ฉันรักเธอรัก ตอนที่ 7
แพรวไพลินควงเป็นไทขึ้นดอยสุเทพ โดยนับดาวตามมากับไคคุง แพรวไพลินหอบแฮ่กๆ พลางบ่น
“ทำไมไม่ขึ้นรถรางเนี่ย ฉันไม่เข้าใจเลย”
ไคคุงหันมาคุยกับนับดาว
“เราไม่ได้มาวัดนี้ด้วยกันตั้งหลายปีแล้วเนอะ ตั้งแต่ผมมาเยี่ยมคุณที่นี่ครั้งนั้น ดีจังได้มาด้วยกันอีก”
นับดาวยิ้มแห้งๆ
แพรวไพลินหันมาถาม
“เคยมาวัดนี้ด้วยกันเหรอคะ”
“ยูกิเขาชอบมาอธิษฐานขอพรน่ะครับ”
นับดาวตื่นเต้น
“พูดเป็นเล่น ขอพรได้ด้วยเหรอ แบบนี้ต้องขอบ้าง”
“อ้าว ยูกิจำไม่ได้แล้วเหรอ” ไคคุงแปลกใจ
“จำได้สิ ฉันชอบอธิษฐานจะตาย” นับดาวหันถามเป็นไทหาพวก “ใช่มั้ย”
เป็นไทงง เพราะไม่รู้เรื่องด้วย นับดาวเซ็ง แพรวไพลินรีบแซก
“งั้นดีเลย แพรวจะขอพรให้กับความรักของเรา ดีมั้ยคะพี่ไท”
“อย่างมงายเลยน่า” เป็นไทรำคาญ
“ของแบบนี้ทำแล้วก็ไม่เสียหายซักหน่อย”
นับดาวมองแพรวไพลินหมั่นไส้นิดๆ ทั้งหมดเดินเข้ามาในบริเวณวัด แพรวไพลินหันมาถาม
“แล้วนี่ต้องอธิษฐานยังไงบ้างเหรอ”
นับดาวตอบกวนๆ
“ก็แค่จุดธูปแล้วขอ ไม่เห็นจะต้องถาม”
“แต่มันไม่ใช่วิธีนั้นนะยูกิ” ไคคุงแย้ง
“ห๊ะ...” นับดาวเริ่มมั่วไปเรื่อย “ก็ต้องจุดเทียนชัย”
“ไม่ใช่”
“ดอกบัวสามดอก”
ไคคุงส่ายหน้า
“ปิดทอง”
ไคคุงส่ายหน้า
“เก็บหินมาวนที่หน้าสามรอบ พร้อมตั้งนะโมสามจบ”
ไคคุงส่ายหน้าอีก
“โอ๊ย แล้วมันทำยังไงก็พูดๆมาสิ”
ทุกคนมองหน้านับดาวงงๆ ก็ไหนว่ามาอธิษฐานบ่อย แต่บอกวิธีไม่ถูกเลย
“นี่เคยมาจริงป่ะเนี่ย” แพรวไพลินสงสัย
ไคคุงตอบแทน
“เราต้องเดินวนรอบพระธาตุสามรอบแล้วก็อธิษฐานจิต”
“เหรอ”
“คุณจำไม่ได้ ได้ยังไง”
“นั่นสิเนอะ แหะ แหะ”
“คุณจำคำอธิษฐานที่เราเคยขอร่วมกันได้มั้ย”
นับดาวอึกอัก ไคคุงแปลกใจ
“คุณไม่เคยลืมรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของเราเลยนะยูกิ คุณเปลี่ยนไปมากจริงๆ”
สถานการณ์เริ่มตึงเครียด นับดาวไม่รู้จะแก้ตัวยังไง เธอเลยแกล้งเป็นลมซะงั้น
“โอ๊ย...”
พอนับดาวเซ เป็นไทก็ถลาจะไปอุ้ม แต่ไคคุงก็คว้าตัวเธอได้ก่อน
“ยูกิ ยูกิ”
ไคคุงพยายามเรียก เป็นไทจ๋อย ไคคุงรีบพายูกิไป นับดาวหรี่ตามองไม่ใช่เป็นไทอุ้ม แอบเซ็งนิดหน่อย แพรวไพลินมองอย่างหมั่นไส้
“มารยาละสิ”
“นี่แพรว อย่าว่าคนอื่นแบบนั้น ไม่ดีเลย”
เป็นไทรีบตามไคคุงกับนับดาวไปอย่างเป็นห่วง แพรวยิ่งหมั่นไส้ เดินตามเป็นไทไป
บนม้าหินร่มรื่นมองไปเห็นวิวด้านล่าง นับดาวนอนบนตักของไคคุง มีไคคุงพัดให้อย่างห่วงใย นับดาวหรี่ตามองเห็นเป็นไทเดินตามมา เธอทำเป็นว่าได้สติ เป็นไทเห็นภาพนับดาวนอนบนตักไคคุงแล้วปวดใจเหมือนกัน นับดาวลุกขึ้นนั่ง แพรวไพลินก็ตามเป็นไทเข้ามาติดๆ
“เกิดอะไรขึ้นคะเนี่ย อยู่ๆก็เหมือนใครดึงปลั๊กออก” นับดาวแกล้งงง
“คุณเป็นลมไปน่ะ สงสัยเพราะขึ้นบันไดมาหลายขั้น”
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ พักนี้ไม่รู้เป็นอะไรรู้สึกเหมือนเลือดไม่ค่อยไปเลี้ยงสมองเลย”
“หรือนี่จะทำให้ยูกิจำอะไรไม่ค่อยได้ หลอดเลือดดำมีปัญหา อนาคตอัลไซเมอร์”
“พอเถ๊อะ เยอะไป”
“ไปสแกนสมองที่โรงพยาบาลมั้ยครับ” ไคคุงถามอย่างเป็นห่วง
“ใจเย็นๆค่ะ ไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“ยูกิทำงานหนักไปรึเปล่าครับเนี่ย”
“ทำอะไร วันๆไม่เห็นจะทำอะไรเลย นอกจากเต้นแรงเต้นกาแล้วก็ทำหน้าเชิด” แพรวไพลินประชด
“ตอนนี้ดีขึ้นแล้วค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ” นับดาวตัดบท
แพรวไพลินประชดอีก
“ใครห่วงเธอไม่ทราบ ไม่เคยแม้จะรู้สึก”
เป็นไทถอนใจ
“พอแล้วแพรว มีมารยาทหน่อย คุณยูกิเป็นลูกค้าของพี่”
“แล้วเป็นแฟนผมด้วย” ไคคุงเสริม
สีหน้าเป็นไทกับไคคุงต่อว่า แพรวไพลินจ๋อยไปที่ทุกคนโทษว่าเธอผิด
ซีซีนั่งทาเล็บตัวเองอยู่ เสียงโทรศัพท์เธอดังขึ้น มือที่เพิ่งทาเล็บทั้งสองข้างไม่สามารถรับได้ เธอพยายามจะใช้เท้าใช้ศอกรับ แต่ก็ไม่ได้ ซีซีจิกหัวใช้ยูกิ
“นังยูกิ... ยูกิ”
ยูกิเดินมาอย่างไม่ค่อยพอใจนัก มือเธอถือถุงขยะใบใหญ่ มือเลอะขยะทั้ง 2 ข้าง
“มาถือโทรศัพท์ให้ฉันหน่อย”
“โทรศัพท์คุณ คุณก็รับไปสิ”
“ไม่เห็นรึไง มือฉันไม่ว่าง” ซีซีชูให้เห็นเล็บที่ทา
“มือฉันก็ไม่ว่างเหมือนกัน” ยูกิชูถุงขยะให้ดู
“แต่ฉันสั่ง เธอต้องทำ”
ยูกิหน้าเบื่อๆ
“ได้”
ยูกิเอามือเข้าไปคลุกในถุงขยะให้เลอะมอม แล้วเดินเข้ามารับโทรศัพท์ให้ซีซี โทรศัพท์วางแนบหูซีซี
“ว่าไง มีเรื่องอะไร เจอยายยูกิที่ดอยสุเทพ” ซีซีหัวเราะกับสิ่งที่เพื่อนบอก “บ้า จะเป็นไปได้ยังไง ...ห๊า มากับไคคุงแฟนของมันด้วย...มันจะไปอยู่นั่นได้ไง ก็มันอยู่ต่อหน้าฉันตรงนี้เนี่ย”
ยูกิได้ยินก็ตกใจปนงงๆ ซีซีทำเสียงไม่พอใจใส่เพื่อน
“บอกตรงๆนะ ถ้ามันไม่ได้อยู่กับฉันตอนนี้ ฉันคงหลงเชื่อ แต่นี่ฉันอยู่กับมัน จะเป็นแบบนั้นไปได้ไง เธอนี่ตลกดีจริงๆ ฉันไม่ฟังเรื่องล้อเล่น ไร้สาระแบบนี้หรอก” ซีซีทำจมูกฟุดฟิดได้กลิ่นอะไร “นี่กลิ่นอะไรน่ะ”
ซีซีพยายามจะดมกลิ่นหาต้นตอ แล้วก็คว้ามือยูกิมาดม ยูกิสนองทันทีเอามือไปคลุกกับหน้า ทำหน้าตาซีซีเละเทะและเหม็นโฉ่ ซีซีกรี๊ดแทบคลั่ง
“เธอเอาอะไรมาป้ายหน้าฉันห๊ะ”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ ฉันก็บอกเธอแล้วไงว่ามือฉันไม่ว่าง...ไปทำงานต่อดีกว่า”
ยูกิเดินไปคว้าถุงขยะแล้วเดินออกไป ซีซีเห็นว่าเป็นขยะแล้วยิ่งโมโห
“อี๋ แกเอาเศษขยะมาป้ายหน้าฉันเหรอ นังตัวดี”
ซีซีกรี๊ดอย่างรังเกียจ ยูกิอมยิ้มที่แกล้งซีซีได้
นับดาวเดินวนรอบพระธาตุครบ ตั้งใจอธิษฐาน
“ขอให้ฉันเป็นดาราดัง ดังแบบที่เป็นนับดาว ไม่ใช่คนอื่นแบบตอนนี้”
เป็นไทเดินผ่านมาพอดี
“ขอพรอะไรครับ”
“เอ่อ...ความลับค่ะ เดี๋ยวพรจะไม่เป็นจริง”
“ถ้าเป็นเรื่องความรักลองอธิษฐานกับผมมั้ยล่ะ เผื่อจะเป็นจริงก็ได้”
นับดาวส่ายหน้า
“ไม่ล่ะ”
“ที่ว่าไม่ หมายถึงไม่ใช่เรื่องความรัก หรือไม่อธิษฐานกับผม”
“ทั้งสองอย่างนั่นแหละ”
“เสียใจนะเนี่ย”
“ชิ...แล้วคุณแฟนคุณละ ไปไหนแล้ว”
เป็นไทจุ๊ปาก
“ไม่เอาไม่พูด เดี๋ยวก็ตามมาหรอก”
“ดีออกมีคนคอยตามดูแลทุกฝีก้าว”
เป็นไทประชด
“คุณก็ท่าทางจะชอบนะที่มีแฟนคอยตามติด”
นับดาวมองเป็นไทค้อนๆ เป็นไทคว้าข้อมือเธอ
“ทำอะไรน่ะ”
“หรือคุณอยากกลับไปกับแฟนคุณล่ะ”
นับดาวนิ่งคิด มองหน้าเป็นไทแทนคำตอบ แล้วเป็นไทก็พานับดาววิ่งออกไป
“แล้วจะไปไหน”
“ไม่รู้ คุณก็บอกทางผมมาสิ”
“ฉันบอกก็หลงน่ะสิ”
ทั้งคู่พากันวิ่งออกไปจากบริเวณวัด
แพรวไพลินหลับตาตั้งจิตอธิษฐานอย่างตั้งใจ ไคคุงเดินมาเห็น
“นี่คุณทำอะไรของคุณน่ะ”
“ก็ตั้งจิตอธิษฐานไงล่ะ”
“มาทำอะไรตรงนี้ เขาไปทำในวัดโน่น”
“ก็ฉันจะเดินอย่างตั้งจิตให้มั่นไปที่พระธาตุน่ะสิ ใช่มั้ยคะพี่ไท”
แพรวไพลินหันหาเป็นไท
“ผมไม่เห็นเขาอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้ว”
“อ้าว แล้วพี่ไทไปไหนล่ะ”
“ผมจะรู้มั้ยเนี่ย ผมไปเข้าห้องน้ำมา”
“แล้วแฟนคุณล่ะ”
“ผมยังไม่เห็นเลย”
“ฮืม...ยัยยูกิ เผลอไม่ได้เลยนะ แก่นนัก”
แพรวไพลินหันมองไปรอบๆไม่เห็นวี่แววเป็นไทกับยูกิเลย แพรวไพลินเดินตามหา
“นี่จะไปไหนน่ะ”
“ก็ตามหาพี่ไทน่ะสิ คุณจะยืนโง่อยู่ตรงนี้ก็ตามใจ”
“แล้วคุณจะโง่ เดินไปหาโดยไม่รู้ทางที่เชียงใหม่เลยรึไง”
แพรวไพลินจ๋อย
“ก็นำไปสิ...พูดแค่นี้ก็ต้องดุด้วย”
ไคคุงเดินนำไป แพรวไพลินเดินตามไปอย่างเซ็งๆ
เป็นไทจูงมือนับดาวเดินลงบันไดมาถึงด้านล่าง ทั้งคู่หยุดยืนหอบ มองหน้ากันแล้วหัวเราะ นับดาวรู้สึกได้ถึงมือของเป็นไทที่กุมมือเธออยู่ เธอแอบยิ้ม
“แล้วแฟนคุณจะไม่งอนเอาเหรอ”
“ผมไม่ห่วงเขาหรอก ผมห่วงคุณมากกว่า”
“ห่วงฉันทำไม”
“ก็แฟนคุณนะ”
“แค่วันนี้วันเดียว คงไม่เป็นไรหรอกเนอะ”
เป็นไทยิ้ม พยักหน้ารับ
เป็นไทจูงมือนับดาวเดินต่อไป เธอมองมือที่จับกันอย่างมีความสุข
เป็นไทขับรถมาจอดริมถนน ทางลงเขา นับดาวงงๆ
“จะทำอะไรน่ะ”
“ลงไปข้างทางกัน”
นับดาวส่ายหน้า
“ไปทำไม”
“จุดชมวิวไง มองเห็นทั้งเมืองเชียงใหม่เลยนะ”
“ฉันกลัวความสูง”
“งั้นก็ดีเลย ไปด้วยกัน”
“ทำไมต้องไปด้วยล่ะ”
“จะได้เป็นความทรงจำดีๆระหว่างเรา ที่คุณจะไม่มีวันลืมไง”
“แต่...ฉันกลัว”
“ไปเถอะน่า”
นับดาวลังเล เป็นไทลงมาเปิดประตูฝั่งนับดาว ดึงเธอลงจากรถ
“ไปยืนกลางๆก็ได้ ไม่ใกล้ขอบหรอก”
“ไม่เอา มันเสียวนี่”
“ไปเถอะน่า”
นับดาวส่ายหน้า สุดท้ายเป็นไทก็ดึงเธอไปจนได้
เป็นไทพยายามจะเดินมาที่จุดชมวิว โดยมีนับดาวหลับตาปี๋ เกาะหลังแจ
“นี่ ปล่อยผมแล้วหันไปดูวิวหน่อยดีมั้ย สวยมากเลยนะ”
“ฉันไม่อยากเห็น”
“นี่มันเห็นกว้างไปทั้งเชียงใหม่เลยนะ สวยมากเลย”
“ฉันไม่ชอบมองภาพกว้าง ไปมองทำไมอะไรที่ไกลตัว”
“ผมสัญญาว่าถ้ามีผมอยู่ คุณไม่มีวันตกลงไปหรอก”
“อย่าสัญญามั่วๆ ฉันจริงจังนะ”
“ผมพูดจริง ผมสัญญา ไม่ใช่แค่ตอนนี้ด้วย ผมสัญญาว่าถ้ามีผม ผมจะไม่ยอมให้คุณเจ็บเด็ดขาด”
นับดาวคลายจากความกลัวไปได้บ้าง เธอมองหน้าเขา
“ไว้ใจผมสิ”
เป็นไทยื่นมือให้นับดาวจับแล้วพาไปชมวิว นับดาวยังกลัวๆ แต่พอเห็นวิวที่สวยงามแล้ว เธอก็ตื่นตาตื่นใจมาก
“สวยจัง”
“ผมอยากให้คุณจำเวลานี้ไปตลอด ได้มั้ย”
“แล้วคุณล่ะ”
“นี่อาจจะเป็นสิ่งเดียว ที่ไคคุงยังไม่ทำให้คุณ ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ผมจะลืมมัน”
นับดาวกับเป็นไท มองหน้ากันและมองวิวอย่างมีความสุข นับดาวแอบคิดในใจ
‘นี่อาจจะเป็นจุดสูงสุดในชีวิตฉัน ที่คนธรรมดาอย่างฉันจะมายืนได้ ฉันจะลืมได้ยังไงล่ะ’
แพรวไพลิน กับไคคุงมานั่งอยู่ด้วยกันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นร้านเดิม คนเดินเข้าออกพลุกพล่าน
“ไหนบอกว่าพวกเค้าจะมากินข้าวกันที่นี่ แล้วไหนล่ะพี่ไทของฉันน่ะ”
“ก็ปกติยูกิชอบมาทานอาหารร้านนี้”
แพรวไพลินค้อน
“แฟนคุณคงพาแฟนฉันมาแอบกินข้าวเที่ยง เพราะหิวเหลือเกินงั้นสิ”
“เชียงใหม่มันไม่ใช่เล็กๆนะคุณ จะได้ตามหาคนได้ง่ายๆ”
“ตอนแรกไม่ได้พูดแบบนี้นี่ เห็นบอกรู้ใจยูกิดี หลับตาหายังได้เลย”
“ก็ยูกิเค้าไม่เหมือนเดิม เค้าแทบจะไม่ใช่คนๆเดิมเลยด้วยซ้ำ”
“แล้วมาบอกฉันทำไมล่ะ”
แพรวไพลินเดินหงุดหงิดไป ไคคุงเดินตามไปจ๋อยๆที่ไม่เจอยูกิ
องอาจเดินมาถามเลขาที่โต๊ะทำงาน อย่างร้อนใจ
“เป็นไงติดต่อคุณเป็นไทได้มั้ย”
“ได้ค่ะ คุณเป็นไทบอกการเจรจาผ่านไปได้ด้วยดี”
องอาจถอนใจแรงๆ
“โล่งอกไป คิดว่าจะต้องยกเลิกคอนเสิร์ตนี้ซะแล้ว ว่าแต่ทาง J.O.Y. ก็บ้าจี้เห็นข่าวอะไรก็เชื่อไปหมด รู้จักวงการบันเทิงไทยน้อยไปซะแล้ว”
“เห็นว่าคนส่งข่าวเป็นนักข่าวไทย ทางญี่ปุ่นถึงเชื่อ”
“นักข่าวไทย”
“ค่ะ รู้สึกจะชื่อ…ชื่อวราพรรณ ชื่อเหมือนนักข่าวที่คุณแกล้งเมื่อวันก่อน”
“ว่าไงนะชื่อเหมือนยัยนักข่าวทอม”
“ค่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าใช่คนเดียวกันหรือเปล่า”
“จะเป็นใครได้ ก็มีอยู่คนเดียวนั่นแหละ”
องอาจพูดด้วยความโกรธ
วราพรรณนั่งอยู่ที่ทำงาน เธอหัวเราะด้วยความสะใจ
“เล่นกับใครไม่เล่น”
ทันใดนั้นวราพรรณก็ได้ยินเสียงดังรปภ. ดังโวยวายมาจากด้านหน้าสำนักงาน
“เข้าไปไม่ได้นะครับคุณ เข้าไปไม่ได้”
องอาจโวยวายกับรปภ.ด้วยความไม่พอใจ
“ถ้าไม่ให้ผมเข้าไป ก็เรียกยัยนักข่าวทอมออกมาคุยกันให้รู้เรื่อง ไม่อย่างนั้นผมฟ้องแน่”
วราพรรณเดินมา
“เสียงเอะอะไรกันน้าวี...อ๋อที่แท้ก็นายนี่เอง มีเรื่องอะไร”
องอาจจ้องหน้าวราพรรณ
“ไม่ต้องมาทำไก๋ ผมรู้ว่าคุณจงใจปล่อยข่าวเรื่องยูกิ เพราะโกรธที่ถูกผมแกล้ง”
วราพรรณยักไหล่ ไม่แคร์
“ก็แหงล่ะ ทำเหมือนฉันเป็นตัวตลกแถมยังกล่าวว่าฉันดีแต่คิดถึงแต่ตัวเอง สุดท้ายนายก็เหมือนกัน”
“อย่าเอาผมไปเทียบกับคุณเราไม่เหมือนกัน”
“ทำไมจะเทียบไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะนายกลัวคอนเสิร์ตถูกยกเลิก กลัวถูกไล่ออก นายคงไม่มาที่นี่”
“แต่สิ่งที่ผมทำคือปกป้องคนอื่น และไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร”
“แต่นายเองก็ควรได้รับบทเรียนเหมือนกันว่าไม่ควรตัดสินใคร ทั้ง ๆ ที่นายยังไม่รู้จักเค้าดีพอ”
“ทำอย่างกับคุณน่ารู้จักมากนักแหละ ได้ ! แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”
“แน่จริงก็เอาเลย คิดว่าฉันกลัวหรือไง”
“ฝากไว้ก่อนเถอะ”
องอาจชี้หน้าวราพรรณ ก่อนจะเดินจากไปอย่างไม่สบอารมณ์ วราพรรณยิงฟันใส่อย่างไม่กลัว
วันต่อมา...นับดาวเดินลงมาที่ล็อบบี้ บอดี้การ์ดจาก J.O.Y. วิ่งเข้ารุมนับดาว พูดด้วยภาษาญี่ปุ่น
“ได้เวลาแล้ว ไปกันเถอะคุณยูกิ”
“ห๊ะ ทำอะไรกันน่ะ”
“บอสรออยู่นานแล้ว”
“พูดอะไร ฉันฟังไม่รู้เรื่องหรอก”
บอดี้การ์ดผายมือ
“เชิญ”
นับดาวงง
“จะให้ไปไหนอีกล่ะ เมื่อวานก็เคลียร์กันจบแล้วไม่ใช่เหรอ”
“เร็วเถอะครับ เดี๋ยวบอสจะหงุดหงิด”
บอดี้การ์ดล้อม และต้อนนับดาวไป เป็นไทเดินลงมาเห็น
“จะทำอะไรน่ะ”
“รีบไปดีกว่าครับ รวมทั้งคุณด้วย”
เป็นไทงง
“อะไรกันเนี่ย”
บอดี้การ์ดต้อนเป็นไทไปไปที่ห้องประชุมด้วยอีกคน เมื่อไปถึงพบชินอิจิรออยู่แล้ว บ่นทันที
“กว่าจะมาได้นะ”
นับดาวกับเป็นไทมองหน้ากันงงๆ
“นี่เรื่องอะไรกันเนี่ยคุณ ไหนบอกว่าเมื่อวานเราเคลียร์ทุกอย่างจบแล้วไง” เป็รไทหันมาถามนับดาว
“เอ่อ...”
“คุณถามเขาหน่อยสิ ว่าให้เรามาทำไมอีก”
“ฉันเนี่ยเหรอถาม...เอ่อ...คือ...วา วาตาโระ”
นับดาวพยายามจะพูดญี่ปุ่นมั่วๆ ขณะที่สถานการณ์กำลังย่ำแย่ พ่อ แม่ ของยูกิก็เปิดประตูเข้ามาด้านใน พอเห็นยูกิทั้งคู่ก็ดีใจมาก วิ่งโผเข้ามากอด นับดาวยิ่งงงหนัก
“เอ้า มากันใหญ่ เรื่องเก่ายังไม่ทันเคลียร์ เรื่องใหม่มาอีกละ”
พ่อ แม่พูดญี่ปุ่น
“แม่คิดถึงลูกมาก”
“พ่อคิดถึงลูกมากเหมือนกัน เราอยากบินมาเยี่ยมลูก แต่ติดต่อลูกไม่ได้เลย”
นับดาวหนาแหยๆ ยิ้มแห้งๆ
“ไปกันใหญ่เลยแล้วเนี่ย”
“อะไรไปกันใหญ่เหรอลูก”
นับดาวได้ยินเสียงแม่พูดภาษาไทย นับดาวตกใจ
“พูดไทยได้”
พ่อแปลกใจ
“ดูนั่น ทำหน้างงใหญ่”
“คุณสองคนมาที่นี่กันทำไม” นับดาวถามงงๆ
“ทำไมถามแบบนั้นล่ะ เขาก็ให้มารับรองสัญญาที่ลูกจะเซ็นวันนี้ไง”
เป็นไทถามขัดขึ้น
“ใครน่ะยูกิ”
“เอ่อ...ใครดีนะ...”
พ่อหันไปบอกเป็นไท
“ฉันสองคนก็พ่อกับแม่ยูกิยังไงล่ะ”
นับดาวตกใจกว่าใคร
“พ่อกับแม่เหรอ”
นับดาวหันมองทั้งคู่แล้วก็โผเข้ากอดอีกครั้ง
“คิดถึงพ่อกับแม่จังเลย”
ชินอิจิตัดบท
“พอได้แล้ว เดี๋ยวสัญญาก็ไม่ได้เซ็นใหม่กันซักที”
ชินอิจิทำเข้มอย่างไม่เกรงใจใคร
ที่บ้านพักริมทะเล...ซีซีเตรียมแพ็คกระเป๋าเดินทางกลับ ยามาดะเดินเข้ามาหา
“นี่ ฉันกลับไปแล้วก็อย่าปล่อยให้นังยูกิมันอยู่อย่างสุขสบาย เข้าใจมั้ย อยากให้มันทำอะไรก็ใช้มันเข้าไป ไม่ได้ดั่งใจฉันอนุญาตให้ใช้ความรุนแรงได้เลย ไม่ใช่โง่ดักดานทำทุกอย่างเองให้มันหมดอย่างกับทาส”
“จะทำแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน”
“แกจะถามทำไม ฉันมีเงินจ่ายให้แกก็แล้วกัน”
“มันไม่เห็นจะแก้ปัญหาคุณได้เลย”
ซีซีหน้าตึง
“อย่ามาสอน ฉันรู้ดีว่าชีวิตฉันควรจะต้องจัดการอะไรยังไง แกน่ะเอาตัวเองให้รอดเถอะ”
“ผมแค่อยากรู้จุดมุ่งหมายของคุณ อยากรู้ว่ามีเวลาเหลืออีกเท่าไหร่”
“เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น มันไม่ใช่เรื่องของฉันที่จะต้องมาคอยตอบคำถามแก”
ซีซีหยิบเงินปึกหนึ่งจากกระเป๋าโยนให้ยามาดะ
“เอาไป เงินของแก”
ซีซีเดินถือกระเป๋าออกไปข้างนอก ยามาดะก้มเก็บเงินขึ้นมา มองเงินอย่างมีหวัง แล้วกลับไปที่ห้องพัก
เปิดกล่องเหล็กเก่าๆ ที่ด้านในมีรูปยูกิเต็มไปหมด เขาเอาเงินที่เพิ่งได้มากับเงินที่สะสมไว้ทั้งหมด เรียงเป็นระเบียบใส่ไว้ในนั้น
“แล้ววันนึงผมจะรวย จะคู่ควรกับคุณ”
ยามาดะมองเงิน ด้วยความหวังก่อนที่จะเก็บมันไว้
อ่านต่อหน้า 2
ฉันรักเธอรัก ตอนที่ 7 (ต่อ)
ภายในห้องประชุม...เอกสารสัญญาถูกส่งให้นับดาว กับเป็นไทอ่านอย่างละฉบับ
“เอกสารนี่มัน...”
เป็นไทงง นับดาวเดาๆ
“เป็นสัญญาที่เค้าอยากให้คุณเซ็น เกี่ยวกับการดูแลฉันก่อนคอนเสิร์ต” นับดาวหันไปถามแม่ “ใช่มั้ยคะ”
แม่พยักหน้า นับดาวหน้าตึง
“ถึงกับต้องเซ็นสัญญาใหม่กันเลยเหรอเนี่ย กับอีแค่ข่าวไม่จริง”
“คนญี่ปุ่นจริงจังกับข่าวมาก” แม่อธิบาย
“มีแต่เรื่องผลประโยชน์ทั้งนั้น” นับดาวบ่น
“อ่านสัญญาซะสิลูก”
พ่อเตือน นับดาวหยิบสัญญาขึ้นมาดู เป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ อ่านไม่ออกซักตัว
“พ่ออ่านให้ฟังหน่อยสิคะ”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“ก็ไหนๆพ่อกับแม่ก็ต้องเซ็นรับรองอยู่แล้ว เราก็อ่านไปพร้อมๆกันเลยก็น่าจะดี จริงมั้ยคะ”
พ่อเริ่มอ่านเป็นภาษาญี่ปุ่น นับดาวรีบแย้ง
“เดี๋ยวค่ะ พ่อแปลเป็นภาษาไทยด้วยจะดีกว่า จะได้ฝึกภาษาไปด้วย”
พ่อเริ่มอ่านสัญญาเป็นภาษาไทย ส่วนเป็นไทก็อ่านสัญญาของเขาซึ่งเป็นภาษาไทยอยู่แล้วไป ทุกคนอ่านสัญญาจนจบ เป็นไทโวย
“เฮ้ย...หากมีข่าวลบ หรือทำให้เสียภาพลักษณ์กับตัวศิลปินเป็นครั้งที่ 3 ทางบริษัทมีสิทธิ์จะโอนถอนให้บริษัทอื่นเข้ามาดูแลงานแทน แบบนี้จะไม่เกินไปหน่อยเหรอ เราจะไปห้ามข่าวได้ยังไง”
ชินอิจิถามเป็นภาษาญี่ปุ่น
“มีปัญหาอะไรเหรอคุณเป็นไท”
เป็นไทส่ายหน้า
“โน ไม่มี”
นับดาวเตือน
“เซ็นๆไปเถอะ ไม่งั้นฉันว่าเรื่องใหญ่แน่”
“ทำไงได้ ไฟล์ทบังคับซะขนาดนี้”
เป็นไทกับนับดาวเซ็นลายเซ็นลงบนเอกสาร นับดาวเกือบเซ็นลายเซ็นตัวเอง แต่เธอก็นึกได้เซ็นเป็นลายเซ็นยูกิ”
เป็นไทบ่นเบาๆ
“เมื่อวานคุณน่าจะบอกผมซักคำ ว่าผมต้องเซ็นสัญญา ผมจะได้ให้เขาเอาฉบับร่างมาให้อ่านก่อน จะได้แก้ไขได้”
“เหอ เหอ ฉันขอโทษ” แล้วเธอก็แอบพึมพำ “ฟังรู้เรื่องแค่ไฮ้คำเดียว จะบอกอะไรได้ล่ะ”
เป็นไทถอนใจ
“ช่างมันเถอะ เดี๋ยวเราก็ค่อยไปแก้ปัญหาเอาละกัน”
ชินอิจิพูดภาษาญี่ปุ่น
“เอาล่ะ ผมว่าคงจะไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้นระหว่างการจัดคอนเสิร์ตอีกนะ เพราะผมก็ไม่อยากใจร้ายกับใคร”
ทั้งหมดนั่งฟังชินอิจินิ่งๆ ไม่มีใครกล้าหืออือ แม้จะฟังไม่รู้เรื่อง แต่สีหน้าเครียดของเขาก็ทำให้รับรู้ได้
หลังจากทั้งหมดออกมาจากห้อง แม่หันมาชวน
“เอางี้มั้ย วันนี้เราไปทำอะไรกินกันที่บ้านด้วยกัน”
“เอ่อ...”
นับดาวอยากเลี่ยง แต่พูดไม่ออก พ่อยิ้มให้
“ไม่ได้เจอกันตั้งนานนี่เนอะ”
เป็นไทตัดสินใจทันที
“ก็ดีเหมือนกันครับ ผมก็อยากรู้จักยูกิให้มากขึ้น”
“น่าสนุกจังเลย”
นับดาวยิ้มแบบไม่เต็มใจนัก ออกจะลำบากใจซะมากกว่า
ที่มุมถ่ายเอกสาร... วราพรรณปริ้นคำขอโทษของต้นสังกัดยูกิ ที่แปลจากภาษาญี่ปุ่น เป็นภาษาไทย สังวรณ์เดินมาเห็นบ่นทันที
“วันหยุดมาทำงานทำไม หรือว่าแอบใช้คอมใช้แอร์ฟรี เดี๋ยวก็ถูกหักเงินเดือนหรอก”
วราพรรณเซ็ง
“ต้นสังกัดยูกิเพิ่งแถลงข่าวขอโทษแฟนคลับผ่านเว็บไซด์ ฉันเพิ่งได้คำแปลมา จะเอามารีไรท์ลงฉบับหน้า”
“เหรอ แล้วทางญี่ปุ่นว่าไงบ้าง คงจะชอบสินะที่ยูกิมีข่าวกับผม”
วราพรณประชด
“ชอบมากถึงกับแถลงข่าวปฏิเสธยาวเกือบ 10 หน้า”
“ว่าไงนะ นี่เค้ากล้าปฏิเสธงั้นเหรอ งั้นฉันให้เวลาเธอครึ่งชั่วโมง รีไรท์ให้เสร็จ ไม่งั้นเจอหักค่าไฟแน่”
สังวรณ์พูดจบเดินไป วราพรรณบ่นงอนๆ
“งกชะมัด”
วราพรรณเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ จะรีไรท์ทันใดนั้นเสียงมือถือของเธอที่วางอยู่บนโต๊ะดังขึ้น เธอรับสาย
“นุ้ยค่ะ”
เสียงผู้หญิงดังมาตามสาย
“ย่าเสียชีวิตเมื่อเช้านี้ค่ะ”
“หาว่าไงนะย่าตายแล้ว เป็นไปไม่ได้ไง ฉันเพิ่งโทรคุยเมื่อวานนี้เอง”
“เรื่องอย่างนี้ไม่มีใครล้อเล่นหรอกค่ะ”
วราพรรณร้อนใจ
“แล้วย่าเป็นอะไรตาย”
“มะเร็งเต้านมค่ะ”
“หา ! มะเร็งเต้านม รุ่นนั้นยังมีเหลือให้เป็นอีกเหรอ แล้วนี่นับดาวรู้เรื่องยัง”
“นับดาวไหนไม่รู้จัก ว่าแต่มีโลงแบบติดแอร์ขายหรือเปล่า”
วราพรรณเซ็ง
“สรุปว่าโทรมามาซื้อโลงศพ”
“ค่ะ”
“ฉันไม่ได้ขายโลงศพ...เล่นเอาตกใจหมด”
วราพรรณวางมือถือจะทำงานต่อ ทันใดนั้นเสียงมือถือก็ดังขึ้นมาอีก เธอรับสาย เสียงผู้ชายดังขึ้นทันที
“สั่งซื้อหม้อดินสีม่วงครับ อย่าลืมของแถมแว่นตาอีเกิ้ลกับแอ๊บโดมิไนเซอร์ด้วย”
“ฉันไม่ใช่จอร์จกับซาร่า โทรผิดแล้ว”
วราพรรณวางสาย บ่นอย่างเซ็งๆ
“วันนี้เป็นอะไร มีแต่คนโทรผิด”
วราพรรณจะหันไปทำงาน ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาอีก เธอรับอย่างเซ็งๆ
“ถ้าจะสั่งซื้อหม้อดินหรือโลงศพที่นี่ไม่มี”
“ผมอยากคุยอะไรเสียวๆ”
“ได้ ! มะม่วงเปรี้ยว ช็อกขูดกระดาน ประตูฝืด เสียวพอมั้ย”
“อันนั้นเสียวฟัน แต่ผมอยากเสียวแบบนี่ อูวววว์ อ้ารรรร์ โอ้ววววว เยส”
วราพรรณเซ็ง
“ถามจริงไปได้เบอร์มาจากไหน”
“ห้องน้ำห้าง เห็นบอกว่ารับเสียว 24 ชั่วโมง”
วราพรรณเซ็ง
“พิเรนทร์แบบนี้ฉันรู้แล้วฝีมือใคร”
องอาจเดินผิวปากมาอย่างสบายใจ ผ่านมุมเสามา วราพรรณโผล่พรวดเข้ามาพอดี ก็ตกใจ
“เฮ้ย!”
“แน่จริงมาคุยกันตัวๆเลย ลอบกัดแบบนี้ไม่แมน”
“กล้าพูดนะ ผมน่ะแมนเต็มร้อย คุณต่างหากไม่ใช่”
“แล้วนิสัยจู้จี้จุกจิก เจ้าคิดเจ้าแค้น ไม่ลดราวาศอก ลอบกัด แบบนี้เหรอนิสัย ผู้ชายเหรอ เกย์ชัดๆ” วราพรรณย้อนทันที
“งั้นคุณก็ช่วยทำตัวเป็นผู้หญิง ให้สมกับที่ผู้ชายควรให้เกียรติหน่อยสิ ไม่ใช่ทำตัวมึงมาพาโวย เอะอะไรระรานชาวบ้านไปทั่ว เดี๋ยวเค้าจะหาว่าทอม”
“เป็นทอมแล้วมันหนักหัวนายตรงไหน”
“ไม่หนัก แต่ไม่ชอบโดยเฉพาะทอมนิสัยไม่ดี”
“แล้วคิดว่าฉันชอบเกย์เจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างนายหรือไง”
“ผมไม่ใช่เกย์”
“ฉันก็ไม่ใช่ทอม แล้วไม่ชอบให้ใครว่าเป็นทอมด้วย”
“งั้นก็เลิกว่าผมเป็นเกย์ซะทีสิ”
วราพรรณเบ้ปาก
“จะเลิกได้ไง ในเมื่อนายมันเกย์ชัดๆ”
“ผมไม่ใช่เกย์”
“งั้นก็พิสูจน์สิ ถ้าไม่ใช่ฉันจะคุกเข่าขอโทษเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด แล้วจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับนายอีก แต่ถ้าใช่ นายต้องคุกเข่าขอโทษที่ทำไม่ดีกับฉัน แล้วก็เลิกยุ่งเกี่ยวกับฉันเหมือนกัน ตกลงมั้ย”
“ก็ได้” องอาจตอบรับทันที
วราพรรณฉุดแขนองอาจให้เดินตามมา องอาจร้องโวยวายก่อนจะสะบัดแขนวราพรรณออก
“โอ๊ย นี่มันอะไรกัน เดี๋ยวเสื้อผมยับ รองเท้าผมถลอกหมด รู้มั้ยนี่ปราด้าตัวละเกือบหมื่น รองเท้าก็เฟอรากาโม่คู่ละสามหมื่น ถ้าเป็นอะไรขึ้นมา คุณตายแน่”
“นั่นไง เกย์ชัดๆ”
“เอาอีกแล้วนะ”
“ถ้าไม่เชื่อ...”
วราพรรณเห็นผู้ชายหน้าเถื่อนคนหนึ่งเดินผ่านมา เรียกให้หยุด
“พี่ช่วยดูหน่อยนี่อะไร”
วราพรรณชี้ไปที่เสื้อ ชายคนนั้นตอบ
“เสื้อ”
“แล้วนี่ล่ะ”
วราพรรณชี้ไปที่รองเท้า ชายคนนั้นตอบ
“รองเท้า” แล้วเดินไปงงๆ
วราพรรณหันมาบอกองอาจ
“เห็นมั้ยผู้ชายแท้ ๆ เค้าไม่รู้จักแบรนด์เนมหรอก”
“รู้จักมั้ย เมโทรเซ็กชวล”
“แต่ชายแท้คงไม่แต่งตัวเนี้ยบ ขนาดที่ว่าหัวเข็ดขัดเป็นระนาบเดียวกับกระดุมและซิบกางเกง”
องอาจเปิดเสื้อดูหัวเข็มขัด เห็นเป็นระนาบเดียวกับกระดุมและซิบกางเกง
“เหรอ!”
“ใช้น้ำหอม”
องอาจดมแขนเสื้อตัวเองได้กลิ่นน้ำหอม
“ใส่กางเกงในสีขาว”
องอาจพลิกดูขอบกางเกง เห็นกางเกงในสีขาว
“มีผ้าเช็ดหน้า”
องอาจหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“พกเครื่องสำอางติดตัว”
องอาจล้วงลิปมันออกจากระเป๋ากางเกงอีกข้าง
“ตากลิ้งกลอกเมื่อเห็นหนุ่มหล่อ”
องอาจหันไปมองหนุ่มหล่อคนหนึ่งที่เดินผ่านมา แล้วร้องลั่น
“เฮ้ย!”
“แล้วที่สำคัญ...”
วราพรรณพูดไม่ทันจบ เด็กผู้ชายคนหนึ่งเตะบอลมา
“พี่ครับส่งบอลให้ผมหน่อย”
องอาจเงอะ ๆ งะ ๆ จะเตะบอลไม่เตะดี ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหยิบบอลโยนให้เด็ก วราพรรณพูดต่อทันที
“กลัวฟุตบอล เพราะเตะไม่เป็น”
องอาจโมโหโวยวายเสียงดัง
“โอ๊ย เลิกยัดเยียดความเป็นเกย์ให้ผมซักทีได้มั้ย”
องอาจจะเข้าไปขย้ำคอวราพรรณด้วยความโกรธ เสียงมือถือองอาจดังขึ้น เจารีบกดรับ เลขาเป็นคนโทรมา
“คุณองอาจคะมีคนขอพบค่ะ”
“ดีนะที่ระฆังช่วยไว้ทัน ไม่งั้นเจอดีแน่”
องอาจเดินไป วราพรรณตะโกนไล่หลัง
“คิดว่าฉันกลัวเหรอ ยอมรับตัวเองซะเถอะ สังคมยังให้อภัย”
วราพรรณหัวเราะสนุกด้วยความสะใจ เสียงมือถือวราพรรณดังขึ้น เธอรับสาย
“บก.เหรอ ได้ เดี๋ยวฉันรีบไป”
สังวรณ์นั่งอ่านหนังสือรออยู่ตรงมุมรับแขก บริษัทเป็นไท วราพรรณเดินเข้ามา
“หัวหน้า มาทำไม”
“ตามข่าวเรื่องยูกิ”
“ยังไม่จบอีก”
“ก็เพราะมันจะจบไง ฉันถึงต้องมา”
เลขาเป็นไทเดินเข้ามา
“คุณสังวรณ์คะ ผู้ช่วยคุณเป็นไทมาแล้วค่ะ”
วราพรรณหันไปเห็นองอาจเดินเข้ามา องอาจชะงักไปเมื่อเห็นวราพรรณยืนอยู่กับสังวรณ์
“เห็นเจ้านายฉันหล่ออึ้งไปล่ะสิ” วราพรรณได้ทีแซว
องอาจกลบเกลื่อน
“จะบ้าเหรอ”
สังวรณ์งง
“มีอะไรกัน”
วราพรรณกระซิบบอก
“เค้าเป็นเกย์”
สังวรณ์หรี่ตาดูองอาจออย่างเจ้าเล่ห์ องอาจสงสัย
“กระซิบอะไร”
“เปล่า” วราพรรณยักไหล่
องอาจหันมาบอกสังวรณ
“เชิญข้างในดีกว่า อยู่ตรงนี้คงคุยกันไม่รู้เรื่อง”
สังวรณ์เดินไปทีห้องรับรอง วราพรรณจะเดินตามไป องอาจสวนขึ้นมาเสียก่อน
“ส่วนคุณ รออยู่ตรงนี้”
วราพรรณแซว
“กะจะจู๋จี๋กันสองคนล่ะสิ”
“ถ้ายังไม่หยุดอีก ผมจะให้คนจับคุณโยนออกไป”
“ท่าทางเจ้านายฉันจะชอบนายมาก จีบเลยสิ”
“นี่!”
องอาจท่าทางจะเอาเรื่อง วราพรรณหัวเราะกวนประสาท ก่อนจะเดินออกไป องอาจฮึดฮัดก่อนจะเดินออกไป
สังวรณ์นั่งรออยู่ องอาจเดินเข้ามา
“ขอโทษที่ให้รอนาน คุณเป็นไทไม่อยู่ ผมเลยต้องดูแลแทน มีธุระอะไร”
“เห็นว่าทางญี่ปุ่นไม่พอใจเรื่องข่าว ผมเลยจะมาขอสัมภาษณ์ยูกิ แก้ข่าวให้”
“คนสมัยนี้ทำงานดีเนอะ เต้าข่าวขึ้นมา แล้วค่อยมาขอสัมภาษณ์ทีหลัง กะจะเอาทั้งขึ้นทั้งร่องสินะ”
“แล้วการเป็นข่าวกับผมเสียหายตรงไหน”
องอาจบ่นกับตัวเอง
“ยังไม่รู้ตัวอีก”
สังวรณ์ยื่นข้อเสนอ
“ถ้าคุณยอมให้ผมสัมภาษณ์ยูกิสองต่อสอง ผมจะยอมออกไปกินข้าวกับคุณ”
องอาจที่กำลังหยิบน้ำดื่ม สำลักน้ำพรวดออกมา
“ว่าไงนะ”
“ผมรู้ว่าเกย์อย่างคุณคงจะดีใจมากถ้าไอ้ออกเดทกับหนุ่มหล่อๆ อย่างผม”
องอาจไม่พอใจ
“ผมบอกว่าผมไม่ใช่เกย์”
สังวรณ์ไม่สนใจลุกเดินไปหาองอาจ อย่างโปรยเสน่ห์เต็มที่
“แต่โอกาสดีๆ อย่างนี้ไม่ได้มีบ่อยนะครับ” สังวรณ์กระซิบข้างหูองอาจ “หรือจะจูบผมเป็นการมัดจำก่อนก็ได้”
สังวรณ์ทำท่าจะจูบองอาจ องอาจร้องโวยวาย ผลักสังวรณ์ออกไป
“เฮ้ยๆ อย่าๆ ผมไม่ใช่เกย์ ปล่อยผม ปล่อย”
สังวรณ์ก็เสียหลัก สะดุดขาตัวเอง กระชากองอาจล้มไปด้วย ปากองอาจชนกับปากสังวรณ์โดยบังเอิญ ทั้งสองชะงักแน่นิ่งราวกับโลกทั้งโลกหยุด เหมือนเวลาพระเอกเจอนางเอก เลขาเป็นไทและวราพรรณที่รออยู่ข้างนอกได้เสียงเอะ ผลักประตูเข้ามา
“มีเรื่องอะไรกัน”
เลขาเห็นทั้งสองกอดกันอยู่บนพื้น
“ว้าย!” เลขาวิ่งออกไป
วราพรรณตกใจ
“นี่นายเอาจริงเหรอ”
องอาจที่นอนอยู่บนตัวสังวรณ์ได้สติ รีบผละออก เช็ดปากตัวเอง อย่างขยะแขยง
“แหวะๆๆ”
องอาจถ่มน้ำลายไปทางสังวรณ์แบบไม่ได้ตั้งใจ
“ถุยๆๆๆ”
“เฮ้ย ๆ ชายหนุ่มรูปหล่ออย่างผมต่างหากควรขยะแขยงเกย์อย่างคุณ”
“ผมไม่ใช่เกย์”
“แล้วมาปล้ำผมทำไม”
“ไม่ได้ปล้ำ แล้วก็รีบออกไปเลยไป ก่อนที่ผมจะตั้งทนายมาฟ้องคุณ”
“ผมก็จะฟ้องคุณข้อหาข่มขืนกระทำชำเราเหมือนกัน”
สังวรณ์เดินออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ วราพรรณที่ยืนมองอยู่พูดกับองอาจ
“ค้นพบตัวเองแล้วสินะ”
วราพรรณยิ้ม ก่อนจะเดินออกไป องอาจโวยวายตามหลัง
“ก็บอกว่าไม่ใช่เกย์”
องอาจกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้ เช็ดปากตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์
“วันนี้ซวยอะไรเนี่ย เจอยัยนักข่าวทอมบ้านั่น แถมยังต้องจูบปากกับผู้ชายอีก แหวะ น่าขนลุกชะมัด”
ทันใดนั้นองอาจก็ชะงักไป
“ขนลุก! ไม่ได้เคลิบเคลิ้มชวนฝันเหมือนในละคร งั้นก็แสดงว่า...”
องอาจเด้งตัวพรวดขึ้นมาอย่างดีใจ
“เราไม่ได้เป็นเกย์ ใช่ เราไม่ใช่เกย์จริงๆด้วย”
องอาจร้องไห้ออกมา
“เพราะยัยทอมนั่นคนเดียวทำให้เราสับสน คอยดูนะฉันจะจีบเธอมาเป็นแฟนให้ได้ เธอจะต้องเสียใจที่ดูถูกผู้ชายอย่างฉัน”
องอาจบอกตัวเองอย่างแน่วแน่จริงจัง
แพรวไพลินนั่งหน้าหงิกอยู่ที่ล็อบบี้โรงแรม ไคคุงเดินเข้ามา
“ว่ายังไงบ้าง พี่ไทล่ะ”
“ออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว”
แพรวไพลินโมโห
“นั่นไง ฉันบอกคุณแล้วใช่มั้ยว่าให้ตื่นแต่เช้า”
“เดี๋ยวนะ คุณต่างหากที่แต่งหน้าเป็นชั่วโมง ไม่รู้หน้าคนหรือหน้าเค้ก”
“แล้วนี่จะให้เอายังไงต่อ”
“มันมีอีกที่นึง ที่ยูกิน่าจะไป”
“อะไร หวังว่าคราวนี้คงไม่ใช่ไปสวนสัตว์เชียงใหม่หรอกนะ”
“ผมว่าถ้าคุณหยุดเสนอความเห็นบ้าง ผมคงจะสบายใจมากกว่านี้เยอะเลย”
“ถ้าคุณไม่ปล่อยยัยยูกิ กับพี่ไทคลาดสายตาตั้งแต่แรกมันก็ไม่เป็นแบบนี้หรอก”
ไคคุงส่ายหน้าระอา แล้วเดินออกไปตากโรงแรม แพรวไพลินเดินตามไป
ที่บ้านยูกิ...พ่อเปิดประตูเข้ามาในตัวบ้าน นับดาวถึงตาโตกับบ้านพักอากาศที่ใหญ่โต
“ว้าว”
เป็นไทหันมอง
“ตื่นเต้นอย่างกับไม่ใช่บ้านตัวเอง”
นับดาวรีบแก้ตัว
“ก็ไม่ได้กลับมาตั้งนานแล้วนี่ คิดถึง”
พ่อหันมาสั่ง
“เดี๋ยวพ่อเอาของไปเก็บก่อน เดี๋ยวยูกิพาคุณเป็นไทไปนั่งรอที่ห้องนั่งเล่นก่อนเลยนะ กว่าแม่จะทำอาหารเสร็จ”
“เชิญตามสบายนะคะ” แม่ยิ้มให้เป็นไท
นับดาวงงๆ ไม่รู้ว่าห้องนั่งเล่นอยู่ไหน
นับดาวพาเป็นไทเดินเข้าไปด้านใน แต่เธอเองก็ไม่รู้ห้องนั่งเล่นอยู่ไหน เธอเปิดประตูดูทุกห้อง
“ไม่น่าใช่...” เปิดดูอีกห้อง “นี่ก็ไม่น่า...”
เป็นไทแปลกใจ
“หาอะไรอยู่น่ะ”
“ก็...สำรวจว่าบ้านเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่ใช่จำไม่ได้ว่า...ห้องนั่งเล่นอยู่ไหนหรอกนะครับ”
“บ้า ใครจะจำบ้านตัวเองไม่ได้ ข้างหน้าขวามือน่ะ ห้องนั่งเล่นเดินเข้าไปได้เลย”
เป็นไทเดินไปเปิดประตูห้อง ปรากฎว่าเป็นห้องน้ำ
“ท่าทางว่าบ้านนี้จะชอบนั่งเล่นที่เปียกๆนะครับ”
นับดาววิ่งไปดู
“อูยย...”
เป็นไทมองหน้านับดาว สงสัย
“ย้ายมาอยู่ตรงนี้จนได้ คือก่อนไปพ่อบอกว่าที่บ้านฮวงจุ้ยไม่ดีน่ะค่ะ ต้องย้ายห้องน้ำ บอกแล้วว่าอย่าย้ายอย่าย้าย ดูสิ ห้องต่อไปน่ะ ใช่ชัวร์”
เป็นไทเดินไปเปิด กลายเป็นห้องเก็บของ
“ห้องนี้เราคงหาที่นั่งกันยากหน่อยละ”
“นี่ย้ายห้องเก็บของด้วยเหรอเนี่ย พ่อนี่จริงๆเลย”
นับดาวเปิดอีกห้องนึง เจอห้องนั่งเล่นพอดี เลยทำกลบเกลื่อน
“จ๊ะเอ๋ เจอแล้วห้องนั่งเล่น เชิญตามสบายเลยค่ะ เดี๋ยวฉันไปหาน้ำมาให้นะ”
เป็นไทประชด
“แล้วนี่จะหาห้องครัวเจอรึเปล่า”
“เจอสิ นี่บ้านฉันนะ”
นับดาวจะเดินออกไปแต่เดินไปอีกทางนึง เป็นไทชี้ประตู
“ทางนี้”
“แหะ แหะ ขำอะดิ มุกนี้เล่นทีไร ฮากันทั้งบ้าน”
เป็นไทเงียบ
“ไม่ตลก ไปดีกว่า”
นับดาวรีบเดินออกจากห้อง เป็นไทมองตามด้วยความสงสัย
ทุกคนพร้อมหน้ากันบนโต๊ะอาหารกับหม้อชาบูกลางโต๊ะ แม่บอกยิ้มๆ
“ชาบู ชาบู นี่เป็นของโปรดของยูกิเลยนะ”
“แหะ แหะ” นับดาวหัวเราะ
“ยูกิ ตักมิโซะให้คุณเป็นไทเค้าหน่อยสิ” พ่อสั่ง
“มิโซะ?? คืออะไรวะ” นับดาวแอบพึมพำ
“มิโซะของเราอร่อยมาก” พ่อบอก
นับดาวตักผักชนิดหนึ่งในหม้อให้เป็นไท แม่แย้ง
“ตักมิโซะด้วยสิลูก จะได้ได้โปรตีนด้วย”
นับดาวเก้ๆกังๆไม่รู้จะตักอะไรในหม้อดี สุดท้ายก็ตักกุ้งให้ เป็นไทกับทุกคนบนโต๊ะมองหน้ากันงงๆ ที่นับดาวทำเหมือนไม่รู้จักมิโซะ เป็นไทกระซิบนับดาว
“ตักเต้าหูให้ผม”
นับดาวตักเต้าหู้ในหม้อให้เป็นไท พ่อพยักหน้าพอใจ
“นั่นแหละ กินมิโซะเยอะๆน่ะดีนะ”
“ขอบคุณครับ”
แม่ชวนคุย
“เดี๋ยววันนี้คุณนอนที่ห้องยูกิจังละกันนะคะ เดี๋ยวให้ยูกิมานอนกับเรา”
“ครับ ได้ครับ”
นับดาวหน้าเครียดที่เธอเดาไม่เคยถูกเลย เป็นไทชำเลืองมองเธอ
เป็นไทเดินดูในห้องนอนของยูกิ เขาเห็นรูปตั้งแต่ยูกิยังเด็ก เป็นไทหยิบขึ้นมาดูยิ้มๆ แล้วเขาก็เห็นอัลบั้มรูปยูกิกับครอบครัวไปถ่ายจากวิวบนดอยสุเทพด้วยกัน
“ไหนบอกว่ากลัวความสูง”
เป็นไทนึกถึงตอนที่จะพานับดาวไปที่จุดชมวิว แต่ในรูปถ่าย ยูกิกลับยืนเกาะขอบแล้วยิ้มแย้ม ไม่เหมือนอาการของยูกิวันนี้เลย เป็นไทยิ่งสงสัยเกี่ยวกับนับดาว
นับดาวเดินเข้ามาในห้องพอดี เป็นไทเก็บรูปทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ทำอะไรอยู่น่ะ”
“ก็ดูอะไรไปเรื่อยแหละครับ”
เป็นไทจ้องหน้านับดาวอย่างตั้งใจ มองด้านซ้าย ด้านขวา พินิจพิเคราะห์
“มีอะไรรึเปล่าคะ”
เป็นไทพูดเบาๆข้างหูขวา
“คุณคือยูกิตัวจริงรึเปล่าเนี่ย”
“ว่าไงนะ” นับดาวหันข้างซ้ายไปไกลๆเป็นไท “ขออีกทีได้มั้ย พูดว่าอะไรนะ”
“ไม่มีอะไรครับ ผมก็คิดอะไรเล่นๆไปเรื่อยเปื่อย”
เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น
“เดี๋ยวไปดูก่อนนะคะว่าใครมา”
นับดาวเดินออกไปจากห้อง เป็นไทยังคลายความสงสัยของตนไม่ได้ แต่เขาก็เดินตามนับดาวออกไป
อ่านต่อหน้า 3 เวลา 12.00 น.
ฉันรักเธอรัก ตอนที่ 7 (ต่อ)
เป็นไทกับนับดาวเดินมาที่ห้องรับแขกก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นพ่อแม่นั่งอยู่กับไคคุงและแพรวไพลิน
“พี่ไท” แพรวไพลินวิ่งเข้ามาเกาะแขนเป็นไท “แพรวตามหาพี่ไทแทบแย่”
เป็นไทเบื่อ
“พี่ก็หนีแพรวแทบแย่เหมือนกัน”
“พี่ไทก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ ชอบพูดล้อเล่นกัน”
“ไคคุงซื้อทัตสึด้ง ของโปรดหนูมาฝากด้วย”
“ทัตสึอะไรนะ”
ทุกคนงงกับคำพูดนับดาว
“หมายถึงว่าชอบจังเลยค่ะ ขอกินเลยได้มั้ย แหะ แหะ”
“แล้วเป็นไง เรื่องแต่งงานได้คุยกับพ่อแม่รึยัง” พ่อถามไคคุง
“เกริ่นคร่าวๆแล้วครับ ท่านก็เห็นดีด้วย ก็เหลือแค่ว่าทางยูกิจะพร้อมเมื่อไหร่”
พ่อ แม่ ท่าทีสนิทกับไคคุง ดูเอ็นดูกันมาก เป็นไทเห็นก็รู้สึกทรมานใจอย่างบอกไม่ถูก
“ผมขอตัวนะครับ”
เป็นไทเดินออกไปจากห้อง
“อยากอยู่กันสองคนน่ะค่ะ”
แพรวไพลินรีบเดินตามเป็นไทไปติดๆ นับดาวได้แต่มองตามหงอยๆ
นับดาวเดินออกมาที่ริมระเบียง เหม่อคิดถึงเป็นไท ขณะที่ชมวิวอยู่ด้วยกัน แล้วบ่นขึ้นมาเศร้าๆ
“แฟนเขาก็มี เขาจะมาจริงจังอะไรกับเรา อย่าคิดถึง อย่าโง่ได้ไหมนับดาว”
เสียงไคคุงดังขึ้น
“นับดาว!!”
นับดาวสะดุ้งเฮือก หันกลับไป
“ไคคุง!!”
ไคคุงก้าวเข้ามาหา
“คุณพูดถึงใครฮึ ยูกิ นับดาวเป็นใคร”
นับดาวอึ้ง แล้วรีบแก้สถาการณ์
“เปล่าๆ ฉันไม่ได้พูดถึงใคร ฉันกำลังนับดาวบนฟ้าน่ะ”
นับดาวรีบหันไปทำเป็นชี้ดาวบนฟ้านับๆ
“1 2 3 4 5 เห็นมั้ย ดาวเต็มฟ้าไปหมดเลย...”
ไคคุงมองนับดาวด้วยแววตากรุ่มกริ่ม
“ผมช่วยนับนะ”
ไคคุงเข้าไปกอดนับดาวจากทางข้างหลัง นับดาวชะงักกึก หน้าเหวอ...
“ดาวดวงแรก แล้วก็เป็นดวงเดียวในใจผมมีชื่อว่า ยูกิ”
นับดาวจะอาเจียน คลื่นไส้ ไคคุงนึกว่านับดาวชอบ
“เขินใหญ่เลยหรือครับ...นานแล้วนะที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองแบบนี้”
ไคคุงย่ามใจ ก้มหน้าลงไปจะหอมแก้ม นับดาวหันขวับไป ตบหน้าไคคุงเข้าเต็มๆ ไคคุงหน้าหันกระเด็นหมุนเป็นลูกข่าง แล้วเอามือกุมแก้มข้างที่โดนตบไว้
“นี่มันอะไรกัน ยูกิ”
“เออ...ยุงอ่ะคะ ยุงมันเกาะหน้าคุณอยู่ ยูกิก็เลยตีให้คะ”
“อู้ยย ตีหรือครับ ผมนึกว่าตบบ้องหู”
นับดาวทำท่าหาวขึ้นมาแล้วรีบเผ่นออกไป
“ยูกิง่วงม้ากมาก ยูกิไปนอนก่อนนะคะ กู้ดไนท์ค่ะ”
“ยูกิ”
ไคคุงตามนับดาวไป พลางร้องเรียก
“ยูกิครับ เดี๋ยว...”
ประตูห้องหนึ่งเปิดผัวะออกมาปัง โดนหน้าไคคุงเต็มๆ ไคคุงร้องเจ็บปวด แพรวไพลินจับประตูค้างอยู่ ก้าวออกมา เหลียวซ้ายขวา มองงง
“แถวนี้มีหมาด้วยเหรอ ร้องยังกับโดนเหยียบหาง”
แพรวไพลินเดินออกไปอย่างไม่สนใจ
“พี่ไทคะ...พี่ไท รอแพรวด้วย”
ประตูสวิงกลับไปปิดสนิท ไคคุงที่ยืนอยู่หลังประตู หมดสภาพติดผนัง ทรุดลงไปร้องเจ็บปวด
“เอิ๊กก...ซวยจริงๆ”
แพรวไพลินเดินมาหน้าห้องเป็นไท พยายามเคาะประตูให้เป็นไทเปิดให้ แต่ข้างในไม่มีปฏิกริยาตอบรับเลย
“พี่ไท...พี่ไท เปิดประตูให้แพรวหน่อย พี่ไท พี่ไท”
เป็นไทไม่มีวี่แววเปิด แพรวไพลินหน้างอ
ที่ห้องนอนพ่อแม่...ทุกคนนอนกับพื้นบนเสื่อตาตามิ มีผ้าปู พ่อกับแม่หลับแล้ว นับดาวยังลืมตาคิดเกี่ยวกับเป็นไท คิดถึงตอนที่เขาจับมือเธอเดินเที่ยว ที่พาเธอไปจุดชมวิว นับดาวอมยิ้ม แต่เสียงยุกยิกของแพรวไพลินก็ดังมาทำลายบรรยากาศโรแมนติค แพรวไพลินนอนดิ้นไปมา ไม่สบายตัวที่ต้องนอนกับพื้นที่ทั้งชีวิตไม่เคย
“นอนกันไปได้ยังไง พื้นแข็งยังกับอะไร เนี่ยเหรอบ้านซุปตาร์ โอ๊ย....”
“อย่าเสียงดังได้มั้ย เดี๋ยวพ่อแม่ฉันก็ตื่นหรอก” นับดาวปราม
“ฮึ่ย ทำไมฉันต้องมาลำบากลำบนแบบนี้ด้วยเนี่ย”
“ก็กลับไปนอนโรงแรมสิ”
“ให้ฉันปล่อยพี่ไทไว้กับเธอน่ะเหรอ ฝันไปเถอะ...คนเค้ามีเจ้าของแล้วยังจะหน้าด้านอีก”
นับดาวฟังแล้วถึงกับพูดไม่ออก
เป็นไท กับไคคุง นอนเตียงเดียวกัน ทั้งคู่ต่างก็อึดอัด
“คุณชอบยูกิเหรอ” ไคคุงถามขึ้น
“ใครๆเค้าก็ชอบยูกิกันทั้งนั้น”
“คุณก็รู้ว่าผมหมายถึงอะไร”
“คุณกับยูกิคบกันได้ยังไง” เป็นไทย้อนถาม
ไคคุงมองไปบนเพดาน คิดย้อนเรื่องราวในอดีต…
…ยูกิเดินออกจากห้องเรียนในชุดมัธยมต้น เธอถือจดหมายรักฉบับสีชมพูจากยามาดะไว้ในมือ ยืนรอยามาดะออกมาจากห้องเรียน พอเธอเห็นยามาดะจะเดินออกมา เธอยิ้ม แต่แล้วไคคุงก็เดินมาหาเธอ
“ยืนรอใครอยู่เหรอยูกิ”
ยูกิตกใจ รีบยัดจดหมายใส่กระเป๋า
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”
ไคคุงมองเห็นว่ายูกิยัดจดหมายใส่กระเป๋า
“วันนี้กลับบ้านด้วยกันนะ”
“แต่...”
“ผมหาข้อมูลมาแล้วนะ ว่ามีโรงเรียนสอนภาษาไทยที่ไหนดีๆบ้าง”
“จริงเหรอคะ”
ยูกิกันไปมองยามาดะที่มองอยู่ แล้วเดินหลบไปอย่างเศร้าๆ เพราะเข้าใจว่ายูกิชอบไคคุง
“เอาแบบนั้นก็ได้ค่ะ...งั้นขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
ไคคุงรีบบอก
“ฝากกระเป๋าไว้ที่ผมก่อนมา”
ยูกิยื่นกระเป๋าให้ไคคุง แล้วเดินไปห้องน้ำ พอเห็นยูกิไป ไคคุงค้นกระเป๋ายูกิทันที แล้วหยิบซองสีชมพูออกมาอ่าน
“ยามาดะ...ไอ้นักเรียน นักเลง กระจอกนั่นน่ะเหรอ”
ไคคุงเอาจดหมายของยามาดะใส่กระเป๋ากางเกงตัวเอง แล้วปิดกระเป๋ายูกิปกติ
ไคคุงเดินมาส่งยูกิที่หน้าประตูบ้าน พยายามชวนคุย
“ถ้ายูกิดูข้อมูลเรื่องเรียนภาษาไทยแล้วสนใจที่ไหนบอกผมนะ ผมจะให้พ่อจัดการให้”
“ขอบคุณมากเลยนะคะ”
ไคคุงจับมือยูกิ
“ยูกิ เราก็รู้จักกันมานานแล้วนะ ผมไม่อยากเป็นเพื่อนแล้วล่ะ”
ยามาดะที่เดินตามมาเห็นพอตอนจับมือพอดี แต่ไม่มีใครเห็น เขารีบหลบไปหลังกำแพง
ยูกิดึงมือออก
“ขอเวลาอีกหน่อยนะคะ ถ้าไคคุงรอไม่ไหวก็ไม่เป็นไร”
“ไหวสิ ยังไงผมก็จะรอ”
ยูกิโค้งตัวขอบคุณไคคุงก่อนที่จะเดินเข้าไปในบ้าน พอยูกิเข้าบ้าน ไคคุงก็หยิบจดหมายยามาดะขึ้นมา
“เพราะแกใช่มั้ย ไอ้ยามาดะ”
ไคคุงหยิบโทรศัพท์มือถือโทรหาพ่อทันที
“พ่อครับ ผมมีเรื่องให้พ่อช่วย....มันมีนักเลงคนนึงในโรงเรียน มันสร้างเรื่องให้ผมต้องเจ็บ พ่อช่วยไล่มันออกทีได้มั้ย ...ไม่ต้องห่วงครับพ่อ มันมีเรื่องกับคนเต็มไปหมด ไม่มีใครหาว่าเรื่องนี้ไร้เหตุผลหรอก...มันชื่อ ยามาดะ ครับ”
ไคคุงวางโทรศัพท์ด้วยสีหน้านิ่งๆแต่แอบร้ายกาจ เขาเอาจดหมายของยามาดะทิ้งลงถังขยะ แล้วเดินไป
เป็นไทผงะหลังจากฟังเรื่องที่ไคคุงเล่าให้ฟัง เขาเด้งลุกขึ้นจากที่นอน
“หมายความว่า คุณให้พ่อคุณซึ่งเป็นผอ.ไล่ยามาดะออกจากโรงเรียน แล้วคุณกับยูกิก็เลยได้คบกัน แบบนั้นเหรอ”
“ใช่”
“เฮ้ย ทำแบบนั้นได้ไง คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายูกิชอบยามาดะรึเปล่า”
“ผมรู้จักเธอมานาน ผมไม่เห็นเธอมองใครแบบนั้นมาก่อน”
“แต่มันไม่ใช่ ยูกิรู้เรื่องนี้รึเปล่า”
ไคคุงหัวเราะ
“คุณคิดว่าผมจะบอกให้โง่เหรอ”
“แล้วอย่าบอกนะว่าที่คุณมาเรียนมหา’ลัยประเทศไทยก็เพื่อเอาใจยูกิ”
ไคคุงยักคิ้ว
“แล้วยามาดะล่ะ ทำอะไรอยู่ที่ไหน”
“จะไปรู้มันเหรอ ผมไม่ได้สนใจอยู่แล้ว”
“คุณนี่...แล้วคุณมาเล่าให้ผมฟังทำไม”
“ผมก็แค่อยากเตือนคุณ ถ้าหากคุณกำลังคิดจะแย่งยูกิไปจากผมละก็ ผมสามารถทำทุกอย่างเพื่อกำจัดคุณได้ คุณคงไม่ได้คิดจะหาเรื่องใส่ตัวใช่มั้ย”
ไคคุงหน้านิ่งมาก เหมือนพูดประโยคบอกเล่าธรรมดา เป็นไทกลืนน้ำลายเอื๊อก
“แล้วคุณไม่ต้องคิดว่าจะไปเล่าให้ยูกิ หรือพ่อแม่เธอฟังหรอกนะ เพราะผมมั่นใจว่าไม่มีใครเชื่อคุณหรอก”
ไคคุงยิ้มอย่างไม่กังวลใดๆ เป็นไทยังตกใจกับไคคุงในแบบที่เขาเพิ่งเห็น เขาช่างเลือดเย็นนัก ไคคุงหลับตานอนอย่างไม่รู้สึกอะไร
“ราตรีสวัสดิ์”
ไคคุงหลับตาลง เป็นไทมองหน้าเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าร้ายกาจอย่างนี้
เช้าวันใหม่...ยามาดะนอนหลับอยู่บนเปลญวณ ยูกิเดินมามองยามาดะที่หลับอยู่ แล้วเธอก็ยิ้มออกมา
“ไม่คิดเลยนะ ว่าเราจะได้เจอกันอีกครั้ง”
ยูกิมองยามาดะที่หลับอยู่อย่างเอ็นดู ก่อนจะจัดการอะไรบางอย่าง แล้วตรงไปที่เรือ เพราะแอบขโมยกุญแจเรือมาได้แล้ว และขับเรือออกไป
“ยามาดะคุง ฉันเสียใจนะที่ต้องตัดสินใจแบบนั้น”
ระหว่างที่ขับเรือ ยูกินึกถึงค่ำคืนที่ผ่านมา...เธอเข้าไปในห้องเก็บของ แอบพิงประตูอมยิ้ม คิดถึงยามาดะ ว่าเป็นคนๆเดียวที่ปิ๊งกันตอนมัธยม
“ยามาดะ...นายนี่เอง ....”
ยูกิเหม่อคิดถึงอมยิ้ม แล้วส่ายหน้าอย่างเอียงอาย จนกระทั่ง มือไปปัด ชั้นเก็บของ
“บ้าๆ เลิกคิดถึงเขาได้แล้ว”
ข้าวของในชั้นหล่นลงมา กล่องใบหนึ่งฝาหลุดออกมา เห็นซองยาต่างๆ ที่อัดอยู่ข้างในกระจายเกลื่อนพื้น ยูกิวิ่งเข้าไปเก็บ แล้วหยิบซองยาคลายเครียดอันหนึ่งขึ้นมาดู อ่านที่ฉลากยา
“นี่มันยาคลายเครียดนี่ กินแล้วต้องง่วงแล้วก็หลับแน่ๆ...ฉัน ควรจะทำยังไงดี อยู่ที่นี่กับยามาดะหรือว่า กลับไปเพื่อแฟนเพลง”
ยูกิคิดหนัก แล้วตัดสินใจ วางซองยาทิ้งจะไม่เอา พอหันจะออกก็เปลี่ยนใจ เข้ามาหยิบซองยาใหม่
“ไม่ได้ ศิลปินที่ดีจะต้องรับผิดชอบต่อแฟนเพลง มากกว่าหัวใจตัวเอง”
ยูกิเอายาคลายเครียด ใส่ในแก้วน้ำส้ม คนให้เข้ากัน เสียงยามาดะดังเข้ามา เธอรีบหลบ
“ยูกิ ทานข้าวแล้วหรือยัง”
ยามาดะมองหายูกิไม่เจอ
“อ้าวไม่ได้อยู่ในนี้เหรอ”
ยามาดะมองไป เห็นแก้วน้ำส้มที่ยูกิวางไว้บนโต๊ะ ยามาดะหยิบกระดาษโน้ตเล็กๆ ที่ยูกิเขียนไว้
ว่า
“Just for you...My Yamada”
“just for you my yamada…ยูกิคั้นน้ำส้มให้เราไม่กินก็บ้าแล้ว...”
ยามาดะแอบอมยิ้มคนเดียว แล้ว ยกแก้วน้ำส้มขึ้นดื่ม แล้วเดินยิ้มดีๆ แล้วรู้สึกง่วงนอน แล้วเลยล้มลงไป ที่เปลญวน พลางหาว
“ทำไมง่วงอย่างนี้วะ...”
ยามาดะ ทนไม่ไหว หลับไปอย่างง่ายดายที่เปลญวน
ยูกิขับเรือไปนึกถึงอดีตแล้ว เหม่อเศร้า
“ฉันหวังว่านาย จะเข้าใจฉันนะ ยามาดะ ฉันต้องตัดสินใจแบบนี้เพราะฉันยังมีหน้าที่ของศิลปินที่ต้องรับผิดชอบต่อแฟนเพลง ... แต่ความรู้สึกดีๆ ของฉันยังอยู่กับเธอเสมอนะ...นายซิกแพ็กของฉัน”
ยูกิมองออกไป เบื้องหน้าอย่างเศร้าๆ ทางด้านยามาดะ เมื่อฟื้นขึ้นมาพบว่า ถูกลอกคราบ ใส่แต่บ๊อกเซอร์ตัวเดียว ถูกมัดมือมัดเท้าไว้ พยายามจะขยับตัวแก้มัด
“อ๊อยยย... ช่วย...ไม่ได้ เป็นยากูซ่า จะร้องให้คนช่วยไม่ได้ เสียลุ้กหมด ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน ไฮ้!!”
ยามาดะพยายามดิ้นรน แก้มัดตัวเองอยู่ แต่ยังไม่เป็นผล แล้ว เท้ายามาดะพลาดไปเตะ ขาเก้าอี้ที่วาง
กาละมัง ที่แช่เสื้อผ้าของตัวเองไว้
กาละมังหล่นโครมลงมา ยามาดะเปียกปอน เสื้อผ้าหล่นกองใส่ตัวเอง สภาพเละเทะ ยามาดะอึ้งเซ็ง แล้ว ร้องตะโกนออกมาอย่างสุดจะอั้น
“อ๊ากกกกกก....ยูกิ ...เธอแซ่บมากกก”
วราพรรณถือถุงปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้เข้ามาในบ้านรจนา พลางร้องเรียก
“ย่าๆ กินข้าวหรือยัง ฉันซื้อปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้มาฝาก”
ทั้งบ้านยังเงียบไม่มีเสียงตอบรับ
“ฮึ ย่าไปไหน ทำไมถึงได้เงียบฉี่อย่างนี้”
วราพรรณเหลียวมองหา แล้วเสียงรจนาก็ดังเข้ามา ส่งเสียงอย่างน่าตกใจ
“อย่านะ!!! ไอ้บ้า อย่าเข้ามานะ!...”
วราพรรณตาโต ตกใจ
“ย่า!!”
“แกจะเอาอะไรก็เอาไป ...เอาไปเลย!”
วราพรรณอึ้ง ตาโตขึ้นไปอีก
“โจร!!”
“แกมันปล้นได้แต่ตัวของฉันเท่านั้นแหละ แต่แกไม่มีวันปล้นหัวใจของฉันไปได้ ...ได้ยินมั้ย...”
วราพรรณตะลึง
“โจรปล้นสวาท!!...ฮึยย แม้แต่คนแก่มันก็ไม่เว้น อุบาทว์เกินไปแล้ว!”
วราพรรณรีบฉวยไม้กวาดขึ้นมาเป็นอาวุธ แล้วถีบประตูผ่าง พุ่งเข้ามาจะเอาไม้กวาดตีไปที่รจนาที่นั่งหันหลังให้อยู่บนเตียง
“โจรโรคจิต แกตาย!”
“ว้ายยยยย อย่านะ”
วราพรรณชะงักมองอึ้ง
“ย่า!!”
“ก็ใช่นะสิ แกนึกว่าแมวที่ไหนเหรอ นังนุ้ย”
“ไอ้โจรปล้นสวาทมันอยู่ไหน ฉันจะตีมันให้หัวแบะไปเลย”
รจนาอายๆ เพราะที่จริงซ้อมบทละครอยู่ ทำไม่รู้ไม่ชี้
“โจรเจิน ที่ไหน ช้านอยู่คนเดียว”
“อ้าว แล้วย่าร้องซะยังกับโดนปล้ำทำไม”
รจนาแก้ตัวบิดเบือน
“บัดสีบัดเถลิง!! คนข้างบ้านเค้าเปิดละครวิทยุหรอก”
รจนาขยับหนีอย่างอาย ที่ตัวเองแอบเล่นละครเว่อร์อยู่คนเดียว ยกหนังสือปิดหน้าแล้วจะย่องออกไป วราพรรณมองจับพิรุธ แล้วฉวยสมุดที่ถือไปดู
“นั่นอะไร! เดี๋ยวก่อน”
ที่หน้าปกเขียนว่า บทละครเรื่อง “โจรปล้นหัวใจ” โดย นับดาว
“บทละครเรื่อง โจรปล้นหัวใจ โดย นับดาว” วราพรรณเปิดอ่าน แล้วล้อเลียน
“... แกมันปล้นได้แต่ตัวของฉันเท่านั้นแหละ แต่แกไม่มีวันปล้นหัวใจของฉันไปได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ขำว่ะ”
รจนาจะแย่งคืน
“บัดสีบัดเถลิง เอาคืนมานะ”
วราพรรณถือไว้ไม่ยอมให้เอาไป
“นี่ใช่มั้ย บทละครวิทยุของย่าน่ะ”
รจนา กระมิดกระเมี้ยนเอียงอาย วราพรรณถอนใจ
“โธ่ ไอ้เราก็ใจหายใจคว่ำหมด ...ที่แท้ย่าก็เอาบทละครที่นับดาวมันเขียนเก็บไว้มาอ่านนี่เอง”
รจนาคิดถึงนับดาวทำท่าจะร้องไห้
“ก็ฉันคิดถึงหลานฉันนี่ ...เพิ่งเห็นกันอยู่หลัดๆ ป่านนี้นับดาวจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
“โอ้ย ย่า นับดาวมันแค่ไปต่างจังหวัดนะ ไม่ได้ไปตาย”
“เออ ฉันรู้แล้ว”
เสียงสังวรณ์ดังมาจากหน้าบ้าน...
“ยู้ฮู้ มีคนอยู่มั้ยคับ”
วราพรรณกับรจนาหันมองตามเสียง
“ใครน่ะ”
สังวรณ์กำลังตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้าน
“อันยอง ซังวอนสวัสดีคร๊าบบ”
วราพรรณกับรจนาออกจากบ้านมาเจอ
“หัวหน้า!!” วราพรรณแปลกใจ
“นี่เธอก็อยู่ด้วยเหรอ”
“หัวหน้ามาทำอะไรที่นี่อีก”
“ก็จะมาถามข่าวเรื่องนับดาวน่ะสิ เขากลับมาหรือยัง”
“ยังเลย”
รจนาพูดสวน
“แต่ถึงมา ฉันก็ไม่ให้หลานของฉันไปทำงานหลอกลวงประชาชนแบบนั้น”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะยายบ้า”
“อะไรนะ”
รจนาตวาดแว๊ด
“ขอโทษครับ ผมพูดผิด คือ ไม่ใช่อย่างนั้นครับคุณป้า...”
แต่ไม่ทันที่สังวรณ์จะพูดอะไรจบ รจนาก็หยิบถังขยะที่ตั้งอยู่หน้าบ้านขึ้นมาเทราด สังวรณ์จนเลอะเทอะเต็มศีรษะ เข้าปากไปเต็มๆ วราพรรณมองทึ่ง
“โฮ ย่า ...เข้มจริงอะไรจริง”
“งั้นสิ” รจนาค้อนขวับไป เอานิ้วจิ้มศีรษะสังวรณ์ “จำใส่กะโหลกหนาๆ ของนายด้วยนะนายสังวรณ์ ศิลปะคือเสียงสะท้อนของความจริง เพราะฉะนั้น ศิลปินที่ดีก็ไม่ควรทรยศผู้ฟังของเขา...เข้าใจมั้ย”
“ป้าแนวไหนกันแน่ สุนทรีย์ภรณ์ หรือ วงเพื่อชีวิต”
“ฉันจะเป็นอะไรก็ช่างฉัน แต่นาย ไสหัวกลับไปซะ แล้วอย่ามาที่นี่อีก ไม่งั้นอย่าหาว่าสาวแก่แต่สวยคนนี้ไม่เตือน”
รจนาเอาจริง สังวรณ์หงอไปเลย
เมื่อกลับมาที่ฝั่ง ยูกิเดินเล่นไปในตลาดอย่างตื่นตาตื่นใจ เธอเดินผ่านพวกนักเลงนั่งกินเหล้ากันอยู่ แล้วเป่าปากแซว
“สวยโว้ย”
ยูกิชะงักกึกหันมอง แล้วชี้มาที่ตัวเอง รีบชี้แจง
“ฉันชื่อยูกิ ไม่ใช่สวยโว้ย...” ยูกิโค้งให้ “ไฮ้! อาริกะโตะ”
พวกนักเลงยิ่งปิ๊ดปิ้วรับ ยูกิสะบัดเดินหนีไปทางหนึ่ง พวกนักเลงโห่ฮาชอบใจ แล้วรีบลุกตามไป
“ลาภปากมาแล้วเว้ย”
ยูกิเดินเข้ามาในตรอกเปลี่ยว เห็นว่าพวกนักเลงเดินตามหลังมา ยูกิเห็นท่าไม่ดี รีบเดินอย่างเร็ว เลี้ยวหลบเข้าไปอีกมุม
นักเลงพยักหน้าให้ลูกน้อง แยกออกไปอีกสาย เข้าไปอีกซอย เพื่อดักหน้ายูกิ
ยูกิ วิ่งหนีมาอีกตรอก เลี้ยวหลังไปเห็นพวกนักเลงตามมาอีก ยูกิเห็นท่าไม่ดีวิ่งหนี พวกนักเลงวิ่งตาม
“จะหนีไปไหนคนสวย”
“อย่าเข้ามานะ”
ยูกิรีบผลักเข่งผักที่อยู่แถวนั้น ไปใส่ พวกนักเลงหลบแล้ว กระโดดข้ามวิ่งตาม ยูกิวิ่งหนีสุดชีวิต แล้วมาเจอ ลูกน้องที่วิ่งออกจากซอยเล็กมาดักหน้า เธอกรี๊ดลั่น
นักเลงตามมาทันคว้าตัวยูกิไป
“จะร้องทำไมจ๊ะ คนสวย เดี๋ยวพี่ตบด้วยปากเลยนี่”
นักเลงทำท่าจะจูบ ยูกิตบหน้านักเลงทันที นักเลงเดือด ตบกลับยูกิ ซ้ายขวาสองทีซ้อน ยูกิกระเด็นไปล้มลง นักเลงกับพวกย่างสามขุมเข้าไปหมายจะข่มขืน
“อย่าเข้ามานะ ช่วยด้วยๆ”
“ใครจะมาช่วยแก เป็นเมียพี่ซะดีๆ”
นักเลงเข้าไปปล้ำ ยูกิดิ้นรน ร้องลั่นโวยวาย
“อย่า! ช่วยด้วย ยามาดะ ช่วยด้วยยย!”
นักเลงกำลังจะกระชากเสื้อยูกิ มีดสั้นลอยเข้ามาปักที่แขน นักเลงร้องจ๊ากกก ยามาดะอยู่ในชุด เสื้อกล้ามขาวกับโสร่งเท่ๆ ที่คอมีซองใส่มือถือห้อยคออยู่ ใส่รองเท้าสานเก๋ๆ กระโดดตัวลอยเข้ามาถีบนักเลงกระเด็น ยามาดะ ถือไม้พลองในมือ ตั้งท่าสู้อย่างเท่
“อย่ามายุ่งกับผู้หญิงของฉัน”
ยูกิมองยามาดะ ซึ้ง ประทับใจ
“ยามาดะ”
พวกนักเลงกรูเข้ามา ยามาดะต่อสู้ด้วยลีลาเข้มแข็ง หลบหลีกว่อกไว แล้วใช้ไม้พลองตีมือ ตีขา ข้อพับพวกนักเลง คุกเข่าล้มลงไป แล้วใช้ไม้ฟาดกระเด็นสลบ แล้วจัดการสมุนที่เหลือ ทั้งหมดล้มสลบไปได้หมด หัวหน้านักเลงเห็นท่าไม่ดี รีบกุมแขนวิ่งหนีไป ยูกิมองยามาดะด้วยความปลื้ม
“ยามาดะ...”
ยูกิวิ่งไปกอดยามาดะด้วยความปลาบปลื้ม ซึ้งใจ ยามาดะกอดตอบอย่างสุดรัก และปลื้มใจที่ได้ปกป้องคนรัก
อ่านต่อหน้า 4 เวลา 17.00 น.
ฉันรักเธอรัก ตอนที่ 7 (ต่อ)
ยามาดะเดินดุ่ม จับมือยูกิดึงลากไปอย่างไม่สนใจเสียงร้องของเธอ
“ฉันไม่กลับ ปล่อยฉันนะ ฉันไม่ไปเกาะนั่นอีกแล้ว”
ยูกิพยายามสะบัดแต่ไม่หลุด
“ฉันบอกว่าฉันไม่กลับ ไม่ได้ยินเหรอไง”
ยูกิฉุนที่ยามาดะไม่สนใจ ตะโกนขึ้นเสียงดัง
“ช่วยด้วยๆ ผู้ชายคนนี้จะปล้ำฉัน”
ชาวบ้านที่อยู่แถวๆ นั้น หันมองเป็นตาเดียว ทำท่าจะเข้ามาช่วย ยูกิจะสะบัดออก
“ปล่อยฉันนะ ไอ้บ้ากาม”
ยามาดะชะงักกึก อึ้งไปนิดแล้วรีบแก้ไขสถานการณ์
“เมียจ๋า ล้อเล่นอีกแล้ว”
ยามาดะก้มเข้าไปหายูกิ หอมแก้มฟอด ยูกิตะลึงแทน ยามาดะหันบอกชาวบ้าน
”เมียผมเขาขี้เล่นน่ะครับ” ยามาดะหันกลับไปหายูกิ ยิ้มกวน “พี่รู้นะว่าน้องอยากรีบกลับบ้านไปฮันนี่มูนต่อล่ะสิ”
“ไม่นะ...”
ยูกิยังว่าไม่จบยามาดะจัดการ ฉวยมือยูกิ ดึงบอกทุกคน
“เมียผมเขาอยากมีลูกไวๆ ขอตัวก่อนนะครับ”
ชาวบ้านมองยิ้มขำ โห่ฮาชอบใจ ยามาดะดึงมือยูกิที่ร้องกริ๊ดๆ ขัดใจออกไป
“ปล่อยฉันนะ ปล่อยๆ”
ยามาดะดึงยูกิ เลี้ยวเข้ามาตรงหนึ่ง ยูกิสะบัดแรงหลุดจากมือยามาดะ โวยขึ้น
“อย่ามาบังคับ ฉันไม่ใช่เมียนายนะ”
ยามาดะมองเอาเรื่อง
“คุณวางยาผม คุณขโมยเรือผม แล้วยังเอาเสื้อผ้าผมไปแช่น้ำจนผมไม่มีอะไรใส่เลยนอกจากไอ้ชุดอุบาทว์ๆ อย่างนี้ ผมจะบอกให้นะว่าโทษของคุณมันก็มากพอที่ผมจะขังลืมคุณไว้บนเกาะแล้ว”
ยามาดะจ้องหน้ายูกิ เอาจริง แต่ยูกิกลับขำขึ้นมา ยามาดะเอ๋อ
“ขำอะไร”
ยูกิมองชุดยามาดะ
“ก็...ชุดนายมัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า อุบาทว์จริงๆด้วย”
ยามาดะอาย เหรอหราทำหน้าไม่ถูก ยูกิยิ้มให้ตาเป็นประกายขึ้นมา
“แต่ก็น่ารักดีนะ...ฉันชอบ...”
ยามาดะ อึ้งเขินไปเลย ยูกิรีบผลักยามาดะแล้ววิ่งหนี ยามาดะผงะไป แล้วรีบวิ่งตาม
“ยายตัวแสบ เล่นที่เผลอเหรอ”
ยูกิวิ่งหนีห่างออกไป แล้วหันกลับมา แลบลิ้นปลิ้นตาใส่
“แน่จริงก็จับให้ได้ซี้ แบร่!!!”
ยามาดะวิ่งไล่ ยูกิวิ่งหนีอย่าสนุกสนาน
ยูกิวิ่งหนียามาดะมา หลบอยู่ตรงหนึ่ง แล้วหันกลับไปมองหา แต่ยามาดะหายไป ยูกิชะเง้อมองอย่างเป็นห่วง แล้ววิ่งออกไปเหลียวซ้ายแลขวาแต่มองไม่เห็น เธออยู่ตรงมุมหนึ่งที่ด้านหลังเป็นแผงขายดอกไม้สวยๆ แล้วหันมาทางหนึ่ง ชนกับแผงอกยามาดะที่ก้าวเข้ามายืนอยู่ข้างๆ
ยามาดะมองยูกิ อมยิ้ม ว่าแอบเป็นห่วงเขาเหมือนกันเหรอ ยูกิเขินหันหนี แต่ปรากฏว่าเท้าพลิกจะล้ม ยามาดะคว้าตัวเธอไว้เข้ามาปะทะอก เขากอดเธอไว้
ทั้งสองมองสบตากันลึกซึ้ง เพราะต่างมีใจต่อกัน ยามาดะก้มหน้าใกล้เข้ามา จนจมูกชนจมูก ปากจะแตะปากจูบกัน เสียงมือถือของยามาดะดังขึ้น ขัดจังหวะ ทั้งสองผงะออกจากกัน เก้อเขิน
ยามาดะยังทำอะไรไม่ถูก
“ยูกิ”
ยามาดะวิ่งตามไป แต่มองไม่เห็นยูกิแล้ว
“บ้าจริง หายไปไหนแล้ว”
เสียงมือถือยังดังอยู่ เขาจึงกดรับเมื่อเห็นชื่อซีซี
“นังยูกิยังอยู่ที่เกาะใช่มั้ย”
ยามาดะอึ้งไปนิดแต่ก็ทำเข้มถามกลับไป
“จะถามทำไมอีก ว่างมากหรือไง”
“ถ้ามันยังอยู่ดี ก็แล้วไป รู้ใช่มั้ยถ้านังยูกิหนีไปได้ อะไรจะเกิดขึ้นกับแก”
ยามาดะฉุน
“ไม่ต้องมาขู่”
ยูกิที่แอบอยู่ตรงซอกตึก ได้ยินที่ซีซีคุยกับยามาดะ
“ฉันเอาจริงอยู่แล้ว...หึ อดีตยากูซ่าอย่างแก มีคดีติดหลังอยู่เท่าไร ฉันโทรบอกตำรวจกริ๊งเดียว แกได้ติดคุกตลอดชีวิตแน่”
“ฉันไม่มีเวลามาพูดเรื่องไร้สาระ”
ยามาดะกดปิดมือถือ ซีซีหงุดหงิด โดนกดมือถือใส่หู
“ฮึยย ไอ้ยามาดะ ไอ้หยิ่งจองหอง อย่าพลาดขึ้นมาก็แล้วกัน”
ทางด้านยามาดะ เหลียวมองหายูกิ
“ยูกิ คุณอยู่ที่ไหน”
ยามาดะ เดินไปตรงที่ยูกิเคยยืนหลบอยู่ แต่ปรากฏว่าตรงนั้นไม่มียูกิแล้ว
ยามาดะเดินหายูกิ ตามมุมต่างๆ แต่ไม่เจอยามาดะตะโกนเรียก
“ยูกิ”
ยามาดะ เดินผ่านเรือที่ตัวเองจอดไว้ ที่ท่าเทียบเรือ หรือ ชายหาด เสียงยูกิดังขึ้น
“เรียกทำไม คนจะนอน”
ยามาดะหันขวับไป แปลกใจที่ยูกิมาอยู่ที่เรือ ยูกิที่หลับอยู่บนเรือ ง่วงเงีย ลุกขึ้นมานั่ง แบบคนเพิ่งตื่น ผมยุ่งๆ เหมือนลูกแมวน่ารัก ยามาดะมองอย่างโดนใจ
“มีอะไรก็พูดมาสิ”
ยามาดะ เขินๆ เดินเข้ามาหา
“ทำไมไม่หนีแล้วล่ะ มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
ยูกิไม่ตอบกลับโยนกุญแจเรือให้ยามาดะ
“รีบกลับได้แล้ว ฉันง่วง”
ยูกิล้มตัวลงไป นอนหลับเหมือนเดิม ยามาดะรับกุญแจไปอย่างงงๆ แล้วบ่นออกมา
“อย่างนี้ก็มีด้วย ติงต๊องหรือเปล่า!!”
เช้าวันใหม่...แพรวไพลินเดินคุยโทรศัพท์มือถือกับสังวรณ์
“ได้เรื่องอะไรบ้าง”
สังวรณ์ตอบกลับ...
“ไม่ได้เรื่อง”
“เอ๊ะ กวนเหรอ”
“พูดจริงๆสิ คุณอยู่เชียงใหม่เจอใครหน้าเหมือนไอยูกิบ้างเปล่าล่ะ”
“จะบ้าเหรอ ถ้าฉันเจอคนหน้าเหมือนนังยูกิ ฉันจะมาถามนายทำไม สมองไม่ได้รับการบำรุงหรือไง ถึงได้ถามอะไรงี่เง่าแบบนี้”
สังวรณ์ดึงมือถือออกห่างตัว แต่เสียงแพรวไพลินก็ยังได้ยินชัดแจ๋ว
“นี่คุณเบาๆหน่อยก็ได้ เดี๋ยวคอแตกตายไปแล้ว ยายยูกิก็หมดคู่แข่งหรอก”
“ไม่มีทาง ฉันไม่ยอมให้นังยูกิมันแย่งพี่ไทไปแน่...ฉันจะตามติดพี่ไทไม่ให้มันมีโอกาสเลย คอยดู”
แพรวไพลินมองออกไปมุ่งมั่น เอาเรื่อง
นับดาวใส่ชุดวิ่งออกกำลังกายตอนเช้าอยู่ ไคคุงขี่จักรยานตามหลังมา แล้วเลี้ยวตีวงอ้อมเข้ามาปาดหน้า นับดาวชะงักกึกตกใจ ผงะไป
“ว้ายยย นี่คุณตามฉันมาทำไม”
ไคคุงมองนับดาวแปลกใจ ที่นับดาวใช้คำพูดน้ำเสียงห่างเหิน
“ทำไมยูกิพูดเหมือนผมเป็นคนอื่นเลย เราไม่ใช่แฟนกันเหรอ”
นับดาวรีบแก้ตัว
“ก็ฉัน...ฉันตกใจนี่ คุณเล่นมาไม่ให้ซุ่มให้เสียง”
“ถ้าหายตกใจแล้ว ก็ไปขี่จักรยานเล่นกันนะ”
“แต่ฉันอยากวิ่งออกกำลังกายมากกว่า”
นับดาวทำท่าจะวิ่งออกไป ไคคุงดึงแขนนับดาวไว้หมับ จ้องเอาเรื่อง
“ปกติคุณไม่เคยขัดใจผมเลยนะ ยูกิ ...หรือว่าคุณมีคนใหม่”
“ไม่เกี่ยวเลยนะ อย่ามาหาเรื่องกันดีกว่า...”
“งั้นคุณก็อย่าขัดใจผมสิครับ”
นับดาวรีบรับคำเอาตัวรอด
“ก็ได้ๆ ปล่อยฉันก่อนสิ ไม่งั้นฉันจะซ้อนจักรยานยังไง”
ไคคุงยิ้มมุมปากแล้วปล่อยมือออก นับดาวเดินมาที่ท้ายจักรยานเบ๊ะปากใส่ด้วยความหมั่นไส้ แล้วนับดาวมองเห็น อาม่าคนหนึ่งวิ่งออกกำลังกายมา ท่าทางเหนื่อยๆ นับดาวนึกแผนได้ ไคคุงมองทางข้างหน้าอมยิ้มไม่ได้มอง
“พร้อมยังครับ”
“แป๊บนึงนะคะ ยูกิกลัวร่วง ยูกิขอจัดระเบียบท่านั่งก่อนนะ”
ยูกิรีบดึงแขนอาม่าให้เข้ามาซ้อนท้ายจักรยาน แทนตัวเอง ยกนิ้วให้อาม่าประมาณว่า ดีจะได้ไม่ต้องเดิน
“พร้อมแล้วค่ะ ไปเลยยยย”
ไคคุงยิ้มปลิ้ม แล้วรีบถีบจักรยานออกไป โดยไม่รู้ว่าคนที่เกาะเอวอยู่เป็นอาม่า นับดาวโบกมือ ยิ้ม ตะโกนตามหลังออกไป
“ยูกิปลื๊มปลื้ม โรแมนติกม้ากมาก”
ที่บ้าน...พ่อแม่ยูกิกำลังคุยอยู่กับแพรวไพลิน...
“ยูกิออกไปวิ่งยังไม่กลับมาเลยจ้า”
“แล้วพี่เป็นไทล่ะ”
พ่อมองอึ้งข้ามไหล่แพรวไพลินไป สบตากับเป็นไทที่หลบอยู่หลังเสา เป็นไททำท่า บอกว่า ไม่อยู่ พ่อพยักหน้ารับ แล้วตอบแพรวไพลิน
“อาโน....คุณเป็นไทให้บอกว่า เขาไม่อยู่”
“อะไรนะ”
เป็นไททรุด ทำท่าลมจะใส่ ที่พ่อบอกอย่างนั้น
“นั่นไง ถามเขาดูสิคะ”
แม่ชี้ไปที่เป็นไท แพรวหันขวับไปมอง เห็นเป็นไทยิ้มให้น่ารัก แล้วรีบเผ่นแน่บขึ้นไปบนชั้นสอง
“พี่ล้อเล่น ไปล่ะนะ”
“พี่ไท!! อย่าหนีนะ”
แพรวไพลินรีบวิ่งตามเป็นไทไป
เป็นไทวิ่งหนีแพรวไพลินเข้ามาในห้องนอนยูกิ แล้วมองหาที่หลบ แล้วเข้าไปหลบในตู้เสื้อผ้า ขณะเดียวกัน นับดาววิ่งขึ้นบันไดบ้านมา แล้วเห็นแพรวไพลินกำลังจับลูกบิดเปิดเข้าไปในห้อง
“คุณ จะเข้าไปทำไม”
แพรวไพลินชะงักหันมามอง
“ฉันจะไปหาพี่ไท”
“เขาไม่ได้อยู่ในห้องนั้นหรอกน่า”
“แน่ใจนะว่า เธอไม่ได้เอาเขามาซ่อน”
“ฉันไม่ทำเรื่องไร้สาระอย่างนั้นเด็ดขาด”
“ให้มันจริงเถอะยะ อย่าให้ฉันรู้นะว่าเธอโกหก”
“นี่ วันๆ คุณจะไม่ทำอะไรนอกจากตามคุณเป็นไทหรือไง”
แพรวไพลินยกมือจะตบ
“นังยูกิ”
นับดาวยกหมัดจะชก
“มาสิ เธอตบ ฉันต่อย”
แพรวไพลินจ้องตานับดาวที่เอาจริง แล้วไม่สู้ ลดมือลง สะบัดหน้าพรืดเดินหนีไป นับดาวเบ้ปากใส่
“ปัญญาอ่อน!”
นับดาวหันเปิดประตูห้องเข้าไป เธอเข้าไปเปิดตู้เสื้อผ้าในห้องแล้วตกใจ หน้าเหวอ เมื่อเห็นเป็นไทยิ้มเผล่อยู่ในตู้
นับดาวอ้าปากจะร้องกริ๊ดด้วยความตกใจ เป็นไทรีบปิดปากเธอไว้
“ผมเอง ยูกิ”
เสียงลูกบิดดังกุกกักขึ้นมา เป็นไทเหลือบมองหน้าตื่น แล้วรีบดึงนับดาวเข้าไปในตู้ด้วยกัน แพรวไพลินเปิดประตูห้องเข้ามา
“ฮึ ...ฉันไม่เชื่อหรอก นึกว่าจะหลอกกันง่ายๆเหรอ นังยูกิ”
แพรวไพลินเดินเข้ามามองดูในห้อง สายตาสอดส่ายมองหา แล้วเดินมาจะเปิดประตูตู้ แต่เสียงมือถือดังขึ้น
“ใครโทรมาตอนนี้เนี่ย”
แพรวไพลิน หยิบมือถือ ขึ้นมากดรับแทน
“ฮัลโหล...แก๊สหมด ไปส่งด้วย!! บ้า!! ฉันไม่ใช่เด็กส่งแก็สนะยะ ...”
แพรวหันเดินออกไป แล้วพูดมือถือออกไปด้วย
“ไม่เชื่อเหรอ ก็ได้...เดี๋ยวฉันหาพยานยืนยันให้ดู”
แพรวไพลินปิดประตูห้องปัง
เป็นไทกับนับดาวที่จ้องหน้าใกล้ กันอยู่ในตู้เสื้อผ้า มองหน้ากันโล่งใจ แล้วทั้งสองเหลือบสายตามาสบกันใหม่ โดยไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับปิ๊งกัน เป็นไทลดมือที่ปิดปากนับดาวลง ทั้งสองจ้องตากันนิ่ง เหมือนมีแรงดึงดูดต่อกัน
เป็นไทค่อยๆ ก้มเข้าไปใกล้จะจูบนับดาว จมูกแตะจมูก ปากเกือบแตะปาก แล้วประตูตู้เสื้อผ้ากลับถูกเปิดกว้างออกช้าๆ แสงสว่างสาดเข้ามาส่องหน้าทั้งสองคน
ทั้งคู่ตื่นจากภวังค์ ต่างหันไปมอง แล้วตกใจ แม่ยูกิที่ยืนอยู่ข้างหน้า มองทั้งสองคนนิ่งๆ ไม่กระโตกกระตากโวยวาย
“คุณแม่”
นับดาวมองแม่ยูกิ รู้สึกผิด
แม่ยูกิกำลังหั่นผัก เตรียมทำอาหารอยู่ในห้องครัว นับดาวกับเป็นไทยืนลับๆล่อๆ กล้าๆกลัวๆ อยู่หน้าห้องครัว
เป็นไททำท่าจะเดินเข้าไปหาแม่ยูกิ
“เป็นไงเป็นกัน ผมลุยเอง”
นับดาวรีบดึงแขนเป็นไทไว้
“นี่คุณจะบ้าเหรอ”
“ผมทำให้คุณเสียหายนะ ผมก็ควรแสดงความรับผิดชอบ”
“จะเยอะไปไหน ฉันยังไม่ได้ท้องกับคุณซะหน่อย”
“คุณนี่ใจสปอร์ต เหลือเกินนะ”
“ก็คุณมีแฟนอยู่แล้วไง ฉันไม่อยากให้ใครมาว่าฉันแย่งแฟนชาวบ้าน”
เป็นไทอึ้งพูดไม่ออก แม่ยูกิเข้ามายืนได้ยินที่นับดาวพูดแล้ว พูดขึ้นอย่างชื่นชมนับดาวที่คิดได้อย่างนั้น
“คิดได้อย่างนั้นก็ดีแล้วจ้า”
เป็นไทหันไปมอง
“คุณแม่ครับ ผม...”
“ไม่ต้องขอโทษฉันหรอกคะ...คุณไม่ได้ทำอะไรผิดต่อฉันเลย”
เป็นไทอึ้ง งง ไม่เข้าใจ นับดาวหันไปมองเป็นไทพูดขึ้น
“คุณอยู่เฉยๆเถอะ”
นับดาวหันไปหาแม่ พูดขึ้น
“คุณแม่คะ ขอเวลาสักครู่นะคะ หนูอยากคุยกับคุณแม่คะ”
แม่มองนับดาวที่โค้งให้ ยิ้มๆใจดี
แม่ยูกินั่งที่โซฟา นับดาวกราบลงที่ตักแม่ยูกิ
“หนูต้องขอโทษคุณแม่ด้วยนะคะ หนูไม่น่าทำตัวแย่ๆ แบบนั้น”
แม่ยูกิมองนับดาวด้วยความเอ็นดู
“ความรักไม่ใช่เรื่องผิดหรอกนะ ลูก”
นับดาวอึ้ง
“คุณแม่”
“การที่เราปฏิเสธหัวใจตัวเองต่างหากที่ไม่ดีเลย เพราะมันจะนำความทุกข์มาให้ทั้งเรา แล้วก็คนที่เรารัก”
นับดาวมองแม่ยูกิด้วยความอัดอั้นในใจ น้ำตาคลอ
“หนูไม่รู้จะทำยังไงดี”
“หลายอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่หนูอยากทำเลยค่ะ”
แม่จับมือยูกิขึ้นมากุมจับไว้ให้กำลังใจ
“เชื่อแม่นะ ยูกิ อย่ากลัวที่จะเผชิญหน้าความจริง”
นับดาวยิ้มให้อย่างชื่นชมแม่ยูกิมาก
นับดาวเดินออกมาเดินเล่นในสวน ครุ่นคิดหนักใจ ตามสิ่งที่แม่พูด...
“ซื่อสัตย์กับหัวใจของตัวเอง แล้วความรักจะนำทางให้ยูกิเอง”
นับดาวหยุดที่มุมหนึ่งน้ำตาคลอ เศร้าใจขึ้นมา
“ความรักหรือจะนำทาง...ฉันมองอะไรไม่เห็นเลยนอกจากความเจ็บปวด”
นับดาวมองออกไปคิดถึงเป็นไท
“คุณเป็นไท ถ้าคุณรู้ความจริงขึ้นมา คุณคงไม่ยกโทษให้ฉัน คุณคงเกลียดฉันแน่ๆ”
นับดาวร้องไห้ออกมาอย่างเสียใจ
ไคคุงขี่จักรยานไปกับอาม่า ที่เกาะเอวไคคุงอยู่อย่างมีความสุข
“อากาศสดชื่นจังเลยนะครับ ยูกิ ...วู้ ผมมีความสุขจังเลย”
แพรวไพลินขับรถแล่นตามหลังเข้ามา แล้วขับตีคู่ไปกับจักรยานไคคุง เธอลดกระจกรถลงมามองยี้ๆ
“อี๋ นายทำอะไรอของนายเนี่ย”
“อิจฉาล่ะสิ”
“สมเพชในความวิปริตมากกว่า”
แพรวไพลินขับรถขึ้นหน้าปาดจักรยานไคคุงไป ไคคุงร้องตกใจ แล้วแล้วเลี้ยวจักรยานไปจอดข้างทาง
“ยายบ้าเอ๊ย เกรียนจริงๆ”
ไคคุงหันมาหาอย่างเป็นห่วงยูกิ
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า ยู...”
อาม่า มองไคคุงยิ้มยิงฟัน ไคคุงเหวอ ตะลึงตกใจ
“อ๊าก... อาม่า!!”
อ่านต่อตอนที่ 8