xs
xsm
sm
md
lg

ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 4

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ลูกผู้ชายไม้ตะพด  ตอนที่ 4

ไกรกับไม้ออกมาประชันฝีมือกันที่สนามหน้าบ้าน ไกรยืนนิ่งส่วนไม้มีท่าทางเอาจริงจะต่อยไกรให้ได้ ทั้งคู่เริ่มสู้กันไม่ว่าไม้จะต่อยไปกี่หมัด ไกรก็รับและหลบหมัดไม้ได้หมด

“ฝีมือมวยใช้ได้เลยนี่”
“แต่ถ้าได้ท่ากรงเล็บพยัคฆ์ของลูกผู้ชายมาเสริม ผมจะไม่แพ้ใครอีก”
ไม้ตั้งหน้าตั้งตาเอาชนะให้ได้
“ชนะแล้วได้อะไร”
“ภูมิใจ...”
“มีเรื่องให้ภูมิใจตั้งมากมาย ทำไมต้องไปต่อยตี”
“คุณไกรไม่เคยถูกรังแกมาทั้งชีวิต ไม่รู้หรอกว่าคนที่ขี้แพ้เป็นฝ่ายโดนเหยียบอย่างเดียวเป็นยังไง”
“ก็เลยอยากเหยียบคนอื่นบ้าง”
“มันไม่ใช่ว่าเราได้เหยียบใครหรอก ความภูมิใจมันเกิดจากเราปกป้องตัวเองแล้วก็ปกป้องคนที่เรารักได้ พ่อผมน่ะขาเสียไปข้างนึงเพราะโดนกระทืบนี่แหละ”
“ไม่อยากให้พ่อเสียขาไปอีกข้าง หรือไม่อยากให้ตัวเองเสียขาไปอีกคน”
“ทั้งสองอย่าง”
ไม้เอาจริงเอาจังกับการประชันฝีมือรุกและรับกับไกรมาก แต่ไกรก็ยังรับหมัดไม้ได้ทุกหมัดหลบได้ตลอด
ส่วนที่ท่ารถบขส.จันทร์แอบหลับกลางวันอยู่ใกล้ๆ คันเกียร์ของรถคันของเมฆ จันทร์ทำจมูกฟุดฟิดดมไปทางคันเกียร์แล้วละเมอ
“หอม หอมเหลือเกิน กลิ่นไม้อะไรเนี่ย”
เมฆขึ้นมาเห็นจึงตบกบาลจันทร์ จันทร์ตื่น
“เจ๊กีจ้างมานอนรึไง”
“พ่อไม้...ก็รถมันไม่มีคันไหนเสีย”
เมฆตบกบาลจันทร์อีกที
“ก็ไปไล่เช็คสภาพรถสิ ไม่งั้นจะรู้มั้ยว่ามันเสียรึเปล่า”
“โห...”
“แล้วละเมออะไรหอม หอม ผู้หญิงรึไง”
“เปล่าหรอก พ่อไม้รู้รึเปล่าว่ามีไม้ชนิดไหนที่มีกลิ่นหอมบ้าง”
“ถามไปทำไม”
“ไม่รู้ละสิ”
“จะเอาหอมแบบไหนล่ะ มันมีต้นกฤษณา มีต้นจันทน์”
“หอมแบบ...” จันทร์ทำจมูกฟุดฟิดแล้วดมไปทางคันเกียร์ “กลิ่นคล้ายๆ จะมีอยู่จางๆ แถวนี้”
เมฆรีบกันให้จันทร์ไปไกลจากคันเกียร์
“พอเลยๆ ไปทำงานได้แล้ว ชั้นจะออกวิ่งแล้ว”
“สงสัยจมูกเราจะเพี้ยนไปเอง ยังไงก็ขอบคุณสำหรับชื่อต้นไม้นะครับ”
จันทร์เดินลงจากรถไป เมฆถอนหายใจโล่งออก
ส่วนที่ตลาดแพรวากำลังจะขึ้นรถ อบเชยก็เดินมาชนแพรวาจนเซไป
“อุ๊ย ขอโทษ ไม่เห็น”
“ไม่เป็นไรค่ะ อ้าว…เพื่อนไม้นี่”
“ทำไมเธอต้องมายืนขวางทางด้วย”
“อ้าวเหรอ ขอโทษนะ เราไม่รู้”
อบเชยผิดหวังที่แพรวาไม่ด่าตน
“ขอโทษง่ายๆ แบบนี้น่ะเหรอ”
“เธอทำอะไรผิด”
“ก็เธอว่าเรายืนขวางทางไม่ใช่เหรอ”
“แล้วก็ยอมรับด้วย อะไรวะ”
“แล้วจะให้เราทำยังไง”
“ไม่โวยวาย ไม่ตบตีชั้นเหรอ ตบสิ ตบ ชั้นตั้งใจมากวนประสาทเธอเองล่ะ” แพรวางง
“เธอเป็นอะไรรึเปล่า”
“แน่ะ ยังจะมาห่วงอีก เธอนี่บ้ารึเปล่าเนี่ย มีคนเคยทักมั้ยว่าเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย” แพรวาส่ายหน้า “ทำไมเป็นแบบนี้นะ ชั้นไม่ยอมแพ้เธอหรอกแอ๊บเก่งดีนักใช่มั้ย”
อบเชยไม่พอใจเดินไปขึ้นรถแพรวานั่งข้างคนขับหน้าตาเฉย แพรวางงๆ ขึ้นรถตามไป
แพรวาขึ้นมานั่งบนรถ งงกับพฤติกรรมอบเชย อบเชยกอดอกนั่งนิ่ง ท่าทางกวนประสาท
“จะไปไหน”
“เฮ้ย...ไล่สิ เธอต้องไล่ชั้นลงแล้ว จุดนี้น่ะ”
“ไม่เป็นไร เราไปส่งได้”
“อย่ามาทำมีน้ำใจหน่อยเลย เสแสร้งละสิ”
“ตามใจนะ บอกทางมาแล้วกัน”
“แน่ะ?”
อบเชยพยายามยั่วโมโหแพรวาสุดๆ
ที่สนามหน้าบ้านเจ๊กี เวลาผ่านไปนานแล้วแต่ไม้ยังต่อยหน้าไกรไม่โดนซักหมัด ไม้เริ่มเดินสโลสเล ไม่มีแรงต่อยแล้ว
“คุณไกร นั่นใครมาน่ะ”
ไกรหันตามแต่ก็รับหมัดไม้ได้อีก
“อย่ามาใช้ไม้ตื้นๆ น่า” เสียงนาฬิกาจับเวลาหมด“หมดเวลา ตั้งแต่พรุ่งนี้เธอมาเรียนโยคะกับชั้น” ไม้ทำหน้าเซ็ง “เอาแบบนี้มั้ย ถ้าเธอมาเรียนชั้นจะจ่ายเธอเป็นคำตอบในทุกเรื่องที่เธออยากรู้ ดูมีแรงจูงใจในการเรียนเพิ่มอีก”
“ทุกเรื่องเลยเหรอ”
ไกรยิ้มรับ
ขณะนั้นที่หน้าบ้านเจ๊กี ผู้ช่วยเต็กกงกำลังแอบดูไกรอยู่
“ไอ้เด็กอีกคนนั่นใคร เมื่อไหร่จะไปซะที”
ผู้ช่วยเต็กกงแอบดูการเคลื่อนไหวของทั้งคู่บนสนามหญ้า
อีกด้านหนึ่งระหว่างนั้นแพรวาขับรถวนไปมา โดยมีอบเชยบอกทาง
“ตกลงมันทางไหนกันแน่ นี่เราผ่านแยกนี้สามครั้งแล้วนะ”
“อ้าวเหรอ”
“เธอจำทางกลับบ้านตัวเองไม่ได้เหรอ”
“ชั้นป่วนเธอก็ไล่ชั้นลงสิ”
“งั้นชั้นรู้ละ” แพรวาขับรถไปอีกทาง
“นี่จะทำอะไรน่ะ จะหามุมสงบ ทำร้ายร่างกายชั้นใช่มั้ยดีเลย ชั้นจะได้มีหลักฐานว่าเธอทำ”
แพรวาไม่ตอบแต่ขับรถไปเงียบๆ
ขณะนั้นสมุนเต็กกงยืนถือรูปแพรวารออยู่ที่หน้าบ้านพันเทพ
“เต็กกงให้รูปมาผิดรึเปล่าจะมาแน่รึ ไม่เห็นจะมีคนหน้าตาแบบนี้กลับมาบ้านเลย”
แพรวาขับรถมาจอดหน้าบ้านตัวเอง
“ระหว่างที่เธอไม่รู้ว่าจะไปไหน ชั้นว่ามานั่งเล่นบ้านชั้นก่อนดีกว่า”
อบเชยมองบ้านพันเทพอย่างแปลกใจ
“นี่พามาถึงถิ่น กะไม่ปล่อยชั้นรอดกลับไปเลยใช่มั้ย แกมันร้ายมาก”
“นี่พูดเรื่องอะไรเนี่ย”
“ในที่สุดก็เผยธาตุแท้”
“ธาตุแท้อะไร”
“แน่จริงมาสู้กันตัวต่อตัวสิ อย่าเอาสมุนมารุม”
อบเชยร้อนรนขึ้นมาเมื่อเห็นรั้วบ้านพันเทพ
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่หน้าบ้านเจ๊กี ผู้ช่วยเต็กกงมองรูปไกรในมืออีกครั้งผ่านรั้ว เห็นไม้กับไกรยังอยู่ที่สนาม
“เอาวะ ไม่รอแล้ว”
ผู้ช่วยเต็กกงเดินไปกดกริ่ง ไม้วิ่งมาดูตามคำสั่งไกร
“สวัสดีครับ”
“เป็นใครน่ะเรา”
“ผมเป็นผู้ช่วยของคุณไกรครับ”
“ชั้นให้เวลาสิบนาที ออกไปจากบ้านไป”
“อะไรกันครับเนี่ย มีอะไร คุณเป็นใครน่ะ นัดไว้รึเปล่า”
“ชั้นก็ไม่อยากทำร้ายคนให้มากเกินคำสั่งหรอกนะ”
“เพี้ยนรึเปล่า”
ไกรเห็นสองคนคุยกันไม่ยอมจบซักทีเลยเดินมาดู
“มีอะไรให้ช่วยรึเปล่า”
“คุณคือไกร ลูกชายเจ๊กีรึเปล่าคือผมเป็นเพื่อนเจ๊กี”
“แม่ไม่อยู่บ้านหรอกครับ ต้องไปที่ทำงาน”
“ดีเลย”
ผู้ช่วยเต็กกงเอาปืนยาสลบมายิงเข้าที่หน้าขาของไกร แล้วอีกลูกยิงมาที่ไม้
“อะไรเนี่ย”
ยังไม่ทันได้พูดอะไรไกรก็ล้มลง
“คุณไกร”
ไม้ล้มลงตาม
“โทษทีวะไอ้น้องที่ต้องมาซวย ชั้นให้มีพยานรู้เห็นไม่ได้จริงๆ...เอาทั้งสองคนขึ้นรถ”
ผู้ช่วยเต็กกงหันไปสั่งสมุน สมุนเปิดประตูบ้านไปขนไม้กับไกรที่สลบออกมา
ส่วนที่หน้าบ้านพันเทพ อบเชยลงมาจากรถ แพรวาลงตามมา
“แน่จริงมาสู้กันตัวต่อตัว โดยไม่ต้องพึ่งคนของพ่อเธอชั้นว่าเธอสู้ชั้นไม่ได้หรอก”
“นี่ไปกันใหญ่แล้ว”
สมุนเต็กกงเดินเข้ามาขัดจังหวะสองคน คนหนึ่งประกบอบเชย อีกคนประกบแพรวา
“เอ่อ ขอโทษนะครับ พวกคุณคือลูกสาวพันเทพรึเปล่า”
อบเชยชี้มือไปที่แพรวา
“คนโน้น แต่ถ้ามีเรื่องอะไรจะเคลียร์ต้องต่อคิวนะ ชั้นกับนางนี่ขอจบรายการก่อน”
“แต่ชั้นรีบ โทษทีนะ”
สมุนทั้ง 2 โป๊ะยาสลบทั้งแพรวาและอบเชยพร้อมๆ กัน ทั้งคู่ดิ้นได้ซักพักก็สิ้นฤทธิ์ สมุนเต็กกงอุ้มขึ้นรถตู้
ไม้ ไกร อบเชย แพรวาถูกพามาที่โกดังร้างทั้งสี่คนยังนอนสลบอยู่กับพ้น เต็กกงตบหัวผู้ช่วยและสมุนอย่างแรง ทั้งหมดก้มหน้ารับผิด
“บอกให้พามา 2 ดันพามา 4 อีก 2 คนนี่ลูกใครก็ไม่รู้ พวกเอ็งนี่มันสมองเต่าจริงๆ”
“พวกมันอยู่ด้วยกันครับ ไม่รู้จะแยกยังไง”
“กลัวชั้นไม่มีเรื่องให้รับผิดชอบใช่มั้ยเนี่ย”
ผู้ช่วยกับสมุนก้มหน้ารับผิด
“เอาไงต่อดีครับ”
“เอาลูกพันเทพกับลูกเจ๊กีแยกกันไว้ ส่วนอีกสองคน เอาไปไว้อีกห้องนึง”
“ครับนาย”
เต็กกงยืนไม่พอใจในผลงานลูกน้องนัก
“เอ๊าไม่ได้ยินรึไง ขนไปสิ”
ผู้ช่วยเต็กกงบอก สมุนเข้ามานำไม้กับอบเชยแยกไปขังอีกห้อง
ไม้กับอบเชยถูกมัดมือไพล่หลัง มัดเท้าทั้งคู่ด้วยกัน ผู้ช่วยเต็กกงยืนดูและออกคำสั่ง
“เดี๋ยวจับตาคอยดูพวกมันไว้นะ”
สมุนพยักหน้ารับทราบ
ส่วนอีกห้องไกรกับแพรวาถูกมัดมือมัดเท้าเหมือนกัน ทั้งคู่ยังไม่ได้สติ ผู้ช่วยเต็กกงยืนออกคำสั่งอีก
“อีคู่นี้เฝ้าไว้ให้ดีเลย ตัวสำคัญเลย”
สมุนพยักหน้ารับ
ที่บ้านพันเทพขณะนั้นพันเทพออกมายืนดูรถแพรวาที่จอดทิ้งไว้ ประตูทั้งสองข้างเปิด พันเทพมองอย่างกังวล
“มันต้องมีใครลักพาแพรวาไปแน่ๆ” พันเทพเดินไปตบสมุนเรียงตัว “ชั้นบอกแล้วใช่มั้ยว่าถ้าลูกชั้นไปไหนให้คอยประกบนี่ปล่อยให้แพรวาออกไปคนเดียวได้ไง”
“คุณแพรวาบอกออกไปแป๊บเดียวครับ”
“โง่...เดี๋ยวก็ปลดออกหมดนี่หรอก ฮึ่ย...ใครทำกันวะ”
ทางด้านเจ๊กี ขณะนั้นเธอยืนกังวลใจอยู่ในบ้าน เมฆมาถึงเจ๊กีรีบถาม
“ตกลงลูกลื้อกลับบ้านรึยัง”
“ยังครับ”
“อาไกรก็เหมือนกัน ตอนอั๊วกลับมาถึงบ้านนะ ประตูรั้วเปิดไว้ด้วย”
“หรือว่าไอ้พันเทพ”
“อั๊วว่าไม่หรอก ไอ้พันเทพน่ะมันไม่ลอบกัด ถ้ามันจะเล่นงานเรามันก็ทำอย่างที่เห็นๆ กัน”
“แล้วเจ๊มีศัตรูที่ไหนอีกมั้ย”
“ไม่มีนะ”
“ไม่มีเลยเหรอ คนที่ล่าสุดเพิ่งเถียงหรือเพิ่งมีเรื่องกัน”
“ถ้าอย่างงั้น...มีเต็กกง”
“เต็กกงเหรอ”
ที่โกดังร้างขณะนั้นอบเชยเริ่มรู้สึกตัว อบเชยยังเบลอๆ หันไปเห็นไม้
“ไม้ ไม้”
ไม้ค่อยๆ รู้สึกตัว
“เรามาที่นี่ได้ยังไง”
ไม้ถามอบเชยอย่างแปลกใจ
“นั่นสิ พวกไหนกันน่ะ ไอ้พันเทพเหรอ”
“แล้วคุณไกรล่ะ ก่อนหน้าที่ชั้นอยู่กับคุณไกร”
“จะรู้มั้ยล่ะ ชั้นยังเอาตัวเองไม่รอดเลย”
อีกห้องไกรค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้น เห็นแพรวานอนอยู่ข้างๆ ไกรปลุก แพรวาเห็นหน้าไกรก็สะดุ้ง
“คุณเป็นใครน่ะ”
“นี่ ดูสภาพผมซะก่อน ผมก็โดนจับมาพร้อมๆ กับคุณนั่นแหละ”
“จับเรามาทำไม”
“อย่าเที่ยวตั้งคำถามได้มั้ย ผมก็งงพอๆ กับคุณ” แพรวาเงียบมองซ้ายมองขวา “เราต้องหาทางออกไปจากที่นี่”
ไกรบอกยังไม่ทันขาดคำ เต็กกงก็เดินเข้ามา
“เป็นไง ฟื้นแล้วหรอ”
“แกเป็นใคร ต้องการอะไรจากพวกเรา”
“ไม่ต้องตื่นเต้นหรอกน่า ชั้นไม่เอาพวกแกถึงตายหรอกน่าแค่ให้พ่อกับแม่แกรู้ว่าจะต้องปฏิบัติตัวกับชั้นแบบไหน”
“ผมว่าปล่อยผู้หญิงไปเถอะ”
ไกรบอก แพรวามองไกรอย่างประทับใจ เต็กกงหัวเราะ
“อยากรู้จริงๆ คำพูดนี้ถ้าแม่แกมาได้ยินจะรู้สึกยังไงเพราะคนที่แกบอกให้ปล่อยนะคือลูกสาวไอ้พันเทพศัตรูของแม่แกไง” ไกรหันไปมองแพรวาอย่างคิดไม่ถึง “เป็นไง ทีนี้ยังจะบอกให้ปล่อยตัวมันอีกมั้ยล่ะ”
ไกรเริ่มอึกอัก
อีกห้องที่ขังไม้กับอบเชยขณะนั้นทั้งคู่เริ่มมองหาทางหนีทีไล่
“นี่ จับเรามาขังแบบนี้ทำไม เราไปทำอะไรให้”
อบเชยถามแต่สมุนเต็กกงนิ่งไม่ตอบ
“ไม่พูดไม่จาเลยนะ ท่าจะต่อรองยาก” ไม้บอกกับอบเชย
“เดี๋ยวดูชั้น” อบเชยทำท่ากระสับกระส่าย “นี่ ชั้นปวดฉี่จะราดอยู่แล้วพาชั้นไปฉี่หน่อยได้มั้ย”
สมุนเต็กกงเริ่มอึกอักมองหน้ากัน
“ก็ฉี่ไปตรงนั้นแหละ”
“นี่ลูกพี่ ไม่เห็นใจลูกผู้หญิงบ้างเลยเหรอจะให้ชั้นฉี่ต่อหน้าผู้ชายตรงนี้ได้ยังไง” สมุนเต็กกงเริ่มมองหน้ากันลังเล “นี่ พี่ไม่ต้องกลัวชั้นจะแอบหนีหรอกน่าผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างชั้นจะไปสู้อะไรพี่สองคนได้ นี่ชั้นแทบจะกลั้นไม่ไหวแล้วเนี่ยเร็วสิพี่”
“เออ ก็ได้ แค่ครั้งเดียวนะ ส่วนไอ้ผู้ชายน่ะ ถ้าปวดก็ราดมันตรงนี้แหละ”
อบเชยหันมายิ้มให้ไม้ สมุนเต็กกงเดินมาแกะเชือกให้อบเชยหลุดจากเสา แล้วเดินประกบอบเชยไปสองคน
“พี่สองคนใจดีจังเลย ชั้นจะไม่ลืมพระคุณเลยนะ”
อบเชยบอกแล้วใช้ฝีมือมวย ซัดสองคนนั้นซะหมอบ ไม้มองยิ้มๆ อบเชยวิ่งมาแก้มัดให้ไม้
“เธอนี่เก่งจริงๆ”
“เรื่องง่ายๆ แค่นี้ นี่ถ้าไม้ไม่มีชั้นจะเป็นยังไงเนี่ย”
“ไม่ต้องมาทวงบุญคุณหรอกน่า”
“รีบหนีกันเถอะ”
“เดี๋ยวก่อน แล้วคุณไกรล่ะ คุณไกรอาจจะโดนจับมาด้วยก็ได้”
ห้องที่ขังไกรกับแพรวา เต็กกงมองไกรและแพรวา
“คุณจะทำอะไรกันแน่”
แพรวาถาม เต็กกงเดินเข้ามาใกล้แพรวาเริ่มลูบคลำใบหน้าเธอ
“ลูกสาวไอ้พันเทพนี่มันสวยหมดจดจริงๆ แบบนี้มันน่า...”
“นี่พูดดีๆ นะ แค่ใช้วาจาทำร้ายผู้หญิงก็ไม่ใช่ลูกผู้ชายแล้ว” ไกรบอก
“แส่ไม่เข้าเรื่อง สงสัยต้องเริ่มเล่นงานจากลูกชายอีเจ๊กีก่อนซะดีมั้ง... เฮ้ย ลงมือ ให้แม่มันรู้ว่าชั้นไม่ใช่คนที่จะมามองข้ามหัวกันไปได้”
เต็กกงสั่งสมุน สมุนเข้ามารุมอัดไกรที่ถูกมัดอยู่ แพรวามองไกรอย่างเวทนา ขณะที่เต็กกงมองแพรวาด้วยแววตาหื่นๆ
“คราวนี้ไม่มีใครมาขัดแล้ว”
“อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ”
ไม้กับอบเชยแอบเข้ามาตามเสียงจึงเห็นไกรกับแพรวา
“คุณแพรวา คุณไกร”
ไม้กับอบเชยแอบอยู่ในที่ซ่อน ไม้มองแพรวาด้วยสายตาเป็นห่วง อบเชยมองไม้อย่างหมั่นไส้ที่ไม้ห่วงแพรวา ฝั่งแพรวาก็กำลังจะโดนเต็กกงลวนลาม
“อย่าทำแบบนี้เลย อยากได้อะไรจากพ่อ ชั้นจะลองไปคุยให้”
“สวยๆ แบบนี้ มันก็ต้องฝากรอยรักกันหน่อย”
ไม้ทนดูไม่ได้ออกจากที่ซ่อนทันที
“แกอย่ามาทำแบบนี้นะไอ้เต็กกง ไอ้แก่จอมหื่น”
อบเชยที่แอบอยู่ห้ามไม้ไม่ทัน
“เฮ้ย...จะทำอะไรไม่ปรึกษาเลย”
“ไม้” แพรวาดีใจที่เห็นไม้
“เฮ้ย ใครปล่อยไอ้นี่มาวะเนี่ย”
สมุนผละจากซ้อมไกร กรูตรงไปหาไม้
“แน่จริงก็มาสู้กันซึ่งๆ หน้าซิวะ เล่นโปะยาสลบแล้วลักพาตัวมาแบบนี้ ลอบกัดชัดๆ”
“เฮ้ย สั่งสอนไอ้เด็กนี่หน่อยดิวะ จะได้รู้ว่ามันเล่นอยู่กับใคร” สมุนหลายคนเข้ารุมเล่นงานไม้ “ปากดีนัก บรรยากาศจะได้เงียบลงบ้าง”
อีกด้านหนึ่งที่บ้านเจ๊กีขณะนั้นเมฆกับเจ๊กีกำลังจะขึ้นรถ ศรนารายณ์วิ่งมาพอดี
“ว่าไงพี่ศร”
“รู้มาจากที่ท่ารถว่าไม้แล้วก็ลูกเจ๊กีหายไปเหรอ”
“ใช่ เรากำลังจะไปดูที่บ้านเต็กกง”
“อบเชยก็หายไปเหมือนกัน”
ศรนารายณ์บอกแล้วขึ้นไปนั่งรอบนรถ เมฆกับเจ๊กีมองหน้ากันแต่เมฆก็ยังไม่ทันได้เอารถออก เพราะพันเทพกับสมุนมาขวางไว้อีก
“นี่มันอะไรกันนักหนาวะเนี่ย” เจ๊กีถามพันเทพ
“พวกแกเอาลูกสาวชั้นไปซ่อนไว้ไหน”
“นี่อาพันเทพ ตั้งแต่ลื้อกับอั๊วเป็นศัตรูกันมา ตั้งแต่ลื้อมาทำกิจการรถตู้เถื่อน วิ่งบนเส้นทางเดียวกับสัมปทานบขส.ของอั๊ว มีซักครั้งมั้ยที่อั๊วเล่นงานลื๊อกลับ มีแต่ลื้อที่เอาแต่หาเรื่องอั๊ว แล้วคิดเหรอว่าครั้งนี้อั๊วจะเป็นคนเอาลูกสาวลื้อไปน่ะ”
พันเทพคิดคล้อยตาม
“อย่ามาขวางทางเราเลยดีกว่า พวกเราทุกคน ลูกต่างก็หายไปเหมือนกัน เรากำลังจะไปตามหา อย่าให้เราเสียเวลาเลย”
“ลูกพวกแกก็หายไปงั้นเหรอ”
ศรนารายณ์ชะโงกหน้าออกจากในรถ
“ยังจะมาถามถึงลูกคนอื่นทำไมอีก หลีกทางไปเถอะ”
“แล้วพวกแกจะไปตามที่ไหน”
“บ้านเต็กกง”
“เต็กกง”
ส่วนที่โกดังร้างหลังจากไม้ทำเป็นเก่งสุดท้ายก็ลงไปนอนโอดโอยอยู่ในกองไม้ สมุนเต็กกงคนหนึ่งจะเดินไปกระทืบซ้ำอบเชยที่แอบดูอยู่ทนดูไม่ได้ รีบกระโดดออกมาช่วยไม้ โดยถีบคนที่จะกระทืบไม้กระเด็นไป
“ชั้นไม่ให้แกทำไม้ของชั้นไปมากกว่านี้อีกแล้ว”
อบเชยออกมาต่อสู้กับพวกสมุนทั้งหลายของเต็กกง ฝีมืออบเชยดีกว่าไม้
“ผู้หญิงคนเดียว ถ้าแกสู้ไม่ได้ ชั้นจะไล่พวกแกออกทั้งหมดเลย”
เต็กกงบอก ขณะที่อบเชยสู้อย่างไม่ลดละและดูท่าทางได้เปรียบเหล่าสมุนทั้งหมดของเต็กกงด้วย
ไกรมองดูอบเชยสู้ แล้วารู้สึกประทับใจ
ศรนารายณ์ เจ๊กี เมฆ มาที่บ้านเต็กกง ทั้งหมดยืนอยู่หน้าบ้านเต็กกง
“บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ กว่าจะหาเจอ”
“มีสมุนคอยเฝ้าด้วย เราจะเข้าไปได้ยังไง”
“เรื่องนี้ปล่อยให้ศรนารายณ์เค้าจัดการเถอะครับ”
ศรนารายณ์พยักหน้ารับอย่างมั่นใจ
ทั้งหมดแอบเข้าไปในบ้านเต็กกง เจอสมุนเต็กกงวิ่งเข้ามา ศรนารายณ์เป็นคนขจัดสมุน สมุนคนอื่นได้ยินเสียงการต่อสู้จึงกรูกันเข้ามาเล่นงานศรนารายณ์ ขณะที่เมฆกับเจ๊กีแอบเข้าไปในมุมมืด
เมฆกับเจ๊กีเดินหลุดเข้ามาอีกส่วนหนึ่งของบ้าน
“ผมว่าเราแยกย้ายกันหาเถอะครับ”
“ก็ดีเหมือนกัน”
เจ๊กีกับเมฆ แยกกันไปคนละทาง

ขณะนั้นที่โกดังร้างอบเชยต่อสู้กับสมุนเต็กกงจนหอบแฮ่ก แต่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ สมุนเต็กกงต่างก็หอบแฮ่กเหมือนกัน
“อบเชย ไม่ต้องสู้เพื่อช่วยพวกเราแล้ว” ไกรบอก
“ถ้าชั้นไม่สู้แล้วใครจะสู้”
อบเชยบอกพร้อมกับลูกผู้ชายปรากฏตัวออกมา
“ให้ชั้นจัดการเอง”
“ลูกผู้ชาย”
“มายังไงวะเนี่ย” ลูกผู้ชายเข้าต่อสู้กับเหล่าสมุนเต็กกงที่ระโหยโรยแรงแล้ว เพียงไม่นานก็ชนะ “ชั้นไม่กลัวแกหรอก ไอ้ลูกผู้ชาย”
เต็กกงคว้าปืนล่าสัตว์ออกมาจะยิงลูกผู้ชาย ทุกคนตกใจ แต่พอลั่นไกลูกผู้ชายก็ควงไม้ตะพดกลายเป็นเกราะใสสามารถสะท้อนลูกกระสุนออกไปได้
“นี่มันอะไรกันเนี่ย”
ขณะนั้นพันเทพพาสมุนบุกมาบ้านเต็กกง พอมาถึงทั้งหมดก็บุกเข้าไปในบ้านโดยไม่รอช้า พันเทพเดินหาทั่วบ้าน ไม่เจอแพรวาแต่อย่างใด
“นี่ก็หาทั่วบ้านแล้ว”
สมุนเดินไปหลังบ้านมีประตูเล็กออกไป
“เจ้านายครับ ทางนี้มีทางออกไปด้านนอกด้วยครับ”
พันเทพเดินออกไปตามทางนั้น แล้วก็เห็นโกดังใหญ่มีแสงไฟที่ปลายทาง
“ต้องเป็นที่นั่นแน่ๆ”
ที่โกดังร้างขณะนั้นเต็กกงไม่รู้จะทำยังไง เมื่อเล่นงานลูกผู้ชายไม่ได้จึงจับตัวแพรวาแล้วเอาปืนจ่อ
“เอาซิ ชั้นทำแกไม่ได้ ชั้นทำอีนี่ก็ได้”
“อย่านะ อย่าทำร้ายผู้หญิงเลย ถ้าจะทำก็มาทำผู้ชายด้วยกันเถอะ”
ไม้บอก อบเชยมองไม้อย่างเจ็บใจที่ไม้ออกตัวปกป้องแพรวา
“อย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่เลย”
“ชั้นไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น”
ระหว่างที่เต็กกงเอาปืนจ่อแพรวา พันเทพได้เดินเข้ามาด้านหลังและเอาปืนจ่อหัวเต็กกงอีกที
“แกปัญญาอ่อนรึเปล่า ที่คิดจะเล่นแง่กับชั้น”
พันเทพขึ้นนกปืนโดยไม่กลัวใคร เต็กกงรีบเอาปืนออกจากแพรวาทันที เต็กกงทิ้งปืนยกมือยอมแพ้
“ชั้นยอมแล้ว”
“แกก็รู้ว่าชั้นเป็นใคร”
“พ่อ อย่าเลยค่ะ หนูขอร้อง” แพรวาบอก
“ชั้นกำลังจะลงเลือกตั้ง ไม่อยากให้มือเปื้อนเลือด” พันเทพบอก
“ปล่อยอั๊วะไป แล้ว...แล้วอั๊วจะเป็นหัวคะแนนให้ลื้อ ดีมั้ย”
“จำคำพูดเอาไว้นะ” พันเทพยอมปล่อยเต็กกง เต็กกงรีบออกไป “เป็นไปได้ยังไงเนี่ย วันนี้ลูกผู้ชายเป็นคนมาอยู่ข้างชั้นเรอะ หึ หึ” พันเทพหันมาทางลูกผู้ชาย
“ชั้นอยู่ข้างความถูกต้องต่างหาก”
“แก้มัดให้ลูกชั้นสิ ยืนทื่อทำไม”
พันเทพหันไปบอกสมุน ไม้วิ่งเข้าไปแก้มัดให้แพรวา พันเทพงงที่ไม้ทำแบบนั้น สมุนพันเทพจะเดินไปแก้เชือกให้ไกร พันเทพตบกบาล
“แกจะไปแก้ให้มันทำไม มันเป็นลูกชั้นรึไง”
“ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย” ไม้ถามแพรวาอย่างเป็นห่วง
“ขอบใจนะ” แพรวาบอกแล้วเหลือบตามองไกรอย่างห่วงๆ
พันเทพมองไม้ที่มาแก้เชือกให้แพรวา ไม่อยากพูดมาก
“กลับได้แล้วแพรวา”
พันเทพพาแพรวาออกไป ไม้ยืนมองแพรวาห่วงๆ อบเชยเดินมาแก้มัดให้ไกรแล้วแอบมองไม้อย่างน้อยใจ ไกรสังเกตเห็น
“แก้มัดให้ชั้นก็มองที่ชั้นนี่” ไกรบอก อบเชยจึงก้มหน้าก้มตาแก้มัดให้ไกรจนเสร็จ “ขอบคุณที่ยอมเจ็บตัวเพื่อผม”
“ชั้นไม่ได้เจ็บตัวเพื่อคุณหรอก ไม่ต้องขอบคุณ”
ไม้หันมามองหาลูกผู้ชาย แต่ลูกผู้ชายหายไปแล้ว
ลูกผู้ชายกำลังจะรีบออกไปแต่พันเทพมาดักไว้
“จะรีบไปไหนล่ะลูกผู้ชาย”
“แกต้องการอะไร”
“เปิดโปงความลับของแกดี หรือเอาของที่แกรักมาดีนะ”
“แกนี่มัน...ไม่รู้จักคำว่าบุญคุณจริงๆ”
พันเทพเข้าบุกหาลูกผู้ชาย ทั้งคู่สู้กันอย่างมีชั้นเชิง ไม้ก็ทะเล่อทะล่าเข้ามา
“นั่นแกจะทำอะไรลูกผู้ชายน่ะ”
ลูกผู้ชายห่วงไม้กลัวจะโดนลูกหลง จึงเสียสมาธิและพลาดท่าให้กับพันเทพ ไม้ตะพดกระเด็นหลุดมือไปลูกผู้ชายกระโดดทิ้งตัวเพื่อคว้าอาวุธให้ได้ก่อนที่พันเทพจะแย่งไป พันเทพก็ทิ้งตัวเพื่อจะเอาไม้ตะพด แต่เพราะพื้นที่ลาดทำให้ไม้ตำพกลิ้งห่างออกไป ทั้งคู่คลุกกับพื้นสู้กั ไม้ตะพดกลิ้งอยู่ที่เท้าไม้ ลูกผู้ชายถูกพันเทพจับล็อคคอไว้ได้ จะถอดหน้ากาก ไม้หยิบไม้ตะพดขึ้นมาเขารู้สึกได้ถึงพลังวิเศษของมัน
“เธออยากรู้มั้ยล่ะไม้ ว่าลูกผู้ชายเป็นใคร”
“อย่านะ”
พันเทพทำท่าจะเปิดหน้ากาก ไม้ยืนนิ่งใจก็อยากช่วยแต่ก็อยากรู้ด้วย แต่แล้วพันเทพก็ไม่เปิดผลักลูกผู้ชายออกไป ลูกผู้ชายรีบคว้าไม้ตะพดมาจากมือไม้ ตั้งท่าพร้อมสู้ พันเทพหัวเราะสะใจ
“ตกใจละสิ ล้อเล่นนิดหน่อยทำกลัวไปได้ ที่นี้เราก็หายกันละนะกับการที่แกช่วยลูกสาวชั้นไว้ ชั้นไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใคร”
พันเทพเดินหัวเราะจากไปอย่างมีความสุข ลูกผู้ชายมองไม้ต่างไม่พูดอะไรกัน ลูกผู้ชายหนีหายไปในความมืดขณะที่ไม้ยังยืนนิ่งด้วยความสับสน
พันเทพพาแพรวามาที่รถ แพรวามองเข้าไปด้านในแอบห่วงไกร
“ขึ้นรถสิลูก”
“พวกนั้นเค้าจะไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ”
“ไอ้เต็กกงมันไม่กล้ากลับมาทำอะไรตอนนี้หรอก”
“ขอให้มันเป็นแบบนั้น”
“โดนมันทำอะไรรึเปล่า”
“เปล่าหรอกค่ะ”
“ลูกรู้จักกับไม้ด้วยเหรอ”
“ไม้เคยมาช่วยตอนรถเสียน่ะค่ะ”

พันเทพพยักหน้ารับรู้ ในใจวางแผนอะไรบางอย่าง

อ่านต่อหน้า 2




ลูกผู้ชายไม้ตะพด  ตอนที่ 4 (ต่อ)

หลังจากพันเทพไปแล้ว ศรนารายณ์เดินงงๆ เข้ามาในโกดัง

“พ่อมาแล้ว เป็นไงบ้าง”
ศรนารายณ์บอก อบเชยมองพ่อยิ้มๆ
“อาศรมาหลังจากลูกผู้ชายอีกแล้ว” ไม้บอก ศรนารายณ์ทำหน้าเหรอหรา งงๆ ก่อนจะพูดเฉไฉ
“แหม ของแบบนี้มันพูดยาก...พูดไม่ได้”
“กลับเถอะพ่อ”
“เดี๋ยวสิ แล้วเจ๊กีกับเมฆยังมาไม่ถึงอีกเหรอ หรือหาทางมาที่นี่ไม่ได้นะ”
เมฆพาเจ๊กีเดินเข้ามา เจ๊กีวิ่งโร่ไปหาไกร
“ตายแล้วลื้อทำไมสภาพเป็นแบบนี้”
“ไม่เป็นไรหรอกม้า”
“เจอเจ๊กีแกหลงอยู่ระหว่างทาง พอแยกกันแกก็หาทางมาที่นี่ไม่ได้”
“ทำไมเราถึงไม่เจอนะ จะได้ฉวยโอกาสนี้ทำคะแนนซะเลย” ศรนารายณ์อยากเอาใจเจ๊กี จึงวิ่งไปหาไกร “ไกรเป็นไงบ้างลูก”
“แน่ใจนะว่าอาศรแกหายดีแล้วน่ะ” ไม้ถาม
“ไม้ เป็นไงบ้างลูก” เมฆถามไม้อย่างเป็นห่วง
“ยังไหวอยู่พ่อ”
“แล้วเป็นไรน่ะเรา ทำไมหน้าเง้าแบบนั้น” เมฆหันไปถามอบเชย
“หนูไปรอข้างนอกนะพ่อ”
อบเชยเดินออกไปโดยไม่มองหน้าใคร ไกรมองตามอย่างสนใจ
“ตามไปดูอบเชยหน่อยไป เดี๋ยวมีอันตรายอะไรอีก” เมฆบอกไม้
“อบเชยดูแลตัวเองได้น่ะพ่อ”
“คนดูแลตัวเองได้ คงไม่ถูกจับมาแบบนี้หรอก ไป”
ไม้ยอมตามอบเชยไป ไกรมองตาม
อบเชยเดินหน้าบูดออกมาแล้วเตะกระป๋องที่วางบนพื้นจนปลิว ไม้ตามมา
“เป็นอะไร”
“ตามมาทำไม”
“พ่อให้ตามมาดู”
อบเชยเข้าทุบไม้ด้วยความโมโห
“พ่อให้มาดูเหรอ เคยคิดเป็นห่วงชั้นแล้วตามมาดูเองบ้างมั้ย”
“ก็เธอดูแลตัวเองได้”
“แล้วคิดว่าชั้นไม่อยากให้คนมาดูแลบ้างรึไง เอาแต่ห่วงคนอื่นไม่เคยห่วงตัวเอง ทำตัวเป็นพระเอกขี่ม้าขาว แล้วเป็นไงก็ต้องเป็นชั้นที่ไปช่วยเธออีกที ดูแลตัวเองไม่ได้ก็ไม่ต้องทำเท่จะไปดูแลคนอื่น ชั้นไม่ได้อยากช่วยลูกไอ้พันเทพนั่นซักหน่อย”
“ใครให้เธอมาคอยช่วยชั้น ชั้นเคยขอร้องเธอรึไงเธอคิดว่าชั้นรู้สึกดีที่มีผู้หญิงมาปกป้องเหรอ ดี ต่อไปนี้ต่อให้ชั้นจะแพ้ จะตาย เธอก็ไม่ต้องมายุ่ง ชั้นไม่อยากได้ยินใครมาคอยทวงบุญคุณหรอก”
ไม้โกรธเดินจากไป
“เออ อยากทำอะไรก็ทำ อยากตายก็ตายไปเลย ชั้นจะไม่สนใจเลยคอยดู”
อบเชยเจ็บใจ โกรธตัวเอง จึงร้องไห้ฟูมฟายเหมือนเด็ก ไกรแอบดูมาตั้งแต่ต้น
ทางด้านแพรวาเมื่อกลับมาบ้าน แพรวาก็นั่งนึกถึงไกร โดยเฉพาะตอนที่ไกรพูดปกป้องเธอไม่ให้โดนลวนลามทั้งที่รู้ว่าเธอเป็นลูกของพันเทพ
“พ่อแม่เราไม่ถูกกันแท้ๆ แต่ก็ยังช่วยปกป้อง เขาเป็นคนยังไงกันนะ”
พันเทพเปิดประตูเข้ามาในห้องแพรวาพร้อมกับกาใส่ยาจีน
“นอนไม่หลับรึไง”
“เปล่าค่ะ แค่รู้สึกแปลกๆ ที่ผ่านเรื่องร้ายๆ มาได้”
“ลูกต้องมารับเคราะห์แทนพ่อจริงๆ”
“สุดท้ายพ่อก็ไปช่วยหนู”
“รู้มั้ยเวลาที่เราเจอเรื่องร้ายๆ มาน่ะ จะมีความเครียดสะสม”
“ค่ะ”
“พ่อเลยเอาสมุนไพรจีนมาให้ลูกดื่ม กลิ่นของมันช่วยผ่อนคลายได้”
“ไม่ได้กินสมุนไพรของพ่อมาตั้งหลายปีแล้ว ดีจังค่ะ” พันเทพยิ้ม “แพรวาขอให้พ่อสอนเกี่ยวกับตำราแพทย์จีนให้ตั้งแต่เด็กพ่อก็ไม่เห็นเคยสอนให้ซักที จนบัดนี้แพรวาก็ยังไม่รู้ต้นไหนเป็นสมุนไพรเลย”
“มันเชยไปแล้วล่ะลูก ตำราแพทย์จีนน่ะ ไปโรงพยาบาลง่ายกว่าเยอะ”
“ใครว่าล่ะ ตอนนี้คนเค้าก็นิยมไปฝังเข็มรักษาโรคกันนะคะ พ่อน่ะฝังเข็มเก่งจะตายแพรวาจำได้ตอนเด็กๆ กลัวเวลาที่พ่อฝังเข็มให้แต่ก็หายทุกที”
คืนเดียวกันนั้นที่บ้านเมฆ ไม้นั่งอยู่ที่โต๊ะมองการ์ดจากอบเชยที่วางตั้งไว้แล้วก็คว่ำมันลงไม่ให้เห็นรูปเขาที่ถ่ายคู่กับอบเชยบนการ์ด จากนั้นไม้หันไปมองผ้าพันคอที่แพรวาถักมาให้แทน
ส่วนอบเชยขณะนั้นเธอเดินเข้าบ้านมากับศรนารายณ์
“กินอะไรร้อนๆ มั้ย เดี๋ยวพ่อทำให้”
อบเชยส่ายหน้า
“นอนละ”
อบเชยทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างอ่อนล้าๆ จากนั้นน้ำตาก็ไหลออกมาเปียกหมอน
ที่บ้านพันเทพ แพรวาสูดกลิ่นสมุนไพรเข้าจมูกอย่างชื่นใจ เธอค่อยๆ จิบมันคนละแก้วกับพันเทพ
“พ่อ...คนที่ใครๆ เรียกว่าลูกผู้ชายคือใครกัน”
“ก็แค่คนทำตัวเป็นฮีโร่คนหนึ่ง ไม่มีอะไรมาก”
“แต่ดูเหมือนเค้าจะเก่งจริงๆ นะคะ หนูเห็นเค้าควงไม้สะท้อนลูกปืน ถ้าไม่เห็นกับตาหนูไม่มีทางเชื่อ”
“มีไม้ตะพดวิญญาณเป็นตัวช่วยก็แบบนี้”
“ไม้ตะพดอะไรนะคะพ่อ”
“จริงๆ แล้วไม้ตะพดมี 2 อัน อันหนึ่งเป็นอาวุธของลูกผู้ชาย ชื่อว่าไม้ตะพดวิญญาณ ส่วนไม้ตะพดอีกอันชื่อว่าไม้ตะพดเลือด ถ้าใครได้ไม้ตะพดทั้ง 2 ไปครอบครอง จะเกิดบางอย่าง”
“บางอย่างที่ว่าคืออะไรคะ”
“พ่อก็ยังไม่รู้ แต่พ่อเชื่อว่ามันต้องเป็นเรื่องไม่ธรรมดาแน่ๆ”
“มันอาจจะเป็นแค่เรื่องเล่าปากต่อปาก ที่ไม่มีหลักฐานก็ได้นะคะ”
“เชื่อเถอะ มันไม่ใช่เรื่องเล่าลือกันมาแน่ ว่าแต่เราเถอะรู้จักกับเด็กที่ชื่อไม้ด้วยเหรอ”
“คุยกันแค่ไม่กี่ครั้งเองค่ะ”
“หาโอกาสไปพบเจอ ไปพูดคุยกับเค้าให้มากลูก”
“ทำไมละคะ”
“หรือถ้าลูกอยากรู้เรื่องไม้ตะพด ลองถามเค้าดูสิ เค้าอาจจะตอบคำถามลูกได้”
ทิวายืนแอบฟังมาตั้งแต่แรกนึกอิจฉาที่พันเทพยอมเล่าเรื่องไม้ตะพดกับแพรวา
“ไม้ตะพดเลือดเหรอ ทำไมพ่อไม่เคยเล่าให้เราฟังบ้าง เอาเถอะชั้นจะไปคาดคั้นเอาจากไอ้ไม้เองก็ได้”
พอออกจากห้องแพรวา พันเทพก็กลับเข้ามาที่ห้องทำงาน พันเทพหยิบกล่องโบราณกล่องหนึ่งออกมาด้านในมีหนังเสืออีกครึ่งหนึ่งที่ถูกพับเอาไว้อย่างดี พันเทพหยิบมันขึ้นมาเปิดอ่าน
“เมื่อเพลา เลือด วิญญาณมาบรรจบ ถือเป็นวาระครบทุกสิ่งสรร สรรพธาตุ สรรพรส ทุกสิ่งพลัน รวมตัวกันก่อกำเนิดเทิดปฐพี...มันไม่มีทางเป็นตำนานไร้สาระแน่ๆ เพียงแต่เรายังไม่รู้เท่านั้นว่าตำราหนังเสืออีกส่วนไปอยู่ไหน ส่วนที่บอกว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น”
วันต่อมาเสียงโอดโอยของไม้ที่ระบมไปทั้งตัวดังขึ้นในตอนเช้า ไม้ลุกขึ้นนั่งแต่ก็ทรุดลงไปนอนอีก เมฆเข้ามายืนดูลูกตัวเอง
“วันที่สองก็ระบมแบบนี้แหละ”
“ทำไมคราวนี้มันปวดไปทั้งตัวแบบนี้”
“เมื่อคืนได้กินสมุนไพรอะไรของอบเชยมันรึเปล่าล่ะ เห็นปกติเวลาน่วมทีไร อบเชยมันจะมาต้มสมุนไพรให้กินไม่ใช่รึไง”
“นั่นสิ ถึงว่าคราวนี้แย่มาก”
“เอาไง ให้พ่อไปหาอบเชยให้เอามั้ย”
“ไม่ต้อง”
“งั้นก็ไปโรงพยาบาล เอายาหมอมากิน” ไม้ขยับตัว แล้วก็ร้องอีก “นี่แหละน้า…อยากจะเป็นนักสู้ดีนัก นับวันยิ่งมีแต่ศัตรู”
“ศัตรูนี่แหละจะทำให้เราเก่งจนได้”
เมฆมองไม้อย่างเวทนา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ไกรต้องมานอนอยู่ที่โรงพยาบาล...ไกรนอนอยู่บนเตียง เจ๊กีถือข้าวต้มจะป้อนให้
“ม้า ไม่ต้องทำขนาดนี้หรอก ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“อาหารไม่ถูกปากใช่มั้ย เดี๋ยวอั๊วให้เด็กไปซื้อโจ๊กเจ้าอร่อยในตลาดมาให้”
“ไม่ต้องหรอกม้า”
“ไอ้เต็กกงมันเลวจริงๆ หมาลอบกัดชัดๆ แถมเล่นคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”
“ช่างเถอะแม่ ยังไงมันก็เสียหน้าไปแล้ว กว่าจะลุกขึ้นมากล้าอีกทีก็อีกพักใหญ่”
“เดี๋ยวอั๊วต้องเข้าไปออฟฟิศซักหน่อย ลื้ออยากได้อะไรมั้ย” ไกรส่ายหน้า “เดี๋ยวอั๊วจะให้คนไปตามอาไม้มาคอยดูแลลื้อ”
“อย่าเลยม้า ไม้น่ะเมื่อคืนก็โดนไปไม่ใช่น้อย ให้เค้าได้พักเถอะ”
“แต่อั๊วไม่อยากให้ลื้ออยู่คนเดียว”
“งั้นผมขอเป็น ตามคนอื่นมาแทนก็แล้วกัน”
ไกรยิ้มมีแผนบางอย่าง
ที่บ้านศรนารายณ์ขณะนั้นอบเชยต้มสมุนไพรใส่กระติกน้ำร้อนแบบพกพาเอาไว้
“ช่างสิ เค้าจะเดือดจะร้อน จะระบมแค่ไหนก็ช่างไม่มีวันเอาไปให้หรอก”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น อบเชยนิ่งเงียบลุ้นว่าอาจจะเป็นไม้แต่ก็เงียบไม่มีปฏิกิริยาจากใคร แล้วศรนารายณ์ก็เดินเข้ามา
“อบเชย”
“นี่ถ้าเป็นไม้ บอกเลยนะว่ายาทิ้งไปหมดแล้ว”
“ไม่ใช่หรอก”
อบเชยผิดหวัง
“คนของเจ๊กีมาบอกให้แกไปพบหน่อย”
“ชั้นเนี่ยนะ”
อบเชยงง
ไม้ยังเจ็บระบมไม่หายจนเมฆต้องพามาโรงพยาบาล
“บอกแล้วว่าไม่ต้องพามาหรอก”
“ใครจะไปรู้ ไม้อาจจะช้ำในตายก็ได้ อย่างน้อยได้ยากลับบ้านไปกินหน่อยดีกว่านอนโอดโอยอยู่อย่างนั้น”
“เฮ้อ อบเชยก็ใจดำ ที่บ้านมีสมุนไพรตั้งเยอะตั้งแยะไม่รู้จักเอามาให้”
“มันหน้าที่เค้าที่ไหน เราสิอยากได้ก็ต้องไปขอเค้าเอง”
เมฆบอก ไม้เห็นอบเชยเดินมาจึงทำหันหลังไม่สนใจ
“ในที่สุดก็อดห่วงไม่ได้ ตามมาจนได้สินะ”
ไม้คิดอยู่ในใจและทำเก็กไม่หันไปมองอบเชย อบเชยไม่เห็นไม้เดินผ่านไป ไม้นั่งรอเก้อทำเก็ก แต่อบเชยก็ไม่มาซักที ไม้หันกลับไปไม่เห็นอบเชยแล้ว
“มองหาอะไรน่ะ” เมฆถามเพราะไม่เห็นอบเชย
“เปล่า”
ไม้ยังมองหาอบเชย แต่อบเชยก็หายไปกับฝูงชน
ขณะนั้นไกรนอนอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก อบเชยเคาะประตูแล้วเปิดเข้ามา
“ชั้นมาหาเจ๊กี”
“ม้าไม่อยู่ที่นี่หรอก”
“อ้าว แล้วเจ๊กีอยู่ไหน”
“ผมเป็นคนให้คุณมาพบเอง ไม่ใช่ม้าหรอก”
“มีอะไรรึเปล่า” อบเชยทำหน้าแปลกใจ
“ผมอยากจะขอบคุณที่ยอมเอาตัวเข้ามาเสี่ยงในเรื่องของผม”
“คุณขอบคุณไปแล้ว แล้วชั้นก็บอกไปแล้วด้วยว่าชั้นไม่ได้ทำเพื่อคุณ”
“แม้ผมจะเป็นแค่ผลพลอยได้ ผมก็ต้องขอบคุณอยู่ดี”
อบเชยมองยาสมุนไพรในมือที่ถือติดมาด้วย
“นี่ยาสมุนไพร แก้ช้ำในได้ดี คุณเก็บไว้กินสิ ไม่ได้หาได้ง่ายๆ นะ”
“ให้ผมฟรีๆ เลยเหรอ”
“เก็บไว้ก็ไม่มีใครกินอยู่ดี”
“พาผมไปเดินเล่นหน่อยสิ”
“แต่ชั้น...”
“เอาใจคนเจ็บหน่อยน่า”
อบเชยไม่ค่อยเต็มใจนักแต่ก็ยอมพาไกรไปเดินเล่น
อบเชยเข็นรถเข็นที่ไกรนั่ง เดินเล่นในโรงพยาบาล
“คุณก็ไม่ได้เจ็บหนักขนาดที่ต้องนั่งรถเข็นซักหน่อย”
“ผมแค่อยากมีคนเอาใจ”
“ทำไมต้องเป็นชั้น”
“เพราะคุณเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว และที่สำคัญ…น่ารัก” อบเชยเขิน“นั่นคุณกำลังเขินอยู่เหรอ”
“ไม่เคยมีใครชมชั้นแบบนั้นมาก่อน”
“แม้กระทั่งไม้เหรอ”
“อย่าว่าแต่คำชมเลย คำขอบคุณยังไม่มี”
“ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมคุณยัง…มองแต่เขา”
อบเชยตกใจกับคำถามนี้
“คุณ”
“ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบก็ได้ ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว”
อบเชยมองไกรอย่างชั่งใจก่อนจะบอกออกมาว่า
“...ตั้งแต่เด็กมา ชีวิตชั้น นอกจากพ่อแล้วก็ไม่เคยคิดถึงใครอีกนอกจากไม้”
“ผมมาเสนอทางเลือกให้คุณ...มองคนอื่นบ้าง”
“ชั้นไม่มีทางเลือกหรอก”
“ผมนี่ไง”
อบเชยตกใจที่ได้ยินไกรพูดแบบนี้ ไม้เดินผ่านมาเห็นไกรกับอบเชยพอดี ไม้อึดอัดไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเอง
“ตกลงจะทำแบบนี้ใช่มั้ย ได้ ชั้นก็จะไม่สนใจเธอเหมือนกัน”
พอออกจากโรงพยาบาลไม้จึงมาแอบยืนดูแพรวาอยู่หน้าบ้านพันเทพ สมุนพันเทพเดินขวักไขว่ไปมา ไม้หายถอนใจ
คืนนั้นระหว่างอยู่ที่บ้าน ไม้นั่งที่โต๊ะมองกระดาษเปล่า แล้วหยิบปากกาขึ้นมาเขียนอะไรบางอย่าง แล้วยัดใส่ซองที่เขียนหน้าซองว่าแพรวา ไม้เหลือบมองผ้าพันคอบนโต๊ะ
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นอบเชยกำลังนั่งเหม่อคิดถึงสิ่งที่ไกรพูด
“นี่ชั้นเป็นคนมีทางเลือกด้วยเหรอ”

วันต่อมาไม้ปริ๊นท์งานเป็นเอกสารจัดใส่แฟ้มยื่นให้ไกร ไกรหยิบไปอ่านตรวจดูพร้อมกับรินน้ำสมุนไพรจากขวดที่อบเชยให้ยกขึ้นดื่ม ไม้มองอย่างจำได้
“นั่นสมุนไพร”
“ใช่ แก้ช้ำใน ไม้จะแบ่งไปดื่มมั้ยล่ะ”
“ไม่ละครับ”
“เธอชอบลูกสาวของพันเทพเหรอ”
“คุณไกร”
“ผมสังเกตจากสายตาที่ไม้มองเค้า”
“คือ...”
“คนที่เจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง มันดีกว่าคนที่รู้จักมาทั้งชีวิตงั้นเหรอ”
“คือ...ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม...ผมรู้สึกว่าผูกพันและอยากจะปกป้องเธอ”
“แล้วอบเชยล่ะ”
“เราเป็นเพื่อนกันมานาน นานจนความรู้สึกทุกอย่างมันแยกแทบไม่ออก”
“งั้นก็ดี เพราะต่อไปนี้ชั้นจะดูแลอบเชยเอง”
“ห๊า...” ไม้มองหน้าไกรอย่างตกใจ
“ได้ยินไม่ผิดหรอก”
ไม้เครียดทำตัวไม่ถูก
“ถ้าตรงนี้ไม่มีอะไรแล้ว เดี๋ยวผมขอแวะไปช่วยพ่อที่อู่หน่อยนะครับ”
“ตามสบาย”
ไม้เดินออกไปโดยลืมของไว้บนโต๊ะ ซึ่งเป็นซองสีชมพูจ่าหน้าซองถึงแพรวา
ไม้เดินอยู่ริมถนนก็เจอทิวามาขวางทางไว้
“อะไรอีกเนี่ย แผลเก่ายังไม่ทันหายเลยนะ” ไม้บอก
“มันเรื่องของแก ชั้นมีบางอย่างที่อยากรู้แกต้องตอบชั้น...พามันขึ้นรถ”
ทิวาหันไปบอกสมุน สมุนลากไม้ขึ้นรถไม้พยายามดิ้นแต่ก็สู้แรงไม่ได้
ทิวาพาไม้มาที่บ้านและจับไม้มัดติดกับเก้าอี้
“อยากรู้เรื่องอะไรทำไมไม่คุยกันดีๆ”
“แล้วนี่ชั้นคุยไม่ดีตรงไหน”
“แล้วทำไมต้องมัดกันด้วย”
“เพราะชั้นไม่ไว้ใจแกไง”
“มีเรื่องอะไรก็พูดๆ มา”
“แกเล่าเรื่องไม้ตะพดให้ชั้นฟังหน่อย”
“จะบ้ารึไง จับชั้นมาเนี่ยเพื่อถามเรื่องไม้ตะพดเนี่ยนะ หาหนังสืออ่านเอาก็ได้”
“อย่ามาโยกโย้ เล่ามาทั้งหมดที่แกรู้”
ขณะที่ไม้ถูกทิวาจับตัวมาที่บ้าน แพรวาก็ขับรถมาจอดหน้าบ้านเจ๊กี เธอลงไปกดกริ่ง คนใช้วิ่งออกมา
“มาหาใครคะ”
“ชั้นเป็นเพื่อนคุณไกรน่ะค่ะ แวะมาเยี่ยม”
“เชิญด้านในเลยค่ะ”
แพรวาเดินตามคนใช้เข้าไปด้านใน
ไกรนั่งทำงานอยู่ที่ห้องทำงานเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา”
คนใช้เปิดประตูแพรวาส่งยิ้มให้ไกรแล้วเดินเข้าไป ไกรงง
“คุณมีธุระอะไร”
“ชั้นแค่แวะมาเยี่ยม แล้วก็แวะมาขอบคุณที่คุณช่วย”
“คนช่วยมีตั้งเยอะแยะ ผมแทบไม่ได้ทำอะไร”
“อย่าพูดแบบนั้นเลยค่ะ”
“เชิญคุณนั่งก่อน เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้”
แพรวานั่งที่โต๊ะของไม้ เธอมองเห็นซองสีชมพูของไม้แพรวาหยิบขึ้นดูเห็นชื่อเธอจ่าอยู่ตรงหน้า แพรวาแอบยิ้มทันที ไกรถือน้ำมาเสิร์ฟ
“มีอะไรจะให้ชั้นรึเปล่า”
แพรวาถาม ไกรทำหน้างง
“หึ”
“คุณน่ะ มีอะไรจะให้ชั้นมั้ย”
“ไม่มีนะครับ”
“ไม่มีจริงเหรอ”
“ไม่มีจริงๆ ครับ”
แพรวาอมยิ้ม เอ็นดูไกรมากขึ้น
“โอเคๆ ไม่พูดถึงแล้วก็ได้ ชั้นจัดการเอง”
แพรวาหยิบซองจดหมายใส่ในกระเป๋าโดยที่ไกรไม่เห็น
ที่บ้านพันเทพขณะนั้นทิวายังมัดไม้แล้วขู่จะซ้อมจนไม้ต้องยอมเล่าเรื่องไม้ตะพดเท่าที่ตัวเองรู้
“ทั้งหมดที่รู้ ก็มีแค่นี้แหละ” ไม้บอกหลังจากเล่าจบ
“โกหก แกบอกไม่หมด นอกจากไม้ตะพดที่เป็นอาวุธของลูกผู้ชายแล้ว ยังมีไม้ตะพดเลือดอีกอันใช่มั้ย ตะพดเลือดที่ว่าน่ะอยู่ที่ใคร”
“ตะพดเลือดอยู่ไหนชั้นจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ถ้าชั้นรู้ชั้นไปเอาเองไม่ดีกว่ารึไง”
“ไม่จริงหรอก งั้นทำไมพ่อต้องบอกให้มาถามแกด้วยล่ะ”
“ทำไมแกไม่ไปถามพ่อแกล่ะ ว่าทำไมต้องให้มาถามชั้น ชั้นก็อยากรู้เหมือนกัน”
“มีใครอีกที่รู้เรื่องนี้”
“ถ้าแน่จริง แกก็ไปตามหาลูกผู้ชายแล้วถามเค้าเลยสิ”
“ลูกผู้ชายเหรอ? เป็นความคิดที่ดีนี่”
ไม้หัวเราะ
“แกพูดเหมือนรู้ว่าเค้าเป็นใคร อยู่ที่ไหน”
“ทำไมชั้นต้องรู้ล่ะ ในเมื่อชั้นรู้วิธีทำให้เค้าออกมาได้”
“หมายความว่าไง”
ทิวายิ้ม ไม่ตอบ
ทางด้านไกร ขณะนั้นเขาเดินมาส่งแพรวาที่หน้าบ้าน
“ขอโทษด้วยที่มารบกวนนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก แต่ผมว่าอย่ามาบ่อยๆ จะดีกว่าแม่ผมคงไม่ค่อยพอใจ”
“เข้าใจค่ะ ให้ส่งจดหมายเอาใช่มั้ยคะ” แพรวายิ้มอายๆ
“หมายความว่าไง”
“ช่างเถอะค่ะ”
อบเชยมาที่บ้านเจ๊กีพอดี จึงเจอไกรกับแพรวาอยู่ด้วยกัน
“นี่เธออีกแล้วเหรอเนี่ย” อบเชยมองไกรอย่างไม่พอใจนักแล้วคิดต่อว่าแพรวาอยู่ในใจ “นางสตอเบอรี่ กะจะแย่งผู้ชายทุกคนของชั้นเลยใช่มั้ย”
“เค้าแค่แวะมาขอบคุณเรื่องเมื่อวาน” ไกรบอกอบเชย
“บ้านชั้นหายากเหรอ ทำไมไม่เห็นแวะไปขอบคุณบ้าง หรือพอเป็นบ้านผู้หญิงแล้วแรงจูงใจมันน้อย” อบเชยพูดประชดแพรวา
“ชั้นกำลังจะไปขอบคุณเธอที่บ้านพอดี”
“เรื่องยังไม่เกิดขึ้น ใครก็พูดได้ทั้งนั้นแหละ นี่ชั้นก็ว่าจะไปบ้านเธอเพื่อจะไปขอปลากัด ไม่น่าเชื่อเลยจะเจอเธอที่นี่ ไง ชั้นก็พูดได้”
“แต่ชั้นกำลังจะไปจริงๆ”
“ช่างเถอะๆ ชั้นไม่อยากต่อปากต่อคำกับเธอแล้ว แล้วก็ไม่ต้องไปหาไม้ด้วย ไม้ไม่อยู่บ้านหรอกที่ทำงานก็ไม่อยู่ ไม่ต้องไปตามหาไม่ว่าที่ไหนทั้งนั้นกลับบ้านตัวเองไปโน่น”
อบเชยต่อว่าแพรวาเป็นชุด
หลังจากแพรวาไปแล้วอบเชยจึงเดินคุยมากับไกร
“ปากจัดจริงๆ”
“ชั้นก็เป็นแบบนี้แหละ ไม่ชอบก็ไม่ต้องชอบ” อบเชยบอกอย่างไม่แคร์
“ไปอารมณ์เสียมาจากไหน”
“แค่เห็นหน้ายายนี่ก็ปรี๊ดแล้ว ชอบทำเสแสร้งแสนดีตลอดเวลา”
“ก็ไม่เห็นว่าเค้าจะเสแสร้งตรงไหน”
“คุณไกรน่ะไม่รู้อะไร ผู้หญิงน่ะร้าย ผู้ชายตามไม่ทันหรอก” ไกรหัวเราะ
“เธอนี่เวลาโกรธแล้วตลกดี”
“จริงเหรอ หน้าชั้นทุเรศหรือว่ายังไง”
“ทำไมไม้ถึงไม่สนใจเธอนะ” อบเชยนิ่งเงียบไป “ขอโทษ ผมพูดตรงเกินไปละสิ แล้วนี่คุณมาหาผม มีธุระอะไร” อบเชยนิ่งหลบตาไกร “เข้าใจละ จริงๆ คงจะมาหาไม้สินะ”
ชาวบ้านเดินสวนมา กำลังเม้าท์กัน
“ลูกชายไอ้พันเทพนี่มันร้ายเหมือนพ่อมันนะ”
“ไอ้ไม้ก็ไม่รู้ไปทำกรรมมาจากไหน โดนรังแกตลอด”
“มันไม่ถูกกับบ้านไอ้พันเทพมาตั้งแต่รุ่นไอ้เมฆแล้วนี่”
“ไอ้พันเทพก็เอาแต่ตามจองล้างจองผลาญบ้านไอ้เมฆอยู่ได้ไม่รู้เพราะอะไร”
อบเชยได้ยินชาวบ้านคุยกันหันขวับทันที
“มีเรื่องอะไร” อบเชยถามชาวบ้าน
“ก็ชั้นเห็นไอ้ทิวาลูกชายพันเทพมาจับตัวไอ้ไม้ขึ้นรถไปน่ะสิ”
“ไปไหน”
“มันขับไปทางบ้านมัน”
“ไม้” อบเชยเป็นห่วงไม้จะวิ่งไป แต่ไกรห้ามไว้ “อย่ามาห้ามชั้น ชั้นจะปล่อยให้ไม้เป็นอะไรได้ยังไง”
“ชั้นจะบอกว่าไปรถชั้นเถอะ เร็วกว่า”
ไกรรีบขับรถพาอบเชยมาบ้านพันเทพ ขณะนั้นไม้ถูกสมุนทิวารุมอัดจนสะบักสะบอม
“เฮ้ย ไอ้ลูกผู้ชาย แกจะปล่อยให้ไอ้นี่ตายรึยังไง”
ทิวาตะโกนบอกแล้วมองหาลูกผู้ชาย
“มันสลบไปแล้วครับ” สมุนบอก
“ขี้แพ้ แล้วยังอ่อนแออีก ไอ้ไม้เอ้ย”
ระหว่างนั้เนพันเทพกลับมาบ้านพอดี พันเทพลงมาจากรถกำลังจะเดินเข้าบ้าน สมุนรีบเข้ามารายงาน
“เจ้านายครับ คุณทิวาพาลูกไอ้เมฆเข้ามาซ้อมในบ้านครับ”
“ห๊า”
พันเทพรีบเดินเข้าบ้านทันที แพรวาขับรถเข้ามาจอดอีกคน
“ทำไมพ่อต้องรีบขนาดนั้น มีเรื่องอะไรกัน”
สมุนทิวาแก้มัดไม้ออก ไม้สลบลงไปกองกับพื้น
“ไหนว่าไอ้ลูกผู้ชายมันหูตาไวนักไง ทำไมวันนี้หายหัวแต่ไม่เป็นไรหรอกชั้นไม่ยอมจบแค่นี้แน่”
พันเทพเปิดประตูห้องซ้อมมวยเข้ามาเห็นไม้สลบอยู่บนพื้น พันเทพเดินเข้าไปตบหน้าทิวาฉาดใหญ่
“พ่อตบผมทำไม”
“ใครให้แกเอาคนมาทำร้ายในบ้านเรา”
“แต่มันเป็นศัตรูของเราอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ทีพ่อยังทำร้ายพ่อมันได้”
“บ้านนี้ชั้นเป็นคนตัดสินใจว่าควรจะทำหรือไม่ทำอะไร น้องสาวแกสองคนเพิ่งย้ายเข้ามาในบ้าน อยากให้เค้ามาเห็นความป่าเถื่อนแบบนี้รึไง”
“พ่อลำเอียง”
“ชั้นไม่ได้ลำเอียง สิ่งที่แกทำเอาคนมาจับมัดโดยไม่ให้เค้ามีทางสู้ มันสมกับที่เกิดมาเป็นผู้ชายรึเปล่าชั้นสอนให้แกทำแบบนั้นรึไง”
แพรวาเปิดประตูตามเข้ามา
“ไม้ มีเรื่องอะไรกัน”
แพรวาถามอย่างตกใจเมื่อเห็นสภาพไม้ ทิวาเสียใจ พันเทพคลายความโมโหลง
“เอาไปส่งโรงพยาบาล”
พันเทพกันไปบอกสมุน แพรวาประคองไม้ไว้บนตัก ไม้รู้สึกตัวลางๆ เห็นหน้าแพรวา เค้ายิ้ม ก่อนที่จะหมดสติไปอีก
รถถูกขับออกไปจากประตูบ้าน พันเทพยืนมองไม้อย่างเวทนา แพรวามองตามอย่างเป็นห่วง จังหวะนั้นรถของไกรกับอบเชยเข้ามาจอด อบเชยรีบลงจากรถโวยวายจะเอาเรื่อง
“เอาไม้คืนมานะ ไอ้ทิวาพาไม้มาทำอะไร”
“ชั้นจะดูแลลูกให้ดีกว่านี้”
พันเทพบอกแล้วหันหลังกลับจะเข้าบ้าน อบเชยดึงแขนไว้
“จะไปไหน บอกมา ไม้อยู่ไหนไอ้ชั่ว”
แพรวาเข้ามาห้ามอบเชย
“ปล่อยพ่อไปเถอะ เรื่องนี้พ่อไม่รู้เรื่องด้วยหรอก”
อบเชยสะบัดมือแพรวาออก
“อย่ามาถูกตัวชั้น พ่อลูกมันก็เลวเหมือนกันหมดแหละ”
“แต่ไม้ไม่อยู่ที่นี่แล้ว”
“ไม้อยู่ไหน”
“โรงพยาบาล”
“คอยดูนะ ถ้าไม้หายดีแล้วชั้นจะกลับมาเอาคืนแน่”
อบเชยกับไกรกลับขึ้นรถแล้วขับออกไป
พันเทพกลับเข้าห้องทำงานกวาดข้าวของลงจากโต๊ะ กระจัดกระจาย
“ไอ้เมฆ...แก เพราะแกคนเดียว ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้”
อีกด้านหนึ่งที่ท่ารถบขส.ศรนารายณ์นั่งคุยอยู่กับเมฆ
“พี่เมฆว่าที่ไอ้พันเทพมันชอบส่งพวกมาทำร้ายที่อู่รถเนี่ยมันแค่เรื่องสัมปทานหรือว่าเรื่องสมัยหนุ่มครั้งโน้นด้วยวะ”
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่นั่นมันก็นานมากแล้ว”
“แต่ชั้นยังจำได้แม่นเลยว่ะ ที่พี่เมฆกับมันแย่งผู้หญิงคนเดียวกัน”
“ทิพย์”
เมฆนึกถึงทิพย์ ซึ่งพันเทพก็กำลังนั่งดูรูปทิพย์ ภรรยาของเขาอยู่เหมือนกันพร้อมกับนึกถึงเรื่องราวในอดีตซึ่งทิพย์เคยเป็นคนรักของเมฆ เหตุการณ์วันนั้นพันเทพพาสมุนไปล้อมเมฆเอาไว้ในขณะที่ทิพย์ยืนเกาะแขนเมฆแน่น ทั้งหมดยืนท่ามกลางฝนและเสียงฟ้าร้องคำราม
“พันเทพ อย่าทำอะไรเมฆเลยนะชั้นขอร้อง” ทิพย์บอก
“งั้นเธอก็ไปกับชั้นสิ ชั้นจะไม่มายุ่งกับมันอีก”
“แต่ชั้นไม่ได้รักเธอนะพันเทพ”
“แค่ชั้นรักเธอมันไม่พอรึไง” พันเทพเข้าไปฉุดข้อมือทิพย์ลากมา เมฆจับข้อมือทิพย์อีกข้างไว้อย่างไม่ยอม “จัดการมัน”
พันเทพบอกสมุน สมุนเข้ารุมเมฆจนล้มไปแล้วกระทืบซ้ำโดยเฉพาะขาซึ่งตอนนั้นยังไม่เป๋ ทิพย์เข้าไปช่วยเมฆใจจะขาด เธอจึงคุกเข่าขอร้องพันเทพ
“ชั้นขอล่ะ อย่าทำอะไรเมฆเลย ชั้นยอมทุกอย่าง”
“ต่อไปนี้เธอเป็นของฉัน เลิกยุ่งเกี่ยวกับมันอีกทำได้มั้ยล่ะ” ทิพย์ร้องไห้ฝืนใจ แต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับ “พอได้แล้ว”
พันเทพบอกสมุน สมุนหยุด พันเทพจึงพาทิพย์และสมุนเดินออกไป ปล่อยให้เมฆนอนเจ็บขาอยู่กลางสายฝน
เวลาผ่านไป...พันเทพและทิพย์รอฟังผลตรวจของหมอจนกระทั่งหมอเดินออกมา
“ยินดีด้วยครับ คุณกำลังตั้งครรภ์”

พันเทพดีใจมากแต่ทิพย์หน้าตาเฉยเมยไร้อารมณ์

อ่านต่อหน้า 3




ลูกผู้ชายไม้ตะพด  ตอนที่ 4 (ต่อ)

ทิพย์อยู่กับพันเทพโดยไม่ได้รัก ดังนั้นเมื่อคลอดลูกแล้วเธอจึงตัดสินใจใช้ปืนปลิดชีพตัวเอง เวลานั้นพันเทพนั่งทำงานอยู่ในห้อง ตกใจมากเมื่อได้ยินเสียงปืนรีบวิ่งไปดู จึงวิ่งเข้ามาในห้องนอนแล้วต้องตกใจจนถึงกับช็อคเมื่อเห็นทิพย์นอนจมกองเลือด

“ทิพย์ ทิพย์ ทำแบบนี้ทำไม ทิพย์”
พันเทพแทบจะขาดใจ
ภาพเหตุการณ์ในอดีตทำให้พันเทพทิ้งตัวลงนั่งแล้วร้องไห้ออกมา
ส่วนเมฆกับศรนารายณ์ยังนั่งคุยกันถึงเรื่องทิพย์
“พี่เมฆทำเหมือนไม่เคยมีทิพย์อยู่ในชีวิตได้ไง”
“ชีวิตมันต้องก้าวต่อไป ก็แค่นั้น”
เมฆลุกเดินจากไป ไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น
เมฆเดินกลับมาบ้าน แต่ยังไม่ทันจะเริ่มทำอะไรเสียงตะโกนโหวกเหวกเรียกเขาก็ดังขึ้น ชาญวิ่งหน้าตาตื่นมา
“พี่เมฆ พี่เมฆ”
“อะไรของแก โวยวายเสียงดังเชียว”
“เค้าลือกันทั่วตลาดเลยว่าไอ้ไม้ลูกพี่ ไปมีเรื่องกับไอ้พันเทพอาการหนักเลย ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล”
“อะไรนะ”
เมฆกะเพลกรีบวิ่งไปอย่างสุดชีวิต ชาญมองตาม
“พี่เมฆ รอด้วย”
ชาญวิ่งตามเมฆไป
เมฆรีบมาที่โรงพยาบาลแล้ววิ่งมาที่ห้องฉุกเฉินซึ่งขณะนั้นอบเชยกับไกรนั่งรออยู่
“ไม้ ไม้”
อบเชยรีบเดินมาหาเมฆ
“ไม้อยู่ด้านในค่ะ ยังไม่รู้ยังไง”
เมฆเครียด จันทร์วิ่งมาอีกทางเข้ามาสมทบอีกคน
“ไม้ล่ะ ไม้เป็นไงบ้าง เป็นอะไรมากรึเปล่า”
“เค้าถามเค้าตอบกันไปเมื่อกี้แล้ว เอ็งนี่ยังไง” ชาญบอก
“ก็ชั้นไม่ได้อยู่ด้วยนี่”
“วันหลังก็มาให้มันเร็วๆ เห็นมั้ยเนี่ย ถามสองรอบพี่เมฆก็เครียดสองรอบเลย” เมฆเดินแยกตัวออกไป “นั่นเห็นมั้ย ทนฟังไม่ได้เลย”
“เค้าไม่อยากเห็นหน้าพี่มากกว่ามั้ง”
อบเชยเดินไปหาเมฆที่เดินไปอีกมุม
“ไม่ต้องห่วงนะคะลุงเมฆ ไม้ต้องไม่เป็นอะไร หนูคนนึงล่ะจะไม่ยอมให้ไม้เป็นอะไรเด็ดขาด หนูสัญญา”
พันเทพตามมาที่โรงพยาบาล เขาแอบดูเมฆที่กำลังเครียดแล้วมองไปที่ห้องฉุกเฉินเพราะห่วงไม้เช่นกัน หมอเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินมาคุยรายละเอียดกับเมฆและอบเชย พันเทพชะเง้อหน้าอยากรู้
ทั้งหมดเดินเข้าไปดูอาการไม้ที่สลบยังไม่ได้สติ หมอเดินเข้ามาอธิบายอาการต่อ
“อาการภายนอกก็ฟกช้ำไปตามประสาคนโดนทำร้ายนะครับ ส่วนอาการภายในที่น่าห่วงก็จะมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร”
“แล้วนี่ต้องถึงกับผ่าตัดอะไรมั้ยครับเนี่ย”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ เรากินยาดูอาการก่อนยังไงคงต้องให้เค้านอนโรงพยาบาลซักระยะนึงนะครับ”
“ครับ แล้วเรื่องค่ารักษา”
“เดี๋ยวลองไปคุยรายละเอียดกับฝ่ายการเงินดูนะครับ”
“เรื่องค่ารักษาไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะครับลุงเมฆ เดี๋ยวผมจัดการให้” ไกรบอก
“ไม่ต้องๆ มันเป็นหน้าที่ของพ่ออยู่แล้ว” เมฆบอก หมอเดินออกไปอบเชยเข้าไปจับมือไม้อย่างเป็นห่วงเป็นใย ไกรมองอบเชยอย่างเศร้าๆ
“ไม่ต้องห่วงไอ้ไม้มันมากหรอก ไอ้นี่อึดจะตาย โดนกระทืบมาทั้งชีวิตแล้ว แค่นี้ไม่เป็นอะไรหรอก” ชาญบอก เมฆมองชาญเคืองๆ
“เฮ้ย...พูดอะไรเกรงใจคนอื่นเค้าบ้าง” จันทร์ต่อว่าชาญ
“อ้าว พูดอะไรผิดวะ”
“นี่ถ้าคุณไกรสอนท่ากรงเล็บพยัคฆ์ให้ไอ้ไม้ มันคงไม่เจ็บหนักขนาดนี้” จันทร์ต่อว่าไกร
“นี่วกมาที่ผมได้ไงเนี่ย”
เมฆสนใจประเด็นนี้
“จริงเหรอ”
“จริงสิ คุณไกรทำท่ากรงเล็บพยัคฆ์ของลูกผู้ชายได้เคยเห็นกะสองตา”
“ก็เข้าใจว่าหวงวิชา แต่ก็เห็นอยู่ว่าไอ้ไม้น่ะมันเอาไว้ใช้ป้องกันตัว ไม่ได้เอาไปทำร้ายใครจะได้ไม่ดีแต่แพ้แล้วสภาพนี้ทุกที”
“สอนข้าด้วยสิ”
“เอ่อ...”
“พอเถอะ...ไม่ต้องไปคาดคั้นคุณไกรเค้าหรอก ที่ไม้มันเจ็บตัวเพราะตัวมันเองมากกว่า”
เมฆบอกแล้วมองไม้ที่หมดสติอย่างเวทนา ไม่มีใครกล้าเถียงเมฆซักคน
เวลาผ่านไป...จันทร์กับชาญเดินคุยกันออกมา
“พี่เมฆนี่ห่วงไม้น่าดูเลยนะ”
“พ่อลูกก็ห่วงกันเป็นธรรมดา”
“ตอนที่ข้าไปบอกข่าวพี่เมฆ โอ้โห...วิ่งเป็นม้า”
“คงเหมือนพวกยกโอ่ง ยกตู้เย็นได้เวลาไฟไหม้ละมั้ง”
“ข้าล่ะอยากมีพ่อมีแม่บ้าง”
“จะดึงไปเศร้าทำไมเนี่ย เฮ้ย...นั่นไอ้พันเทพรึเปล่า”
จันทร์หันไปเห็นพันเทพไวๆ
“ไหน”
พันเทพเดินหลังไวๆ มีชาญกับจันทร์ตามไปแต่สุดท้ายก็คลาดกัน
“มันจะมาทำไมของมัน”
“นัดหมอสิวไว้รึเปล่า”
“จะบ้าเหรอ...หรือมาเยี่ยมไม้”
“อันนั้นบ้ากว่าอีกข้าว่า มันจะมาเยี่ยมไอ้ไม้ทำไม มันเป็นคนทำ”
จันทร์ยังไม่คลายความสงสัย
“ชั้นว่าไปดูไม้หน่อยดีกว่า”
ไม้ย้ายออกจากห้องฉุกเฉินมาอยู่ห้องคนไข้รวม พันเทพใส่หมวกใส่แว่นพรางหน้าเดินเข้าไปยืนมองไม้ที่เตียง
“ขอโทษนะ ทุกอย่างมันไม่ควรจะเป็นแบบนี้”
จันทร์ ชาญ เดินมาที่หน้าห้องคนไข้อบเชยเดินมาสมทบ
“ยังไม่กลับกันอีกเหรอ”
“พอดีเราเหมือนเห็นพันเทพแว้บๆ ก็เลยเป็นห่วงไม้ขึ้นมา”
ภายในห้องพันเทพได้ยินเสียงทั้งหมดคุยกันรีบมองหาที่หลบ
“จริงเหรอ แค่นี้ไม้ยังเจ็บไม่สาแก่ใจมันใช่มั้ย”
พันเทพมองในห้องคนไข้รวมตามมุมโน้นมุมนี้
“งั้นก็เข้าไปดูไม้ก่อนหมดเวลาเยี่ยมดีกว่า”
ทั้งสามคนเปิดประตูเข้าไปในห้อง
ทั้งหมดเดินเข้ามาในห้องแต่ไม่เจอพันเทพแต่อย่างใด
“แต่ก็ดูปกติดีนะ ไม่น่ามีอะไร” อบเชยบอก
“ห้องคนไข้รวมคนเยอะแยะ ไม่มีใครกล้าทำอะไรหรอก” ชาญบอก
“เธอสองคนกลับไปเถอะ เดี๋ยวชั้นนอนเฝ้าไม้เอง”
“กลับบ้านเถอะอบเชย ลำบากเปล่าๆ”
“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องเล็กแค่นี้ ไม่ได้ลำบากอะไรอีกอย่างชั้นกับลุงเมฆตกลงกันแล้วจะผลัดกันเฝ้า”
อบเชยยิ้มอย่างจริงใจ จันทร์กับชาญมองไม้อย่างเวทนา พยาบาลเดินเข้ามา
“ญาติคะ หมดเวลาเยี่ยมแล้วค่ะ”
ทั้งสามคนพากันเดินเดินออกไป บนที่นอนเตียงหนึ่งพันเทพลุกขึ้นนั่งถอนหายใจโล่งอก
คืนนั้นบนที่นอนเฝ้าไข้แคบๆ อบเชยนอนขดตัวอยู่อย่างทุลักทุเลนัก ยุงกัด มดกัด ดูลำบาก...ส่วนเมฆเมื่อกลับมาบ้าน เมฆเดินไปหยิบกล่องไม้เก่าๆ แล้วนับเงินที่อยู่ในกล่องซึ่งมีอยู่ไม่มาก สีหน้าเมฆไม่สบายใจนัก
เช้าวันรุ่งขึ้นอบเชยนอนหลับอยู่บนม้านั่งดูทุลักทุเล ไกรมายืนดูอบเชยหลับอบเชยละเมออกมา
“ไม้ ไม้ อย่าเป็นอะไรนะ”
ไกรมองดูอบเชยยิ้มๆ แล้วเวทนาตัวเอง เขาเอาเสื้อคลุมของตัวเองห่มให้อบเชยแล้วมองอบเชยอย่างเวทนา
ส่วนที่บ้านพันเทพขณะนั้นทิวานั่งหน้าเครียดอยู่ในห้อง สภาพทิวาเหมือนว่าไม่ได้หลับได้นอน ราตรีเปิดประตูเข้ามา
“พี่ทิวา วันนี้พ่อจะไปหาเสียง ไปมั้ย”
“พ่อให้มาชวนเหรอ” ทิวาถามอย่างดีใจ
“ก็...ราตรีเห็นว่าพี่อยู่ว่างๆ”
“งั้นก็แปลว่าพ่อไม่ได้ให้มาชวน”
“ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า พ่อลงสมัคร สจ. กำลังต้องการกำลังใจนะ ไม่เห็นต้องคิดมากเลยแค่ไปทำหน้าที่ลูก”
“พี่จะไปหรือไม่ไป พ่อไม่ได้รู้สึกอะไรหรอก”
“โธ่เอ๊ย ขี้น้อยใจเป็นผู้หญิง ที่พ่อว่าพี่ทิวาเมื่อวานคงเพราะไม่อยากให้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในบ้านตอนที่แกสมัคร สจ.ละมั้ง”
“เธอรู้เรื่องไม้ตะพดบ้างมั้ย”
“คืออะไร”
“มันคือไม้วิเศษ”
“ไร้สาระ”
“แต่พ่ออยากได้มัน ถ้าพี่หามันมาให้พ่อได้พ่อคงดีใจ แล้วรักพี่มากกว่านี้”
“ตามใจ ถ้าคิดว่าการตามหาสิ่งที่ไม่รู้มีตัวตนรึเปล่า ดีกว่าการช่วยพ่อหาเสียง”
ราตรีเดินออกไป ทิ้งทิวาอยู่คนเดียว
ที่โรงพยาบาลอบเชยเช็ดตัวให้ไม้อย่างอ่อนโยน ไม้ละเมอออกมา
“แพรวา คุณ...”
อบเชยกล้ำกลืนเช็ดตัวให้ไม้ แล้วเดินออกไป
อบเชยเดินเข้ามาในห้องน้ำมองหน้าตัวเองในกระจก พยายามทำท่าทางเรียบร้อย นิ่งๆ เหมือนแพรวา ทำหน้าทำตาเลียนแบบอยู่หน้ากระจกแล้วเธอก็ท้อใจ
“ทำไมชั้นไม่เกิดมาพร้อมแบบนั้นบ้าง”
อบเชยบ่นกับตัวเองอย่างเหงาๆ ไกรยืนแอบดูเธออยู่ ไกรยิ้มปลอบใจตัวเองเช่นกัน อบเชยซักผ้าเช็ดตัวเสร็จเดินออกจากห้องน้ำเห็นไกรพอดี
“มาเยี่ยมไม้แต่เช้าเลยนะ”
อบเชยเดินคุยมากับไกร
“ใครว่าผมมาเยี่ยมไม้ ผมมาเยี่ยมคุณต่างหาก”
“ชั้นไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย”
“ดูสภาพตัวเองหน่อยเถอะ นี่ตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ได้ไปไหนเลยใช่มั้ย”
“นี่ชั้นดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย”
“ก่อนจะห่วงคนอื่น น่าจะเริ่มห่วงตัวเองซะก่อน”
“ห่วงตัวเองไป ชั้นก็สวยไปไม่ได้มากกว่านี้แล้วล่ะ”
“ใครบอกล่ะ เธอน่ะเวลาร่าเริงสดใสออกจะสวย”
“จริงเหรอ” อบเชยเขิน
“ผมคงไม่ได้มาที่นี่เพื่อโกหกคุณ”
“ชั้นดีใจจริงๆ ขอบคุณนะ แต่ชั้นคงจะดีใจยิ่งกว่าถ้าหากคุณยอมสอนท่ากรงเล็บพยัคฆ์ให้กับไม้”
“คือ...”
“ไม้คงดีใจมากถ้าคุณสอน และไม้อาจจะไม่ต้องโดนรังแกแบบนี้อีก” ไกรลำบากใจ “ถือว่าชั้นขอร้องละนะ จะให้ชั้นคุกเข่าอ้อนวอนก็ได้”
“มีอะไรในโลกนี้บ้างที่เธอไม่ยอมทำเพื่อไม้”
ไกรลำบากใจและเสียใจกับคำขอร้องของอบเชย
ไกรกับอบเชยเดินกลับมาหาที่ห้องผู้ป่วย เห็นแพรวาถือดอกไม้ยืนอยู่ด้านหน้าอบเชยปรี่เข้าไปโวยวายทันที
“เธอมาทำไม”
“มาเยี่ยมไม้”
“พวกเธอทำให้ไม้เป็นแบบนี้แท้ๆ ยังมีหน้ามาเยี่ยมอีกเหรอ”
“ชั้นเสียใจ”
“ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อ มารยาต่อหน้าชั้นหรอก”
แพรวามองไกรที่มากับอบเชย
“ชั้นไม่เกี่ยวด้วยจริงๆ นะ พ่อเองก็เสียใจ”
“พ่อเธอก็น่าจะเสียใจอยู่หรอก เพราะนี่มันช่วงหาเสียงนี่นะคงกลัวแทบแย่ว่าจะเสียคะแนนนิยม”
“พอเถอะอบเชย... ผมว่าคุณเองก็กลับไปก่อนดีกว่า” ไกรบอกแพรวา
“ถ้างั้น ชั้นฝากดอกไม้ไว้ให้ไม้ด้วยละกัน” แพรวาจะยื่นดอกไม้ให้ไกร จังหวะนั้นไม้เปิดประตูออกมาพอดี
“มีเรื่องอะไรกันน่ะ” ไม้ถามด้วยหน้าตาที่ยังมึนๆ
“ไม้ ฟื้นแล้วเหรอ” อบเชยถามอย่างดีใจ แต่ไม้ไม่ได้สนใจเพราะเห็นแพรวา
“อ้าวคุณ...มานานรึยัง”
อบเชยมองไม้อย่างน้อยใจ
ไม้กลับมานอนบนเตียงโดยมีแพรวายืนอยู่ข้างๆ
“ชั้นต้องขอโทษแทนพี่ทิวาด้วยนะไม้ พี่ทิวาเป็นคนใจร้อน ไม่คิดหน้าคิดหลัง”
“ไม่เป็นไรหรอก”
“ไม่เป็นไรได้ยังไง นอนโรงพยาบาลแบบนี้ ยังบอกไม่เป็นอะไรอีกนี่อึดหรือโง่กันแน่” อบเชยต่อว่า
แพรวา
“นี่อบเชย มีมารยาทหน่อย”
“นี่ชั้นไม่มีมารยาทตรงไหน ชั้นนี่เป็นคนนอนเฝ้าไข้เธอทั้งคืนส่วนบ้านนางนี่เป็นคนทำร้ายเธอ มันแค่ถือดอกไม้มาเยี่ยมแค่นี้ ชั้นกลายเป็นคนไม่มีมารยาทไปเลยเหรอ ดีจะได้จำไว้”
อบเชยไม่พอใจเดินออกไป
“ผมว่าคุณกลับไปก่อนเถอะแพรวา เดี๋ยวมันจะยิ่งไปกันใหญ่” ไกรบอก
“ค่ะ...ชั้นขอโทษจริงๆ นะที่เกิดเรื่องแบบนี้”
แพรวาเดินออกไป ไกรและไม้มองตาม
ทางด้านพันเทพกับราตรีขณะนั้นกำลังเดินหาเสียงแจกใบปลิวกับชาวบ้านกันอยู่
“สจ.ปีนี้ เลือกพันเทพ กาเบอร์สี่นะ”
“กาเบอร์สี่ พันเทพ นะคะ”
ชาวบ้านต่างรุมล้อมพันเทพกับราตรี พันเทพถือร่มคู่กายไว้กับตัวด้วย
อบเชยเดินมาหยุดที่ลานวัดเห็นป้ายหาเสียงของพันเทพป้ายเบ้อเริ่ม เธอเดินเข้าไปทั้งเตะ ทั้งทำหลายอย่างกับป้ายหาเสียงจนเป็นรู พันเทพกับราตรีเดินเข้ามาพอดี
“อยากทำอะไรชั้น ก็มาทำกับชั้นนี่ ไปทำกับป้ายจะได้เรื่องอะไร”
“ได้”
อบเชยเดินรี่เข้าไปหาพันเทพหวังจะทำร้าย แต่สมุนก็กรูกันมาห้ามๆ ไว้ พันเทพห้ามสมุนลงมือ
“เรามาเดิมพันกันมั้ยอบเชย ถ้าเธอชนะ เธออยากจะทำอะไรชั้นก็เชิญ แต่ถ้าชั้นชนะ เธอกับพ่อ
ต้องเลือกชั้นเป็น สจ.”
“พ่อคะ แค่สองเสียงกับการเจ็บตัวมันจะคุ้มเหรอ” ราตรีแย้ง
“ถ้าสองเสียงนี้ละก็ คุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม”
“เผยธาตุแท้ออกมาแล้วสินะ” อบเชยคุยกับราตรีเพราะเข้าใจว่าเป็นแพรวา
“เธอนี่สติดีรึเปล่า เจอทีไรก็ว่าชั้นอย่างโง้นอย่างงี้” ราตรีต่อว่าอเบชย
“เธอนั่นแหละบ้ารึเปล่า เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย”
อบเชยมองร่มพันเทพแล้วนึกถึงถึงตอนที่ศรนารายณ์เคยสู้กับพันเทพแพ้
“ชั้นตกลง”
“พูดคำไหนคำนั้นด้วยนะ อย่าคืนคำล่ะว่าจะเลือกชั้นน่ะ”
“ชั้นไม่พูดพล่อยๆ อยู่แล้ว แต่ชั้นมีข้อแม้”
“ว่ามา”
“ชั้นเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ชั้นไม่อยากให้แกถือร่มนั่นสู้กับชั้น”
“เธอกลัวอะไรกับแค่ร่มคันเดียว”
“แต่มันก็เป็นร่มคันเดียวที่ไม่เคยอยู่ห่างจากแกเลยนี่”
“ได้”
“พ่อ จะดีเหรอคะ สู้กับผู้หญิงแบบนี้ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
“ลูกคิดว่ามันจะยืดเยื้อขนาดนั้นเลยเหรอ อีกอย่างตรงนี้ก็ปลอดคน”
“แกอย่าดูถูกฝีมือชั้นขนาดนั้น พันเทพ”
“เธอก็เหมือนกัน”
อบเชยกับพันเทพมองหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
ส่วนที่โรงพยาบาลเมฆกำลังป้อนข้าวให้ไม้ที่นั่งอยู่บนเตียง
“พ่อ ชั้นไม่ได้เป็นอะไรหนักขนาดนั้น กินเองก็ได้”
“อย่ามาดื้อ ดื้อทุกเรื่อง ห้ามไม่ให้เรียนมวยก็จะเรียนไม่ให้ไปมีเรื่องกับใครก็มีไม่เว้นแต่ละวัน ดูตัวเองบ้างรึเปล่า”
“คนมันเดินเอาเรื่องมาให้ถึงที่ตลอด”
“แล้วไหนว่าเรียนมวยแล้วจะดีขึ้น ก็ไม่เห็นว่าจะสู้เค้าได้”
“อบเชยก็แค่สอนพื้นฐานธรรมดา แม้กระทั่งท่าไม้ตายของอาศรอบเชยยังไม่รู้เลย”
“โทษคนอื่นไปเรื่อย ฝีมือเราน่ะไม่ดี ไม่รู้จักฝึกมากกว่า”
“เดี๋ยวต่อไปนี้ผมจะฝึกให้ไม้เองครับ”
ไกรบอก เมฆกับไม้หันมองไกรพร้อมกัน
“หมายความว่า...”
“ผมจะสอนทุกอย่างที่ผมรู้ให้ไม้ รวมทั้งท่ากรงเล็บพยัคฆ์ด้วย”
“จริงเหรอ ชั้นจะได้เรียนกรงเล็บพยัคฆ์จริงเหรอ”

ไม้ดีใจออกนอกหน้า เมฆมองไกรนึกสนใจในตัวผู้ชายคนนี้

อ่านต่อหน้า 4




ลูกผู้ชายไม้ตะพด  ตอนที่ 4 (ต่อ)

ขณะนั้นอบเชยกับพันเทพมองดูเชิงกันไปมา มีราตรีกับสมุนยืนดูแล้วอบเชยก็บุกเข้าไปด้วยความโมโหที่พันเทพทำร้ายไม้

“แกทำร้ายไม้ได้ แต่ทำร้ายคนอย่างชั้นไม่ได้หรอก”
อบเชยบุกเข้าไปต่อสู้กับพันเทพ พันเทพเก่งและคล่องแคล่วไม่แพ้อบเชย การต่อสู้ของทั้งคู่เหมือนว่ายากที่จะรู้แพ้รู้ชนะ พันเทพเพลี่ยงพล้ำให้อบเชย อบเชยไม่เกรงใจจะเอาหน้าเท้าเหยียบหน้าพันเทพแก้แค้นให้ไม้
“ชั้นจะเหยียบหน้าแก ให้แกรู้ซะมั่งว่าคนที่นอนอยู่ใต้รองเท้าเป็นยังไง”
ราตรีจะวิ่งเข้ามาช่วย
“พ่อ...”
“ราตรี ไม่ต้อง”
แต่จังหวะที่อบเชยเผลอ พันเทพก็หยิบกล่องใส่เข็มที่ใช้สำหรับฝังเข็มออกมาจากระเป๋า แล้วก็ปักเข้าไปตามจุดสำคัญของอบเชย ทำให้อบเชยขยับตัวไม่ได้ยืนนิ่งราวกับโดนสกัดจุด พันเทพลุกขึ้นมาหัวเราะ
“ชั้นบอกแล้วว่าเธออย่าประมาทฝีมือชั้น เธอคงงงสินะว่าทำไมเธอยืนค้างอยู่แบบนี้ ก็เพราะชั้นฝังเข็มในจุดต่างๆ ที่จำเป็นต่อการเคลื่อนไหว”
“เหมือนการจี้จุดในหนังจีนน่ะเหรอคะพ่อ” ราตรีถาม
“จะว่ายังงั้นก็ได้ แต่มันแค่ทำให้การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างลำบากก็เท่านั้นแหละ” อบเชยอยากจะด่าพันเทพแต่ก็พูดไม่ได้ “ชั้นหวังว่าชั้นคงไม่ได้ทำผิดกติกาใช่มั้ย ทีนี้ก็อย่าลืมเธอสองคนพ่อลูกต้องเลือกชั้นเป็น สจ. อย่าผิดคำพูดล่ะ”
ราตรีหัวเราะอย่างสะใจ
“สมน้ำหน้า ปากดีนัก”
“เราไปหาเสียงกันต่อเถอะลูก”
“จะปล่อยนางนี่ไว้กลางลานแบบนี้เลยเหรอคะ หนูว่าถ้าทำแบบนี้ เดี๋ยวคนก็มาเจอง่ายๆ มันจะไม่สนุก เอามันไปเก็บไว้ในที่มิดชิด ให้มันหาทางออกมาเองดีกว่า”
“ก็แล้วแต่ลูกก็แล้วกัน”
“พวกแกไปหาที่ลับๆ ในวัดนี่ เอานางนี่ไปซ่อนไว้ไป อย่าให้ใครหาเจอง่ายๆ” ราตรีหันไปสั่งสมุน อบเชยเจ็บใจ แต่ตัวแข็งทำอะไรไม่ได้ “เดี๋ยวพ่อสอนหนูบ้างสิคะ ไอ้การฝังเข็มแบบนี้น่ะ”
“ได้ แต่รอให้งานวันเกิดพ่อที่กำลังจะจัดนี่ผ่านไปก่อนนะ”
“ได้ค่ะ”
พันเทพกับราตรีเดินออกไป สมุนมายกอบเชยที่ตัวแข็งไปจากลานวัด
สมุนมองซ้ายมองขวาเปิดประตูห้องเก็บของวัดแล้วยกอบเชยไปเก็บไว้ข้างใน
“จะออกมาได้ก็คงต้องมีผีมาช่วยแล้วล่ะ”
สมุนปิดประตูห้องเก็บของแล้วเดินออกไป อบเชยเหลือบตามองซ้ายมองขวาดูวังเวงและรก หยากไย่ขึ้นเต็มไปหมด มีหนูวิ่งไปมา ยากที่ใครจะเข้ามาบ่อยๆ
ขณะนั้นจันทร์ถือหนังสือเล่มใหญ่เดินมาหาหลวงพ่อที่กุฎิ
“โยมมีอะไร”
“ผมเพิ่งมาจากห้องสมุดของวัดน่ะครับ”
“แล้วไง”
“ผมไปค้นหนังสือเกี่ยวกับไม้ที่มีกลิ่นหอมมา แล้วทีนี้เค้าบอกว่าไม้จันทน์น่ะ วัดมักจะใช้ในการประกอบพิธีสำคัญหรือทำผอบเก็บของศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ผมก็เลยจะมาถามหลวงพ่อว่าที่วัดนี้มันมีอะไรที่ทำจากไม้จันทร์บ้างมั้ยครับ”
“ไม้จันทน์เหรอ อาตมาไม่ค่อยแน่ใจแต่ที่อาตมาเห็นเค้าก็ไม่ใช้กันแล้วนะ พวกของศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่นก็ไม่เคยเห็นมี ส่วนใหญ่ในยุคก่อนๆ น่ะ เค้าถึงจะใช้ โยมสนใจอะไรกับไม้จันทน์ล่ะ”
“อยากลองดมกลิ่นดูน่ะครับ พอดีว่าผมไปได้กลิ่นไม้หอมมาชนิดนึง มันหอมยวนใจจริงๆ ผมเลยอยากรู้ว่าเป็นไม้อะไร เพราะไม้หอมก็มีตั้งหลายชนิด”
จันทร์นึกถึงร่มพันเทพ ที่ไม้มีกลิ่นหอม
“อืม อาตมาไม่แน่ใจหรอกนะ อาจต้องไปรื้อดูในห้องเก็บของของวัด ซึ่งก็ไม่แน่ใจอีกว่าจะมีมั้ย”
“ไม่ลองไม่รู้ ไปดูกันเถอะครับ”
“แต่นี่ก็จะได้เวลาทำวัตรเย็นแล้ว อาตมาว่าวันหลังโยมค่อยมาเถอะ”
“อ้าว”
“ไม่ต้องอ้าวหรอก บอกวันหลังก็วันหลัง”
จันทร์ทำหน้าเซ็ง กราบลาหลวงพ่อออกจากกุฏิ
ที่ห้องเก็บของของวัดอบเชยพยายามจะขยับตัวแต่ก็ขยับได้น้อยมาก ยากลำบากเหลือเกิน ทั้งหนูทั้งแมลงสาบวิ่งผ่านเท้าเธออย่างไม่เกรงใจ อบเชยเหลือบไปเห็นรูปสมัยเก่าของพระหลายรูปซึ่งดูเก่ามาก รู้เลยว่ามรณภาพไปหมดแล้ว อบเชยกลัวจนน้ำตาไหล
จันทร์ถือหนังสือกำลังจะกลับบ้านแล้วเกิดลังเล
“แค่ห้องเก็บของ ไปหาเองก็ได้นี่ แต่นี่ก็เย็นแล้วนะ เดี๋ยวจะหมดเวลาเยี่ยมไม้พอดี”
จันทร์ลังเล
ส่วนไกรเมื่อกลับมาบ้านก็เจอแพรวายืนรออยู่หน้าบ้าน ไกรจอดรถแล้วลงจากรถมาหาแพรวา
“มาทำอะไรที่นี่”
“ชั้นมารอเจอน่ะค่ะ”
“ถ้าไม่จำเป็นอย่ามาที่นี่ ผมไม่อยากมีปัญหา”
“ชั้นแค่จะมาบอกว่า ชั้นอ่านจดหมายแล้วนะคะ”
“จดหมายอะไร” ไกรทำหน้าแปลกใจ
“จดหมายที่คุณเขียนถึงชั้น”
“ห๊า?”
“ชั้นจะไม่พูดอะไรมาก เอาเป็นว่า...” แพรวาหยิบจดหมายยื่นให้ไกร “นี่เป็นคำตอบค่ะ”
แพรวาเขิน ขึ้นรถแล้วขับออกไปไกรยืนงง
ที่วัดเสียงพระทำวัดเย็นดังแว่วมา อบเชยได้ยินเสียงก๊อกแก๊กเหมือนคนอยู่ตรงนั้นทีตรงนี้ที
อบเชยกลัวตัวสั่นพยายามจะขยับตัวเอาตัวรอด ขณะนั้นจันทร์เดินอยู่ตามอาคารในวัด
“เอาเป็นว่าถ้าผ่านห้องเก็บของ ก็แวะดู ถ้าไม่ผ่าน ก็เอาไว้วันหลังดีกว่า”
จันทร์เดินผ่านตึกต่างๆ เห็นห้องเก่าๆ เงียบๆ อยู่ห้องนึง จันทร์ยืนอยู่หน้าห้องอย่างลังเล
“เค้าจะว่าเรามาขโมยของวัดรึเปล่านะ ...ไม่หรอก ก็เราไม่ได้จะเอาอะไรไปนี่”
จันทร์ตัดสินใจเปิดประตูห้องแต่ปรากฏว่าเป็นห้องเก็บโลงศพ จันทร์ถึงกับวิ่งเตลิด
ที่โรงพยาบาลขณะนั้นเมฆนั่งอ่านหนังสืออยู่ ไม้ชะเง้อมองไปนอกห้อง
“รอใครอยู่รึไง” เมฆถาม
“อบเชยหายไปเลยนะพ่อ”
“ไปพูดอะไรไม่ดีกับเค้ารึเปล่าล่ะ”
“ก็...ไม่ได้พูดอะไรแรงนะ ไม่น่าจะโกรธนี่”
“นี่ อบเชยมันก็มีหัวใจนะ ไม่ใช่หุ่นยนต์ มันรู้สึกทุกอย่างที่เรารู้สึกนั่นแหละ”
“ไม่หรอกพ่อ นักเลงซะขนาดนั้น”
“ก็คิดซะอย่างงี้ วันไหนไม่มีมันแล้วจะรู้สึก”
ไม้กังวลใจเรื่องที่อบเชยหายไป
หลังจากวิ่งเตลิดมาจากห้องเก็บโลงศพ จันทร์เดินผ่านห้องอีกห้องนึง จันทร์มองซ้ายมองขวาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“จะเป็นห้องโลงศพอีกมั้ยวะ แค่คิดก็สยองแล้วดูเหมือนว่าให้หลวงพ่อมาด้วยจะปลอดภัยกว่านะ”
อบเชยได้ยินเสียงคนพูดอยู่หน้าห้อง เธอพยายามดิ้นรนขยับตัวจนทำให้พานใส่ห่อดอกไม้จันบนโต๊ะหล่นลงมาได้ ดอกไม้จันร่วงกราวอออกมาจากถุง กลิ่นฟุ้งกระจายทั่วห้อง พานส่งเสียงดังไปถึงด้านนอก จันทร์ได้ยินเสียงของตกก็สะดุ้งโหยงถอยห่างจากห้อง
“โดนแล้วไง นั่นเสียงอะไรวะนั่น” จันทร์ส่งเสียงถาม กล้าๆ กลัวๆ “มีใครอยู่ในนั้นรึเปล่า” อบเชยพยายามจะส่งเสียงตอบแต่ไม่ดังออกไป “รอมาพร้อมหลวงพ่อดีกว่า เจอผีแล้วไม่คุ้ม”
จันทร์จะเดินไปแต่กลิ่นดอกไม้จันโชยเล็ดลอดจากห้องมาแตะจมูก จันทร์ทำจมูกฟุดฟิด
“กลิ่นนี่…ไม่ผิดแน่ กลิ่นไม้จากร่มพันเทพวันนั้น”
จันทร์มองที่ประตูแล้วตัดสินใจเปิดผ่างออกมา เจออบเชยยืนอยู่ จันทร์ถึงกับสะดุ้ง
“เฮ้ย…มาทำอะไรที่นี่ ตกใจหมด” อบเชยนิ่งขยับไม่ได้ พูดไม่ได้ จันทร์ทำจมูกฟุดฟิด “หอมมากเลย นี่มันกลิ่นเดียวกับร่มของพันเทพแน่ๆ” อบเชยส่งเสียงอู้อี้ให้ช่วยก่อน “เป็นอะไร ทำไมยืนนิ่ง ไม่พูดไม่จา” จันทร์มองเห็นเข็มที่ปักตามตัวอบเชย “นี่เข็มอะไรเนี่ย” จันทร์ดึงเข็มออกจากบริเวณคออบเชย “เหมือนพวกเข็มสำหรับฝังเข็มของพวกหมอจีนเลย”
พอจันทร์ดึงเข็มออก อบเชยจึงสามารถพูดได้อีกครั้ง
“ดึงออกให้หมดเลย ทั้งตัวนั่นแหละ”
จันทร์ดึงเข็มส่วนไหนออก ส่วนนั้นก็กลับมาขยับได้อีก พอขยับได้ทั้งตัวอบเชยก็โผเข้ากอดจันทร์
“ขอบใจมากเลยนะจันทร์ ไม่ได้เธอชั้นต้องตายอยู่ในนี้แน่”
“แล้วทำไมไม่ออกไปล่ะ”
“ก็ไอ้พันเทพน่ะสิ มันฝังเข็มไม่ให้ชั้นขยับได้แล้วซ่อนชั้นไว้ในนี้ เจ็บใจนัก เลวที่สุด เลวทั้งพ่อทั้งลูก”
“ไอ้พันเทพมันรู้ศาสตร์จีนพวกนี้ด้วยเหรอ น่ากลัวจริงๆ”
“แล้วนี่เธอมาทำอะไรที่นี่”
“มาตามหากลิ่นหอม” จันทร์สูดลมหายใจ “หอมแบบนี้แหละ”
“กลิ่นจากดอกไม้จัน” จันทร์หยิบดอกไม้จันมาดม “นี่คงเป็นดอกไม้จันสมัยก่อนที่ใช้ในพิธีศพ ทำจากเนื้อไม้จันทน์หอมจริงๆ เพื่อให้เกียรติกับผู้ตาย”
“นี่แหละ ที่ชั้นได้กลิ่นจากร่มพันเทพมันน่ะ กลิ่นมันหอมจริงๆ เอากลับบ้านดีกว่า”
จันทร์หยิบดอกไม้จันมาหนึ่งอัน
“ร่มไม้โบราณที่ทำจากไม้จันทน์เหรอ ทำไมต้องพกร่มนั่นไปไหนมาไหนด้วย มันมีอะไรพิเศษงั้นเหรอ”
“นั่นสิ”
อบเชยและจันทร์ต่างสงสัย
พอออกจากห้องเก็บของของวัดอบเชยกับจันทร์มานั่งกินข้าวด้วยกัน อบเชยกินข้าวและกินน้ำด้วยความหิวกระหาย จันทร์ได้แต่มอง
“เธอนี่จริงๆ ก็สวยนะ แต่พอเห็นแบบนี้แล้ว...รักไม่ลงว่ะ”
“ทำไม ต้องคนอ่อนโยน กินข้าวคำเช็ดปากคำรึไง แหวะ ...สตอทั้งนั้นแหละ”
“จ้ะ แม่คนดี แต่นี่ชั้นอดสงสัยไม่ได้เรื่องร่มไม้จันทน์ของพันเทพ คนที่จะพกร่มตลอดเวลาทั้งที่ไม่ใช่หน้าฝน”
“หรือไม้นั่นมีคุณสมบัติอะไรพิเศษ”
“คุณสมบัติพิเศษเหรอ” จันทร์หยิบตำราเปิด “ไม้จันทน์สามารถสกัดเป็นน้ำมันหอมได้”
“จะสปาตลอดเวลาไปมั้ยน่ะ”
“ไม้จันทร์มักเอาไปทำเป็นที่เก็บสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่างเช่นพระธาตุ”
“พันเทพมันคงไม่ศรัทธาในศาสนาขนาดนั้นละมั้ง”
“เป็นไม้ในราชพิธีโบราณ เป็นไม้ประหารชีวิตพระเจ้าตากสิน”
“ชักเถลไถลใหญ่ละ”
“หรือว่า...”
“หรือว่าอะไร”
“ไม้ตะพด” อบเชยคิดตาม
“ตามที่ตำราไม้ตะพดว่าไว้...”
“ว่าไม้ตะพดทำจากแก่นไม้จันทน์พันปีที่ลากข้ามฝั่งมาจากพม่า”
“จริงด้วย”
อบเชยกับจันทร์มองหน้ากัน

ที่บ้านพันเทพ ขณะนั้นพันเทพอยู่ในห้องทำงานกำลังถอดไม้ตะพดออกจากร่มและสำรวจความเรียบร้อย พันเทพควงไม้ตะพดเป็นอาวุธอย่างคล่องมือแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ เสียงเคาะประตูดังขึ้นพันเทพรีบเก็บไม้ตะพด แพรวาเดินเข้ามา
“แพรวานั่นเอง”
“พ่อทำอะไรอยู่คะ”
“ก็แค่นั่งคิดอะไรไปเรื่อยนั่นแหละ” แพรวาถอนหายใจ “มีเรื่องอะไรไม่สบายใจเหรอลูก”
“เวลาที่พ่อชอบใคร พ่อจัดการกับความรู้สึกตัวเองยังไงคะ”
“ใครที่ลูกหมายถึงคือใคร คงไม่ใช่ไม้หรอกนะ”
“ทำไมคะ”
“ไม่ได้ ลูกกับไม้ชอบกันไม่ได้นะ”
“เปล่าค่ะ ไม่ใช่ไม้...”
พันเทพโล่งอก
“แล้วไม้เป็นไงบ้างแล้ว”
“ก็คงดีขึ้นแล้วล่ะค่ะ หนูไม่อยากจะไปเยี่ยมบ่อยๆ เดี๋ยวจะเป็นปัญหา”
“จริงๆ ไม้กับลูกสนิทกันไว้ก็ดีนะ แต่อย่าชอบ ห้ามชอบไม้เด็ดขาดรู้มั้ย”
“ทำไมละคะ”
“ไม่ต้องถาม มันเป็นคำสั่ง”
แพรวาไม่ค่อยเข้าใจพ่อของตนนัก
ส่วนจันทร์กับอบเชยยังนั่งคุยกันต่อถึงสิ่งที่สงสัย
“เราจะพิสูจน์ได้ว่ามันเป็นไม้ตะพดจริงมั้ย ร่มก็ต้องมาอยู่กับเรา แต่เราจะทำแบบนั้นได้ยังไง ในเมื่อไอ้พันเทพมันไม่เคยห่างจากร่มเลย”
“ชั้นรู้ละ ชั้นได้ยินว่าไอ้พันเทพน่ะกำลังจะจัดงานวัดเกิดถ้าลอบเข้าบ้านมันตอนงานน่าจะง่ายที่สุด”
“แล้วจะเข้าไปยังไง มันคงเชิญเราหรอก”
“เรื่องนั้นไม่ยากหรอก คราวนี้ไอ้พันเทพเสร็จชั้นแน่” อบเชยยิ้มอย่างมีแผน แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา โทรออก “ฮัลโหล นั่นทิวารึเปล่า พรุ่งนี้ออกมาเจอชั้นได้มั้ย ชั้นเหงาไม่มีคนคุยด้วยเลย...ตามนี้นะ สวัสดีจ้ะ”
“เฮ้ย...แบบนี้เลยเหรอ”
“แบบนี้แหละ ได้ผลที่สุด”
วันต่อมาทิวาขับรถมาจอดบริเวณป้ายรถเมล์ โดยไม่แคร์ว่าจะขวางทางใคร ทิวาลงจากรถเดินไปที่ร้านดอกไม้ ทิวาเดินเลือกดอกไม้ในร้าน เขาเลือกดอกที่ถูกใจแล้วสั่งให้จัดช่อ
“จัดเป็นช่อ เอาแบบที่สวยที่สุดเลยนะ”
ทิวายิ้มอย่างมีความสุข
เมฆขับรถบขส.แวะมาจอดรถที่ป้ายรถหน้าตลาด แต่มีรถทิวาจอดขวางอยู่
“ไอ้นี่นี่ ไม่เห็นรึไงว่าเป็นป้ายรถ นิสัยเสียจริง” ชาญบอก
“งั้นเดี๋ยวค่อยมาก็ได้”
“ไม่เป็นไรหรอกมั้งพี่เมฆ พี่ไปซื้อกับข้าวให้ไอ้ไม้เถอะเดี๋ยวข้าเฝ้ารถให้”
“เอางั้นเหรอ”
“แป๊บเดียวนี่ ไม่เป็นไรหรอก”
“ชั้นฝากด้วยนะชาญ”
“สบายมาก”
เมฆเดินหายเข้าไปในตลาด ชาญนั่งอยู่ที่รถมองเห็นรถขายก๋วยเตี๋ยวซาเล้งขี่ผ่านไป ชาญมองตามแล้วตะโกนเรียก
“ลูกพี่รอเดี๋ยว ลูกพี่ ไม่ได้ยินอีก”
ชาญตัดสินใจวิ่งตามรถก๋วยเตี๋ยวไป
ทางด้านทิวาเมื่อดอกไม้จัดเสร็จ ทิวาเดินถือช่อดอกไม้ออกจากร้าน ทิวาเดินยิ้มมีความสุขกลับมาที่รถ แต่เขาเห็นรถบขส.มาขวางทางเขาอยู่ ทิวาดูนาฬิกา
“จะถึงเวลานัดแล้วด้วย ไอ้รถเลวนี่มาจอดขวางอีก” ทิวาชะโงกดูไม่เห็นใครบนรถ “ โอ๊ย อะไรเนี่ย สันดานแย่จริงๆ อย่าให้เจอเดี๋ยวโดนแน่”
ทิวาออกไปไม่ได้เดินดูนาฬิกาอย่างกระวนกระวายใจ ซักพักนึงเมฆก็เดินถือข้าวของออกมา ทิวาเห็นอารมณ์ขึ้นทันที
“นี่แกเองเหรอ แกตั้งใจจะแกล้งชั้นใช่มั้ย ห๊า”
“เรื่องอะไรกัน”
“ก็แกจอดรถขวางทางชั้น ชั้นรีบ”
“แต่คุณมาจอดรถที่ป้ายรถบขส.นะครับ”
“เถียงเหรอ ตกลงจะไม่ยอมรับผิดใช่มั้ย” ทิวาเดินตามไล่ผลักเมฆ จนเมฆล้มลง “แกรู้มั้ยว่าเวลาของชั้นมีค่าแค่ไหนถ้าเทียบกับแก ไอ้เป๋”
“คุณบอกให้คนเลื่อนรถให้ก็ได้”
“แกแหกตาดูซิ มันมีใครอยู่มั้ย ไอ้เป๋” ทิวาบอกแล้วเหยียบเข่าอีกข้างของเมฆที่ไม่ได้เสีย “ดูซิถ้าเป๋ทั้งสองข้างแล้วจะมีหน้ามาจอดรถขวางชั้นอีกมั้ย”
“โอ๊ยยยยยย”
ทิวากระทืบเข่าของเมฆจนเมฆร้องโอดโอยดังลั่น ชาญวิ่งหน้าเหรอหรามา
“มีเรื่องอะไรกันเนี่ย”
เมฆยื่นกุญแจรถให้ชาญ
“ไปเลื่อนรถ”
“แต่พี่เมฆ”
“ไปเลื่อนรถก่อน ไปเร็ว”
ชาญเอากุญแจไปเลื่อนรถบขส. ทิวามองเมฆอย่างไม่ใยดีแล้วขับรถตัวเองออกไปทันที ชาญรีบวิ่งลงจากรถ
“รถมันเองเหรอ พี่เมฆเป็นอะไรมั้ย”
“ช่างเถอะ”
“น่าจะให้ชั้นจัดการมันก่อน เห็นมั้ยมันหนีไปจนได้เจ็บใจนัก”
“แกนั่นแหละ บอกให้เฝ้ารถ ไปไหนมา”
“แหะ แหะ” เมฆลุกขึ้นยืนไม่ได้ เจ็บขา ชาญพยุง “แย่ละทีนี้ เจ็บกันทั้งพ่อทั้งลูก ไอ้ตระกูลนี้นี่มันเลวไร้ที่ติจริงๆ”
อบเชยนั่งรอทิวาอยู่ในร้านอาหาร ทิวาเดินเข้ามาพร้อมกับช่อดอกไม้ให้อบเชย อบเชยรับมาเป็นพิธีไม่ได้ปลื้มนัก
“โทษทีที่มาช้า พอดีมีปัญหานิดหน่อย”
“ไม่เป็นไร”
“ที่นัดมาวันนี้ มีธุระอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า”
“แหม ทำเป็นรู้ดีนะ”
“ถ้าไม่มีธุระเธอคงไม่เรียกชั้นออกมาหรอก แต่ไม่เป็นไรชั้นอยากเจอเธออยู่แล้ว”
“ได้ข่าวว่าพ่อเธอกำลังจะจัดงานวันเกิด”
“ใช่”
“ท่าทางงานจะน่าสนุกนะ”
“เธออยากไปมั้ยล่ะ”
“ชั้นไปได้ด้วยเหรอ...” อบเชยแกล้งถาม
“ไปได้สิ ไปในนามแขกของชั้น”
“ขอบคุณนะ”
“แต่เธอห้ามพาใครมาด้วยนะ” อบเชยน้ำแทบพุ่งออกจากปาก “ห้ามพาใครมา ไม่ว่าจะไอ้ไม้ หรือใครทั้งนั้น เธอต้องอยู่กับชั้นคนเดียว”
อบเชยยิ้มแห้งๆ
“ได้ เอาแบบนั้นก็ได้”
ส่วนที่โรงพยาบาลชาญพยุงเมฆมาที่โรงพยาบาล ไม้นอนอยู่ที่เตียงลุกขึ้นดูพ่ออย่างตกใจ
“พ่อเป็นอะไร”
“จะอะไรซะอีกล่ะ ก็โดนไอ้ทิวากระทืบมาเหมือนเอ็งนั่นแหละ”
“ไอ้ทิวาอีกแล้วเหรอ”
“พ่อลูกเป็นเหมือนกัน สบายละ นี่เดี๋ยวจองเตียงนอนข้างๆ กันไปเลย”
“มันชักจะเอาใหญ่แล้ว ทำชั้นชั้นไม่ว่า แต่ทำพ่อชั้น ชั้นไม่ยอมหรอก”
“ช่างมันเถอะ”
“คอยดูเถอะ ถ้าชั้นเรียนกรงเล็บพยัคฆ์กับคุณไกรจบเมื่อไหร่ชั้นจะไปแก้แค้น”
“เฮ้อ ..นี่ก็บอกให้นอนอยู่บ้านก็ไม่เอาจะมารับเอ็งออกจากโรงพยาบาล”
พยาบาลเดินเข้ามา
“เดี๋ยวคุณไม้มาที่ห้องจ่ายยาหมายเลขสองได้เลยนะคะ”
“ผมจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ที่ไหน” เมฆถาม พยาบาลดูเอกสาร
“ของคุณไม้จ่ายแล้วนี่คะ”
“เป็นไปได้ยังไง”
“จ่ายแล้วจริงๆ ค่ะ รับยาได้เลย”
“คุณไกรแน่ๆ เลย”
ไม้ยังคิดเรื่องแก้แค้นทิวา ขณะที่เมฆนึกสงสัยว่าใครจ่ายค่ารักษาพยาบาล
ชาญพาเมฆและไม้กลับมาบ้าน
“พ่อน่ะ น่าจะแวะหาหมอซักหน่อย”
“พ่อไม่เป็นไรมากหรอก”
“ไม่เป็นไรอะไรล่ะ ขาเสียสองข้างแทบเดินไม่ได้บอกไม่เป็นไร”
“พ่อต้องไปขอบคุณคุณไกรด้วยตัวเอง”
“เดี๋ยวผมจัดการให้ พ่อนอนพักอยู่บ้านเถอะผมล่ะอยากจะเจอคุณไกรจะแย่ จะได้หัดท่ากรงเล็บพยัคฆ์ซะที”
“แล้วเวลาแบบนี้อบเชยมันหายไปไหนเนี่ย ปกติเห็นคอยดูแลกันไม่เคยห่าง นี่เดี้ยงทั้งพ่อทั้งลูก หายตัวเลย”

ชาญบอก ไม้แอบเคืองอบเชยอยู่ในใจ

อ่านต่อตอนที่ 5



กำลังโหลดความคิดเห็น