ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 8
ที่บริเวณผู้โดยสารขาเข้า ภายในสนามบิน องอาจมองดูนาฬิกาข้อมือ พลางชะเง้อมองหา แต่ไม่นาน เป็นไทกับนับดาว ก็เดินมาพอดี องอาจยิ้มให้
“เป็นไง เชียงใหม่สนุกมั้ยครับ”
“ก็งั้นๆ ไม่ได้ไปเที่ยวซะหน่อย”
“อย่าไปเชื่อคุณไทค่ะ สนุกมาก” นับดาวรีบบอก
องอาจมองพ่อแม่ยูกิ
“แล้วนี่...”
นับดาวแนะนำ
“พ่อแม่ฉันเอง พอดีท่านแวะมาเยี่ยมฉันพอดี แล้วเดี๋ยวนี่ท่านก็จะขึ้นเครื่องกลับญี่ปุ่นต่อเลย”
องอาจโค้งให้
“สวัสดีครับ ประเทศไทยอากาศร้อนมั้ยครับ”
แม่โค้งตอบยิ้มแย้ม
“สบายๆค่ะ”
พ่อยิ้ม
“เราชอบ”
องอาจแปลกใจ
“พูดไทยเก่งจังนะครับ”
“ยูกิถึงพูดไทยเก่งไง” เป็นไทบอก
องอาจมองๆ
“แล้วไหนละครับของฝาก”
เป็นไทมองหน้า
“หึ...ยังกล้าถามถึงของฝากอีกนะ”
“ทำไมเหรอครับ”
“ของฝากคุณกำลังมาโน่นแล้ว”
เป็นไทบุ้ยหน้าไปด้านหลัง องอาจมองตาม
“แหม ของฝากผมชิ้นใหญ่ขนาดถือมาเองไม่ได้เลยเหรอครับ อะไรน๊า อะไรน๊า”
องอาจชะเง้อรอของฝาก แพรวไพลิน เดินมากับไคคุง องอาจผิดหวัง
“นี่เหรอครับ”
เป็นไทยิ้ม
“เป็นไง ถูกใจมั้ยล่ะ ก็แกเล่นแพคของส่งตามฉันไปถึงเชียงใหม่ เคยได้ยินมั้ยของที่ไม่มีผู้รับปลายทางมันจะเด้งกลับน่ะ”
องอาจจ๋อยไป
“ผมไม่มีทางเลือกจริงๆครับคุณไท”
“ช่างเถอะ”
แพรวไพลินเดินมายืนข้างเป็นไท ส่วนไคคุงก็มายืนข้างนับดาว
“เดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่บินไฟล์ทกี่โมงครับ เดี๋ยวผมอยู่ส่งกับยูกิ ตามประสาคนครอบครัวเดียวกัน”
ไคคุงแอบมองเป็นไทด้วยแววตาแฝงความอำมหิต แต่มองคนอื่นด้วยสายตาคนดี คนซื่อ ยิ้มจริงใจ เป็นไทหลบตา แพรวไพลินคล้องแขน
“งั้นเราก็แยกกลับกันไปก่อนเถอะค่ะ แพรวอยากกลับบ้านอาบน้ำจะแย่”
นับดาวแอบมองเป็นไทอย่างเซ็งๆ เมื่อเขาไปกับแพรวไพลิน
เป็นไทเคลียร์เอกสารกองโตอยู่ที่ออฟฟิศ องอาจมาช่วยอธิบายงานต่างๆที่คืบหน้าไปแล้วระหว่างที่เป็นไทไม่อยู่ให้ฟัง
“งาน meet&greet ของเรา ตอนนี้ก็สรุปสถานที่เรียบร้อยแล้วนะครับ ตอนนี้ผมก็ให้ทีม supplier เข้าไปจัดการเรื่อง stage กับ lighting ต่างๆแล้ว ในห้องน่าจะเข้าได้ราวๆ 100-150 คนครับ อาจจะต้องมีการเล่นเกมตามรายการวิทยุหรือรายการเพลงเพื่อแจกบัตร”
เป็นไทพยักหน้ารับ
“โอเค ตามนั้น แต่เดี๋ยวขอผมเข้าไปดูหน่อยละกัน”
“ได้ครับ”
เป็นไทก้มหน้าเซ็นอนุมัติเอกสารต่างๆบนโต๊ะของเขาต่อ องอาจมองๆก่อนจะพูดขึ้น
“ผมไม่ยักรู้ว่า ไคคุง แฟนนักธุรกิจของยูกิก็ตามคุณไปเชียงใหม่ด้วย”
“หึ...เคยมั้ยล่ะ เวลาจะไปไหนเหมือนเดินขบวนพาเหรด ผมเกือบจะเดินถือธงนำกรุ๊ปละ”
“แหม...มีปล่อยมุกด้วยนะเดี๋ยวนี้ ไปได้อารมณ์ขันจากใครมาเนี่ย”
“จากยูกิน่ะสิ คนอะไรมุกแพรวพราว แถมเบลอได้ตลอดเวลา”
องอาจเหล่มอง
“อ๊ะๆๆๆ แบบนี้ หมายความว่า...”
“หมายความว่า...อะไรของคุณ คุณไม่เห็นรึไงว่าเขามีแฟนแล้ว”
“ก็เห็นว่าแฟนเขาช่างแสนดี เอาใจ หน้าตาหล่อ แถมยังทำงานเก่งอีกต่างหาก สมกันอย่างกับอะไร”
“แสนดีเหรอ...คุณยังไม่รู้จักเขาน่ะสิ ไคคุงน่ะไม่ธรรมดาเลย”
“นั่นแน่...อิจฉาเขาที่ได้เป็นแฟนคุณยูกิใช่มั้ยล่ะ ถึงหาเรื่องจับผิดเขาน่ะ”
“ไม่ได้อิจฉา ผมพูดตามที่ผมเห็น”
“ผมก็เห็นว่าเขาก็ปกติดีนะ ออกจะสุภาพด้วยซ้ำ คุณไทอคติรึเปล่า”
เป็นไทเซ็งๆ
“เออ เอาเถอะ ขนาดคุณยังไม่เชื่อผมเลย ผมคงต้องเลิกพูดเรื่องนี้ละ เป็นห่วงก็แต่ยูกิเท่านั้นแหละ”
เป็นไทเป็นห่วงยูกิขึ้นมา ที่ต้องอยู่กับคนอย่างไคคุง
ไคคุงจอดรถส่งนับดาวที่หน้าบ้านรจนา
“ผมว่าคุณน่าจะไปอยู่ที่โรงแรมกับผม อยู่ที่นี่มันออกจะ...”
นับดาวสวนทันที
“ฉันชอบที่นี่ค่ะ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ”
“นี่จะไม่ชวนผมเข้าไปข้างในหน่อยเลยเหรอครับ”
“อย่าดีกว่าค่ะ ที่มันแคบ คุณคงจะไม่ค่อยชอบหรอก”
“ยูกิก็รู้ ว่ายูกิชอบอะไรผมก็ชอบเหมือนกัน”
“เอาไว้โอกาสหน้าละกันนะคะ วันนี้ฉันเหนื่อย”
“ก็ได้ครับ แล้วแต่ยูกิสะดวก”
“ขอบคุณค่ะ”
นับดาวลงจากรถ ไคคุงรีบตามลงมาเปิดประตูรถแล้วยกกระเป๋ามาให้ ระหว่างนั้นวราพรรณซึ่งอยู่ในบ้านก็แอบดูว่านับดาวว่ามากับใคร
“เดี๋ยวผมถือไปส่งให้ที่หน้าบ้านดีกว่า”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันถือได้”
“แต่มันหนักนะครับ”
นับดาวชี้ไปที่ด้านล่างกระเป๋า
“มันมีล้อค่ะ ขอบคุณนะคะ”
นับดาวเดินลากกระเป๋าไปในบ้าน วราพรรณรีบหลบเข้าไป ไคคุงมองตามอย่างข้องใจ
“โฮมเสตย์นี่มันมีอะไร ถึงไม่อยากให้เข้าไปนัก ไม่ใช่ว่าซ่อนใครไว้ในนั้นหรอกนะ” ไคคุงแววตาอำมหิตขึ้นมาทันที “อย่าให้รู้ก็แล้วกัน”
ไคคุงมองตามอย่าง ไม่ไว้ใจ
วราพรรณ วิ่งเข้ามาในบ้านแล้วถามรจนาอย่างสงสัย
“ไอ้นับดาวมันมากับใครน่ะย่า”
รจนาส่ายหน้า
“ไม่รู้เหมือนกัน ก็เห็นคนแวะเวียนมาส่งกันตลอด”
“แฟนรึเปล่า”
“ก็ไปถามมันเองสิ”
“ย่านี่เคยสนใจหลานตัวเองบ้างรึเปล่าเนี่ย”
นับดาวเดินลากกระเป๋าเดินทางเข้ามาในบ้าน
“อ้าวนุ้ย...งานการไม่ทำรึไง ถึงได้มาบ้านฉันได้”
“ก็นี่แหละงานฉัน”
“ท่าทางงานแกจะรุ่งเรืองนะ เริ่มส่งนักข่าวมาเฝ้าคนตามบ้านละ”
“เฮ้ย นับดาว นี่ฉันมารอแกทุกวันเลยนะ ไปไหนทำไมไม่บอกกันบ้าง”
“แล้วแกอยู่ให้บอกมั้ยล่ะ”
“นี่ตกลงแกทำงานอะไรเนี่ย ทำไมต้องไปเชียงใหม่ด้วย ถามย่าแกก็ไม่ยอมตอบ”
“ก็รับจ้างทั่วไปแหละ แล้วแกมีอะไร”
“เรื่องสำคัญเลยว่ะ”
วราพรรณพานับดาวเข้ามาในห้อง
“มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ”
“มันคือสิ่งที่แกรอมาทั้งชีวิตเลยล่ะ”
“พูดเป็นเล่น”
“แกจำหัวหน้าฉันที่เคยเล่าให้แกฟังได้มั้ย ที่ฉันจะนัดให้แกเจอ แต่ไม่ได้ไปเจอน่ะ”
นับดาวพยักหน้า
“เออ จำได้ ทำไมเหรอ”
“เขาเห็นรูปแกแล้ว แล้วเขาอยากจะให้แกเป็นดาราว่ะ”
“จริงเหรอ เป็นดารา ฉันเนี่ยนะ”
“เออ เขาสนใจแกขนาดว่ามาหาแกที่บ้านเลยนะเว้ย”
นับดาวตื่นเต้น
“เหรอ ฉันจะได้เป็นดาราแล้วเหรอ เป็นดาราจริงๆใช่มั้ย ไม่ใช่ว่าให้ไปเป็นคนอื่นนะ”
“เป็นคนอื่น แกหมายความว่าไงวะ”
“ก็หมายถึงว่าให้ฉันเป็นพวกนักแสดงแทนดาราอะไรแบบนั้นน่ะ”
“แกรู้ได้ไง...”
“หึ๊ พูดแบบนี้ก็หมายความว่า...”
นับดาวจ้องหน้า วราพรรณพยักหน้า
นับดาวเดินหนีวราพรรณออกมาจากห้อง วราพรรณวิ่งตามง้อ
“ไม่เอาเว้ย ฉันไม่เป็นแสตนอินหรือดับเบิ้ลแคสอะไรให้ใครทั้งนั้น”
“เฮ้ยเดี๋ยวก่อนดิ ทำไมแกรีบปฏิเสธนักวะ คนเราจะดังได้ก็ต้องไต่เต้าสิวะ แกดูอย่างนักร้องหลายๆคนดิ เป็นคอรัสมาตั้งกี่ปี ร้องไกด์ในห้องอัดกี่ปี กว่าจะได้ออกอัลบั้มน่ะ”
“ฉันรู้ แต่ฉันไม่เอาไง แค่ที่ทำอยู่ตอนนี้ก็จะบ้าตายอยู่แล้ว”
“แต่เจ้านายฉันสัญญาเลยนะเว้ย ว่าถ้าแกช่วยเขาครั้งนี้ เขาจะดันแกให้ดังยิ่งกว่าอั้ม พัชราภาซะอีก”
“แกอย่ามาหลอกล่อฉันเป็นเด็กๆน่า บอกว่าไม่เอาก็ไม่เอา”
“โอกาสแบบนี้มาไม่บ่อยในชีวิตนะเว้ย...อั้มนะ”
“ไม่เอา”
“ไม่อยากฟังหน่อยเหรอ ว่าเค้าจะให้แกไปเป็นนักแสดงแทนของใคร บอกให้ว่าซุปตาร์นะเว้ย ดังระเบิดแน่”
“ไม่เอา ไม่ฟัง ไม่อยากรู้”
“ยูกิไง เขาจะให้แกไปแสดงแทนไอ ยูกิ ซุปเปอร์สตาร์ของญี่ปุ่นเลยนะเว้ย”
นับดาวชะงักที่ได้ยินชื่อยูกิ
“ใครนะ จะให้ฉันไปแสดงแทนใครนะ”
“ไอ ยูกิ”
“...แล้วเขาบอกรึเปล่า ว่าไอ ยูกิตัวจริงอยู่ไหน”
“ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก ฉันก็รับคำสั่งเจ้านายมาอีกที”
“ถามเขามาเดี๋ยวนี้เลยนะ ว่าไอ ยูกิตัวจริงอยู่ไหน ทำไมต้องหาตัวแสดงแทน...หรือว่ายูกิที่ว่าหมายถึงฉัน ยูกิทุกคนจะค่อยๆหายตัวไป ยังไงล่ะยังไง ถามสิ โทรถามเจ้านายแกสิ ถามสิ”
นับดาวเร่ง วราพรรณงง
“หยุด...ฉันฟังแกไม่ทันแล้วเนี่ย คำถามอะไรเต็มไปหมด ทีละคำถามได้มั้ย ให้ฉันรู้เรื่องด้วย”
“ไม่ต้องละ ไม่ต้องโทร ฉันจะคุยกับเจ้านายแกเอง”
นับดาวสีหน้าจริงจัง วราพรรณยังงงๆไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเท่าไหร่ รจนาที่ทำกิจกรรมอยู่แถวนั้นได้ยินก็ปวดหัวกับเรื่องราวพัลวันที่เกิดขึ้น
เย็นนั้น แพรวไพลินเสร็จจากออกกำลังกายในฟิตเนส เธอเดินออกมาจากห้องฟิตเนส บังเอิญเดินสวนกับซีซีพอดี
“อ้าว เธอนี่เอง มีเงินเป็นสมาชิกสปอร์ตคลับด้วยเหรอจ้ะ”
ซีซีจ้องหน้าไม่พอใจ
“นี่...คิดว่าตัวเองมีเงินคนเดียวรึไง ถึงเที่ยวดูถูกคนอื่นเค้าไปทั่ว”
แพรวไพลินเชิด
“ไม่รู้สิ ก็พยายามผลาญให้เงินมันหมดๆไปอะนะ แต่ยังไง๊ ยังไงก็ไม่ยอมหมดซักที นี่ขนาดงานการก็ไม่ได้ทำนะเนี่ย”
ซีซีเบ้หน้าหมั่นไส้
“ชิ...คนรวยอย่างเธอ ฉันไม่เห็นว่าจะมีผู้ชายคนไหนเอาซักที”
“ฉันมีแฟนแล้วนะ ไม่เชื่อถามใครดูก็ได้”
“ทำไม เธอทำคัตเอ้าท์ประกาศไว้ทั่วเลยรึไง ใครๆถึงได้รู้น่ะ”
“ไม่ต้องทำคัตเอ้าท์หรอกย่ะ แฟนฉันน่ะเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่ที่นำเข้าคอนเสิร์ตต่างประเทศเลยนะจ้ะ ใครก็รู้จักทั้งนั้น เป็นไท เจ้าของ บริษัทอิสสยาม”
ซีซีชะงัก
“จัดคอนเสิร์ตเหรอ...”
“ใช่สิ ล่าสุดนี่ก็จะเอาซุปเปอร์สตาร์ชื่อดังจากญี่ปุ่นมาเลยนะ ไอ ยูกิไง รู้จักมั้ย”
ซีซีอึ้ง
“ไอ ยูกิ...”
แพรวไพลินมองเหยียด
“อึ้งไปเลยอะดิ ช่วยไม่ได้นะ คนมันทำบุญมาเยอะ พร้อมหมดทุกด้าน”
ซีซีพูดกับตัวเองเบาๆ
“ไอ ยูกิไม่อยู่ คอนเสิร์ตก็ล่มนะสิ”
แพรวไพลินมองหยัน
“ถึงกับเพ้อเลยเหรอ เอาน่า ยังไงก็ขยันทำมาหากินแล้วกันนะจ้ะ หมั่นทำบุญเยอะๆล่ะ ชาติหน้าจะได้มีโอกาสเป็นอย่างฉันบ้าง”
แพรวไพลินหัวเราะชอบใจออกไป ซีซีไม่สนใจ ในสมองเธอกำลังคิดแผนการบางอย่างในหัว
สังวรณ์กับวราพรรณ นั่งรอนับดาวที่โต๊ะ สังวรณ์เริ่มหงุดหงิดที่นับดาวยังไม่มาที่โต๊ะซักที
“อะไรของเพื่อนคุณเนี่ย นี่ก็เลยมาสิบนาทีแล้ว ปล่อยให้ผมมานั่งรอได้ยังไง”
“ใจเย็นๆค่ะคุณซังวอน เดี๋ยวก็มาถึงแล้ว พอดีว่ารถติดน่ะค่ะ” วราพรรณพยายามพูดให้ใจเย็น
“อยากได้เงินใช้แต่ทำลีลาอยู่ได้”
วราพรรณจ๋อยๆ ชะเง้อมองหานับดาว
“เวลาไม่เป็นเวลา แต่อยากเป็นดาราเนี่ยนะ”
“คือจริงๆเพื่อนฉันยังไม่ได้ตกลงนะคะ แต่อยากมาคุยกับคุณซังวอนก่อน”
“แบบนี้ถ้าคุยกับผม แล้วเพื่อนคุณตกลงขึ้นมา ผมถือว่าเป็นเสน่ห์ของผม ไม่ใช่ฝีมือคุณนะ จะมาเรียกร้องให้เลื่อนตำแหน่งไม่ได้นะ”
วราพรรณเซ็งๆกับคำพูดสังวรณ์ แต่แล้วนับดาวก็เดินเข้ามาในร้าน
“นั่นไง นับดาวมาแล้ว”
สังวรณ์หันไปเห็นนับดาวถึงกับตะลึง เพราะว่าเธอเหมือนกับยูกิมาก นับดาวเดินมาที่โต๊ะ
“บร๊ะเจ้า เหมือนมาก”
“สวัสดีค่ะคุณซังวอน ในทีวีดูดีกว่าตัวจริงอีกนะคะ”
“ขอบคุณครับที่ชม”
สังวรณ์ชักงงๆว่าชมหรือด่า วราพรรณรีบแนะนำ
“นี่เพื่อนฉัน นับดาวค่ะ แล้วนี่ก็คุณซังวอน หัวหน้าใหญ่ฉันเอง”
สังวรณ์มองอยางทึ่งๆ
“ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเพชรที่ยังไม่ถูกเจียรไนเหลืออยู่อีก”
นับดาวพูดจริงจัง
“ฉันไม่อ้อมค้อมแล้วนะคะ คือฉันอยากรู้ว่าที่คุณบอกอยากให้แสดงแทนยูกิ”
“จุ๊ๆๆๆ ใจเย็นๆ อีซี่ๆๆ ไม่ต้องรีบคุยก็ได้ ทานอะไรให้เย็นชื่นใจก่อนดีกว่า”
สังวรณ์หันไปถามวราพรรณ
“นี่คุณวราพรรณ วันนี้มีปิดเล่มไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่เข้าออฟฟิศไปเช็คความเรียบร้อยล่ะ”
“ส่วนของฉัน ฉันเช็คเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“แล้วส่วนของคนอื่นล่ะ หึ๊ ถ้าอยากจะเลื่อนขั้นเป็นหัวหน้า เช็คแต่งานตัวเองได้เหรอ”
“ค่ะ”วราพรรณจ๋อย
“ไป ไปดูงานให้เรียบร้อย”
วราพรรณลุกจากโต๊ะอย่างงงๆ ส่งสัญลักษณ์กับนับดาวว่าขอตัวก่อน นับดาวไม่ค่อยอยากให้วราพรรณไปเท่าไหร่ แต่ก็ต้องให้ไป
ค่ำนั้น องอาจกับเป็นไท นั่งเช็ครายละเอียดของคอนเสิร์ตกันอยู่ คุยกันไปด้วย
“ไปคุยกับบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นเป็นไงบ้างครับ”
“ก็ถูกจับเซ็นสัญญาใหม่น่ะสิ”
“อะไร เขาจะมัดมือชกขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“คงไม่ได้จะมัดมือชกหรอก แต่ยูกิเขาไม่เล่าให้ผมฟังก่อนมากกว่า”
“เรื่องสำคัญแบบนี้ ทำไมยูกิถึงไม่บอกคุณล่ะ”
“นั่นน่ะสิ ผมก็งงอยู่เหมือนกัน”
เป็นไทครุ่นคิด องอาจมองอย่างสงสัย
“มีอะไรรึเปล่าครับ”
“ผมว่ายูกิน่ะแปลกๆ ตื่นเต้นมากตอนที่ไปถึงเชียงใหม่ เหมือนไม่เคยไปมาก่อน ขนาดเข้าบ้านตัวเองยังหลงเลย คนแบบนี้มันมีด้วยเหรอ”
องอาจตาโต
“หรือว่า...”
“หรือว่าอะไร”
“ยูกิจะเป็นโรคคนสองบุคลิกครับ”
เป็นไทไม่เข้าใจ
“ยังไง”
“ก็โรคจิตเภทที่เขาเป็นกันตามหนังไง ที่คนๆเดียวแต่มีสองคาแรคเตอร์”
“นั่นมันคนบ้าแล้ว”
“ไม่เชื่อคุณไทลองสังเกต ช่วงแรกๆที่ยูกิมาถึงนี่ ออกจะแบ๊วแบบญี่ปุ่น น่ารัก สดใส อาโนเนะ แต่พอเธอหายไปพักนึง กลับมาอีกที ก็กลายเป็นเหมือนคนไทยธรรมดาๆ เปิ่นๆ โก๊ะๆ แปลกๆ บอกไม่ถูก”
เป็นไทพยักหน้าคล้อยตาม
“ก็จริงนะ”
เมื่ออยู่กันตามลำพัง สังวรณ์ให้เด็กเสิร์ฟ เสิร์ฟไวน์ให้นับดาว
“นั่นอะไรน่ะคะ เหล้ารึเปล่า”
“ใช่ที่ไหน นั่นน้ำองุ่นต่างหาก”
“จากไร่ไหน”
“ธนาธรณ์ จากเชียงใหม่เลยนะ”
“นั่นไร่ส้มรึเปล่าคะ”
“แหะ แหะ ผมล้อเล่น นี่น้ำองุ่นสดๆตรงจากปากช่องเลย”
“ว้าว น่ากิน”
“งั้นก็ทีเดียวหมดเลยสิ”
นับดาวกระดกเอื๊อกเดียวทั้งแก้ว สังวรณ์เห็นแล้วช็อคเล็กๆ
“สดจริงป่ะเนี่ย ทำไมรสแปลกๆ เอาเถอะ ทีนี้คุณต้องตอบฉันแล้วล่ะว่ายูกิตัวจริงอยู่ไหน”
นับดาวแอบมึนๆเล็กน้อย
เป็นไทกับองอาจยังคุยกันต่อ
“ถ้างั้นผมว่าคุณยูกิอาจจะเป็นคนสองบุคลิกจริงๆก็ได้นะ”
“บ้าน่า ผมว่าคุณน่ะเพ้อแล้ว”
“แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริง คุณไทอยากให้คนไหนอยู่คนไหนหายไปล่ะ ระหว่างคนแบ๊ว หรือคนโก๊ะ ถ้าเป็นผม ผมชอบแบบญี่ปุ่นมากกว่า อาโนเนะดี”
“เป็นผมเหรอ...ผมชอบคนปัจจุบัน ผมว่ามีสีสัน ทำให้ยิ้มได้ตลอดเวลา”
เป็นไทเผลอยิ้มออกมา องอาจยิ้มล้อๆ
“นั่นแน่ๆ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องงานแล้วใช่มั้ยเนี่ย”
เป็นไทเขินนิดๆ
“อะไรล่ะ ก็คุณถาม ผมก็ตอบ เรื่องสมมติทั้งนั้น ใครจะมีสองบุคลิก”
“นั่นแน่ๆ เขินๆ”
“ระวังเถอะ แซวแบบนี้ ถ้าแฟนเค้ามาได้ยิน จะล่มจมกันทั้งบริษัท”
“ทำเปลี่ยนเรื่อง แน่ะๆๆ”
เป็นไททำเป็นทำงานแก้เขิน แต่ก็แอบยิ้ม
นับดาวแอบมึนเล็กน้อย แต่เธอยังมีสติ
“บอกฉันมาสิ ถ้าให้ฉันแสดงแทนยูกิ แล้วยูกิตัวจริงล่ะ”
“ผมจะลักพายูกิตัวจริงจากเป็นไทมา แล้วให้คุณปลอมตัวไปเป็นยูกิแทน แล้วผมจะแฉให้มันล่มจม จากนั้นคุณยูกิตัวปลอมก็จะดัง ทุกคนได้ในสิ่งที่ต้องการหมด”
“เดี๋ยวนะ ยูกิที่คุณหมายถึงคือ...”
“ก็คนที่อยู่กับเป็นไทตอนนี้ไง นี่คุณรู้จักไอ ยูกิรึเปล่าเนี่ย”
“คือตอนนี้ยังไม่มีใครหายไป”
“ไม่มี แต่ถ้าคุณตกลง ยูกิจะหายไป”
“ห๊ะ...ฉันขอตัวแป๊บนะ”
นับดาวพยายามประคองสติให้ดี พาตัวเองไปเข้าห้องน้ำ สังวรณ์มองตาม
“เด็กนี่ ไว้ตัวน่าดู ไม่ออดอ้อนอยากดังเหมือนคนอื่นเลย สงสัยต้องเตรียมการแผนบีซะแล้ว”
นับดาวเดินเข้าห้องน้ำมองกระจก
“น้ำองุ่นอะไรเนี่ยมึนชะมัด...แต่สิ่งที่ตานั่นพูดเมื่อกี้คือให้ฉัน ไปแสดงแทนยูกิตอนนี้ ซึ่งก็คือฉันอีกนั่นแหละ ซึ่งเขาจะลักพาตัวฉัน ให้ฉันไปแสดงเป็นฉัน โอ๊ยๆจะบ้ากันไปใหญ่แล้ว พวกไหนเป็นพวกไหนกันบ้างเนี่ย”
นับดาวขยี้หัวตัวเองจากเหตุการณ์อันน่าสับสน
นับดาวเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ คุยกับสังวรณ์ต่อ
“คือฉันไปคิดมาแล้ว ฉันว่าสิ่งที่คุณเล่ามา มันเข้าข่ายหลอกลวงประชาชน ฉันคงไม่...”
“อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้ ผมอยากให้คุณไปใช้เวลาคิดให้ดี เพราะนอกจากคุณจะได้เป็นดาราดังสมใจคุณแล้ว ผมจะมีเงินค่าจ้างหกหลักให้คุณด้วย”
“หกหลักนั่นเท่าไหร่ หนึ่งแสน กับเก้าแสนก็หกหลักเหมือนกัน อย่ามาพูดกำกวมเหมือนค่าจ้างถ่ายปฏิทินโป๊หน่อยเลย ฉันรู้ทันหรอกนะ”
สังวรณ์เสียอารมณ์ที่นับดาวรู้ทัน
“ห้าแสนเป็นไง คนแบบคนจะหาเงินห้าแสนได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยนะ กลับไปคิดให้ดีๆ”
นับดาวคิดหนัก เผลอยกแก้วไวน์มาดื่มหมดอีกแก้ว แล้วก็รู้สึกตัวเมื่อหมด
“ฉันว่าน้ำองุ่นมันไม่สดนะ”
นับดาวกำลังเดินกลับ ไม่เมามากถึงกับเซ แต่ก็ต้องประคองสติ สังวรณ์ขับรถมาจอด
“จะให้ไปส่งที่บ้านมั้ย”
“ไม่ต้องๆ กลับเองได้”
“เอาน่า ให้ไปส่งเถอะ”
“ไม่ต้องไง เข้าใจป่ะ”
“เออ รู้แล้ว เล่นตัวนัก”
สังวรณ์ขับรถออกไป นับดาวคิดถึงเป็นไทขึ้นมา
“คุณไท คุณมีศัตรูทุกทิศจริงๆ ฉันต้องไปบอกคุณไทให้รู้เรื่อง”
อ่านต่อหน้า 2
ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 8
เป็นไทเดินลงมาส่งองอาจที่ล็อบบี้
“ขอบคุณนะคุณองอาจที่ช่วยเคลียร์เอกสารจนเสร็จ”
“นั่นมันงานผมอยู่แล้ว จะขอบคุณทำไมละครับ”
“จริงๆคุณนอนที่นี่ก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไรครับ พอดีว่าผมต้องไปชำระหนี้สารพัดช่วงเช้าพรุ่งนี้พอดี”
“ตามใจ พรุ่งเจอกันละกัน”
“ครับ”
องอาจเดินแยกไป เป็นไทจะเดินขึ้นลิฟท์ เห็นที่โซฟามีนับดาวนั่งหลับอยู่ เป็นไทตกใจ
“ยูกิ คุณยูกิจัง มาทำอะไรที่นี่”
นับดาวสะดุ้งตื่น
“คุณไทนั่นเอง ฉันมีเรื่องสำคัญมาบอกคุณ”
นับดาวพูดเมาๆกึ่งๆญี่ปุ่น
“นี่คุณดื่มมาเหรอ”
“ใช่ น้ำองุ่นมันบูด แต่ฉันไม่ได้เมานะ แค่เบลอนิดหน่อย แล้วก็อยากมาหาคุณ โอ๊ย...ง่วงนอนจัง”
“ง่วงแล้วทำไมไม่ไปนอนล่ะ”
“ฉันห่วงคุณ มีคนอยากทำลายคุณ”
“ใครอยากจะทำลายผม”
“ใครนะ ชื่ออะไรนะ โอ๊ย...ฉันง่วงแล้วล่ะ”
เป็นไทพานับดาวยืนขึ้น เธอยืนเดินด้วยตัวเองได้ ไม่ได้เซ แค่เบลอๆ
“งั้นไปบนห้องผมก่อนไป น้ำองุ่นอะไรเนี่ย”
เป็นไทเดินตามนับดาวที่เบลออย่างเป็นห่วง
เป็นไทพานับดาวขึ้นมาที่ห้อง นับดาวโวยวาย
“นี่ อย่าคิดทำอะไรฉันนะ ไม่งั้นฉันอัดคุณเละแน่”
เป็นไทยิ้ม
“นี่คุณจะพูดสิ่งที่คุณคิดออกมาทุกอย่างเลยใช่มั้ย”
“แน่นอน”
“โอเค งั้นเรามาพูดความจริงกัน”
“มาสิ แต่ฉันขอนอนพูดได้มั้ย”
นับดาวเอกเขนกลงบนโซฟาของเป็นไท
“คุณว่าอีกทีซิ คุณมาที่นี่ทำไม”
“ฉันเป็นห่วงคุณ มีคนคิดไม่ดีกับคุณ”
“ขอบคุณนะครับ ผมอยากได้ยินแค่นี้แหละ”
“แล้วไม่อยากรู้เหรอว่าใครคิดไม่ดีกับคุณ”
เป็นไทนิ่งฟัง
“ตอนนี้ฉันนึกชื่อเค้าไม่ออกหรอก ถ้าจำได้แล้วจะบอก”
“จริงๆผมไม่อยากรู้หรอกว่าใครคิดร้ายกับผมบ้าง แค่รู้ว่าใครคิดดีๆกับเราก็พอ”
เป็นไทมองนับดาวที่นอนอยู่บนโซฟาตาหวานซึ้ง รอยยิ้มของนับดาวทำให้เป็นไทเคลิ้ม เขาโน้มหน้าเข้าไปหาเธอที่นอนบนโซฟา นับดาวค่อยๆหลับตาพริ้ม ไม่ขัดขืน จนเป็นไทไปใกล้หน้าเธอจนปากเกือบสัมผัสริมฝีปากของเธอ นับดาวก็กรนเสียงดังออกมา พร้อมเคี้ยวน้ำลายแจ๊บๆ
“เฮ้ย คุยอยู่ดีๆหลับได้ไงเนี่ย” เป็นไทเขย่าตัวปลุก “ไปนอนบนเตียงดีๆเถอะยูกิ”
นับดาวไม่มีวี่แววจะตื่น เธอหลับสบายอมยิ้ม เป็นไทมองเธออย่างเอ็นดู
วราพรรณนั่งแก้ไขบทความที่จะตีพิมพ์วันพรุ่งนี้ ด้วยความเหนื่อยหน่ายง่วงนอน
“เพิ่งรู้กว่าจะได้เป็นบก.มันยากขนาดนี้” เธอฟุบหน้าลงกับโต๊ะคอมพิวเตอร์ “ไม่ไหวแล้ว เอาไปทำต่อที่บ้านดีกว่า”
วราพรรณเซฟงาน แล้วขับมอเตอร์ไซด์ออกมาจากสำนักพิมพ์ ทันใดนั้นก็มีรถคันหนึ่งพุ่งมาด้วยความเร็วสูงในระยะกระฉันชิด วราพรรณตกใจร้องเสียงหลง หักหัวรถหลบข้างทาง รถเสียหลักล้มลง องอาจรีบเปิดประตูรถลงมาดูด้วยความเป็นห่วง
“เป็นยังไงบ้างคุณ”
วราพรรณยันตัวลุกขึ้น ตอบด้วยความไม่พอใจ
“จะเป็นยังไงก็เจ็บนะสิ” เธอเห็นว่าองอาจก็แปลกใจ “นี่นายเองเหรอ”
องอาจตะลึงเมื่อเห็นหน้า
“ยัยนักข่าวทอม”
“มิน่าถึงได้ซวยเพราะเจอเกย์อย่างนายนี่เอง”
“นี่เลิกเรียกผมว่าเกย์ได้แล้ว ผมไม่ใช่เกย์ แล้วผมเองก็ไม่ได้อยากเจอคุณด้วย”
“ถ้าไม่อยากเจอฉัน งั้นก็จ่ายค่าเสียหายมาซะดี ๆ”
“เสียหายอะไร ไม่เห็นมีอะไรเสียหายเลย ผมไม่จ่าย”
“ไม่จ่ายดี ๆ ใช่มั้ย”
วราพรรณตรงเข้าไปล้วงกระเป๋ากางเกงองอาจทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง จะเอากระเป๋าเงินของเขา แต่ องอาจร้องโวยวายไม่ยอมให้ล้วงง่าย ๆ
“เฮ้ย ๆ จะทำอะไร อย่านะ จั๊กจี้ ๆ”
“ก็จะเอากระเป๋าเงินนายไง”
“ผมบอกว่าไม่มีก็ไม่มีสิ”
“แต่งตัวขนาดนี้บอกไม่มีฉันไม่เชื่อ แล้วนี่อะไร...”
วราพรรณคว้าถูกอะไรบางอย่าง องอาจทำหน้าจุก
“อุ๊บ!”
“ทำไมกระเป๋าตังค์นายแปลกๆ”
องอาจโวยเสียงดัง
“แล้วมันใช่กระเป๋าตังค์ที่ไหนล่ะ”
วราพรรณนึกได้ ก็รู้สึกอายขึ้นมาทันที
“ไอ้เกย์ลามก”
วราพรรณต่อยหน้าเขาหงายไป องอาจชักโมโหเข้ามาโวยวาย
“ใครกันแน่ลามก อยู่ดี ๆ ก็มาจับ...”
วราพรรณอายสวนทันควันไม่อยากฟัง
“นี่หยุดพูดเลยนะ ฉันไม่อยากฟัง”
“ทำไมจะพูดไม่ได้ก็คุณมาจับ...”
องอาจพูดไม่ทันจบก็ถูกวราพรรณซัดหน้าเปรี้ยงไปอีกหมัด ด้วยความอาย
“เฮ้ย เจ็บนะ จับของเค้าแล้วยังมาต่อยเค้าอีก”
วราพรรณอายมาก
“ก็ฉันบอกให้หยุดพูดไง”
องอาจมองกวนๆ
“ทำไม อายเหรอ จริงสิ ทอมอย่างเธอคงไม่เคย...”
วราพรรณสวนทันที
“ฉันบอกให้หยุดพูดไง”
วราพรรณทำท่าจะต่อยอีก องอาจถอยหลังไปที่รถอย่างกลัวๆ
“เฮ้ยๆอย่านะ ไม่ต้องมาทำเป็นขู่ ผมไม่กลัวหรอก แต่พรุ่งนี้ผมมีงานต้องทำแต่เช้า ไม่งั้นได้เห็นดีกันแน่”
“ไอ้เกย์”
วราพรรณเงื้อหมัดะจะต่อยอีก องอาจตกใจร้องจ๊ากรีบหนีไปขึ้นรถ วราพรรณด่าไล่หลัง
“งั้นก็รีบไปเลยไป อย่าให้ฉันเห็นหน้าอีก ไอ้เกย์ลามก”
วราพรรณเจ็บใจ หันไปมองมือข้างที่เงื้อหมัดอยู่ พอเห็นว่าเป็นข้างเดียวกับที่จับก็ขนลุก
องอาจที่ขับรถอยู่ ดูหน้าตัวเองในกระจกส่องหลัง
“โอ๊ย เจ็บใจชะมัดถูกต่อยแล้วยังถูกดูถูกว่าเป็นเกย์อีก คอยดูเถอะ ฉันจะเปลี่ยนทอมให้เป็นเธอให้ได้แล้วเธอจะได้รู้พิษสงผู้ชายอย่างฉัน”
องอาจพูดพลางหรี่ตาข้างหนึ่งเหมือนมีแผนการร้ายอันยิ่งใหญ่
เช้าวันใหม่…นับดาวที่นอนอยู่บนโซฟาค่อยๆรู้สึกตัว ลืมตาขึ้น เธอจับเนื้อตัวตัวเองว่ามีอะไรผิดปกติมั้ย เธอเด้งลุกขึ้นนั่งรู้สึกได้ว่าถึงผ้าห่มผืนใหญ่ที่ห่มเธออยู่ และหันไปเห็นเป็นไทนอนอยู่บนพื้นข้างๆเธอนั่นเอง
นับดาวยิ้มออกมา เอาตัวเองไปนอนลงกับพื้น มองหน้าเป็นไทใกล้ๆ ห่างแค่ 1 ฝ่ามือ เธอเอานิ้วลากกับอากาศ วาดรูปหน้าของเป็นไท โค้งเป็นใบหน้า วาดดวงตา วาดจมูก วาดริมฝีปาก นับดาวมีความสุขกับความโรแมนติกที่เธอสร้างขึ้นเอง
แต่แล้วเป็นไทก็ลืมตาตื่นขึ้น นับดาวรีบแกล้งหลับทันที ทิ้งมือที่ชูอยู่กระแทกพื้นโป๊ก หลับตาปี๋ เป็นไทก็ไม่ขยับไปไหน ยังอยู่ท่านั้นมองหน้านับดาวใกล้ๆ นับดาวเกร็งไปทั้งตัว เป็นไทรู้ว่านับดาวแกล้งหลับ เลยแกล้งเอามือลูบไปตามแขน นับดาวยิ่งเกร็ง
“เสร็จละคราวนี้ ฮึ่มๆๆ”
นับดาวรีบเด้งตัวลุกขึ้นมาทันที
“จะทำอะไร คุณจะทำอะไรฉัน ลองเข้ามาสิ ฉันต่อยตาแตกแน่”
เป็นไทหัวเราะ
“ใครจะทำอะไรคุณ นอนหลับตัวเกร็งขนาดนั้น...ทำไมต้องแกล้งหลับด้วย”
“ไม่ได้แกล้งซะหน่อย”
“หืม หลับตาปี๋ ตัวเกร็งขนาดนั้น ไม่ธรรมชาติเลย”
“ฉันฝันร้ายหรอก”
“ฝันว่าอะไร”
“ฝันว่ามีคนลวนลามนะสิ”
เป็นไทยิ้ม
“ผู้หญิงนอนกรน แถมนอนดิ้น ใครเขาจะอยากลวนลามล่ะ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คือยูกิ ซูเปอร์สตาร์ของเอเชีย”
“แล้วเชื่อมั้ย”
“เชื่ออะไร”
“ก็เมื่อกี้คุณบอกว่าไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นยูกิ ตกลงเชื่อไม่เชื่อ”
“เพี้ยนอีกแล้ว” เป็นไทจับหัวขมับยูกิทั้งสองข้าง “จูนหน่อยๆครับ”
เป็นไทยิ้มให้กับการกระทำของนับดาว แล้วเดินออกไป นับดาวยังสงสัยอยู่
“นี่ฉันนอนกรนต่อหน้าผู้ชายจริงเหรอเนี่ย หมดแล้วสิ่งดีๆที่สั่งสมมา”
นับดาวถอนหายใจ
สายวันนั้น...รจนาเปิดเข้ามาในห้องนับดาว ในมือถือไม้กวาดที่ตักขยะเข้ามาด้วย
“เอาใหญ่แล้ว ไม่กลับบ้านกลับช่อง เดี๋ยวกลับมาจะตีให้เข็ดเลยไอ้หลานคนนี้”
รจนาเข้าไปกวาดที่โต๊ะนับดาวเห็นเศษกระดาษที่ยูกิเขียนภาษาญี่ปุ่นใส่ขวดลอยน้ำมา แต่นับดาวอ่านไม่ออกตกอยู่ รจนาเก็บขึ้นมา
“นี่มันกระดาษอะไร เขียนอ่านไม่ออกเลย นี่ภาษาอะไรของมันวะเนี่ย”
ยูกิมองขวดแก้วที่ฝังอยู่บนหาดทราย ใกล้ๆกับเท้าของเธอ เธอนึกถึงจดหมายที่ตัวเองเคยเขียนใส่ขวดโหลแล้วลอยน้ำไป เธอมองไปที่ทะเล
“ตอนนั้นฉันทำบ้าอะไรอยู่นะ รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีทางไปถึงใคร แต่ฉันก็ทำ”
ยูกิฉีกกระดาษที่เขียนขอความช่วยเหลือหลายแผ่นทิ้งลงทะเล ปล่อยให้สายลมพัดมันปลิวไป แล้วเดินเข้าไปในบ้าน
รจนาเพ่งมองไปที่กระดาษภาษาญี่ปุ่น เธอมองขวดแก้วใสที่อยู่บนโต๊ะนับดาว แล้วเก็บกระดาษใส่กระเป๋าเสื้อตน ก่อนจะทำความสะอาดห้องต่อไป สักครู่ รจนาได้ยินเสียงรถมาหน้าบ้าน เธอชะโงกดูที่หน้าต่าง เห็นรถคันนึงเข้ามาจอด
“กลับมาแล้วเหรอ เดี๋ยวแม่จะเฉ่งให้พูดไม่ทันเลยคอยดู”
รจนารีบเดินลงไปด้านล่าง
สังวรณ์ลงมาจากรถ ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“แผนบี”
รจนาเดินมาเห็นสังวร
“ตาคนนี้อีกแล้ว”
“เฮ้ย...อย่ามาตาคนนี้สิยาย ผมยังหนุ่มยังแน่นนะ”
“มีอะไร ไอ้นับดาวมันไม่อยู่หรอก”
“งั้นก็ดีเลย”
“ดีอะไร คิดจะทำอะไรคนแก่รึไง”
“ผมไม่สิ้นคิดขนาดนั้นหรอก ผมแค่มีเรื่องอยากจะคุยกับคุณ”
“ฉันไม่สนหรอก”
“แต่ถ้าคุณได้ฟังข้อเสนอของผม คุณต้องสนแน่ๆ”
“ถ้าเป็นเรื่องให้นับดาวมันไปปลอมเป็นใครน่ะ ฉันไม่เอาด้วยหรอก ให้ตายก็ไม่สน”
“แม้ว่าจะเกี่ยวกับวงสุนทรีย์ภรณ์ของคุณน่ะเหรอ”
รจนาตกใจ
“ห๊ะ...เกี่ยวกับวงฉันด้วยเหรอ”
“แน่นอนสิ...”
รจนาอยากรู้แต่ทำฟอร์ม
“ฉันแก่แล้ว เข้าวัดถือศีล อย่ามาชวนให้ร่วมขบวนการหลอกลวงอะไรเลย”
“แม้ว่าผมจะทำให้สุนทรีย์ภรณ์กลับมาดัง และงานชุกอีกครั้งน่ะเหรอ”
รจนากลับคำทันที
“เดี๋ยวฉันโทรคุยกับนับดาวให้เลย” รจนาหยิบโทรศัพท์มาแนบหู “นับดาวเหรอ ย่าเองนะ ตกลงทำงานให้คุณซังวอนเค้าเดี๋ยวนี้เลย” เธอยกโทรศัพท์ออก “เป็นไง เข้มแค่นี้ใช้ได้มั้ย”
“เป็นอันว่าตกลงนะ”
“แล้วอะไรจะรับประกันว่าสุนทรีย์ภรณ์จะกลับมาดัง จะมีคนจ้างอีกครั้ง”
“คุณดูหนังสือพิมพ์กรอบบ่ายวันนี้ก็แล้วกัน แล้วจะบอกว่าคุณจะได้มากกว่านั้น”
รจนาฝันไปไกล สังวรณ์ยิ้ม ที่แผนสำเร็จ
“เอาเป็นว่าจัดการเรื่องนี้ให้ผมด้วยละกัน”
“เดี๋ยว ชื่อซังวอนใช่มั้ยเรา เป็นคนจีนรึเปล่า”
สังวรณ์เซ็งเลย
“จีนอะไรล่ะ ชื่อยังกับเกาหลี”
“อ่านนี่ออกมั้ย”
รจนาหยิบกระดาษที่ยูกิเขียนออกจากกระเป๋าเสื้อยื่นให้ดู สังวรณ์รับมาอ่าน แต่อ่านไม่ออก
“อะไรเนี่ย...อ่านไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
สังวรณ์ส่งคืน รจนารับมา
“อ้าว...ก็นึกว่าจะอ่านได้”
“ใบกงเต็กเหรอ เอาไปเผาสิยาย”
สังวรณ์ไม่สนใจเดินขึ้นรถไป
เป็นไทหยิบสคริปต์งานคอนเสิร์ตมาให้นับดาว
“นี่เป็นสคริปต์ทั้งหมดที่ทีมงานเขียนเสร็จแล้ว ผมอยากให้คุณดูเพื่อมีอะไรจะปรับ”
“ขอบคุณค่ะ”
“เกรงใจคุณจริงๆ ยังไม่ได้กลับบ้านแท้ๆ แต่ยังต้องเข้ามาที่ออฟฟิศผมก่อนอีก”
“ใครก็อยากให้งานออกมาดีทั้งนั้นแหละค่ะ เดี๋ยวฉันขอตัวก่อนละกันนะ เดี๋ยวที่บ้านเป็นห่วง”
เป็นไทแปลกใจ
“บ้าน”
นับดาวรีบแก้
“หมายถึงโฮมเสตย์ที่ฉันอยู่น่ะ กลัวเจ้าของบ้านเขาเป็นห่วงว่าทำไมไม่กลับ”
เป็นไทสงสัย
“อ๋อ”
“ไปล่ะค่ะ”
“เดี๋ยวผมไปส่ง”
เสียงโทรศัพท์สายในดังขึ้น เป็นไทเดินไปรับ
“ว่าไง...ใครมาพบ ผมมีนัดด้วยเหรอ...ก็ได้ๆ” เขาวางหู มองนับดาวแบบรู้สึกผิด “ไปส่งไม่ได้แล้วล่ะ”
นับดาวเซ็งนิดหน่อย
“ไม่เป็นไรค่ะ เข้าใจ...ไปนะคะ”
นับดาวเดินออกไปจากห้อง เป็นไทมองอย่างอาลัย
วันต่อมา...ซีซีที่ยืนรออยู่ที่เค้าน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ใจร้อนอยากจะพบเป็นไท
“โอ๊ย...ช้าจัง ฉันเข้าไปล่ะ”
ซีซีเดินจะเข้าไปข้างใน แต่ประชาสัมพันธ์เรียกไว้
“เดี๋ยวค่ะคุณซีซี”
ซีซีเดินกลับมาที่ประชาสัมพันธ์ จังหวะที่เธอเดินหันหลังนับดาวก็เดินออกมาพอดี แล้วเดินออกไปโดยที่ต่างคนต่างไม่เห็นกัน
“อะไร เรียกทำไม”
“คุณเป็นไทมีแขกอยู่ค่ะ เดี๋ยวเสร็จแล้วคุณไทจะเรียกคุณซีซีเข้าไปพบเอง รอซักครู่นะคะ”
“นี่เขาไม่รู้เหรอว่าฉันเป็นใคร ปล่อยให้ฉันรอได้ยังไง”
เสียงโทรศัพท์โต๊ะประชาสัมพันธัดังขึ้น ประชาสัมพันธ์รับ
“ค่ะ...ได้ค่ะ” ประชาสัมพันธ์วางหูหันไปบอกซีซี “เชิญเข้าไปพบได้เลยค่ะ”
“ก็แค่นี้แหละ”
ประชาสัมพันธ์เดินนำซีซีเข้าไปด้านใน ตรงไปเคาะประตูห้องทำงานเป็นไท ก่อนจะเปิดเข้าไป
“คุณซีซีมาแล้วค่ะ”
“เชิญครับ”
ประชาสัมพันธ์เดินออกไป ซีซีเข้ามา วางท่าเป็นดาราดัง
“ฉันว่าฉันเคยเจอคุณที่ไหนมาก่อนนะ”
“งั้นเหรอครับ...ผมเป็นไทครับ”
“คุณคงรู้จักฉันดีอยู่แล้ว แต่ก็จะแนะนำตามมารยาทนะคะ ฉันซีซีดาราโกอินเตอร์ชื่อดัง ซีซี”
“ถ้างั้นที่คุณมาวันนี้คงเป็นธุระสำคัญแน่ๆ”
“แน่นอนค่ะ ฉันมีข้อเสนอดีๆมาฝากคุณ”
ซีซีพูดอย่างเชิดๆเริ่ดๆตามสไตล์เธอ เป็นไทรับฟังอย่างสุภาพ
รจนากำลังรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้าน น้ำกระเซ็นเปียกตัว เปียกเสื้อไปหมด ไคคุงขับรถเข้ามาจอดรถหน้าบ้าน รจนางงว่าใครมาอีก
“ดูซิ หัวกระไดบ้านไม่เคยแห้ง”
ไคคุงจอดรถ ลงมาจากรถ
“มาหาใครอีกล่ะ”
“ผมมาหายูกิ”
“ไม่อยู่หรอก เป็นใครมาจากไหนละเนี่ย ทำไมพูดไทยไม่ชัดแบบนี้”
“ผมเป็นแฟนยูกิครับ มาจากญี่ปุ่น”
รจนาถอนใจ
“เออ เอาเข้าไป เดี๋ยวมาหานับดาว เดี๋ยวมาหายูกิ ศีลขาดหมดฉัน”
ไคคุงงงๆ
“อะไรเหรอครับ”
“ช่างเถอะ อย่าสนใจคนแก่นักเลย”
“ยูกิไม่อยู่ รู้มั้ยครับว่าจะกลับเมื่อไหร่”
“ไม่รู้หรอก มันหายไปตั้งแต่เมื่อคืน บ้านช่องก็ไม่กลับมานอน ไม่รู้ว่าไปนอนบ้านใคร”
ไคคุงตกใจ
“หายไปตั้งแต่เมื่อคืน...” ไคคุงหน้าเครียดขึ้นมาทันที กัดฟันพูดในลำคอ “เป็นไท อย่าให้รู้นะว่าแกคิดจะทำอะไร...”
เป็นไทยังคุยกับซีซีอยู่ในห้อง
“ฉันอยากให้คุณจัดคอนเสิร์ตครั้งใหญ่ของฉัน”
“คอนเสิร์ตใหญ่คุณ ทางค่ายเพลงอยากให้จัดเหรอครับ”
“ฉันเนี่ยแหละอยากให้จัด จะทำไม”
“เปล่าครับ แล้วคุณมีสปอนเซอร์แล้วใช่มั้ย”
“ไม่มี”
“อ้าว”
“อ้าวอะไร นี่ฉันเห็นว่าคุณเป็นแฟนของยายแพรวไพลินเพื่อนฉันหรอกนะ ฉันถึงได้เลือกให้คุณจัดคอนเสิร์ตให้ ก็เห็นว่าล้มจากการจัดคอนเสิร์ตยายยูกินั่น สปอนเซอร์ก็คงถอนหมด ถ้าเอาฉันไปเสียบแทน ก็อาจจะกู้หน้าคุณขึ้นมาได้บ้าง ไม่ต้องหน้าแหกเพราะยายยูกิ”
“คุณพูดเรื่องอะไรน่ะ ผมต้องหน้าแหกทำไม คอนเสิร์ตยูกิก็เป็นไปได้สวย”
“อย่ามาปิดบังเลยน่า ฉันรู้ว่าคุณต้องเจอปัญหาอะไร”
“ไม่มีปัญหาอะไรเลย ทุกอย่างราบรื่นดี จนมาเจอคุณเนี่ยแหละ ผมเริ่มมีปัญหาละ”
“จะเป็นไปได้ยังไง ก็ยายยูกิน่ะ...”
เป็นไทมองซีซีอย่างสงสัย
“ยูกิทำไม...”
ซีซีรีบหลบตา
“ไม่มีอะไร”
“ผมว่าคุณต้องไปเช็คสมองแล้วล่ะ”
“คุณน่ะสิต้องไปเช็ค ฉันรู้ทุกอย่าง ไม่ต้องมาปิดบังหรอก แล้วคอยดู พอเข้าตาจนคุณก็ต้องซมซานมาหาฉัน”
ซีซีไม่พอใจเดินออกไปจากห้อง เป็นไทงงๆ...ซีซีเดินหงุดหงิดออกมาจากห้อง
“จะบ้ารึไง ไม่มียูกิมันจะมีได้ยังไงคอนเสิร์ตน่ะ แกแหละบ้า”
ซีซีเดินไปอย่างหงุดหงิด
รจนาคุยกับไคคุงอยู่ ไคคุงโกรธที่นับดาวไม่ยอมกลับบ้าน เขาพึมพำเบาๆอย่างแค้นๆ
“ต้องเป็นเป็นไทแน่ๆ”
รจนามองๆ
“เป็นอะไรรึเปล่าโกรธใครเหรอ”
“เปล่าครับ งั้นผมขอตัวก่อน”
“เออ...เดี๋ยวก่อนสิ คนญี่ปุ่นใช่มั้ย อ่านนี่ให้ฟังหน่อยสิ ไม่รู้ว่าภาษาญี่ปุ่นรึเปล่า”
ไคคุงยื่นกระดาษที่ยูกิเขียนให้อ่าน ไคคุงรับมาพอเปิดอ่านก็ตกใจ รจนามองอย่างสงสัย
“ทำไม...มันเขียนว่าอะไร”
ไคคุงหน้าเครียด
“คุณไปได้มาจากไหน”
รจนาตื่นเต้นอยากรู้มาก
“ทำไม มันเขียนว่าอะไรเหรอ”
“เขียนว่าอะไร ผมอ่านไม่ออกหรอก มันเปียกน้ำขนาดนี้ หมึกซึมเลอะไปหมด”
ไคคุงส่งคืนเพราะอ่านไม่รู้เรื่องจริงๆน้ำซึมเปียกตัวอักษรจนอ่านไม่ออก รจนาหน้าเหวอ
“อ้าว...”
“ผมต้องไปละ มีเรื่องต้องจัดการ”
พอหันหลังให้รจนา ไคคุงก็เปลี่ยนสีหน้า แววตาร้ายกาจขึ้นมาทันที ส่วนรจนาก็บ่นไปตามเรื่อง
“เปียกได้ยังไงเนี่ย ก็ว่าระวังแล้วเชียว”
อ่านต่อหน้า 3
ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 8 (ต่อ)
รจนายืนอยู่หน้าร้านหนังสือ เธอหยิบหนังสือพิมพ์เล่มหนึ่งมาแล้วจ่ายเงินกับคนขาย แล้วเปิดดูหน้าบันเทิงทันทีรจนาเห็นคอลัมน์ใหญ่ พูดถึงเธอ... “คุณค่าเพลงไทย สุนทรีย์ภรณ์ ไม่ควรถูกมองข้าม” แล้วมีรูปเธอตอนร้องเพลงบนเวที
รจนาเห็นข่าวแล้วก็คิดหนัก นึกถึงตอนที่สังวรณ์มาขอให้เธอให้พูดกับนับดาวไปเป็นดับเบิ้ลแคสยูกิ แล้วบอกจะทำให้เธอกลับมาดัง รจนามองข่าวที่ลงวันนี้
“ตาสังวรณ์ นั่นมันทำได้จริงๆด้วย”
รจนาลำบากใจว่าจะทำยังไงดี
สังวรณ์วางหนังสือพิมพ์ลงกับโต๊ะ แล้วหัวเราะในลำคอ โดยมีวราพรรณมองอยู่
“หึหึ ให้มันรู้ซะบ้างว่าเกมนี้ใครเป็นคนคุม เดี๋ยวยายแก่รจนามันจะต้องไปกล่อมหลานมันให้มาช่วยฉันแน่ๆ”
“อ้าว...แล้วฉันละคะ แบบนี้ฉันก็อดเลื่อนตำแหน่งน่ะสิ”
“ถ้าอยากก็รีบไปเกลี้ยกล่อมเพื่อนเธอซะสิ ใครทำสำเร็จก็ได้รางวัลไป”
วราพรรณตาวาวอยากได้รางวัล
“งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”
วราพรรณรีบรุดออกไปข้างนอกทันที สังวรนั่งยิ้มที่เขาให้คนอื่นวิ่งเต้นโดยตนไม่ต้องทำอะไรเลย
วราพรรณเดินออกมาจากออฟฟิศ องอาจที่แอบดูอยู่หลังมุมเสาหยิบ Iphone ขึ้นมาถาม
“สิริบอกผมหน่อย จะจีบทอมทำยังไง”
โปรแกรม Siriใน Iphone ตอบองอาจเป็นภาษาไทยสำเนียงจีน
“นึกพิเรนทร์อะไรจะจีบทอมขึ้นมาล่ะ”
“ตอบมาเถอะน่า”
“งั้นอั๊วจะตอบให้เอาบุญ ขั้นแรกลื้อต้องมั่นใจก่อนว่าการจีบทอมเป็นเรื่องธรรมชาติแล้วลื้อจะทำสำเร็จ”
“อือ...” องอาจบอกตัวเอง “การจีบทอมเป็นเรื่องธรรมชาติ ใคร ๆ ก็ทำกัน แล้วเราก็เป็นผู้ชายไม่ใช่เกย์ด้วย ทำไมจะทำไม่ได้”
องอาจดึงปกเสื้อตั้งขึ้น เดินเต๊ะจุ๊ยวางมาดเป็นนักเลงเข้าไปหาวราพรรณที่กำลังจะขับรถออกไป
“จะไปไหนน้องสาว”
วราพรรณเซ็ง
“ฉันไม่เคยมีพี่ชายเป็นตุ๊ด”
“ผมไม่ใช่ตุ๊ด”
วราพรรณมองกวนๆ
“เหรอ แล้วใครแคร์ หลีกไป วันนี้ฉันรีบไม่มีเวลาจะเถียงด้วย”
วราพรรณผลักองอาจ ก่อนจะเดินไปที่รถ องอาจไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี รีบถามสิริอย่างร้อนใจ
“แล้วทำยังไงอีก”
“ก็หาเรื่องคุยสิ จะได้สานสัมพันธ์ต่อ”
องอาจวิ่งตามไป
“เดี๋ยวคุณยังไปไหนไม่ได้ จนกว่าเราจะคุยกันให้รู้เรื่อง”
องอาจกระชากแขนวราพรรณอย่างแรง จนกระเป๋าตกลงพื้น ข้าวของตกเกลื่อนพื้น
“เฮ้ย ทำอย่างนี้หาเรื่องกันชัดๆ”
วราพรรณเดินเข้าไปหาองอาจท่าทางเอาเรื่อง องอาจถอยหนีด้วยความกลัว ก่อนจะยกมือถือขึ้นถามสิริ ท่าทางลนลาน
“ละละแล้วยังไงต่อ”
“ทำตัวร่าเริงสนุกสนานเข้าไว้ จะทำให้ลื้อดูดีมีเสน่ห์ขึ้น”
องอาจลอยหน้าลอยตาตอบท่าทางสนุกสนาน
“ฮ่าๆตกพื้นหมดเลย ช่วยไม่ได้ ก็...อยากซุ่มซ่ามเอง”
“ว่าไงนะ ซุ่มซ่ามเหรอ”
วราพรรณซัดเปรี้ยงไปที่หน้าจนหงายไป องอาจร้องเสียงหลง
“โอ๊ย...เอะอะอะไรก็ต่อยๆ ชาติก่อนเป็นผึ้งหรือไง”
วราพรรณมองกวนๆ
“ฉันไม่ได้ต่อย นายเอาหน้ามากระแทกหมัดฉันเองต่างหาก”
เธอจะเข้าไปเอาเรื่องอีก องอาจถอยหลังหนีท่าทางกลัวๆ
“เฮ้ยๆอย่าเข้ามานะ” เขารีบถามสิริ “สิริช่วยผมด้วย”
“สิริเหรอ งั้นเอามานี่” วราพรรณแย่งมือถือมาพูดใส่ “ไปตายซะ”
สิริเถียง
“อั๊วไม่ไป”
วราพรรณหน้าตื่น
“เฮ้ยทำไมพูดไทยได้ แถมสำเนียงแปลกๆ ของจริงหรือเปล่านี่”
“ผมไม่เคยใช้ของปลอม นี่รุ่นใหม่ล่าสุด 2 ซิม ดูทีวีได้”
“ฉันไม่เชื่อ” วราพรรณพูดกับสิริ “ไม่ต้องยุให้คนตีกัน ไอ้ของปลอม”
“ไอหยา ถูกจับได้แล้ว อั๊วไปก่อน แว่บ”
วราพรรณยิ้มเย้ย
“นั่นไง ชัดเลย แค่สำเนียงก็รู้แล้วมาจากไหน”
องอาจแย่งคืน
“เอาคืนมา ฝากไว้ก่อนเถอะยัยทอมแสบ”
วราพรรณทำท่าจะต่อยอีก องอาจตกใจ
“เฮ้ย !”
องอาจวิ่งหนีไป วราพรรณบ่น
“เสียอารมณ์จริง ๆ เลยคนยิ่งรีบ ๆ อยู่” เธอนึกถึงเรื่องที่ต้องไปทำขึ้นมาได้ “นับดาว!”
นับดาวกำลังจะเข้าบ้าน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอกดรับ
“ว่าไงนุ้ย”
วราพรรณวิ่งขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ของตัวเองคุยโทรศัพท์กับนับดาวไปด้วย
“แกอยู่ไหน”
“หน้าบ้าน”
“แกอย่าเข้าไปนะ”
“อะไร แกห้ามฉันเข้าบ้านตัวเองเนี่ยนะ”
“นั่นแหละ ห้ามเข้า”
“ทำไม มีอะไร”
“แกต้องออกมาจากบ้านเดี๋ยวนี้เลย ฉันมีธุระสำคัญจะคุยกับแก”
“โธ่ เรื่องแค่นี้เอง เดี๋ยวฉันขอเข้าบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ยังไม่ได้อาบน้ำตั้งแต่เมื่อคืน”
“อย่านะ ไม่ต้องเข้า...มาหาฉันก่อน ธุระฉันด่วนจริงๆ”
“เฮ้ย ขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
“เออ มาเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ออกมาด่วนเลย”
นับดาวชะเง้อมองในบ้าน เห็นบ้านเงียบๆ
“เออ ก็ได้ แต่แป๊บเดียวนะเว้ย ฉันไม่ได้กลับบ้านทั้งคืน เดี๋ยวโดนย่าด่าตาย”
“เออดี”
วราพรรณวางโทรศัพท์ แล้วรีบบึ่งมอเตอร์ไซค์ออกมาทันที
นับดาววางโทรศัพท์ กำลังจะเดินออกไป รจนาเปิดประตูออกมาจากในบ้าน
“จะไปไหน”
นับดาวซื้ดปาก โดนด่าแน่ๆ
“อูย...นึกว่าไม่อยู่ซะอีก”
“ไปไหนมาทั้งคืน”
“ทำงานน่ะย่า”
“งานแกทำหามรุ่งหามค่ำขนาดนี้เลยรึไง หมอนวดยังไม่ทำขนาดนั้นเลย”
“ก็มันเหนื่อย เลยนอนที่ออฟฟิศ”
“อย่าให้ย่าจับได้ว่าไปนอนบ้านผู้ชายก็แล้วกัน”
นับดาวกลืนน้ำลายเอื๊อก
“เข้ามาในบ้านหน่อย ย่ามีธุระจะคุยด้วย”
“แต่หนูนัดกับนุ้ยไว้แล้วว่าจะออกไปหามัน เห็นมันบอกมีธุระสำคัญมาก”
รจนาพูดคนเดียว
“ร้ายนักนะยายนุ้ย กะจะปาดหน้าเอารางวัลใหญ่ไปเหรอ”
“อะไรนะย่า”
“ย่าขอคุยแค่แป๊บเดียว”
“งั้นเดี๋ยวค่อยกลับมาคุยได้มั้ย กลัวไอ้นุ้ยมันเป็นอะไร เป็นมันร้อนรนมาก”
“มันจะเป็นอะไร นอกจากนักข่าวที่อยากจะเลื่อนขั้นมาเป็นบก.”
“หมายความว่าไงน่ะย่า”
“ก็หมายความว่าธุระนุ้ยมันไม่สำคัญเท่ากับธุระของย่าน่ะสิ ไป เข้าไปในบ้าน นั่งคุยธุระกันตามประสาย่าหลานหน่อย”
นับดาวลังเล
“แต่...”
“แป๊บเดียว เดี๋ยวค่อยไปหานุ้ยก็ได้น่า”
นับดาวลำบากใจ...รจนาพานับดาวมานั่งที่โซฟา
“กลับมาเหนื่อยๆ เดี๋ยวย่าไปเอาน้ำเย็นๆมาให้”
“ต้องพิธีรีตองขนาดนั้นเลย”
“อย่าเรียกว่าพิธีรีตอง เรียกว่าบริการด้วยความรัก ตามประสาย่าหลาน”
นับดาวชะงัก
“หึ๊...หนูหูฝาดไปรึเปล่าเนี่ย ร้อยวันพันปีไม่เคยมี”
“เอาน่า...”
รจนาเดินหายเข้าไปในครัว โทรศัพท์มือถือนับดาวดังขึ้น เธอกดรับสาย
วราพรรณรีบจอดมอเตอร์ไซค์หน้าห้างสรรพสินค้าถอดหมวกกันน็อค คุยโทรศัพท์
“ถึงไหนแล้วเนี่ย ฉันถึงแล้วนะเว้ย”
“แก ฉันยังออกไปไม่ได้ ย่าไม่ให้ออกไปว่ะ”
“ห๊า...นี่แกเจอย่าแกแล้วเหรอ”
“อืม ย่าบอกมีธุระสำคัญเหมือนกัน”
“หนอย...เล่นแบบนี้กันเลยนะย่า”
“ทำไม ย่ากับแกเล่นอะไรกัน”
“เปล่า...แล้วว่าแกพูดธุระอะไรกับแก”
“ยังไม่ได้พูดเลยเนี่ย ลีลาอยู่นั่น”
“แกอย่าไปฟังเลยนะ อุดหูไว้ รอให้ฉันไปถึงก่อน”
“บ้าเหรอ”
“เออ แกหูตึงอยู่แล้วนี่หว่า หันหูข้างที่เสียเข้าหาย่าแกไว้ จะได้ไม่ได้ยิน รอฉันก่อน เดี๋ยวฉันไปหา”
วราพรรณรีบวางสาย แล้วใส่หมวกกันน็อคสตาร์ทมอเตอร์ไซค์อีกที
รจนาเดินเอาน้ำเข้ามาเสิร์ฟให้หลายสาว
“นี่จ้ะ สำหรับหลานรัก”
นับดาวยกน้ำขึ้นดื่ม
“น้ำอุทัยทิพย์...นี่มันน้ำอุทัยทิพย์นี่ย่า”
รจนายิ้มแย้ม
“ใช่... หอม ชื่นใจ”
รจนาหยิบน้ำยาอุทัยมาทาปากทาแก้มใหญ่ นับดาวคิดๆ
“น้ำอุทัยทิพย์เราจะได้กินก็ต่อเมื่อโอกาสพิเศษเท่านั้น ครั้งสุดท้ายนั่นมัน...”
นับดาวยังพูดไม่จบ รจนาพูดต่อทันที
“งานฉลองเปลี่ยนปก เพิ่มเพลง อัลบั้มสุดท้ายของสุนทรีย์ภรณ์ที่ขายได้ล้านตลับ”
“นั่นสิย่า แล้วนี่วันอะไร”
“วันที่สุนทรีย์ภรณ์จะกลับมาดังอีกครั้งยังไงล่ะ”
นับดาวดีใจ
“จริงเหรอย่า ย่าจะได้ออกเทปใหม่แล้วเหรอ”
“ก็ทำนองนั้น เพียงแต่นับดาวต้องช่วยย่านิดๆหน่อยๆ”
“ช่วยอะไร หนูยินดีช่วยเต็มที่เลย ไม่ว่าจะยกไฟ แบกลำโพง หรือเป็นหางเครื่องดี”
“ไม่ต้องออกแรงขนาดนั้นหรอก ก็แค่...”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์นับดาวดังขึ้นอีกที เธอกดรับสาย....วราพรรณขี่มอเตอร์ไซค์ คุยโทรศัพท์ผ่านสมอลทอล์ก
“แกอย่าฟังย่าพูดเด็ดขาดนะ ไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งนั้น จำไว้ห้ามฟังสิ่งที่ย่าแกจะพูด รอให้ฉันไปถึงก่อน”
“ทำไมล่ะ”
“เอาเหอะน่า แล้วจะบอกอีกที”
วราพรรณวางโทรศัพท์แล้วห้อมอเตอร์ไซค์มาเลย นับดาวลำบากใจเหมือนกัน
รจนามองนับดาวที่คุยโทรศัพท์อย่าสงสัย
“ใครโทรมาน่ะ”
“ก็...นุ้ยน่ะ”
“นั่นไง...นั่นไง ทำไมซื้อหวยไม่เคยถูก”
นับดาวชักสงสัย
“ทำไม...สองคนนี้มีอะไรกันรึเปล่า”
“เปล่านี่ ...แล้วนุ้ยมันบอกว่าไง”
นับดาวอึกอัก
“ก็...”
“ป้าด...กะแล้วเชียวต้องพูดแบบนี้”
“ยัง”
“อ้าวเหรอ”
นับดาวเห็นหน้าย่าที่แต่งด้วยน้ำยาอุทัย แดงแป๊ดก็มองงงๆ
“แล้วนี่ย่าแต่งหน้าทำไม”
“ก็โอกาสพิเศษ”
“ตกลงมันเรื่องอะไรกันเนี่ย”
“ก็...”
นับดาวนึกถึงคำพูดของวราพรรณเมื่อกี้ที่ว่า อย่าฟังย่าพูดจนกว่าเธอจะมา
“เดี๋ยวย่า...”
“อะไรอีกล่ะ ขัดโน่นขัดนี่อยู่นั่น คนอยากพูดจะตายอยู่แล้ว”
นับดาวหันเอาหูข้างขวาหันไปทางย่า
“โอเค เรื่องเป็นไงมาไงนะย่า”
“ขอพูดแบบกันเอง ไม่อยากเอิกเกริก”
รจนากระซิบหูข้างที่ตึงของนับดาว เธอทำพยักหน้าเข้าใจ
“พูดเป็นเล่น ...”
รจนาลงมากระซิบต่ออีกที นับดาวทำพยักหน้าเออๆ
องอาจเอาแป้งพัฟตบปกปิดรอยช้ำที่ถูกวราพรรณต่อยมา
“โอ๊ย...เจ็บชะมัด ถ้าใครรู้ว่าถูกทอมเล่นงานมา ขายขี้หน้าแย่”
เลขาเป็นไทเดินเข้ามาเห็นองอาจกำลังตบแป้งปิดรอยช้ำอยู่ ก็ทักขึ้น
“เพิ่งรู้นะคะเดี๋ยวนี้คุณแต่งหน้าด้วย”
องอาจรีบเก็บตลับแป้ง
“ผมไม่ได้แต่ง แค่ซับไม่ให้หน้ามัน”
เลขามองยิ้มๆ
“ค่ะไม่ได้แต่ง...นี่ค่ะสคริปต์คอนเสิร์ตที่ให้ซีร็อกให้”
องอาจรับมา
“แล้วคุณเป็นไทมาหรือยัง” องอาจถามงอน ๆ
เป็นไทกำลังนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เขาอยู่กับนับดาว เช่นตอนที่เธอเห็นบ้านเมืองญี่ปุ่น แล้วดีใจเหมือนไม่เคยมา ตอนที่เธอหลงในบ้านของตัวเอง ตอนที่เธอพูดมั่วๆกับไคคุงในวัด เป็นไทครุ่นคิดถึงรอยยิ้มที่ใสซื่อของเธอ เขามองรูปเธอที่วางบนโต๊ะ สักครู่ องอาจเดินเข้ามา
“เรื่องสคริปต์คอนเสิร์ตนี่ เป็นไงมั่งครับคุณไท ต้องแก้ตรงไหนบ้างมั้ย”
“ผมโอเคแล้ว แต่ตอนนี้ให้ทางยูกิเขาไปดูอยู่ว่าเขาถูกใจมั้ย”
“ได้ข่าวว่าเข้าออฟฟิศมาพร้อมกันตั้งแต่เช้า อะไรยังไงครับคุณไท”
“แหม ถ้างานเร็วได้อย่างข่าวนี่คงดี”
“อย่ามาทำเปลี่ยนเรื่องเลยคุณไท ตอบผมมาซะดีๆ ทำไมเข้ามาพร้อมกันตั้งแต่เช้า รับรอง ผมไม่บอกใครหรอก”
“เหรอ...ผมคงเชื่อคุณหรอกนะ”
“แหม ผมคนสนิทนะ จะไม่เล่าอะไรให้ผมรู้บ้างเลยรึไง”
“คุณไม่รู้อะไรอย่าเพิ่งรีบพูดเลยดีกว่า เอาเป็นว่าคุณไปหาข้อมูลยูกิให้ผมหน่อย เอาแบบละเอียดเลยนะ”
“เอาไปทำไมครับ”
“ผมอยากรู้จักผู้หญิงคนนี้ให้ดีขึ้นกว่านี้”
“แล้วทำไมไม่ถามละครับ”
“ฉันอยากได้ความจริงมากกว่า”
“นั่นแน่ๆๆ”
“เอาน่า ถ้าผมรู้สิ่งที่ผมสงสัย ทีนี้คุณอยากรู้เรื่องอะไร ผมจะเล่าให้ฟังเอง”
“แน่เปล่า กลัวพอรู้แล้วจะทำมึนๆแล้วพูดว่า ผมเคยพูดแบบด้วยเหรอ”
“หึ หึ ถ้าเรื่องที่ผมสงสัยมันมีอะไรผิดปกติขึ้นมาละก็ ยังไงคุณก็ต้องรู้ เพราะมันจะเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ”
องอาจงงๆ ส่วนเป็นไท ในแววตาเจือความกังวลอยู่
รจนากระซิบข้างหูนับดาวจบ นับดาวยิ้มไม่ได้ยินเลยซักประโยค รจนาถอยจากการกระซิบ
“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ”
“อืม แบบนี้นี่เอง” นับดาวบ่นกับตัวเองเบาๆแคะหูไปด้วย “ไม่ได้ยินเลยซักประโยค”
“ชีวิตที่เหลือของย่าก็ฝากไว้ที่เรานั่นแหละ ตกลงจะช่วยหรือไม่ช่วย”
“ถึงกับฝากชีวิตกันไว้เลยเหรอ”
“ตกลงจะช่วยมั้ย”
นับดาวอึ้งงง
“ห๊ะ...เดี๋ยวนะ ช่วยอะไร ยังไง”
“ก็น่าจะรู้ว่าการที่สุนทรีย์ภรณ์จะกลับมาดังอีกครั้ง ให้คนไทยได้เห็นคุณค่าของเพลงไทยมากกว่าเพลงต่างชาติน่ะ มันไม่ใช่เรื่องง่าย นี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายก็ได้นะนับดาว”
“มีเรื่องคุณค่าของชาติด้วย มันอะไรน่ะ”
“เอ๊า...ที่เล่าไปตั้งนานนี่ไม่ได้ตั้งใจฟังเลยรึไง”
“ตั้งใจน่ะตั้งใจย่า แต่ว่ามันไม่ได้ยิน ก็ย่าดันกระซิบหูข้างที่ตึงทำไมล่ะ”
รจนาโมโห
“แล้วแกยื่นหูข้างที่หนวกมาฟังทำไมล่ะ”
“ก็หนูนึกว่าหูมันดีขึ้นแล้วนี่ พักหลังหนูไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการฟัง”
รจนาเซ็งๆ
“เออดี เป็นโรคอะไรก็คิดว่ามันหายเอง สบายละ”
นับดาวไม่พอใจนัก
“แล้วนี่ตกลงย่ามีเรื่องอะไรให้ช่วย”
“ก็...”
รจนายังไม่ทันพูด วราพรรณก็เดินเข้ามาในห้องทันเวลาพอดี
“คิดจะโกงกันเหรอย่า ไม่มีทางหรอก ของแบบนี้ใครดีใครได้”
รจนาเจ็บใจ นับดาวงงมาก
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย”
นับดาวมองหน้าทั้งสอง ไม่รู้ว่าพูดเรื่องอะไรกันแน่
เสียงเคาะประตูห้องเป็นไทดังขึ้น ประตูถูกเปิดเข้ามา เป็นไทไม่ได้แหงนหน้ามองง่วนอยู่กับแฟ้มเอกสาร เขาคิดว่าคนนั้นคือองอาจ แต่ก็ไม่ใช่
“องอาจ หาข้อมูลยูกิเร็วขนาดนั้นเลยเหรอ”
“หาข้อมูลอะไรเกี่ยวกับแฟนผมไม่ทราบครับ”
เป็นไทตกใจ เงยหน้าขึ้นดู พบว่าไคคุงยืนเท่ห์อยู่ตรงประตูห้องของเขา
“คุณไคคุง”
“เป็นไง ถึงกับตกใจเลยเหรอครับ”
“คุณมาทำอะไรที่นี่”
“คนรู้จักกัน แวะมาหากันไม่ได้เหรอครับ”
เป็นไทอึ้งๆไป
“เออ ครับ”
“พอดีผมได้ข่าวมาว่าเมื่อคืนยูกิไม่กลับไปนอนที่โฮมสเตย์ คุณมีความคิดเห็นกับเรื่องนี้ว่ายังไง ในฐานะผู้ดูแล”
“เอ่อ...”
เป็นไทอึกอัก ตั้งตัวไม่ติด
วราพรรณกับรจนา ยืนตกลงกัน ปล่อยนับดาวยืนงง
“เป่ายิงฉุบกัน ใครชนะ ได้พรีเซนต์งานก่อน”
“แกเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าพรีเซนต์งานเหรอยายนุ้ย”
“จะเรียกว่าอะไรก็ช่าง เป่ายิงฉุบกันมา ยุติธรรมสุดแล้ว”
นับดาวหงุดหงิดมาก
“นี่มันอะไรกันเนี่ย ถ้าไม่มีใครบอก จะไปที่อื่นแล้วนะ”
รจนากับวราพรรณร้องห้ามพร้อมกัน
“เดี๋ยว”
ทั้งสองมองหน้ากันต่างบุ้ยหน้าให้อีกคนพูด เถียงกันด้วยท่าทาง นับดาวไม่ไหวจะเดินออก
“ตามสบาย ตกลงกันได้เมื่อไหร่ก็โทรมาบอกละกัน”
วราพรรณเลยตัดสินใจเป็นคนพูดเอง
“เดี๋ยว...คือพวกเรากำลังแย่งกันเกลี้ยกล่อมเธอเรื่องให้ไปแสดงเป็นยูกิน่ะ”
“เรื่องนี้อีกแล้วเหรอ”
นับดาวจะเดินหนี วราพรรณคว้าตัวไว้
“อย่าเพิ่งไปสิ ฟังพวกเราให้จบก่อนได้มั้ย”
นับดาวเบื่อหน่าย
ไคคุงมองเป็นไทด้วยแววตาร้ายกาจ
“ว่าไง...ผมกำลังรอคำตอนอยู่น ว่าทำไมยูกิไม่กลับบ้านเมื่อคืนนี้”
“ผมไม่รู้หรอก”
“แน่ใจนะว่าไม่รู้”
“ไม่”
“ก็ดี...ทีนี้ผมคงต้องบีบให้ใครซักคนที่รู้ออกมาพูดบ้างแล้วสิ”
“คุณคิดจะวางแผนร้ายอะไรอีกล่ะ”
“หึ หึ ผมไม่จำเป็นต้องบอกคุณนี้ ก็คุณบอกเองว่าไม่รู้เรื่อง”
เป็นไทลำบากใจ
“คุณคิดว่าทำแบบนี้แล้ว ถ้ายูกิรู้เขาจะดีใงงั้นเหรอ”
“ถ้าเขารู้ว่าผมทำทุกอย่างได้เพื่อความรัก ผมว่าเขาเข้าใจ คุณรอฟังข่าวก็แล้วกัน”
ไคคุงจ้องเป็นไทด้วยแววตาร้าย องอาจเดินเข้ามาในห้องพอดี
“ขอโทษด้วยครับ ผมไม่ทราบจริงๆว่ามีแขก”
ไคคุงพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ
“ไม่เป็นไรครับ ตามสบายเลย ผมกำลังจะกลับแล้วเหมือนกัน”
เป็นไทหันไปแนะนำกับองอาจ
“เอ่อ องอาจ นี่คุณไคคุง แฟนของยูกิจัง”
ไคคุงรี่เข้าไปจับมือองอาจด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรทันที องอาจก็จับมือและยิ้มทักทายกลับด้วยความเป็นมิตรเช่นกัน
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
“ผมองอาจครับ เป็นมือขวาของคุณไท”
“โอ้ว มือขวาเลยเหรอ ถ้าไม่มีคุณ คุณไทคงเหมือนคนพิการเลยสินะ”
“แน่นอนครับ”
องอาจยิ้มภูมิใจ ไคคุงมององอาจอย่างมีแผนร้ายบางอย่าง เป็นไทไม่ค่อยสบายใจนัก
นับดาวเพิ่งฟังคำบอกเล่าของวราพรรณเสร็จ ก็ถอนใจเฮือก
“นี่ที่บอกว่ามีธุระ ก็เพราะเรื่องให้ฉันไปปลอมตัวเป็นยูกิอีกแล้วเหรอ ฉันบอกเธอไปแล้วไม่ใช่เหรอนุ้ยว่าฉันไม่เอา”
“แม้ว่าจะเป็นทางเดียวที่จะทำให้แกดัง แกก็ยืนยันจะปฏิเสธงั้นเหรอ”
นับดาวหน้านิ่ง
“ฉันมีเหตุผลของฉัน ซึ่งแกไม่รู้”
รจนายิ้มกว้าง
“ไอ้นุ้ยมันไม่รู้ แต่ย่ารู้ ย่าเลยมีแพ็คเก็จใหม่มานำเสนอ”
วราพรรณค้อน
“ฉวยโอกาสอีกแล้วนะย่า”
“ฉวยโอกาสอะไร โอกาสของเธอน่ะหมดแล้วต่างหากเด็กน้อย”
นับดาวงง
“หมายความว่าไงน่ะย่า”
รจนาเอาชาร์ตที่ติดไว้บนฟิวเจอร์บอร์ด ยกขึ้นมาพรีเซนต์ สองสาวงงว่ารจนากำลังทำอะไร มองรูปนับดาวตอนเด็กที่ถูกแปะอยู่กับวงสุนทรีย์ภรณ์
“เสียงบทเพลงอันสุนทรีย์ที่หาเลี้ยงเราสองคนย่าหลานให้มาถึงปัจจุบัน บทเพลงอันไพเราะจริงใจ ที่ขับขานมาให้เราเป็นเราได้ทุกวันนี้ แต่เหมือนมันยอมตายเพื่อเรา ยิ่งเราเริ่มที่จะเดินไปไกลเท่าไหร่ วงสุนทรีย์ภรณ์ก็เหมือนถูกทิ้งไปเบื้องหลังก็เท่านั้น”
“อ้อมจัง เข้าเรื่องเลยได้มั้ย”
รจนาเข้าเรื่องตามสั่งทันที
“โอกาสเดียวที่จะทำให้สุนทรีย์ภรณ์กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ก็คือ...”
วราพรรณเสริมทันที
“การที่ให้แกปลอมตัวเป็นยูกินั่นเอง”
นับดาวตะลึง
“ห๊ะ...นี่ย่าก็เอากับเค้าด้วยเหรอเนี่ย”
วราพรรณเบ้ปาก
“ตัวดีเลยละนั่น”
“ทำไมเนี่ย ทุกคนทำไมเห็นดีเห็นงามไปกับเรื่องโกหกนี้กันนัก ทำไมไม่คิดถึงใจกันบ้าง ตาสังวรณ์นั่นมันมีดีอะไร ทุกคนถึงพยายามจะช่วยมัน”
“โอกาสไง” วราพรรณกับรจนาประสานเสียง
อ่านต่อตอนที่ 9