลืมไปแล้วเนี่ย”
“พูดอะไรพ่อ”
“ก็เราน่ะเคยอยู่บ้านมั่งมั้ยล่ะ เดี๋ยวหายไปโน่น ไปนี่ ไม่เคยได้เจอตัวซักที”
“พ่อก็...”
“ไง แล้ววันนี้ไม่มีธุระที่ไหนรึไง” อบเชยส่ายหน้า “ไม่ต้องไปหาเจ้าไม้เหรอ”
“ไม่ต้องมาพูดถึงชื่อนั้นให้ได้ยินเลย”
“งอนกันอีกแล้วรึไง ...เอาเถอะ เอาเถอะ วันนี้ขอพ่อฉลองที่ลูกสาวอยู่บ้านซะหน่อย เดี๋ยวจะโชว์ฝีมือทำอะไรอร่อยๆ ให้กิน”
อบเชยพยักหน้ารับ ศรนารายณ์ยิ้ม
ศรนารายณ์เดินซื้อของที่ตลาดแล้วทักทายผู้คน ราวกับเป็นคนของประชาชน แม้จะไม่มีคนสนใจ
“สบายดีนะ...ตามสบายเลย ตามสบาย...”
ชาวบ้านมองศรนารายณ์พี่พูดคนเดียวเหมือนคนเพี้ยน มีแม่ค้าพ่อค้าคุยกัน
“เค้าว่ากันว่าลูกผู้ชายน่ะบาดเจ็บหนัก ตอนที่สู้ตอนนั้น ก็เลยหายไปเลย”
“คงจะจริงนะ เพราะไม่มีใครเห็นลูกผู้ชายนานแล้ว”
“แบบนี้ก็แย่สิ เวลามีเรื่องเดือดร้อน ต่อไปจะทำยังไง”
“ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว มีชั้นอยู่ทั้งคน ชั้นน่ะนักมวยแชมป์ 14 สมัยนะ” ศรนารายณ์บอก
“โอ๊ยพ่อ นี่ผ่านมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว ยังสู้ใครเค้าไหวอยู่อีกเหรอ”
“ทำไมพูดแบบนี้ ชั้นศรนารายณ์นะ”
“ดีแต่คุยโม้ไปวันๆ ละมั้ง”
“เฮ้ย!” ศรนารายณ์กระชากคอเสื้อจะเอาเรื่อง
“จะรังแกชาวบ้านธรรมดารึไง ไม่ได้ครึ่งของลูกผู้ชายซักนิด”
ศรนารายณ์เจ็บใจ ทำอะไรไม่ได้ ปล่อยชาวบ้านไป
“อย่าไปถือสาคนเพี้ยนๆ เลยเอ็ง”
ศรนารายณ์เจ็บใจเดินออกไปจากตลาด
ที่ด้านเมฆ ไม้ยกอาหารเช้ามาให้ข้างเตียงเมฆ เมฆนั่งรอพร้อมกล่องไม้บางอย่างอยู่
“ได้เวลากินข้าวเช้าแล้วพ่อ”
“ไม้ มานั่งใกล้ๆ พ่อซิ” ไม้มองที่กล่องข้างตัวเมฆ รับรู้ได้ถึงเรื่องบางอย่างที่พ่อกำลังจะบอก ไม้มานั่งข้างเมฆ “เปิดกล่องดูสิ”
ไม้ค่อยๆ เปิดกล่องไม้ออกดู ลุ้นว่าเป็นของลูกผู้ชายรึเปล่าแต่พอเปิดออกมาก็ต้องผิดหวังเมื่อพบว่าของในกล่องเป็นเสื้อ - กางเกง ตัวที่เมฆใส่ประจำ ซึ่งก็ดูปกติธรรมดามาก
“นี่มันเสื้อผ้าพ่อนี่ พ่อจะให้ชั้น...เอาไปบริจาคเหรอ” เมฆหัวเราะ “หรือพ่อจะ...ยกให้ชั้นใส่ต่อ”
“ใช่”
“โอ้โห มันน่าจะเปื่อยหมดแล้วมั้งเนี่ย จะใส่ได้เหรอ”
“ดูดีๆ สิ”
ไม้ดูเสื้อผ้าตามรายละเอียดต่างๆ ในเสื้อ ไม้จับๆ ผ้าแล้วก็กลับดูเนื้อด้านใน
“ผ้าก็ไม่หนาทำไม...พอจับแล้วมันหนาๆ แบบนี้” ไม้กลับตะเข็บ “นี่มัน...”
ด้านในของเสื้อผ้าเมฆมีตีนตุ๊กแกติดกับชุดรัดรูปสีดำและหนังเสือของลูกผู้ชายอยู่ ไม้ดึงชุดด้านไหนที่ติดกับตีนตุ๊กแกออก
“นี่มันชุด...ลูกผู้ชาย”
“ใช่ มันถึงเวลาซักทีที่ลูกจะได้รู้”
“มันคือเรื่องจริง”
เมฆพยักหน้า
“พ่อรู้ตัวดีว่าตอนนี้ร่างกายพ่อมันไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว”
“ไม่หรอกพ่อ เดี๋ยวพ่อจะต้องกลับมาแข็งแรง”
“พ่อรู้ตัวดีไม้ ต่อไปนี้ พ่อเลยอยากให้ลูกทำหน้าที่นี้ แทนพ่อ”
ไม้กลืนน้ำลาย
“แต่ผมไม่เก่งขนาดจะ...”
“พ่อจะถ่ายทอดทุกวิชาที่พ่อรู้ให้ลูกเอง”
ไม้มีสีหน้ากังวล ไม่แน่ใจว่าตนจะทำสิ่งที่ได้รับมอบหมายได้ดี

เมฆยังไม่ค่อยแข็งแรงนักขณะที่ไม้พยุงมาที่ชายป่า ซึ่งมีกระท่อมร้างหลังเล็กๆ อยู่
“ที่นี่มัน...”
“เป็นที่ดินตั้งแต่สมัยของทวด”
“ทำไมเราต้องมาที่นี่ด้วย”
“ที่นี่เป็นที่ปลอดผู้คน ปู่ของลูกสอนมวยให้พ่อที่นี่และพ่อมักจะอาศัยที่นี่ในการมาซ้อมวิชามวยต่างๆ”
“โห...สุดยอดไปเลย”
“พ่อจะสอนวิชามวยให้ลูกที่นี่” ไม้ตื่นตาตื่นใจเดินดูไปทั่วบริเวณ “และเรื่องสำคัญอีกเรื่องก็คือ อย่าบอกให้ใครรู้เด็ดขาด”
ไม้พยักหน้ารับทราบ
ส่วนศรนารายณ์เมื่อกลับจากตลาด ศรนารายณ์ก็เข้าครัวทำกับข้าวแต่ไม่ค่อยมีสมาธินัก บ่นพึมพำเกี่ยวกับสิ่งที่เจอมา
“ว่าชั้นเป็นคนไม่มีน้ำยาเหรอ เจอหมัดชั้นไปทีเดียวก็คว่ำแล้ว ชั้นไม่ธรรมดานะเว้ย ชั้นแชมป์ 14 สมัยนะ”
อบเชยเดินมาหาพ่อในครัว
“ไงพ่อครัว”
“พ่อครัวอะไร พ่อเป็นนักมวยระดับแชมป์นะ มาว่าเป็นพ่อครัวได้ไง” อบเชยงง
“อ้าว ก็พ่อทำกับข้าว ไม่ได้กำลังต่อยมวยอยู่ซักหน่อย” ศรนารายณ์วางของอย่างกระแทกกระทั้นบนโต๊ะ ทำเอาสากร่วงลงทับเท้าตัวเอง ศรนารายณ์นิ่ง “เจ็บมั้ยพ่อ”
“ไม่”
“บวมปูดเลยนะนั่น”
ศรนารายณ์ปากสั่นเจ็บแต่อดทน
อบเชยทายาที่นิ้วเท้าให้ศรนารายณ์
“เบาๆ ลูก”
“ไหนบอกไม่เจ็บไง”
“ลูกว่าพ่อแก่รึยัง”
“จะเหลือเหรอ”
“เฮ้ย”
“แก่แต่ก็ยังเจ๋งอยู่ไงพ่อ”
ศรนารายณ์ยังไม่พอใจกับคำตอบอบเชยนัก
“พ่อไปให้คนอื่นปลอบใจก็ได้”
ศรนารายณ์ค้อนใส่อบเชย
ส่วนที่ท่ารถบขส. ขณะนั้นจันทร์กำลังซ่อมรถของเมฆที่ได้คืนมาโดยมีชาญยืนคุมอยู่
“ดูน็อตตรงนั้นซิแน่นดีรึยัง...ตรงนี้ด้วย...น้ำมันเครื่องน่ะเช็ครึยัง”
“เฮ้ยพี่...มีงานอะไรก็ไปทำซิไป๊ มายืนชี้อยู่ได้”
“งานข้าเป็นเด็กรถ ข้าก็รอเอ็งทำรถเสร็จเนี่ยแหละ จะได้ออกรอบซักที”
“แหม ออกรอบ นึกว่าเล่นกอล์ฟอยู่รึไง”
เจ๊กีเดินมากับไกร
“อะไรยังไง ทำไมรถอาเมฆมาจอดอยู่นี่ ทำไมไม่ออกวิ่ง”
“ตรวจเช็คความเรียบร้อยครับเจ๊”
“รถไปโดนอะไรมาถึงว่าไม่เรียบร้อย”
จันทร์กับชาญมองหน้ากันเกรงๆ
“พอดีว่ารถมันรวนๆ นิดหน่อย ก็เลยให้ไอ้จันทร์มันเช็คให้น่ะเจ๊ เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร”
“แล้วไป อั๊วก็นึกว่าใครมาทำอะไรรถอั๊ว โดยที่อั๊วไม่รู้ซะอีก”
“รถตั้งคันเบ้อเริ่ม ใครจะเอาไปทำอะไรได้เจ๊ก็”
“แล้วนี่...ไม้มารึเปล่า”
“ไม่เห็นเลยครับ คุณไกรมีอะไรรึเปล่า”
“ก็เรื่อง...” ไกรหยิบหนังเสือให้จันทร์ดู “แต่ไม่เป็นไรหรอก ไว้วันหลังก็ได้”
“อะไรน่ะ ขอดูมั่งดิ” ชาญถาม
“รู้ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ อย่ารู้เลย” ชาญเซ็ง
“แล้วนี่อาเมฆอีดีขึ้นรึยัง”
“ก็อยู่ด้วยกันตรงนี้ ใครจะไปรู้ล่ะเจ๊”
เจ๊กี แพ้นกบาลชาญ
“ไม่รู้ลื้อก็อยู่เงียบๆ ไปสิ ไม่มีใครเค้าว่าหรอก”
“เจ็บปวด”
เจ๊กี ไกร จันทร์ ชาญยังยืนคุยกันอยู่ ศรนารายณ์กับอบเชยเดินเข้ามาร่วมวง
“คิดถึงชั้นมั้ยทุกคน” ทั้งวงสนทนาเงียบ “เงียบ...ท่าทางกำลังสนุกนะ”
อบเชยชะเง้อหาแต่ไม้ จันทร์แซว
“ชะเง้อหาไอ้ไม้ละสิ” อบเชยทำไม่รู้ไม่ชี้ “มันไม่อยู่หรอก”
“ไม่อยู่! ไม่อยู่ได้ไงอุตส่าห์มาถึงนี่...คนอะไรผิดสัญญาแล้วยังหนีหน้าอีก”
อบเชยบ่นอยู่คนเดียวแล้วเดินแยกตัวไป ไกรมองตาม
“ขอตัวนะครับ” ไกรบอกแล้วตามอบเชยไป
“ลื้อสองคนมาทำอะไรกัน” เจ๊กีถามศรนารายณ์
“แหม...ทำเป็นถามอย่างเป็นทางการ จริงๆ ก็รออยู่ใช่มั้ยล่ะ”
“อย่ามาพูดซี้ซั้วนะอาศรนารายณ์ ถึงอั๊วจะแก่แล้ว แต่อั๊วก็เลือกนะ”
“ทำไม แล้วชั้นมันไม่ดีตรงไหน” เจ๊กีเมิน “เงียบหมายความว่าไง”
“ก็หมายความว่า ลื้อน่ะก็แค่คนธรรมดาคนนึง ที่ไม่น่าสนใจไงล่ะ”
ศรนารายณ์จี๊ดขึ้นสมองทันที
“ชั้นแชมป์โลก 14 สมัยนะ มาว่างี้ได้ไง”
“อยู่กับปัจจุบันดีกว่ามั้งอาศรนารายณ์ แชมป์โลกก็แค่อดีต”
“ชั้นช่วยท่ารถลื้อไว้ก็หลายครั้งนะ”
“ลูกผู้ชายต่างหากที่ช่วยไว้”
“หรือต้องให้ชั้นต้องแสดงฝีมือให้เห็น”
อบเชยนั่งหน้าเง้าบนรถของเมฆ ไกรเดินตามขึ้นมา
“ทำไมไม่ไปตามไม้ที่บ้านล่ะ ถ้าอยากเจอนัก” ไกรถาม
“แบบนั้นก็เสียฟอร์มหมดสิ”
“จะมีไปทำไมฟอร์มน่ะ”
“ต้องมีสิ...ไม่งั้นเราจะมีค่าอะไร”
“คุณค่าอยู่ที่สิ่งที่เราทำต่างหาก ไม่ได้อยู่ที่ฟอร์มหรอก”
“ก็จริง”
“เธอน่ะมีค่าอยู่แล้ว”
“ถ้าไม้คิดเหมือนคุณไกรคงดี...พรุ่งนี้เป็นวันสำคัญด้วย”
“วันสำคัญ...วันอะไรเหรอ”
“วันเกิดชั้นน่ะค่ะ จริงๆ มันก็ไม่ได้อะไรหรอก เพียงแต่ชั้นฝันจะมีงานวันเกิดซักครั้ง เค้กซักก้อนที่มีชื่อตัวเองเขียนอยู่บนนั้น”
“นี่เธอไม่เคยมีงานวันเกิดเลยเหรอ”
“ก็บ้านชั้นไม่รวยนี่คะ แค่พ่อจำได้ก็ดีจะแย่ ส่วนไม้นี่ไม่ต้องบอกเลย ไม่เคยสนใจอยู่แล้ว” ไกรมองอบเชยอย่างเวทนา “มองแบบนั้นสงสารเหรอคะ แต่มันก็น่าสงสารจริงๆ”
ขณะนั้นไม้กับเมฆยังอยู่ที่ชายป่า เมฆสอนเชิงมวยต่างๆ ให้กับไม้แม้ตัวเองยังไม่แข็งแรง โดยทำเพียงเดินคุม จัดท่าทางของไม้ให้ถูกต้อง เมฆสอนท่าฝ่าเท้าคชสรและเขี้ยวอสรพิษให้กับไม้ ไม้ตั้งใจฝึกฝน พอทำได้ แต่ยังไม่ค่อยคล่องแคล่ว
ศรนารายณ์กลับมาบ้านอย่างเจ็บใจและคิดหนัก
“วิธีไหนดีนะ วิธีไหนดี”
ศรนารายณ์นึกถึงสิ่งที่ชาวบ้านพูดว่าพักนี้ลูกผู้ชายหายไป ได้ข่าวว่าบาดเจ็บ เขาก็นึกอะไรออก
“ลูกผู้ชายหายไปเหรอ...”
ศรนารายณ์ยิ้มมุมปาก คิดบางอย่างออก

ส่วนไกรหลังแยกจากอบเชย ไกรมาที่ร้านเค้กเพื่อจะสั่งเค้ก แต่พอเดินเข้ามาในร้านก็เจอกับแพรวา
ที่กำลังซื้ออุปกรณ์ทำเค้กพอดี
“คุณไกร”
“ครับ”
“มาสั่งเค้กเหรอคะ”
“อ๋อ ครับ” ไกรมองถุงอุปกรณ์ทำเค้กในมือแพรวา “คุณทำเค้กเป็นด้วยเหรอ”
“ทำสนุกๆ เวลาว่างน่ะค่ะ”
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ค่ะ”
แพรวาตอบรับอย่างเศร้าๆ แล้วจำใจต้องเดินออกจากร้านทั้งที่อยากคุยต่อ ไกรเดินไปที่เคาน์เตอร์
“ผมอยากจะสั่งเค้กสำหรับพรุ่งนี้น่ะครับ”
“พอดีว่าพรุ่งนี้ทางร้านรับออเดอร์เค้กแต่งงานไว้น่ะครับ คาดว่าจะทำให้คุณไม่ทันแน่ๆ เลย”
“แค่ก้อนเดียวก็ไม่ทันเหรอครับ”
“เค้กแต่งงาน 19 ชั้นค่ะ”
“แบ่งผมมาซักชั้นก็ไม่ได้เหรอ”
“ไปทานที่งานแต่งได้มั้ยละคะ” ไกรถอนหายใจ “ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ”
ขณะนั้นแพรวายังเดินวนเวียนอยู่หน้าร้านเค้กแอบมองดูไกรด้านในพอไกรเดินออกมาแพรวาก็ทำทีจะเดินกลับเข้าไปในร้านพอดี
“อ้าวคุณ ยังอยู่อีกเหรอ”
“พอดีลืมของน่ะค่ะ”
“ลืมอะไรครับ”
“เอ่อ...ที่ตีไข่”
ไกรมองในถุงซึ่งมีไม้ตีไข่อยู่
“อันนั้นไม่ใช่เหรอครับ”
“อ๋อ อยู่นี่เอง ทำไมเมื่อกี้หาไม่เห็นนะ แหะ แหะ ไปละคะ”
“เดี๋ยวครับคุณแพรวา”
แพรวาแอบยิ้มดีใจที่ไกรเรียกไว้
“มีอะไรเหรอคะ”
“คุณแพรวาพอจะสอนผมทำเค้ก...ได้มั้ย”
แพรวายิ้มแก้มปริ
“ได้สิคะ ได้เลย”
ไกรเองก็ยิ้มดีใจไม่ต่างกัน
เย็นวันนั้นอบเชยแอบย่องมาที่บ้านของไม้ แต่ก็เห็นว่าปิดเงียบไม่มีใครอยู่ อบเชยพยายามแอบส่องดูตามช่องประตูเพื่อจะดูว่าไม้อยู่มั้ย แต่ก็ไม่เห็นใคร จังหวะนั้นไม้กับเมฆกลับมาพอดี
“ทำอะไรน่ะ”
อบเชยสะดุ้ง
“คือพ่อให้มาดูอาการลุงเมฆว่าเป็นยังไงบ้างแล้ว”
“ดีขึ้นมากแล้ว ว่าแต่ทำไมพี่ศรไม่มาเองล่ะ”
“พ่อมัวง่วนทำอะไรก็ไม่รู้ ถามก็ไม่ตอบ ลับๆ ล่อๆ ชอบกล” เมฆหัวเราะ
“คงหาเรื่องสนุกทำอยู่ละมั้ง”
“แล้วนี่ไปไหนกันมา” อบเชยถามไม้
“ธุระ”
“ธุระ แปลว่าความลับ”
“ไปหาหมอ นัดตรวจน่ะอบเชย” เมฆบอก
“ก็ไม่เห็นต้องใช้คำว่าธุระเลยนิ่”
“ก็เธอไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับบ้านชั้นนี่”
“ลุงเมฆดูไม้พูดนะคะ ทำไมเวลามีเรื่องไม่พูดแบบนี้บ้าง”
“เอ่อ...เดี๋ยวลุงขอตัวก่อนดีกว่า”
“ไม่ต้องพ่อ พ่ออยู่ตรงนี้แหละ... เมื่อไหร่เธอจะเลิกทวงบุญคุณซักที ชั้นไม่เคยขอร้องให้เธอช่วยเลยซักครั้งนะ เธออาสามาเองทั้งนั้น”
“ไม้ ค่อยๆ พูดกันดีๆ ลูก”
“ชั้นไม่ได้จะมาทวงบุญคุณ ชั้นจะมาทวงสัญญาที่เธอให้ไว้เองยังจำได้รึเปล่าที่จะพาชั้นไปกินข้าวน่ะ ถ้ามันไม่ลำบากนักก็ทำด้วย”
“เอาแล้วไง”
ไม้เถียงไม่ออก
“ชั้นเหนื่อย”
“สัญญาให้ไว้ไม่ต้องทำก็ได้ หนูขอตัวค่ะลุงเมฆ”

อบเชยยกมือไหว้เมฆแล้วเดินไป ไม้มองตามรู้สึกผิด เมฆเดินมาตบบ่าลูกชายอย่างเข้าใจ

อ่านต่อหน้า 4




ลูกผู้ชายไม้ตะพด  ตอนที่ 6 (ต่อ)

ที่บ้านอบเชยเวลานั้น กับข้าววางบนโต๊ะ อบเชยมีจานข้าววางอยู่ข้างหน้า น้ำตาเธอหยดแหมะลงจานข้าว ศรนารายณ์เดินมาร่วมโต๊ะกินข้าวด้วย ศรนารายณ์เซ็งๆ เรื่องตัวเอง อบเชยปาดน้ำตาทิ้งไม่ให้พ่อเห็น

“คนเรานะ ไม่เคยจำหรอกว่าเคยทำอะไรดีๆ ให้”
ศรนารายณ์บ่นแล้วมองรูปสมัยเป็นแชมป์ที่ใส่กรอบติดข้างฝา
“ใช่ ทุ่มเททำไปเถอะ สุดท้ายคนที่เจ็บปวดก็ต้องเป็นเราอยู่ดี”
“ว่าอย่างงั้นที ว่าอย่างงี้ที เหมือนเราไม่มีหัวใจ”
“รู้มั่งรึเปล่าที่ทำไปน่ะเพราะอะไร”
“เพื่อใคร”
สองพ่อลูกต่างเศร้ากับเรื่องตัวเอง กินข้าวกันไปอย่างเหงาๆ
วันต่อมาแพรวาขับรถมาจอดหน้าบ้านเจ๊กี ไกรเดินออกมาต้อนรับและช่วยถืออุปกรณ์ทำเค้กให้แพรวา แล้วพากันเดินเข้าไปในบ้าน
ไกรพาแพรวาเข้ามาในครัว ...อุปกรณ์ต่างๆ ถูกจัดเรียงเรียบร้อยพร้อมวัสดุที่ต้องใช้
“เดี๋ยวคุณไกรเริ่มจากร่อนแป้งกับผงฟู ก่อนนะคะ...ทำแบบนี้”
แพรวาทำให้ดูไกรทำตามที่แพรวาสอน ไปตามขั้นตอนการทำต่างๆ
ไม้เดินเข้ามาในห้องทำงานของไกร แต่ก็ไม่เห็นใครอยู่
“คุณไกรไม่อยู่เหรอเนี่ย”
ไม้เดินมองหา
ขณะนั้นไกรกับแพรวาตีเนยกันอยู่ ไกรสังเกตว่าหน้าแพรวาเปื้อนแป้ง
“หน้าคุณเปื้อนแน่ะ”
“คะ” แพรวาพยายามเช็ด แต่มือที่เปื้อนทำให้หน้าแพรวายิ่งเปื้อน “ตรงนี้รึเปล่าคะ” ไกรส่ายหน้ายิ้มๆ “ตรงนี้เหรอ” ไกรส่ายหน้ายิ้ม แพรวาก็ปัดใหญ่หน้าก็ยิ่งเปื้อนใหญ่ ไกรยิ้ม “ยิ้มอะไร”
ไกรหยิบชามสแตนเลสที่เงาวาว ชูให้แพรวาเห็นเงาสะท้อนตัวเอง
“ว๊าย...นี่แกล้งกันนี่ คุณไกรเนี่ย”
แพรวาพยายามจะเอาคืนด้วยการป้ายหน้าไกรบ้าง ไกรหลบ
“ผมไม่ได้แกล้งนะ คุณทำของคุณเอง”
“คุณหัวเราะเยาะชั้น”
แพรวาไล่ไกรจะเอาคืนให้ได้ ภาพที่เกิดขึ้นดูเหมือนคู่รักหนุงหนิงกัน ไม้เข้ามาเห็นพอดี ทั้งสามคนต่างคนต่างก็ทำอะไรไม่ถูก
“อ้าวไม้ มาตั้งแต่เมื่อไหร่” ไกรถามขึ้นมา
“เพิ่งมาครับ เดี๋ยวผมขอตัวก่อนดีกว่า”
แพรวายิ้มให้ไม้ ไม้เดินออกไป ไกรกับแพรวาเก้ๆ กังๆ ทำอะไรไม่ถูกนัก
ไม้เดินมาที่ห้องทำงานยังทำอะไรไม่ค่อยถูกนัก ไกรเดินตามเข้ามา
“โทษทีนะไม้ ชั้นไม่คิดว่าเธอจะมา”
“ผมนึกว่าคุณไกรไม่สนคุณแพรวาซะอีก”
“อย่าเพิ่งคิดไปไกลเลยไม้ คุณแพรวาเค้าแค่มาช่วยชั้นทำเค้ก”
“จริงๆ ผมก็ไม่ควรยุ่งเรื่องของเจ้านาย ผมต้องขอโทษจริงๆ ครับ”
“ถ้าเธอชอบคุณแพรวา เธอก็ควรจะบอกเค้านะไม้”
“ไม่มีประโยชน์หรอกครับ”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ”
“ช่างเถอะครับ จริงๆ ที่ผมมาวันนี้ผมจะมาถามเรื่องหนังเสือมากกว่า”
“ชั้นหาข้อมูลดูแล้ว แต่ยังแปลออกมาไม่ได้ ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเป็นภาษาอะไร ขอเวลาอีกนิดนึงเถอะ ชั้นว่าจะต้องมีใครซักคนที่ช่วยได้”
“คุณไกรระวังตัวไว้หน่อยก็ดีครับ เพราะพันเทพกำลังตามหาสิ่งนี้อยู่”
“อืม...ชั้นจะระวัง”
“ผมขอตัวก่อนครับ”
ไม้จะเดินไป ไกรเรียกไว้
“เดี๋ยวไม้...จริงๆ ชั้นไม่อยากจะบอกเรื่องนี้กับเธอหรอกนะ แต่ชั้นไม่อยากเอาเปรียบไม้...วันนี้เป็นวันเกิดอบเชย ชั้นทำเค้กด้วยเหตุผลนั้น”
ไกรบอกแล้วเดินออกไปจากห้อง
“วันเกิดอบเชย”
ไม้นึกถึงเหตุการณ์ที่อบเชยมาทวงสัญญาเมื่อวาน ไม้รู้สึกผิด
ขณะนั้นอบเชยอยู่ที่วัด อบเชยปล่อยปลาลงแม่น้ำเพียงลำพังแล้วยืนมองมันว่ายไป
“สุขสันต์วันเกิดนะอบเชย”
อบเชยถอนหายใจเหงาๆ
ไม้ยังคงมาเรียนวิชาการต่อสู้กับเมฆที่ชายป่า แต่ไม้ไม่ค่อยมีสมาธินักมัวแต่ครุ่นคิดเรื่องอบเชย
“ไม้ ไม้ ไม้”
“พ่อเรียกทำไม”
“ใจลอยไปไหน มีสมาธิหน่อยสิ” ไม้พยักหน้ารับ “มีเรื่องอะไรในใจ เก็บมันไว้ก่อน อย่าให้มันมากวนสมาธิ เพราะเวลาไปสู้แค่วินาทีเดียวก็ตัดสินแพ้ชนะได้ เข้าใจมั้ย”
“ครับพ่อ”
ไม้พยายามรวบรวมสมาธิเพื่อฝึกต่อ
ทางด้านไกร เค้กที่เขาทำเสร็จเรียบร้อยแล้วขาดแค่การแต่งหน้าให้ดูดี
“ขั้นตอนสุดท้ายแล้วค่ะ แต่งหน้าเค้กตามใจชอบเลย”
“คุณแพรวาแต่งให้หน่อยได้มั้ยครับ ผมทำเองกลัวมันจะเละ เดี๋ยวต้องเสียเวลามาทำใหม่ละแย่เลย”
“ได้ค่ะ จะให้ชั้นเขียนว่าอะไรคะ”
“เขียนแค่ “สุขสันต์วันเกิดนะอบเชย” แล้วลงชื่อ “ไกร” ก็พอครับ”
แพรวาถึงกับเศร้า
“นี่คุณทำเค้กให้...อบเชยเหรอคะ”
“ครับ วันนี้วันเกิดเธอ” แพรวานิ่ง “เดือนหน้าจะวันเกิดผม อาจจะมีงานเลี้ยงเล็กๆ สนใจรับ
ทำเค้กให้มั้ยละครับ”
“เดือนหน้า”
“วันที่ 21 น่ะครับ”
“คุณกับพี่ทิวาเกิดวันเดียวกันเลย”
“คนเกิดวันเดียวกันมีเยอะแยะครับ”
“แต่ถ้ามีใครทำเค้กให้ในวันเกิดบ้าง ก็ถือว่าโชคดีกว่าคนอื่นนะคะ”
แพรวาเสียใจ เธอเริ่มเขียนหน้าเค้กให้อบเชยอย่างจำใจ
ส่วนที่ชายป่าไม้ฝึกตามที่เมฆสอนอย่างคล่องแคล่วจนเป็นที่พึงพอใจของเมฆ
“ลูกพัฒนาได้เร็วทีเดียว” ไม้ยิ้มภูมิใจ “ลูกเป็นความหวังของพ่อแล้วนะ”
ไม้พยักหน้ารับ
“เอาเป็นว่าวันนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน”
“จริงเหรอพ่อ” ไม้ยิ้มดีใจ รีบเก็บข้าวเก็บของจนเสร็จในพริบตา “เดี๋ยวชั้นขอตัวก่อนนะพ่อนะ”
ไม้บอกแล้วรีบวิ่งออกไป
ไม้รับมาบ้านศรานารายณ์ขณะนั้นศรนารายณ์ถือถุงใบหนึ่ง มองซ้ายมองขวาแล้วย่องออกจากบ้าน พอศรนารายณ์ออกไป ไม้ก็มาถึงพอดีไม้ก้มดูรองเท้าอบเชย
“ไม่มีรองเท้าซักคู่ แปลว่าไม่มีใครอยู่ ดีเลยทางสะดวก” ไม้ลองเปิดประตูบ้าน “บ้านไม่ได้ล็อคด้วย” ไม้ยิ้ม
อีกด้านหนึ่งที่ตลาดขณะนั้นสมุนของพันเทพกำลังเดินเก็บค่าเช่าแผงในตลาด
“จ่ายมาซะดีๆ”
“มันชักจะเก็บถี่ไปแล้วนะ วันก่อนก็มาเก็บไปทีนึงแล้ว”
“ใช่ นี่ก็ยังขายไม่ได้เลย”
“ถ้าไม่อยากเสียค่าเช่าแผง เลือกตั้ง สจ.ก็เลือกคุณพันเทพ ถ้าคุณพันเทพได้เป็น สจ.เมื่อไหร่ ขายฟรี”
“พูดจริงเหรอ”
“จริงสิ แต่ตอนนี้ไม่ต้องพูดมาก จ่ายมา ไม่งั้นก็เจ็บตัว”
“มันไม่มีจริงๆ ค่าเทอมลูกก็เพิ่งจ่ายไป”
“พูดมาก... พังร้านมันเลย”
สมุนพันเทพหันไปบอกสมุนอีกสองคน ขณะที่สมุนกำลังจะพังร้านก็มีชายคนหนึ่งใส่ไอ้โม่งปรากฏตัวออกมา ซึ่งก็คือศรนารายณ์ที่ทำตัวเป็นฮีโร่คนใหม่นั่นเอง
“หยุดนะ พวกแกจะมารังแกคนแบบนี้ไม่ได้ ยังไงต้องข้ามศพชั้นไปก่อน”
“ลูกผู้ชายหายหัวไป มีตัวอะไรมาแทนเนี่ย”
“ชั้นไม่จำเป็นต้องมาอธิบายอะไรให้แกฟังให้เสียเวลา”
สมุนเข้ารุมศรนารายณ์ในคราบชายนิรนาม ศรนารายณ์สู้นิดๆ หน่อยๆ ก็ชนะ สมุนลงไปนอนกองกับพื้น ศรนารายณ์เหยียบยอดอกสมุนพันเทพแล้วโพสท่าเท่ ชาวบ้านปรบมือให้ศรนารายณ์ ศรนารายณ์ยิ้มภูมิใจ
“ใครกันน่ะ สุดยอดไปเลย”
“เค้าอาจจะเป็นฮีโร่ที่มาแทนลูกผู้ชายก็ได้ ช่วยพวกเราไว้แท้ๆ”
“ไม่ต้องชื่นชมอะไรชั้นหรอกน่า เป็นหน้าที่ของชั้นอยู่แล้ว”
“บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า” ศรนารายณ์หัวเราะ
“พวกเธอก็เห็นกับตานี่ แค่ขนชั้นพวกมันยังไม่โดนเลย มันจะทำอะไรชั้นได้ ชั้นน่ะแชมป์มวย 14 สมัยนะ” ชาวบ้านพากันซุบซิบกันใหญ่ “เอ๊ะ เมื่อกี้ชั้นไม่ได้หลุดพูดอะไรออกไปใช่มั้ย”
ชาวบ้านต่างซุบซิบกัน อบเชยเดินเข้ามาในตลาดถามชาวบ้าน
“มีเรื่องอะไรกันน่ะ”
ศรนารายณ์เห็นลูกตนมา รีบวิ่งหลบไปทันที
“ก็ฮีโร่คนใหม่น่ะสิอบเชย มาช่วยพวกเราไว้” แม่ค้าบอก
“ฮีโร่คนใหม่เหรอ ไหน”
แม่ค้ามองหาชายนิรนาม แต่ก็ไม่เห็นซะแล้ว
“สงสัยไปแล้ว แหม ยังไม่รู้เลยว่าเค้าอยากจะให้เรียกเค้าว่าอะไร”
“ฮีโร่...มาจากไหนกัน”
อบเชยพึมพำอย่างสงสัย

ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอน 6 (ต่อ)

ไม้อยู่ในบ้านศรนาราย เอากับข้าวมาเรียงใส่จานดูดี จุดเทียนบนโต๊ะดูโรแมนติก มีเค้กราคาไม่แพงชิ้นเล็กๆ อยู่ในกล่องวางอยู่ ไม้ปักเทียนบนเค้กเดินไปเปิดวิทยุ เพลงช่วยทำให้บรรยากาศดูดีมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีดอกไม้เล็กๆ ประดับบนโต๊ะ ไม้ยิ้มภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองทำ
“ฝีมือตกแต่งก็ไม่เลวนะเรา” เสียงกุกกักเหมือนมีคนมาอยู่ด้านนอก “กลับมาแล้ว”
ไม้รีบวิ่งไปรอเซอร์ไพรส์หน้าประตู พร้อมสเปรย์สายรุ้ง ประตูเปิดออก ไม้ฉีดสเปรย์เข้าเต็มหน้า
“เซอร์ไพรส์...แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แฮปปี้เบิร์ดเดย์…”
ศรนารายณ์หยิบเศษสายรุ้งที่เต็มหน้าออก ไม้เห็นหน้าศรนารายณ์ก็ยิ้มแหยๆ
“ขอบใจมากที่ให้เกียรติจัดงานวันเกิดให้ แต่วันนี้ไม่ใช่วันเกิดชั้นนะไม้”
“แหะ แหะ ขอโทษครับอาศร ผมคิดว่าอบเชย”
“ท่าจะมั่นใจมากเลยนะเนี่ย”
“แล้วอบเชยละครับ”
“เห็นแว้บๆ ที่ตลาด รอที่นี่แหละ เดี๋ยวก็คงกลับละมั้ง…วันนี้วันเกิดอบเชยเหรอเนี่ย ลืมซะสนิทเลย”
ไม้มองถุงในมือศรนารายณ์
“นั่นลุงศรไปไหนมาครับเนี่ย”
ศรนารายณ์รีบซ่อนถุง
“ไม่มีอะไร”
ศรนารายณ์รีบเดินเข้าไปในบ้าน
ขณะนั้นอบเชยยังอยู่ที่ตลาดและกำลังจะเดินข้ามถนน ไกรขับรถมาจอดตรงหน้าอบเชย
“นึกแล้วเชียวว่าต้องอยู่แถวนี้”
“จะให้ชั้นไปไหนล่ะ ที่นี่ก็แค่อำเภอเล็กๆ”
“มากับชั้นหน่อยสิ”
“จะไปไหน”
“ชั้นอยากให้เธอมาดูของให้หน่อยน่ะ”
“เอาสิคะ”
“ขึ้นรถสิ”
อบเชยเดินขึ้นรถไกร ไกรขับออกไป โดยไม่รู้ว่าแพรวาอยู่ในรถอีกคันแอบมองดูทั้งคู่ เศร้าๆ
ไม้ยังนั่งรออบเชยแก่วอยู่ในบ้านศรนารายณ์ ศรนารายณ์เดินผ่านถือชามข้าวราดแกงมาเรียบร้อยชวนไม้มากินด้วย
“ไม้ มากินข้าวด้วยกันก่อนมา เดี๋ยวจะหิว”
ไม้ทำหน้าเซ็ง
“ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้”
ศรนารายณ์มองไม้อย่างเอ็นดู
ไกรพาอบเชยมาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
“ไหนคะ อะไรที่จะให้ช่วยดู”
“ก็อาหารร้านนี้ไง อยากให้ช่วยชิมว่ามันอร่อยรึเปล่า”
“แหม เล่นมุกนี้ ชวนกันตรงๆ ก็ได้คะ ชั้นไม่ได้มีนัดที่ไหน”
ไกรถอนหายใจ
“ค่อยโล่งอก นึกว่ามีคนนัดแล้วซะอีก”
อบเชยส่ายหน้าเศร้าๆ
ระหว่างนั้นไม้ยังรออบเชยอยู่ที่บ้าน ศรนารายณ์หลับไปแล้วและนอนกรนเสียงดัง ขณะที่ไม้นั่งเหงาๆ จุดเทียนเล่น แล้วก็เป่าดับสลับไปมา ส่วนที่ร้านอาหารหลังจากกินข้าวเสร็จไฟในร้านก็ดับพรึบ ไกรเป็นคนถือเค้ก ร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ออกมาให้อบเชย อบเชยตื่นเต้นดีใจ เป่าเทียนดับ ยิ้มให้ไกร ทั้งคู่ต่างมีความสุข
ไกรขับรถมาส่งอบเชยที่บ้าน
“ขอบคุณมากเลยนะคะ ไม่เคยมีใครทำให้ชั้นแบบนี้มาก่อนเลย ชั้นคิดว่าวันเกิดปีนี้คงจะเป็นวันเหงาๆ ที่จะผ่านไปอีกวันซะแล้ว”
“ผมจะปล่อยให้คุณเหงาได้ยังไง”
“คุณดีกับชั้นจนชั้นเกรงใจ”
“ก็อย่าเกรงใจสิครับ เปลี่ยนเป็นสนใจแทน”
“ยังไงก็ขอบคุณมากเลยนะคะ”
“ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้นครับ”
อบเชยส่งยิ้มให้ไกรแล้วเดินลงจากรถ ไกรขับรถออกไป อบเชยเดินเข้าบ้าน
อบเชยเดินเข้ามาในบ้านเห็นพ่อหลับอยู่ อบเชยมองอย่างเอ็นดู เธอเดินไปที่โต๊ะอาหารก็ต้องตกใจเมื่อเห็นไม้นอนฟุบหลับอยู่บนโต๊ะอาหารเช่นกัน อบเชยมองของต่างๆ ที่ถูกจัดไว้บนโต๊ะ เธอยิ้มมีความสุข เธอมองเค้กก้อนเล็กๆ ที่ไม่ได้สวยงาม แต่ก็ทำเอาเธอน้ำตารื้น อบเชยปลุกไม้ที่หลับอยู่
“ใครให้มาหลับบนโต๊ะกินข้าวกัน บ้านไม่มีที่นอนรึไง”
ไม้งัวเงียตื่นขึ้นมา
“นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย ทำไมกลับมาเอาป่านนี้”
“ชั้นกำลังหิวเลย หาอะไรให้กินหน่อยสิ”
“มันเย็นชืดหมดแล้ว ไม่ต้องกงไม่ต้องกินมันหรอก”
“กินเย็นๆ ก็อร่อยดีออก นั่งดีๆ สิ” อบเชยเอาไฟแช็คจากมือไม้มาจุดเทียน “โรแมนติกจะตาย เดี๋ยวกินอิ่มแล้วต่อเค้กเลยนะ”
ไม้กินแบบเซ็งๆ
“หายไปไหนมาทั้งวัน”
“ไปกินข้าวกับผู้ชายคนอื่น”
“คุณไกรละสิ”
“สนใจด้วยรึไง”
“คุณไกรเค้าก็เป็นคนดี มีน้ำใจ มีเงิน ใครอยู่ด้วยก็สบายไปทั้งชาติ”
“เค้าดีกับชั้นมากด้วย”
“ก็ดีแล้วนี่...แต่งงานกับเค้าเลยสิ”
“ชั้นจะเลือกใครชั้นเลือกเองได้ ไม่ต้องมาบอกหรอกน่า”
“กับข้าวชั้นอร่อยสู้ร้านอาหารแพงๆ ไม่ได้หรอก ไม่ต้องกินแล้ว”
“มันไม่สำคัญว่ากินอะไร สำคัญว่ากินกับใครต่างหาก ไม้นี่ไม่รู้เรื่องเลย”
“ชั้นทำตามสัญญาแล้วนะ ไม่ต้องมาตามทวงอีกล่ะ”
อบเชยยิ้มหวาน เสียงศรนารายณ์ละเมอเข้ามากวนบรรยากาศ
“เฮ้ย...”
อบเชยกับไม้สะดุ้ง พอเห็นว่าศรนารายณ์แค่ละเมอ ทั้งคู่มองหน้ากันหัวเราะ
วันต่อมาศรนารายณ์กลับมาตลาดสดด้วยท่าทีมาดมั่น ชาวบ้านเห็นศรนารายณ์ต่างพากันซุบซิบใหญ่
“ก็ที่เมื่อวานฮีโร่นิรนามหลุดพูดว่าเป็นแชมป์มวย 14 สมัยน่ะ”
“ใช่ แปลว่าศรนารายณ์อาจคือลูกผู้ชายที่คอยปกป้องพวกเรานะ”
“มีอะไรกันเหรอ”
ศรนารายณ์ถามท่าทีของพ่อค้าแม่ค้าที่มีต่อศรนารายณ์ก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
“พี่ศร สนใจอะไรร้านผมมั้ยพี่ หยิบได้เลยตามใจชอบนะ ชั้นไม่คิดเงินหรอก”
“ทำแบบนั้นได้ยังไง ของซื้อของขาย”
“ไม่เป็นไรจ้ะพี่ นี่ชั้นแถมให้นะ ฝากไปให้กินกันที่บ้าน ผักนี่ช่วยบำรุงกำลังอย่างดีเลยนะ”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องมีน้ำใจกับชั้นขนาดนั้นก็ได้”
ศรนารายณ์ปฏิเสธแต่สีหน้าภูมิใจมาก
ศรนารายณ์เดินเข้ามาในท่ารถบขส. คนรถในบขส.ต่างก็เข้าไปต้อนรับขับสู้อย่างดีด้วย
“ใจเย็นๆ ได้ทุกคน ลายเซ็นน่ะ”
จันทร์เดินมาเห็นศรนารายณ์งงๆ
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
“ก็ในตลาดน่ะเค้าลือกันใหญ่ว่ามีฮีโร่คนใหม่มาช่วยพวกเค้าพรางหน้าตา แล้วชาวบ้านบอกอีกว่าคนๆ นั้นคือพี่ศรนารายณ์ ที่จะมายืนแทนลูกผู้ชาย” ชาญบอก
“บ้า แล้วชาวบ้านรู้ได้ยังไง ในเมื่อบอกว่าพรางหน้าตา”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ข่าวลือมันเล่าต่อๆ กันมา มันคงเพี้ยนไปละมั้ง”
“นั่นสิ”
“แบบนี้ต้องพิสูจน์”
ชาญกับจันทร์ มองหน้ากันจริงจัง
ขณะนั้นเจ๊กีกำลังยักแย่ยักยันจะเปลี่ยนปลอดไฟบนเพดานในห้องทำงาน ศรนารายณ์เปิดประตูเข้ามาอย่างเท่
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมเถอะ”
“อาศร ลื๊อ” ศรนารายณ์เปลี่ยนหลอดไฟอย่างง่ายดาย เจ๊กีมองศรนารายณ์ด้วยท่าทีที่แปลกไป “อั๊วได้ยินคนในตลาดเค้าลือกันแล้ว”
“เรื่องอะไรเหรอ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“ก็เรื่อง... เอาเป็นว่าอั๊วจะมองลื้อใหม่ก็แล้วกัน”
ศรนารายณ์ยิ้มภูมิใจ
ส่วนที่ชายป่าเมฆสอนไม้ฝึกท่าทางต่างๆ ที่ยากขึ้น ไม้ดูคล่องแคล่วขึ้นกว่าเดิมมาก
“เมื่อไหร่ชั้นจะได้ฝึกกับไม้ตะพดซะทีละพ่อ พ่อเก็บไม้ตะพดไว้ที่ไหน ทำไมชั้นหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ”
“อย่ามองที่ปลายทาง สมาธิอยู่แค่การฝึกตอนนี้ก็พอ”
เมฆเข้มงวดกับการฝึกของไม้มากขึ้น
ที่บ้านศรนารายณ์ ขณะนั้นอบเชยทำความสะอาดบ้านไปเจอถุงของศรนารายณ์ เธอยกมันเพื่อทำความสะอาดแล้ววางลงเหมือนเดิม แต่ถุงก็ล้มลงเห็นหมวกไอ้โม่งกับเสื้อผ้าด้านในแล่บออกมา
“นี่มันอะไรกัน หมวกกับชุดแบบนี้พ่อเอามาทำอะไร”
อบเชยสงสัย
เวลาผ่าน...ศรานารายณ์ยังคงแปลงเป็นชายนิรนาม เข้าไปปราบนักเลงในตลาดจนราบคาบ
ชาวบ้านปรบมือชื่นชม ศรนารายณ์ภูมิใจ จันทร์กับชาญสังเกตดู...ส่วนยที่ชายป่าเมฆเริ่มปล่อยให้ไม้ฝึกซ้อมคนเดียว ไม้โยนตะกร้าที่ใส่กระบองจำนวนมากมายขึ้นไปบนฟ้า แล้วก็ทำกระบวนท่ารับทั้งหมดใส่ตะกร้าเหมือนเดิม แสดงให้เห็นถึงการใช้ไม้และการเคลื่อนไหวของไม้ที่คล่องแคล่วว่องไวขึ้นมาก
“ชั้นว่าฮีโร่คนใหม่นั่น...ฝีมือหมัดมวยก็เหมือนกับอาศรนารายณ์จริงๆ”
จันทร์บอกขณะนั่งคุยกับชาญที่ท่ารถ บขส.
“ใช่ ทั้งเชิงรุก เชิงรับ”
“ถ้าเป็นอาศรนารายณ์จริง จะทำแบบนั้นไปทำไมก็ในเมื่อมีลูกผู้ชายอยู่แล้ว”
“แต่พักหลังนี่ ลูกผู้ชายก็หายเงียบไปเลยนะ”
“จริงสิ เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ทำไมลูกผู้ชายถึงหายไป แล้วมีฮีโร่คนใหม่มาแทน หรือเกิดอะไรขึ้นกับลูกผู้ชายกันแน่ ไม่ได้นะ ลูกผู้ชายเป็นอะไรไม่ได้นะ ข้ายังไม่ได้อาสาเป็นมือขวาของลูกผู้ชายเลย”
“มันก็ต้องสืบดู”
“สืบยังไง”
“ก็จากฮีโร่คนใหม่ยังไงล่ะ”
ชาญพยักหน้าเห็นด้วยกับจันทร์
ส่วนที่ชายป่าเมฆมองดูไม้ที่ฝึกซ้อม ยิ้มภูมิใจ แต่เขารู้สึกอ่อนแรงขึ้นมาต้องไปหาที่นั่งพัก
เมฆถอนหายใจกับอาการที่ตัวเองเป็น
หลังจากฝึกเสร็จ เมฆมาซื้อน้ำมันมวยกับไม้ในตลาด ขณะนั้นคนขายกำลังคุยกับชาวบ้านอีกคนหนึ่งอย่างเมามัน เมฆถือน้ำมันมวยรอจ่ายเงิน
“อย่าไปยุ่งกับมันนะไอ้หมอคงน่ะ มันเลี้ยงผีไว้เยอะแยะเดี๋ยวก็โดนผีลากไส้เอาหรอก”
“แต่บางครั้งมันก็ทำเกินไป คิดได้ยังไงคนท้องก็จับมาทำแท้งจะทำลูกกรอกซะนี่”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ก็ใช่สิ”
“แบบนี้ต้องแจ้งตำรวจจับนะ”
“ใครจะกล้าแจ้ง ก็แกพูดเองว่ามันเลี้ยงผีตั้งเยอะตั้งแยะเอ็งกล้าแจ้งมั้ยล่ะ” คนขายส่ายหน้า “นั่นไง แล้วนี่นะ เห็นเค้าว่าคืนนี้มันจะทำลูกกรอกอีกแล้วนะ แค่คิดก็สยองแล้ว”
“เหรอ เอ็งก็อย่าไปยุ่งนะ เดี๋ยวจะเดือดร้อน”
เมฆกับไม้ยืนฟังมานาน กระแอมให้คนขายหันมาสนใจ
“อ้าวอาเมฆ โทษทีมัวแต่คุยเพลิน”
“เออ ไปก่อนนะ”
ชาวบ้านเดินออกจากร้านไป
“ไม่เป็นไรครับ”
“ทำลูกกรอกอะไรน่ะลุง” ไม้ถามอย่างแปลกใจ
“คนเดียวนี้มันใจโหดนัก เอ็งเป็นเด็กอย่าไปสนใจเลย เดี๋ยวจะเดือดร้อนเปล่าๆ”
เมฆยืนด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ไม้เดินออกมาจากร้านกับเมฆ
“ใครๆ ก็กลัวไอ้หมอคงทั้งที่ก็เป็นแค่หมอผีคนนึง” ไม้สังเกตเห็นเมฆนิ่งเงียบไปไม่พูดอะไร “พ่อเป็นอะไรรึเปล่า”
“พ่อว่าเรามีภารกิจต้องทำแล้วล่ะ”
“ภารกิจ? พ่อหมายถึงภารกิจอะไร”
ไม้กับเมฆกลับมาที่กระท่อมชายป่า เมฆเตรียมชุดลูกผู้ชายและไม้ตะพด ไม้ไม่เข้าใจพ่อ
“นี่พ่อจะทำอะไรกันแน่ะ”
“ก็ต้องไปจัดการเรื่องหมอคงไง”
“แต่พ่อบาดเจ็บอยู่ จะไปได้ยังไง”
“แล้วไม้จะปล่อยให้คนที่ทำร้ายคนอื่น ใช้ชีวิตอยู่ในชุมชนเราอย่างปกติสุขได้ยังไง หมอคงน่ะมันทำแท้งผู้หญิงที่ไม่เต็มใจจะทำนะ พ่อเป็นพ่อคน พ่อรู้ดี”
“ยังไงผมก็ปล่อยให้พ่อไปไม่ได้อยู่ดี พ่อไม่ได้ยินเหรอว่ามันเลี้ยงผีไว้ตั้งมากมาย”
“ผีมันไม่น่ากลัวเท่าจิตใจคนหรอกไม้ อย่าห้ามพ่อเลย ถึงตายพ่อก็ต้องทำ”
เมฆไม่สนใจคำห้ามของไม้ ผลุนผลันจะไป
“ก็ได้ ถ้าพ่ออยากไป ผมจะไปด้วย”
“แต่ลูกยังฝึกไม่สำเร็จ”
“ก็ถือว่ามันเป็นขั้นตอนหนึ่งของการเรียนไงครับ”
“ชีวิตจริง มันพลาดแล้วแก้ตัวไม่ได้นะไม้” ไม้นิ่ง ไม่เปลี่ยนใจ “งั้นก็ตามใจ แต่ลูกต้องระวังตัวไว้ให้มากเลยนะ”
“พ่อก็เหมือนกัน”
ทั้งคู่มองหน้าเข้าใจกัน
เย็นวันเดียวกันนั้นที่สำนักทรงหมอคง หมอคงนั่งสวดคาถาปากขมุบขมิบ บรรยากาศในห้องที่เต็มไปด้วยพระพุทธรูปนานา ตุ๊กตากุมารทอง ของแก้บน ของไหว้ ควันธูป สารพัด ชวนขนลุก แล้วจู่ๆ หมอคงก็ลืมตาขึ้นโพลง
“นางผู้หญิงนั่น เตรียมพร้อมแล้วใช่มั้ย”
“ครับ”
“ดี ชั้นไม่อยากจะเสียเวลา”

แววตาหมอคงเจ้าเล่ห์นัก

อ่านต่อตอนที่ 7



กำลังโหลดความคิดเห็น