รักประกาศิต ตอนที่ 10
ภูชิชย์เขี่ยข้าวในจานด้วยสีหน้าที่พยายามซ่อนความทุกข์อยู่ในห้องรับประทานอาหารที่บ้าน แล้วเขาก็วางช้อนส้อมลง ขณะที่สุพัฒนากำลังตักกับข้าวใส่จานพี่ชาย
“พอแล้วคุณเล็ก พี่อิ่มแล้ว” ภูชิชย์บอก
“อ้าว ทานไปนิดเดียวเองนะคะ นี่คุณเล็กอุตส่าห์ให้บัวเกี๋ยงทำอาหารตั้งเยอะแยะมาเลี้ยงฉลองที่เราไล่ขโมยไปได้นะคะ” สุพัฒนาอ้อนพี่ชาย
บัวเกี๋ยงรีบเสนอหน้า “ยังมีของหวานที่พ่อเลี้ยงชอบอีกนะคะ บัวเกี๋ยงทำทุกอย่างสุดฝีมือเพื่อพ่อเลี้ยงเลยนะคะ”
ภูชิชย์ไม่สนใจบัวเกี๋ยง เขาพูดแทรกขึ้น “พี่อิ่มจริงๆ คุณเล็กทานต่อเถอะ”
บัวเกี๋ยงหน้าแตก จนแอบค้อนภูชิชย์
สุพัฒนางอน “ไม่เอา พี่ภูต้องทานอีก หรือพี่ภูคิดถึงนังนั่นคะ”
“โอเคๆ พี่ทานก็ได้”
สุพัฒนายิ้มด้วยความดีใจ ภูชิชย์ตักข้าวเข้าปากนิดหน่อยแล้วก็วางช้อนส้อมอีก
“พี่ขอไปอ่านรายงานที่เจมส์เข้าทำมาให้ก่อนนะ คุณเล็กทานเยอะๆนะคะ” ภูชิชย์ลุกไปทันที
สุพัฒนาโมโหแต่ทำอะไรไม่ได้ บัวเกี๋ยงรีบใส่ไฟทันที
“ชักสงสัยแล้วสิคะ ว่าพ่อเลี้ยงจะชอบเจ้าน้อย หรือนังนิดกันแน่”
“จะชอบใครก็ช่าง นังนิดก็ไปแล้ว ส่วนนังเจ้าน้อย ถ้ายังยุ่งอีก ฉันก็จะบุกไปอาละวาดหักหน้ากับพ่อแม่มันอีก อยากรู้นักจะแต่งงานกันได้ไหม” สุพัฒนาหัวเราะอย่างสะใจ
บัวเกี๋ยงหัวเราะตามเจ้านาย สุพัฒนาหันมามอง บัวเกี๋ยงหัวเราะค้างแล้วก็หุบปาก สุพัฒนายิ้มร้าย
พิสุทธิ์กับนริศรากำลังจะขึ้นรถกลับ ทันใดนั้นเจ้าทิพย์ดาราก็เดินเข้ามาทัก
“คุณนิด คุณโป๊ะ มาเที่ยวกันเหรอคะ” เจ้าทิพย์ดาราดีใจ
“ครับ พานิดเขามาปลดปล่อยความมืดดำของชีวิต” พิสุทธิ์ตอบ
นริศราตีแขนพิสุทธิ์ “เยอะไปละ แล้วเจ้าล่ะคะ ไม่ได้เจอกันหลายวันเลยนะคะเนี่ย”
“น้อยก็มาเที่ยวกับเพื่อนค่ะ พอดีเขามาจากเยอรมัน น้อยเลยต้องพาทัวร์ นี่ก็ปล่อยให้ไปนวดแผนไทยแล้ว น้อยเลยมาเดินเล่นฆ่าเวลา เอ๊ะ แล้วนี่ภูเขายอมปล่อยคุณนิดมาเที่ยวได้ยังไงคะเนี่ย หรือเป็นวันหยุดของคุณนิด”
นริศรามองหน้าพิสุทธิ์แล้วก็อึกอักเพราะไม่รู้จะตอบยังไง เจ้าทิพย์ดาราเห็นก็ยิ่งสงสัย
“นิดเขาหยุดยาวเลยละครับ” พิสุทธ์โพล่งออกมา
เจ้าทิพย์ดารามองนริศราอย่างคาดคั้น นริศรายิ้มรับเจื่อนๆ
บัวเกี๋ยงค่อยๆ ล้มตัวลงนอนที่เตียงของเธอ เธอกอดหมอนข้างแล้วเพ้อถึงภูชิชย์
“พ่อเลี้ยงขา กอดบัวเกี๋ยงหน่อยสิคะ อายเหรอคะ งั้นบัวเกี๋ยงกอดเอง นี่แน่ะๆ” บัวเกี๋ยงกอดรัดหมอนข้าง พร้อมทั้งระดมจูบ
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น บัวเกี๋ยงหงุดหงิดที่เห็นว่าผลโทรมา
“โว้ย ไอ้บ้าผล จะเอาอะไรกับกูอีก” บัวเกี๋ยงตวาด “ว่าใด”
“บัวเกี๋ยง ออกมาหาพี่หน่อย...ที่เดิมนะ” ผลสั่งเสร็จก็วางสายทันที
“ไอ้ผล....เมื่อไหร่จะโดนนักเลงกระทืบตายไปสักที่วะ”
บัวเกี๋ยวขว้างหมอนแล้วทุบเตียงด้วยความโมโห
บัวเกี๋ยงส่งเงินให้ผลที่ยืนอยู่ในมุมมืดลับตาคนบริเวณหน้าไร่ ผลมีท่าทางว่าเมามา
“เอ้า เอาไป” บัวเกี๋ยงไม่เต็มใจ
ผลรับเงินไปนับ “อะไรวะ แค่นี้ไม่พอหรอก”
“โอ๊ย ไม่พอก็ไม่รู้แล้ว ให้จนหมดตัวแล้วเนี่ย มาถี่เหลือเกิน ใครจะไปหาเงินทัน แล้วนี่เมาเหล้ามาใช่ไหมเนี่ย” บัวเกี๋ยงเข้าไปดม “ไม่มีกลิ่นเหล้านี่ เฮ้ย เมายาหรือเปล่าเนี่ย”
ผลหัวเราะ “มึงจะเอามั่งไหมล่ะ หรือจะเอาไปปล่อยในไร่ เดี๋ยวกูจัดให้”
บัวเกี๋ยงโมโห “ไอ้ผล นี่มึงเล่นยาบ้าเหรอ มึงมาเอาเงินกูไปซื้อยาบ้าเหรอ” บัวเกี๋ยงเข้าไปทึ้งตัวผล “มึงเอาเงินกูคืนมาเลยนะ”
ผลผลักบัวเกี๋ยงออก “อีนี่ เดี๋ยวกูตบเลย จำไว้อย่ามากำเริบกับกูอีก แล้วคราวหน้าก็เอาเงินมาให้มันมากกว่านี้ด้วย”
“ถ้ามึงมาอีกกูเรียกตำรวจแน่”
ผลบีบหน้าบัวเกี๋ยง “เอาสิวะ ถ้ากูถูกจับ มึงก็ได้จบเห่เหมือนกัน” ผลเดินอย่างโมโหกลับไป
บัวเกี๋ยงเจ็บใจ “ไอ้ชั่ว กูจะจัดการมึงยังไงได้เนี่ย”
บัวเกี๋ยงกลับเข้ามาค้นหายานอนหลับที่ซ่อนไว้ในลิ้นชักที่เต็มไปด้วยของ
“ยานอนหลับๆๆ อยู่ไหนวะ”
ในที่สุดบัวเกี๋ยงก็หาเจอ เธอหยิบซองยานอนหลับออกมาจากลิ้นชัก
“อุตส่าห์เตรียมไว้ตั้งนาน บัวเกี๋ยงไม่รออะไรอีกแล้วนะคะพ่อเลี้ยง.. ถ้าเราได้เป็นเมียพ่อเลี้ยง เราก็มีอำนาจทำอะไรได้หลายๆอย่าง..ไอ้ผล มึงไม่ได้ตายดีแน่” บัวเกี๋ยงมีสีหน้าเคียดแค้น
บัวเกี๋ยงแอบเปิดประตูห้องสุพัฒนาเข้ามา จึงเห็นว่าสุพัฒนาหลับไปแล้ว
“มาทำอะไรเหรอบัวเกี๋ยง” ภูชิชย์ที่ยืนอยู่ข้างหลังถามขึ้น
บัวเกี๋ยงตกใจ “มา..มาดูคุณเล็กค่ะว่าหลับหรือยัง เป็นห่วงน่ะค่ะ เผื่อจะมีอะไรใช้บัวเกี๋ยงอีก”
“งั้นก็ไปเถอะ” ภูชิชย์จะเดินไป
“เอ่อ แล้วพ่อเลี้ยงยังไม่นอนเหรอคะ”
“ยัง”
บัวเกี๋ยงเข้าไปกระแซะพร้อมกับส่งตาหวานให้ “แล้วพ่อเลี้ยงมีอะไรอยากให้บัวเกี๋ยงรับใช้ไหมคะ”
ภูชิชย์มองอย่างไม่พอใจ “ไม่ แล้วก็อย่ามาทำท่าทำทางอย่างนี้กับฉันอีก” พูดจบภูชิชย์ก็เดินไปเลย
“ฮึ คอยดูเหอะ เดี๋ยวอีกหน่อยจะเรียกหาแต่อีบัวเกี๋ยง” บัวเกี๋ยงจับกระเป๋ากางเกงที่มีห่อยานอนหลับซ่อนอยู่
บัวเกี๋ยงค่อยๆเปิดประตูกลับเข้ามาในห้องสุพัฒนา ก็เห็นสุพัฒนายังหลับอยู่ บัวเกี๋ยงยิ้มร้าย
“ รู้เวลาดีนี่ ขอบใจมากนะ ที่เปิดทางสะดวกให้.. คุณน้องสะใภ้” บัวเกี๋ยงค่อยๆปิดประตูออกไป
บัวเกี๋ยงแอบมองภูชิชย์ เธอเห็นภูชิชย์นั่งเหม่ออยู่ที่ระเบียง บัวเกี๋ยงได้ทีรีบเข้าไปในครัวทันที
บัวเกี๋ยงรีบหยิบน้ำองุ่นในตู้เย็นออกมาเทใส่แก้ว แล้วเอายานอนหลับที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง
ออกมาเทใส่แล้วคนให้ละลาย
ภูชิชย์จะเดินมากินน้ำ แต่พอได้ยินเสียงคนแก้วอยู่ในครัวก็นึกสงสัย
บัวเกี๋ยงคนแก้วสักพักก็ยกขึ้นดูตะกอน เมื่อเห็นว่าไม่มีก็ยิ้มอย่างพอใจ
“ทำอะไรอยู่น่ะ” เสียงภูชิชย์ถามขึ้น
บัวเกี๋ยงสะดุ้งแล้วหันไปเห็นภูชิชย์ ภูชิชย์มองแก้วน้ำองุ่นบนโต๊ะ
บัวเกี๋ยงพยายามตั้งสติพูดกับภูชิชย์ “บัวเกี๋ยงเห็นพ่อเลี้ยงยังไม่นอน ก็เลยจะเอาน้ำองุ่นไปให้” บัวเกี๋ยงหยิบน้ำองุ่นส่งให้ “พ่อเลี้ยงดื่มสิคะ”
ภูชิชย์มองอย่างไม่ไว้ใจ “ไม่ล่ะ” แล้วภูชิชย์ก็จะเดินขึ้นห้อง
บัวเกี๋ยงรีบมาดักหน้า “กินสักนิดนะคะ บัวเกี๋ยงอุตส่าห์ทำให้”
“ก็ฉันไม่อยากกิน เธอจะมาอะไรเนี่ย มีอะไรหรือเปล่า”
บัวเกี๋ยงเหลือบมองถังขยะ “มีอะไรคะ ไม่มีค่ะ บัวเกี๋ยงเห็นพ่อเลี้ยงชอบนอนดึกๆ ก็แค่อยากรับใช้พ่อเลี้ยงแค่นั้น”
ภูชิชย์เดินไปที่ถังขยะแล้วหยิบห่อยาที่บัวเกี๋ยงทิ้งเอาไว้ขึ้นมา “นี่อะไร”
บัวเกี๋ยงอึกอักเพราะตอบไม่ได้
“เธอใส่อะไรให้ฉันกิน” ภูชิชย์ถาม
“เอ่อ..เปล่าค่ะ..” บัวเกี๋ยงอึกอัก
“ฉันจะเอาไปให้ตำรวจ”
บัวเกี๋ยงตกใจ รีบวางแก้วทันที “อย่านะคะพ่อเลี้ยง บัวเกี๋ยงขอโทษ บัวเกี๋ยงผิดไปแล้ว”
บัวเกี๋ยงตรงเข้าไปกอดภูชิชย์ “บัวเกี๋ยงทำไปเพราะรักพ่อเลี้ยงมานานแล้ว” บัวเกี๋ยงพยายามปล้ำและจูบภูชิชย์ “พ่อเลี้ยงรักบัวเกี๋ยงนะคะ”
ภูชิชย์ผลักบัวเกี๋ยงออก “เฮ้ย ปล่อยนะ ถ้าทำแบบนี้อีก ก็คงอยู่ที่นี่ไม่ได้!” ภูชิชย์เดินออกไปทันที
บัวเกี๋ยงเจ็บใจที่จับภูชิชย์ไม่ได้
บรรยากาศยามเช้าที่ศูนย์วิจัยพันธุ์กาแฟบนดอยเต็มไปด้วยหมอกเย็นๆ พิสุทธิ์พานริศรามาทำความรู้จักกับธาวิน นักวิทยาศาสตร์หนุ่มใหญ่ที่เป็นแขกของโรงแรมของพิสุทธิ์กับทีมวิจัย ทั้งหมดมีท่าทีเป็นมิตรกับทั้งคู่
พิสุทธิ์พูดกับนริศรา “ศูนย์วิจัยที่นี่เพิ่งไปจัดสัมนาที่โรงแรมเมื่อสัปดาห์ก่อน เราเลยได้รู้ว่าทีมงานที่นี่ยังขาดคน”
“ที่คุณโป๊ะรู้เพราะผมพยายามจะไปดึงพนักงานของโรงแรมมาทำงานกับเราครับ แต่เขาปฎิเสธ” ธาวินสารภาพ
“ผมเลยเอาเพื่อนผมมาให้แทนไงครับ นิดเขาเคยอยู่ไร่สุพัฒนามา” พิสุทธิ์แนะนำ
“ด้วยความยินดีเลยครับ แสดงว่าคุณนิดรู้จักกาแฟมาพอควร แบบนี้ก็จะช่วยศูนย์วิจัยของเราได้เยอะมาก” ธาวินบอก
“ขอบคุณทุกคนมากนะคะ ที่ให้โอกาส แล้วก็ต้อนรับนิดดีขนาดนี้ นิดจะตั้งใจทำงานค่ะ”
ทุกคนยิ้มให้กันอย่างมีไมตรี นริศรามองบรรยากาศการทำงานรอบๆก็ยิ้มอย่างมีความหวัง
นริศรากับพิสุทธิ์เดินดูวิวบนดอย
“เราขอบคุณโป๊ะมากๆเลยนะที่เป็นที่พึ่งให้เรามาตลอด” นริศราพูด
พิสุทธิ์พูดอย่างจริงจัง “เราอยากเป็นที่พึ่งให้นิดไปทั้งชีวิตเลยด้วยซ้ำ”
นริศรารีบทำตลกกลบเกลื่อน “โอ๊ย ไม่เอาหรอก เดี๋ยวเราได้กลายเป็นยัยเอ๋อกันพอดี”
“นิดนะ พอเราซีเรียสก็ทำเป็นเล่นอยู่เรื่อย เมื่อไหร่จะพูดอะไรจริงจังกันได้ซะที”
นริศรพูดจริงจัง “เรายังไม่คิดเรื่องนี้หรอกโป๊ะ เราคิดแต่เรื่องงานอย่างเดียว”
“ไม่ใช่ว่ามีคนอื่นในใจนะ”
นริศราอึ้งไปเล็กน้อยแล้วหัวเราะกลบเกลื่อน “จะมีได้ไง วันๆเจอแต่ต้นไม้” นริศราพูดโดยหลบตาพิสุทธิ์
พิสุทธิ์ยิ้มอย่างไม่ค่อยเชื่อ
“ต้นไม้มันก็มีเจ้าของนะ”พิสุทธิ์พูด
ภูชิชย์กำลังให้วัวกินหญ้าอยู่ที่ฟาร์มวัวในไร่สุพัฒนา เจ้าทิพย์ดาราลงจากรถแล้วเดินเข้ามาหาภูชิชย์
“อ้าวเจ้า ทำไมมาแต่เช้าเลยล่ะครับ” ภูชิชย์เอ่ยถาม
“ภูไล่คุณนิดออกเหรอคะ” เจ้าทิพย์ดาราถามกลับ
ภูชิชย์มีท่าทางสนใจขึ้นมาทันที “เจ้าเจอเขาเหรอครับ”
“แหม สนใจเชียวนะคะ น้อยเจอเขากับคุณโป๊ะเมื่อคืนที่เชียงใหม่ค่ะ”
ภูชิชย์ซึมลงไป “นึกอยู่แล้ว”
เจ้าทิพย์ดาราสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติในตัวภูชิชย์มากขึ้น “ก็คุณนิดมีเพื่อนอยู่คนเดียว จะให้เขาไปหาใครได้ล่ะคะ ถ้าภูอยากเจอก็ไปหาคุณโป๊ะกับคุณนิดด้วยกันไหมคะ”
ภูชิชย์รีบพูดกลบเกลื่อน “จะไปหาเขาเรื่องอะไรล่ะครับ นริศราเขาทำผิด ก็ต้องปล่อยเขาไปตามทางของเขา”
“ดูภูเสียใจมากนะคะ”
ภูชิชย์เฉไฉ “ก็ไม่นี่ครับ ผมก็แค่ผิดหวังที่ไม่น่าไปไว้ใจเขา”
เจ้าทิพย์ดารามองภูชิชย์แล้วถามทันที “ภูยังรักน้อยหรือเปล่า”
ภูชิชย์งง “ทำไมอยู่ๆเจ้าก็ถามอย่างนี้ล่ะครับ ผมก็..” ภูชิชย์เริ่มมีท่าทีพูดลำบากขึ้น “รักเจ้าอยู่แล้วนี่ครับ
เจ้าทิพย์ดาราทำเป็นยิ้ม “เปล่าหรอกค่ะ ไม่มีอะไรหรอก ไปทานอาหารเช้ากันนะคะ”
“ครับ” ภูชิชย์ตอบแล้ววางอุปกรณ์
เจ้าทิพย์ดาราควงแขนภูชิชย์เดินออกไป
แปลงดอกไม้ของสุพัฒนาเริ่มมีดอกไม้บานสะพรั่งสวยงาม จู่ๆ สุพัฒนาก็ส่งเสียงร้องดังลั่น
“ว้าย”
นิพนธ์รีบวิ่งเข้าไปประคองสุพัฒนาที่หกล้มอยู่กลางแปลงดอกไม้ สุพัฒนาค่อยๆลุกขึ้นมาโดยที่ในมือยังถือพลั่ว ส่วนหน้าตาและแขนขาเลอะดินมอมแมมไปหมด
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับคุณเล็ก” นิพนธ์ประคองแล้วเอ่ยถาม
สุพัฒนายิ้มอย่างสดใส “ไม่เจ็บหรอก ฉันซุ่มซ่ามเองแหละ”
นิพนธ์ยิ้มรับและยิ่งรู้สึกว่าตัวเองหลงรักสุพัฒนามากขึ้นทุกที เขาช่วยปัดดินออกจากมือ แขน และแก้มให้สุพัฒนา ทั้งสองมองตากัน แต่สุพัฒนาก็ยังไม่รับรู้ความรู้สึกของนิพนธ์
“หมดยังอ่ะ” สุพัฒนาถาม
นิพนธ์พยายามทำตัวปกติ “ครับ หมดแล้ว คุณเล็กไปพักก่อนก็ได้ครับ ช่วยผมใส่ปุ๋ยตั้งเยอะแล้ว เดี๋ยวที่เหลือผมทำเอง”
“โธ่ ฉันทำต่อได้น่า”
สุพัฒนาลุกขึ้นยืนโดยมีนิพนธ์ช่วยประคอง สักพักสุพัฒนาก็เดินไปชมดอกไม้ในแปลง
“ฉันชอบไสตล์จัดสวนดอกไม้ของนายมากเลยนะ ใครแนะนำอ่ะ”
“ก็คิดเองบ้าง” นิพนธ์ตอบ
“บ้างนี่ แสดงว่ามีคนแนะนำด้วย ใครเหรอ อย่าบอกว่าเป็นยัยนิดนะ ฉันเผาแปลงดอกไม้นี่ทิ้งแน่”
นิพนธ์ได้ยินดังนั้นก็รีบโกหกทันที “ไม่ใช่หรอกครับ ก็พวกคนงานนั่นแหละครับ”
สุพัฒนาอารมณ์ดี นิพนธ์ยิ้มด้วยความโล่งใจแล้วเขาก็คิดอะไรได้
“เออ เดี๋ยวเรามาช่วยกันตัดดอกไม้ดีไหมครับ”
“ไม่เอา ก็บอกแล้วไง ว่าฉันชอบให้มันอยู่กับต้น”
“แต่ถ้าปล่อยไว้ มันก็จะเหี่ยวแล้วก็ร่วงไป ถ้าเราตัดมันบ้าง มันก็จะได้แตกกิ่ง ออกดอกสวยๆมาให้คุณเล็กใหม่ไงครับ”
สุพัฒนานิ่งคิดนิดนึง “ก็ได้”
สุพัฒนากับนิพนธ์ช่วยกันตัดดอกไม้ พร้อมทั้งแกล้งหยอกกันไปมาอย่างมีความสุข
ลัคนากำลังแต่งตัวอยู่หน้ากระจกในห้องพักที่โรงแรม ส่วนลาวัลย์เดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอน
“หา! ไร่สุพัฒนา เราจะไปทำไมอีก” ลาวัลย์ถามพี่สาว
“อ้าว...ก็ ไปให้สนิทสนมกับพ่อเลี้ยงมากขึ้นไง” ลัคนาตอบหน้าตาย
“พี่นายังจะให้วันไปจับพ่อเลี้ยงอีกเหรอ วันไม่ไป ไม่เอาแล้ว เห็นๆอยู่ว่าพ่อเลี้ยงไม่ได้ชอบวัน”
“ถ้าแกกลัวเรื่องแฟนเขาเจ้าน้อยเจ้ามากอะไรนั่น พี่ว่าอย่าไปคิดเลย เพราะถ้ารักกันมากคงแต่งกันไปแล้ว ไม่มาควงกันนานขนาดนี้หรอก”
“วันก็ไม่ได้คิดเรื่องเจ้าน้อย” ลาวัลย์บอกพี่สาว
“งั้นแกจะไปแคร์อะไร”
“ก็แคร์พ่อเลี้ยงนั่นแหล่ะ พี่นาไม่คิดเหรอว่าวันที่เราไปไร่น่ะ พ่อเลี้ยงเขาสนใจจะรู้ประวัตินิดมากกว่าจะสนว่าเราหิวน้ำกันหรือเปล่า แล้วแบบนี้จะให้วันกลับไปจีบเขาอีกเหรอ”
“นี่แกก็คิดใช่ไหมว่าพ่อเลี้ยงกับยัยนิดอาจจะชอบกัน”
“นิดเขาทั้งสวยทั้งเก่ง ถ้าพ่อเลี้ยงจะหวั่นไหวก็ไม่แปลกนะ”
ลัคนาเริ่มโมโห “โอ๊ย ไม่ได้นะยัยวัน ยิ่งเป็นแบบนี้แกจะปล่อยพ่อเลี้ยงพันล้านนั่นไปไม่ได้ พี่ไม่ยอมให้แกแพ้ยัยนิดนั่นหรอก”
“พี่นา....วันถามจริงๆเถอะ พี่นาไปจงเกลียดจงชังอะไรนิดเขานักหา”
“พี่ก็ไม่ได้เกลียดอะไรเด็กนั่นหรอก ถ้ายัยนิดจะไม่มามีส่วนในสมบัติของคุณณะ แล้วก็ไม่มาแย่งพ่อเลี้ยงของแก นี่พี่สู้เพื่อแกนะ”
ลาวัลย์ถอนใจ “ขอบคุณค่ะพี่นา แต่พี่นาสู้ไปคนเดียวเถอะ วันไม่ใช่พวกนางร้ายในละครที่ต้องมารุมแย่งพระเอกคนเดียว ถ้าพี่นาไม่ไปไหนวันกลับละ” ลาวัลย์พูดจบก็เดินออกจากห้องไปทันที
“อ๊าย ยัยวัน กลับมานะ แกกล้าขัดใจพี่เหรอ พี่เลี้ยงแกมานะ”
ลัคนารีบวิ่งตามลาวัลย์ออกไปนอกห้อง
ภูชิชย์กับเจ้าทิพย์ดารานั่งรับประทานอาหารเช้าด้วยกันอยู่ที่ระเบียงบ้านเจ้าทิพย์ดารา ภูชิชย์นั่งกินอาหารไปเงียบๆ เจ้าทิพย์ดารามองด้วยความสงสัย
“ภูมีอะไรในใจหรือเปล่าคะ”
ภูชิชย์พยายามพูดกลบเกลื่อน “ไม่มีนี่ครับ ทำไมเหรอครับ”
“ขอน้อยพูดตรงๆนะคะ น้อยรู้สึกว่าภูเปลี่ยนไป”
“ผมเปลี่ยนเหรอครับ?” ภูชิชย์ถาม
“ก็ตั้งแต่เช้าแล้ว ภูดูเงียบๆไปไม่ค่อยพูดเลย จะว่าไปหลังๆมานี่เราสองคนก็แทบจะไม่สวีทหวานเหมือนเมื่อก่อนเลยนะคะ”
ภูชิชย์อึ้ง “เจ้าน้อย....เอ่อ...ผม”
เจ้าทิพย์ดาราถอนใจ “น้อยนี่แย่จัง มาบ่นเรียกร้องเป็นเด็กๆเลยนะคะ”
“ไม่หรอกครับ ผมต่างหากที่ดูแลเจ้าน้อยไม่ดีเอง...ผมขอโทษนะครับเจ้า”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ แค่กลับมาเป็นภูคนเดิมของน้อยเร็วๆก็พอ”
เจ้าทิพย์ดารามองตาภูชิชย์ ภูชิชย์ยิ้มรับเจื่อนๆ
ขณะเดียวกันนั้น เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกากำลังยืนมองทั้งคู่อยู่จากด้านในบ้าน
“เจ้าน้อยนี่จริงๆเลยนะ รู้ว่าพ่อแม่ไม่ชอบก็ยังจะพาคนๆนี้มาในบ้านอีก” เจ้าเทพมงคลไม่พอใจ
“ดูท่าแล้วเจ้าน้อยคงอยากให้เราเลิกเชียร์คุณโป๊ะน่ะค่ะ” เจ้าดาระกาเข้าใจ
เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกายังคงยืนดูเจ้าทิพย์ดารากับภูชิชย์นั่งคุยและรับประทานอาหารกันไปเรื่อยๆ
สุพัฒนาที่เปลี่ยนชุดใหม่แล้วเข้ามาจัดโต๊ะทำงานให้ภูชิชย์อย่างอารมณ์ดี บัวเกี๋ยงรีบวิ่งหน้าตื่นเข้ามาหา
“ได้เรื่องแล้วค่ะคุณเล็กขา”
“ว่าไง ตกลงพี่ภูอยู่ไหน” สุพัฒนาถาม
“คนงานที่ฟาร์มบอกว่านังเจ้าน้อยมาหาพ่อเลี้ยงเมื่อเช้า พูดคุยไม่กี่คำก็ชวนกันออกไปข้างนอกเลยค่ะ”
ได้ยินเช่นนั้นสุพัฒนาก็โมโหจนถึงกับฟาดแฟ้มในมือลงกับโต๊ะเต็มแรง บัวเกี๋ยงถึงกับสะดุ้ง
“แล้วแกปล่อยไปได้ไงทำไมไม่จับตาดูเอาไว้”
“แหม...บัวเกี๋ยงต้องไปคุมเรื่องอาหารเช้าให้คุณเล็กนะคะ คุณเล็กเองก็มัวแต่ไปอยู่ที่แปลงดอกไม้กับคุณนิพนธ์ จะโทษบัวเกี๋ยงคนเดียวได้ไง”
“นังบัวเกี๋ยง แกย้อนฉันเหรอ”
“บัวเกี๋ยงขอโทษค่ะ”
“นังเจ้าน้อย นังหน้าด้าน ยังไงฉันก็ไม่ยอมแพ้แกหรอก”
สุพัฒนาวางแฟ้มส่งๆ โดยไม่สนใจว่าจะเป็นระเบียบไหม แล้วเธอก็จะเดินออกจากห้องทำงานไป
“คุณเล็กไม่ทำงานแล้วเหรอคะ” บัวเกี๋ยงถาม
“ไม่ทำ ฉันไม่มีอารมณ์”
พูดจบสุพัฒนาก็เดินออกไป บัวเกี๋ยงรีบเดินตามไปทันที
ลัคนากับลาวัลย์มายืนอยู่ที่หน้าสำนักงานของไร่สุพัฒนา ลาวัลย์ยืนหน้าหงิกแล้วก็บ่นพี่สาว
“บังคับให้มาจนได้นะพี่นา”
ลัคนาค้อน “หุบปากแล้วช่วยทำตัวเป็นน้องที่ดีของฉันด้วย”
สองพี่น้องจะเดินเข้าไปในสำนักงานจังหวะเดียวกับที่สุพัฒนากับบัวเกี๋ยงเดินออกมาพอดี สุพัฒนากับลัคนาต่างมองกันแบบหัวจรดเท้าด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
“พ่อเลี้ยงภูชิชย์อยู่ไหม ฉันมาพบพ่อเลี้ยง” ลัคนาถามห้วนๆ
“เธอสองคนเป็นใคร แล้วมีธุระอะไรกับพี่ภู” สุพัฒนาตอบเสียงแข็งไม่แพ้กัน
“พี่ภู” ลัคนางง
“ฉันชื่อ” สุพัฒนาพูดเน้น “สุพัฒนา บริรักษ์กิจเกษตร”
ลัคนาได้ยินก็รีบเปลี่ยนน้ำเสียงทันที “อุ๊ย....คุณสุพัฒนาน้องสาวพ่อเลี้ยงนี่เอง แหม...นึกแล้วเชียว หน้าตาสวยจัง เคยได้ยินแต่ชื่อไม่นึกว่าตัวจริงจะ....”
สุพัฒนาพูดสวนขึ้นทันที “ตกลงมีธุระอะไรกับพี่ภู” สุพัฒนาจ้องหน้าลัคนา
“ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ ที่จริงพวกเราเป็นญาติของนิด แต่มาถึงที่นี่ก็ต้องทักทายเจ้าของไร่ก่อนตามธรรมเนียม จริงไหมคะ”
“คุณเล็กขา สงสัยนังนิดมันจะไปฟ้องญาติเรื่องที่ถูกไล่ออก” บัวเกี๋ยงแสดงความเห็น
ลัคนากับลาวัลย์ได้ยินแล้วถึงกับอึ้ง
“ถูกไล่ออก...นิดถูกไล่ออกแล้วเหรอคะ” ลาวัลย์ตกใจ
“ตอนนี้ก็ถือว่าเธอสองคนไม่มีธุระกับไร่สุพัฒนาแล้วนะ”
พูดจบสุพัฒนาก็หัวเราะแล้วเดินไป บัวเกี๋ยงเดินตามไปโดยไม่สนใจลัคนากับลาวัลย์ที่ยืนเหวอมองหน้ากัน
ลัคนากับลาวัลย์วิ่งตามสุพัฒนาและบัวเกี๋ยงไปตามทาง
“เดี๋ยวค่ะ น้องสุพัฒนาคะ รอพี่ด้วย” ลัคนาเรียก
สุพัฒนาหยุดทันทีและหันมาพูดเสียงเข้มใส่
“อย่ามาเรียกฉันเป็นน้อง ฉันไม่ชอบนับญาติกับพวกที่ดูแล้วด้อยกว่า”
ลัคนาได้ยินก็แอบค้อนแต่ก็รีบเปลี่ยนเป็นยิ้มรับ ส่วนลาวัลย์ได้ยินก็เริ่มเชิดหน้าขึ้น
ลัคนาพูดด้วยสีหน้าเจื่อน “เอ่อ..ค่ะๆ คือฉันฉันอยากรู้ว่าทำไมนิดถึงโดนไล่ออกล่ะคะ”
“ก็มันโกงเงินของที่ไร่นี้ไปน่ะสิ” สุพัฒนาบอก
ลาวัลย์แปลกใจ “นิดน่ะเหรอโกงเงิน”
“ตกลงเป็นญาติกันแน่หรือเปล่าเนี่ย ทำไมไม่รู้เรื่อง” บัวเกี๋ยงว่า
ลัคนามองบัวเกี๋ยงด้วยสายตาเหยียดแล้วรีบเดินไปหาสุพัฒนาทันที
“ฉันก็เป็นแค่พี่สะใภ้ค่ะ แหม แต่พอได้ข่าวอย่างนี้ ก็อดอับอายไม่ได้ ยัยนิดนี่ทำเสียชื่อวงศ์ตระกูลหมด ดีแล้วล่ะค่ะที่คุณสุพัฒนาไล่เขาไป คนไม่ดีเลี้ยงไว้ทำไม” ลัคนารีบประจบ
ลาวัลย์ตกใจ “พี่นา !!! ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ เราไม่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะ”
ลัคนาหงุดหงิดรีบกระตุกแขนน้องสาวแล้วกระซิบ “เฉยไว้เหอะน่า” ลัคนาหันไปพูดกับสุพัฒนา “ ตอนอยู่กรุงเทพฯ พี่...เอ่อ...ฉันก็ทนแม่นี่ไม่ได้ค่ะ ถึงกับต้องไล่ออกจากบ้าน ไม่คิดว่าจะมาทำเรื่องที่นี่อีก ดิฉันเห็นใจพ่อเลี้ยงกับคุณสุพัฒนาจริงๆนะคะที่ต้องทนคนแบบนี้ ถือว่าเราหัวอกเดียวกันค่ะ” ลัคนาปั้นยิ้มหวานให้สุพัฒนา
สุพัฒนารำคาญ “พล่ามจบแล้วใช่ไหม เชิญออกไปจากที่นี่ได้ แล้วต่อไปนี้ไม่ต้องสาระแนเสนอหน้ามาที่นี่กันอีกทั้งคู่ ....น่ารำคาญ”
บัวเกี๋ยงหัวเราะร่วน ลัคนาอึ้ง ลาวัลย์โมโหจึงรีบดึงลัคนาให้ออกมาแล้วเธอก็เดินไปจ้องหน้าสุพัฒนาก่อนจะพูด
“นี่คุณ ขอฉันถามคุณบ้างเถอะว่า ตกลงเป็นน้องสาวพ่อเลี้ยงแน่หรือเปล่า ทำไมกิริยามารยาทถึงได้แย่กว่ายามที่หน้าไร่ของคุณซะอีก”
“กรี๊ด” สุพัฒนาโกรธ “ อีบ้า...กล้าดียังไงมาด่าฉัน” สุพัฒนาหันไปพูดกับบัวเกี๋ยง “นังบัวเกี๋ยง...ยืนเซ่อทำไม ทำอะไรสักอย่างสิ”
บัวเกี๋ยงเดินมาจ้องหน้าสองพี่น้องทันที “บังอาจด่าคุณเล็กแบบนี้ต้องตบสั่งสอน”
“ถ้าถูกตัวฉันกับพี่สาวแม้แต่นิดเดียว ฉันฟ้องพวกคุณล่มจมแน่” ลาวัลย์ขู่
แล้วเธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดถ่ายวิดีโอ บัวเกี๋ยงเงื้อมือค้าง สุพัฒนาจึงผลักบัวเกี๋ยง
“กลัวมันทำไม แย่งโทรศัพท์มันมาแล้วตีมันให้ตายเลย แกเป็นอะไรฉันประกันเอง”
บัวเกี๋ยงเข้าไปจะแย่งโทรศัพท์แต่ลาวัลย์กับลัคนาก็พยายามต่อสู้ สุพัฒนาเอาแต่ยืนกรี๊ด
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้น “มีเรื่องอะไรกัน”
ทุกคนหันไปก็เห็นภูชิชย์กำลังเดินหน้าเข้มเข้ามา
เวลาต่อมา ภูชิชย์ก็เดินนำลัคนาและลาวัลย์มาส่งที่รถลีมูซีนของโรงแรมซึ่งจอดอยู่ที่ลานจอดรถหน้าสำนักงาน โดยที่ลัคนามีสีหน้าบึ้งตึงมาตลอด
“ผมต้องขอโทษแทนน้องสาวของผมด้วยนะครับสำหรับเรื่องวันนี้” ภูชิย์เอ่ย
“คงอภัยให้ไม่ได้หรอกค่ะพ่อเลี้ยง เล่นหมิ่นเกียรติกันขนาดนี้ ฉันคงไม่คบหาสมาคมด้วยอีกแล้ว ไปยัยวัน” ลัคนาฉุน
ภูชิชย์หน้าเสีย ลัคนาขึ้นรถไป ส่วนลาวัลย์ยิ้มปลอบใจภูชิชย์
“ของวันไม่ได้ถือโกรธใครหรอกค่ะ วันรู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
ภูชิชย์งง “คุณวันหมายความว่าไงครับ”
ลาวัลย์มองเข้าไปในรถแล้วถอนใจ “วันรู้จักพี่สาววันดีค่ะ คิดซะว่ามวยถูกคู่ก็แล้วกัน”
“ยังไงผมก็ต้องขอโทษอีกครั้งนะครับ” ภูชิชย์ย้ำ
“ส่วนเรื่องนิดถึงวันจะไม่สนิทกับเขามาก แต่วันเชื่อว่าคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างนิดไม่มีทางที่จะทำอะไรแบบนั้นแน่นอนค่ะ ถ้าเขาอยากได้เงินทะเลาะกับพี่นาเอามรดกของเขาคืนจะไม่ง่ายกว่าเหรอคะ ไม่ต้องมีใครมาตราหน้าว่าเป็นขโมยด้วย”
พูดจบลาวัลย์ก็ยิ้มแล้วขึ้นรถก่อนจะปิดประตู จากนั้นรถลีมูซีนของโรงแรมก็แล่นออกไป ภูชิชย์ยืนนิ่งคิดด้วยสีหน้าเครียด
สุพัฒนานั่งหน้างออยู่ในห้องรับแขก บัวเกี๋ยงนั่งอยู่ใกล้ๆ สักพักภูชิชย์ก็เดินเข้ามาแล้วตรงมานั่งกับน้องสาว
“ทำไมพี่ภูถึงชอบทำดีกับคนที่คุณเล็กเกลียด” สุพัฒนาถามขึ้น “เมื่อเช้าก็ไปกับนังเจ้าน้อย กลับมาก็มาทำดีกับพวกนังนิดอีก พี่ภูจะร่วมมือกับพวกมันทำร้ายคุณเล็กไปถึงไหน”
“ทำไมถึงพูดแบบนี้ ไม่มีใครคิดทำร้ายคุณเล็กหรอก โดยเฉพาะพี่” ภูชิชย์บอกน้องสาว
“เหรอคะ ถ้างั้นพี่ภูก็เลิกคบกับคนพวกนั้นสิคะ”
ภูชิชย์นิ่งเงียบไปจนสุพัฒนาเริ่มไม่พอใจ
“พี่ภูตอบคุณเล็กมาสิว่าได้ไหม ต่อไปนี้ไม่ว่าใครก็ตามที่คุณเล็กไม่ชอบ พี่ภูก็ต้องไม่คบกับมันได้ไหมคะ พี่ภูตอบมาสิ”
สุพัฒนาเข้าไปเขย่าแขนภูชิชย์เป็นเชิงบังคับ
“คุณเล็ก เลิกบังคับใจพี่แล้วหันมาใช้เหตุผลบ้างได้ไหม” ภูชิชย์พูดเสียงหนักแน่น
สุพัฒนาอึ้ง “พี่ภู นี่พี่ภูดุคุณเล็กเหรอ”
“พี่อยากเห็นคุณเล็กเป็นคนมีเหตุมีผล”
สุพัฒนาตวาดทันที “แล้วคุณเล็กไม่มีเหตุผลตรงไหน ที่คุณเล็กทำก็เพราะคุณเล็กหวังดีกับพี่ภู คุณเล็กผิดด้วยเหรอคะ”
“พี่เข้าใจว่าคุณเล็กหวังดีกับพี่ แต่ต้องไม่ใช่เกลียดคนอื่นไปทั่วแบบนี้ โลกใบนี้ไม่ได้มีแค่เราสามคนพี่น้อง ทั้งพี่ทั้งคุณเล็กหรือแม้แต่นายวัสก็ต้องมีเพื่อนมีสังคม มีการคบคนนอก”
“พี่ภูหมายความว่ายังไง นี่พี่ภูจะทิ้งคุณเล็กใช่ไหม”
“พี่ไม่ได้หมายความอย่างนั้น”
“พี่ภูไม่ต้องมาโกหกคุณเล็ก พี่ภูเห็นคนอื่นดีกว่าคุณเล็ก พี่ภูไม่รักคุณเล็ก กรี๊ด”
สุพัฒนากรี๊ดลั่นจนภูชิชย์ต้องรีบเข้ามากอด แต่สุพัฒนาก็ผลักออก
“คุณเล็ก” ภูชิชย์เสียใจ
“ไม่ต้องมายุ่ง ในเมื่อพี่ภูเกลียดน้องคนนี้ก็ไม่ต้องมายุ่ง กรี๊ด”
สุพัฒนาร้องลั่นแล้วก็วิ่งหนีไป บัวเกี๋ยงลุกขึ้นแต่ยังไม่ตามไปเพราะต้องการจะเอาหน้าภูชิชย์ก่อน
“พ่อเลี้ยงคะ ทำไงดีคะ” บัวเกี๋ยงทำเป็นถาม
“ก็รีบตามไปดูสิ”
บัวเกี๋ยงรีบวิ่งตามไป ภูชิชย์จะวิ่งตามแต่แล้วก็หยุดชะงัก
“ขอโทษนะคุณเล็ก พี่แค่อยากให้คุณเล็กมีเหตุผลบ้าง”
ภูชิชย์พึมพำแล้วทรุดตัวลงนั่งด้วยความเศร้า
อ่านต่อหน้าที่ 2
รักประกาศิต ตอนที่ 10 (ต่อ)
สุพัฒนาเดินร้องไห้มาตามทาง โดยมีบัวเกี๋ยงวิ่งตามมา
“คุณเล็ก คุณเล็กขา”
“แกจะไปไหนก็ไป ฉันรำคาญ” สุพัฒนาไล่
บัวเกี๋ยงได้ยินดังนั้นแต่ก็ยังลังเลไม่กล้าไป สุพัฒนาจึงก้มหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาจะตี
“ว๊าย...คุณเล็กอย่านะคะ บัวเกี๋ยงกลัวแล้ว”
บัวเกี๋ยงวิ่งหนีไปทันที สุพัฒนาเอากิ่งไม้ฟาดไปตามต้นไม้แล้วก็ทรุดตัวลงนั่งร้องไห้ สักพักเธอก็ได้ยินเสียงคนเดินเหยียบใบไม้ใกล้เข้ามา สุพัฒนาคิดว่าเป็นบัวเกี๋ยงจึงหันไปตวาดทันที
“ฉันบอกแล้วไงว่าให้ไป”
สุพัฒนาเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าเป็นนิพนธ์
“ผมเห็นคุณเล็กวิ่งมาเลยตามดูครับ” นิพนธ์บอก
สุพัฒนาลุกขึ้น เธอเชิดหน้าแล้วจะเดินไป แต่นิพนธ์พูดกับเธอว่า
“ถ้าคุณเล็กมีเรื่องไม่สบายไปใจก็ไปเดินเล่นที่แปลงดอกไม้สิครับ”
สุพัฒนานั่งมองแปลงดอกไม้ โดยมีนิพนธ์ยืนดูอยู่ไม่ไกล
“พี่ภูไม่เคยเป็นแบบนี้ พี่ภูไม่เคยขัดใจฉัน” สุพัฒนาคร่ำครวญ
“พ่อเลี้ยงรักคุณเล็กมากครับ” นิพนธ์บอก
“ตั้งแต่คุณพ่อคุณแม่เสียไป พี่ภูก็เป็นทุกอย่างทั้งพ่อแม่และพี่ ไม่มีใครดีกับฉันเท่าพี่ภู แม้กระทั่งพี่วัส”
“ถ้างั้นคุณเล็กจะโกรธพ่อเลี้ยงทำไมล่ะครับ” นิพนธ์ถาม
“ก็ฉันไม่ชอบให้พี่ภูไปใกล้ชิดผู้หญิงที่ฉันไม่ชอบน่ะสิ”
“เจ้าน้อยกับคุณนิดใช่ไหมครับ”
“ญาตินังนิดก็ด้วย ฉันไม่ชอบ”
“คุณเล็กครับ คุณเล็กเคยคิดถึงความสุขของพ่อเลี้ยงหรือเปล่าครับ”
สุพัฒนาตวาด “นิพนธ์....นี่เธอว่าฉันเห็นแก่ตัวเหรอ?”
“ผมขอโทษครับ คือเท่าที่ฟังผมว่าคุณเล็กก็คงรู้ว่าพ่อเลี้ยงรักคุณเล็กมาก แต่ผมยังไม่รู้ว่าคุณเล็กรักพ่อเลี้ยงหรือเปล่า”
“นี่เธอจะบ้าเหรอ ก็ที่ฉันทำทั้งหมดน่ะมันยังไม่แสดงว่าฉันรักพี่ภูอีกเหรอ” สุพัฒนาไม่เข้าใจ
“ถ้าสิ่งที่คุณเล็กทำให้พ่อเลี้ยงเรียกว่าความรัก แล้วทำไมพ่อเลี้ยงถึงไม่มีความสุขล่ะครับ”
“นิพนธ์...ไอ้บ้า...ฉันไม่ให้แกมาด่าฉันนะ”
สุพัฒนาลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ เธอผลักนิพนธ์ออกไปแล้วเดินหนี นิพนธ์มองตามแล้วส่ายหน้าด้วยความระอาใจ
ลัคนากลับมาถึงห้องพักก็โยนกระเป๋าลงบนโซฟาด้วยความหงุดหงิด
“พี่ว่าน้องอีตาพ่อเลี้ยงนี่ดูจิตๆยังไงก็ไม่รู้เนอะ”
“พูดแบบนี้แสดงว่าไม่ปลื้มพ่อเลี้ยงแล้วสิ” ลาวัลย์ถามดัก
“ตอนนี้เราตัดอีตาพ่อเลี้ยงภูธรนี่ไปได้เลย ก็เหลือแต่นายโป๊ะ” ลัคนาบอก
“หา! อีกแล้วเหรอ วันว่าตอนนี้เราน่าจะห่วงนิดมากกว่านะ”
“อุ๊ย...ห่วงทำไม ไปยุ่งมากดีไม่ดีติดร่างแหสมคบคิดเป็นขโมยกับยัยนั่นเราจะลำบาก”
ลาวัลย์ตกใจ “พี่นา...นี่พี่นาก็คิดเหรอว่านิดเป็นขโมย”
“ใช่ไม่ใช่พี่ไม่สน รู้แต่ว่าเกิดเรื่องนี้ขึ้น นายโป๊ะคงลดความปลื้มไปอีกจม โอกาสเป็นของแกแล้วนะ”
ลาวัลย์กุมขมับด้วยความเซ็งที่พี่สาวจะบังคับให้จับพิสุทธิ์ต่อจากภูชิชย์ ลัคนายิ้มอย่างมีแผน
พิสุทธิ์กำลังช่วยนริศราทำความสะอาดห้องพักใหม่ที่อยู่ในศูนย์วิจัย แล้วเขาก็จามออกมา นริศราเห็นก็แอบขำ
“สงสัยจะมีคนแอบคิดถึงโป๊ะนะ จามไม่หยุดเลย” นริศราแซว
“ว่าไปนั่น คงเป็นเพราะอากาศที่นี่เย็นจัดมากกว่า ว่าแต่นิดเถอะจะทนไหวไหมเนี่ยตัวแค่นี้”
“ไม่ทนก็ต้องอดน่ะสิ”
“ว่าไปก็ดีนะ ทำงานที่นี่ถึงจะอยู่ไกลหน่อย แต่ได้หยุดอาทิตย์ละสองวัน เราจะได้มารับนิดไปเที่ยวบ่อยๆ”
“ขืนเที่ยวบ่อยใช้เงินเยอะ พอดีเราเก็บเงินกลับไปเรียนไม่ได้สักที”
“โธ่...นึกว่าออกจากไร่สุพัฒนาแล้วนิดจะมีเวลาให้เรามากขึ้นซะอีก” พิสุทธิ์ตัดพ้อ
นริศราได้ยินคำว่าไร่สุพัฒนาก็ถึงกับอึ้งไป พิสุทธิ์เห็นเพื่อนสาวอึ้งไปก็รีบขอโทษ
“ขอโทษนะนิด เราไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่เป็นไรหรอกโป๊ะ เราแค่คิดว่าเราไม่ออกจากที่นั่น แต่เราถูกไล่ออกต่างหาก”
“นิด...เรารู้ว่านิดไม่ได้เป็นอย่างที่เขากล่าวหา นิดอย่าคิดมากเลยนะ เรามาเริ่มต้นทำสิ่งดีๆกันใหม่ดีกว่า”
นริศรายิ้มรับอย่างเศร้าๆ ทันใดนั้นโทรศัพท์ของพิสุทธิ์ก็ดังขึ้น พิสุทธิ์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแล้วอึ้งจนต้องมองหน้านริศรา
“พี่สะใภ้ของนิด” พิสุทธิ์บอก
นริศรากับพิสุทธิ์มองหน้ากันด้วยความงง
เวลาผ่านไป พิสุทธิ์ ลัคนา และลาวัลย์มานั่งคุยกันที่ล็อบบี้โรงแรม พิสุทธิ์นั่งฟังลัคนาอย่างพิจารณา ส่วนลัคนาพูดพร้อมกับปั้นหน้าเศร้า
“นี่คุณโป๊ะรู้เรื่องที่นิดโดนไล่ออกแล้ว แสดงว่ายัยนิดติดต่อคุณโป๊ะเหรอคะ” ลัคนางง
“นิดเขาโทรมาคุยครับ แต่ไม่ได้บอกว่าอยู่ที่ไหน” พิสุทธิ์แต่งเรื่อง
ลาวัลย์ลอบสังเกตพิสุทธิ์แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ลัคนาถอนใจ “พี่กับยัยวันก็เป็นห่วงน้องนิดมาก เลยอยากจะมาชวนคุณโป๊ะไปไหว้พระกัน คุณโป๊ะช่วยพาไปหน่อยได้ไหมคะ”
“ไปไหว้พระแล้วจะทำให้เจอนิดเหรอครับ” พิสุทธิ์ถามกวน
ลัคนาหน้าเหวอไปทันที
“เอ่อ...พี่หมายถึงเราไหว้พระเสร็จแล้วก็ออกตามหาน้องนิดไงคะ”
“งั้นผมว่าเราแยกกันตามหาจะสะดวกกว่านะครับ” พิสุทธิ์เสนอ
ลัคนาจะอ้าปากพูดต่อ ระหว่างนั้นเจ้าทิพย์ดาราก็เดินเข้ามาพอดี พิสุทธิ์เห็นก็รีบร้องทัก
“เจ้าน้อยครับ”
เจ้าทิพย์ดาราหันกลับมาเห็นพิสุทธิ์ก็เดินเข้ามาหา
ลัคนามองแล้วรีบสะกิดลาวัลย์ทันทีที่รู้ว่าเจ้าทิพย์ดารากับพิสุทธิ์รู้จักกัน
“พอดีน้อยนัดเซลล์ไว้ว่าจะเอาแบบเวทีมาให้ดูค่ะ” เจ้าทิพย์ดาราบอก
“ดีเลยครับ งั้นผมดูแลให้เอง” พิสุทธิ์อาสา
“แต่คุณโป๊ะมีธุระอยู่ไม่ใช่เหรอคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเสร็จธุระพอดี” พิสุทธิ์หันไปพูดกับลัคนาและลาวัลย์ “ผมขอตัวก่อนนะครับ”
พิสุทธิ์ยิ้มแล้วลุกเดินไปกับเจ้าทิพย์ดาราทันที ลัคนามองตามด้วยความไม่พอใจ
“นั่นมันยัยเจ้าน้อยแฟนพ่อเลี้ยงภูธรของแกนี่” ลัคนาเริ่มงง
“ใช่ค่ะ ทำไมเหรอ” ลาวัลย์ถาม
“ทำไมมาคั่วนายโป๊ะล่ะ หรือคิดจะจับปลาสองมือเหมือนพวกเรา”
“ไม่มั้ง ท่าทางเขาเหมือนจะมาคุยงานกันมากกว่า พี่นาอย่าคิดสิว่าคนอื่นเขาร้ายเหมือนตัวเอง” ลาวัลย์กัดพี่สาวตัวเอง
ลัคนาค้อนแล้วหันไปมองพิสุทธิ์กับเจ้าทิพย์ดาราที่เดินไปด้วยกัน
เจ้าทิพย์ดาราฟังเรื่องจากปากพิสุทธิ์แล้วก็มีสีหน้าตกใจ
“ผู้หญิงสองคนเมื่อกี้คือญาติคุณนิดเหรอคะ ตายแล้วทำไมคุณโป๊ะไม่แนะนำ”
พิสุทธิ์ยืนดูแบบเวทีด้วยสีหน้านิ่งก่อนจะตอบ
“ไม่จำเป็นนี่ครับ”
เจ้าทิพย์ดาราเอามือพับแบบในมือด้วยความไม่พอใจ “จำเป็นสิคะ...มากด้วย เพราะน้อยอยากรู้ว่าคุณนิดเป็นยังไงบ้าง”
“ถามผมจะได้เรื่องมากกว่าแน่นอนครับ”
เจ้าทิพย์ดารามองหน้าพิสุทธิ์ด้วยความงง
ในขณะที่พิสุทธิ์เริ่มเล่าเรื่องของนริศราให้เจ้าทิพย์ดาราฟัง นริศราก็กำลังเดินตามธาวินพลางจดข้อมูลตามที่ธาวินอธิบายอยู่ที่ศูนย์วิจัยที่เธอเริ่มทำงานใหม่
“ผมรู้จักนิดตอนเรียนบริหารปี 1 ที่ไอโอว่า” พิสุทธิ์เล่าให้เจ้าทิพย์ดาราฟัง “ เขาเป็นลูกของพลเอกณัฐ สุริยรักษ์ พอปี2 พ่อเขาก็เสีย นิดเลยต้องกลับเมืองไทย”
นริศราก้มๆเงยๆ ดูใบ เมล็ด และลำต้นกาแฟแล้วจดบันทึก จากนั้นเธอก็ไปช่วยเกษตรกรในพื้นที่ศูนย์วิจัยลงต้นกล้ากาแฟในแปลง เธอช่วยเหลือ พูดคุย หยอกเล่นกับลูกคนที่ศูนย์วิจัยที่ทำงานด้วย
“คุณพ่อนิดเขียนพินัยกรรมให้พันตรีณรงค์ พี่ชายนิดเป็นคนจัดการเรื่องมรดก แต่ตอนนั้นพี่ณะได้ทุนเรียนอยู่ที่สวีเดน เสร็จงานศพแล้วก็ต้องบินกลับด่วน พี่ณะเลยฝากให้พี่ลัคนาดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆให้นิดไปก่อน แต่ปรากฏว่าคุณลัคนาไม่ให้นิดเลยสักบาท แถมยังบีบให้นิดต้องออกจากบ้านมานี่ล่ะครับ” พิสุทธิ์เล่าโดยละเอียด
เจ้าทิพย์ดารามีสีหน้าเห็นใจนริศรา
“โถ สงสารคุณนิดจัง คุณลัคนานี่น่ากลัวจริงๆ น้อยไม่อยากคุยกับคนๆนี้เลย”
“นี่ผมก็ไม่รู้ว่าเขามาแกล้งทำเป็นห่วงนิดเพื่ออะไร แต่คุณลาวัลย์คนน้องนี่ดูจะเป็นมิตรกับนิดมากกว่า”
“แล้วพี่ชายคุณนิดเขาไม่รู้เรื่องเลยเหรอคะ” เจ้าทิพย์ดาราถาม
“ผมก็ไม่ทราบว่ารู้หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆเขาสองคนไม่ติดต่อกัน”
“คุณโป๊ะรู้ใช่ไหมคะว่าตอนนี้คุณนิดอยู่ที่ไหน”
พิสุทธิ์รีบกางแบบแล้วเปลี่ยนเรื่องทันที “อืม..ผมว่าซุ้มอาหารมาอยู่ใกล้กับ ซุ้มโชว์ของประมูลจะไม่เหมาะนะครับ เกิดมีใครทำเลอะขึ้นมาจะยุ่ง”
เจ้าทิพย์ดาราเสียงเข้ม “คุณโป๊ะคะ”
เจ้าทิพย์ดาราจ้องหน้าพิสุทธิ์ แต่พิสุทธิ์ลังเลเพราะไม่รู้จะบอกเธอดีหรือเปล่า
ภูชิชย์เดินเล่นอยู่ในไร่ พอเดินมาถึงศาลากลางไร่ก็เลยเดินเข้าไปนั่งเล่น เขามองไปรอบๆแล้วคิดถึงนริศรา คิดถึงเหตุการณ์ในอดีตคืนที่เธอมาเจอกับเขา
คืนนั้น นริศราชะงักด้วยความโกรธ เธอรีบออกจากที่ซ่อนแล้วเดินมาหาภูชิชย์ที่กำลังเกากีตาร์อย่างไม่สนใจ
นริศรายิ้มแหย “ฉันมาเดินเล่นแล้วได้ยินเสียงเพลงลอยมา ก็เลยเดินมาดู”
“คงไม่คิดว่าฉันเป็นผีนะ” ภูชิชย์ถาม
นริศราพูดกลบเกลื่อน “ไม่คิ้ดดด ค่ะ ใครจะไปคิดแบบนั้น แหม นี่มันปี 2555 แล้วนะคะ”
ภูชิชย์ยิ้มที่มุมปากเพราะขำนริศรา “ฉันนอนไม่หลับก็เลยมานั่งเล่น”
“งั้นฉันไม่กวนพ่อเลี้ยงดีกว่า” นริศราทำท่าจะเดินไป
“เดี๋ยวสิ” ภูชิชย์เรียก นริศราหยุดรอ “ที่เธอบอกเมื่อกลางวันน่ะ เธอพูดจริงใช่ไหม”
นริศรานึกสักครู่ “เรื่องคุณวัสน่ะเหรอคะ” เธอถอนใจด้วยความรำคาญ “ต่อให้พ่อเลี้ยงฆ่าฉันให้ตาย ฉันก็จะตอบหมือนเดิม พอใจหรือยังคะ”
“แสดงว่าตัดสินใจแล้วว่าจะจับนายโป๊ะ”
นริศราโกรธ “นี่พ่อเลี้ยงคะ เราจะคุยกันดีๆสักครั้งได้ไหม ฉันมาที่นี่เพื่อทำงานไม่ได้มาหาศัตรูนะคะ”
ภูชิชย์นึกถึงเหตุการณ์คืนนั้นแล้วก็นั่งอมยิ้มอยู่คนเดียว
“ตอนนี้เธอจะเป็นยังไงบ้างนะ”
นริศรานอนอยู่บนเตียงที่ศูนย์วิจัยแต่ก็นอนไม่หลับ สักพักเธอก็ได้ยินเสียงกีตาร์แว่วมา
นริศราลุกขึ้นนั่ง “เอ๊ะ...เพลงนี้ ไม่น่า ผีนายภูชิชย์มาหลอกเราเหรอ”
นริศราค่อยๆเปิดหน้าต่างแล้วเพ่งมองออกไป เธอเห็นมีกลุ่มพนักงานของศูนย์วิจัยมานั่งเล่นกีตาร์รอบกองไฟแก้หนาวกันอยู่ นริศราปิดหน้าต่างแล้วเดินกลับมานั่งที่เตียงทันที
“เพลงมีตั้งเยอะต้องมาเล่นเพลงเดียวกับอีตาพ่อเลี้ยงใจร้ายด้วย”
นริศราล้มตัวลงนอนแล้วก็นอนไม่หลับจึงพลิกตัวกระสับกระส่ายต่อไป
เช้าวันใหม่ พรยืนหยอดเหรียญลงในตู้โทรศัพท์สาธารณะเพียงตู้เดียวซึ่งอยู่ติดกับทางลูกรังด้านหน้าไร่ โดยมีแม่อุ้ย ลุงปั๋น เป็ง ฝ้าย หนาน มายืนออรอฟังพรคุยโทรศัพท์ ไม่ไกลจากกลุ่มคนงานมีรถกระบะบรรทุกลังองุ่นจอดอยู่
“บอกเบอร์มาลุงปั๋น” พรพูด
ลุงปั๋นอ่านโพยกระดาษในมือ “080.. 7 7 หรือ 1ก็ไม่รู้อ่ะอีพร”
“ปัดโธ่ไอ้ปั๋น” แม่อุ้ยรำคาญรีบคว้าโพยจากมือส่งให้พร “เอ้านังพร ลายมือเอ็ง เอ็งอ่านเองเลย”
พรรับโพยมาแล้วกดเบอร์ จากนั้นก็รอสายอยู่ครู่หนึ่ง
“คุณนิด”
คนงานพากันดีใจ ทั้งหมดเบียดเข้ามาใกล้แล้วเงี่ยหูฟัง
ภูชิชย์หยิบซองเงินเดือนของนริศราออกมาจากลิ้นชัก เขาถือไว้แล้วเดินคิดสักพักก่อนจะกดมือถือพอจะโทรออกก็ลังเล เพราะนึกถึงที่นริศราพูดเอาไว้
“เราจะเจอกันอีกไหม” ภูชิชย์ถาม นริศรามองอย่างงงๆ “เอ่อ..ฉันหมายถึงเธอต้องมาเซ็นรับเงินเดือนส่วนที่เหลือกับพวกเงินเก็บสะสมน่ะ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันออกไปแบบคนที่มีความผิด ฉันก็ไม่ควรได้อะไรไป ฉันลานะคะพ่อเลี้ยง” นริศราพูด
แล้วภูชิชย์ก็นึกถึงที่เจ้าทิพย์ดาราพูด
“น้อยเจอเขากับคุณโป๊ะเมื่อคืนที่เชียงใหม่ค่ะ”
ภูชิชย์ตัดสินใจเดินออกจากห้องไปพร้อมกับซองเงิน
นริศรายืนคุยโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงดีใจอยู่ที่มุมหนึ่งในศูนย์วิจัย
“ทุกคนเป็นยังไงกันบ้าง สบายดีใช่ไหม” นริศราถาม
ทุกคนแย่งกันพูด “แม่อุ้ยคิดถึงคุณนิดนะคะ” “เป็งก็ด้วยครับ” “ลุงด้วยเน้อคุณนิด”
นริศราขำที่ได้ยินพวกคนงานแย่งกันคุยโทรศัพท์
ภูชิชย์เดินถือซองเงินออกมาขึ้นรถ พอจะสตาร์ทรถ เขาก็ลังเลขึ้นมาอีก
ภูชิชย์มองซองเงิน “จงใจไปไหมเนี่ยเรา เฮ้อ อย่าไปเลย ช่างเขาละกัน”
ภูชิชย์เก็บซองเงินใส่ลิ้นชักหน้ารถ แล้วขับรถออกไป
พวกคนงานยังคงแย่งกันคุยโทรศัพท์กับนริศรา
“พวกเราเป็นห่วงคุณนิดค่ะ เลยแอบออกมาโทรกัน” พรบอก
แม่อุ้ยยื่นหน้าไปพูดใกล้ๆ โทรศัพท์ “คุณนิดสบายดีนะคะ คุณนิดได้ยินเสียงแม่อุ้ยไหมคะ”
“นังพรเอามาให้ข้าคุยมั่งสิวะ” ลุงปั๋นจะแย่งโทรศัพท์จากพร
แม่อุ้ยเข้ามาแย่งด้วย “เอ้าตาปั๋น ให้ข้าพูดก่อนสิวะ”
นริศราได้ยินเสียงคนอื่นแย่งพูดกันจนเซ็งแซ่ จากตอนแรกที่ยิ้มนริศราก็จวนจะร้องไห้แต่ก็พยายามข่มไว้
“คุณนิดได้ยินเสียงลุงไหม เมื่อเช้าลุงให้น้ำกาแฟแล้วนะ” ลุงปั๋นพูด
“เป็งก็ช่วยครับ คุณนิดได้ยินเป็งหรือเปล่า”
“ได้ยินจ้ะ ได้ยินหมดทุกคนแหล่ะ นิดคิดถึงทุกคนจังเลยค่ะ” นริศราตอบ
พรพูดกับนริศรา
“คุณนิดอยู่ที่ไหนคะตอนนี้”
“อยู่กรุงเทพฯหรือเปล่าคะ” ฝ้ายถาม
“นิดยังอยู่ที่เชียงใหม่จ้ะ” นริศราตอบ
พรหันมาบอกกับทุกคน “คุณนิดยังอยู่ที่เชียงใหม่”
คนงานต่างพากันดีใจกันที่รู้ว่านริศรายังอยู่ใกล้ๆ
“แล้วคุณนิดทำอะไรอยู่ที่เชียงใหม่ล่ะครับ พวกเราไปหาได้ไหม” หนานถาม
“คงไม่สะดวกหรอก ไว้วันไหนว่างๆฉันจะไปหาทุกคนนะ”
“คุณนิดบอกว่าจะมาเยี่ยมพวกเรา” พรหันมาบอกทุกคน
ทุกคนร้องเฮด้วยความดีใจ ภูชิชย์ขับรถผ่านมาเห็นพอดีก็สงสัยจึงจอดรถแล้วลงไปถาม
“ทำอะไรกันน่ะ”
พวกคนงานหันมาเห็นก็ตกใจ
“ทำไมไม่ไปทำงาน มัวแต่ทำอะไรกันอยู่” ภูชิชย์มองรถบรรทุกลังองุ่น แล้วหันมามองเป็ง “เป็ง แกต้องไปส่งองุ่นในเมืองไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ไปสักที”
“พวกเราคุยกับคุณนิดอยู่น่ะครับ” ลุงปั๋นบอก
ภูชิชย์ได้ยินก็ถึงกับอึ้ง “นริศราเหรอ?”
พรกระซิบใส่หูโทรศัพท์ทันที “พ่อเลี้ยงมาค่ะคุณนิด พรวางก่อนนะคะ”
“จ้ะ” นริศราวางสาย แล้วยืนเหม่อคิดถึงภูชิชย์
พรหน้าจ๋อย ภูชิชย์มองทุกคนแล้วเอ่ยถาม
“เอ่อ...แล้ว...เขาว่าไงบ้าง”
“คุณนิดบอกว่าสบายดี แล้วก็ยังอยู่ที่เชียงใหม่ค่ะ” พรตอบ
ภูชิชย์ลืมตัวจึงถามไม่หยุด “เหรอ แล้วเขาอยู่กับใคร ทำอะไรอยู่”
“ก็ผมกำลังจะถามพ่อเลี้ยงก็มาขัดจังหวะ เอ้ย มาพอดีน่ะครับ” ลุงปั๋นบอก
ภูชิชย์คิดอะไรบางอย่างแล้วยิ้มก็ออกมา พอรู้ตัวว่าคนงานกำลังมองอยู่เขาก็ทำเป็นขรึม
“เป็ง เอาองุ่นขึ้นรถฉัน เดี๋ยวฉันไปส่งให้เอง” ภูชิชย์บอก
คนงานมองหน้ากันอย่างงงๆ
ภูชิชย์เร่ง “เร็วสิ”
“ครับๆ” เป็งตอบรับแล้วรีบไปยกลังองุ่นมาใส่ท้ายกระบะรถภูชิชย์ทันที
พิสุทธิ์พาเจ้าทิพย์ดารามาที่ศูนย์วิจัยที่อยู่บนดอย ทั้งสองเห็นว่านริศรากำลังจดบันทึกงานอยู่
“คุณนิด” เจ้าทิพย์ดาราเรียก
นริศราเห็นเจ้าทิพย์ดารามาก็ดีใจ
“เจ้าน้อย..” นริศราหันไปมองพิสุทธิ์
พิสุทธิ์รีบยกมือห้าม “อย่าดุเรานะ เรากลัวแล้ว”
นริศรายิ้มขำแล้วก็ค้อนพิสุทธิ์
“เดี๋ยวเราไปทักทายคุณธาวินก่อนนะ สาวๆคุยกันไปละกัน” พิสุทธิ์พูดแล้วก็เดินไป
“น้อยคะยั้นคะยอให้คุณโป๊ะบอกเองล่ะค่ะว่าคุณนิดอยู่ที่ไหน” เจ้าทิพย์ดาราสารภาพ “น้อยเป็นห่วงคุณนิดนะคะ ยังคิดเลยว่าถ้าคุณนิดยังไม่รู้จะไปไหน ก็จะชวนให้ไปอยู่ด้วยกัน”
“ขอบคุณเจ้ามากนะคะ นิดอยู่ที่นี่ก็สบายใจดี ทุกคนก็ดีกับนิด นิดชอบที่นี่ค่ะ”
“เห็นคุณนิดมีความสุขน้อยก็ดีใจด้วย แต่ภูสิคะ”
“พ่อเลี้ยงทำไมเหรอคะ” นริศราสงสัย
“ช่วงนี้ภูเขาดูเงียบๆไป เหมือนมีอะไรในใจที่น้อยเข้าไม่ถึง”
“คงไม่มีอะไรมั้งคะ อาจจะยังโกรธเรื่องที่คิดว่านิดโกงเงินอยู่ก็ได้”
เจ้าทิพย์ดาราขำ “ไม่หรอกค่ะ จะมาโกรธอะไรกันอีก เงินก็ไม่ได้หายสักหน่อย ถ้ายังไม่เลิกโกรธคุณนิด น้อยนี่แหล่ะจะต่อว่าภูเอง”
สองสาวยิ้มให้กัน
ภูชิชย์ขับรถที่ยังบรรทุกองุ่นอยู่เต็มคันรถผ่านหน้าโรงแรมของพิสุทธิ์แล้วก็ชะลอรถ จากนั้นก็พยายามมองเข้าไป รปภ. ด้านหน้าโรงแรมมองออกมา ภูชิชย์เห็นจึงขับรถผ่านไป
วิทวัสกำลังเซ็นเอกสารอยู่ในห้องทำงานที่บริษัทบริรักษ์กิจเกษตร เสร็จแล้วเขาก็ส่งให้มัลลิกาแต่มัลลิกายืนเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง วิทวัสเห็นก็งง เขามองตามออกไปนอกหน้าต่างแต่ก็ไม่เห็นอะไร วิทวัสหันกลับมามองมัลลิกาที่ยังยืนเหม่ออยู่
“มอลลี่” วิทวัสเรียก
มัลลิกายังคงยืนเหมือนไม่ได้ยิน
วิทวัสเรียกเสียงดังขึ้น “คุณมอลลี่”
มัลลิกาสะดุ้ง “คะ” เธอมองไปที่แฟ้ม “พี่วัสเซ็นเสร็จแล้วใช่ไหมคะ”
“คุณเป็นอะไร ดูซึมๆเหม่อๆ ไม่สบายหรือเปล่า”
มัลลิกายิ้มจางๆ “พี่วัสเป็นห่วงมอลลี่เหรอคะ”
“ก็คุณเป็นลูกน้องผมนี่ แล้วยังเป็นเพื่อนของคุณเล็กด้วย ก็เหมือนกับเป็นน้องผมอีกคน ถ้าไม่สบายก็กลับไปพักได้นะ”
“แล้วงานที่นัดลูกค้าไว้เย็นนี้ล่ะคะ”
“ผมไปคนเดียวได้” วิทวัสยิ้ม
“ค่ะ” มัลลิกาตอบแล้วเดินออกไป
“เดี๋ยวก่อน”
มัลลิกาหันมา “คะ”
วิทวัสยื่นแฟ้มให้ “ลืมแฟ้ม”
“ขอโทษค่ะ” มัลลิการับแฟ้มแล้วเดินออกไป
วิทวัสมองตามด้วยความเป็นห่วง
ภูชิชย์ขับรถกลับมาผ่านหน้าโรมแรมอีกแต่ท้ายรถไม่มีลังองุ่นแล้ว พอชะลอรถ รปภ.ก็เป่านกหวีดแล้วโบกเรียกทันที ภูชิชย์จอดรถแล้วเปิดกระจกถาม
“มีอะไรเหรอครับ”
“คุณนั่นแหละมีอะไร ผมเห็นขับผ่านไปผ่านมาหลายรอบแล้ว” รปภ. ถาม
ภูชิชย์ยิ้มแหยๆ
มัลลิกายืนมองรัชนิดาที่มารับลูกหนู เธอเห็นรัชนิดากับลูกหนูทั้งกอดทั้งหอมกัน จนลูกหนูเห็นมัลลิกาก็ร้องบอกแม่อย่างดีใจ
“พี่มัลลิกา” ลุกหนูชี้ไปที่มัลลิกา
รัชนิดาหันไปเห็นก็ยิ้มทักทาย “คุณมัลลิกา มารับหลานเหรอคะ”
“ฉันไม่มีหลานหรอกค่ะ ฉันมารอพบคุณ” มัลลิกาตัดสินใจบอกความจริง
รัชนิดาได้ยินก็ถึงกับอึ้ง
มัลลิกายิ้ม “คุณโชคดีนะคะ ที่มีคนที่รักคุณมากขนาดปิดบังทุกคนเพื่อรักษาความรักและครอบครัวเอาไว้”
รัชนิดาเริ่มใจเสียเพราะนึกถึงคำที่วิทวัสบอกเอาไว้ในอดีต
วิทวัสตกใจ “เป็นไปไม่ได้ นี่มอลลี่ไปเจอนิดากับลูกมาเหรอ”
“มอลลี่..” รัชนิดานึก “อ๋อ...เลขาคุณวัสน่ะเหรอคะ”
“ใช่...เขาชื่อจริงว่ามัลลิกา” วิทวัสบอก
รัชนิดาคิดถึงคำพูดของสามีเธอก็เริ่มกลัว
“คุณคือใครกันแน่” รัชนิดาถาม
“ฉันเป็นเลขาของพี่วัส” มัลลิกาตอบ
รัชนิดาตกใจจนอึ้ง “คุณมอลลี่”
วิทวัสเดินดุ่มเข้ามาในร้านอาหารด้วยท่าทีคล้ายจะไปเอาเรื่องใคร มัลลิกาซึ่งนั่งอยู่กับรัชนิดาและลูกหนูมองวิทวัสที่เดินเข้ามาพร้อมกับยิ้มอย่างใจเย็น
“มอลลี่ นี่มันอะไรกัน” วิทวัสฉุน
มัลลิกายื่นซองเอกสารให้วิทวัส “มอลลี่จ้างนักสืบค่ะ”
วิทวัสดึงรูปที่นักสืบถ่ายไว้ออกมาจากซอง พอเห็นเขาก็มือไม้สั่นด้วยความโกรธ
“ผมขอเตือนนะ อย่ามายุ่งกับครอบครัวผมอีก!” วิทวัสพูดกับรัชนิดา “นิดา พาลูกกลับเถอะ”
“พี่วัสคะ ขอมอลลี่คุยกับพี่วัสสองต่อสองได้ไหมคะ” มัลลิกาพูด
วิทวัสมองมัลลิกาด้วยสายตาไม่ไว้ใจ แต่เมื่อหันไปมองรัชนิดาก็เห็นรัชนิดาพยักหน้าเป็นทำนองอนุญาต
วิทวัสยืนจ้องมัลลิกาด้วยความโกรธอยู่ที่หลังร้าน ส่วนมัลลิกามีสีหน้าเครียด
“ตั้งแต่วันแรกที่มอลลี่เห็นพี่วัส มอลลี่ก็รู้สึกชอบทันที มอลลี่ถึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะใจพี่วัส” มัลลิกาสารภาพ
“รวมถึงจ้างนักสืบสะกดรอยตามผมด้วยเหรอ” วิทวัสโกรธ
มัลลิกาพยักหน้ารับ
“นี่มันไม่ใช่แค่อยากเอาชนะ มันถึงขั้นคุกคามแล้ว” วิทวัสฉุน
“ถ้ามอลลี่ไม่ทำแบบนี้ก็คงไม่ได้รู้ความจริง”
“ได้...ตอนนี้คุณก็รู้แล้วนี่ แต่ถ้าคุณจะเอาเรื่องครอบครัวผมไปบอกคุณเล็กหรือพี่ภูผมก็ไม่สนอีกแล้ว แต่ผมจะเสียใจที่สุดที่เคยรู้จักคุณ”
วิทวัสจะเดินไปแต่มัลลิกาพูดขึ้นมาก่อน
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ที่มอลลี่อยากจะบอกก็มีแค่ว่ามอลลี่จะไม่กลับไปทำงานกับพี่วัสอีกแล้ว”
“อะไรนะ” วิทวัสงง
“มอลลี่ขอโทษที่เข้ามาวุ่นวายกับชีวิตพี่วัส แต่มอลลี่ไม่ได้ยอมแพ้นะคะ กลับยิ่งชอบพี่วัสมากขึ้นด้วยซ้ำ เพียงแต่ถึงขึ้นมีลูกเมียขนาดนี้ มอลลี่ถอยดีกว่า ลูกทูตอย่างมอลลี่ทั้งสวยทั้งเก่ง ไม่ทำตัวเองให้เสียเกียรติด้วยการไปทำลายชีวิตครอบครัวคนอื่นหรอกค่ะ”
วิทวัสอึ้งไป
มัลลิกายิ้ม “มอลลี่จะไม่บอกเรื่องพี่วัสให้คุณเล็กหรือพี่ภูรู้หรอกค่ะ ถ้าคุณเล็กถามมอลลี่จะบอกว่าพี่วัสเป็นผู้ชายที่น่าเบื่อที่สุดค่ะ ใครจะไปทนได้จริงไหมคะ”
วิทวัสยิ้ม “ก็ แล้วแต่มอลลี่เถอะครับ”
“ขอให้มอลลี่ไปอย่างดูดีหน่อยเถอะนะคะ” มัลลิกาพูด
ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างมีมิตรภาพ
วิทวัส รัชนิดา มัลลิกา และลูกหนูนั่งรับประทานอาหารด้วยกันจนเสร็จ
“มอลลี่คงต้องขอตัวไปก่อน ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อพิเศษมื้อนี้นะคะ” มัลลิกาบอก
“ด้วยความยินดีครับ”
“พี่นิดา บอกตรงๆว่ามอลลี่ก็ยังอิจฉาพี่อยู่ดีนะคะ สักวันมอลลี่คงจะมีครอบครัวที่ดีแบบนี้นะคะ”
“คุณมอลลี่เป็นคนดี พี่เชื่อนะคะว่าคนดีก็จะคู่กับคนดี เหมือนที่เขาบอกว่า คนเหมือนกันถึงจะคบกันได้ไงคะ” รัชนิดายิ้ม
“ขอบคุณค่ะ” มัลลิกาหันมาพูดกับลูกหนู “ลูกหนู เป็นเด็กดีของคุณพ่อคุณแม่นะคะ พี่มอลลี่ไปนะ”
ลูกหนูเดินมากอดมัลลิกาแล้วหอมแก้ม “ไว้เจอกันใหม่นะคะ”
มัลลิกายิ้ม “จ้ะ”
มัลลิกายกมือไหว้วิทวัสกับรัชนิดาแล้วก็เดินออกจากร้านไป วิทวัสกับรัชนิดามองตามแล้วหันมามองหน้ากันแล้วก็ยิ้ม
วิทวัสถอนใจ “ผมรักคุณนะ”
“นิดาก็รักคุณค่ะ” รัชนิดาตอบ
พิสุทธิ์ยืนส่งเจ้าทิพย์ดาราอยู่ข้างๆ รถของตัวเองที่จอดอยู่หน้าบ้านเจ้าทิพย์ดารา
“ขอบคุณนะคะที่มาส่งน้อย”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวรถเจ้า ผมจะให้คนที่โรงแรมขับมาให้ก็แล้วกันนะครับ”
“ค่ะ”
พิสุทธิ์จะหันหลังกลับ แต่เจ้าเทพมงคลเจ้าดาระกาเดินออกมาพอดี
“คุณโป๊ะ...จะไปไหน อยู่คุยกันก่อนสิคะ” เจ้าดาระกาเรียกไว้
“แล้วก็อยู่ทานข้าวเย็นด้วยเลยนะ” เจ้าเทพมงคลเสริม
พิสุทธิ์ไม่ทันตั้งตัวจึงตอบรับไป “อ่อ..ครับๆ”
เจ้าดาระกากับเจ้าเทพมงคลหัวเราะคิกคัก
“คุณโป๊ะคุยกับลูกน้อยไปก่อนนะ แม่ไปเตรียมอาหารก่อน”
“พ่อก็...” เจ้าเทพมงคลคิด “จะไปช่วยด้วยก็แล้วกันนะแม่”
“อ้าว เมื่อกี๊บอกให้คุณโป๊ะอยู่คุย แล้วทำไมไม่คุยล่ะคะ น้อยเข้าครัวเองก็ได้” เจ้าทิพย์ดาราบอก
“พ่อกับแม่หมายถึงให้อยู่คุยกับน้อยต่างหาก”
เจ้าเทพมงคลพูดแล้วเขากับเจ้าดาระกาก็พากันเดินไป เจ้าทิพย์ดารายิ้มขำแล้วส่ายหน้าเพราะรู้ทันเจ้าพ่อกับเจ้าแม่ของตัวเอง
พิสุทธิ์งง “เจ้าดาระกา กับเจ้าเทพมงคลทำไมดูท่าทางแปลกๆจังครับ”
“เอ่อ...คือ...จะพูดไงดีล่ะคะ”
พิสุทธิ์เห็นท่าทางของเจ้าทิพย์ดาราก็ยิ่งอยากรู้
พิสุทธิ์ที่ฟังเจ้าทิพย์ดาราเล่าอยู่ในห้องรับแขกมีสีหน้าตกใจ
“จับคู่?? ไหงเป็นงั้นไปได้ล่ะครับ”
“น้อยก็บอกหลายทีแล้วว่าเราเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น แต่เจ้าพ่อเจ้าแม่ก็ยังดื้อ”
“แล้วพ่อเลี้ยงภูชิชย์ล่ะครับ” พิสุทธิ์งง
“พวกท่านเคยโดนคุณเล็กบุกมาอาละวาด ก็เลยพาลไม่ชอบภู”
“โห นี่แสดงว่าผมเข้าตากรรมการนะเนี่ย เลยได้รับเลือก”
เจ้าทิพย์ดารายิ้มแล้วขำ “เดี๋ยวพวกท่านเห็นว่าเชียร์ไม่ขึ้น ก็คงเบื่อ รามือไปเองล่ะค่ะ คุณโป๊ะก็อย่าโกรธพวกเราเลยนะคะ”
“โอ๊ย ผมไม่โกรธหรอกครับ”
เจ้าทิพย์ดารากับพิสุทธิ์หัวเราะออกมาพร้อมกัน
เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกาแอบดูอยู่ที่มุมหนึ่งห่างออกไปต่างก็ยิ้มให้กันอย่างชอบใจ
“ตอนแรกนึกว่าจะหมดหวังซะแล้ว” เจ้าเทพมงคลบอก
“นั่นสิคะ เห็นเมื่อวานกับพ่อเลี้ยงแล้วน้องใจไม่ดีเลย” เจ้าดาระกาถอนใจ
“แต่วันนี้พี่ว่าลูกเราดูเข้ากันได้ดีกับคุณโป๊ะมากกว่านายภูชิชย์อีกนะ”
อ่านต่อหน้าที่ 3
รักประกาศิต ตอนที่ 10 (ต่อ)
พิสุทธิ์เดินเข้ามาในโรงแรมในยามค่ำคืน พนักงานฟร้อนท์เห็นก็เรียกเขาเอาไว้
“คุณโป๊ะคะ มีแขกมารอพบคุณโป๊ะตั้งแต่เย็นแล้วล่ะค่ะ”
“ใครเหรอครับ”
“ผมเองครับ”
พิสุทธิ์หันไปตามเสียงก็เจอภูชิชย์ พิสุทธิ์อึ้งไปเล็กน้อย ภูชิชย์เห็นพิสุทธิ์ก็เริ่มพูดไม่ออก
ภูชิชย์นั่งอยู่กับพิสุทธิ์ในคอฟฟี่ช็อปของโรงแรม ตรงหน้าของทั้งคู่มีกาแฟวางอยู่ แต่ภูชิชย์ไม่ดื่ม
ภูชิชย์อึกอักเล็กน้อย “พอดีผมต้องเอาองุ่นมาส่งในเมือง ก็..ก็เลยถือโอกาสแวะเอาเงินเดือนงวดสุดท้ายมาให้นริศราน่ะครับ”
พิสุทธิ์มึนตึง “นี่คุณมารอผมตั้งนานเพื่อที่จะเอาเงินเดือนมาให้นิดเหรอครับ”
“ก็..ผมคิดว่า ผมไม่ควรเอาเปรียบเขา”
“นิดเขาไม่ได้เสียเปรียบเพราะไม่ได้เงินเดือนหรอกครับ แต่เขาเสียเปรียบที่ไม่มีโอกาสพิสูจน์ความจริงมากกว่า”
“เรื่องนี้ผมก็เสียใจเหมือน”
“ช่างมันเถอะครับ เอาเป็นว่าผมจะเก็บไว้ให้เขาก็แล้วกัน”
ภูชิชย์แปลกใจ “นริศราไม่ได้อยู่ที่นี่เหรอครับ งั้นเขาอยู่ที่ไหน”
“เอ่อ...เขาก็ไม่ได้บอกผมเหมือนกันครับ”
ภูชิชย์จำต้องยื่นซองเงินให้พิสุทธิ์ พิสุทธิ์รับมาแล้วยิ้มกวนๆ
สายวันใหม่ พิสุทธิ์มาหานริศราที่ศูนย์วิจัย เขายื่นถุงใส่ของให้นริศรา
“อะไรเหรอโป๊ะ” นริศรางง
“สี แล้วก็อุปกรณ์เพ้นท์เสื้อ เราซื้อไว้หลายวันแล้ว ยังไม่มีโอกาสให้นิดสักที” พิสุทธิ์บอก
นริศรารับมา “ขอบใจนะโป๊ะ เรากำลังอยากได้อยู่เลย”
“ยังมีอีก” พิสุทธิ์ยื่นซองเงินให้
“อะไรเหรอ” นริศรารับมาอย่างงงๆ
“เมื่อคืนนี้ คุณภูชิชย์เขาเอาเงินเดือนมาฝากให้นิด เขาคิดว่านิดอยู่กับเรา”
นริศราอึ้ง “แต่เราบอกเขาไปแล้วนี่ว่าเราไม่เอา ยังจะเอามาให้อีกทำไมนะ”
“ทำไมน่ะเหรอ เราว่าจริงๆแล้วเขามาตามหานิดต่างหาก”
นริศราถึงกับอึ้ง หัวใจของเธอวูบวาบหวั่นไหว
“แล้วโป๊ะบอกหรือเปล่าว่าเราอยู่ที่นี่” นริศราถาม
“ไม่ได้บอก”
“ดีแล้วล่ะ”
พูดจบนริศราก็ซึมลงไป พิสุทธิ์แอบมองแล้วยิ้มเศร้า เพราะเขารู้สึกว่านริศราคิดถึงภูชิชย์อยู่
เจ้าทิพย์ดาราเดินดูงานในหอศิลป์อยู่กับภูชิชย์ด้วยท่าทางสดใส
“นานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้นะคะ ที่เราไม่ได้มาเที่ยวกันแบบนี้เลย” เจ้าทิพย์ดาราพูดอย่างดีใจ
“ผมขอโทษนะครับเจ้า ผมมัวแต่ทำงานจน...”
เจ้าทิพย์ดาราพูดแทรกอย่างอารมณ์ดี “ลืมน้อย”
“ผมจะไม่ทำอย่างนั้นอีกแล้วครับ”
พูดไม่ทันขาดคำ ภูชิชย์ก็เห็นผู้หญิงที่ดูคล้ายนริศราอยู่นอกประตู
ภูชิชย์เผลอเรียกทันที “นริศรา” แล้วเขาก็ผลุนผลันออกไป
เจ้าทิพย์ดาราอึ้ง เธอจะเรียกแต่ก็เรียกไม่ทัน
ภูชิชย์วิ่งมาหาผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังเดินออกจากหอศิลป์
“นิด” ภูชิชย์เรียก
ผู้หญิงคนนั้นหันมาแต่ก็ไม่ใช่นริศรา
“ขอโทษครับ นึกว่าคนรู้จัก” ภูชิชย์บอก
ผู้หญิงคนนั้นเดินไป เจ้าทิพย์ดารามองอยู่ข้างหลังถึงกับถอนใจ แล้วเดินหน้าเศร้าเข้ามาหาภูชิชย์ “คุณนิดเธอคงไม่มาเดินที่นี่หรอกค่ะ”
“เจ้าพูดเหมือนรู้ว่านิดเขาอยู่ที่ไหน”
“ไม่รู้หรอกค่ะ น้อยก็พูดไปอย่างนั้นเอง..น้อยอยากกลับบ้านแล้ว ไปกันเถอะค่ะ”
“ครับ”
เจ้าทิพย์ดาราสูดลมหายใจ แล้วพยายามทำให้เป็นปกติ จากนั้นเธอก็เดินนำไป ภูชิชย์ถอนใจด้วยความรู้สึกผิดหวังที่ไม่ใช่นริศราแล้วก็เดินตามเจ้าทิพย์ดาราไป
ภูชิชย์ขับรถไปโดยที่ภายใจยังนึกถึงนริศราไปตลอด
ภูชิชย์คิดในใจ “นิด เธอไปอยู่ที่ไหนนะ เราจะไม่เจอกันอีกแล้วใช่ไหม”
เจ้าทิพย์ดาราที่นั่งอยู่ข้างๆมองภูชิชย์ที่นั่งนิ่งเงียบแล้วก็รู้สึกเสียใจ เธอจึงเบือนหน้าออกไปมองวิว
เจ้าทิพย์ดาราคิดในใจ “ภู คุณยังรักน้อยจริงหรือเปล่า”
ทั้งสองต่างนั่งเงียบ ต่างคนต่างคิดโดยไม่ได้คุยอะไรกันไปตลอดทาง
เจ้าทิพย์ดารากลับมานั่งเหม่อซึมและคิดหนักอยู่ที่บ้าน เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกาเห็นก็เดินเข้ามาคุยด้วย
“ไหนว่าไปเที่ยวกับพ่อเลี้ยงภู ทำไมกลับมาเร็วนักล่ะ” เจ้าเทพมงคลเอ่ยถาม
เจ้าทิพย์ดาราถอนใจ “น้อยอยากกลับเองน่ะค่ะ”
เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกามองหน้ากันด้วยความเป็นห่วงลูกสาว
“แปลกนะ ทำไมคนมีความรักที่เคยบอกพ่อแม่ว่าจะไม่รักใครอีกแล้ว แต่กลับดูไม่มีความสุขเลย” เจ้าดาระกาพูด
“ถ้าวันนี้ยังดูไม่มีความสุข ต้องคิดไว้นะว่าอีกห้าสิบปีข้างหน้าจะอยู่กันยังไง” เจ้าเทพมงคลบอก
“น้อยอยากจะมีครอบครัวที่รักกันเหมือนเจ้าพ่อกับเจ้าแม่”
“แล้ววันนี้ พ่อเลี้ยงภูชิชย์ยังใช่อยู่หรือเปล่าล่ะลูก” เจ้าดาระกาถาม
เจ้าทิพย์ดาราได้แต่นิ่งอึ้ง
“เจ้าน้อยลูกพ่อ อย่าเพิ่งรีบปิดตัวเองเลยนะ” เจ้าเทพมงคลเตือนลูกสาว
เจ้าทิพย์ดาราวางกระเป๋าเสื้อผ้าลงที่เก้าอี้รับแขกในบ้านพักของนริศราที่ศูนย์วิจัย นริศราเข้ามาช่วยจัดกระเป๋า
“คืนนี้น้อยขอค้างกับคุณนิดด้วยนะคะ อยากมาชวนเพ้นท์เสื้อที่จะไปประมูล แล้วก็อยากจะมีเพื่อนคุยด้วยค่ะ”
“ยินดีเลยค่ะเจ้า ตอนนี้นอนคนเดียว นิดก็เหงาเหมือนกัน” นริศราบอก
“งานที่นี่เป็นยังไงบ้างคะ คุณนิดชอบไหม”
“ชอบมากค่ะ อย่างตอนนี้นิดก็ดูเรื่องการหาผักชนิดใหม่ๆมาปลูกแซมในไร่กาแฟ ถ้าสำเร็จเกษตกรจะมีผักชนิดใหม่ให้เป็นทางเลือกของตลาด”
“หวังว่างานคงไม่ยุ่งจนไม่มีเวลาลงไปเที่ยวกับเพื่อนๆนะคะ”
“ช่วงนี้คงยากค่ะ เพราะปีนี้น้ำท่วมเยอะนี่นิดว่าจะขอไปช่วยดูเรื่องการส่งเสริมการปลูกถั่วมะแฮะตามแนวคันดินเพื่อกันการพังทลายของดิน กับเรื่องส่งเสริมการปลูกกระถินเทพา เพื่อรักษาต้นน้ำตามแนวพระราชดำริด้วยนะคะ”
“ดูท่าทางคุณนิดจะมีความสุขจริงๆนะคะ”
“ก็ตามอัตภาพค่ะ” นริศราตอบแล้วก็เริ่มสังเกต “ว่าแต่วันนี้เจ้าน้อยดูแปลกๆนะคะ มีอะไรในใจหรือเปล่า”
เจ้าทิพย์ดารานิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพยายามทำเป็นร่าเริง “เปล่าซะหน่อย น้อยโอเคค่ะ”
เจ้าทิพย์ดารารื้อของออกจากกระเป๋า นริศรามองอย่างเป็นกังวล
นริศรากับเจ้าทิพย์ดารากำลังเตรียมเพ้นท์เสื้อที่ลานหน้าบ้านพัก รอบข้างของพวกเธอเกลื่อนไปด้วยสีชอล์ก สีอะครีลิก บล็อก เสื้อ และอุปกรณ์อื่นๆ
-เจ้าทิพย์ดาราเอากระดาษแข็งใส่เข้าไปรองด้านในของเสื้อ ส่วนนริศราวาดลายบนเสื้อ ทั้งสองนำลายมาวางไว้บนเสื้อ แล้วนำสกอตเทปมาติดโดยรอบเพื่อกันกระดาษหลุด จากนั้นทั้งสองก็เอาสีมาระบายกันอย่างสนุกสนาน
เวลาผ่านไป ทั้งสองเพ้นท์เสื้อเสร็จเรียบร้อย สองสาวดึงสก็อตเทปกับแผ่นรองออก แล้วยืนชื่นชมเสื้อด้วยกัน สักพักเจ้าทิพย์ดาราก็เดินไปดูมือถือในกระเป๋าที่วางอยู่กับอุปกรณ์เพ้นท์แล้วก็รู้สึกเศร้าและเซ็ง
สักพักเจ้าทิพย์ดาราก็เดินกลับมานั่งดูเสื้อ
“เชื่อไหม ว่าภูไม่รู้หรอกว่าน้อยมาอยู่ที่นี่” เจ้าทิพย์ดาราโพล่งออกมา
“ขอบคุณเจ้ามากนะคะที่ไม่ได้บอกใคร” นริศราหลงดีใจเพราะนึกว่าเจ้าทิพย์ดาราช่วยปิดเรื่องให้เธอ
“จะว่าไปน้อยก็ไม่ได้ช่วยคุณนิดปิดหรอกค่ะ เพียงแต่เดี๋ยวนี้ น้อยจะไปไหนมาไหน จะรู้สึกยังไง ภูไม่เคยสังเกต ไม่เคยอยากถามอะไร”
นริศราปลอบ “รออีกสักหน่อย เดี๋ยวก็คงโทรมามั้งคะ”
“หลังๆภูเขาก็ไม่ค่อยโทรหาน้อยแล้ว ยกเว้นว่าน้อยจะโทรไป เมื่อเช้าน้อยก็ขอให้เขาไปเที่ยวกับน้อย แต่ใจเขาเหมือนไม่ได้อยู่กับน้อยเลย บางทีเขาอาจจะไม่มีใจให้น้อยแล้ว”
“พ่อเลี้ยงเขาก็ดูนิ่งๆเฉยๆอยู่แล้ว อาจจะเป็นประเภท รักนะ แต่ไม่แสดงออกก็ได้นะคะ” นริศราพยายามพูดเล่น
“แต่ภูเขาเคยแสดงออกค่ะ น้อยถึงได้รู้สึกว่าเขาไม่เหมือนเดิม น้อยรักภูมากนะคะ ถ้าเขากำลังเปลี่ยนใจไปรักคนอื่น น้อยก็คงไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว”
นริศรารู้สึกปวดร้าวหัวใจแต่ก็ฝืนทำตัวปกติ
แม้จะเป็นเวลาดึกสงัดแล้วแต่สองสาวต่างก็นอนไม่หลับด้วยกันทั้งคู่ ทั้งสองพลิกไปพลิกมา พอหันมาเจอกันก็แกล้งทำเป็นหลับ แต่พอพลิกตัวหันหลัง แล้วจะแอบดูกันและกัน ต่างฝ่ายก็แกล้งหลับ
ราตรียังยาวนาน แต่ทั้งสองยังคงนอนหันหลังให้กันโดยที่ไม่มีใครหลับเลย
เช้าวันใหม่ เจ้าทิพย์ดารามานั่งจ้องหน้าพิสุทธิ์อยู่ในคอฟฟี่ช็อปที่โรงแรม จนพิสุทธิ์ชักจะงง
“เจ้าจ้องหน้าผมตั้งนานแล้วนะครับ ผมทำอะไรให้เจ้าโกรธหรือเปล่า” พิสุทธิ์ถาม
“น้อยขอถามคุณโป๊ะตรงๆนะคะ ว่าคุณรักกับคุณนิดอยู่หรือเปล่า”
พิสุทธิ์ได้ยินคำถามก็ถึงกับตะลึงและอึกอักตอบไม่ถูก
“เอ่อ...ครับ แต่ผมรักเขาฝ่ายเดียวครับ”
“ตอนนี้น้อยอาจจะรู้สึกเหมือนคุณก็เป็นได้”
“ไม่เหมือนหรอกครับ ของเจ้าน่ะเป็นแฟนกันแล้ว เพียงแต่ช่วงนี้พ่อเลี้ยงเขาอาจจะงานยุ่งจนไม่มีเวลามาดูแลเจ้าก็ได้”
เจ้าทิพย์ดาราแค่นยิ้ม “งานยุ่งเหรอคะ วันหนึ่งคุณโป๊ะจะรู้ว่าภูยุ่งเรื่องอะไร น้อยขอตัวไปประชุมก่อนนะคะ ขอโทษนะคะที่เอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาคุยให้ฟัง”
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าเจ้าทุกข์ใจเรื่องอะไรก็เล่าให้ผมฟังได้ทุกเรื่องเลยนะครับ”
เจ้าทิพย์ดาราเดินออกไป พิสุทธิ์พูดกับตัวเองอย่างเศร้าๆ
“ทำไมผมจะดูไม่รู้ว่าคุณภูชิชย์ยุ่งเรื่องอะไร”
สุพัฒนากำลังหอบแฟ้มเอกสารหลายเล่มซึ่งสูงจนเกือบบังหน้าของเธอเดินเซๆมาที่ตู้เก็บเอกสารที่อยู่หลังโต๊ะทำงาน นิพนธ์เข้าห้องทำงานมาเห็นก็ตกใจ
“คุณเล็กจะทำอะไรครับ”
“ฉันจะเรียงเอกสารใหม่น่ะสิ จะหล่นอยู่แล้ว มาช่วยหน่อยสิ”
“ครับๆ” นิพนธ์รีบเข้าไปช่วย
พอรับเอกสารมานิพนธ์ก็เซจนเสียหลักไปชนตู้เอกสาร ทำให้แฟ้มที่อยู่บนตู้หล่นลงมาใส่หัวนิพนธ์ และแฟ้มในมือของเขาร่วงหล่นหมดไปด้วย และนิพนธ์ก็ล้มลงไปด้วย
สุพัฒนาตกใจ “นิพนธ์!”
แฟ้มหล่นลงมาใส่หัวนิพนธ์อีก 1 เล่ม นิพนธ์เงยหน้าขึ้นมาถามสุพัฒนาอย่างมึนๆ
“คุณเล็กเป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ”
สุพัฒนามองหัวนิพนธ์ที่บวมปูดออกมาก็ยิ้มและขำ
สุพัฒนาทายาที่ศีรษะให้นิพนธ์ โดยที่นิพนธ์อมยิ้มด้วยความปลาบปลื้ม
“ยิ้มอะไร ชอบที่เจ็บตัวหรือไง” สุพัฒนาถาม
“ขอบคุณนะครับที่ช่วยทายาให้ผม”
“ฉันไม่อยากทาให้ซะหน่อย จะใช้นังบัวเกี๋ยง มันก็หายหัวไปไหนก็ไม่รู้นี่” สุพัฒนาพูดไปก็รู้สึกเขิน แต่ก็ทายาไปเรื่อยๆ
นิพนธ์ยิ้ม “ผมรู้สึกเย็น จนร้อน แล้วก็เริ่มแสบแล้วล่ะครับ นี่คุณเล็กทาจนหมดขวดหรือเปล่าครับเนี่ย”
สุพัฒนาเห็นหัวนิพนธ์มีแต่คราบยาก็หัวเราะ
“เออ จริงด้วย เดี๋ยวฉันเช็ดออกให้นะ”
สุพัฒนาหันไปหยิบสำลีในกล่องยาออกมาเช็ดให้
“นึกว่าคุณเล็กจะทาให้ทั้งหน้าแล้วซะอีก” นิพนธ์แซว
ทั้งสองขำกันอย่างมีความสุข
นิพนธ์มองตาสุพัฒนาแล้วก็เผลอชมออกมา “ผมชอบคุณเล็กที่เป็นแบบนี้จังเลยครับ น่ารักดี”
สุพัฒนาอึ้งแล้วก็ทำเป็นเชิดทันที “อย่าแม้แต่จะคิดนะ เพราะฉันไม่ชอบคนที่ไม่คู่ควร”
นิพนธ์ได้ยินก็จ๋อยไป สุพัฒนาทิ้งสำลีแล้วลุกไปอย่างไม่พอใจ
“อ้าว คุณเล็กจะไปไหนล่ะครับ” นิพนธ์ถาม
“หมดอารมณ์ทำงานแล้ว นายทำต่อให้ด้วยแล้วกัน”
“แต่ผมต้องเข้าไร่นะครับ”
“ไม่รู้ล่ะ เธอต้องทำงานที่ค้างแทนฉันให้เสร็จด้วย”สุพัฒนาพูดแล้วเดินออกไปทันที
“โธ่..คุณเล็กโกรธเราแหงๆ ไอ้นิพนธ์เอ๊ย...พูดอะไรออกไป” นิพนธ์ยิ่งจ๋อย
สุพัฒนาออกมายืนข้างหน้าสำนักงานโดยที่หัวใจยังคงเต้นตุ๊บๆ
“ไม่นะ ฉันไม่ชอบแกหรอก ผู้ชายมีแต่ตัวคิดจะมาจับฉันเอาสมบัติล่ะสิ ฉันจะไม่ชอบคนที่ด้อยกว่าเด็ดขาด”
นิพนธ์ตบปากตัวเอง
“ไม่น่าพูดแบบนั้นออกไปเลย คุณเล็ก ผมขอโทษ ผมจะไม่ทำอย่างนั้นอีกแล้ว” นิพนธ์ขยี้หัว “โอ๊ย แล้วนี่เราจะเข้าออฟฟิศมาทำอะไรวะ อ่อ เช็คสต๊อคปุ๋ย แล้วก็ทำงานที่คุณเล็กสั่ง”
นิพนธ์นั่งพิมพ์คอมพิวเตอร์แล้วก็เห็นบางอย่างที่จอ เขามีสีหน้าแปลกใจ
“เป็นไปได้ไง คุณนิดออกไปตั้งหลายวันแล้วนี่ ทำไมยังมีการใช้พาสเวิร์ดคุณนิดทำงานอยู่ .... หรือว่าจะมีคนมาเปิดโค้ดคุณนิด”
ที่มุมจอคอมพิวเตอร์ขึ้นโค้ดคำว่านริศรา
นิพนธ์อึ้งรีบโทรหาเพื่อนทันที
“เฮ้ย..ถ้ามีคนขโมยพาสเวิร์ดจะเช็คยังไงวะ”
ภูชิชย์กำลังประชุมอยู่กับจังหวัดอยู่ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ที่ด้านหลังของเขามีป้าย “งานสัมมนาการป้องกันภัยจากดินถล่ม”
“สิ่งที่ควรจะระวังในตอนนี้ คือพื้นที่ของจังหวัดเรา เป็นพื้นที่เสี่ยงภัยที่จะเกิดดินถล่ม เพราะฉะนั้น ผมจึงขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายได้ช่วยกำชับคนในความดูแลของท่านให้ช่วยกันสังเกตพื้นดิน และน้ำที่ไหลลงมาจากเขา เมื่อมีสิ่งผิดปกติให้รีบแจ้งไปยังหน่วยงานในพื้นที่ทันที” ผู้ว่าราชการจังหวัดกล่าว
สักพักก็เสียงเตือนข้อความเข้าที่มือถือของภูชิชย์ ภูชิชย์หยิบมือถือขึ้นมากดดู เขาเห็นข้อความจากนิพนธ์ พอกดเข้าไปดูภูชิชย์ก็เห็นข้อความว่า S.O.S ภูชิชย์ทำหน้าสงสัยทันที
เวลาผ่านไป ภูชิชย์กลับมายืนมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ในสำนักงาน นิพนธ์คลิกที่โปรแกรมต่างๆ ในคอมพิวเตอร์พร้อมกับอธิบาย
“ผมเห็นชื่อคุณนิดว่ายังมีการเข้ามาทำงาน เลยไปเช็คดูว่าชื่อล็อคอินของคุณนิดเข้ามาทำงานเมื่อไหร่บ้าง ก็เลยเจอแบบนี้ครับ”
ภูชิชย์มองจอ “ทำไมช่วงหลังมันเยอะอย่างนี้ล่ะ”
“ใช่ครับ พ่อเลี้ยงลองดูวันนี้สิครับ เป็นวันที่คุณนิดใช้โค้ดพิมพ์งาน แต่วันนั้นผมจำได้ว่าเป็นวันที่คุณนิดเอาแฟ้มงานมาส่งไม่ได้จับเครื่องเลย”
“นี่นายคิดว่ามีคนเอาโค้ดนริศราไปใช้ใช่ไหม” ภูชิชย์ถามทันที
“ผมคิดว่าใช่ครับ”
“แล้วที่เห็นว่ามีชื่อนริศราครั้งสุดท้ายนี่ ใครใช้เครื่อง”
นิพนธ์อ้ำอึ้ง แต่ก็จำใจบอก “คุณเล็กครับ เพิ่งออกไปสักครู่”
ภูชิชย์ได้ยินก็ถึงกับอึ้ง
สุพัฒนานั่งดื่มน้ำด้วยความหงุดหงิดเพราะนึกถึงตอนที่เธอทายาให้นิพนธ์
สุพัฒนานึกขึ้นมาแล้วก็มีสีหน้าเจ็บใจ
“บ้าชะมัด ไอ้นิพนธ์ ไอ้คนบ้า คิดเผยอมาชอบฉันเหรอ ไม่มีทาง ฉันเกลียดแก” สุพัฒนาโมโหขว้างแก้วลงพื้นทันที
บัวเกี๋ยงที่แอบมานอนหลังโซฟาได้ยินเสียงก็สะดุ้งตื่น
“ว้าย!” พอบัวเกี๋ยงโผล่ขึ้นมาเห็นสุพัฒนาก็ตกใจ “คุณเล็ก!”
สุพัฒนาได้ทีจึงระบายอารมณ์ใส่บัวเกี๋ยง “นังบัวเกี๋ยง หนอย”
สุพัฒนาเข้าไปหยิกและตีบัวเกี๋ยง “หลบมาอู้งานอยู่นี่เอง มิน่าเรียกหาไม่เจอ”
บัวเกี๋ยงพยายามหลบเพราะว่าเจ็บ “โอ๊ย.. คุณเล็กขา บัวเกี๋ยงผิดไปแล้ว คราวหลังบัวเกี๋ยงจะแอบให้ดี เอ้ย จะไม่แอบมานอนแล้วค่ะ”
“ไม่ต้องมาพูดดี ฉันไม่ยกโทษให้แก เป็นเพราะแกคนเดียวเลย ทำให้ฉันต้องเจอเรื่องบ้าๆ”
บัวเกี๋ยงชะงัก “เรื่องอะไรเหรอคะ”
สุพัฒนาอ้ำอึ้ง “..ก็..ก็”
“ก็...ก็อะไรคะ”
“โอ๊ย...นังนี่...ก็ฉันทำของหล่น แล้วมันก็หล่นใส่มือฉัน”
บัวเกี๋ยงมองเจ้านายด้วยความงงคล้ายจะถามว่าแล้วเป็นยังไง
สุพัฒนาพูดแก้ตัวต่อ “ฉันเจ็บ ฉันก็เลยเรียกแกมาทายาให้ แต่แกกลับแอบมานอนหลับอย่างสบายใจ” สุพัฒนาตีบัวเกี๋ยงอีก “แกมันใช้ไม่ได้ๆๆ”
“โอ๊ย.....คุณเล็กขา...ถ้าคุณเล็กเจ็บมือ แล้วมาตีบัวเกี๋ยงมันไม่เจ็บกว่าเดิมหรือคะ” บัวเกี๋ยงจับมือสุพัฒนาให้หยุดตี “มาค่ะ เดี๋ยวบัวเกี๋ยงทายาให้ดีกว่านะคะ”
สุพัฒนารีบดึงมือกลับ “ไม่ต้อง จำไว้นะ ทีหลัง ถ้าฉันเรียก แกต้องมาทันที”
บัวเกี๋ยงจ๋อย “ค่า..” แล้วเธอก็รีบเปลี่ยนเรื่อง “เออ แล้วคุณเล็กทำไมทำงานเสร็จเร็วจังคะ”
“ก็ฉันไม่อยากทำ ฉันไม่อยากเจอไอ้..” สุพัฒนานึกได้ก็ชะงักไป
บัวเกี๋ยงตาโตด้วยความอยากรู้ “ไอ้..”.
“ตายล่ะ ฉันเปิดโค้ดนังนิดทิ้งไว้นี่” สุพัฒนาผลุนผลันแล้ววิ่งออกไปทันที
“อ้าว อีนี่ จะรู้สักเรื่องไหมเนี่ย” บัวเกี๋ยงรำคาญแล้วก็วิ่งตามออกไป “คุณเล็ก รอบัวเกี๋ยงด้วย” ๆ
นิพนธ์ยื่นกระดาษรายงานการใช้โค้ดของนริศราให้ภูชิชย์ดู
“นี่เป็นรายงานการใช้โค้ดเข้าคอมพ์ของคุณนิดครับ”
ภูชิชย์รีบหยิบรายงานขึ้นมาดู นิพนธ์อธิบาย
“มีการใช้โค้ดสามครั้งครับ ครั้งที่หนึ่งแสดงเวลาและวันที่ที่ผมลืมกุญแจแล้วกลับ เข้ามาเจอคุณเล็ก”
ภาพเหตุการณ์ตอนที่นิพนธ์เปิดประตูมาเจอสุพัฒนากำลังยืนอ่านแฟ้มอยู่ในสำนักงานทั้งๆ ที่สำนักงานปิดไปแล้วแวบขึ้นมา
นิพนธ์อธิบายให้ภูชิชย์ฟังต่อ
“ครั้งที่สอง เวลาและวันที่คือวันแรกที่คุณเล็กมาทำงาน แล้วก็เปิดคอมพ์เข้าไปเจองานของคุณนิด”
ภาพเหตุการณ์ตอนที่สุพัฒนากลับเข้ามาทำงานวันแรกแวบขึ้นมา นิพนธ์จำได้ว่าวันนั้นเธอหยิบ Flash drive เข้ามาเสียบกับเครื่องแล้วนั่งทำงานสักพักก็ทำเป็นตกใจ
“และครั้งสุดท้าย” นิพนธ์พูดให้ภูชิชย์ฟังต่อ “ที่ผมเห็นโค้ดคุณนิดเปิดอยู่ก็คือ...เมื่อสักครู่นี่เองครับ”
ภูชิชย์อึ้งก่อนจะเอ่ยถาม“คนสุดท้ายที่นายเห็นในห้องนี้คือใคร”
นิพนธ์ก้มหน้าตอบ “คุณเล็กครับ”
ภูชิชย์ถอนใจด้วยความเครียด
สุพัฒนาเดินจ้ำมาถึงหน้าห้องและกำลังจะเปิดประตูเข้าไป แต่เธอได้ยินเสียงภูชิชย์กับนิพนธ์คุยกันอยู่เลยชะงักแล้วแอบฟัง โดยมีบัวเกี๋ยงมาแอบฟังด้วย
“ที่จริงผมก็ยังไม่อยากฟันธง” เสียงของนิพนธ์ดังออกมา
“ใช่ เพราะไม่ว่าจะเป็นใคร ปัญหาคือ เราไม่มีหลักฐาน พอมีทางหาหลักฐานให้ได้มากกว่านี้ไหม” เสียงของภูชิชย์ดังตามมา
สุพัฒนาตกใจ หันไปมองบัวเกี๋ยง
“พี่ภูพูดถึงใคร” สุพัฒนาถามบัวเกี๋ยง
“ไม่รู้สิคะ หรือพ่อเลี้ยงกับคุณนิพนธ์จะรู้เรื่องคุณเล็กแกล้งนังนิดแล้ว”
ด้านในห้อง นิพนธ์กับภูชิชย์ยังพูดคุยกันด้วยสีหน้าเครียด นิพนธ์พยายามคิด
“สงสารคุณนิดนะครับ แพ้แบบไม่เห็นทางสู้เลย” นิพนธ์โพล่งออกมา
“ไม่หรอก...มองอีกมุมสิ...ถึงจะหาหลักฐานไม่ได้ว่าใครทำ แต่มันก็เท่ากับไม่มีหลักฐานว่านริศราโกง เพราะฉะนั้นฉันจะแก้ไขเรื่องนี้เอง” ภูชิชย์พูดหนักแน่น
สุพัฒนาได้ยินดังนั้นก็ตกใจ “นังนิด!”
สุพัฒนากับบัวเกี๋ยงได้ยินเสียงลูกบิดประตูเหมือนกำลังจะมีคนออกมา ทั้งคู่ตกใจ บัวเกี๋ยงรีบดึงมือสุพัฒนาวิ่งไปหลบทันที
ภูชิชย์ยืนบิดลูกบิดประตูกำลังจะเปิด แต่นิพนธ์เรียกไว้
“เอ่อ...พ่อเลี้ยงครับ แล้วที่พ่อเลี้ยงบอกจะแก้ไข พ่อเลี้ยงจะทำอะไรครับ”
ภูชิชย์อมยิ้มแต่ไม่พูดอะไรแล้วเขาก็เปิดประตูออกไป นิพนธ์มองตามด้วยความงง
บัวเกี๋ยงดึงมือสุพัฒนาให้วิ่งมาหลบที่มุมหนึ่ง พอหลบพ้นสุพัฒนาก็สะบัดมือออก
“ปล่อย ฉันจะกลับไปดูว่าในห้องพี่ภูมีหลักฐานอะไรเกี่ยวกับฉันหรือเปล่า”
บัวเกี๋ยงรีบดึงเจ้านายไว้ “อย่าเพิ่งไปเลยค่ะ เดี๋ยวพ่อเลี้ยงกับคุณนิพนธ์ก็จับได้คาหนังคาเขากันพอดี”
“แต่พี่ภูต้องรู้แล้วแน่ๆว่าฉันแกล้งนังนิด”
“รู้แล้วยังไงคะ? ไหนคุณเล็กบอกว่าไม่มีทางที่จะมีใครจับได้”
สุพัฒนาเริ่มได้สติ “ถูกของแก ถ้างั้นเราก็สบายใจได้สินะ”
“อู้ยยย...สบายใจอะไรล่ะค๊า...คุณเล็กได้ยินไหมคะว่าพ่อเลี้ยงบอกว่านังนิดมันไม่ผิด บัวเกี๋ยงว่าพ่อเลี้ยงอาจจะไปพามันกลับมาก็ได้นะคะ”
“ไม่นะ ฉันไม่ยอม” สุพัฒนายืนกราน
บัวเกี๋ยงแอบยิ้มร้ายเพราะมั่นใจว่าเสี้ยมได้สำเร็จอีกแล้ว
นริศราช่วยเกษตรกรปลูกหญ้าแฝกที่แนวคันดินซึ่งไถพรวนไว้แล้วที่พื้นที่โดยรอบไร่กาแฟที่ศูนย์วิจัย สักพักธาวินเดินมาถึงก็เอ่ยทักนริศรา
“โอ้โห ลงมือปลูกเองเลยเหรอครับคุณนิด”
“ค่ะ คุณธาวินลงมาช่วยด้วยกันไหมคะ”
“ได้เลยครับ” ธาวินพับแขนเสื้อ ถอดรองเท้า ถลกขากางเกงเดินลงไปที่คันดิน เขาหยิบหญ้าแฝกขึ้นมาแล้วปักลงดิน “ฝนฟ้าเดี๋ยวนี้มันน่ากลัวนะครับ ผมล่ะกลัวน้ำจะท่วมพื้นที่ของเราจริงๆ สงสารพวกเกษตรกร”
“นิดถึงได้ขอให้ทุกคนมาช่วยกันปลูกหญ้าแฝกไงคะ อย่างน้อยมันก็พอจะช่วยชะลอน้ำที่ไหลบ่ามา แล้วก็ยังป้องกันการสูญเสียดินได้มากเท่ากับการทำคันดินเลยนะคะ”
“ผมก็หวังว่าน้ำจะไม่ไหลมาวันนี้พรุ่งนี้ก่อนที่หญ้าแฝกมันจะโตนะครับ”
“นิดก็หวังว่านะคะ เพราะอีกตั้งห้าหกเดือนหญ้ามันถึงจะโตแตกกอชิดกัน เดี๋ยวพอหญ้าแฝกมันยึดดินดีแล้ว ให้มันเริ่มแตกกอ แล้วเราก็จะปลูกถั่วมะแฮะเพื่อป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้นของดินด้วยค่ะ”
“ดีครับ ผมดีใจที่เห็นคุณนิดปฎิบัติตามแนวทางที่ในหลวงพระราชทานไว้”
นริศรายิ้ม “เกษตรกรไทยนี่โชคดีนะคะที่มีในหลวงคอยแนะแนวทางต่างๆ”
ธาวินกับนริศรายิ้มให้กัน
ขณะที่ธาวินกับนริศราช่วยกันปลูกหญ้าแฝกอยู่นั้น จู่ๆ เสียงมือถือของนริศราก็ดังขึ้น นริศราหยิบมือถือออกจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาจะกดรับ แต่พอเห็นชื่อภูชิชย์เธอก็อึ้งแล้วได้แต่ยืนมองไม่ยอมรับสาย จนชาวบ้านบริเวณนั้นงง
“คุณนิดครับ ทำไมไม่รับล่ะครับ” ธาวินสงสัย
นริศรายิ้ม แล้วกดตัดสาย “ทำงานกันต่อเถอะค่ะ”
นริศราก้มหน้าก้มตาปลูกหญ้าต่อไปทั้งๆ ที่ในใจรู้สึกกังวล
ภูชิชย์ยืนโทรศัพท์อยู่ที่ไร่องุ่น พอรู้ตัวว่าถูกตัดสายก็หงุดหงิด
“นี่ฉันจะโทรมาบอกข่าวดีเธอนะ ถึงกับไม่รับสายกันเลยเหรอ”
“ใครไม่รับสายเหรอครับ” ลุงปั๋นที่เดินมาข้างหลังถามขึ้น
ภูชิชย์ตกใจ “เฮ้ย ลุงปั๋น มาทำอะไรตรงนี้”
“ผมจะมาถามว่าพ่อเลี้ยงจะให้คลุมองุ่นเลยไหมครับ พอดีผมฟังข่าวมาว่าพายุจะเข้า ฝนจะตกหนัก”
“คลุมเลย เดี๋ยวฉันไปช่วย”
“ครับ” ลุงปั๋นรับคำแล้วก็เดินไป
ภูชิชย์ยืนมองโทรศัพท์ด้วยความลังเล จู่ๆ ลุงปั๋นก็หันกลับมา
“ไปเลยไหมครับ”
ภูชิชย์พยักหน้ารับแล้วเดินตามลุงปั๋นไป
ภูชิชย์กำลังใช้พลาสติกคลุมไร่องุ่น โดยมีเจมส์และคนงานคนอื่นๆ มาช่วยด้วย
“เราปล่อยให้องุ่นโดนฝนไม่ได้เหรอครับ ทำไมต้องคลุมมันด้วย” เจมส์ถามขึ้น
“ถ้าเกิดฝนตกหนัก พวกองุ่นที่แก่จัดก็จะแตก แล้วก็ร่วงกันหมด” ภูชิชย์ตอบ
“แล้วฝนมันก็จะทำให้องุ่นไม่หวานด้วยครับ” ลุงปั๋นเสริม
ขณะที่ภูชิชย์กำลังก้มๆเงยๆ คลุมไร่องุ่นอยู่ จู่ๆ โทรศัพท์ของเขาก็ร่วงจากกระเป๋าเสื้อตกลงพื้น พอเขาจะเก็บก็มีสายเรียกเข้ามาพอดี ภูชิชย์ดีใจเพราะคิดว่านริศราโทรกลับมา “นริศรา”
พอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจอภูชิชย์ก็เห็นเป็นชื่อเจ้าทิพย์ดารา เขาก็หน้าเจื่อนไปแล้วจึงกดรับ
“ครับเจ้า”
“เย็นนี้ภูว่างไหมคะ” เจ้าทิพย์ดาราถาม
“ผม...เอ่อ...” ภูชิชย์มองไปที่พวกคนงานซึ่งยังคลุมองุ่นไม่เสร็จ
เจ้าทิพย์ดาราได้ยินชายคนรักมีน้ำเสียงอึกอักก็เริ่มหน้าเศร้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ
“ไม่ว่างอีกตามเคยใช่ไหมคะ”
“ว่างครับ ผมสัญญาแล้วว่าจะทำตัวดีขึ้น เจ้าอยากให้ผมทำอะไรเหรอครับ”
“ไปทานข้าวกันนะคะ”
“ตกลงครับ งั้นเย็นนี้ผมไปรับเจ้าที่บ้านนะครับ” ภูชิชย์บอก
“ค่ะ” เจ้าทิพย์ดาราวางสาย แล้วก็ยิ้มอย่างดีใจ
ภูชิชย์วางสายแล้วก็ถอนใจ
พรและฝ้ายกำลังช่วยแม่อุ้ยทำอาหารอยู่ในโรงครัว ฝ้ายปรุงแกงในหม้อ ส่วนพรยกหม้อข้าวสวยมาวางที่โต๊ะ แม่อุ้ยก็กำลังผัดผัก เมื่อเสร็จแล้วแม่อุ้ยก็ตักใส่กระบะ
พรคนแกงก่อนจะตักขึ้นมาสูดกลิ่น “แกงส้มน้ำข้นๆอย่างนี้คุณนิดเธอชอบเนอะ”
“ตอนแรกเห็นหน้าหวานๆไม่น่ากินเผ็ดเก่ง ที่ไหนได้ กินเกลี้ยงเลย” แม่อุ้ยบอก
แล้วแม่อุ้ยกับคนงานก็หัวเราะพร้อมกัน
“ไม่มีคุณนิด แล้วมันเซ็งๆนะ มีปัญหาอะไรก็ไม่รู้จะปรึกษาใคร” ฝ้ายบ่น
“ทะเลาะกับไอ้หนานมาล่ะสิ” แม่อุ้ยพูดดัก
ฝ้ายยิ้มแหยๆ “นิดหน่อยน่ะแม่อุ้ย คุณนิดแกเคยให้คำปรึกษาดีๆ เหมือนคุยกับพี่น้อง เรื่องผู้หญิงๆอย่างนี้จะให้ปรึกษาคุณนิพนธ์คงไม่อุ่นใจเท่า”
บัวเกี๋ยงเดินมาหยิบจานจะตักข้าวแต่พอได้ยินเรื่องนริศราก็เบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ พอบัวเกี๋ยงจะตักข้าว พรก็แกล้งพูดขึ้นมาให้บัวเกี๋ยงหมั่นไส้อีก
“ฉันก็ทนเหงาไม่ไหว ต้องย้ายที่นอน มาขอนอนกับแม่อุ้ย”
บัวเกี๋ยงวางทัพพีลงหม้อทันที “โอ๊ย จะกินข้าวให้มีความสุขหน่อยไม่ได้หรือไงวะ ต้องมาฟังเสียงโหยหวนคร่ำครวญถึงนังนิดอยู่ได้”
“อ้าว นังบัวเกี๋ยง แล้วเอ็งมายืนหอนแทนหมาอยู่ทำไมล่ะ” แม่อุ้ยตอกกลับ
พวกคนงานหัวเราะด้วยความสะใจ
“คุณเล็กเขาน่าจะล่ามพี่ไว้มั่งนะ ปล่อยให้ออกมาเพ่นพ่านเกะกะคนอื่นเขาอยู่ได้” พรแขวะ
“อีพร..กูจะฟ้องคุณเล็ก” บัวเกี๋ยงโกรธ
“โอ๊ย อะไรๆก็ฟ้องคุณเล็ก”
“ก็เพราะว่ามันทำอะไรใครเขาตรงๆไม่ได้ไงล่ะวะ ถึงได้ต้องยืมมือคุณเล็กให้ทำแทน” แม่อุ้ยว่า
“อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่แน่จริงนี่” ฝ้ายเสริม
บัวเกี๋ยงเอาจานข้าวขว้างลงกับพื้นทันที “ใช่...กูไม่แน่จริง เดี๋ยวกูจะดูสิ ไอ้น้ำหน้าพวกแน่จริงว่ามันจะอยู่ทำงานที่นี่สักกี่ตัว....รอแป๊บนะ อีบัวเกี๋ยงจัดให้”
บัวเกี๋ยงจะเดินไปแล้วก็นึกได้จึงพูดออกมา
“จะหัวหงอกหรือหัวดำก็ได้ ช่วยเก็บเศษข้าวที่ฉันทำหกให้ด้วยนะ”
พูดจบบัวเกี๋ยงก็เดินไป บรรดาคนงาน แม่อุ้ย พร และฝ้ายต่างมองด้วยความไม่พอใจ
“เอาไงดีล่ะ ฉันยังมีลูกด้วย” ฝ้ายเริ่มกลัว
“ไม่เป็นไร ถ้าจะไล่พรจะรับเอง ไม่มีคุณเล็กฉันไปหางานอื่นทำก็ได้วะ”
พวกคนงานเริ่มลงมือกินข้าวด้วยความเซ็ง
อ่านต่อหน้าที่ 4
รักประกาศิต ตอนที่ 10 (ต่อ)
สุพัฒนานั่งกินข้าวอยู่ในห้องรับประทานอาหารโดยมีบัวเกี๋ยงนั่งฟ้องเรื่องคนงานอยู่
“พวกมันพูดถึงแต่นังนิด แล้วก็ยังแกล้งบัวเกี๋ยงด้วย พอบัวเกี๋ยงบอกว่าจะมาฟ้องคุณเล็ก พวกมันบอกไม่กลัวกันด้วยค่ะ”
สุพัฒนากินข้าวด้วยความใจลอยทำให้ไม่ได้ฟังบัวเกี๋ยง
“คุณเล็ก ไม่ได้ยินที่บัวเกี๋ยงฟ้องเหรอคะ” บัวเกี๋ยงถาม
สุพัฒนารำคาญ “อะไรของแกนักหนาหา...นี่ฉันกำลังกลุ้มเรื่องพี่ภูกับนังนิดอยู่นะ แกมาช่วยกันคิดดีกว่าว่าพี่ภูจะทำไงต่อ”
บัวเกี๋ยงถอนใจด้วยความเซ็งแล้วก็แอบทำหน้างอ สักพักบัวเกี๋ยงก็มองนาฬิกา
“จริงสิคะ ป่านนี้ทำไมพ่อเลี้ยงยังไม่มาทานข้าวอีก”
“บัวเกี๋ยง ฉันใจไม่ดี พี่ภูไม่เคยหนีหน้าฉันแบบนี้” สุพัฒนาเริ่มหวั่นใจ
“หรือพ่อเลี้ยงจะหันไปเข้าข้างนังนิดมันจริงๆคะ”
สุพัฒนาหน้าเครียดมองจานข้าวของภูชิชย์ที่ถูกตักวางไว้
“ไม่ได้ ฉันต้องทำอะไรสักอย่าง”
“แล้วคุณเล็กจะทำอะไรคะ จะไปง้อพ่อเลี้ยงเหรอคะ คุณเล็กไม่งอนแล้วเหรอคะ”
ภูชิชย์กำลังตัดใบองุ่นอยู่ในไร่องุ่น ครู่หนึ่งสุพัฒนาก็เดินเข้ามา เธอเห็นเป็งกับลุงปั๋นช่วยกันตัดแต่งกิ่งอยู่ใกล้ๆ จึงเดินไปคว้ากรรไกรของเป็งมา
“ยืมหน่อย” สุพัฒนาทำทีไปช่วยตัดกิ่งอยู่ใกล้ๆภูชิชย์
ภูชิชย์ไม่สนใจสุพัฒนา เขาเดินผ่านน้องสาวไปตัดกิ่งต้นอื่น สุพัฒนาหน้าจ๋อยแต่ก็เดินตามไป
“พี่ภูเป็นอะไรไปคะ”
ภูชิชย์ไม่ตอบอะไร เขาเลือกใบองุ่นแล้วก็ตัดใบต่อ
สุพัฒนาเริ่มโกรธ “ทำไมพี่ภูไม่พูดกับคุณเล็ก”
“จะให้พี่พูดอะไรล่ะ” ภูชิชย์ถาม
“ก็ง้อคุณเล็กไง จำไม่ได้เหรอว่าพี่ภูทำให้คุณเล็กโกรธที่ไปเข้าข้างพวกนังนิด”
ภูชิชย์ไม่พูดอะไรต่อ สุพัฒนาโมโหจัดจนขว้างกรรไกรลงพื้น
“ทำไมไม่พูดกับคุณเล็ก ทำไมไม่พูดๆๆๆๆ”
“ได้...พี่จะพูดกับคุณเล็กก็ได้ แต่คุณเล็กต้องพูดก่อนว่าสองสามวันนี้ได้ทำอะไรผิดหรือเปล่า”
สุพัฒนาหน้าเสีย “ผิด...ผิดอะไร คุณเล็กไม่ได้ทำ...คุณเล็กไม่ได้ทำ”
“แน่ใจเหรอ” ภูชิชย์ถามย้ำ สุพัฒนานิ่งเงียบ “ถ้างั้นเราก็ไม่มีอะไรต้องพูดกัน”
ภูชิชย์พูดแล้วก็ทำเมินเฉยก่อนจะเดินหนีไป สุพัฒนาเห็นพี่ชายเงียบเฉยก็หยุดกรี๊ด แต่ภูชิชย์เดินต่อไปไม่หันกลับมา สุพัฒนาคิดสักพักแล้วก็ตัดสินใจใช้ไม้ตาย
สุพัฒนาทำเป็นพูดติดๆขัดๆ “พี่ภู..ใจ..ร้าย”
พวกคนงานเห็นก็ตกใจ
“เฮ้ย คุณเล็กชัก” ลุงปั๋นตะโกน
ภูชิชย์ตกใจรีบหันมา “คุณเล็ก!” ภูชิชย์รีบเข้าไปประคอง
“พี่ภู..เกลียดคุณเล็ก..ใช่ไหม” สุพัฒนาทำเป็นชักแล้วก็ถาม
“คุณเล็กอย่าเพิ่งพูดเลยนะ”
“ไม่...พี่ภูเกลียดคุณเล็ก...พี่ภูอยากให้คุณเล็กตาย”
“พี่จะพาคุณเล็กกลับบ้าน” ภูชิชย์รีบอุ้มน้องสาวออกไป
คนงานมองตามด้วยความเป็นห่วง
ภูชิชย์อุ้มสุพัฒนามานอนที่เตียง จากนั้นก็ห่มผ้าให้ แล้วเขาจะเดินออกไป แต่สุพัฒนาทำเป็นตื่นขึ้นมาคว้าแขนพี่ชายไว้
“พี่ภู..อย่าเพิ่งไป”
“คุณเล็กพักก่อนเถอะ เดี๋ยวพี่จะไปเรียกบัวเกี๋ยงมาเฝ้า” ภูชิชย์บอก
“ไม่เอา” สุพัฒนาลุกขึ้นมากอดและอ้อน “คุณเล็กอยากให้พี่ภูอยู่กับคุณเล็ก คุณเล็กคิดถึงพ่อกับแม่ คุณเล็กไม่มีใครอีกแล้วนอกจากพี่ภู”
ภูชิชย์มองน้องสาวแล้วจับมือด้วยความเอ็นดู
“แต่คุณเล็กก็ไม่เห็นจะแคร์พี่เลยนี่ ทั้งโกรธ ทั้งงอน ทำให้พี่หนักใจสารพัด”
“ไม่จริง คุณเล็กรักพี่ภูจะตาย พี่ภูเป็นทุกอย่างของคุณเล็ก”
“ถ้ารักพี่ ก็อย่าทำร้ายคนบริสุทธิ์สิ” ภูชิชย์บอก
สุพัฒนางง “พี่ภู....เอ่อ....พี่..ภู...พี่ภูพูดเรื่องอะไร”
“คุณเล็กคิดยังไงกับเรื่องที่นริศราโกงเงิน” ภูชิชย์ยิงคำถาม
“ก็มันโกงแล้วจะให้คิดยังไง หรือพี่ภูชอบที่มันโกง”
“แล้วถ้าพี่พิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ได้โกงล่ะ”
สุพัฒนาเงียบแล้วเชิดหน้าหนี
“ถ้าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดเราก็ควรขอโทษเขา แล้วให้เขากลับมาทำงานที่นี่เหมือนเดิม”
สุพัฒนากรี๊ดด้วยความโมโห “ไม่จริง...นี่พี่ภูจะเอาคนผิดกลับมาทำงานอีกเหรอ เห็นๆอยู่ว่ามันโกง พี่ภูอยากให้ครอบครัวเราหมดตัวใช่ไหม คุณเล็กไม่คิดเลยนะว่าพี่ภูจะหน้ามืดตามัว ไปโง่หลงเชื่อคนอย่างมันอีก!”
ภูชิชย์ถอนใจแล้วส่ายหน้า จากนั้นก็เดินออกไปทันที สุพัฒนากรี๊ดแล้วก็ขว้างปาข้าวของ
“พี่ภูกลับมานะ พี่ภู!”
เจ้าทิพย์ดาราเดินลงมาจากบนบ้านด้วยชุดสวย ขณะที่เจ้าดาระกากับเจ้าเทพมงคลกำลังจะออกไปข้างนอกเช่นกัน
“จะไปไหนเหรอลูก” เจ้าดาระกาถามขึ้น
“จะไปทานข้าวกับภูค่ะ” เจ้าทิพย์ดาราตอบ
เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกามองหน้ากันแล้วก็ถอนใจ
“วันก่อนที่ลูกกลับมาจากไปเที่ยวกับเขาก็ดูไม่มีความสุขนี่” เจ้าดาระกาพูด
“น้อยก็แค่น้อยใจเขานิดหน่อย แต่เขาสัญญาแล้วค่ะว่าจะทำตัวดีขึ้นค่ะ”
เจ้าเทพมงคลประชด “เอ้าๆ งั้นเราก็ไปกันเถอะแม่ ลูกเขามีความสุขก็ดีแล้ว”
“เจ้าพ่อ เจ้าแม่ไม่อยู่รอเจอภูก่อนเหรอคะ” เจ้าทิพย์ดาราถาม
“ไม่ล่ะ พ่อจะรีบไปที่โรงบ่มไวน์ ไปกันเถอะแม่” เจ้าเทพมงคลพูดแล้วก็เดินนำออกไป โดยทำทีไม่สนใจเรื่องภูชิชย์ต่อ
เจ้าทิพย์ดาราเห็นท่าทีของบิดากับมารดาก็เศร้าใจ เจ้าดาระการู้สึกสงสารบุตรสาวแต่ก็รีบเดินตามเจ้าเทพมงคลออกไป
ภูชิชย์ขับรถไปหาเจ้าทิพย์ดาราแต่ใจนึกถึงแต่นริศราไปตลอดทาง
“คิดจะโทรกลับมามั่งไหมเนี่ย ฉันรอนานแล้วนะ” ภูชิชย์บ่นแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรไปหาเอง
ภูชิชย์ได้ยินเสียงรอสายดังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดไป เขาเริ่มหงุดหงิดแล้วกดโทรออกไปใหม่ แต่นริศราก็ยังไม่ยอมรับสายอีก
“เธองานยุ่งนักใช่ไหม หรือว่าเธอไม่สบาย” ภูชิชย์ตะโกนลั่นรถด้วยความโมโห “บอกฉันบ้างสิ”
ภูชิชย์โมโหจึงจอดรถเข้าข้างทาง แล้วเดินลงมาจากรถ ก่อนจะกระหน่ำโทรไปหานริศรา แต่ไม่ว่าจะกดโทรออกกี่ทีก็ไม่มีคนรับสาย
“นี่มันจงใจไม่รับสายกันนี่ เกินไปแล้วนะนิด”
ภูชิชย์โทรอีกครั้ง คราวนี้ได้ยินเสียงคอมพิวเตอร์ “ยินดีต้อนรับเข้าสู่ระบบฝากข้อความเสียง”
ภูชิชย์โมโหจนแทบจะขว้างโทรศัพท์
“ยัยบ้า อย่าให้ฉันรู้นะว่าเธออยู่ที่ไหน”
นริศรามองดูหน้าจอโทรศัพท์ที่มืดดำหลังจากที่เธอเพิ่งปิดเครื่องไป
“จะโทรมาทำไมนักนะ ฉันไม่อยากรับสายคุณหรอก เชิญโทรให้มือหักไปเลย” นริศราพูดกับโทรศัพท์
สักพัก นริศราเริ่มรู้สึกตัวว่ามีเด็กหญิงวัย 8 ขวบกำลังยืนมองเธอด้วยตาแป๋ว นริศราอดยิ้มไม่ได้
“นี่ลูกใครเนี่ยมาเดินเล่นเหรอ”
เด็กหญิงพยักหน้ารับ
“ไป...งั้นพี่นิดพาเดินเล่นนะ” สักพักโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นอีก “ไม่ต้องสนหรอกค่ะ โทรศัพท์พวกโรคจิตที่ชอบมาก่อกวนคนสวยๆอย่างพี่น่ะ”
พูดจบนริศราก็ยื่นมือให้เด็กหญิงจับ
ทั้งสองจูงมือกันเดินไปท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเย็น โดยมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นตลอด
“น้องชื่ออะไรคะ ท่าทางโตขึ้นจะสวยนะคะ แบบนี้ต้องโดนหนุ่มๆกวนเหมือนพี่นิดแน่เลย” นริศราหัวเราะ “เดี๋ยวพี่นิดปิดโทรศัพท์ดีกว่านะคะ เราสองสาวจะได้เม้ามอยกันได้สะดวกๆ”
ท้องฟ้ามืดกลางเมืองเชียงใหม่เต็มไปด้วยแสงดาว ภูชิชย์นั่งรับประทานอาหารอยู่กับเจ้าทิพย์ดารา ภูชิชย์นั่งเหม่อลอยสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล สักพักเจ้าทิพย์ดาราก็สังเกตเห็น
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะภู”
“อ้อ..เปล่าหรอกครับ แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย” ภูชิชย์ก้มหน้าแล้วกินข้าว
เจ้าทิพย์ดารามองภูชิชย์แล้วก็เริ่มคิดมากขึ้นมาอีก อยู่ๆภูชิชย์ก็พูดขึ้น
“เจ้าครับ ผมขอตัวไปโทรศัพท์สักครู่นะครับ”
เจ้าทิพย์ดาราฝืนยิ้ม “ค่ะ”
ภูชิชย์ลุกออกไป เจ้าทิพย์ดาราวางช้อนส้อมอย่างอ่อนแรง
ภูชิชย์ออกมายืนกดโทรหานริศรา แต่ก็ยังได้ยินเสียงคอมพิวเตอร์เหมือนเดิม
ภูชิชย์เริ่มหัวเสีย “นี่ขนาดไม่อยู่ที่ไร่ยังกวนประสาทฉันได้นะ” ภูชิชย์กดโทรออกอีก แล้วก็ได้ยินเสียงคอมพิวเตอร์อีก
เจ้าทิพย์ดาราเดินออกมาตาม เธอเห็นภูชิชย์กำลังอารมณ์เสียที่ต่อโทรศัพท์ไม่ติดอยู่
“เฮ้อ...ยัยตัวแสบ”
ภูชิชย์บ่นแล้วจะกดโทรศัพท์ออกไปอีกแต่แล้วก็มองไปเห็นเจ้าทิพย์ดารายืนอยู่
“ตกลงภูโทรหาใครคะ?” เจ้าทิพย์ดาราถาม
ภูชิชย์ตกใจ “ผม..เอ่อ..โทรหาลูกค้าลูกค้าครับ”
“ลูกค้า? ตอนนี้น่ะเหรอคะ”
“เอ่อ...คือมันมีปัญหานิดหน่อย แต่ช่างเถอะครับ เขาไม่อยากรับก็ไม่ต้องรับ”
“น้อยไม่เคยเห็นภูอารมณ์เสียใส่คนที่ทำธุรกิจด้วยเลย” เจ้าทิพย์ดาราจ้องหน้าภูชิชย์ “เวลาที่เราอยู่กันสองคนอย่าคิดถึงคนอื่นเลยนะคะ...น้อยขอร้อง”
“ครับ”
เจ้าทิพย์ดาราโผเข้าไปกอดภูชิชย์ ภูชิชย์กอดตอบแต่กลับมีสีหน้าหนักใจ
พิสุทธิ์ที่อยู่ในชุดนอนเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ จากนั้นเขาก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นไปดู
“ยังไม่โทรกลับมาอีกเหรอเนี่ย”
พิสุทธิ์กดโทรออก แล้วก็ได้ยินมีเสียงคอมพิวเตอร์ “ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”
“ปิดเครื่องเหรอ? หรือ แบตหมด” พิสุทธิ์พยายามโทรอีก ก็ยังไม่ติด “แต่นี่มันค่ำแล้ว นิดน่าจะกลับมาที่พัก แล้วชาร์ตแบตได้นี่” พิสุทธิ์คิด “หรือจะไม่สบาย”
พิสุทธิ์รีบไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ออกมาทันที
นริศราตาโตเพราะตกใจที่เห็นพิสุทธิ์หน้าบ้านพักของเธอ
“ยังจะมาทำตาโตใส่เราอีก เราเป็นห่วงแทบแย่” พิสุทธิ์ตัดพ้อ
“เราสิต้องเป็นห่วงโป๊ะ ขับรถขึ้นดอยมาค่ำๆมืดๆอย่างนี้ได้ยังไง มันอันตรายนะ” นริศราบอก
“ก็นิดปิดโทรศัพท์ทำไมล่ะ เราก็นึกว่านิดไม่สบายซะอีก”
นริศราอ้อมแอ้ม “งั้นเราเปิดก็ได้”
พอนริศราเปิดเครื่องปุ๊บ เสียงมิสคอลก็ดังปั๊บติดต่อกันหลายครั้ง นริศรามองที่หน้าจอเห็นชื่อพิสุทธิ์ 10 มิสคอล และชื่อภูชิชย์อีก 30 มิสคอล นริศราตกใจ พิสุทธิ์เห็นดังนั้นก็สงสัย
“มีอะไรเหรอนิด”
“เรา..เราตกใจที่เห็นมิสคอลโป๊ะตั้งสิบครั้งแน่ะ”
พิสุทธิ์ทำเป็นงอน “ก็ใช่น่ะสิ เราโทรตั้งแต่เย็นแล้วนี่”
“แต่ของคุณภูชิชย์ สามสิบครั้ง” นริศราพูดต่อ
พิสุทธิ์ได้ยินก็ถึงกับอึ้ง
ภูชิชย์นั่งดูโทรศัพท์อยู่ในห้องนอน เขาสับสนว่าจะโทรอีกดีไหม แต่ก็ตัดสินใจไม่โทร ก่อนจะขว้างโทรศัพท์ลงบนที่นอนด้วยความหงุดหงิด
“โว้ย ทำไมเราทั้งโง่ทั้งบ้าอย่างนี้วะเนี่ย”
ภูชิชย์คิดย้อนไปถึงเหตุการณ์วันนี้ ตอนที่เขาพยายามต่อสายหานริศราแล้วเจ้าทิพย์ดาราเดินออกมาเห็น
“เอ่อ...คือมันมีปัญหานิดหน่อย แต่ช่างเถอะครับ เขาไม่อยากรับก็ไม่ต้องรับ”
“น้อยไม่เคยเห็นภูอารมณ์เสียใส่คนที่ทำธุรกิจด้วยเลย” เจ้าทิพย์ดาราจ้องหน้าภูชิชย์ “เวลาที่เราอยู่กันสองคนอย่าคิดถึงคนอื่นเลยนะคะ...น้อยขอร้อง”
“ครับ”
เจ้าทิพย์ดาราโผเข้าไปกอดภูชิชย์ ภูชิชย์กอดตอบแต่มีสีหน้าหนักใจ
พอคิดถึงเหตุการณ์วันนี้ ภูชิชย์ก็ทิ้งตัวลงนั่งด้วยความกลัดกลุ้ม
“ฉันจะไม่โทรหาเธออีก นริศรา”
นริศรากับพิสุทธิ์นั่งดื่มกาแฟอยู่ที่หน้าบ้านพักของนริศราในศูนย์วิจัย
“แล้วตกลงวันหยุดนี้นิดจะลงไปเที่ยวในเมืองไหม” พิสุทธิ์ถาม
นริศรากำลังเหม่อจึงไม่ได้ยินที่พิสุทธิ์ถาม
“นิด” พิสุทธิ์เรียก
นริศราสะดุ้ง “อะไรเหรอ”
“ถ้านิดกังวลเรื่องโทรศัพท์นั่น นิดก็โทรหาเขาเถอะ”
“อุ้ย...เราไม่ได้สนใจหรอก”
“แล้วไม่อยากรู้เหรอว่าเขาโทรมาทำไม”
นริศรานิ่งไปเล็กน้อย “ไม่อยากรู้หรอก”
“แต่เขาอาจมีเรื่องร้ายแรงอะไรก็ได้นะ ไม่งั้นไม่โทรเป็นบ้าขนาดนี้หรอก”
นริศราเงียบแล้วคิดตาม พิสุทธิ์แอบถอนหายใจแล้วก็ตัดใจลานริศรา
“เราไปนะ”
“เดี๋ยวสิ มาตั้งไกลจะกลับแล้วเหรอ”
พิสุทธิ์ยิ้ม “นิดรีบเข้าบ้านล่ะ อากาศมันเย็นเดี๋ยวจะไม่สบาย ฝันดีนะ”
พิสุทธิ์ยิ้มแล้วเดินไปที่รถซึ่งจอดอยู่พร้อมกับนริศรา แล้วพิสุทธิ์ก็ขึ้นรถแล้วขับออกไป นริศรายืนส่งแล้วก็ก้มดูมือถือในมือด้วยความลังเล
นริศรานอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงในห้องนอนอยู่หลายครั้งเพราะยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องภูชิชย์
“จะโทรมาทำไมนะ ตั้งสามสิบสี่สิบครั้ง” นริศราเริ่มกังวล “หรือว่าจะมีเรื่องร้ายแรงอย่างที่โป๊ะบอก”
นริศราลุกขึ้นนั่ง แล้วตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ภูชิชย์ ก่อนจะลังเลว่าจะโทรหรือไม่โทร
ส่วนภูชิชย์กำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องนอน สักพักเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น ภูชิชย์รับสายโดยไม่ได้มองเบอร์
“ครับ ภูชิชย์ครับ”
“คุณโทรหาฉันทำไม” เสียงนริศราถามออกมา
ภูชิชย์ได้ยินเสียงนริศราก็ทั้งตกใจและดีใจ เขาละล่ำละลักพูดโดยลืมที่พูดกับตัวเองไว้เมื่อสักครู่อย่างสิ้นเชิง
“นริศรา เธอจริงๆเหรอ”
นริศรานั่งคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องนอน
“ก็ใช่น่ะสิ”
“ฉันโทรหาเธอเป็นสิบๆครั้ง ทำไมเธอไม่รับสายเลย” ภูชิชย์ถาม
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า หรือว่าตรวจพบว่าฉันไปโกงอะไรคุณอีก”
“ไม่มีการโกงอีกแล้ว ฉันกับนิพนธ์ตรวจสอบกันอีกทีก็เจอว่ามีคนแฮ็คพาสเวิร์ดเธอเข้าคอมพ์ แล้วก็เข้ามาแปลงข้อมูล”
นริศราดีใจ “จริงเหรอคะ แล้วใครเป็นคนทำ”
ภูชิชย์อ้ำอึ้ง “ยังไม่รู้แน่ชัด” แล้วเขาก็รีบเปลี่ยนเรื่อง “แต่เอาเป็นว่าไม่ใช่เธอก็แล้วกัน เธอกลับมาทำงานที่นี่เหมือนเดิมนะ”
นริศราอึ้งแล้วนึกถึงคำพูดของเจ้าทิพย์ดาราที่พูดกับเธอในวันที่เพ้นท์เสื้อด้วยกัน
“น้อยรักภูมากนะคะ ถ้าเขากำลังเปลี่ยนใจไปรักคนอื่น น้อยก็คงไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว”
ภูชิชย์เห็นนริศราเงียบไปก็ถามย้ำ “ว่าไงนริศรา เธออยู่ที่ไหน ให้ฉันไปรับกลับมานะ”
“ขอบคุณนะคะ แต่ฉันจะไม่กลับไปที่นั่นอีกแล้ว แค่นี้นะคะ” นริศราพูดแล้วก็วางสายทันที
“เดี๋ยว อย่าเพิ่งวาง” ภูชิชย์พยายามเรียก
ภูชิชย์กดโทรกลับไปอีก แต่นริศราปิดเครื่องไปแล้ว เขาจึงวางโทรศัพท์อย่างอ่อนแรง ส่วนนริศราก็ยืนพิงหน้าต่างแล้วเหม่อมองออกไปด้วยความเศร้าไม่ต่างกัน
จบตอนที่ 10
ติดตามอ่านรักประกาศิตตอนต่อไป พรุ่งนี้