xs
xsm
sm
md
lg

รักประกาศิต ตอนที่ 7

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รักประกาศิต ตอนที่ 7

รถบรรทุกเปิดไฟสูงและบีบแตรดังสนั่น นริศราตกใจแต่ก็หักหลบไปได้อย่างฉิวเฉียดท่ามกลางเสียงร้องกรี๊ดของฝ้ายและพร
“ขอโทษจ้ะ ฉันมองไม่เห็น เดี๋ยวจะระวังให้มากกว่านี้นะ”
นริศราพูดจบก็มีเสียงฟ้าร้องเปรี้ยง

ภูชิชย์กับนิพนธ์ถือร่มเดินออกมาหน้าสำนักงาน แต่ทั้งสองก็พบว่าพายุแรงมาก
“พ่อเลี้ยงครับ ผมว่ารอให้ฝนหยุดก่อนดีไหมครับ” นิพนธ์เสนอ
“ไม่ได้ ผมอยากรู้ว่าคนงานเราอยู่ครบไหม” ภูชิชย์ยืนกราน
“ผมไปด้วยนะครับ รู้สึกห่วงคนงานเหมือนกัน” นิพนธ์บอก
ทันใดนั้นสุพัฒนากับบัวเกี๋ยงก็ขับรถมาจอดหน้าสำนักงาน สองสาววิ่งฝ่าฝนลงมาจากรถ สุพัฒนาตรงเข้ามากอดภูชิชย์ทันที
“พี่ภู คุณเล็กกลัวฟ้าร้องค่ะ คุณเล็กขออยู่กับพี่ภูนะคะ”
“คุณเล็กเข้าไปคอยข้างในแล้วกันนะ เดี๋ยวพี่มา” ภูชิชย์บอก
“พี่ภูจะไปไหน” สุพัฒนาถาม
“พี่จะไปดูคนงานหน่อย ไม่รู้เป็นไงกันบ้าง”
“งั้นให้คุณเล็กไปด้วยนะคะ คุณเล็กกลัวเสียงฟ้าร้อง”
ภูชิชย์พยักหน้าแล้วทั้งสี่คนก็รีบวิ่งฝ่าฝนขึ้นรถขับออกไปทันที

รถที่นริศราขับยังคงวิ่งฝ่าฝนมาตามทางดิน ลุงปั๋นกับนริศรายังคงช่วยกันเพ่งมองทางข้างหน้า
“คุณนิดเบาๆนะครับ ทางลงเขามันจะลื่น” ลุงปั๋นเตือน
สิ้นเสียงลุงปั๋นก็มีเสียงฟ้าร้องดังลั่นจนคนในรถพากันตกใจ แล้วรถของนริศราก็สะดุดและลงไปติดหล่มดิน
“รถเป็นอะไรคะคุณนิด” พรถามเมื่อรู้สึกว่ารถเหมือนติดอะไรสักอย่าง
“ฉันก็ไม่รู้ สงสัยจะติดหล่ม”
นริศราเร่งเครื่องแต่รถกลับไหลไปด้านข้างเนื่องจากล้อหน้าของรถติดหล่มอยู่จึงหมุนคว้างแต่เคลื่อนไปไม่ได้
“คุณนิดหยุดก่อนครับ” ลุงปั๋นบอก
“ทำไมล่ะ” นริศราสงสัย
“สงสัยเราจะตกถนน” ลุงปั๋นบอก
“ตกถนน” นริศราทวนคำ
“ถ้าเร่งเครื่องอาจจะตกเขาได้”
นริศรา พร และฝ้ายต่างกลัวจนหน้าซีด
รถของนริศรายังคงติดหล่มข้างทางอยู่ใกล้ทางลงเขาที่สูงชัน

ภูชิชย์กับนิพนธ์รู้เรื่องจากแม่อุ้ยที่อยู่ที่โรงอาหารก็มีสีหน้าตกใจ
“นริศราขับรถออกไปงั้นเหรอ” ภูชิชย์ถามย้ำ
“ลูกของฝ้ายมันป่วยหนัก คุณนิดไปขอให้ไอ้ผลมันขับรถ แต่มันไม่มีน้ำใจ คุณนิดเลยขับรถพาไปโรงพยาบาลค่ะ” พูดจบแม่อุ้ยก็ปรายตามองผล แต่ผลหลบตา
“แล้วคุณนิดไม่รู้ทางไปโรงพยาบาลจะขับไปได้ยังไง” นิพนธ์เป็นห่วง
“ลุงปั๋นกับพรไปด้วยค่ะ” แม่อุ้ยบอก
ภูชิชย์กับนิพนธ์ถึงกับหน้าเครียดเพราะมองไปข้างนอกก็ยังไม่เห็นทีท่าว่าฝนจะซาลง สุพัฒนาที่ยืนฟังอยู่แอบกระซิบกับบัวเกี๋ยง
“บอกนายผลด้วยว่าฉันจะมีรางวัลให้”
บัวเกี๋ยงยิ้มรับ
“เอายังไงดีครับพ่อเลี้ยง ช่วงทางลงเขาน่ากลัวด้วย” นิพนธ์ถาม
“ผมจะออกไปดู” ภูชิชย์บอก
“ผมไปด้วยครับ” นิพนธ์พูด
สุพัฒนาได้ยินดังนั้นก็ตกใจรีบออกปากห้ามทันที
“ไม่ได้นะคะ พี่ภูห้ามไปคุณเล็กไม่ยอม”
“แต่คนของเรากำลังอยู่ในอันตรายนะ”
“แล้วถ้าพี่ภูเป็นอะไรไปคุณเล็กจะทำยังไงคะ ไม่รู้ล่ะคุณเล็กไม่ให้พี่ภูไป”
สุพัฒนาดึงแขนภูชิชย์เอาไว้แน่นเพราะไม่ยอมให้ไป

เจ้าทิพย์ดารายืนกดโทรศัพท์ต่อสายไปหาภูชิชย์อยู่บริเวณล็อบบี้โรงแรม แล้วเธอก็ต้องเซ็งที่มีแต่เสียงตอบรับ สักพักพิสุทธิ์ก็เดินเข้ามาหา
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับเจ้า”
เจ้าทิพย์ดารายิ้ม “ค่ะ แต่ไม่ใช่กับโรงแรมคุณโป๊ะหรอก น้อยพยายามจะโทรถามภูน่ะค่ะว่าที่ไร่เขาเป็นยังไงบ้าง เพราะคนที่ไร่ของน้อยโทรมาบอกเจ้าพ่อว่าฝนตกหนัก ถนนลงเขาพัง”
พิสุทธิ์ได้ฟังก็เป็นห่วงนริศราขึ้นมาทันที
“เอ่อ...แล้วมันจะมีเหตุร้ายแรงอะไรหรือเปล่าครับ”
“ก็ถ้าอยู่กันแต่ในไร่ไม่เดินทางไปไหนก็ไม่เป็นไรค่ะ”
พิสุทธิ์รีบหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรด้วยสีหน้าเป็นกังวลจนเจ้าทิพย์ดาราจับสังเกตุได้ สักพักพิสุทธิ์ก็ปิดโทรศัพท์
“คุณโป๊ะจะโทรหาคุณนิดเหรอคะ” เจ้าทิพย์ดาราถาม
“ครับ นิดเขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้ ผมเลยเป็นห่วง”
“สัญญาคงไม่ค่อยดีลองโทรใหม่สิคะ ของน้อยก็โทรหาภูไม่ติดเหมือนกัน”
พิสุทธิ์ถอนใจ “ไม่เป็นไรหรอกครับ คงปิดเครื่องตามเคย”
เจ้าทิพย์ดารามองพิสุทธิ์อย่างพิจารณาจนพิสุทธิ์ต้องหลบตา
เจ้าทิพย์ดารายิ้ม “อย่าห่วงเลยค่ะ ภูเขาเป็นคนเก่งแล้วก็ห่วงลูกน้องมาก ยังไงเขาต้องดูแลคุณนิดดีอยู่แล้ว”
พิสุทธิ์ยิ้มรับแต่สีหน้าของเขายังเจือด้วยความกังวลจนเจ้าทิพย์ดารารู้สึกสงสัย

รถของนริศรายังคงจอดโดยมีรอยดินไถลเป็นทางยาวและล้อด้านหน้ายังติดอยู่ในหล่ม ลุงปั๋นกับพรลงมาช่วยกันเข็นรถ นริศราถือพวงมาลัยอยู่ในรถกับฝ้ายและลูกของฝ้าย ลูกของฝ้ายร้องลั่นเพราะพิษไข้
ลุงปั๋นตะโกน ”คุณนิดหักขวาไว้นะครับ”
นริศราพยายามเร่งเครื่องแต่รถก็ไม่ขึ้นจากหล่ม มิหนำซ้ำยังไถลออกไปอีก ลุงปั๋นตกใจ พรถึงกับร้องกรี๊ดออกมา
ลุงปั๋นตะโกนด้วยความตกใจ “พอครับพอคุณนิด.....หยุดก่อน”
นริศราตัดสินใจดับเครื่องแล้วใส่เบรกมือเอาไว้ ก่อนจะลงมาจากรถ
“ฝนตกเรื่อยๆขนาดนี้ดินมันเละ คงขับต่อไม่ได้” ลุงปั๋นบอก
“ลุงปั๋นอย่าบอกว่าจะรอจนฝนหยุดดินแห้งนะ” พรใจคอไม่ดี
“แล้วจะทำไงล่ะวะ” ลุงปั๋นถามกลับ
“ยังไงเราก็ต้องไป ฉันทิ้งเด็กไว้แบบนี้ไม่ได้”
นริศราพูดแล้วมองฝ่าฝนไปรอบๆ อย่างใช้ความคิด

ภูชิชย์ นิพนธ์ และแม่อุ้ยยังยืนหน้าเครียดอยู่ในโรงอาหาร สุพัฒนาเห็นทุกคนแล้วก็หงุดหงิด
ภูชิชย์พูดกับนิพนธ์ “โทรถามนริศราสิ ว่าถึงไหนแล้ว”
“เอ่อ...ผมไม่เคยขอเบอร์คุณนิดไว้ครับ” นิพนธ์บอก
ภูชิชย์ถอนใจด้วยความโมโห แล้วเขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมา สุพัฒนารีบเดินเข้ามาหาพี่ชายทันที
“พี่ภูคะ กลับเถอะค่ะ อยู่นี่โดนละอองฝนนาน คุณเล็กกลัวไม่สบาย”
“งั้นคุณเล็กกลับไปก่อนนะ ให้นายผลขับรถไปส่งก็ได้” ภูชิชย์บอก
“ไม่เอา พี่ภูต้องกลับไปกับคุณเล็ก”
“ไม่ได้หรอก พี่เป็นห่วงพวกนั้น”
“ห่วงทำไม ก็สาระแนออกไปกันเอง ยังไงพี่ภูก็ต้องกลับไปกับคุณเล็ก”
ภูชิชย์พูดด้วยเสียงจริงจัง “คุณเล็ก พี่ขอร้องล่ะ ให้พี่ทำงานได้ไหม”
ภูชิชย์เดินเลี่ยงไปกดโทรศัพท์เพื่อโทรออก สุพัฒนามองตามอย่างหงุดหงิด
“นายวัส พี่อยากได้เบอร์มือถือของนริศรา” ภูชิชย์พูดโทรศัพท์
พอสุพัฒนาได้ยินเธอก็ไม่พอใจเดินเข้ามามองภูชิชย์ตาขุ่นทันที
“โอเคขอบใจนะ” ภูชิชย์พูดกับน้องชาย
ภูชิชย์วางสายแล้วกดเบอร์โทรออกทันที สุพัฒนารีบเข้ามาเกาะแขนแล้วถาม
“นี่พี่ภูจะโทรหามันเหรอคะ”
“พี่จำเป็นต้องติดต่อกับนริศรานะ”
ภูชิชย์กดโทรออกแต่ติดต่อปลายสายไม่ได้ สุพัฒนาแอบยิ้มอย่างสะใจ
“ติดต่อไม่ได้เหรอคะ งั้นเรากลับบ้านกันเถอะค่ะพี่ภู”
“พี่จะออกไปข้างนอก คุณเล็กกลับไปรอที่บ้านแล้วกัน” ภูชิชย์ตัดบท
“ไม่! คุณเล็กไม่ให้ไป”
“พ่อเลี้ยงอยู่กับคุณเล็กเถอะครับ ผมไปเอง” นิพนธ์อาสา
“จริงด้วย ให้นิพนธ์ไปเถอะนะคะ ชีวิตพี่ภูมีค่าเกิดเป็นอะไรไปคุณเล็กจะทำยังไง”
นิพนธ์หน้าเสียที่ได้ยินสุพัฒนาพูดเหมือนไม่เห็นคุณค่าของเขา
“ถูกของคุณเล็กครับ คนอย่างผมเป็นอะไรก็ไม่มีใครคอยห่วงอยู่แล้ว” นิพนธ์ตัดพ้อ
นิพนธ์จะเดินไปแต่ภูชิชย์ดึงแขนไว้แล้วแกะมือของสุพัฒนาที่กอดแขนเขาอยู่
“คุณเล็ก ครั้งนี้พี่ขอนะ มันจำเป็น”
“จำเป็นบ้าบออะไร พี่ภูห่วงนังนิดมันมากละสิ ไม่นะ พี่ภูห้ามไป”
ภูชิชย์กับนิพนธ์วิ่งฝ่าฝนไปขึ้นรถทันทีโดยไม่สนใจเสียงเรียกของสุพัฒนาที่ตะโกนไล่หลัง
“พี่ภู กลับมานะ คุณเล็กไม่ให้ไป”
สุพัฒนามองรถภูชิชย์ที่แล่นออกไปอย่างอารมณ์เสีย ก่อนที่เธอจะกรี๊ดกร๊าดทำลายข้าวของจนคนงานต้องถอยห่าง

ท่ามกลางสายฝนหนาเม็ด นริศรากับลุงปั๋นช่วยกันเอากิ่งไม้กับหินก้อนใหญ่หนุนลงไปใต้ล้อที่ติดอยู่ในหล่ม
“คุณนิดไปสตาร์ทเครื่องเถอะครับ เดี๋ยวผมกับนังพรจะช่วยเข็น” ลุงปั๋นบอก
นริศรารีบขึ้นไปบนรถแล้วสตาร์ทรถ ลุงปั๋นกับพรช่วยกันออกแรงเข็นรถเต็มกำลัง
ล้อรถกระบะหมุนเดินหน้าและถอยหลังสักพักไม้กับหินก็ลงไปอยู่ในหลุมแทนทำให้รถหลุดจากหลุมขึ้นมาได้ นริศราหักขวากลับเข้าสู่ถนนอย่างปลอดภัย ลุงปั๋นกับพรดีใจร้องเฮลั่นแล้วรีบวิ่งขึ้นรถไป
“ลุงปั๋น พร ขอบใจนะ” นริศราบอก
ลุงปั๋นกับพรยิ้มให้แล้วนริศราก็ขับรถออกไป

รถกระบะที่นริศราขับแล่นมาจอดหน้าโรงพยาบาล นริศรา ลุงปั๋น และพรที่ตัวยังเปียกหมาดๆ รีบลงจากรถแล้วช่วยฝ้ายอุ้มลูกมาที่เคาท์เตอร์ พยาบาลกำลังก้มจดงานอยู่ที่เคาท์เตอร์
“สวัสดีค่ะ ฉันมีเด็กไข้สูงจะหาหมอ” นริศราบอก
พยาบาลเงยหน้าขึ้นมาทำให้นริศราเห็นว่าเป็นลาวัลย์ ทั้งนริศราและลาวัลย์ต่างก็ตกใจที่ได้เจอกัน
“อ้าว.....คุณนิด”
นริศราอึ้ง “พี่ลาวัลย์” แล้วนริศราก็ได้สติ “ช่วยหน่อยเถอะค่ะ ลูกคนงานป่วยหนัก”
ลาวัลย์รีบมาจับตัวของเด็กเพื่อดูอาการ
“ตายแล้ว พี่ว่าพาไปห้องฉุกเฉินดีกว่า”
ลาวัลย์พาทั้งหมดเข้าห้องฉุกเฉินไปอย่างรวดเร็ว

ภูชิชย์ขับรถมาตามทางดินโดยมีนิพนธ์นั่งมาด้วย
“ผมว่าคุณนิดนี่เก่งมาเลยนะครับ ถนนเละขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่คนพื้นที่คงไปไม่รอด” นิพนธ์บอก
“ฮึ....เก่งแต่ทำเรื่องยุ่งๆน่ะสิ อย่าให้เจอตัวนะ ฉันเอาเรื่องแน่” ภูชิชย์โกรธ
นิพนธ์มองภูชิชย์ที่แสดงอาการฉุนเฉียวแล้วจึงตัดสินใจหุบปาก
รถของภูชิชย์วิ่งมาได้สักพักก็สะดุดหินเต็มแรง
“เฮ้ย...ใครดันบ้าเอาหินมาขวาง” ภูชิชย์โวย
“ผมว่าเราต้องขอบคุณเขานะครับ ถ้าไม่ใส่หินเราอาจจะติดหล่มด้วยซ้ำ” นิพนธ์เหลือบลงไปมองแล้วก็บอกภูชิชย์

ลาวัลย์ยืนรออยู่ที่หน้าห้องน้ำในโรงพยาบาล สักพักนริศรากับพรก็เดินออกมาในชุดคนไข้โดยที่ในมือของทั้งคู่ถือถุงของโรงพยาบาลที่ใส่เสื้อผ้าเปียกของพวกเธอ ลุงปั๋นเดินออกมาจากห้องน้ำชายในชุดคนไข้เช่นกัน ลาวัลย์ส่งยาให้ด้วยสีหน้าเรียบนิ่งและพยายามวางตัวห่างๆ
“เช็ดหัวให้แห้งด้วยนะ แล้วไปทานยากันก่อน” ลาวัลย์บอก
“ขอบคุณค่ะ” นริศรากล่าว
ส่งยาให้เสร็จลาวัลย์ก็เดินนำไป นริศราเช็ดผมพร้อมกับเดินตามไป
“แล้วเด็กเป็นไงบ้างคะ” นริศราถาม
“หมอกำลังดูอยู่ ไข้สูงตั้งสี่สิบกว่า ปล่อยกันไว้ได้ยังไง”
ลาวัลย์พูดแล้วพาเดินมาถึงจุดที่เป็นตู้น้ำกด นริศรา พร และลุงปั๋นหยุดกดน้ำเพื่อทานยากัน
“เห็นคุณนิดบอกว่าเด็กเป็นลูกคนงานในไร่” ลาวัลย์พูดเป็นเชิงถาม
“ค่ะ ตอนนี้นิดเป็นผู้จัดการไร่ที่...” นริศราพยายามบอก
แต่ลาวัลย์สวนขึ้นเหมือนไม่อยากรู้ “ดูคล้ำไปเยอะนะคะ”
ลาวัลย์มองนริศราอย่างสำรวจจนนริศรารู้สึกอึดอัดจึงได้แต่ยิ้มรับแหยๆ
“คุณนิด” เสียงของนิพนธ์ดังขึ้น
ทั้งหมดหันไปตามเสียงก็เห็นภูชิชย์กับนิพนธ์เดินเข้ามาหา พอลาวัลย์เห็นหน้าภูชิชย์ก็ถึงกับตะลึง

ลาวัลย์เดินนำนริศรา ลุงปั๋น และพรมาที่หน้าห้องฉุกเฉิน โดยมีภูชิชย์กับนิพนธ์เดินตามมาด้วย
“เดี๋ยวทุกคนรอที่นี่นะคะ ฉันจะเข้าไปดูอาการเด็กให้” ลาวัลย์บอก
ทุกคนแยกย้ายกันไปนั่งหน้าห้องฉุกเฉิน ภูชิชย์เดินหน้าตึงเข้ามาหานริศรา
“เธอทำอะไรลงไป? รู้ไหมว่ามันอันตราย” ภูชิชย์โวยวาย
“ฉันจำเป็นค่ะ ชีวิตเด็กอยู่ในอันตราย” นริศราตอบ
“แล้วชีวิตเธอล่ะ”
ทุกคนเงียบพร้อมกับหันมองภูชิชย์ ภูชิชย์ได้สติจึงรีบพูดกลบเกลื่อน
“ฉันหมายถึง ถ้าเกิดรถตกเขาไปกี่คนที่จะต้องตายไปกับเธอ”
“แต่ฉันก็พาทุกคนมาถึงที่นี่อย่างปลอดภัยนี่คะ” นริศราบอก
“ไม่ต้องเถียง”
“ฉันไม่ได้เถียง แต่มันคือความจริง”
ลุงปั๋นกับพรที่นั่งอยู่อีกด้านรีบลุกมาหาภูชิชย์
“ใช่ครับพ่อเลี้ยง ตอนแรกรถก็ตกหล่ม แต่คุณนิดเอาหินกับไม้หนุนจนเราขึ้นมาได้” ลุงปั๋นบอก
นิพนธ์ได้ยินก็นึกได้ “อ๋อ...ที่แท้หินที่ช่วยไม่ให้เราติดหล่มนี่เป็นฝีมือคุณนิดนี่เอง”
ภูชิชย์มองนิพนธ์ด้วยสายตาเขม่นจนนิพนธ์ต้องหุบปาก
“ถ้าไม่ได้คุณนิด รถเราอาจตกเขาหรือไม่นั่งแช่น้ำกันไปแล้วค่ะพ่อเลี้ยง” พรพูด
“คุณนิดเก่งจริงๆ บอกตรงว่าเหนือความคาดหมายสำหรับผมมาก” นิพนธ์กล่าวชม
“ขอบคุณค่ะคุณนิพนธ์ นิดฝากบอกเจ้านายคุณนิพนธ์ด้วยนะคะ ว่าอย่าคิดว่าตัวเองเก่งตัวเองแน่อยู่คนเดียว” นริศราแขวะ
นริศราจ้องหน้าภูชิชย์อย่างท้าทาย ภูชิชย์ฉุนกำมือตัวเองแน่น
“ก็ถือว่าครั้งนี้เธอดวงดี แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกต้องบอกฉันก่อน ห้ามทำโดยพละการ”
นริศราย้อน “ได้ข่าวว่าฉันเป็นผู้จัดการไร่ไม่ใช่เหรอคะ”
“ใช่...แต่ฉันไม่อยากให้เธอเป็นผู้จัดการไร่คนแรกที่พาคนไปตาย ยังไงฉันต้องล้อมคอกก่อนวัวหาย โดยเฉพาะกับวัวที่ชอบอวดดี”
นริศรากัดริมฝีปากด้วยความเจ็บใจ
“นิพนธ์ เก็บเบอร์มือถือของนริศราไว้ด้วย” ภูชิชย์สั่งแล้วหันไปพูดกับนริศรา “และห้ามปิดโทรศัพท์ตลอดชีวิตการทำงานที่นี่”
นริศราอึ้ง “เรื่องอะไรมาบังคับฉันเปิดมือถือ”
ภูชิชย์ยิ้มกวน “นี่เป็นคำสั่ง”
ทันใดนั้นลาวัลย์ก็เปิดประตูห้องฉุกเฉินออกมา บุรุษพยาบาลเข็นเตียงเด็กโดยมีฝ้ายกับหมอเดินมาข้างๆ บุรุษพยาบาลเข็นเตียงผ่านไป ลาวัลย์ หมอ และฝ้ายเดินมาหยุดพูดกับกลุ่มของภูชิชย์
“เด็กเป็นไข้เลือดออกครับ โชคดีมากที่พามาทัน ถ้าช้ากว่านี้เกิดเด็กช็อคคงจะลำบาก” หมอบอกแล้วเดินไป ฝ้ายเดินเข้ามากอดนริศราแล้วก็ร้องไห้โฮ
“ขอบคุณมากค่ะคุณนิด ลูกฉันมันรอดชีวิตเพราะคุณนิดจริงๆ” ฝ้ายหันไปพูดกับลุงปั๋นและพร “ลุงปั๋น พร ฉันขอบคุณมากนะ”
ฝ้ายกอดนริศราพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น นริศราโอบกอดปลอบขวัญ ภูชิชย์มองนิ่ง นิพนธ์แอบเหลือบมองภูชิชย์แล้วอมยิ้ม ภูชิชย์หันมาเห็นหน้านิพนธ์แล้วก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

ลาวัลย์ลากแขนนริศรามาที่มุมหนึ่งของโรงพยาบาล นริศราเดินตามมาอย่างงงๆ
“ตกลงที่คุณนิดว่าเป็นผู้จัดการไร่น่ะ คือไร่สุพัฒนาเหรอ” ลาวัลย์เอ่ยถาม
“ใช่ค่ะ” นริศราตอบ
ลาวัลย์ยิ้ม “ดีเลย งั้นวันหลังพี่ไปเยี่ยมหาที่ไร่นะ ไหนๆก็มาอยู่ใกล้ๆกันแล้ว”
นริศราตกใจ “อะไรนะคะ จะไปเยี่ยมนิด”
“ใช่สิคะ พี่จะพาพี่นาไปด้วยดีไหม เห็นว่าความสัมพันธ์ของคุณนิดกับพี่นาไม่ค่อยจะดี พี่ช่วยเป็นกาวใจให้เอาไหม”
“เอ่อ....แต่ว่าที่ไร่มันไม่มีอะไร นิดเกรงว่าไปแล้วพี่นากับพี่วันจะไม่ชอบ”
ลาวัลย์อมยิ้มอย่างมีเลศนัย “ไม่เอาค่ะ อย่าคิดแทนพี่ พี่อยากไปที่นั่นมานานมากแล้วรู้ไหม ให้พี่ไปนะคะ”
นริศราถอนใจด้วยความเครียด
“ก็ได้ค่ะ แต่นิดขออะไรอย่างได้ไหมคะ ถ้าพี่วันไปก็อย่าบอกว่านิดเป็นใครเรียนอะไรมา”
“แสดงว่าบอกวุฒิปลอมเขาไปล่ะสิ” ลาวัลย์พูดดัก
นริศราอ้าปากจะบอกแต่ลาวัลย์ยิ้มแล้วพูดแทรกทันที
“เอาเถอะค่ะ เรื่องของคุณนิดพี่ไม่ยุ่ง พี่แค่อยากไปที่นั่นเท่านั้น โอเคนะคะ ไปกันเถอะค่ะ ป่านนี้พ่อเลี้ยงคงจัดการค่าใช้จ่ายเสร็จแล้ว”
พูดจบลาวัลย์ก็เดินนำลิ่วไป นริศรามองตามด้วยความกลุ้มใจ
“จะปิดอยู่ไหมเนี่ย” นริศรากังวล

ภูชิชย์จ่ายเงินค่ารักษาเสร็จก็เดินมาสมทบกับนิพนธ์ ลุงปั๋น และพร
“นริศราล่ะ” ภูชิชย์ถาม
“เห็นคุณพยาบาลจูงมือเดินไปไหนไม่ทราบครับ” นิพนธ์บอก
ภูชิชย์งง “มีอะไรทำไมไม่คุยกับฉัน”
“อ๋อ...เหมือนคุณพยาบาลกับคุณนิดจะรู้จักกันมาก่อนเลยค่ะ” พรบอก
“รู้ได้ยังไง” ภูชิชย์สงสัย
“ก็พยาบาลพอเจอหน้าคุณนิดก็เรียกคุณนิดเลย คุณนิดเองก็เรียกพี่ลาวัลย์ค่ะ”
ภูชิชย์พูดกับนิพนธ์ “ท่าทางยัยนิดของคุณจะตายน้ำตื้นซะแล้ว”
ภูชิชย์อมยิ้มเจ้าเล่ห์ นิพนธ์มองภูชิชย์อย่างสงสัย

ภูชิชย์ นิพนธ์ พร และลุงปั๋นเดินมาที่ลานจอดรถ ทุกคนเห็นลาวัลย์ยืนอยู่กับนริศรา
“เดี๋ยววันขอส่งทุกคนที่นี่เลยนะ ส่วนเสื้อผ้าของโรงพยาบาล วันบอกหัวหน้าแล้วว่าให้ทุกคนยืมใส่กลับไปก่อน แล้ววันหลังวันจะไปรับคืนที่ไร่เอง” ลาวัลย์พูดกับทุกคน
“เอ่อ....ไม่เป็นไร นิดเอามาคืนให้พี่วันดีกว่าค่ะ ยังไงก็ต้องมาเยี่ยมเด็กอยู่แล้ว” นริศรารีบบอก
ลาวัลย์ได้ยินก็หน้าเสียทันที
“ทำไมล่ะนริศรา ถ้าคุณพยาบาล เอ่อ...” ภูชิชย์พูด
“เรียกวันก็ได้ค่ะ” ลาวัลย์รีบบอก
“ครับ ถ้าคุณวันอยากไปก็ให้ไปสิ” ภูชิชย์พูดกับลาวัลย์ “ถ้าว่างก็เชิญที่ไร่นะครับ ผมยินดีต้อนรับ แขกของนริศราก็เหมือนแขกของผม”
“ขอบคุณค่ะพ่อเลี้ยง” ลาวัลย์ยิ้มให้
นริศราได้ยินก็รู้สึกหนักใจ เธอมองไปที่ภูชิชย์ก็เห็นเขาแอบยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ให้นริศรา

นริศรา พร และลุงปั๋นยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมของคนงานที่กำลังปรบมือให้ทั้งสามด้วยความยินดี
“คุณนิดคะ คุณนิดนี่ช่างเป็นดีจริงๆนะคะ ไม่เหมือนบางคนที่เป็นผู้ชายอกสามศอกซะเปล่าแต่ขี้ขลาดตาขาว” แม่อุ้ยว่ากระทบ
พูดจบแม่อุ้ยกับคนงานก็มองไปที่ผลพร้อมๆ กัน ผลทั้งอายทั้งโกรธรีบลุกขึ้นเดินหนีไปทันที
“ดู๊ดูมัน ท่าทางไม่ได้สำนึกเลย” แม่อุ้ยฉุน
“ช่างเขาเถอะแม่อุ้ย แค่เด็กปลอดภัยก็ดีแล้วหล่ะ แล้วนี่ยังไม่ทานข้าวกันอีกเหรอ” นริศราถาม
“พวกเรารอคุณนิดครับ” เป็งบอก
แม่อุ้ยกระซิบกับนริศรา “พวกคนงานเขาคุยกับว่าถ้าวันนี้ไม่รู้ข่าวคุณนิดก็จะไม่มีใครกินข้าวค่ะ”
นริศรายิ้มปลื้ม “ขอบคุณนะ ขอบคุณทุกคนมาก”
กลุ่มคนงานเริ่มแยกย้ายกันไปตักข้าวมากิน ภูชิชย์กับนิพนธ์ยืนมองอยู่ด้านหลังห่างออกไป
“งานนี้คนงานคงรักคุณนิดจนหมดหัวใจเลยนะครับ” นิพนธ์พูด
“ก็ดี จะได้ทำงานกันราบรื่น”
ภูชิชย์พูดแล้วจะเดินกลับแต่นิพนธ์เอ่ยถามขึ้น
“แล้วพ่อเลี้ยงยังอยากจะสืบเรื่องคุณนิดอีกหรือเปล่าครับ”
“คุณไม่อยากรู้ว่ายัยนี่เป็นใครแล้วเข้ามาที่ไร่เราทำไม” ภูชิชย์ถามกลับ
“ถึงขนาดยอมเสี่ยงตายเพื่อช่วยชีวิตคน สำหรับผมแล้วประวัติคุณนิดไม่น่าค้นหาเท่ากับการกระทำที่เห็นกับตาหรอกครับ”
- ภูชิชย์ฟังแล้วก็นิ่งคิด นิพนธ์เดินแยกเข้าไปกินอาหารกับกลุ่มคนงาน ภูชิชย์มองตามไป เขาเห็นนริศรากำลังนั่งกินอาหารอยู่กับคนงานอย่างมีความสุข

ภูชิชย์ขับรถมาตามทางภายในไร่ สักพักเขาก็จอดรถ ภูชิชย์นั่งครุ่นคิดถึงเหตุการณ์วันนี้อยู่ในรถเงียบๆ คนเดียว
“ถึงขนาดยอมเสี่ยงตายเพื่อช่วยชีวิตคน สำหรับผมแล้วประวัติคุณนิดไม่น่าค้นหาเท่ากับการกระทำที่เห็นกับตาหรอกครับ” เสียงของนิพนธ์ดังก้องในหัวของภูชิชย์
ภูชิชย์ตัดสินใจเลี้ยวรถกลับทันที

นริศราอยู่ในชุดเตรียมอาบน้ำมีหมวกคลุมผม ผ้าเช็ดตัวพาดบ่า และถือขันกับสบู่เดินลงบันไดมา
ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงเรียก “นริศรา”
นริศราหันกลับมาตามเสียงก็เห็นภูชิชย์ นริศราตกใจ ภูชิชย์ก็ตกใจที่เห็นนริศราหน้ามันแผล่บ
“เย้ย....เธอไปตกถึงน้ำมันหมูที่ไหนมา” ภูชิชย์ถาม
“บ้าเหรอ ฉันใช้คลีนซิ่งมิลค์เช็คหน้า แล้วพ่อเลี้ยงล่ะมีอะไร มาแอบดูใครอาบน้ำ” นริศราถามแขวะ
ภูชิชย์หน้าตึงด้วยความโกรธ “พูดดีๆหน่อย ฉันมาหาเธอนั่นแหล่ะ”
นริศรางง “จะมาด่าว่าอะไรฉันอีก”
“เปล่า...ฉันจะมาบอกว่า วันนี้เธอทำดี” ภูชิชย์ชม
“นี่คุณชมฉันเหรอ”
“ฉันน่ะมีน้ำใจนักกีฬาพอ เมื่อกี้ฉันเห็นแล้วว่าสิ่งที่เธอทำมันดีจริงๆ คนงานทุกคนชอบในสิ่งที่เธอทำ ที่จริงฉันก็ชอบนะแต่ฉันดุเธอเพราะฉันเป็นห่วง.....คือ...ฉันห่วงว่าทุกคนจะเป็นอันตราย”
“งั้นฉันก็ขอบคุณนะคะที่พ่อเลี้ยงเข้าใจ”
ภูชิชย์กับนริศราเผลอจ้องตากันพักหนึ่ง
“เอ่อ...ฉันไปอาบน้ำนะคะ” นริศราขอตัว
“เดี๋ยวสิ ยังมีอีกเรื่อง” ภูชิชย์เรียกไว้ นริศราตั้งใจรอฟัง “ที่ฉันเคยบอกว่าจะตัดเงินเดือนเธอตอนที่เธอปล่อยคนงานไปกินเหล้าน่ะ ฉันจะยกเลิกนะ”
นริศรายิ้มอย่างดีใจ “ขอบคุณค่ะพ่อเลี้ยง”
“ทีงี้ละพูดเพราะเชียว”
“เอ้า...ก็ฉันทำงานเพื่อนเงินนี่....คะ”
พูดจบนริศราก็หันหลังเดินไปอย่างอารมณ์ดี เธอฮัมเพลงไปตามทางเดินไปห้องน้ำ ภูชิชย์มองตามแล้วเผลอยิ้ม
“แอบติงต๊องเหมือนกันแฮะ ยัยบ๊อง”

สุพัฒนานั่งกินอาหารอยู่ที่ห้องรับประทานอาหารที่บ้านภูชิชย์ โดยมีบัวเกี๋ยงคอยดูแลไม่ห่างกาย
ทั้งคู่ได้ยินเสียงรถภูชิชย์แล่นมาจอด บัวเกี๋ยงมีท่าทางดีใจ
“พ่อเลี้ยงมาแล้วค่ะ”
สุพัฒนาโกรธจนมือสั่น เธอวางช้อนทันที ภูชิชย์เดินเข้าห้องอาหารมาพร้อมรอยยิ้ม เขาเดินมาหาน้องสาวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ
“พี่กลับมาทานข้าวกับคุณเล็กแล้วครับ”
สุพัฒนาตบโต๊ะด้วยความโกรธ
“ทำไมไม่พามันแวะทานข้าวเลยล่ะคะ”
“คุณเล็ก..”ภูชิชย์เสียใจ
“พี่ภู บอกคุณเล็กมาดีกว่า พี่ภูเห็นนังนิดมันดีกว่าน้องตัวเองใช่ไหม”
“คุณเล็กไม่ใช่ใครดีกว่าใคร แต่นี่มันชีวิตคนของเรานะ ต่อให้เป็นใครในไร่ขับรถออกไปแบบนั้นพี่ก็ต้องตามไปดู”
“แต่คุณเล็กไม่ชอบ”
“พี่เสียใจ เรื่องใหญ่แบบนี้พี่คงตามใจคุณเล็กไม่ได้”
สุพัฒนาตวาด “พี่ภู”
ภูชิชย์เดินหน้าเครียดออกจากห้องรับประทานอาหารไปทันที สุพัฒนาอารมณ์เสียทุบโต๊ะและขว้างจานข้าวจนตกแตกกระจาย บัวเกี๋ยงต้องวิ่งไปหลบอยู่ที่มุมห้อง

นุ้ยกับนุ่นนั่งเล่นกันอยู่ที่มุมหนึ่งบริเวณล็อบบี้ของโรงแรม ลัคนากับลาวัลย์นั่งคุยกันอยู่ที่โซฟาซึ่งอยู่ห่างออกมา ลัคนาได้ทราบเรื่องจากน้องสาวก็มีสีหน้าตกใจ
“ยัยนิดน่ะเหรอ เป็นผู้จัดการไร่ของคนที่แกชอบ”
“ใช่ ท่าทางนิดเขาเท่ไม่เบานะ” ลาวัลย์บอก
“เช๊อะ ก็คนงานดีๆนั่นแหล่ะ เนี่ยน่ะเหรอธุระแก”
“ใครว่า ยังไม่ได้เริ่มสักหน่อย ที่วันมาก็อยากจะมาชวนให้พี่นาไปเยี่ยมนิดกับวัน”
“แกจะบ้าเหรอ พี่ยิ่งไม่อยากยุ่งกับเขา แล้วจะให้ไปหาเขาทำไม”
“แล้วจู่ๆจะให้วันไปสนิทสนมกับนิดเขามันก็แปลกๆนะ ร้อยวันพันปีแทบไม่เจอกัน น่าพี่นาช่วยวันหน่อยนะ”
ลัคนายิ้มอย่างรู้ทัน “แกอยากได้พ่อเลี้ยงภูชิชย์ใช่ไหม ไหนตอนแรกทำเป็นมีคุณธรรมบอกเขามีแฟนแล้ว....ไม่อยากยุ่ง”
“ก็ตอนนั้นมันไม่มีลู่ทางนี่ แต่ตอนนี้วันมีสะพานอย่างนิด ก็ควรลองดูไม่ใช่เหรอ”
“ได้...พี่จะช่วยแก แต่ต้องเอานุ้ยกับนุ่นกลับกรุงเทพฯไปฝากพี่ใหญ่เลี้ยงก่อน แล้วพี่จะกลับมาหาแก”
ลาวัลย์ยิ้มมีความหวัง

ราตรีกระจายตัวทั่วเมืองกรุง มัลลิกาในชุดสวยเดินอย่างสง่าเข้ามาที่เคาน์เตอร์ของคอนโดที่วิทวัสอยู่
“สวัสดีค่ะ ฉันมัลลิกาเป็นเลขาคุณวิทวัสห้อง 127/2ค่ะ คุณวิทวัสสั่งให้เอาแฟ้มงานมาส่งให้ค่ะ”
พนักงานคอนโดมองหน้ามัลลิกาอย่างงงๆ ก่อนจะพูดขึ้น
“คุณวิทวัสยังไม่เข้ามาค่ะ”
“ยังไม่มา” มัลลิกาแสร้งยิ้ม “ตายจริง จะทำยังไงดีเนี่ย ไม่เป็นไรนั่งรอก็ได้ค่ะ”
“อย่ารอเลยค่ะ เพราะปกติคุณวิทวัสก็ไม่ค่อยมาพักที่นี่”
มัลลิกาเริ่มงง “อ้าว....คุณวัสไม่ได้อยู่ที่นี่เหรอคะ”
มัลลิกาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
อ่านต่อหน้าที่ 2




รักประกาศิต ตอนที่ 7 (ต่อ)


สุพัฒนาเดินวนไปวนมาพร้อมกัดเล็บด้วยความเครียดอยู่ในห้องนอน บัวเกี๋ยงนั่งมองเจ้านายอยู่ที่ข้างเตียง

“คุณเล็กคะ ใจเย็นๆเถอะค่ะ” บัวเกี๋ยงพูด
“ใจเย็นบ้าอะไร แกไม่เห็นเหรอว่าพี่ภูไม่ฟังฉันน่ะ” สุพัฒนาตะคอกใส่
“บัวเกี๋ยงเห็นค่ะ บัวเกี๋ยงยังเจ็บแทนคุณเล็กเลย นังนิดนี่มันเก่งนะคะที่ทำให้พี่น้องแตกกันได้”
“นังนิด ฉันอยากจะฆ่าแกนัก”
สุพัฒนาพูดอย่างโมโหแล้วก็เริ่มหอบจนตัวสั่น บัวเกี๋ยงรีบเข้ามาประคองเจ้านายแล้วพาไปนั่งที่เตียง ก่อนจะแอบยิ้มร้าย
“ต่อไปนี้คุณเล็กต้องอย่ายอมให้นังนิดมันมารังแกได้อีกนะคะ” บัวเกี๋ยงใส่ไฟ
ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของสุพัฒนาก็ดังขึ้น บัวเกี๋ยงรีบวิ่งไปหยิบมาดูแล้วก็ต้องยืนงง
“ใครโทรมา” สุพัฒนาถาม
“ไม่ทราบค่ะ ชื่อภาษาฝรั่ง”
บัวเกี๋ยงตอบแล้วก็ส่งโทรศัพท์ให้สุพัฒนากดรับ สุพัฒนารู้ว่าเป็นเพื่อนจึงระบายอารมณ์ใส่ทันที
“ว่าไงมอลลี่ มีอะไร คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่”
มัลลิกายืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่มุมหนึ่งซึ่งห่างจากเคาน์เตอร์คอนโดออกมา
“อารมณ์ไม่ดีก็ต้องฟังมอลลี่ เพราะมีเรื่องด่วน” มัลลิกาพูดด้วยความหงุดหงิด
“มีอะไรก็ว่ามา”
“มอลลี่อยู่ที่คอนโดพี่วัส พนักงานบอกว่าพี่วัสเข้ามาที่นี่ครั้งสุดท้ายก็ตอนที่พี่ภูมาพัก”
“ไม่จริง ถ้าไม่อยู่ที่นั่นพี่วัสจะไปอยู่ไหน”
“อันนี้คุณเล็กต้องไปถามพี่ชายคุณเล็กเองนะ อาจจะไปแอบซื้อบ้านอยู่กับใครก็ได้นี่”
สุพัฒนานิ่งอึ้งมือสั่นแล้วขว้างโทรศัพท์ทิ้งทันที ก่อนจะกรี๊ดออกมาสุดเสียง บัวเกี๋ยงค่อยๆถอยห่างออกมาเพราะกลัวถูกลูกหลง

เช้าวันใหม่ นริศราเดินดูสมุดบัญชีในขณะที่เดินออกมาจากธนาคาร เธอเห็นตัวเลขในสมุดก็หยุดยิ้มปลาบปลื้ม
“ถ้าเราไม่ใช้เลยสักบาท ทำสักปีหรือปีครึ่ง ก็คงมีค่าตั๋วค่าลงทะเบียน แล้วที่เหลือก็ไปหาทุน” นริศรายิ้ม “คุณพ่อคะ นิดจะต้องเรียนให้จบค่ะ”
นริศราเดินอย่างอารมณ์ดีไปที่รถ แล้วก็ก้าวขึ้นไปนั่งก่อนจะขับออกไป

นิพนธ์เริ่มเอาต้นไม้ที่มีดอกสวยซึ่งวางอยู่ลงดินบนแปลงดอกไม้ของสุพัฒนา สักพักรถของนริศราก็แล่นเข้ามาจอด นริศรารีบลงจากรถมายืนมองอย่างงงๆ นิพนธ์หันไปเห็นก็ยิ้มให้
“นี่คุณนิพนธ์ทำเองหมดเลยเหรอคะ” นริศราถามด้วยความแปลกใจ
“ครับ บางทีผมว่าไม่รู้จะทำอะไรก็เลยมาทำสวนนี่” นิพนธ์ตอบ
นริศราหน้าเสีย “นิดขอโทษค่ะ นิดนี่แย่จังเลย เป็นคนอยากทำแต่กลายเป็นคุณนิพนธ์ต้องมาลำบาก”
“ไม่หรอกครับ ผมถือเป็นการออกกำลังกายด้วย ให้นั่งทำงานที่โต๊ะอย่างเดียวมันไม่ใช่ตัวผม”
“ขอบคุณนะคะคุณนิพนธ์ที่พูดให้นิดรู้สึกดีขึ้น แต่นิดก็ยังรู้สึกแย่เหมือนเดิม”
นิพนธ์ยิ้ม “อย่าคิดมากเลยครับ ผมกะว่าจะขอคุณนิดดูแลแปลงดอกไม้นี่แทน คุณนิดจะได้ดูแลแปลงกาแฟของคุณนิดได้เต็มที่ แบบนี้ดีไหมครับ”
“แต่ว่า....” นริศราอ้ำอึ้ง
“ตกลงว่าเราแบ่งงานกันนะครับ ผมขอร้อง”
“ก็ได้ค่ะ ขอบคุณๆนิพนธ์มากนะคะ”
นิพนธ์ยิ้มให้แล้วหันไปพรวนดินต่อ นริศราเดินเข้ามานั่งใกล้ๆ
“แล้วทำไมคุณนิพนธ์เลือกมาออกกำลังกายกับสวนดอกไม้ล่ะคะ”
นิพนธ์ชะงักไปเล็กน้อยแต่ก็รีบยิ้มกลบเกลื่อนก่อนจะตอบ
“เอ่อ...คือผมชอบที่นี่มันสงบดีครับ ไม่ค่อยมีใครมายุ่ง”
นริศราพยักหน้าด้วยความเข้าใจ

ภูชิชย์กับเจ้าทิพย์ดาราเดินคุยกันมาตามทางเดินในไร่องุ่น
“กิติศัพท์เรื่องเมื่อวานของคุณนิด คนงานของไร่ภูเอาไปเล่าให้คนของน้อยฟังด้วยนะคะ น่าชื่นชมเธอนะคะ” เจ้าทิพย์ดาราเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าก็เลยจะมาหายัยนั่น แทนที่จะเป็นผม”
เจ้าทิพย์ดาราขำที่เห็นภูชิชย์หน้างอ
“แน่ะ ทำเป็นงอน ก็เพื่อนหญิงพลังหญิงนี่คะ โดยเฉพาะคุณนิดเธอมีอะไรให้น้อยทึ่งอยู่เรื่อย ไม่ปลื้มคุณนิดก็ไม่รู้จะปลื้มใครแล้วล่ะค่ะ”
“อวยกันเข้าไป”
ทันใดนั้นทั้งสองก็ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ดังกระหึ่มจึงหันไปดู ทั้งสองเห็นพิสุทธิ์ในชุดหนังสีดำพร้อมหมวกกันน็อคขี่รถแล่นมาจอดข้างๆ พิสุทธิ์ถอดหมวกกันน็อคออกแล้วยิ้มให้ทั้งคู่
“ผมมาหานิดน่ะครับ ไม่ทราบว่าเขาอยู่ที่ไหนครับ”
ภูชิชย์มองพิสุทธิ์แล้วแอบบ่นพึมพำ
“มาเสริมทีมอีกคนแล้ว”
พิสุทธิ์กับเจ้าทิพย์ดารามองภูชิชย์อย่างงงๆ
“พ่อเลี้ยงว่าอะไรนะครับ” พิสุทธิ์ถาม
“อ๋อ...เขาก็อยู่ในไร่นี่แหล่ะครับ ลองหาๆดูแล้วกัน” ภูชิชย์ตอบส่งๆ
เจ้าทิพย์ดาราตีแขนภูชิชย์ “ดูตอบเข้าสิ ที่เป็นพันไร่นะคะ ไม่รู้หล่ะภูต้องพาน้อยกับคุณโป๊ะไปหาคุณนิดให้เจอด้วย”
ภูชิชย์แอบถอนหายใจอย่างเซ็งๆ แล้วหันไปถามคนงานที่อยู่ใกล้ๆ
“ผู้จัดการอยู่ไหน?”

นริศรากับนิพนธ์ช่วยกันลงดอกไม้ที่แปลง สักพักภูชิชย์ เจ้าทิพย์ดารา และพิสุทธิ์ก็เดินเข้ามา พอนริศราเห็นพิสุทธิ์ก็แปลกใจ
“โป๊ะ มาได้ไง”
“ก็นิดผิดสัญญาไม่ยอมเปิดเครื่อง เราเลยต้องมาไง” พิสุทธิ์บอก
“อุ๊ย...ขอโทษ ข้าน้อยผิดไปแล้ว ต่อไปเปิดแน่นอน” นริศราพูดเย้า
เจ้าทิพย์ดาราแอบกระซิบกับภูชิชย์
“คุณนิดกับคุณโป๊ะนี่น่ารักดีนะคะ”
ภูชิชย์แอบเบ้ปากเพราะรู้สึกไม่ชอบหน้าพิสุทธิ์

ภูชิชย์ นริศรา เจ้าทิพย์ดารา นิพนธ์ และพิสุทธิ์มานั่งดื่มกาแฟคุยกันที่มุมร่มรื่นมุมหนึ่งในไร่ โดยที่เจ้าทิพย์ดารามานั่งข้างๆ นริศรา เธอเอ่ยชมนริศราไม่หยุด
“คุณนิดนี่เก่งจริงๆนะคะ ขนาดน้อยเป็นคนที่นี่ ยังไม่กล้าขับรถตอนฝนตกหนักแบบนั้นเลย”
“ไม่ใช่แค่ขับได้นะครับ ขนาดรถติดหล่มเกือบตกเขา คุณนิดก็ยังแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างดีเลย” นิพนธ์เสริม
“นิดไม่ได้เก่งหรอกค่ะ แต่ความจำเป็นมันบังคับ” นริศราถ่อมตัว
“เอาละค่ะ วันนี้น้อยคงมากวนคุณนิดแค่นี้ เดี๋ยวต้องไปธุระอีก”
“ไว้ว่างๆนิดจะไปหาที่ไร่นะคะ” นริศราบอก
“มาสักทีสิคะ น้อยรอต้อนรับอยู่นานแล้ว คุณโป๊ะ คุณนิพนธ์ด้วยนะคะ”
นิพนธ์กับพิสุทธิ์พยักหน้ารับ เจ้าทิพย์ดาราลุกขึ้นแต่หันไปเห็นภูชิชย์ยังคงนั่งอยู่
“ภูคะ น้อยจะไปแล้ว”
“เอ่อ...ไปสิครับ”
นิพนธ์ลุกขึ้นทำท่าจะเดินไปด้วย ภูชิชย์มองนิพนธ์อย่างงงๆ เพราะอยากให้นิพนธ์นั่งเป็นก้างไปก่อน
“แล้วคุณจะไปไหน” ภูชิชย์ถามนิพนธ์
“ผมต้องไปตามเรื่องนักศึกษาฝึกงานกับทางจังหวัดครับ เห็นว่าจะส่งวันเดินทางมาวันนี้ครับ”
“อ้าวเหรอ ผมนึกว่าถ้าไม่มีงานรีบจะนั่งเล่นไปก่อนก็ได้ นั่งไปเถอะ นั่งนานๆก็ได้”
นิพนธ์มองภูชิชย์อย่างงงๆ “วันนี้พ่อเลี้ยงใจดีนะครับ แต่ไม่ดีกว่า ผมขอไปทำงานให้เสร็จก่อนแล้วกันครับ”
“งั้นก็ไปกันเถอะค่ะ คุณนิดจะได้คุยกับคุณโป๊ะบ้าง”
เจ้าทิพย์ดาราพูดแล้วรีบดึงแขนภูชิชย์ให้เดินออกไป นิพนธ์เดินตามไป
“ที่นี้ก็เหลือคุณเพื่อนสุดหล่อแล้ว จะกลับเมื่อไหร่จ๊ะ นิดจะได้ทำงาน” นริศราถาม
“โห...มาตั้งไกล จะไล่ซะแล้ว” พิสุทธิ์ตัดพ้อ
“นี่ ถ้านิดมานั่งคุยกับโป๊ะทั้งวัน นิดก็โดนไล่ออกสิ ไม่เห็นรังสีอำมหิตจากตาพ่อเลี้ยงเหรอ”
“เราไม่ได้มาคุยทั้งวัน แต่ไหนๆก็มาแล้วขออยู่ดูนิดทำงานหน่อยได้ไหมล่ะ”
“ได้เลย วันนี้เกษตรกรนริศราพาทัวร์เต็มที่”
พิสุทธิ์ยิ้มด้วยความดีใจแล้วเดินไปกับนริศรา

ภูชิชย์เดินคุยกับเจ้าทิพย์ดารามาตามทางเดินภายในไร่
“ไหนเจ้าว่าจะมาอยู่กับยัยนิดทั้งวัน แล้วทำไมไปบอกเขาว่ามีธุระล่ะครับ” ภูชิชย์ถาม
“แหม...จะให้น้อยไปเป็น กขค. เขาเหรอคะภู”
“ก็เลยส่งเสริมซะงั้น ดีนะครับจู่ๆก็สนับสนุนให้พนักงานของผมอู้งาน”
“ไม่เอาล่ะค่ะ ถ้าภูเกเรแบบนี้น้อยไม่คุยด้วยแล้ว”
“นี่ผมกลายเป็นคนไม่ดีไปแล้วเหรอครับ”
“ใช่ ก็อยากมาว่าไอดอลของน้อยทำไม”
“โห วันหลังเจ้ามาไร่ผมก็เอาป้ายไฟชื่อยัยนิดนั่นติดมาด้วยนะครับ” ภูชิชย์แซว
เจ้าทิพย์ดาราทำท่าดีใจ “จริงด้วย ความคิดดีจังค่ะ น้อยไปสั่งทำวันนี้เลยดีกว่า”
“ห๊า....นี่เอาจริงเหรอเนี่ย”
“ก็อยากมาล้อทำไม เดี๋ยวนี้หัดประชดประชันน้อยนะ”
พูดจบเจ้าทิพย์ดาราก็หยิกไปทั่วแขนของภูชิชย์ ภูชิชย์หลบเป็นพัลวันแล้วก็จับมือเจ้าทิพย์ดารา เจ้าทิพย์ดารายิ้ม “เราไม่ได้หยอกล้อเล่นกันแบบนี้นานมากเลยนะคะภู”
ภูชิชย์หยุดนิ่งแล้วคิดตาม
“มีอะไรเหรอคะภู” เจ้าทิพย์ดาราถาม
“เอ่อ...ผมก็กำลังคิดเหมือนเจ้าว่าเราไม่ได้ล้อเล่นแบบนี้นานมาก”
“น้อยมีความสุขมากเลยนะคะ”
เจ้าทิพย์ดาราเกาะแขนภูชิชย์แล้วซบกับแขนของเขาพร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุข ภูชิชย์แอบมองเจ้าทิพย์ดาราด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“วันนี้เจ้าอยากไปไหนไหมครับ ผมจะอยู่กับเจ้าทั้งวันเลย”
“จริงนะคะ งั้นเราไปกาดคำเที่ยงกันนะคะ”
ภูชิชย์งง “กาดคำเที่ยง”

นริศราซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของพิสุทธิ์มาที่ไร่องุ่น พิสุทธิ์จอดรถแล้วทั้งสองก็ลงไปเดินดูไร่องุ่น นริศรายืนอธิบายเกี่ยวกับไร่องุ่นให้พิสุทธิ์ฟัง จากนั้นทั้งสองก็มาที่สวนลำใย ก่อนจะขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ขี่ออกไป
พอมาถึงลานตากกาแฟ นริศราอธิบายให้พิสุทธิ์เข้าใจภาพรวมแล้วชวนเดินต่อไปจนถึงฟาร์มวัว ภูชิชย์ขับรถมาจอดซุ่มดูทั้งคู่อยู่ห่างๆ สักพักเขาก็ขับรถออกไป
มอเตอร์ไซค์ของพิสุทธิ์แล่นมาจอดที่โรงอาหาร นริศราพาพิสุทธิ์เดินเข้ามาในโรงอาหาร เหล่าคนงานมองแล้วก็ซุบซิบกัน
แม่อุ้ย ลุงปั๋น พร และผลนั่งมองอยู่ที่โต๊ะเดียวกัน
“ใครมากับคุณนิดวะพร” แม่อุ้ยถาม
“แหม...ก็เห็นพร้อมๆกันอ่ะแม่อุ้ย จะรู้ไหมล่ะ”
“สงสัยแฟนคุณนิด” ลุงปั๋นพูดขึ้น
ผลหูผึ่งมองตามทันทีแล้วเขาก็เบ้ปากก่อนจะแสยะยิ้มอย่างร้ายกาจออกมา
นริศราพาพิสุทธิ์มาถึงโต๊ะที่พวกแม่อุ้ยนั่งกันอยู่
“แม่อุ้ย ฉันพาเพื่อนมาฝากท้องด้วยคนนะจ๊ะ”
“แฟนใช่ไหมคะ” แม่อุ้ยชิงถาม
นริศราตกใจ “ไม่ใช่ แค่เพื่อนน่ะ”
พรเขิน “เพื่อนคุณนิดหล่อจังค่ะ”
นริศรากับพิสุทธิ์ถึงกับหัวเราะเพราะขำพร ผลหมั่นไส้ถือจานลุกขึ้นเดินออกไป
“พอดีเลย งั้นนั่งด้วยกันนะครับคุณนิด” ลุงปั๋นชวน
นริศรากับพิสุทธิ์นั่งลงร่วมโต๊ะแม่อุ้ย ผลเอาจานวางลงในที่เก็บจานแล้วหันไปมองอย่างไม่พอใจ บัวเกี๋ยงเดินเข้ามาหาผล
“ใครน่ะพี่ผล”
“คุณนิดบอกว่าเพื่อน แต่พี่ว่าผัว” ผลตอบอย่างเคืองๆ
“ต๊าย มีผัวแล้วเหรอ” บัวเกี๋ยงร้องอย่างดีใจ
“อย่าเพิ่งดีใจไป คุณนิดเขาอาจจะนิสัยเหมือนเอ็งก็ได้ มีผัวแล้วแต่อยากจับพ่อเลี้ยง”
บัวเกี๋ยงได้ยินก็ถึงกับอึ้ง ผลมองบัวเกี๋ยงแล้วอารมณ์เสียเดินออกไปทันที บัวเกี๋ยงมองไปที่นริศราด้วยความหมั่นไส้
“ก็ลองมาแย่งดูสิ” บัวเกี๋ยงพูดกับตัวเอง

วิทวัสกำลังนั่งทำงานอยู่ในห้องทำงานของตัวเอง จู่ๆ มัลลิกาก็เดินถือโทรศัพท์มือถือเข้ามาในลักษณะเหมือนคุยกับใครอยู่
“สวัสดีตอนสิบเอ็ดโมงค่ะ” มัลลิกาผละจากหูโทรศัพท์มาทักวิทวัส
วิทวัสเหลือบมองแล้วทำงานต่อ
“ไม่ถามเหรอคะว่าทำไมวันนี้มอลลีมาสาย”
“ผมจะถามถ้าคุณมาเช้า”
มัลลิกาค้อน “คือเมื่อคืนมอลลี่ไปรอพี่วัสที่คอนโดฯค่ะ”
วิทวัสชะงักมองมัลลิกาด้วยความโกรธ
“นี่มันเกินไปแล้วนะ”
มัลลิกาส่งโทรศัพท์ให้วิทวัส “คนที่จะบอกว่าใครทำเกินไปอยู่ในสายแล้วค่ะ”
วิทวัสมองหน้าจอโทรศัพท์จึงเห็นชื่อขึ้นว่าคุณเล็ก

มัลลิกาเดินยิ้มออกมาจากห้องของวิทวัส
“ขอโทษนะคะพี่วัสมอลลี่ทำไปเพราะรักค่ะ”
มัลลิกาเดินไปนั่งที่โต๊ะแล้วเปิดกระเป๋าหยิบแป้งขึ้นมาเติมหน้า

สุพัฒนายืนคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าโกรธจัดอยู่ในห้องรับแขก
“พี่วัส พี่วัสโกหกคุณเล็ก โกหกพี่ภู พี่วัสมีผู้หญิงใช่ไหม บอกมาเดี๋ยวนี้”
วิทวัสนั่งคุยโทรศัพท์กับน้องสาวอยู่ที่ห้องทำงาน
“พี่ไม่มีอะไรจะบอก”
“พี่วัส นี่พี่วัสยอมรับแล้วเหรอว่าพี่วัสแอบมีผู้หญิง นังนิดใช่ไหม พี่วัสซื้อบ้านอยู่กับมันใช่ไหม”
วิทวัสเสียงเข้ม “คุณเล็ก....พี่ไม่มีใครทั้งนั้น ยิ่งคุณนิดยิ่งไม่เกี่ยวเข้าไปใหญ่”
“คุณเล็กไม่เชื่อ พี่วัสโอ๋มันขนาดนี้ทำไมจะไม่เกี่ยว”
“คุณเล็ก พี่ว่าคุณเล็กเลิกคิดเรื่องพวกนี้ แล้วกลับมารักษาตัวที่นี่ดีกว่า เพราะรู้สึกอาการจะลุกลามมากขึ้นทุกวันนะ”
สุพัฒนากรี๊ดลั่นจนวิทวัสต้องเอาโทรศัพท์ออกห่าง
“พี่วัส ไอ้พี่บ้า พี่วัสน่ะแหล่ะบ้า”
สุพัฒนาจะอ้าปากว่าต่อแต่วิทวัสกดตัดสายไปก่อน
“พี่วัส...พี่วัส กลับมาคุยกันก่อน พี่วัส”

มัลลิกานั่งเติมลิปสติกที่ปากอยู่ที่โต๊ะ วิทวัสเปิดประตูออกมา มัลลิการีบเก็บเครื่องสำอางก์แล้วยิ้มรับ
“เป็นยังไงบ้างคะ พี่วัสสารภาพอะไรกับคุณเล็กบอกให้มอลลี่รู้บ้างสิคะ”
วิทวัสจ้องหน้ามัลลิกานิ่ง แล้ววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ “ถ้ายังตามคุกคามชีวิตผม คุณจะเป็นเลขาคนแรกที่ถูกเจ้านายแจ้งตำรวจจับ”
มัลลิกาอ้าปากค้างที่ได้ยินเช่นนั้น
“คุณยังไม่ผ่านโปร ผมจะให้เวลาปรับปรุงตัวอีกห้าวัน ถ้ายังไม่เลิกทำตัวนักสืบแล้วหันกลับมาทำงาน ผมจะไล่คุณออก”
มัลลิกาจ้องหน้าวิทวัสด้วยความโกรธ วิทวัสประสานสายตาสู้
“แต่มอลลี่เป็นเพื่อนคุณเล็กนะคะ แล้วคุณพ่อมอลลี่ก็ใหญ่มากด้วย”
“งั้นก็เรียกพ่อคุณมาเลย ผมจะได้ถามท่านว่าส่งคุณไปเรียนอังกฤษทำไม สูญเปล่าทางการศึกษาชัดๆ”
พูดจบวิทวัสก็เดินเข้าห้องไป มัลลิกาอยากจะกรี๊ดแต่ก็ต้องเอาสองมือปิดปากตัวเองไว้

ร้านขายต้นไม้และไม้ดอกวางตัวอยู่ทั่วกาดคำเที่ยง ภูชิชย์วางกระถางดอกไม้ใส่หลังรถกระบะที่มีไม้ดอกไม้ประดับอยู่เต็มไปหมด เจ้าทิพย์ดารายืนดูไม้ดอกที่เรียงรายอย่างมีความสุข
“ที่จริงเจ้าไม่ต้องลำบากซื้อดอกไม้พวกนี้ก็ได้นะครับ” ภูชิชย์ว่า
“ไม่ได้หรอกค่ะ น้อยรู้สึกผิดที่เคยออกปากว่าจะช่วยทำสวนดอกไม้ให้คุณเล็ก แต่ก็ไม่เคยเข้าไปทำเลย ขอน้อยช่วยซื้อพันธ์ดอกไม้ไปให้คุณนิพนธ์แกลงเถอะนะคะ”
“เจ้าจะรู้สึกผิดทำไมครับ ยัยคนที่อยากทำคนแรกผมไม่เห็นจะเดือดร้อนเลย” ภูชิชย์แขวะนริศรา
“แหม...ก็คุณนิดเธองานเยอะภูก็รู้ แล้วนี่ยังจะเพิ่มโปรเจ็คปลูกกาแฟปลอดสารพิษอีก ยังไงเธอก็ไม่มีเวลาหรอกค่ะ”
“ฮึ...แต่มีเวลานัดผู้ชายมาไร่”
“ภูอ่ะ...ว่าคุณนิดอีกแล้วนะไ
ภูชิชย์จ้องหน้าเจ้าทิพย์ดาราด้วยแววตาสงสัย
เจ้าทิพย์ดารางง “มีอะไรเหรอคะ”
“เจ้าแอบเป็นดี้หรือเปล่าครับ เห็นออกโรงปกป้องยัยนั่นจัง”
เจ้าทิพย์ดาราตัดบท “ไปเถอะค่ะ น้อยหิวแล้ว”
“นั่นไงไม่ตอบชัวร์เลย”
เจ้าทิพย์ดาราอมยิ้มเจ้าเล่ห์ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของภูชิชย์ก็ดังขึ้น ภูชิชย์หยิบขึ้นมาดูเห็นเป็นชื่อคุณเล็ก เขาก็รีบกดรับทันที
“ว่าไงเหรอคุณเล็ก...” ภูชิชย์หน้าเสียด้วยความตกใจ “อะไรนะ.........คุณเล็กใจเย็นๆก่อนนะ.....เอ่อ คือพี่มาธุระที่เชียงใหม่อาจจะกลับ.....ฮัลโหลๆ คุณเล็ก”
ภูชิชย์กดวางสายแล้วก็มีสีหน้าไม่ดี เขามองไปเห็นเจ้าทิพย์ดารามองหน้าเหมือนรอคำตอบอยู่
ภูชิชย์ถอนใจ “คุณเล็กกับนายวัสทะเลาะกันครับ”
เจ้าทิพย์ดารายิ้ม “งั้นเรารีบกลับเถอะค่ะ”
“ผมขอโทษนะครับเจ้า”
“ไม่เป็นไรค่ะ ภูรีบกลับไปหาคุณเล็กเถอะ”
ภูชิชย์ยิ้มขอบคุณเจ้าทิพย์ดารา

เวลาผ่านไป ภูชิชย์กลับมานั่งคุยกับสุพัฒนาที่โซฟา สุพัฒนาดวยวายด้วยมีสีหน้าที่โมโหสุดขีด
“พี่ภูต้องจัดการเรื่องนี้นะคะ คุณเล็กไม่ยอมให้พี่วัสเอานังนิดมาผลาญสมบัติเราเด็ดขาด”
“ใจเย็นๆก่อนคุณเล็ก บางทีมันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้” ภูชิชย์ปลอบ
สุพัฒนาตวาด “นี่พี่ภูเข้าข้างพี่วัสเหรอ ใช่สิ เข้าใจกันนี่ พี่ภูก็คงชอบนังนิดด้วยใช่ไหม”
“คุณเล็ก ไปกันใหญ่แล้ว”
“ก็มันจริงไหมล่ะ ตอนนี้คุณเล็กเหมือนหมาหัวเน่า ทั้งพี่ภูพี่วัสต่างก็มีคนอื่นกันหมด ต่อไปถ้าคุณเล็กตายก็คงไม่มีพี่คนไหนมาสนใจ”
สุพัฒนากวาดของที่อยู่บนโต๊ะรับแขกลงพื้นด้วยความโกรธจนภูชิชย์ต้องเข้าไปกอด
“คุณเล็กหยุดเถอะพี่ขอร้อง เอาเป็นว่าพี่จะจัดการเรื่องนี้ให้นะ”
สุพัฒนาหยุดอาละวาดแล้วหันมายิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“จริงๆนะคะพี่ภู แล้วก็เรื่องของพี่ภูกับนังเจ้าน้อยด้วยนะคะ พี่ต้องเลิกกับมัน ส่วนนังนิดก็ห้ามเข้าใกล้มันอีกนะคะ คุณเล็กไม่อยากเสียพี่ภูกับพี่วัสไป แล้วคุณเล็กจะแนะนำเพื่อนคุณเล็กที่สวยๆรวยๆ สูงส่งกว่านังนิดกับเจ้าน้อยให้พี่ภูนะคะ”
ภูชิชย์ถอนใจ “เอาเป็นว่าพี่จะคุยกับนายวัสก่อนเรื่องอื่นไว้ว่ากันที่หลัง”
ภูชิชย์เดินออกไปจากห้อง สุพัฒนามองตามแล้วก็ยิ้มด้วยความดีใจ
“ยังไงคุณเล็กก็ต้องหาผู้หญิงที่เหมาะสมให้พี่ภูกับพี่วัสค่ะ”

วิทวัสนั่งคุยกับรัชนิดาในห้องทำงานของรัชนิดาที่ธนาคาร
“ตายแล้วนี่ทำกันถึงขนาดนี้เลยเหรอคะ” รัชนิดาตกใจ เธอนั่งพิงเก้าอี้ด้วยสีหน้าเครียด
“ถ้าดาไม่สบายใจ ผมว่าเราย้ายครอบครัวไปอยู่เมืองนอกกันเลยไหม” วิทวัสเสนอ
รัชนิดาตกใจ “ไปเมืองนอกเหรอคะ”
“ใช่ ผมจะจัดการทุกอย่างเอง” วิทวัสบอก
“ถ้าคุณไปแล้วบริษัทของครอบครัวคุณล่ะคะ”
วิทวัสมีสีหน้าสลด “ก็คงต้องให้พี่ภูหรือคุณเล็กดู”
“คุณวัสคะ ดาเองก็อยากจะหนีเรื่องวุ่นวายพวกนี้ แต่เราต้องคิดให้รอบคอบนะคะ ตอนนี้คุณเล็กก็ป่วยไม่ได้ทำงาน ถ้าคุณไปอีกคน ทุกอย่างก็จะตกหนักที่คุณภู คุณวัสคิดดูให้ดีนะคะ”
วิทวัสนิ่งคิด
“แล้วถ้าเกิดวันหนึ่งพี่ภูกับคุณเล็กรู้เรื่องของเราล่ะ” วิทวัสถามขึ้น
รัชนิดาถอนใจ “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดาก็จะรักคุณตลอดไปค่ะ”
“ผมก็เหมือนกัน ผมจะไม่ยอมให้ใครมาแยกคุณกับลูกไปจากผมเด็ดขาด”
รัชนิดากับวิทวัสมองหน้ากันแล้วยิ้มให้กันอย่างเศร้าๆ

วิทวัสเดินออกจากธนาคารที่รัชนิดาทำงาน ระหว่างนั้นโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น วิทวัสหยิบมาดูก็ส่ายหน้าอย่างระอาใจ
“คงฟ้องจนหมดแล้วสิ” วิทวัสกดรับสาย “ครับพี่ภู”
ภูชิชย์เดินคุยโทรศัพท์อยู่ในไร่กาแฟ
“คุณเล็กบอกพี่หมดแล้ว นายมีอะไรจะพูดไหม”
“ก็อย่างที่ผมบอกคุณเล็กแหล่ะครับ ผมเช่าห้องไว้ที่ใกล้ๆบริษัท” วิทวัสบอก
“นายวัส พี่เป็นพี่นายนะ เอาเป็นว่า ถ้านายจะรักใครชอบใครพี่ไม่ว่า แต่นายต้องดูให้ดีๆ ผู้หญิงบางคนน่ะตอนเขาอยู่ใกล้นายเขาอาจจะดีเป็นทอง แต่พออยู่ห่างกันเขาอาจจะมีคนอื่นก็ได้”
“พี่ภูพูดอะไรครับผมไม่เข้าใจ”
“ก็ยัยนิดสุดที่รักของนายไง”
“นี่พี่ภูเชื่อคุณเล็กเหรอครับ”
“พี่เชื่อตาตัวเอง ตอบมาดีกว่า ที่นายไม่กลับคอนโดก็เพราะนายแอบไปซื้อบ้านอยู่กับยัยนี่แล้วใช่ไหม”
วิทวัสตกใจ “พี่ภู มันไม่ใช่อย่างที่พี่คิดนะครับ”
“ไว้นายพร้อมจะพูดความจริงเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน แต่ที่ฉันอยากบอกก็คือถ้านายเลือกผู้หญิงที่ไม่เหมาะไม่ควร พี่ก็จำเป็นจะต้องทำหน้าที่ของพี่ที่ดี เข้าใจใช่ไหม”
วิทวัสกดวางสายไปอย่างงงๆ ก่อนจะถอนหายใจด้วยความกลุ้ม “เฮ้อ...จะช่วยคุณนิดยังไงดีเนี่ย”

นริศรากับพิสุทธิ์กำลังยืนดูคนงานช่วยกันถางหญ้าพื้นที่รกร้างเพื่อเตรียมปรับพื้นที่
“โห...กว่ากาแฟจะโตจนเก็บได้ก็ 3 ปีแล้วมั้ง แสดงว่ากว่านิดจะได้กลับไปเรียนก็อีกนานน่ะสิ” พิสุทธิ์ตั้งคำถาม
“นี่โป๊ะ ถ้าเราออกไร่นี่เขาก็หาคนมาทำงานแทนเราได้ เราแค่เริ่มต้นให้เขาเท่านั้น”
พิสุทธิ์ถอนใจอย่างโล่งอก “ค่อยยังชั่วหน่อย นึกว่าจะต้องรอนาน”
นริศรายิ้ม “โป๊ะอย่ารอเราเลย โป๊ะมีโอกาสดีกว่าเราก็รีบกลับไปเรียนเถอะ”
“ไม่ล่ะ ยังไงเราก็จะรอไปพร้อมนิด” พิสุทธิ์ยืนยัน
“รู้ไหม โป๊ะเป็นเพื่อนที่ดื้อที่สุดที่เรารู้จักเลยนะ”
ทันใดนั้นภูชิชย์ก็ขับรถมาจอดแล้วลงมาหาทั้งคู่ พิสุทธิ์ยิ้มให้ด้วยความจริงใจแต่ภูชิชย์ไม่เต็มใจจะยิ้มตอบ
“ขอโทษนะครับ พอดีผมจะต้องคุยงานกับผู้จัดการของผม” ภูชิชย์พูด
“ผมต้องขอโทษมากกว่าที่มากวนนิดทั้งวัน” พิสุทธิ์หันไปพูดกับนริศรา “ไว้วันหยุดเราเจอกันนะ” พิสุทธิ์หันไปลาภูชิชย์ “ผมไปนะครับพ่อเลี้ยง”
ภูชิชย์พยักหน้ารับ พิสุทธิ์ขึ้นมอเตอร์ไซค์แล้วขี่ออกไป นริศรายืนโบกมือส่ง ภูชิชย์มองนริศราด้วยความหมั่นไส้
“ตกลงเธอจบประมงหรือป่ะเนี่ย” ภูชิชย์แขวะ
นริศรางง “พ่อเลี้ยงว่าอะไรนะคะ”
“เปล่า...เห็นจับปลาหลายมือ”
“นี่..พ่อเลี้ยง ตกลงธุระคุณคือมาหาเรื่องฉันใช่ไหม”
ภูชิชย์มองไปรอบๆ แล้วเห็นคนงานอยู่กันเยอะจึงเอ่ยชวนนริศรา
“ไปคุยทางโน้นดีกว่า”

ภูชิชย์ยืนดูพระอาทิตย์ตกดินในที่ห่างจากพื้นที่รกร้าง นริศรายืนหงุดหงิดอยู่ข้างๆ
“ตกลงพ่อเลี้ยงพาฉันมาที่นี่ทำไม มีอะไรก็พูดสักทีเถอะ”
“ตกลงเธอกับนายโป๊ะเป็นอะไรกัน”
นริศราแปลกใจ “เป็นอะไร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณ”
“เกี่ยวสิ เพราะถ้าเธอมีแฟนแล้วก็เลิกยุ่งกับนายวัสน้องชายฉัน แล้วไปมุ่งมั่นจับนายโป๊ะของเธอดีกว่า เพราะดูแล้วนายนั่นถึงจะเด็กไปหน่อย แต่ความรวยของเขาก็คงทำให้เธอสุขสบายได้”
“พ่อเลี้ยงคะ ถ้าคุณจะมาคุยเรื่องไร้สาระแบบนี้ฉันขอไปทำงานดีกว่า”
นริศราจะเดินไปแต่ภูชิชย์ดึงแขนเธอไว้ นริศราจะศอกใส่อีกครั้งแต่ภูชิชย์รู้ทันจึงจับไว้
“จำไว้นะนริศรา ลูกไม้ของเธออาจจะหลอกล่อคนอื่นได้หลายครั้ง แต่หลอกคนอย่างฉันได้แค่ครั้งเดียว”
“ฉันจะไปทำงาน” นริศราบอก
“ฉันจะปล่อยเธอถ้าเธอรับปากว่าจะไม่ยุ่งกับนายวัส”
“ฉันสาบานเลยก็ได้ถ้าคุณต้องการ”
ภูชิชย์มองนริศราอย่างอึ้งๆ
“เธอพูดจริงเหรอ” ภูชิชย์ถามย้ำ
“ฉันไม่มีวันชอบคุณวัสมากไปกว่าเจ้านายกับลูกน้อง”
นริศรายืนยันหนักแน่น ภูชิชย์จึงยอมปล่อยนริศรา
“หวังว่าเราคงจะไม่ต้องมาคุยเรื่องนี้กันอีกนะคะ”
นริศราจะเดินไปแต่ภูชิชย์เห็นงูเห่าตัวโตกำลังเลื้อยมาก็รีบเข้าไปคว้าเอวนริศราเข้ามา “ระวัง!”
นริศราตกใจ “นี่จะทำอะไรฉัน ปล่อยนะไอ้บ้า!”
นริศราดิ้นอยู่ในอ้อมกอดของภูชิชย์
“ไม่เห็นงูหรือไง” ภูชิชย์ชี้ให้ดู
นริศรามองไปก็เห็นงูเห่ากำลังเลื้อยตรงมา “กรี๊ด”

ด้วยความตกใจนริศราจึงดิ้นและหันหลังจะวิ่งหนีแต่กลับเสียหลักพาภูชิชย์ล้มไปด้วย ภูชิชย์รีบเอามือประคองหัวนริศราไว้ในอ้อมอกระหว่างที่ทั้งคู่กลิ้งตกเนินเขาลงไปด้วยกัน

อ่านต่อหน้า 3




รักประกาศิต ตอนที่ 7 (ต่อ)


ภูชิชย์กอดนริศรากลิ้งตกลงมาจากเนินเขาจนลงมากองอยู่ที่พื้น แม้จะบอบช้ำและกลิ้งจนถึงพื้นแล้ว แต่ภูชิชย์ก็ยังคงกอดนริศราไว้แน่น

นริศราซบหน้าอยู่ที่อกภูชิชย์ พอได้สติเธอก็เงยหน้ามองแล้วเห็นว่าภูชิชย์มองเธออยู่ก่อนแล้ว ทั้งสองมองตากันนิ่งสักพักแล้วนริศราก็รีบผละมาลุกขึ้นนั่ง ภูชิชย์ค่อยๆ ลุกตาม
ภูชิชย์ถามด้วยความเป็นห่วง “เธอเป็นไงมั่ง บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“เอ่อ...เปล่าค่ะ”
นริศรากับภูชิชย์ลุกขึ้นยืน ทั้งสองต่างไม่กล้าสบตากัน
ภูชิชย์รู้สึกปวดสะบักหลังทางด้านซ้ายจึงเอามือจับเพื่อจะบีบนวดแต่ก็รู้สึกเจ็บมาก พอชักมือกลับมาดูก็เห็นว่ามีเลือด
นริศราเห็นเลือดที่มือภูชิชย์ก็ตกใจ “เอ๊ะ...นั่น”
นริศราเข้าไปดูใกล้ๆ ก็เห็นว่าภูชิชย์เสื้อขาดและมีเลือดออก
“คงโดนหินหรือกิ่งไม้น่ะ” ภูชิชย์บอก
“ฉันว่ารีบกลับไปทำแผลเถอะค่ะ” นริศราแนะนำ
ภูชิชย์มองไปรอบๆ ก็เห็นกิ่งไม้ยาวตกอยู่ เขาก้มหยิบแล้วเดินกลับมาหานริศรา
“เอาไว้เผื่อเจองูอีก”
ภูชิชย์เดินนำ นริศราจะเดินกลับขึ้นเนินแต่เดินไปได้นิดหน่อยก็ลื่น ภูชิชย์รีบหันไปคว้ามือนริศราไว้ แล้วเขาก็รู้สึกเจ็บที่สะบักแต่ก็กัดฟันทนเจ็บ
“ฉันเดินเองได้ค่ะ คุณบาดเจ็บดูแลตัวเองดีกว่า”
“มาเหอะน่า หรือเธอจะไหลขึ้นไหลลงอยู่ตรงนี้ทั้งวัน”
นริศราค้อนแล้วก็ยอม ภูชิชย์จึงจูงมือนริศราเดินกลับขึ้นเนินเขาไป

คนงานกลุ่มใหญ่ที่กำลังถางหญ้าและฟันต้นไม้เพื่อปรับพื้นที่รกร้างเห็นภูชิชย์กับนริศราเดินมาในสภาพมอมแมมก็รีบวิ่งเข้ามาดู
“พ่อเลี้ยง คุณนิด ไปทำอะไรมาครับ ทำไมเป็นแบบนี้” หนานถามขึ้น
“ไม่มีอะไรหรอก อุบัติเหตุนิดหน่อย ทุกคนกลับไปทำงานเถอะ” ภูชิชย์บอก
คนงานค่อยๆ ทยอยแยกย้ายกลับไปทำงาน ภูชิชย์จะเดินไปที่รถแต่นริศราทักขึ้น
“ให้ฉันขับรถไปส่งนะคะ จะได้ทำแผลให้คุณด้วย”
“ไม่ต้องหรอก แผลแค่นี้เอง” ภูชิชย์บอก
ภูชิชย์เดินไปเปิดประตูรถแต่เขาก็รู้สึกเจ็บหลังขึ้นมาอีก นริศราเห็นอาการของภูชิชย์จึงรีบวิ่งมาหา
“คุณเดี้ยงขนาดนี้แล้วยังจะทำเก่งอีก”
ภูชิชย์ฉุน “นี่เธอกล้าว่าฉันเหรอ”
นริศราแบมือออก “กุญแจค่ะ”
ภูชิชย์จำใจส่งกุญแจรถให้นริศรา นริศณาประคองภูชิชย์ไปนั่งข้างคนขับ แล้วเธอก็วิ่งอ้อมกลับไปขึ้นด้านคนขับ ภูชิชย์มองนริศราอย่างเหยียดๆ ก่อนจะพูด
“ไม่ใช่ให้เธอทำแผลแล้วฉันเจ็บหนักกว่าเดิมนะ”
นริศรายิ้มกวน “ชาติที่แล้วฉันเป็น ฟลอเรนซ์ ไนติ้งเกล ค่ะ”
ภูชิชย์พึมพำ “ฮึ..ขี้โม้”
นริศราเชิดหน้าคล้ายจะท้าทาย ภูชิชย์มองด้วยสายตาเหยียดๆ

ภูชิชย์แหกปากร้องลั่นห้องทำงานของตัวเอง
“โอ๊ย เบาๆสิ นี่เธอแกล้งฉันหรือเปล่า?”
นริศราก้มหน้าก้มตาเช็ดแผลให้ภูชิชย์ซึ่งถอดเสื้ออยู่ด้วยแอลกอฮอลล์
“ฉันไปแกล้งคุณที่ไหนล่ะ ล้างแผลด้วยแอลกอฮอล์ลมันก็ต้องแสบนิดนึงสิ ถ้าแกล้งต้องเป็นแบบนี้”
พูดจบนริศราก็หยิบขวดทิงเจอร์ขึ้นมา ภูชิชย์เห็นก็ถึงกับหน้าเสีย
“เฮ้ย...ทิงเจอร์”
นริศราจับคอให้ภูชิชย์หันหน้าไป แล้วเธอก็เอาทิงเจอร์ราดใส่สำลีจนชุ่มจากนั้นก็แปะไปที่แผลภูชิชย์ทันที ภูชิชย์สะดุ้งแล้วร้องลั่น
“โอ๊ย....ซี้ด นี่เธอใช้ทิงเจอร์เหรอ ยาอื่นตั้งเยอะแยะทำไมไม่ใช้ อู๊ย!”
นริศราพูดกวนๆ “หายไวไวนะคะพ่อเลี้ยง”
นริศราเอาพลาสเตอร์มาปิดทับแผล ภูชิชย์หันมาจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง นริศราแกล้งทำเป็นไม่สนใจก้มหน้าก้มตาเก็บของใส่กล่องยา ภูชิชย์หยิบเสื้อมาใส่ด้วยความยากลำบาก นริศราเห็นก็เลยเดินเข้ามาจะช่วย
“ให้ฉันช่วยดีกว่าค่ะ”
ภูชิชย์เริ่มระแวง “เธอจะแกล้งอะไรฉันอีกหรือเปล่าเนี่ย”
นริศรายิ้ม “วันนี้พอแค่นี้ค่ะ”
นริศราใส่เสื้อให้ภูชิชย์จากด้านหลังแล้วเดินอ้อมมาจะติดกระดุมให้ ทั้งสองประสานสายตากันชั่วครู่แล้วต่างก็รีบหลบตากัน นริศราช่วยติดกระดุมจนเสร็จแล้วกลับไปเก็บกล่องยาต่อ
“ขอบใจนะ” ภูชิชย์พูด
“ฉันก็ต้องขอบคุณพ่อเลี้ยงเหมือนกันที่ช่วยกัน ถ้าไม่ได้คุณฉันคงแย่”
นริศรายิ้มให้ด้วยไมตรีแล้วถือกล่องยาเดินออกไป ภูชิชย์มองตามแล้วเผลออมยิ้ม

สุพัฒนาเดินไปเดินมาอย่างหงุดหงิดอยู่ในห้องรับแขก พอเห็นรถภูชิชย์แล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน เธอก็รีบเดินไปรอที่ประตูทันที แต่เมื่อเห็นสภาพของภูชิชย์เธอก็แปลกใจ
“ทำไมพี่ภูเป็นแบบนี้ล่ะคะ”
“เอ่อ...พี่เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย พี่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ” ภูชิชย์บอก
“เดี๋ยวค่ะ แล้วเรื่องพี่วัสตกลงว่ายังไง” สุพัฒนาถาม
“นายวัสก็บอกพี่เหมือนที่บอกคุณเล็ก”
“อย่าบอกว่าพี่ภูเชื่อพี่วัสนะคะ”
“พี่คุยกับนริศราแล้ว เขาก็ยืนยันว่าไม่มีอะไรกับนายวัส”
“ตอแหลทั้งคู่ละสิไม่ว่า ถ้าเราเชื่อสองคนนั่น มีหวังพี่วัสได้เอาสมบัติ พวกเราไปประเคนนังนิดหมดแน่”
สุพัฒนาเริ่มโกรธ เธอกำมือแน่น
“ตอนนี้เรายังไม่มีหลักฐานว่านายวัสกับนริศราคบกันพี่คงทำอะไรมากไม่ได้” ภูชิชย์บอก
สุพัฒนาตวาด “พี่ภูจะรอให้นังนิดมันเอาทะเบียนสมรสมาแบ่งสมบัติเราไปงั้นเหรอ ใช่สินังนิดมันสวยนี่ ทั้งพี่ภูกับพี่วัสถึงได้ชอบมัน”
“คุณเล็ก ไปกันใหญ่แล้ว ทำไมมาพาลพี่ด้วยล่ะ”
ภูชิชย์เข้าไปจับมือน้องสาวแต่สุพัฒนาสะบัดออก
“จำไว้นะคะพี่ภู ยังไงคุณเล็กก็ไม่ยอมให้พี่วัสหรือพี่ภูไปคว้าพวกหิวเงินมาปอกลอกเรา ไม่ว่าจะนังเจ้าน้อยหรือนังนิด”
สุพัฒนาจ้องหน้าภูชิชย์ด้วยความโกรธแล้วเดินออกไปจากห้องทันที

สุพัฒนาเปิดประตูเข้าห้องมาด้วยสภาพที่เต็มไปด้วยความโมโหจนมือไม้สั่น สักพักบัวเกี๋ยงก็เคาะประตูแล้วเปิดเข้ามา สุพัฒนาตวาดใส่บ่าวทันที “แกหายหัวไปไหนมา”
“บัวเกี๋ยงก็ไปดูเรื่องอาหารเย็นของคุณเล็กไงคะ แล้วบัวเกี๋ยงก็ได้ข่าวมาบอกคุณเล็กด้วยค่ะ”
“ข่าวอะไรของแกอีก”
“พวกคนงานท้ายไร่ มันมาคุยกันที่โรงอาหาร บอกว่าพ่อเลี้ยงกับนังนิดพากันไปคุยกันที่เนินเขาเป็นนานสองนานเลยค่ะ” บัวเกี๋ยงฟ้องทันที
“อะไรนะ” สุพัฒนาตกใจ
“แต่บัวเกี๋ยงว่าคงไม่ได้แค่คุยนะคะ เพราะเห็นเขาเล่าว่าหลังจากที่ กลับมาอีกทีก็เนื้อตัวมอมแมมทั้งคู่ แอบไปทำอะไรกันหรือเปล่าก็ไม่รู้นะคะ”
“มิน่า พี่ภูถึงได้กลับมาในสภาพนั้น...นังนิด แกจะจองล้างจองผลาญฉันไปถึงไหน กรี๊ด”
สุพัฒนากรี๊ดลั่นแล้วกระชากหมอนมาตีที่เตียงไม่ยั้ง บัวเกี๋ยงถอยไปยืนหลบที่มุมห้องทันที สักพักสุพัฒนาก็หันขวับมาทางบัวเกี๋ยง บัวเกี๋ยงเห็นก็กลัวจนตัวสั่น
“นิพนธ์อยู่ไหน” สุพัฒนาตะคอกถาม
“คุณนิพนธ์ไปประชุมในเมืองค่ะ” บัวเกี๋ยงตอบ
“ตามนิพนธ์มาเดี๋ยวนี้ เร็วสิ.....ฉันบอกให้ตามไง...นังบ้า เร็วๆไม่ได้ยินเหรอ”
“ค่ะๆๆ เดี๋ยวนี้ค่ะ”
สุพัฒนาตวาดบัวเกี๋ยงลั่นห้อง บัวเกี๋ยงลนลานมือไม้สั่นหยิบโทรศัพท์ออกมาแทบไม่ทัน

สุพัฒนายืนรอนิพนธ์ที่ขับรถเข้ามาจอด นิพนธ์ลงจากรถมาพร้อมกับแฟ้มใบโต สุพัฒนาใจร้อนเดินเข้าไปโวยใส่นิพนธ์ทันที
“ทำไมถึงปล่อยให้นังนิดมันไปอยู่กับพี่ภูสองคน ฉันบอกเธอแล้วใช่ไหมให้จีบมัน มัวแต่ไปทำอะไรอยู่”
“ผมทำไม่ได้ครับ ผมไม่ได้ชอบคุณนิดแบบนั้น” นิพนธ์ยืนยัน
“ไม่ชอบก็ต้องจีบ มันเป็นคำสั่ง”
นิพนธ์นิ่งเงียบ สุพัฒนาเห็นแบบนั้นก็ยิ่งฉุน
“ผู้ชายที่มีแต่ตัวอย่างเธอน่ะเหมาะจะมีเมียเป็นคนงานด้วยซ้ำ ฉันแนะนำคนอย่างนังนิดให้ ยังจะโง่ไม่เอาอีกเหรอ”
“เรื่องความรักมันไม่มีโง่มีฉลาดหรอกครับ แต่มันอยู่ที่ว่าเรามีความสุขที่จะรักใคร”
สุพัฒนาเกาหัวจนผมยุ่ง “โอ๊ย...นี่เพ้อเจ้อบ้าอะไร”
“ผมไม่ได้เพ้อเจ้อ แต่ที่คุณเล็กไม่เข้าใจเพราะคุณเล็กไม่เคยรักใครนอกจากตัวเอง”
สุพัฒนาอึ้งแล้วก็โมโหจนมือไม้สั่น ก่อนที่จะลงมือตบหน้านิพนธ์ทันที
สุพัฒนาตวาด “แกกล้าว่าฉันเหรอ ไอ้นิพนธ์”
“ขอโทษครับ แต่ผมแค่อยากเตือนคุณเล็ก”
“ไม่ต้อง หน้าที่ของแกคือทำตามฉันสั่ง ไม่ต้องสะเออะมาเตือนฉันอีก ไอ้ลูกจ้าง”
“งั้นผมก็เสียใจที่จะบอกว่าผมเป็นลูกจ้างที่ทำตามเฉพาะเรื่องงานครับ”
“ไอ้...ไอ้...นิพนธ์ ไป....จะไปไหนก็ไป ฉันเกลียดแก ไอ้บ้า ไอ้นิพนธ์บ้า”
สุพัฒนาร้องกรี๊ดไม่หยุด นิพนธ์เดินหน้าเศร้าออกไปทันที

นิพนธ์เดินเซ็งๆ มาถึงแปลงดอกไม้ของสุพัฒนา แล้วเขาก็นั่งลงที่พื้นข้างกระถางดอกไม้ที่เจ้าทิพย์ดาราซื้อให้ซึ่งวางเรียงรายเตรียมถูกนำลงดิน
นริศราเดินเข้ามาเห็นนิพนธ์นั่งอยู่เช่นนั้นเธอก็แปลกใจจึงเอ่ยทักขึ้น
“อ้าว...คุณนิพนธ์ แหม...ขยันจังเลยนะคะมาดูแปลงดอกไม้อีกแล้ว”
นิพนธ์ฝืนยิ้ม “เอ่อ...ครับ”
“นิดแวะมาดูพวกดอกไม้ที่เจ้าน้อยซื้อมาให้น่ะค่ะ อยากเห็นว่ามีอะไรบ้าง”
นริศรามองไปที่กระถางดอกไม้ที่อยู่ข้างๆ นิพนธ์ แล้วรีบเข้าไปนั่งดูใกล้ๆ ก่อนจะยิ้มด้วยความตื่นเต้น
“พวกนี้น่ะเหรอคะ....โห...สวยๆทั้งนั้นเลยนะคะ เสียดายถ้านิดไม่ติดเรื่องกาแฟที่ท้ายไร่นิดจะมาช่วยแน่นอน เอางี้ดีกว่า...ถ้านิดมีเวลาขอมาลงแรงอีกคนนะคะ”
นริศราพูดไปนั่งดูต้นไม้ไปแล้วก็รู้สึกว่าบรรยากาศเงียบพิกล พอเธอหันไปก็เห็นนิพนธ์ยืนเหม่อ
“คุณนิพนธ์” นริศราเรียก นิพนธ์สะดุ้ง “เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“เอ่อ...พอดีผมนึกได้ว่าต้องกลับไปพิมพ์รายงานประชุม ผมขอตัวก่อนนะครับ”
พูดจบนิพนธ์ก็เดินไปทันที นริศรามองอย่างสงสัยแล้วรีบเดินตามไป

นิพนธ์เดินครุ่นคิดมาเรื่อยๆ ตามทาง โดยไม่รู้ว่านริศราเดินตามมาห่างๆ สักพักหนึ่งเขาก็รู้สึกตัวจึงหันกลับไปมองก็เห็นนริศราเดินตามมาก่อนที่เธอจะหยุดยืนอยู่ห่างๆ
“คุณนิดตามผมมาทำไมครับ” นิพนธ์ถาม
“ตอนนี้มันเลิกงานแล้ว คุณนิพนธ์จะกลับไปพิมพ์รายงานอะไรคะ” นริศราถาม
นิพนธ์เงียบเพราะตอบไม่ได้
“คุณนิพนธ์คะ คุณนิพนธ์เองก็ช่วยเหลือนิดมาเยอะ ถ้ามีอะไรที่นิดพอจะช่วยได้บ้าง นิดก็อยากจะทำนะคะ”
นิพนธ์ยิ้มเศร้าๆ “ขอบคุณครับ”
“สงสัยคุณนิพนธ์คงยังไม่พร้อมจะคุยกับนิด ไม่เป็นไรค่ะ นิดจะเป็นเพื่อนที่พร้อมจะพูดคุยกับคุณนิดตลอดเวลานะคะ”
นิพนธ์พยักหน้ารับ นริศรายิ้มให้ด้วยความจริงใจ

ภูชิชย์ล้มตัวลงนอนแล้วก็รู้สึกเจ็บแผลจึงลุกขึ้นจับบริเวณแผลที่หลังแล้วก็เผลออมยิ้มออกมา เขานึกถึงตอนที่ตกเนินเขามากับนริศรา
ตอนนั้นภูชิชย์โอบกอดนริศราแล้วกลิ้งตกเนินเขาจนมากองอยู่ที่พื้น โดยที่ภูชิชย์ยังคงกอดนริศราไว้ในอ้อมอก นริศราที่ซบอยู่ที่อกของเขาเงยหน้ามองแล้วเห็นภูชิชย์ที่มองเธออยู่ก่อน ทั้งสองมองตากันสักพักแล้วนริศราก็รีบผละออกมาลุกขึ้นนั่ง ภูชิชย์ลุกขึ้นตาม

นริศรานอนลืมตาโพลงอยู่ในห้องพักของพร แล้วเธอก็ถอนหายใจแรงจนพรที่นอนอยู่ข้างๆ ตื่นขึ้น
“คุณนิดนอนไม่หลับเหรอคะ” พรงัวเงียถาม
“ฉันทำพรตื่นอีกแล้วใช่ไหม ขอโทษนะ”
“พรเห็นคุณนิดนอนพลิกตัวไปมาหลายครั้งแล้ว มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก พรนอนเถอะ”
พรหลับต่อ นริศราค่อยๆ ย่องออกไปจากห้องเพราะเกรงใจพร ภูชิชย์ที่นั่งอยู่บนเตียงก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปเช่นกัน

ดวงจันทร์ดวงโตส่องแสงนวลตา ดวงดาวสกาวเต็มท้องฟ้าที่มืดมิด นริศราออกมายืนมองดวงจันทร์แล้วก็เดินเล่นไปตามทางหน้าห้องพักคนงานหญิง
สักพักนริศราก็ได้ยินเสียงกีตาร์เบาๆ ดังลอยมาจากที่ไหนสักแห่ง เธอรู้สึกแปลกใจจึงพยายามมองหาที่มาของเสียง นริศราเดินตามเสียงกีตาร์ไปเรื่อยๆ สักพักเธอก็หยุดชะงัก
“เสียงผีมาเล่นกีตาร์หรือเปล่าเนี่ย....อึ๋ย”
นริศราเริ่มรู้สึกกลัวจึงจะเดินกลับแต่ก็ได้ยินเสียงคนฮัมเพลงคลอไปกับเสียงกีตาร์ เธอจึงหยุดเดินแล้วหันกลับไปทางเดิม ก่อนจะตัดสินใจเดินตามเสียงต่อไป

ภูชิชย์นั่งเล่นกีตาร์และฮัมเพลงอยู่ที่ศาลาริมทางเดิน นริศราเดินตามเสียงมาจนใกล้ถึงศาลาแล้วก็แอบดู เธอเห็นภูชิชย์กำลังนั่งเล่นกีตาร์และฮัมเพลงอยู่
“หืมมม...มีดนตรีในหัวใจกับเขาด้วยเหรอ”
นริศราเบ้ปากแล้วก็แอบดูต่อด้วยความรู้สึกสบายใจจนเผลอเอามือไปเกาะกิ่งไม้ กิ่งไม้หักคามือจนเกิดเสียงดัง นริศราหน้าเหวอรีบหันหลังจะเดินกลับ
“แอบดูฉันเหรอ” เสียงภูชิชย์ดังขึ้น
นริศราชะงัก เธอรีบออกจากที่ซ่อนแล้วเดินมาหาภูชิชย์ที่กำลังเกากีตาร์ด้วยท่าทีเหมือนไม่สนใจ
นริศรายิ้มแหยๆ “ฉันมาเดินเล่นแล้วได้ยินเสียงเพลงลอยมา ก็เลยเดินมาดู”
“คงไม่คิดว่าฉันเป็นผีนะ” ภูชิชย์ถาม
นริศรารีบพูดกลบเกลื่อน “ไม่คิ้ดดด ค่ะ ใครจะไปคิดแบบนั้น แหม นี่มันปี 2555 แล้วนะคะ”
ภูชิชย์ยิ้มมุมปากเพราะขำนริศรา “ฉันนอนไม่หลับก็เลยมานั่งเล่น”
“งั้นฉันไม่กวนพ่อเลี้ยงดีกว่า” นริศราจะเดินไป
“เดี๋ยวสิ” ภูชิชย์เรียก นริศราหยุดยืน “ที่เธอบอกเมื่อกลางวันน่ะ เธอพูดจริงใช่ไหม”
นริศรานึกสักครู่ก่อนจะพูด “เรื่องคุณวัสน่ะเหรอคะ” นริศราถอนใจด้วยความรำคาญ “ต่อให้พ่อเลี้ยงฆ่าฉันให้ตายฉันก็จะตอบหมือนเดิม พอใจหรือยังคะ”
“แสดงว่าตัดสินใจแล้วว่าจะจับนายโป๊ะ” ภูชิชย์สรุป
นริศราชักโกรธ “นี่พ่อเลี้ยงคะ เราจะคุยกันดีๆสักครั้งได้ไหม ฉันมาที่นี่เพื่อทำงานไม่ได้มาหาศัตรูนะคะ”
พูดจบนริศราก็เดินจ้ำหนีไปทันที
“นริศรา....เดี๋ยวสิ” ภูชิชย์พยายามเรียกไว้

นริศราเดินอย่างหงุดหงิดมาตามทางที่จะกลับห้องพัก
“คนอะไร เสียเวลาทำดีด้วยจริงๆ”
ทันใดนั้นผลก็โผล่ออกมาจากข้างทาง
นริศราตกใจ “ว๊าย!”
ผลยิ้มตาฉ่ำ เนื้อตัวของเขาคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้า “ดึกๆดื่นๆไปไหนมาครับคุณนิด”
“ฉันมาเดินเล่น แต่กำลังจะไปนอน” นริศราตอบ
ผลเดินเข้ามาใกล้นริศรา นริศราถอยห่าง
“จะรีบไปไหนครับคุณนิด อยู่คุยเป็นเพื่อนผมก่อนสิครับ”
“นี่แอบไปกินเหล้ามาหรือเปล่า” นริศราถาม
“อยากรู้ก็มาอยู่ใกล้ผมสิครับ”
ผลเดินตรงเข้ามาหานริศรา นริศราถอยหลังแล้วหันหลังจะเดินหนีแต่ไปชนเข้ากับภูชิชย์ที่ถือกีตาร์เดินมาพอดี
“มีอะไรกันหรือเปล่า” ภูชิชย์ถาม

ผลยกมือกราบลงที่พื้นห้องทำงานของภูชิชย์ ภูชิชย์กับนริศรานั่งมองอยู่บนเก้าอี้
“พ่อเลี้ยงครับ ผมผิดไปแล้ว ผมสัญญาจะไม่หนีออกไปอีกแล้วครับ” ผลบอก
“คราวที่แล้วไปมีเรื่องฉันก็ให้อภัยไปทีนึงแล้ว แต่ไม่เข็ด งั้นก็ออกไปหางานอื่นที่แกจะได้กินเหล้าทุกวันก็แล้วกัน” ภูชิชย์ดุ
ผลกลัวจนลนลานรีบคลานเข้าไปหานริศรา
“คุณนิด ช่วยผมหน่อยสิครับ ผมไม่อยากถูกไล่ออก ผมไหว้ละครับ” ผลก้มลงกราบ
นริศรานิ่งคิดเพราะตัดสินใจไม่ถูก
“พอเถอะไอ้ผล ฉันตัดสินใจแล้ว” ภูชิชย์บอก
ผลตกใจ “พ่อเลี้ยง”
“เอ่อ...พ่อเลี้ยงคะ นายผลทำผิดเป็นครั้งที่สอง เราลงโทษอย่างอื่นไม่ได้เหรอคะ” นริศราขอ
“นี่เธอใจอ่อนอีกแล้วเหรอ”
“ฉันอยากขอโอกาสให้นายผลอีกสักครั้ง” นริศราบอก
“ใช่ครับพ่อเลี้ยง ผมขอโอกาสอีกครั้งนะครับ” ผลพูดกับนริศรา “คุณนิดช่วยผมด้วยครับ”
ภูชิชย์มองหน้านริศราด้วยความหงุดหงิด
“ตกลงครั้งที่สองก็ปล่อยอีก” ภูชิชย์ถามย้ำ
“เปล่าค่ะ ครั้งนี้นายผลต้องรับโทษบ้าง” นริศราบอก
“ได้ครับ ผมยอมทุกอย่าง ขอแต่อย่าให้ผมตกงานเลย” ผลอ้อนวอน
“แล้วเธอจะให้ฉันลงโทษยังไง” ภูชิชย์ถาม
“ตัดเงินเดือนค่ะ” นริศราตอบ
ภูชิชย์มองหน้านริศราด้วยความเซ็งที่เห็นนริศราใจอ่อนอีกครั้ง

ผลเดินออกมาจากสำนักงานแล้วหยุดมองกลับไปด้วยสายตาเคียดแค้น
“ไอ้ภูชิชย์ กูไม่รวยบ้างก็ไป”
ผลเดินกุมหัวกลุ้มใจและบ่นไปตามทาง
“โอ๊ย...แล้วจะเอาเงินที่ไหนกินเหล้าเข้าบ่อนวะเนี่ย”

นริศรากับภูชิชย์ช่วยกันปิดไฟในสำนักงาน แล้วจะเดินออกจากสำนักงาน
“เดี๋ยวฉันไปส่งเธอที่บ้านพัก” ภูชิชย์บอก
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันกลับเองได้”
“หรือจะเดินไปเจอกับไอ้ผลมันอีก”
นริศราหน้าเจื่อน
ภูชิชย์กับนริศราเดินมาด้วยกันเงียบๆ ตามทางเดินกลับไปห้องพักคนงานหญิง ทั้งคู่ต่างไม่มองหน้ากัน จนมาถึงหน้าบ้านพัก
“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง” นริศราเอ่ย
นริศราจะเดินขึ้นบ้าน แต่ภูชิชย์ตัดสินใจพูดขึ้น “ฉันขอโทษนะ”
“เรื่องอะไรคะ” นริศรางง
“ที่ละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวเธอ ฉันแค่เป็นห่วงน้องชาย”
นริศรายิ้ม “ในเมื่อพ่อเลี้ยงรู้แบบนี้แล้ว ต่อไปเราคงทำงานกันราบรื่นขึ้นนะคะ”
ภูชิชย์พยักหน้ารับ นริศราเดินขึ้นบ้านพักไป ภูชิชย์หันหลังเดินกลับ แต่เมื่อเขาเดินไปได้สักพัก นริศราที่กำลังเดินจะเข้าบ้านก็หันไปมองเป็นจังหวะเดียวกับที่ภูชิชย์หันกลับมามองพอดี พอประสานสายตากันทั้งสองก็รีบหันกลับแล้วแยกย้ายกันเดินไป

เช้าวันใหม่ คนงานกลุ่มหนึ่งทยอยกันเอาจานที่กินเสร็จแล้วไปวางในอ่างสำหรับล้าง นริศรา นิพนธ์ แม่อุ้ย และลุงปั๋นนั่งกินอาหารอยู่ที่โต๊ะเดียวกัน
“แล้วคุณนิดจะไปคนเดียวเหรอคะ ฉันเป็นห่วง” แม่อุ้ยถาม
“นั่นสิครับ ให้ผมไปเป็นเพื่อนไหม” ลุงปั๋นอาสา
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ วันนี้ฝนไม่ตกฉันไปเองได้สบายมาก”
พรเดินถือถุงใส่เสื้อผ้าที่ลาวัลย์ให้มาจากโรงพยาบาลเข้ามาวางบนโต๊ะ
“นี่เสื้อผ้าที่พวกเรายืมมาจากโรงพยาบาลค่ะ พรซักรีดให้หมดแล้ว”
นริศราพูดกับนิพนธ์ “ยังไงนิดฝากคุณนิพนธ์ดูงานแป๊บนะคะ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกครับ แล้วคุณนิดบอกพ่อเลี้ยงหรือยังครับ” นิพนธ์ถาม
นิพนธืพูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงของภูชิชย์ก็ดังขึ้น “ยังไม่เห็นมีใครบอกอะไรฉันเลย”
ทุกคนหันไปมองเห็นภูชิชย์เดินเข้ามาที่โต๊ะแล้วเลิกคิ้วมองนริศราเป็นเชิงถาม

ภูชิชย์ขับรถไปตามทางที่ตรงไปโรงพยาบาลโดยมีนริศรานั่งอยู่ข้างๆ
“ดีนะ เธอจะลางานไปไหนก็ไปลาที่โรงอาหาร ทุกคนรู้หมด ยกเว้นฉัน” ภูชิชย์ว่า
“เอ่อ...ฉันขอโทษค่ะ ฉันเห็นว่าไปรับกลับแค่นี้ฉันไปเองจะดีกว่า”
“นริศรา ฝ้ายเป็นคนงานของฉัน ยังไงฉันก็ต้องไปดูแล เข้าใจไหม”
“แต่คุณนิพนธ์บอกว่าพ่อเลี้ยงมีประชุมที่จังหวัดวันนี้นี่คะ”
“ประชุมเหรอ” ภูชิชย์นึกขึ้นได้ก็อึ้งไปทันที

มัลลิกากำลังนั่งทำงานอย่างขมักเขม่นอยู่ที่โต๊ะของเธอ วิทวัสเดินเข้าบริษัทมาเห็นเข้าก็ถึงกับหยุดชะงักแล้วเหลือบดูนาฬิกาข้อมือเพื่อเช็คเวลา มัลลิกาเห็นวิทวัสแปลกใจก็ยิ้มให้
“มอร์นิ่งค่ะพี่วัส ไม่ต้องแปลกใจหรอกค่ะ นิวมอลลี่ไงคะ”
“ขอให้ทำให้ได้ตลอดนะ” วิทวัสพูด
มัลลิกาลุกขึ้นมายืนยิ้ม “มอลลี่มาคิดๆดูแล้ว มอลลี่ก็ทำสิ่งที่ไม่สมควรมาเยอะ แล้วหลายอย่างที่พี่วัสพูดก็ถูก มอลลี่ไม่อยากให้ใครมาว่ามอลลี่สูญเปล่าทางการศึกษาต่อไปนี้มอลลี่จะปรับปรุงตัวค่ะ”
มัลลิกาหยิบแฟ้มส่งให้วิทวัส
“แฟ้มการทำสัญญาส่งองุ่นกับบริษัท เบสท์ ไวน์เนอรี่ค่ะ พอดีนอนไม่หลับก็เลยทำเสร็จตั้งแต่เมื่อคืนค่ะ” มัลลิกาหยิบสมุดจดคิวขึ้นมาดู “ลูกค้าจะมาพบพี่วัสตอนสิบโมงนะคะ”
“ผมดีใจที่เห็นคุณเป็นแบบนี้นะ”
วิทวัสเอ่ยชมแล้วเดินเข้าห้องไป มัลลิกามองตามยิ้มๆ แล้วนั่งลงทำงานต่อ

ผู้ร่วมประชุมนั่งกันอยู่เต็มโต๊ะทรงรีตัวใหญ่ในห้องประชุมของหอการค้าจังหวัด จะมีก็แต่ที่นั่งข้างๆเจ้าทิพย์ดาราที่ยังว่างเปล่า
“ปีนี้กิจกรรมใหญ่ที่เหลือก็คงจะเป็นงานฤดูหนาว” ประธานหอการค้ากล่าว “กับการจัดงานหาทุนซื้อเครื่องกันหนาวให้โรงเรียนต่างๆนะครับ”
เจ้าทิพย์ดาราดูเวลาแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ
“ปกติผู้สนับสนุนหลักของทั้งสองงานก็จะเป็นไร่สุพัฒนากับไร่เทพมงคล ซึ่งปีนี้เราก็หวังว่าทั้งสองท่านจะสนับสนุนเหมือนเดิมใช่ไหมคะ” กรรมการคนหนึ่งถามขึ้น
ทุกคนในห้องปรบมือให้ เจ้าทิพย์ดาราลุกขึ้นยกมือไหว้ขอบคุณผู้ร่วมประชุม
“ทางไร่เทพมงคลมีความยินดีที่จะช่วยเหลือทั้งสองงานเหมือนเดิมค่ะ”
“เอ..แล้วไร่สุพัฒนาล่ะครับ พ่อเลี้ยงภูยังไม่มาอีกเหรอ” ประธานหอการค้าถามขึ้น
กรรมการคนหนึ่งแซวขึ้น
“หรือว่ามอบหมายให้เจ้าน้อยตัดสินใจแทนแล้วคะ เพราะอีกหน่อยก็ต้องเป็นทองแผ่นเดียวกันแล้วนี่”
ทุกคนยิ้มด้วยความเอ็นดู แต่เจ้าทิพย์ดารายิ้มรับหน้าเจื่อนๆ หน้าจอมือถือของเจ้าทิพย์ดาราที่วางอยู่บนโต๊ะสว่างขึ้น

เจ้าทิพย์ดารารีบหยิบขึ้นมาดู

อ่านต่อหน้า 4  เวลา 17.00 น.




 รักประกาศิต  ตอนที่ 7 (ต่อ)


ในเวลาเดียวกัน ภูชิชย์ชำระเงินที่แผนกการเงินของโรงพยาบาลเสร็จเรียบร้อยก็เดินไปรับยา แล้วเขาก็กดมือถือเพื่อต่อสายอีกครั้ง

เจ้าทิพย์ดาราเดินออกจากห้องประชุมแล้วกดรับสาย
“ภูคะ คุณอยู่ที่ไหน นี่เขาเริ่มประชุมไปตั้งนานแล้วนะ” เจ้าทิพย์ดาราถาม
“ผมอยู่โรงพยาบาลครับ”
เจ้าทิพย์ดาราตกใจ “ภูเป็นอะไรคะ”
“เปล่าครับ ผมมารับลูกคนงานที่เป็นไข้เลือดออก วันนี้ผมคงไปประชุมไม่ได้”
เจ้าทิพย์ดาราชะงักไป “อ๋อ...เหรอคะ ที่จริงเรื่องนี้ให้คนอื่นจัดการให้ก็น่าจะได้นี่คะ”
“นริศราเขาก็จะทำครับ แต่ผมคิดว่าผมควรทำเองมากกว่า” ภูชิชย์บอก
“ค่ะ...งั้นก็ไม่เป็นไร”
“เจ้าโกรธผมหรือเปล่าครับ”
“ช่างมันเถอะค่ะ แต่คราวหน้าถ้ามีอะไรภูบอกน้อยก่อนนะคะ อย่าหายไปแบบนี้”
“ครับ” ภูชิชย์รับคำ
“งั้นเย็นนี้เราไปทานข้าวกันนะคะ”
“ได้ครับ”
เจ้าทิพย์ดารากดวางสายแล้วก็ยิ้มด้วยความดีใจ

ลาวัลย์ช่วยแต่งชุดกลับบ้านให้ลูกของฝ้ายจนเสร็จ นริศรากับฝ้ายยืนช่วยอยู่ จากนั้นนริศราก็เอาถุงเสื้อผ้าส่งให้ลาวัลย์
“พี่วันคะ นี่เสื้อที่ยืมไปค่ะ นิดขอบคุณมากนะคะ”
“แหม..ไม่น่ารีบคืนเลย พี่ว่าจะรับคืนที่ไร่สักหน่อย” ลาวัลย์เสียดาย
“พี่วันพูดเล่นอีกแล้ว”
“พี่พูดจริงค่ะ เดี๋ยวพี่นากลับมาคราวนี้พี่ไปเยี่ยมคุณนิดแน่”
นริศรามองลาวัลย์อย่างงงๆ
“ไม่ต้องกลัวค่ะ พี่บอกแล้วเรื่องคนอื่นพี่ไม่ยุ่ง” ลาวัลย์ย้ำ
ภูชิชย์ถือถุงยากับใบเสร็จเปิดประตูเข้ามา เขาเดินมาลูบหัวลูกของฝ้ายอย่างอ่อนโยน
“อยากกลับไร่หรือยัง” ภูชิชย์ถาม ลูกของฝ้ายพยักหน้ารับ “ไป งั้นก็ไปขึ้นรถ”
ลูกของฝ้ายรีบกระโดดลงจากเตียง ทุกคนจะเดินไปแต่ลาวัลย์รีบเข้าไปหาภูชิชย์
“เอ่อ...พ่อเลี้ยงคะ”
“ครับ”
“วันยังไม่ลืมนะคะที่ว่าจะไปเที่ยวที่ไร่” ลาวัลย์บอก
“ผมก็ไม่ลืมครับ แขกของนริศราก็เหมือนแขกของผม”
พูดจบภูชิชย์ก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้นริศรา นริศราถอนหายใจด้วยความเซ็ง

ภูชิชย์ขับรถกลับมาจอดที่หน้าสำนักงาน ทุกคนลงจากรถ ภูชิชย์เอาถุงยาส่งให้ฝ้ายแล้วพูด
“อย่าลืมให้เด็กทานยาจนหมดนะ”
ฝ้ายยกมือไหว้ภูชิชย์
“ขอบคุณนะคะพ่อเลี้ยงที่อุตส่าห์มาเอง”
“ฝ้ายทำงานให้ฉัน เวลามีปัญหาก็ต้องดูแลกันสิ พาลูกไปพักผ่อนเถอะ”
ฝ้ายกับลูกหันมาไหว้ภูชิชย์กับนริศราก่อนจะพากันเดินกลับไป นริศราจะเดินไปทำงานต่อแต่ภูชิชย์รีบเดินเข้าพูดกับเธอ
“เธอดูซึมๆไปนะ กลัวอะไรหรือเปล่า”
“ฉันเหรอ กลัวอะไร” นริศราทำหน้าเหรอหรา
“ก็กลัวเรื่องที่คุณพยาบาลจะไปที่ไร่น่ะสิ”
“ฉันทำใจแล้วค่ะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด”
นริศราเดินไปขึ้นรถประจำตำแหน่งแล้วขับออกไป ภูชิชย์ยืนยิ้มอย่างมีชัยก่อนจะค่อยๆ หน้าเจื่อนไป “ฉันก็แค่อยากรู้ว่าเธอเป็นใครเท่านั้นเอง”

ภูชิชย์เดินเข้ามานั่งที่โต๊ะทำงาน นิพนธ์เดินถือกระดาษแฟกซ์มาให้
“ทางเกษตรจังหวัดแฟกซ์มาบอกครับว่ายุวเกษตรที่จะมาฝึกงานกับเราจะมาถึงอีกสองวัน” นิพนธ์บอก
ภูชิชย์ดูใบแฟ็กซ์ “วันเสาร์นี่ ถ้าไงฝากคุณไปรับด้วยนะ”
“ผมขอชวนคุณนิดไปด้วยนะครับ ลำพังผมคงพูดกับฝรั่งไม่รู้เรื่อง แต่ไม่รู้เธอจะไปหรือเปล่าเพราะเป็นวันหยุดของเธอพอดี”
“งั้นคุณก็ไปบอกเขาแล้วกัน เพิ่งเข้าไปที่ไร่นี่แหล่ะ”
“ครับ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงมอเตอร์ไซค์ของพิสุทธิ์ดังเข้ามา ภูชิชย์รีบไปมองที่หน้าต่างทันที เขาเห็นพิสุทธิ์ขี่รถมอเตอร์ไซต์ผ่านไป
ภูชิชย์เห็นนิพนธ์จะเดินออกจากห้องก็รีบเรียกไว้ “นิพนธ์”
นิพนธ์ชะงักหันกลับมา ภูชิชย์เดินเข้ามาหา
“ผมไปบอกเขาเองดีกว่า” ภูชิชย์เห็นนิพนธ์มองอย่างงงๆ จึงรีบพูด “คือผมมีเรื่องอื่นต้องคุยกับเขาด้วย”
ภูชิชย์ดึงกระดาษออกจากมือนิพนธ์แล้วเดินออกไป นิพนธ์มองตามด้วยความงง
คนงานส่วนหนึ่งกำลังขุดหลุมสำหรับลงต้นกาแฟอยู่ที่พื้นที่ว่างท้ายไร่ นริศราช่วยคนงานอีกกลุ่มขนต้นกาแฟลงจากท้ายรถ
“คุณนิดไม่ต้องทำหรอกครับพวกผมทำเอง” เป็งบอก
“ไม่ได้สิ ไร่นี้เป็นความคิดฉัน ฉันก็ต้องลงมือทำด้วย” นริศราพูด
คนงานยิ้มด้วยความปลื้มใจแล้วช่วยกันขนต้นกาแฟต่อ ระหว่างนั้นพิสุทธิ์ก็ขี่มอเตอร์ไซต์มาจอดแล้วลงมาหานริศรา
“โป๊ะ...ทำไมมาตอนนี้ล่ะ อย่าบอกว่าโดดงานนะ” นริศราถาม
“วันนี้เราฝึกงานที่ห้องอาหาร เข้าหกโมงเลิกบ่ายสอง”
“แล้วไป”
“ให้เราช่วยนะ”
“ได้สิ แต่ไม่มีค่าแรงให้นะ”
พิสุทธิ์ยิ้ม เขาถอดแจ็คเก็ตออกแล้วก็ลงมือช่วยทันที ภูชิชย์ขับรถมาจอดแอบดูอยู่ห่างๆ ภูชิชย์ลงจากรถแล้วจะเดินไปแต่ก็เปลี่ยนใจเดินกลับมาทำท่าจะเปิดรถแล้วก็ไม่เปิด ได้แต่ยืนถือแฟกซ์แอบดูอยู่ห่างๆ

นริศราขับรถมาจอดที่ลานจอดรถหน้าอาคารสำนักงาน พิสุทธิ์ขี่มอเตอร์ไซต์มาจอดใกล้ๆ นริศราลงจากรถแล้วเดินมาหาเพื่อน
“จะเข้าไปนั่งเล่นข้างในไหม เราจะเข้าไปคุยงานกับคุณนิพนธ์”
“ไม่ดีกว่า แต่นิดรีบกลับมานะ เราหิวแล้ว” พิสุทธิ์บอก
“ได้เลย เดี๋ยวพาไปเลี้ยงข้าวที่โรงอาหาร”
“โอ้โห อย่างนี้นิดก็กระเป๋าฉีกแย่สิ” พิสุทธิ์แซว
นริศราหัวเราะแล้วเดินเข้าไปด้านใน พิสุทธิ์แยกไปเดินเล่นดูต้นไม้ไปเรื่อยๆ จนไปเห็นไม้ดอกต้นหนึ่งที่ขึ้นอยู่ริมถนน พิสุทธิ์เห็นว่าสวยจึงจะดึงดอกไม้มาดม สุพัฒนาเดินมาเห็นเข้าพอดีจึงตะคอกเสียงดัง
“นั่นจะทำอะไร”
พิสุทธิ์สะดุ้งแล้วหันไปหา “อ๋อ...ดอกไม้สวยดีนะครับ ผมเลยอยากดมกลิ่น”
“คนงานใหม่เหรอ ทำไมมาเดินแถวนี้”
พิสุทธิ์เริ่มฉุน “เอ่อ...โทษนะครับ แล้วคุณเป็นใคร”
“นี่กล้าย้อนถามฉันเหรอ”
“อยากรู้ก็ต้องถามสิครับ”
“นี่...แก มีงานอะไรก็ไปทำเลย อย่ามาเดินเพ่นพ่านให้ฉันเห็นอีก” สุพัฒนาไล่
“คุณนั่นแหล่ะ มาทางไหนไปทางนั้นเลย หน้าตาก็ดีทำไมมารยาทแย่มาก” พิสุทธิ์ไล่ด้วยความโกรธ
สุพัฒนาได้ยินถึงกับเหวอ “ไอ้บ้า มาว่าฉันเหรอ ฉันจะไล่แกออก ออกไป๊!”
นริศรากับนิพนธ์ได้ยินเสียงเอะอะก็รีบวิ่งออกมาดูจึงเห็นพิสุทธิ์กับสุพัฒนากำลังประสานตากันอยู่
“เกิดอะไรขึ้นครับ” นิพนธ์ถามขึ้น
“นิพนธ์” สุพัฒนาชี้ไปที่พิสุทธิ์ “จัดการไล่ไอ้คนงานนี่ออกเดี๋ยวนี้เลย”
“แต่คุณโป๊ะไม่ใช่คนงานนะครับ แกเป็นเพื่อนคุณนิดครับ” นิพนธ์บอก
“นิด...ยัยเสียงโทรโข่งนี่ใคร” พิสุทธิ์หันมาถาม
“แกว่าฉันเหรอ”
สุพัฒนาจะเข้าไปตีพิสุทธิ์แต่นิพนธ์ดึงเอาไว้ ส่วนนริศราก็รีบมาดึงพิสุทธิ์ให้ห่างออกมา
“โป๊ะใจเย็นๆ นี่คุณเล็กน้องสาวพ่อเลี้ยง”
พิสุทธิ์แกล้งตกใจ “ห๊า...นี่น่ะเหรอเจ้าของไร่ มารยาทไม่ผ่านนะเนี่ย”
“กรี๊ด ไอ้บ้า ไอ้ปากเสีย นังนิดนี่แกพาพวกมารุมฉันเหรอ” สุพัฒนาโวยลั่น
“โป๊ะ ไปกันก่อนเถอะนะ เราขอร้อง”
นริศราพาพิสุทธิ์เดินหนีไป สุพัฒนาดิ้นจนหอบเหนื่อย

นริศรากับพิสุทธิ์หลบมายืนคุยกันที่มุมหนึ่งในไร่ หลังจากเล่าให้เพื่อนฟัง นริศราก็ถึงกับหน้าเครียด
“ที่จริงพอยัยนั่นตวาดคำแรก เราก็นึกทันทีว่าต้องเป็นคุณเล็กอย่างที่นิดเคยเล่า” พิสุทธิ์บอก
“รู้แล้วยังไปกวนเขาอีก” นริศราว่า
พิสุทธิ์เริ่มคิดได้ “นิด เราทำให้นิดลำบากหรือเปล่า”
นริศราส่ายหน้า “ถึงคุณเล็กไม่รู้จักโป๊ะเขาก็ไม่ชอบเราหรอก ช่างมันเถอะ”
“เราขอโทษนะ ต่อไปถ้าเราเห็นยัยนี่เราจะวิ่งหลบสี่คูณร้อยเลย”
นริศราขำกับมุกของพิสุทธิ์

สุพัฒนานั่งทุบเก้าอี้ในห้องรับแขกด้วยความโกรธ นิพนธ์นั่งอยู่ใกล้ๆ
“นังนิดมันมีสิทธิ์อะไรเอาเพื่อนมาที่นี่ เพื่อนจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้” สุพัฒนานึกขึ้นได้ “จริงด้วย นิพนธ์ ถ้าเกิดไอ้กุ๊ยนั่นมันมาปล้นไร่เราล่ะ ไม่ได้ ฉันต้องพี่ภู พี่ภู พี่ภูอยู่ไหน นิพนธ์ ไปตามพี่ภูเร็วสิ”
“แต่พ่อเลี้ยงก็รู้จักคุณโป๊ะนะครับคุณเล็ก แล้วเท่าที่ดูผมว่าคุณโป๊ะแกก็ดีนะครับ” นิพนธ์บอก
“ดีบ้าอะไร แค่เห็นหน้าฉันก็เกลียดมันแล้ว ยังไงฉันก็จะบอกพี่ภู พี่ภูอยู่ไหน”
“พ่อเลี้ยงออกไปข้างนอกครับ”
“ไปไหน นี่มันเลิกงานแล้วนี่”
สุพัฒนาจ้องหน้านิพนธ์อย่างคาดคั้น นิพนธ์จึงจำใจต้องบอก
“พ่อเลี้ยงนัดกับเจ้าน้อยครับ”
“นังเจ้าน้อยอีกแล้วเหรอ ทำไม...ทำไมพี่ภูถึงต้องคบแต่คนที่ฉันเกลียด”
สุพัฒนาหยิบหมอนที่วางอยู่บนโซฟามาดึงทึ้ง นิพนธ์มองด้วยความห่วงใย
“คุณเล็กครับ คุณเล็กลองลดการมองแต่ด้านไม่ดีของคน แล้วหันมามองแต่ข้อดีของคนบ้างสิครับ บางทีคุณเล็กอาจจะมีความสุขมากขึ้นก็ได้”
สุพัฒนาตวาด “ออกไป ฉันอยากอยู่คนเดียว”
นิพนธ์เดินออกไปจากห้องแต่ก็แอบดู เขาเห็นสุพัฒนาขว้างหมอนขว้างหนังสือเพื่อระบายแค้น

พนักงานถือกระเป๋าเดินออกจากบริษัทของวิทวัสเพื่อกลับบ้าน วิทวัสถือกระเป๋าเอกสารเดินออกมา พนักงานบางคนที่เห็นก็ยกมือไหว้เขา
เมื่อเดินมาถึงรถวิทวัสก็ต้องชะงักเมื่อเห็นมัลลิกายืนอยู่ที่รถตัวเองซึ่งจอดอยู่ใกล้ๆ รถของเขา
“ยังไม่กลับอีกเหรอ” วิทวัสเอ่ยถาม
“มอลลี่รอเพื่อนน่ะคะ เขามาธุระแถวนี้เลยว่าจะไปทานข้าวเย็นกัน”
วิทวัสมองมัลลิกาอย่างไม่ไว้ใจ แต่มัลลิกายิ้มให้
“ไม่ต้องกลัวมอลลี่จะแอบสะกดรอยตามอีกหรอกค่ะ มอลลี่พูดคำไหนคำนั้น”
วิทวัสตัดสินใจขึ้นรถแล้วขับออกไป แล้วโทรศัพท์ของมัลลิกาก็ดังขึ้น มัลลิกาหยิบโทรศัพท์ออกมากดรับสาย
“ฮัลโหล......มาเร็วๆสิ ฉันยืนคอยนานแล้วนะคะคุณเพื่อน หิวมากด้วย”

วิทวัสกับรัชนิดานั่งดูลูกหนูถีบรถเล่นอยู่ที่สนามหน้าบ้าน รัชนิดาแอบเห็นวิทวัสยิ้มอย่างมีความสุข
“คุณวัสอารมณ์ดีนะคะ ดาไม่ได้เห็นแบบนี้มาสักระยะแล้ว”
“ตั้งแต่ผมได้เลขาใหม่ใช่ไหม” วิทวัสย้อนถาม
“ค่ะ เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
“วันนี้มอลลี่เขามาบอกว่าจะเลิกยุ่งกับผม เขาจะเป็นคนใหม่” วิทวัสเล่า
รัชนิดาดีใจ “จริงเหรอคะ แต่ดูเขาตัดใจได้เร็วนะคะ”
“ผมก็ไม่ค่อยเชื่อเขานะ แต่ก็คิดว่าเขาคงทำได้ ต้องดูๆกันไป”
“ถ้าเขาทำตามที่พูด เราก็ไม่ต้องห่วงเรื่องคุณเล็กแล้วสิคะ”
วิทวัสกับรัชนิดาส่งยิ้มให้กัน

ภูชิชย์กับเจ้าทิพย์ดารานั่งรับประทานอาหารด้วยกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ภูชิชย์เหม่อลอยบ่อยครั้งและไม่ค่อยกินข้าวจนเจ้าทิพย์ดาราสังเกตได้
“วันนี้ภู ทานข้าวน้อยนะคะ”
“เอ่อ...ผมไม่ค่อยหิวครับ”
“ภูมีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ บอกน้อยได้นะ”
ภูชิชย์รีบกลบเกลื่อน “หน้าผมเหมือนคนอมทุกข์เหรอครับ”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ แต่เหมือนคนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา”
“เอ่อ...ผมคิดเรื่องงานนิดหน่อยครับ”
“นั่นไงน้อยว่าแล้ว แบบนี้หมอน้อยต้องรีบรักษาเยียวยาแล้ว ก่อนที่พ่อเลี้ยงภูชิชย์สุดหล่อของน้อยจะกลายเป็นโรคซึมเศร้า”
เจ้าทิพย์ดาราพูดแล้วยิ้มให้ภูชิชย์ ภูชิชย์ยิ้มตอบแล้วกินอาหารต่อ เจ้าทิพย์ดารามองเขาอย่างใช้ความคิด

เจ้าทิพย์ดารากับภูชิชย์เดินมาด้วยกันที่ริมทางเดินคูเมือง แล้วเจ้าทิพย์ดาราก็จับมือภูชิชย์ ภูชิชย์หันมายิ้มให้เธอ
“อากาศดีจังเลยนะคะ” เจ้าทิพย์ดาราพูด
“ครับ”
“ภูรู้ไหมคะ จริงๆแล้วภูไม่ได้ชอบน้อยก่อนหรอก”
ภูชิชย์แปลกใจ “เจ้าพูดจริงเหรอครับ”
“ตอนนั้นน้อยอยู่ ม.3 เจ้าพ่อกับเจ้าแม่มาบอกว่าเราจะมีเพื่อนบ้านใหม่ ที่เป็นเพื่อนของเจ้าพ่อกับเจ้าแม่ย้ายมาอยู่ใกล้ๆกัน ตอนแรกน้อยก็ไม่ได้คิดอะไร จนวันที่เจ้าพ่อจัดเลี้ยงต้อนรับ แล้วคุณพ่อคุณแม่ของภูพาครอบครัวมา ครั้งแรกที่น้อยเห็นภู น้อยก็ตกหลุมรักภูเลยนะคะ”
“ทำไมเจ้าไม่เคยบอกผมเลยล่ะครับ”
เจ้าทิพย์ดาราอาย “น้อยเป็นผู้หญิงนะคะ”
“แล้วทำไมวันนี้ถึงบอกผมล่ะ”
“ไม่รู้สิ น้อยคงกลัวภูไม่รักแล้วมั้ง”
ภูชิชย์อึ้ง “เจ้าคิดอย่างนั้นเหรอครับ”
“มันคงเป็นความกลัวไปเองมั้งคะ”
“ไม่ต้องกลัวนะครับ สำหรับผมแล้ว เจ้าเป็นผู้หญิงที่ดีที่สุดคนเดียวเท่านั้น” ภูชิชย์กล่าวหนักแน่น
เจ้าทิพย์ดาราเกาะแขนแล้วเอียงหัวลงไปซบภูชิชย์
“น้อยรักคุณนะคะภู”
ภูชิชย์ดึงเจ้าทิพย์ดาราเข้ามากอด

เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกานั่งดื่มกาแฟอยู่ในห้องรับแขกของบ้าน เจ้าทิพย์ดาราเดินเข้ามานั่งด้วยแล้วโผเข้ากอดเจ้าดาระกา
“ไปทานข้าวที่ไหนกันมาล่ะลูก” เจ้าดาระกาเอ่ยถาม
“ร้านประจำของภูกับน้อยค่ะ เจ้าพ่อเจ้าแม่ยังไม่นอนอีกเหรอคะ อย่าบอกว่ามาคอยเฝ้าน้อยนะ”
“บังเอิญใช่ด้วยสิลูก” เจ้าดาระกาตอบ
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
เจ้าดาระกาพยักหน้าให้เจ้าเทพมงคลพูด
“คือพ่อว่าจะให้น้อยไปเชิญคุณโป๊ะมาทานข้าวที่บ้าน”
“เนื่องในโอกาสอะไรคะ” เจ้าทิพย์ดาราสงสัย
“พ่อกับแม่อยากรู้จักเด็กคนนี้ให้มาก”
เจ้าทิพย์ดาราพูดอย่างรู้ทัน “แค่นี้เองเหรอคะ งั้นเราก็ไปทานที่โรงแรมคุณโป๊ะสิคะ จะต้องให้เขามาที่นี่ทำไม”
เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกาอึกอักเพราะตอบไม่ถูก
“เจ้าพ่อเจ้าแม่คะ น้อยว่าอย่าเลยค่ะ ยังไงน้อยก็รักภูคนเดียว”
“แต่รู้จักกันไว้ก็ไม่เสียหลายนี่” เจ้าดาระกาบอกบุตรสาว
เจ้าทิพย์ดาราเห็นความมุ่งมั่นของบิดากับมารดาก็ยอมแพ้ “พูดแบบนี้แสดงว่าน้อยไม่มีทางเลือกอื่นน่ะสิคะ”

เจ้าทิพย์ดาราเดินกลับเข้ามาในห้องแล้วหยิบรูปที่เคยถ่ายคู่กับภูชิชย์ขึ้นมาดู
“รู้ไหม เจ้าพ่อกับเจ้าแม่จะยกน้อยให้คนอื่นแล้วนะคะภู แต่น้อยไม่ยอมหรอก เพราะน้อยรักภู และภูจะเป็นผู้ชายคนเดียวที่น้อยจะแต่งงานด้วย”
เจ้าทิพย์ดาราวางรูปกลับที่เดิม เธอมองรูปนั้นก่อนจะยิ้มอย่างมีความสุข

ภูชิชย์ยืนถือกระดาษแฟกซ์ในมือมายืนรออยู่หน้าบ้านพักคนงานหญิง นริศราเดินมึนๆ ด้วยความง่วงลงมาหา
“พ่อเลี้ยงให้คนไปตามฉันมีอะไรคะ” นริศราปิดปากหาว
ภูชิชย์ส่งแฟกซ์ให้ “เห็นว่าเธอภาษาดี เลยจะให้ไปรับนักศึกษาที่จะมาฝึกงานหน่อย”
นริศราเพ่งอ่านจากไฟถนน “นี่มาพรุ่งนี้นี่คะ”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“แต่มันเป็นวันหยุดฉันนะคะ แล้วฉันก็มีนัดแล้วด้วย”
“ยกเลิกทุกนัด แล้วก็มาทำงานให้ฉัน ฉันจ่ายโอทีให้”
“นี่คุณเอาเงินฟาดฉันเหรอ”
“หรือเธอจะไม่เอา”
“เอาสิ แต่คุณต้องจ่ายโอทีฉันเต็มวันนะ” นริศราบอก
“แล้วไม่ติดแล้วเหรอ”
“ฉันขอเอาโป๊ะไปด้วย”
“นี่เธอจะเอาคนนอกไปทำงานของทางไร่ได้ไง” ภูชิชย์พูดด้วยความหงุดหงิด
“ถ้าไม่ได้ก็ไม่ไป”
ภูชิชย์เบ้ปากด้วยความเจ็บใจแล้วเดินกลับไป นริศรามองตามด้วยสายตาเขม่นแล้วเดินขึ้นบ้าน

วันรุ่งขึ้น นริศรายืนรอพิสุทธิ์ที่ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอด
“ขอโทษนะที่ไม่ได้ไปเที่ยวกับโป๊ะอ่ะ” นริศราเอ่ย
“ไม่เป็นไร จะไปเที่ยวหรือทำงานขอให้ได้อยู่ใกล้นิดก็พอ” พิสุทธิ์รีบหยอด
นริศราค้อน “ไปกันเถอะ”
ทั้งสองจะเดินไปขึ้นรถแต่ภูชิชย์เดินเข้ามาหาทั้งคู่แล้วพูดขึ้น “ไปรถฉันดีกว่า”
นริศรางง “พ่อเลี้ยงไปด้วยเหรอคะ”
“ใช่สิ” ภูชิชย์ตอบทันที
“อ้าว...ก็ถ้าคุณไปด้วยแล้วให้ฉันไปทำไม”
“ก็...ก็เธอเป็นผู้จัดการก็ต้องไปกับฉันสิ ไปเหอะสายแล้ว”
พิสุทธิ์กับนริศราเดินตามภูชิชย์ไปที่รถ พิสุทธิ์ทำท่าจะขึ้นไปนั่งข้างหน้าแล้วให้นริศรานั่งข้างหลัง
“คุณโป๊ะนั่งข้างหลังนะครับ” ภูชิชย์รีบบอก “เผื่อผมมีอะไรต้องคุยกับนริศราเขา”
“ไม่เป็นไรครับ ผมนั่งไหนก็ได้” พิสุทธิ์พูด
ทั้งสองคนขึ้นไปนั่งตามที่ภูชิชย์บอก ภูชิชย์อมยิ้มแล้วขับรถออกไปทันที

ภูชิชย์ นริศรา และพิสุทธิ์มายืนรถผู้โดยสารขาเข้าอยู่ที่สนามบินเชียงใหม่ พิสุทธิ์ถือป้ายชื่อเขียนว่า James Watson ตัวโต
ผู้โดยสารหลายคนทยอยเดินออกมา เวลาผ่านไปสักพักเจมส์ก็เดินแบกของมองหาป้ายชื่อจนเห็นแล้วเขาก็รีบเดินมาหาทันที
“Hello, I’m James. you guys from Supattana farm?”
“Hello, I’m Phuchit. Nice to meet you.” ภูชิชย์ตอบฉะฉาน
“I’m Narissara, you can call me Nid.I’m the manager. And this is Poh, my friends” นริศราพูดกับเจมส์
ทั้งสามคนจับมือทักทายเจมส์ด้วยไมตรี
จู่ๆ ก็มีเสียงเรียกนริศราดังขึ้น “น้องนิด”
ทุกคนหันไปตามเสียงก็เห็นลัคนาเดินยิ้มตรงมาหานริศรา

นริศรายิ้มรับแบบเจื่อนๆ เพราะไม่ทันตั้งตัว ภูชิชย์มองลัคนาอย่างงงๆ

อ่านต่อตอนที่ 8  พรุ่งนี้ เวลา 9.00 น.



กำลังโหลดความคิดเห็น