รักประกาศิต ตอนที่ 6
คนงานทุกคนฟังถ้อยคำของนริศราก็ถึงกับหน้าเหวอเพราะไม่เข้าใจ
“ปรับปรุงภูมิทัศน์!” คนงานทุกคนร้องออกมาพร้อมๆ กัน
นริศราทำท่าทางจริงจัง “ใช่!! ทุกคนคงเห็นแล้วว่าหลายอย่างที่นี่ยังไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย บางอย่างเคยเป็นแต่เราก็ละเลยไม่ใส่ใจ อย่างกรณีแม่อุ้ยไง ถ้าเราปรับปรุงภูมิทัศน์ให้สวยงามดูดี สะอาดเรียบร้อย นอกจากจะทำให้ที่อยู่ที่ทำงานดูดีขึ้นแล้ว ยังมีความปลอดภัยด้วย”
คนงานฟังนริศราพูดจบก็มองหน้ากันเลิ่กลั่กจนนริศราเริ่มใจคอไม่ดี
“ทำไมล่ะ ไม่อยากทำกันเหรอ” นริศราถาม
คนงานเริ่มซุบซิบกันแล้วทุกคนก็พยักหน้าพร้อมกันดันให้ลุงปั๋นยกมือขึ้นพูด
“เอ่อ...ทำน่ะก็อยากทำกันนะครับ แต่ไอ้ภูมิทัศน์อะไรเนี่ยมันคืออะไรครับ”
“นั่นสิจ๊ะ แล้วเราจะทำยังไงกับไอ้ภูมิทัศน์นี่” ฝ้ายสงสัย
นริศรายิ้ม “ขอโทษนะที่ฉันใช้คำที่ทุกคนไม่คุ้น เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าทุกคนอย่างรู้ว่าภูมิทัศน์คืออะไร วันนี้เราจะลงมือทำกันดีไหม”
คนงานมองหน้ากันด้วยความงงมากขึ้นกว่าเดิม
“แล้วงานของพวกเราล่ะครับ” เป็งถาม
“ฉันให้ทุกคนหยุดงานประจำหนึ่งวันโดยจะได้ค่าแรงเหมือนทุกวัน แต่ต้องทำงานที่ฉันมอบหมายนะ”
คนงานทั้งหมดร้องเฮด้วยความดีใจ นริศรายิ้มอย่างพอใจ
“คุณนิดบอกพ่อเลี้ยงแล้วใช่ไหมคะ” แม่อุ้ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ยังหรอกจ้ะแม่อุ้ย แต่ถ้าเขาได้เห็นผลของมันรับรองเขาต้องพอใจแน่”
แม่อุ้ยกับพรมองหน้ากันอย่างเครียดๆ แต่นริศรายิ้มอย่างมั่นใจ
นริศรายืนคุมลุงปั๋นและคนงานตอกชั้นวางเครื่องมือใหม่ที่โรงเก็บเครื่องมือ จากนั้นนริศราก็เริ่มสอนให้คนงานจัดหมวดหมู่เครื่องมือตามชั้นต่างๆ และวางอย่างเป็นระเบียบ นริศราช่วยยกอุปกรณ์อย่างแข็งขัน ซึ่งทุกครั้งที่นริศราจะยกอะไรผลจะเข้ามาช่วยเสมอ นริศรายิ้มขอบคุณผล
นริศรามาช่วยคนงานอย่างแข็งขันทั้งที่ลานตากกาแฟและลานล้างเมือกกาแฟ ทั้งหมดช่วยกันขัดล้างทำความสะอาดพื้นที่
นริศราช่วยลุงปั๋นและคนงานแผนกช่างจัดข้าวของเช็ดคราบน้ำมันตามที่ต่างๆ ของโรงเก็บรถแทร็กเตอร์ จนใบหน้านริศราเลอะคราบน้ำมัน คนงานเห็นก็ทำท่าบอกนริศราแต่นริศราไม่เข้าใจ พอเธอหันไปเห็นตัวเองในกระจกก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี ผลเอาผ้าขนหนูมาให้นริศราเช็ดหน้า นริศรามองอย่างงงๆ แต่ก็รับแล้วเดินไป ผลมองตามแล้วก็ยิ้มจากนั้นเขาก็เดินไปหาลุงปั๋น
“คุณนิดนี่แกทั้งสวยทั้งเก่งนะลุง” ผลพูด
ลุงปั๋นได้ยินก็ไม่ค่อยพอใจ “พูดแบบนี้ไม่กลัวบัวเกี๋ยงมันได้ยินเหรอวะ”
ผลหน้าเสียแต่ก็ยิ้มแหยๆ กลบเกลื่อน
“ฉันกับบัวเกี๋ยงไม่ได้เป็นอะไรกันนี่”
ลุงปั๋นมองผลแต่ผลหลบตา ลุงปั๋นจึงไม่สนใจก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ
เวลาผ่านไป นริศรากับพรที่อยู่ในครัวจัดวางข้าวของเครื่องใช้ในครัวให้ดูดีและเป็นที่เป็นทาง ส่วนแม่อุ้ยนั่งคุมคนงานทำความสะอาดโรงครัวครั้งใหญ่ สักพักนริศรากับพรก็เดินออกมาช่วย
คนงานยังคงช่วยกันขัดล้างโรงอาหาร ผลเดินมาเห็นนริศรากำลังยกถังน้ำจะไปถูพื้นก็รีบเข้าไปช่วย ผลส่งยิ้มเจ้าชู้ให้นริศรา แต่นริศราพยายามทำหน้าเฉยๆ
“ให้ผมช่วยนะครับ มือนุ่มๆของคุณนิดจะได้ไม่เลอะ”
ผลพูดแล้วก็ถือโอกาสจับมือนริศรา นริศราตกใจรีบปล่อยมือทันที
“งั้นนายผลก็ทำตรงนี้ไปเลยแล้วกัน” นริศราบอก
นริศราจะเดินไปแต่ผลจับแขนของเธอไว้ นริศรารีบสะบัดออกแล้วจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง
ผลยิ้มเจ้าชู้ใส่ “แล้วผมต้องถูถึงตรงไหนครับ”
“ก็หมดนี่แหล่ะ”
นริศราเดินหนีไป ผลมองตามก่อนจะยิ้มแล้วเอามือข้างที่จับแขนนริศราขึ้นมาดม
“หอมมากไหม” เสียงบัวเกี๋ยงดังขึ้นข้างหลังผล
ผลสะดุ้งหันกลับไปเห็นบัวเกี๋ยงกำลังเดินมาหา
“ไม่มีอะไรน่า ไม่ต้องหึงหรอก” ผลรีบบอก
บัวเกี๋ยงเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ “แล้วนี่มาทำอะไรกัน งานการไม่มีเหรอ”
“มี แต่คุณนิดให้พวกคนงานหยุดงานเพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์”
บัวเกี๋ยงมีสีหน้างงขึ้นมาทันที “ภูทัดบ้าอะไรของพี่”
ผลยืดอกแล้วยิ้มอย่างภูมิใจที่รู้เยอะกว่าบัวเกี๋ยง
สุพัฒนากับบัวเกี๋ยงเข้ามายืนฟ้องภูชิชย์ที่กำลังนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ โดยที่นิพนธ์นั่งฟังอยู่ที่โต๊ะทำงานของเขา
“บัวเกี๋ยงเห็นกับตาเลยค่ะ ตอนนี้คนงานหยุดงานในไร่แล้วไปช่วยกันถูพื้นล้างครัวกันมั่วไปหมดแล้วค่ะพ่อเลี้ยง” บัวเกี๋ยงฟ้อง
“คุณเล็กไม่ยอมนะคะพี่ภู นังนี่มันถือดียังไงมาสั่งคนงานหยุดงาน แล้วรายได้ต่อวันก็หายไปเฉยๆน่ะสิ นี่ยังไม่รู้นะคะว่ามันจะให้หยุดกันกี่วันกี่เดือน” สุพัฒนาโวยวาย
ภูชิชย์ฉุน “คุณเล็กไม่ต้องห่วง เรื่องนี้พี่ต้องจัดการแน่”
นิพนธ์รีบลุกขึ้นมาสมทบ
“เอ่อ...พ่อเลี้ยงครับ ผมว่าคุณนิดคงอยากจะแค่จัดสถานที่อย่างที่เธอตั้งใจน่ะครับ”
“แต่ฉันบอกไปแล้วว่าไม่อนุมัติ มาทำโดยพลการได้ยังไง”
ภูชิชย์พูดแล้วก็รีบเดินออกจากห้องไปทันที นิพนธ์มองตามด้วยสายตากังวล สุพัฒนาเดินเข้ามาผลักอกนิพนธ์ด้วยความไม่พอใจ
“มายุ่งอะไรด้วยห๊า”
“ผมขอโทษครับคุณเล็ก ผมแค่อยากให้ทุกคนมองเจตนาคุณนิดก่อน”
“ถ้ารักมันมากก็ทำตามที่ฉันสั่งเร็วๆสิ ดีกว่าจะมาเจ๋อเรื่องเจ้านาย”
สุพัฒนาจ้องหน้านิพนธ์ด้วยความโกรธ บัวเกี๋ยงมองนิพนธ์แล้วยิ้มเยาะ นิพนธ์ถอนใจด้วยความเครียดก่อนจะเดินออกจากห้องไป
นริศรา แม่อุ้ย พร ลุงปั๋น ผล และคนงานอื่นๆ กำลังขัดถนนหน้าห้องพักคนงานทั้งชายและหญิง คนงานบางส่วนไปเปลี่ยนหลอดไฟที่เสาไฟข้างถนน บางส่วนไปเก็บขยะหน้าบ้านพักคนงานหญิงจนใกล้เสร็จ
“แหม....ทนช่วยกันเหนื่อยไม่เท่าไหร่ ทุกอย่างดูสะอาดตาขึ้นมาเยอะเลยนะคะ” แม่อุ้ยว่า
“นี่น่ะเหรอคะคุณนิดที่เรียกว่า..” พรหยุดนึก “เอ่อ..ภูกะทัด”
“ภูมิทัศน์เว้ยพร ข้ายังจำได้เลย เอ็งนี่มันเด็กซะเปล่า” แม่อุ้ยว่า
ทุกคนพร้อมใจกันหัวเราะขำออกมา
“ใช่จ้ะ ต่อไปนี้ทุกอย่างจะดูเป็นระเบียบสวยงาม ที่สำคัญมันน่าจะช่วยลดอุบัติเหตุได้มากขึ้นนะ” นริศราบอก
“แต่ผมกลัวมันจะสะอาดวันเดียวน่ะสิครับ” ลุงปั๋นพูด
“ไม่หรอกจ้ะ ฉันว่าจะจัดเวรผลัดกันดูแลความสะอาด คนเรามีเยอะแยะรับรองไม่เหนื่อยหรอก ทุกคนเห็นด้วยไหม” นริศราถามความเห็นคนงาน
ทุกคนพยักหน้าแล้วยิ้มรับ ทันใดนั้นภูชิชย์ก็เดินเข้ามายืนมองหน้าตึง นิพนธ์วิ่งตามมายืนข้างๆ
“ทำอะไรกัน” ภูชิชย์ถามเสียงดุ
พอได้ยินเสียงทุกคนก็หยุดชะงักทันที ภูชิชย์เดินตรงเข้ามาหานริศราแล้วจ้องหน้านิ่ง แล้วภูชิชย์ก็พูดกับทุกคน “ฉันขอเรียกประชุมทุกคน”
ภูชิชย์มองไปรอบๆ โรงอาหารที่ถูกจัดแต่งใหม่จนดูสะอาดตาและเป็นระเบียบเรียบร้อย ผล ลุงปั๋น แม่อุ้ย พรกับคนงานทั้งหมดนั่งอยู่ที่โต๊ะรับประทานอาหาร โดยที่ภูชิชย์ นริศราและนิพนธ์ยืนอยู่ด้านหน้าพวกคนงาน
“ตกลงเธอฟังภาษาไทยที่ฉันพูดไม่รู้เรื่องใช่ไหม” ภูชิชย์หันไปถามนริศรา
“ค่ะ” นริศราตอบสั้นๆ
ภูชิชย์อึ้งที่นริศราสวนกลับเช่นนั้น นริศราพูดต่อ
“เพราะฉันอยากให้คนงานได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี เลยขอพวกเขาหนึ่งวันเพื่อปรับปรุงสถานที่ทำงานและที่อยู่ของพวกเรา”
“ถ้างั้นก็ใช้เวลาอื่นที่ไม่ใช่เวลางาน” ภูชิชย์บอก
“พ่อเลี้ยงคะ คุณก็รู้ว่าทุกคนต้องตื่นแต่เช้ามืด กว่าจะเหนื่อยกลับมาก็เย็นมาก แล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาทำ”
“ได้ งั้นฉันไม่ขัดเธอ แต่....ค่าเสียหายของไร่วันนี้เธอต้องรับผิดชอบ”
พูดจบภูชิชย์ก็จ้องหน้านริศราอย่างเอาเรื่อง คนงานที่นั่งอยู่เริ่มซุบซิบกัน
“ฉันจะตัดเงินเดือนของเธอครึ่งหนึ่งจนกว่าจะครบค่าเสียหายวันนี้” ภูชิชย์ประกาศ
นริศราหน้าเสีย “แล้วมันจะคิดเป็นเงินเดือนฉันกี่เดือนล่ะคะ”
“ไม่นานหรอก น่าจะแค่ครึ่งปี ตกลงไหม” ภูชิชย์บอก
นริศราอึ้งแต่ก็เชิดหน้า “ได้ค่ะ ฉันตกลง”
คนงานได้ยินดังนั้นต่างก็พูดกันว่าสงสารนริศรา ภูชิชย์ยิ้มรับอย่างพอใจแล้วจะเดินไป แต่แม่อุ้ยเรียกเอาไว้
“พ่อเลี้ยงคะ ที่คุณนิดเธอทำก็เพราะฉันลื่นล้มเอง ถ้าจะตัดเงินเดือนก็ตัดฉันด้วยเถอะค่ะ ฉันไม่อยากเอาเปรียบคุณนิด”
“พรด้วยนะคะ เพราะถนนสะอาด หลอดไฟเปลี่ยนใหม่ก็เพราะคุณนิด ตัดพรด้วยค่ะ”
คนงานคนอื่นๆ ต่างยกมือขอให้ภูชิชย์ตัดเงินของตนด้วย มีเพียงผลที่รู้สึกหัวเสียค่อยๆลุกจากที่นั่งไปหลบอยู่ด้านหลังคนงานคนอื่นๆ
“เอ่อ...ทุกคนจ๊ะ อย่าลำบากเพราะฉันเลย” นริศราขอ
“ไม่ได้ครับ ผลประโยชน์พวกเราได้ทุกคน แต่ตัดเงินจะให้ตัดคุณนิดคนเดียวได้ยังไง” ลุงปั๋นพูดกับภูชิชย์ “พ่อเลี้ยงครับ ถ้าตัดพวกเรารวมไปด้วยคุณนิดก็คงไม่ถูกตัดเงินเดือนถึงครึ่งปีใช่ไหมครับ”
ภูชิชย์ยืนอึ้ง นิพนธ์แอบยิ้มอย่างพอใจแล้วเดินไปยืนข้างนริศรา
“ตัดผมด้วยอีกคนนะครับพ่อเลี้ยง” นิพนธ์พูด
“นิพนธ์” ภูชิชย์ตกใจ
“ผมศรัทธาน้ำใจของคุณนิดกับคนงานครับ”
ภูชิชย์ถอนหายใจ “ตกลงจะไม่มีการตัดเงินเดือนใครทั้งนั้น เอาเป็นว่าวันนี้ฉันยกให้”
ทุกคนปรบมือและเฮกันลั่น ผลกระโดดเฮดังลั่นเช่นกัน ภูชิชย์มองหน้านริศราอย่างพิจารณา
นริศรากับพวกคนงานแยกย้ายกันออกมาจากโรงอาหาร ภูชิชย์เดินเข้าไปหานริศรา
“ดีใจละสิ ที่เอาชนะฉันได้”
นริศราได้ยินเสียงก็ชะงัก เธอหันกลับไปเห็นหน้าภูชิชย์เต็มไปด้วยความโกรธ เขาขบกรามแน่นจ้องเธอเขม็ง นริศรายิ้มกวนประสาทตอบทันที
“จะบอกว่าไม่ดีใจก็คงโกหก”
“ฉันยอมรับว่าวันนี้เธอเก่งที่จัดการเรื่องความเป็นอยู่ให้คนงานได้”
“ขอบคุณค่ะ”
“แต่อย่าลืมล่ะว่าตำแหน่งของเธอคือผู้จัดการไร่ ไม่ใช่หัวหน้าแม่บ้าน กรุณาโชว์ฝีมือการทำงานในหน้าที่ให้ฉันเห็นด้วย เพราะตอนนี้ งานในหน้าที่ของเธอไม่โดดเด่นเท่างานทำความสะอาด”
พูดจบภูชิชย์ก็เดินออกไปทันที นริศรามองตามด้วยความเจ็บใจ
“ได้ฉันจะพิสูจน์ให้ดู” แล้วนริศราก็พยายามนึก “แล้วเราจะทำอะไรดีอ่ะ”
นริศราหน้าเครียดขึ้นมาทันที
ภูชิชย์เดินไปแล้วหันกลับมาเห็นนริศราหน้ามุ่ย ภูชิชย์ถึงกับอมยิ้ม
“ทำงานให้เก่งๆ คุณเล็กจะได้ว่าเธอไม่ได้”
ภูชิชย์กับนิพนธ์เดินกลับเข้ามาในห้องแล้วแยกย้ายไปนั่งที่โต๊ะของตัวเองตามเดิม
“ในที่สุดคนงานกับคุณนิดก็เข้ากันได้ น่าดีใจนะครับ” นิพนธ์พูดยิ้มๆ
“คุณคิดว่านริศราเป็นยังไง” ภูชิชย์ถาม
นิพนธ์งง “เป็นยังไงคืออะไรครับ ผมไม่เข้าใจ”
“ผู้หญิงที่มาทำงานกับเราโดยไม่ยอมให้เรารู้จักประวัติของเขาจะเป็นคนจริงใจไหม”
นิพนธ์นิ่งคิด ภูชิชย์กล่าวยืนยันความคิดของตัวเอง
“ตราบใดที่ผมไม่รู้จักเขา ผมก็จะไม่ไว้ใจเขาเด็ดขาด”
พูดจบภูชิชย์ก็เดินกลับไปทำงานที่โต๊ะ นิพนธ์มองตามแล้วส่ายหน้า
สุพัฒนานั่งหน้าเครียดและหายใจแรงอยู่ที่โซฟาห้องรับแขก ภูชิชย์เดินเข้าบ้านมาเห็นน้องสาวก็เดินเข้าไปนั่งด้วย แต่สุพัฒนาจ้องหน้าพี่ชายด้วยความโกรธ
ภูชิชย์ยิ้มให้ “คุณเล็ก...รอทานข้าวกับพี่อยู่ใช่ไหมครับ”
สุพัฒนาตัดบท “บัวเกี๋ยงบอกว่ามันยังอยู่”
ภูชิชย์ชะงักไป “นริศราน่ะเหรอ เอ่อ... คือ....”
สุพัฒนาพูดแทรกขึ้น “ไหนพี่ภูบอกจะไปจัดการกับมัน ไหนว่ามันทำเราเสียรายได้ แล้วทำไมมันยังอยู่”
“ฟังพี่อธิบายก่อนนะ”
“ไม่ต้องพูด พี่ภูเห็นคนอื่นดีกว่าคุณเล็ก พี่ภูไม่รักน้องคนนี้ของพี่ภูอีกแล้ว”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคุณเล็ก”
สุพัฒนาไม่ฟังเสียงรีบลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเซเหมือนจะล้ม ภูชิชย์รีบเข้าไปพยุง แต่สุพัฒนาสะบัดตัวออกทันที
“ไม่ต้องมายุ่งกับคุณเล็ก กี่ครั้งแล้วที่พี่ภูเลือกมัน คุณเล็กเกลียดพี่ภู”
“คุณเล็ก เรามาคุยกันด้วยเหตุผลดีกว่าไหม”
“ไม่...คุณเล็กไม่คุยอะไรทั้งนั้น คุณเล็กเกลียดพี่ภู คุณเล็กเกลียดพี่ภูได้ยินไหม คุณเล็กเกลียดพี่ภู”
สุพัฒนาอาละวาดกวาดข้าวของใกล้มือบนโต๊ะรับแขกลงพื้นจนแตกกระจาย แล้วเธอก็จ้องหน้าภูชิชย์พร้อมกับหอบอย่างแรง
ภูชิชย์พูดกับน้องสาวด้วยเสียงเรียบนิ่ง “ถ้าคุณเล็กพร้อมจะคุยด้วยเหตุผลกับพี่เมื่อไหร่ เราค่อยมาคุยกัน”
สุพัฒนาอึ้ง “พี่ภู...พี่ภูไม่เคยเป็นแบบนี่ เพราะนังนั่นใช่ไหม”
“ไม่ใช่เพราะใครทั้งนั้น แต่เพราะพี่เป็นผู้บริหารที่ต้องดูแลคนงานเป็นสิบเป็นร้อยชีวิตต่างหาก”
พูดจบภูชิชย์ก็เดินออกไป สุพัฒนามองตามด้วยความเจ็บใจก่อนจะร้องกรี๊ดออกมาดังๆ
ภูชิชย์เดินออกมาแล้วก็ต้องกลับไปแอบดู เขาเห็นน้องสาวตัวเองร้องกรี๊ดไม่หยุด ก่อนที่บัวเกี๋ยงจะเข้าไปพยุง
“คุณเล็กพี่ขอโทษนะ แต่พี่ตามใจคุณเล็กไม่ได้ทุกเรื่องจริงๆ”
นุ้ยกับนุ่นนั่งทำการบ้านด้วยอารมณ์เซ็งอยู่ในห้องรับแขกบ้านนริศณา ลัคนาเดินเข้ามาในห้อง พอเห็นท่าทางของลูกทั้งสองก็เอ่ยถาม
“เป็นอะไรกันอีกล่ะสองพี่น้อง รีบๆทำการบ้านสิ จะได้ทานข้าว”
“นุ้ยคิดถึงอานิดครับ”
“นุ่นก็เหมือนกัน อยากให้อานิดกลับบ้าน”
ลัคนาได้ยินดังนั้นก็หงุดหงิดขึ้นมาทันที เธอรีบเดินมาจับมือลูก
“นี่..เราสองคนน่ะ แม่บอกแล้วไงอานิดไม่อยู่น่ะดีแล้ว พวกเราจะได้มีสตางค์ไปเที่ยวไปซื้อของเล่นไม่ดีเหรอคะ”
เด็กทั้งสองส่ายหน้าพร้อมกัน
“เอาล่ะๆ วันหยุดนี้แม่จะพาไปเที่ยวแล้วกันนะ” ลัคนาตัดบท
“คุณแม่จะพาไปไหนเหรอครับ” นุ้ยถาม
“ไปไกลๆเลยจะได้ไม่ต้องคิดถึงอานิดอีก...ดีไหม” ลัคนาบอก
นุ้ยกับนุ่นหน้างอเพราะไม่มีความสุข ลัคนาส่ายหน้าด้วยความระอาใจ
ลาวัลย์ที่อยู่ในชุดพยาบาลกำลังจัดยาอยู่ที่เคาเตอร์ ทันใดนั้นมือถือของเธอก็ดังขึ้น ลาวัลย์รีบกดรับ “ว่าไงเหรอพี่นา”
ลัคนากำลังคุยกับน้องสาวอยู่ที่ห้องรับแขกของบ้าน
“ทำอะไรอยู่ทำไมรับช้า” ลัคนาหงุดหงิด
“เอ้า...วันก็มีการมีงานทำนะพี่นา ตกลงจะพูดธุระไหม วันจะต้องไปจัดยาคนไข้”
“นี่วันหยุดยาวนี้พี่จะพาหลานไปหาที่เชียงใหม่นะ” ลัคนาบอกน้องสาว
“โอ๊ย ถ้าจะมาพักที่หอไม่เอานะ วันยังไม่ได้เก็บห้องเลย”
“พี่รู้นิสัยแกหรอกย่ะ พี่จะไปพักโรงแรมหรูๆสบายๆดีกว่า จองให้ด้วยนะ”
ลาวัลย์ดีใจ “จริงเหรอ เปิดอีกห้องให้วันด้วยสิขี้เกียจนอนหอ”
“ก็ดีเหมือนกัน จะได้ช่วยพี่หารค่าห้องด้วย”
“แหม...งกไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเลยนะคุณพี่ แล้วตกลงจะบอกแค่นี้ใช่ไหม จะไปทำงานแล้ว”
“ย่ะ อย่าลืมลางานนะ จะได้พาฉันเที่ยว แต่ถ้าลาไม่ได้ก็ทิ้งรถไว้ฉันขับเอง”
ลาวัลย์กดวางหูโทรศัพท์แล้วเบ้ปากใส่ “ตืดสุดๆ”
น้ำจากปสริงเกอร์รดไร่กาแฟทำให้บรรยากาศยามเช้าที่ไร่กาแฟสดชื่นมากขึ้น นริศรากำลังตรวจดูการผสมปุ๋ยของลุงปั๋นกับคนงานอยู่
“ที่จริงเราใช้แต่ปุ๋ยหมักอย่างเดียวไม่ได้เหรอจ๊ะลุงปั๋น” นริศราถาม
“ไม่ได้หรอกครับ” ลุงปั๋นตอบ “กาแฟเนี่ยถ้าจะให้ได้ผลผลิตดี เราต้องใช้ทั้งปุ๋ยหมักแล้วก็ปุ๋ยเคมีอย่างที่คุณนิดเคยเห็นน่ะครับ บางทีมันก็มีหนอนมีเชื้อรา ถ้าใช้แต่ปุ๋ยหมักมันเอาไม่อยู่”
“แต่แบบนี้เราก็เปลืองค่าปุ๋ยแย่น่ะสิ”
“พ่อเลี้ยงแกก็บ่นๆเหมือนกันครับเวลาปุ๋ยขึ้นราคา แต่แกก็ยังหาทางออกไม่ได้”
นริศรามองไปที่ไร่ด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ภูชิชย์ นริศรา และนิพนธ์นั่งคุยกันอยู่ที่โซฟาห้องรับแขก
“จะขอพื้นที่บางส่วนงั้นเหรอ” ภูชิชย์ถามย้ำ
“ใช่ค่ะ เพราะฉันอยากจะลองปลูกกาแฟแบบเศรษฐกิจพอเพียง” นริศราบอก
“กาแฟแบบเศรฐกิจพอเพียง” ภูชิชย์ทวนคำ
“ใช่...ฉันหาข้อมูลมาบ้างแล้ว ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมมาก เรียกว่าเป็นกาแฟปลอดสารพิษ”
“ฉันไม่เห็นด้วย มันจะทำให้คุณภาพของผลผลิตในไร่ตกลง” ภูชิชย์ค้าน
“นั่นสิครับคุณนิด ลูกค้าที่ซื้อกาแฟจากไร่เรา จะคุ้นเคยกับรสชาติและคุณภาพแบบนี้ ผมเกรงว่าเราจะเสียลูกค้า” นิพนธ์บอก
“ไม่เสียหรอกค่ะ ตรงกันข้ามเราจะขยายไลน์เพื่อเจาะตลาดลูกค้ากลุ่มใหม่ด้วยซ้ำ”
ภูชิชย์กับนิพนธ์มองหน้ากันเป็นเชิงปรึกษา นริศราพูดต่อ
“ลองคิดดูสิคะ ในอนาคตลูกค้ากลุ่มของกาแฟปลอดสารพิษจะต้องเพิ่มขึ้น โอเค รสชาติอาจจะไม่ดีเท่า แต่คนกินกาแฟกลุ่มที่รักสุขภาพก็จะได้กาแฟบริสุทธิ์”
“แล้วเธอจะทำยังไงกับมัน” ภูชิชย์ถาม
เวลาต่อมา ภูชิชย์ นริศรา และนิพนธ์ออกมายืนอยู่ที่ไร่กาแฟ
“จากที่ฉันลองหาข้อมูลมา การปลูกพืชแซมกับต้นกาแฟเราไม่ควรคิดถึงในแง่เศรษฐกิจมากเกินไป” นริศราอธิบาย
“นี่...ฉันทำธุรกิจนะ ไม่ใช่ทำไร่ไว้บริจาค” ภูชิชย์รีบแย้ง
นริศรายิ้มหวาน “หุบปากแล้วฟังฉันก่อนได้ไหมคะ”
นิพนธ์ขำเบาๆ จนภูชิชย์ต้องหันมาจ้อง
“อย่างตอนนี้เราอาจจะมีปัญหาเรื่องเชื้อรา ซึ่งถ้าเราใช้ยาฆ่าแมลงก็จะเห็นผลในระยะสั้น และเราก็ต้องเสียเงินซื้อยาอยู่ตลอด แต่ถ้าเราปลูกมะม่วงแซม ความหวานของมะม่วงก็จะเรียกมดแดงให้มาทำรัง ซึ่งเชื้อรามันแพ้เจ้ามดแดง ทีนี้เชื้อราก็จะไม่มี เราก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อยาฆ่าแมลง”
“แต่มันก็ประหยัดเงินแค่เรื่องยาฆ่าแมลง แล้วมันจะคุ้มกับผลผลิตที่ได้หรือครับ” นิพนธ์ถาม
“ถ้าแค่นี้ก็ไม่คุ้มหรอกค่ะ แต่ถ้าเราลดการใช้ปุ๋ยเคมี แล้วใช้แต่ปุ๋ยหมักที่เราทำเอง แล้วก็ลดการให้น้ำให้น้อยลง เราก็จะประหยัดต้นทุนได้อีกเยอะเลยนะคะ”
“ลดการให้น้ำเหรอครับ ผมว่ามันเสี่ยงนะครับ กาแฟจะตายได้” นิพนธ์แย้ง
“นั่นสิ ฉันว่าเธออย่ามาทำธุรกิจฉันเจ๊งจะดีกว่า” ภูชิชย์รีบเสริม
“มันจะเจ๊งได้ยังไง กาแฟเป็นไม้ยืนต้นนะคะ โดยธรรมชาติแค่น้ำตามฤดูฝนก็เพียงพอแล้ว แต่เราไปประคบประหงมให้น้ำวันละสองสามครั้งจนต้นกาแฟมันชิน พอไม่ให้น้ำมันก็เลยตาย”
นิพนธืนิ่งคิดแล้วก็พูด “ที่คุณนิดพูดก็มีเหตุผลนะครับ”
“ฮึ...ก็จำเขามาพูดทั้งนั้น” ภูชิชย์แขวะ
“ถ้างั้นก็ให้ฉันลองทำไหมล่ะ พ่อเลี้ยงเคยบอกฉันว่าให้ฉันโชว์ฝีมือการทำงาน ไม่ใช่เก่งแต่ทำความสะอาด นี่ฉันก็จะแสดงให้ดูแล้วไงคะ พ่อเลี้ยงจะขวางฉันเหรอ” นริศราท้าทาย
“ก็ได้ ฉันจะสละพื้นที่ให้เธอทำลายเล่นสักหนึ่งไร่ อยากจะดูเหมือนกันว่ามันจะมีกำไรไหม”
“ก็ถ้าคุณไม่ใช่คนโลภมากขูดเลือดขูดเนื้อ รับรองไม่ขาดทุนแน่”
ภูชิชย์กับนริศราประสานสายตาอย่างไม่ยอมกัน
ความมืดห่มคลุมไร่สุพัฒนาอันกว้างขวาง นริศราที่ในชุดนอนกำลังปูที่นอนใหม่ พรที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินเช็ดหัวเข้าห้องมาเห็นก็ตกใจรีบเข้าไปทำเอง
“อุ๊ย...คุณนิดขา เดี๋ยวพรทำให้ค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกพร ฉันทำได้”
พรยิ้ม “คุณนิดนี่น่ารักจังเลยนะคะ สงสัยอยู่ที่บ้านครอบครัวจะรักมาก”
นริศราได้ยินก็ชะงักทันทีแล้วรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มก่อนจะปูเตียงต่อ พรมองอย่างสงสัย
“คุณนิดคะ เมื่อกี้ที่พรพูดเรื่องครอบครัว ถ้าพรทำให้คุณนิดไม่พอใจพรขอโทษนะคะ”
พูดจบพรก็ยกมือไหว้ นริศรารีบจับมือพร
“ขอโทษทำไม พรไม่ได้ทำอะไรผิด ที่ฉันเงียบไปน่ะ เพราะ.....เพราะฉันก็ไม่แน่ใจว่าฉันยังมีครอบครัวอยู่หรือเปล่า”
นริศราพูดแล้วก็ถอนหายใจจนพรรู้สึกสงสารต้องจับมือนริศราเป็นการปลอบใจ
ภาพถ่ายครอบครัวซึ่งประกอบด้วย นริศรา ลัคนา ณรงค์ นุ้ยและนุ่นที่ถ่ายหน้าศพของ พล.อ. ณัฐ อยู่ในมือของนริศรา นริศรานั่งมองภาพดังกล่าวแล้วถึงกับน้ำตาไหล
“ครอบครัวของฉัน”
นริศราหยิบมือถือขึ้นมาวางแล้วมองอย่างใช้ความคิด มือถือของเธอไม่ได้เปิดเครื่องมานานนับตั้งแต่เธอมาถึงที่นี่ นริศราตัดสินใจกดปุ่มเปิดเครื่อง ทันใดนั้นก็มีเสียงข้อความดังขึ้นหลายครั้ง
นริศราเห็นข้อความเข้าก็ดีใจรีบเปิดดูทันที แต่แล้วเธอก็ต้องงง
“นายโป๊ะ....ส่งมากี่สิบข้อความนี่” นริศราเลื่อนข้อความดูทั้งหมด “ดีนะ...ไม่มีของญาติฉันสักคน”
นริศรากดฟังข้อความเสียงที่พิสุทธิ์ฝากไว้
“นิด....เรามีข่าวดีจะบอก เราได้ไปทำงานที่เชียงใหม่ เราไม่รู้ว่านิดอยู่ที่ไหนในภาคเหนือ แต่เราจะได้ไปอยู่ใกล้นิดขึ้นอีกนิดแล้วนะ ถ้านิดเปิดเครื่องแล้วโทรหาเราด้วยนะ”
นริศรามีสีหน้าแปลกใจ “โป๊ะจะมาทำงานที่เชียงใหม่งั้นเหรอ”
อ่านต่อหน้าที่ 2
รักประกาศิต ตอนที่ 6 (ต่อ)
พิสุทธิ์กำลังจัดเสื้อผ้าลงกระเป๋าอยู่ในห้องนอน สักพักมือถือของเขาก็ดังขึ้น พิสุทธิ์เดินไปหยิบมาดู พอเห็นชื่อนริศราก็รีบกดรับด้วยความดีใจ
“นิด...นิดจริงๆเหรอ....นิดใช่ไหม”
นริศรานั่งคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องพัก
“ก็ใช่สิ มันโชว์เบอร์เราไม่ใช่เหรอ จะตื่นเต้นไปทำไม” นริศรางง
“โธ่...ก็เรานึกว่าจะติดต่อนิดไม่ได้แล้ว นิดโทรมานี่เราดีใจมากเลยรู้ไหม”
“แหม...เราก็ต้องโทรหาโป๊ะสิ เปิดเครื่องมาก็มีแต่โป๊ะ รวมมิสคอลกับข้อความก็เป็นร้อยได้มั้ง” นริศราหัวเราะ
“โอเค...เห็นความห่วงใยของเราเป็นเรื่องตลกใช่ไหม น้อยใจนะเนี่ย” พิสุทธิ์ยิ้ม
“โอ๋ๆๆ ขอโทษ จริงๆแล้วเราดีใจมากกว่านะ อย่างน้อยบนโลกใบนี้ก็มีคนห่วงเราอยู่ตั้งหนึ่งคนแน่ะ”
“และคนนี้ก็จะห่วงนิดตลอดไปด้วย”
“โอ๊ย...เปิดช่องไม่ได้เลยนะ” นริศราขำ “แล้วนี่โป๊ะจะมาทำงานที่เชียงใหม่เมื่อไหร่”
“วันเสาร์นี้”
“จริงเหรอ เราหยุดพอดีเลย งั้นเรานัดเจอกันนะ”
พิสุทธิ์ดีใจ “นิดสัญญาแล้วนะ”
พิสุทธิ์วางสายด้วยท่าทีดีใจ เขาหยิบรูปที่ถ่ายคู่กับนริศราที่อยู่หัวเตียงขึ้นมาดู
“นิด เราดีใจที่สุดในโลกเลยรู้ไหม”
เช้าวันใหม่ นริศรายืนรอรถอยู่ที่หน้าไร่ รถของเจ้าทิพย์ดาราแล่นเข้ามาจอด เจ้าทิพย์ดารารีบลงจากรถมาหานริศราทันที
“อย่าบอกนะคะว่าคุณนิดมายืนรอรถ” เจ้าทิพย์ดาราถาม
“เผอิญว่าเจ้าทายถูกซะด้วยสิคะ” นริศราตอบ
“แล้วทำไมไม่ใช้รถประจำตำแหน่งล่ะคะ”
“ไม่เอาดีกว่าค่ะ นิดไม่อยากให้พ่อเลี้ยงมาว่านิดได้ว่าเอารถของไร่มาใช้ธุระส่วนตัว”
“คุณนิดนี่ตงฉินจริงๆเลย แล้วนี่จะไปไหนคะ”
“จะไปเชียงใหม่ค่ะ พอดีมีธุระนิดหน่อย”
“จริงเหรอคะ ดีเลย งั้นไปด้วยกันนะคะ น้อยก็จะไปเชียงใหม่พอดี”
“ถ้าไม่รบกวนนิดก็ขอติดรถไปด้วยนะคะ”
“ไม่รบกวนหรอกค่ะ แต่ว่าของน้อยนัดกับภูไว้ด้วยคุณนิดคงไม่ว่าอะไรนะคะ”
นริศราหน้าเจื่อนลงทันที
นิพนธ์กำลังนั่งทำงานอยู่ในห้อง จู่ๆ สุพัฒนากับบัวเกี๋ยงก็เปิดประตูพรวดเข้ามา
“นิพนธ์ บัวเกี๋ยงมันบอกว่าพี่ภูออกไปข้างนอกกับนังเจ้าน้อยกับนังนิดเหรอ” สุพัฒนาถาม
“ครับ”
“แค่นังเจ้าน้อยฉันก็จะบ้าตายอยู่แล้ว นี่ยังมีนังนิดอีก เธอปล่อยมันไปกับพี่ภูได้ยังไง”
“คุณเล็กครับ คุณนิดเธอไปธุระส่วนตัวนะครับ” นิพนธ์บอก
“ฉันไม่สนว่าใครจะมีธุระอะไร แต่เธอต้องตามไปแยกมันออกจากพี่ภู หูหนวกหรือไงที่ฉันบอกให้จีบมันน่ะ”
นิพนธ์ไม่ตอบได้แต่นิ่งเงียบ
“งานง่ายๆแค่นี้ถ้าทำไม่ได้ก็ไสหัวไปเลย”
สุพัฒนาจ้องหน้านิพนธ์ด้วยสีหน้าเครียด
นิพนธ์ออกมายืนดูแปลงดอกไม้ที่ถูกปรับแต่งผิวดินใหม่แต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์
“งานง่ายๆแค่นี้ถ้าทำไม่ได้ก็ไสหัวไปเลย” เสียงของสุพัฒนาดังก้องอยู่ในหัวของเขา
นิพนธ์ขบกรามแน่นแล้วลงมือขุดพรวนดินที่แปลงดอกไม้
ภูชิชย์ขับรถไปตามถนนที่มุ่งสู่จังหวัดเชียงใหม่โดยมีเจ้าทิพย์ดารานั่งอยู่ข้างๆ ส่วนนริศรานั่งอยู่ด้านหลัง
“เดี๋ยวถึงเชียงใหม่แล้วเราไปส่งคุณนิดก่อนนะคะภู” เจ้าทิพย์ดาราขอ
“อุ๊ย...ไม่เป็นไรค่ะ นิดลงตรงไหนก็ได้” นริศรารีบบอก
“ได้ยังไงคะ มาแล้วก็ต้องส่งให้ถึงที่ น้อยอยากชวนทานข้าวด้วยกันด้วยซ้ำไป”
“เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ นิดมาซื้อของใช้นิดเดียวเดี๋ยวก็กลับแล้ว”
ภูชิชย์เริ่มสงสัย “มาถึงเชียงใหม่เพื่อมาซื้อของใช้นิดหน่อยงั้นเหรอ”
นริศรารีบกลบเกลื่อน “ทำไมคะ ที่ไร่มีกฎห้ามมาซื้อของที่เชียงใหม่เหรอ”
ภูชิชย์ได้ยินก็รู้สึกฉุนแต่ทำอะไรไม่ได้
“ซื้อของงั้นก็ต้องไปห้างใช่ไหมคะ” เจ้าทิพย์ดาราถาม
“ใช่ค่ะใช่ นิดจะไปห้าง”
“ภูคะ งั้นไปส่งคุณนิดก่อนนะคะ”
ภูชิชย์มองนริศราผ่านกระจกมองหลังแต่นริศราทำเป็นไม่สนใจ
ภูชิชย์ขับรถของเจ้าทิพย์ดารามาจอดที่ริมถนนหน้าห้างสรรพสินค้า นริศราลงมาจากรถ แล้วมองจนแน่ใจว่าภูชิชย์ขับรถไปแล้ว จึงค่อยโบกมือเรียกรถสองแถวแล้วก็ก้าวขึ้นรถไป
รถสองแถวคันที่นริศราโดยสารแล่นมาจอดริมถนนหน้าโรงแรมแชงกรีล่า นริศราลงมาจ่ายเงินแล้วเดินเข้าไปในล็อบบี้ ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาจะกดโทรออก
“จะโทรหาใครอ่ะนิด” เสียงพิสุทธิ์ดังขึ้นที่ด้านหลัง
นริศราหันไปตามเสียงก็เห็นเพื่อนชายอยู่ในชุดสูทกำลังยืนยิ้มอยู่
นริศรายิ้ม “โป๊ะ”
ภูชิชย์เดินดูวิวรอเจ้าทิพย์ดาราอยู่ที่ริมสระน้ำของโรงแรม เจ้าทิพย์ดาราเดินมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ” ภูชิชย์ถาม
“ก็ลูกค้าของเจ้าพ่อน่ะสิคะ ยังขาดอีกสองคน เห็นบอกว่าไฟลท์จากกรุงเทพฯเกิดดีเลย์” เจ้าทิพย์ดาราบอก
“ไม่เป็นไรครับผมรอได้”
“น้อยเกรงใจภูจังเลย เอาอย่างนี้ไหมคะ ภูไปเดินเล่นที่ห้างก่อน เดี๋ยวน้อยเสร็จธุระแล้วจะรีบโทรบอก”
“ได้ครับ”
“ยังไงน้อยจะเลี้ยงข้าวภูเป็นการขอโทษนะคะ”
ทั้งสองจับมือกันแล้วยิ้มให้กัน จากนั้นเจ้าทิพย์ดาราก็เดินไปอีกทางหนึ่ง ส่วนภูชิชย์เดินเข้าล้อบบี้โรงแรม
พิสุทธิ์พานริศราเดินชมบริเวณโรงแรม
“โห...โรงแรมโป๊ะสวยจังนะ” นริศราเอ่ยชม
“อย่ามาเฉไฉ บอกได้หรือยังว่าทำงานที่ไหน ตำแหน่งอะไร แล้วงานหนักไหม” พิสุทธิ์ถาม
นริศราฝืนยิ้ม “โอ๊ย เราสบายดี งานก็แฮปปี้”
“แฮปปี้จนตัวดำผอมโซแบบนี้อ่ะนะ นิด มาทำงานที่นี่เอาไหม เราจะบอกจีเอ็มให้รับรองคุณพ่อคุณแม่ไม่รู้หรอก”
“อย่าดีกว่า เราไม่อยากอึดอัดใจ โป๊ะเข้าใจเรานะ”
พิสุทธิ์ฝืนพยักหน้ายิ้มรับ
“ว่าแต่โป๊ะเถอะ ทำไมไม่กลับไปเรียนต่อ นี่เรางงมากเลยนะที่จู่ๆโป๊ะก็มาทำงาน”
“เรารอจะกลับไปเรียนพร้อมนิดไง”
นริศราอึ้ง “โป๊ะ...ทำไมทำแบบนี้”
พิสุทธิ์พูดเหนือใส่ “นิดยังยะการยะงานได้เราก็ทำได้ เหลืออีกแค่เทอมเดียว ถ้าจะกลับเราก็กลับไปพร้อมกันนะ”
“นี่ถือว่ากดดันให้เรารีบเก็บตังค์นะเนี่ย”
พิสุทธิ์กับนริศรายิ้มให้กัน
“ไหนๆก็มาแล้ว ขอให้ลูกชายเจ้าของโรงแรมโชว์ห้องพักให้ดูหน่อยแล้วกัน” นริศราแซว
“ยินดีรับใช้ดุจทาสในเรือนเบี้ยคร๊าบ”
พิสุทธิ์พานริศรามาที่เคาน์เตอร์รีเซพชั่น ภูชิชย์เปิดประตูกระจกเดินเข้ามาเพื่อจะเดินลงบันไดไปลานจอดรถ แล้วเขาก็รู้สึกเหมือนเห็นอะไรแวบๆ จึงหยุดเดินแล้วหันมอง เขาเห็นพิสุทธิ์กับนริศรายืนคุยและหัวเราะอยู่กับพนักงาน
“นี่นะเหรอมาซื้อของที่ห้าง” ภูชิชย์รำพึง
พิสุทธิ์กับนริศรารับกุญแจแล้วเดินอย่างมีความสุขไปที่ลิฟท์ขึ้นห้องแขก ภูชิชย์ที่หลบได้อย่างหวุดหวิดถึงกับมองตาค้าง
“ขึ้นห้องกับผู้ชายกลางวันแสกๆเนี่ยนะ”
ประตูลิฟท์เปิด พิสุทธิ์กับนริศราประคองกันเดินเข้าลิฟท์ไป ภูชิชย์ออกมาจากที่ซ่อนแล้วมายืนมองพร้อมกับส่ายหน้า
“นายวัสจะต้องรู้ความจริงเรื่องนี้”
พิสุทธิ์เปิดประตูพานริศราเดินเข้ามาในห้องสวีทเล็กที่เขาพัก
“นี่เป็นห้อง Executive Suite” พิสุทธิ์อธิบาย “เล็กกว่าห้อง Presidential Suite ที่เราโชว์ให้นิดดูเมื่อกี้เข้ามานั่งก่อนสิ นี่เป็นห้องพักของเราเอง”
นริศราเดินเข้ามามองรอบๆ ห้องด้วยความชื่นชม
“โรงแรมของโป๊ะนี่ห้องสวยทุกห้องเลยนะ”
“ยังเปลี่ยนใจมาทำงานกับเราได้อยู่นะ”
นริศรายิ้ม “โป๊ะนี่ตื้อสุดยอดจริงๆเลยนะ”
“ตื้อขนาดนี้นิดยังไม่ใจอ่อนเลย นี่ถ้าเราตื้อขอชวนทานข้าวด้วยก็คงไม่ใจอ่อนแน่ๆ”
“ได้สิ แต่ไม่เอาในโรงแรมนะ”
“ทำไมล่ะ อาหารโรงแรมเราอร่อยนะ”
“เรารู้ แต่ดูเราแต่งตัวสิ ไม่เอาดีกว่าเราอยากไปทานข้างนอกอ่ะ”
“โอเค...งั้นก็ได้ แต่เราขออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อก่อนนะ”
“ตามสบาย” พิสุทธิ์บอก
พิสุทธิ์เดินเข้าห้องนอนไปแล้วปิดประตู นริศราหยิบรีโมทมาเปิดทีวี
ภูชิชย์นั่งกระสับกระส่ายอยู่ที่โซฟาภายในล็อบบี้โรงแรม เขานั่งหันหลังให้ลิฟท์แต่ก็คอยชะเง้อมองไปที่ลิฟท์ทุกครั้งที่ลิฟท์เปิดแต่ก็มีแต่แขกคนอื่นเดินออกมา
ภูชิชย์เหลือบดูเวลา “หายเข้ากลีบเมฆไปเลยนะ”
ภูชิชย์พูดจบประตูลิฟท์ก็เปิดแล้วพิสุทธิ์กับนริศราก็เดินออกมา โดยที่พิสุทธิ์ออกมาในชุดใหม่ ภูชิชย์รีบลุกเดินออกไปหาทันที
“นริศรา” ภูชิชย์เรียก
พอเห็นภูชิชย์ นริศราก็หน้าถอดสีทันที
“พ่อเลี้ยง”
“ใครน่ะนิด” พิสุทธิ์ถาม
“ไปก่อนเถอะโป๊ะพาเราหนีหน่อย” นริศราขอร้องเพื่อน
พิสุทธิ์รีบพานริศราวิ่งออกไปอีกด้านของโรงแรม ภูชิชย์จะวิ่งตามแต่โทรศัพท์ของเขาดังขึ้นเสียก่อน ภูชิชย์เจ็บใจได้แต่มองตามพร้อมกับกดรับสาย
“ครับเจ้า....ผมยังอยู่ที่โรงแรมครับ”
ภูชิชย์กับเจ้าทิพย์ดาราออกมายืนรอที่หน้าโรงแรม ภูชิชย์ส่ายสายตามองไปรอบๆ เพื่อหานริศรา
“ภูหาอะไรคะ” เจ้าทิพย์ดาราถาม
“นริศราครับ” ภูชิชย์บอก
“คุณนิด เธออยู่ที่นี่เหรอคะ”
“ครับ แต่คงหนีไปแล้ว”
“ภูพูดอะไร น้อยไม่เข้าใจ”
“เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง”
ทันใดนั้นพนักงานก็ขับรถขึ้นมาจอด ภูชิชย์ให้ทิปพนักงานแล้วขึ้นรถไปกับเจ้าทิพย์ดารา พอรถของเจ้าทิพย์ดาราแล่นพ้นไปนริศรากับพิสุทธิ์ก็ออกมาจากที่ซ่อน
“โป๊ะ เราเปลี่ยนใจแล้ว ทานข้าวโรงแรมแล้วกัน” นริศราบอก
ภูชิชย์กับเจ้าน้อยเดินคุยกันมาตามทางในห้างสรรพสินค้า เจ้าทิพย์ดาราฟังเรื่องจากปากภูชิชย์แล้วก็มีสีหน้าตกใจ
“อะไรนะคะ คุณนิดน่ะเหรอ ขึ้นห้องกับผู้ชายที่โรงแรม”
“ใช่ครับผมเห็นกับตา”
“แต่เขาอาจจะเป็นเพื่อนกันก็ได้นะคะ”
“ผมไม่เชื่อ ถ้าเป็นเพื่อนกันแล้วจะหนีผมทำไม ผมว่ายัยนี่ต้องไม่ใช่คนดี”
“น้อยว่าเราอย่าเพิ่งตัดสินใครถ้าเรายังไม่รู้ความจริงทั้งหมดดีกว่าไหมคะ”
“โธ่เจ้า จนถึงขนาดนี้แล้วยังจะเข้าข้างเขาอีก”
“น้อยไม่ได้เข้าข้างนะคะ แต่น้อยว่าเรื่องนี้เราต้องพิสูจน์ให้แน่ชัด ไม่อย่างนั้นมันอาจจะไม่ยุติธรรมกับคุณนิดก็ได้นะคะ”
“งั้นเจ้ารอดูความจริงได้เลยครับ ผมว่าอีกไม่นานยัยนี้ต้องลายออกแน่”
ภูชิชย์พูดอย่างหงุดหงิดแต่ก็เถียงอะไรไม่ได้มากจึงหันหน้าไปทางอื่น เจ้าทิพย์ดาราส่ายหน้าอย่างระอาใจ
เวลาผ่านไป นริศรากับพิสุทธิ์ทานอาหารที่ห้องอาหารในโรงแรมเสร็จ
“ถ้าพ่อเลี้ยงรู้ความจริงว่าเราเป็นใคร เขาต้องเอาข้ออ้างเรื่องวุฒิการศึกษามาเล่นงานเราแน่ๆ” นริศราบอก
“ก็เลยคิดจะปิดไว้อย่างนี้ตลอดไป” พิสุทธิ์ถาม
“ไม่หรอกก็จนกว่าเราจะเก็บเงินกลับไปเรียนต่อได้แล้วลาออกจากที่นี่”
“นิด...ทำไมต้องทำตัวเองให้ลำบากขนาดนี้”
“เราไม่ได้อยากลำบากนะโป๊ะ แต่งานนี้มันเป็นงานเดียวที่เราหาได้ด้วยตัวเอง”
“เราเข้าใจ แต่ถ้านิดต้องการให้เราช่วยอะไรก็บอกได้นะ เรายินดี”
“ขอบใจมากนะโป๊ะ”
นริศรานิ่งไป พิสุทธิ์รีบยิ้มปลอบแล้วพูดกับนริศรา
“ไป...เราไปเที่ยวกันต่อเถอะ”
“ไม่เอาอ่ะ เรากลัวเจอกับพ่อเลี้ยง”
“เอาน่า ที่ๆเราจะพาไปรับรองไม่เจอแน่”
“จริงเหรอ?”
พิสุทธิ์พยักหน้า “ยกเว้นว่าเราสองคนจะดวงตกจริงๆ”
นริศราแอบค้อน พิสุทธิ์หัวเราะ
ลิฟท์บริเวณล็อบบี้โรงแรมเปิดออก ลัคนาเดินหน้าตึงออกมาพร้อมกับลาวัลย์และลูกทั้งสอง
“นี่แกหาโรงแรมอะไรให้พี่ทำไมมันแพงแบบนี้” ลัคนาโวย
“อ้าว ก็พี่นาจะเอาโรงแรมดีๆไม่ใช่เหรอ โรงแรมนี่ก็ดีที่สุด ใหม่ที่สุดในเชียงใหม่แล้วนะ” ลาวัลย์บอก
“แต่ฉันไม่ได้บอกว่าจะเอาแพงที่สุดด้วยนี่”
“งั้นก็ไปเช็คเอ๊าท์เลยแล้วกัน” ลาวัลย์ประชด
“จะบ้าเหรอ ทำแบบนั้นฉันก็เสียหน้าสิ”
ลาวัลย์ค้อนใส่พี่สาวแล้วหันไปทางอื่นแต่เธอก็ต้องชะงัก “เอ๊ะ...นั่นนิดนี่”
ทุกคนหันตามไปทางที่ลาวัลย์มองก็เห็นนริศรากับพิสุทธิ์ยืนรอรถอยู่ด้านนอกประตู พอนุ้ยกับนุ่นเห็นนริศราก็ดีใจ
“อานิด อานิดครับ” นุ้ยพยายามเรียก
“พี่นุ้ยไปหาอานิดเถอะ” นุ่นบอกพี่ชาย
เด็กสองคนจะวิ่งไปหานริศรา แต่ลัคนาดึงเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนลูกอย่าเพิ่งไป”
“ผมจะไปหาอานิด” นุ้ยบอก
ลัคนาดุ “แม่บอกไม่ให้ไปก็ไม่ให้ไปสิ”
นุ้ยกับนุ่นเงียบทันที เด็กทั้งสองได้แต่มองนริศราขึ้นรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของพิสุทธิ์ โดยที่นริศรามองไม่เห็นครอบครัวของลัคนา
ลัคนา ลาวัลย์ นุ้ย และนุ่นยืนอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์อย่างอารมณ์ไม่ค่อยดี
“เช็คดูดีๆสิคะ แน่ใจนะว่าไม่มีแขกชื่อนริศรา สุริยรักษ์” ลัคนากำชับพนักงาน
“ไม่มีแน่นอนค่ะ” พนักงานบอก
“หรือใช้ชื่อผู้ชาย” ลาวัลย์ตั้งข้อสงสัย
“จริงด้วย นี่น้องเมื่อกี้ผู้ชายตัวสูงๆที่ยืนรอมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ๆกับผู้หญิงที่พี่บอกน่ะ น้องเห็นไหม” ลัคนาถาม
“คุณพิสุทธิ์น่ะเหรอคะ”
“พี่ไม่รู้ชื่อจริงหรือ รู้แต่ชื่อเล่นเขาน่ะ แต่อยากรู้ว่าสองคนนั่นเขาพักที่นี่หรือเปล่า ถ้าพักอยู่ห้องไหน”
“เอ่อ....คุณพิสุทธิ์เป็นลูกชายเจ้าของโรงแรมค่ะ ส่วนคุณผู้หญิงเป็นเพื่อนคุณพิสุทธิ์แต่ไม่ได้พักที่นี่ค่ะ” พนักงานบอก
“ห๊า...เจ้าของโรงแรมเลยเหรอ” ลัคนาตกใจ
พิสุทธิ์ขี่มอเตอร์ไซค์พานริศราซ้อนท้ายไปตามถนนที่มีสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ นริศรากับพิสุทธิ์แวะถ่ายรูปที่โป่งแยงแอ่งดอย จากนั้นทั้งคู่ก็ไปนั่งช้างชมวิวน้ำตกและป่าเขา แล้วนริศรากับพิสุทธิ์โหนตัวตามสลิงสูงเพื่อชมวิวเมืองเชียงใหม่
ภูชิชย์ยืนอยู่ในห้องรับแขกที่บ้านพัก เขามองออกไปข้างนอก สักพักก็เดินไปเปิดทีวีดูแต่ตาก็ยังคอยมองไปข้างล่าง
ภูชิชย์นั่งอ่านหนังสือ นอนฟังเพลงตั้งแต่เย็นย่ำไปจนถึงเวลากลางคืน
ภูชิชย์นั่งทำงานจนง่วงเลยปิดคอมพิวเตอร์ แล้วลุกขึ้นไปปิดไฟระหว่างนั้นเขาได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ดังกระหึ่มเลยแอบเดินไปดูทางหน้าต่าง ภูชิชย์เห็นพิสุทธิ์ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดหน้าอาคารสำนักงานโดยมีนริศราซ้อนท้ายอยู่ข้างหลัง
พิสุทธิ์ถอดหมวกกันน๊อคออกมาแล้วคุยกับนริศรา
“ที่นี่บ้านพักนิดเหรอ”
“เปล่าหรอก เราพักบ้านพักคนงานข้างหลังน่ะ”
พิสุทธิ์แปลกใจ “บ้านพักคนงาน.... นี่เขาไม่มีบ้านผู้จัดการไร่เหรอ”
“มีแต่ของผู้ชายนะ...ส่วนผู้จัดการหญิงที่นี่ยังไม่เคยมีเราก็เลยไม่มีบ้าน”
พิสุทธิ์ฟังแล้วก็เศร้าแทน
“ฟังดูดีนะ แต่เพื่อนเราต้องลำบาก”
นริศรายิ้ม “โป๊ะกลับไปเถอะ ขอบใจมากนะสำหรับวันนี้ ขับรถดีๆล่ะถึงโรงแรมแล้วโทรบอกด้วยนะ”
พิสุทธิ์ยิ้มแล้วขี่รถมอเตอร์ไซต์กลับไป นริศราจะเดินไปด้านหลัง แต่เธอเห็นภูชิชย์เปิดประตูสำนักงานออกมา
“เป็นไงหายไปทั้งวันขนาดนี้ ไม่ค้างคืนซะเลยล่ะ” ภูชิชย์ถามแขวะ
นริศราไม่อยากคุยด้วยเลยจะเดินหนี แต่ภูชิชย์เดินมาดึงข้อมือของเธอไว้
“ฉันจะบอกสิ่งที่ฉันเห็นกับนายวัส เขาจะได้หูตาสว่างขึ้น” ภูชิชย์ขู่
“ก็ตามใจคุณสิ แต่ฉันเชื่อว่าคุณวัสเขาไม่สนใจเรื่องไร้สาระที่คุณฟ้องหรอก เพราะเขาดูฉันที่ผลงาน”
“ผลงาน” ภูชิชย์ขำ “ผลงานวันนี้ของเธอก็คือการขึ้นห้องกับไอ้มอเตอร์ไซค์ปากซอยเมื่อกี้น่ะสิ”
“หยาบคาย....ขอโทษฉันเดี๋ยวนี้นะ” นริศราฉุน
“ฉันพูดความจริงทำไมต้องขอโทษ”
นริศราใช้ข้อศอกเสยปลายคางภูชิชย์เข้าเต็มเปา จนภูชิชย์ต้องปล่อยมือออกจากข้อมือของเธอทันที
“โอ๊ย!” ภูชิชย์ร้องด้วยความเจ็บ เขาเอามือกุมคางเอาไว้แล้วมองหน้านริศราอย่างเจ็บใจ นริศราจ้องกลับด้วยความโกรธ
“คุณเป็นเจ้านายฉัน แต่คุณไม่มีสิทธิ์มาดูถูกฉัน” นริศราเสียงแข็ง
พูดจบนริศราก็เดินเข้าบ้านไป ภูชิชย์มองตามจะอ้าปากว่าแต่ก็รู้สึกเจ็บปลายคาง
“ฝากไว้....อู๊ย....ศอกแหลมเป็นบ้าเลย”
อ่านต่อหน้าที่ 3
รักประกาศิต ตอนที่ 6 (ต่อ)
นริศราอาบน้ำเสร็จแล้วก็เปิดประตูห้องพักเข้ามานั่งเซ็งอยู่ที่หน้ากระจก เธอเอามือคลำที่ข้อศอกตัวเองด้วยความโกรธค้าง
“ถ้าฉันเก็บเงินได้เมื่อไหร่ฉันจะรีบไปให้พ้นๆนายเลย นายภูชิชย์บ้า”
ระหว่างนั้นพรที่นอนหลับอยู่ได้ยินเสียงบ่นของนริศราก็ลืมตาตื่นขึ้นมา
“คุณนิดเป็นอะไรคะ”
“ขอโทษนะที่ทำพรตื่น”
พรยิ้มแล้วจะนอนต่อแต่เห็นนริศรานั่งพร้อมกับจับข้อศอกอยู่เลยลุกไปดู
“อุ๊ยถลอกนิดนึงด้วย ไปโดนอะไรมาคะ” พรถาม
“เอ่อ...อ๋อ...พอดีเจอหมาที่หน้าไร่ มันจะกัดฉันเลยศอกเข้าให้แล้วไปโดนฟันมัน”
พรงง “ห๊า...คุณนิดใช้ศอกกับหมา แล้วก้มไปศอกปากมันยังไงคะ”
“เอ่อ...ฉันล้อเล่นน่ะ ไปนอนเถอะ”
พรมองนริศราอย่างงงๆ แล้วก็เดินไปนอนต่อ นริศราก้มดูแผลที่ศอกตัวเอง
ภูชิชย์นั่งอ้าปากพร้อมกับจับฟันดูว่าโยกหรือเปล่าอยู่ในห้องนอนตัวเอง ระหว่างนั้นเขาก็จามออกมา
“โอ๊ย...เจ็บฟันเจ็บกรามแล้วยังมาจามอีก อู๊ย”
ภูชิชย์เอามือลูบกรามแล้วก็ครุ่นคิด
“ฮึ....มาว่าฉันดูถูก เล่นหว่านเสน่ห์ไปทั่ว ทั้งนายวัส นิพนธ์ นายโป๊ะ ต้องบอกว่าฉันรู้ทันต่างหากล่ะ ยัยศอกแหลม” ภูชิชย์พูดจบก็เจ็บกรามขึ้นมาอีก “โอ๊ย”
ภูชิชย์ลุกขึ้นเดินไปมองที่หน้าต่าง
“ยิ่งนับวันผู้หญิงคนนี้ก็ยิ่งมีอะไรแปลกๆ”
ท้องฟ้าทั่วบริเวณไร่เริ่มมีแสงอ่อนๆ ไก่ขันดังตามจุดต่างๆ พวกคนงานนั่งกินอาหารกันอยู่ในโรงอาหาร นริศราเดินเอาภาชนะที่กินเสร็จแล้วไปใส่อ่างสำหรับล้าง จากนั้นเธอก็เดินมาที่รถกระบะแล้วก็ต้องแปลกใจที่เห็นภูชิชย์ยืนรออยู่ นริศราทำเป็นไม่สนใจจะเดินไป ภูชิชย์ปรี่มาขวาง
“ไปกับฉัน” ภูชิชย์บอก
“ไปไหนคะ” นริศรางง
“ก็ไปดูที่ๆเธอขอยังไง อยากพิสูจน์ฝีมือไม่ใช่เหรอ”
นริศราดีใจ “ตกลงคุณอนุมัติให้ฉันทำแล้วเหรอ”
“ฉันก็แค่อยากรู้ว่าเธอจะมีน้ำยาหรือเปล่า”
นริศรามั่นใจ “ฉันมีแน่...ไม่งั้นคางคุณไม่โย้ขนาดนี้หรอก”
นริศรายิ้มกวนๆ ให้ภูชิชย์แล้วก็เปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ ภูชิชย์ตามขึ้นไปแล้วก็ขับรถออกไป
รถกระบะของนริศราแล่นผ่านบริเวณต่างๆ ที่อุดมสมบูรณ์ของไร่ ก่อนที่จะขับมาถึงถนนขรุขระที่เป็นทางผ่านไปสู่พื้นที่รกร้างท้ายไร่
“จอดตรงนี้แหล่ะ” ภูชิชย์บอก
นริศราจอดรถแล้วทั้งคู่ก็ลงมาจากรถ นริศรามองไปรอบๆ พื้นที่ที่ยังไม่ทำอะไรเลย
“นี่คุณจะให้ฉันทำที่นี่น่ะเหรอ” นริศราถาม
ภูชิชย์อมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ใช่...ก็เธออยากจะทำกาแฟปลอดสารพิษไม่ใช่เหรอ ที่ท้ายไร่นี่แหล่ะเหมาะ บริสุทธิ์ผุดผ่องขนาดรอยเท้าคนยังไม่มีเลย รับรองไม่มีสารอะไรตกค้างอยู่ในดินแน่”
นริศรามองอย่างพิจารณาแล้วเดินดูรอบๆ
“ทำไม่ได้ใช่ไหม จำไว้ทีหลังอย่าทำปากเก่ง ทำงานที่นี่น่ะต้องทำกับความจริง ไม่ใช่ความฝัน ไปได้แล้วฉันมีธุระ” ภูชิชย์สรุปเอง
ภูชิชย์จะเปิดประตูรถแต่นริศราพูดขึ้นมาก่อน
“ตกลงฉันจะทำ”
ได้ยินดังนั้นภูชิชย์ก็อึ้งเพราะพูดไม่ออก นริศราจ้องหน้าภูชิชย์ด้วยสีหน้าจริงจัง
“ฉันจะปลูกกาแฟปลอดสารพิษตรงนี้ถ้าคุณอนุญาตจริง”
“แต่ว่าที่ตรงนี้มัน....” ภูชิชย์อ้ำอึ้ง
นริศราสวนขึ้นทันที “ขอบคุณนะคะพ่อเลี้ยง ฉันจะทำมันให้สำเร็จค่ะ”
“เอ่อ...เธอจะไม่ลองดูที่อื่นก่อนไหม”
“ไม่ค่ะ ฉันไม่อยากทำตัวเรื่องมาก”
นริศราหันกลับไปมองพื้นที่ที่แห้งแล้งบริเวณนั้น ภูชิชย์เห็นสีหน้ามุ่งมั่นของนริศราแล้วก็หนักใจ
นิพนธ์ฟังภูชิชย์เล่าก็มีสีหน้าตกใจ
“ที่ท้ายไร่เหรอครับ” นิพนธ์ถามย้ำ
“ใช่” ภูชิชย์ตอบ
“แต่ว่าที่ตรงนั้นมันไม่เคยได้รับการดูแลเลยนะครับ ผมว่ามันจะหนักไปสำหรับโครงการของคุณนิด พ่อเลี้ยงไม่น่าไปแกล้งเธอ”
“ก็...ก็..” ภูชิชย์ถอนใจ “ก็ใครจะไปรู้ว่ายัยนั่นจะบ้าบิ่นรับล่ะ ผมแค่อยากให้เขาเห็นว่าโครงการของเขามันทำได้แต่ในฝัน”
นิพนธ์ถอนใจเพราะรู้สึกเครียดขึ้นมาทันที
“สายแล้วผมไปรับเจ้าน้อยก่อน ถ้ามีอะไรก็โทรตามนะ”
ภูชิชย์ขอตัวแล้วเดินออกไปจากห้อง นิพนธ์เก็บเอกสารงานของภูชิชย์ ทันใดนั้นภูชิชย์ก็เดินกลับเข้ามาในห้องทำงานอีก นิพนธ์มองอย่างงงๆ
“พ่อเลี้ยงลืมอะไรเหรอครับ”
“ถ้ายัยนั่นเขามีปัญหาอะไร คุณก็ไปช่วยดูๆหน่อยนะ” ภูชิชย์บอก
นิพนธ์ยิ้ม “พ่อเลี้ยงเริ่มสงสารคุณนิดแล้วใช่ไหม”
“สงสารอะไร ผมกลัวยัยนั่นจะละลายเงินผมเล่นต่างหาก คนค้าขายลงทุนก็ต้องหวังกำไรสิ” ภูชิชย์เดินไปแล้วก็นึกได้จึงเดินกลับมาใหม่อีกครั้ง “อ้อ...แล้วไม่ต้องบอกว่าผมให้ช่วยล่ะ”
“ทำไมล่ะครับ”
ภูชิชย์พยายามนึก “เอ่อ...ก็ผมไม่อยากให้ยัยนั่นได้ใจอ่ะสิ”
พูดจบภูชิชย์ก็เดินออกไปทันที นิพนธ์มองตามอย่างงงๆ
“ไหนตอนแรกบอกจะให้พื้นที่คุณนิดทำลายเล่น แล้วทำไมตอนนี้เกิดจะเสียดายเงิน”
เจ้าทิพย์ดารากับภูชิชย์นั่งอยู่ด้วยกันที่หน้าล็อบบี้โรงแรม เจ้าทิพย์ดารามองหน้าภูชิชย์ที่กรามช้ำบวมแล้วก็ขำออกมา
“เจ้าครับ หยุดหัวเราะเถอะ ผมขอร้อง”
เจ้าทิพย์ดาราพยายามกลั้นขำ “ขอโทษค่ะ น้อยขอโทษ แต่น้อยไม่คิดนี่คะว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างคุณนิดจะเก่งขนาดนี้ สงสัยน้อยต้องไปเรียนวิชาป้องกันตัวจากเธอไว้บ้างแล้ว”
“ผมชักน้อยใจแล้วนะ ทุกครั้งที่ผมทะเลาะกับยัยนั่น เจ้าเข้าข้างเขาตลอดเลย”
“แต่ภูไปว่าคุณนิดเธอแรงๆก่อนนะคะ เป็นน้อยๆก็โกรธ”
“ผมไม่ได้ว่า แต่ผมเห็นกับตาครับว่ายัยนั่นขึ้นห้องไปกับผู้ชาย”
“เขาอาจจะเป็นเพื่อนกันก็ได้ เพื่อนผู้ชายของน้อยก็เคยมาพักที่นี่ น้อยก็เคยขอขึ้นไปดูห้องพักของเขาภูก็รู้ ไม่เห็นว่าอะไร”
“แต่ผมว่าเคสของเขากับเจ้าไม่เหมือนกัน” ภูชิชย์รีบบอก
“ไม่เหมือนเฉพาะกับความรู้สึกของภูหรือเปล่าคะ”
“ผมว่าเลิกคุยเรื่องยัยนั่นดีกว่า พูดแล้วโมโห”
เจ้าทิพย์ดารายิ้มเอ็นดูที่เห็นภูชิชย์งอน ระหว่างนั้นเซลล์ของโรงแรมก็เดินมาพร้อมกับพิสุทธิ์
“สวัสดีค่ะเจ้าน้อย พ่อเลี้ยง” เซลล์ทักขึ้น
ภูชิชย์กับเจ้าทิพย์ดาราเงยหน้าขึ้นตามเสียง พอภูชิชย์กับพิสุทธิ์สบตากันก็อึ้งไปแต่ทั้งคู่ก็พยายามเก็บอาการไว้
“นี่คุณพิสุทธิ์ค่ะ” เซลล์แนะนำ “ลูกชายเจ้าของโรงแรมมาฝึกงาน นกเลยขอพามาฟังด้วยคงไม่เป็นไรนะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ด้วยความยินดี สวัสดีค่ะคุณพิสุทธิ์” เจ้าทิพย์ดาราทักทาย
“เรียกผมว่าโป๊ะก็ได้ครับ”
พิสุทธิ์กับเจ้าทิพย์ดารายิ้มให้กัน ภูชิชย์มองพิสุทธิ์ด้วยความสงสัยแต่พิสุทธิ์พยายามทำเฉย
“งั้นเราไปดูห้องประชุมเลยนะคะ เผื่อเจ้าน้อยอยากให้ปรับเปลี่ยนอะไร” เซลล์บอก
แล้วทั้งหมดก็ลุกออกไป ภูชิชย์เดินรั้งท้ายเพราะต้องการลอบสังเกตพิสุทธิ์
“เลือกแต่รวยมีระดับนะนริศรา” ภูชิชย์พึมพำ
เซลล์ของโรงแรมพาเจ้าทิพย์ดาราเดินชมห้องประชุม โดยมีพิสุทธิ์เดินตามและภูชิชย์เดินรั้งท้ายเพื่อจับสังเกตพิสุทธิ์ ซึ่งพิสุทธิ์ก็พยายามเดินห่างๆ
“ทางด้านบนจะเก็บจอโปรเจ็คเตอร์ไว้ค่ะ” เซลล์อธิบาย “ส่วนไวท์บอร์ดจะซ่อนอยู่หลังกำแพงค่ะคงต้องให้วิทยากรยืนด้านนี้จะได้ใช้อุปกรณ์ง่ายค่ะ”
“เยี่ยมเลยค่ะ งั้นวันประชุมน้อยจะเข้ามาเตรียมอุปกรณ์แต่เช้านะคะ” เจ้าทิพย์ดาราบอก
“ได้ค่ะ ถ้าเรียบร้อยแล้วเดี๋ยวนกไปส่งพ่อเลี้ยงกับเจ้าที่รถนะคะ” เซลล์บอก
“ยังไม่ต้องหรอกครับ ผมอยากขอคุยกับคุณโป๊ะสักหน่อย” ภูชิชย์รีบบอก
เจ้าทิพย์ดารากับเซลล์มองหน้ากันอย่างงงๆ ส่วนพิสุทธิ์แอบถอนใจด้วยความเครียด
ภูชิชย์ เจ้าทิพย์ดารา และพิสุทธิ์มานั่งอยู่ในร้านกาแฟของโรงแรม
“เมื่อวานผมเห็นคุณกับนริศรา” ภูชิชย์บอก
“อ้าว...นี่คุณโป๊ะรู้จักคุณนิดเหรอคะ” เจ้าทิพย์ดาราทำเป็นถาม
“เอ่อ...ครับ เราเป็นเพื่อนกัน” พิสุทธิ์ตอบ
“เพื่อนที่ไหนครับ”
ภูชิชย์ถามแบบรุกไล่ พิสุทธิ์เริ่มอึดอัด
เจ้าทิพย์ดาราสะกิดภูชิชย์เป็นเชิงปรามไม่ให้เสียมารยาท “ภูคะ”
“ที่ผมถามก็เพราะนริศราทำงานกับผม แต่ผมกลับไม่รู้ประวัติหรือข้อมูลอะไรของเขาสักอย่าง ถ้าคุณเป็นเพื่อนคงบอกผมได้นะครับ”
พิสุทธิ์นิ่งเงียบไม่ตอบอะไร ภูชิชย์จ้องหน้าอย่างคาดคั้น
“ผมคงต้องขออนุญาตปฎิเสธพ่อเลี้ยงครับ เพราะนิดเขาขอไว้” พิสุทธิ์พูด
ภูชิชย์เริ่มหงุดหงิด “ก็คือคุณจะช่วยเขาปิดบังผม”
พิสุทธิ์นิ่งเงียบไม่ตอบคำ เจ้าทิพย์ดาราเห็นท่าไม่ดีจึงรีบไกล่เกลี่ย
“ภูคะ ถ้าคุณโป๊ะไม่สะดวกใจเราก็อย่าไปบังคับเขาเลยค่ะ”
“ผมต้องขอโทษพ่อเลี้ยงกับเจ้าน้อยด้วยนะครับ ที่ไม่สามารถบอกอะไรเกี่ยวกับนิดได้ แต่ผมยืนยันได้ว่านิดเป็นคนดี เขาไม่มีเจตนาร้ายกับใครแน่นอนครับ” พิสุทธิ์บอก
ภูชิชย์จ้องพิสุทธิ์ด้วยสายตาพิจารณา
นุ้ยกับนุ่นเล่นน้ำอย่างสนุกสนานอยู่ที่สระว่ายน้ำของโรงแรมโดยมีการ์ดของสระคอยดูแล ส่วนลัคนากับลาวัลย์นั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะริมสระ
“ตกลงวันนี้พี่นากับหลานจะไม่ไปเที่ยวไหนใช่ไหม” ลาวัลย์ถาม
“ไม่อ่ะ พี่อยากอยู่ในโรงแรม” ลัคนาตอบเสียงเซ็งๆ
ลาวัลย์เริ่มฉุน “ดีนะ ให้วันแลกเวรเพื่อมานั่งที่โรงแรม พี่นานี่เอาใจยากจริงๆเลย”
“นี่ยัยวัน ที่พี่งดเที่ยววันนี้ก็เพื่อแกนะ”
“เพื่อวัน?” ลาวัลย์งง
“เดี๋ยวแกไปกับพี่” ลัคนาเดินไปพูดกับการ์ด “น้องคะ พี่ฝากลูกๆไว้แป๊บนะคะ เดี๋ยวพี่กลับมา”
การ์ดพยักหน้าแล้วลัคนาก็เดินไปจูงลาวัลย์ให้เดินไปด้วยกัน ลาวัลย์เดินตามไปอย่างงงๆ
ลัคนาคุยกับพนักงานที่ล็อบบี้ของโรงแรมเสร็จแล้วก็เดินกลับมาหาลาวัลย์
“พนักงานบอกนายโป๊ะไปรับลูกค้า ขยันจริงๆนะเนี่ย ขนาดวันหยุดยังทำงาน” ลัคนาบอก
“แล้วพี่นาจะไปดักเจอนายโป๊ะนั่นทำไม” ลาวัลย์ถาม
“ก็ดักให้แกยังไง”
“ให้วัน...อะไรของพี่เนี่ย” ลาวัลย์งง
“ก็แกมันเรื่องมาก บอกให้จับหมอรวยๆสักคนก็ไม่เอา พี่ก็จะจัดการให้ไง ไม่อยากเห็นน้องสาวฉันขึ้นคาน”
ลาวัลย์ตกใจ “พี่นา วันไม่เอานะ วันไม่ชอบแบบนายคนนี้”
“เรื่องมากจริงนะแก ถ้าไม่ชอบแบบนี้แล้วจะเอาแบบไหน”
ลัคนาถามกลับแต่ลาวัลย์เบือนหน้าหนีจนไปเห็นภูชิชย์ เจ้าทิพย์ดารา และพิสุทธิ์เดินอยู่ไกลๆ ทั้งสามจะเดินออกไปหน้าโรงแรม
“แบบนั้นไงที่วันชอบ ผู้ชายที่เดินมากับนายโป๊ะน่ะ” ลาวัลย์ชี้บอกพี่สาว
ลัคนางง “คนที่แต่งตัวธรรมดาๆแบบนี้น่ะเหรอ”
“ใช่...ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา”
ลาวัลย์มองตามภูชิชย์ไปเรื่อยๆ แล้วยิ้มอย่างมีความสุข แต่ลัคนามองด้วยสายตาที่ไม่ชื่นชม
พิสุทธิ์ออกมายืนส่งภูชิชย์กับเจ้าทิพย์ดาราที่กำลังรอขึ้นรถที่พนักงานกำลังจะขับมาอยู่ที่หน้าโรงแรม ลัคนากับลาวัลย์ยืนดูทั้งสามอยู่ด้านในโรงแรม
“นั่นน่ะพ่อเลี้ยงภูชิชย์ เจ้าของไร่สุพัฒนา กับ บริษัทสุพัฒนาการเกษตร เชียวนะ” ลาวัลย์บอกพี่สาว
ลัคนาเบ้ปาก “ก็แค่ชาวไร่”
“ใช่ ชาวไร่ที่รวยติดอันดับต้นๆของภาคเหนือ”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ มิน่า นายโป๊ะต้องมายืนกุมเป้าส่งด้วยตัวเอง โอเค...คนนี้ก็ได้พี่อนุมัติ แต่รวยจริงอะไรจริงนะ” ลัคนาถามย้ำ
“อนุมัติก็ไม่ได้หรอกค่ะคุณพี่สาว”
“ทำไม?”
“เขามีแฟนแล้ว คนที่อยู่กับเขาไง เจ้าทิพย์ดารา ลูกสาวคนเดียวของไร่เทพมงคล” ลาวัลย์บอก
ลัคนาพยักหน้ารับรู้แล้วมองไปก็เห็นรถหรูของภูชิชย์แล่นเข้ามาจอด ภูชิชย์กับเจ้าทิพย์ดาราขึ้นรถไป พิสุทธิ์โค้งให้เล็กน้อย
“งั้นก็อย่าไปสนใจเลย ตอนนี้เราไปหานาย เอ๊ย คุณโป๊ะก่อนดีกว่า” ลัคนาชวน
“เอ๊ะพี่นา ก็วันบอกว่าไม่ชอบไง”
“รู้แล้วน่า....แต่พี่จะเอาห้องฟรี....ไปเร็ว”
ลัคนาพยายามดึงลาวัลย์ที่ไม่ค่อยอยากจะไปให้เดินตามไป
พิสุทธิ์เดินกลับเข้ามาที่ล้อบบี้แล้วจะเดินไปที่ลิฟท์ แต่ลัคนาจูงลาวัลย์เดินเข้ามาเรียกไว้
“คุณโป๊ะ” ลัคนาส่งเสียงเรียก
พิสุทธิ์หันไปตามเสียงก็เห็นลัคนาเดินยิ้มมาแต่ไกล พิสุทธิ์เห็นดังนั้นก็ตกใจมาก
“ต๊าย...ตาย ดีใจจังที่ได้เจอคุณโป๊ะที่นี่” ลัคนาพูด
พิสุทธิ์ยิ้มเจื่อนๆ “เหรอครับ ตอนผมไปถามหานิด เหมือนคุณจะไม่ดีใจแบบนี้”
ลัคนาจ๋อยไป “อ๋อ...คือตอนนั้นพี่เองก็ตามหาน้องนิดเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหนก็เลยหงุดหงิดน่ะค่ะ เอาเป็นว่าพี่ขอโทษแล้วกันนะคะ”
“ครับ ไม่เป็นไรครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
“เดี๋ยวสิคะ พี่เพิ่งทราบว่าคุณโป๊ะเป็นเจ้าของโรงแรม” ลัคนาเข้าเรื่อง
“ของครอบครัวครับ” พิสุทธิ์บอก
“นั่นแหล่ะค่ะ พี่ก็พักที่นี่นะคะ น้องสาวพี่ลาวัลย์เขาเป็นพยาบาลที่เชียงใหม่ เขาแนะนำมาค่ะ พี่พาลูกๆมาพักแล้วก็ช้อบชอบ”
“ขอบคุณครับ”
“นี่พี่ตั้งใจว่าจะมาพักอีกบ่อยๆ ถ้ายังไงคราวนี้คุณโป๊ะให้ห้องฟรีพี่ได้ไหมคะ พี่เห็นเป็นเพื่อนน้องนิดนะคะเลยกล้าขอ”
พิสุทธิ์อมยิ้มที่มุมปากด้วยความสมเพชลัคนา ลาวัลย์ก็ยิ้มเจื่อนๆ ด้วยความอาย
ภูชิชย์ขับรถโดยที่เจ้าทิพย์ดารานั่งอยู่ข้างๆ เจ้าทิพย์ดาราสังเกตว่าภูชิชย์มีสีหน้าเครียดจึงถามขึ้น
“คิดอะไรอยู่เหรอคะ”
“ผมว่านายโป๊ะกับนริศราไม่ใช่แค่เพื่อนกัน”
“แต่ตอนแรกภูบอกน้อยเองไม่ใช่เหรอคะว่าคุณนิดจะจับคุณวัส”
“ก็จับปลาสองมือไงครับ” ภูชิชย์สรุป
“ภูคะ มองคุณนิดในแง่ร้ายเกินไปหรือเปล่าคะ”
“ถ้าผมยังสืบหาตัวตนเขาไม่ได้ ผมก็คงจำเป็นจะต้องมองเขาแบบนี้”
เจ้าทิพย์ดารายิ้ม “นี่ภูคะ น้อยชักจะน้อยใจภูแล้วนะ”
“น้อยใจผม?” ภูชิชย์งง
“ก็ดูภูสิ เดี๋ยวนี้สนใจคุณนิดมากกว่าน้อยอีกนะคะ”
ภูชิชย์อึ้งไปทันที
“เอ่อ....ผมขอโทษครับ แต่ผมแค่...”
เจ้าทิพย์ดาราพูดสวนขึ้นทันที “น้อยพูดเล่นน่ะคะ”
พอได้ยินเช่นนั้นภูชิชย์ก็ยิ้มรับเจื่อนๆ แล้วดึงมือเจ้าทิพย์ดาราขึ้นมาหอม เจ้าทิพย์ดาราเขินอาย
“ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่จะสำคัญมากไปกว่าเจ้าน้อยแล้วนะครับ”
นิพนธ์กำลังขมักขเม่นอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่โต๊ะทำงาน สักพักนริศราก็เดินเข้าห้องมา
“ทำอะไรอยู่คะ หน้าเครียดเชียว” นริศราถาม
“ทางจังหวัดจะให้นักศึกษายุวเกษตรกรจากอเมริกามาฝึกงานที่ไร่ของเรา ผมต้องทำหนังสือตอบรับส่งไปที่มหาวิทยาลัยของเขาน่ะครับ นี่ผมก็เปิด Dict จนตาลายไปหมดแล้ว” นิพนธ์บอก
“ให้นิดช่วยไหมคะ”
นิพนธ์ดีใจ “จริงเหรอครับ” นิพนธืยื่นกระดาษส่งให้ “นี่เป็นจดหมายส่งตัวจากทางโน้นครับ”
นริศรารับไปอ่านสักพักจึงพูดออกมา
“สบายมาก เดี๋ยวนิดตอบให้ค่ะ”
นริศราลงนั่งพิมพ์หนังสือตอบที่หน้าคอมพิวเตอร์อย่างคล่องแคล่ว นิพนธ์มองอย่างอึ้งๆ
เวลาผ่านไป นริศราดึงกระดาษออกมาจากเครื่องปรินท์ส่งให้นิพนธ์
“คุณนิพนธ์ตรวจดูก่อนนะคะ”
“โห...คุณนิด นี่คุณนิดภาษาต้องดีมากเลยนะครับ ถึงได้ตอบเร็วแบบนี้” นิพนธ์เอ่ยชม
“นิด เอ่อ..นิด เคยผ่านงานเลขามาก่อนน่ะคะ เรื่องตอบจดหมายก็เลยพอทำได้”
“เดี๋ยว ผมส่งให้พ่อเลี้ยงตรวจดีกว่า เพราะภาษาผมก็งูๆปลาๆตามประสาคนจบเกษตรน่ะครับ” นิพนธ์นึกขึ้นได้ “แล้วนี่คุณนิดมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”
“อ๋อ...ใช่ค่ะ เกือบลืมเลย”
นริศราเดินนำนิพนธ์มาที่ที่ดินว่างเปล่าท้ายไร่
“คุณนิพนธ์ว่านิดจะปลูกกาแฟได้ไหมคะ” นริศราถาม
“ถ้าตามหลักการมันก็คงจะได้แหล่ะครับ เพราะกาแฟขึ้นได้ทุกที่ ทุกอากาศ แม้แต่ในน้ำ เพียงแต่เราต้องหาพันธ์ที่เหมาะสม ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะช่วยคุณนิดอีกแรง”
“อย่าดีกว่าค่ะ เดี๋ยวพ่อเลี้ยงจะหาว่านิดไม่ได้ทำเอง” นริศราเกรง
“ไม่เป็นไรหรอกครับ พ่อเลี้ยงแกก็บอกไว้เหมือนกัน”
นิพนธ์พูดไปแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้รีบหยุดพูดทันที
“บอกอะไรคะ” นริศราถาม
“ไม่มีอะไรหรอกครับ” นิพนธ์กลบเกลื่อน
“ฮึ..คงบอกว่า นิดจะไปไม่รอดแล้วต้องมาขอความช่วยเหลือคุณนิพนธ์ใช่ไหมคะ”
“คุณนิดครับ อย่าคิดไปไกลเลยนะครับ”
“ไม่ไกลหรอกค่ะ คนแบบนี้นิดอ่านทางออก เอาเป็นว่านิดไม่กวนคุณนิพนธ์ดีกว่า ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ ที่เหลือนิดจะทำเอง”
นิพนธ์หน้าเสียพูดอะไรไม่ออกได้แต่พยักหน้ารับกับคำพูดของนริศรา
นริศราขับรถมาส่งนิพนธ์ที่หน้าสำนักงานแล้วก็ขับรถออกไป นิพนธ์ยืนส่งจนรถนริศราแล่นพ้นไป แล้วก็จะเดินเข้าตัวอาคาร แต่สุพัฒนากับบัวเกี๋ยงเดินเข้ามาหานิพนธ์ก่อน
สุพัฒนายิ้ม “ไปไหนกับนังนิดมาเหรอ”
“คุณนิดให้ผมไปช่วยดู....”
นิพนธ์ยังตอบไม่จบสุพัฒนาสวนขึ้นก่อน “เอาละๆ ไม่ต้องสาธยายเยอะแยะ สั้นๆเลยนะ มันชอบเธอแล้วใช่ไหม”
“คุณเล็กครับ ผมกับคุณนิดไม่มีทางชอบกัน” นิพนธ์ยืนยัน
“ทำไมจะไม่มีทาง ถ้าฉันสั่งมันต้องมีทางสิ”
นิพนธ์ยืนเงียบ
“จำไว้นะนิพนธ์ ถ้าทำอย่างที่ฉันสั่งไม่ได้ ก็ลาออกไป ฉันไม่ชอบให้ลูกจ้างขัดใจฉัน”
นิพนธ์เดินอย่างเซ็งๆ เข้าสำนักงานไป สุพัฒนามองตามด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“เรื่องซื่อบื้อละไม่มีใครเกิน” สุพัฒนาบ่น
“คุณนิพนธ์นี่แกแปลกๆนะคะ สวยๆอย่างนังนิดไม่ชอบ สงสัยจะชอบพวกไม่สวยไม่สมประกอบ” บัวเกี๋ยงว่า
สุพัฒนาเบ้ปากอย่างไม่สนใจ
ทันใดนั้นรถของภูชิชย์ก็แล่นเข้ามาจอด ภูชิชย์กับเจ้าทิพย์ดาราลงจากรถก็เจอสุพัฒนากับบัวเกี๋ยง พอเห็นภูชิชย์สุพัฒนาก็เข้าไปหาภูชิชย์ทันที
“พี่ภู เอามันเข้ามาทำไม ไล่มันออกไปเดี๋ยวนี้ ไล่มันออกไป นังบัวเกี๋ยงไล่มันสิ”
บัวเกี๋ยงมองภูชิชย์แล้วไม่กล้าเดินไปได้แต่ยืนหลบอยู่ด้านหลังสุพัฒนา
“ภูคะ น้อยไปรอข้างในนะคะ” เจ้าทิพย์ดาราบอก
“อีบ้า แกจะไปไหน ออกไปเดี๋ยวนี้ ฉันไม่ต้อนรับแก”
สุพัฒนาจะเข้าไปตีเจ้าทิพย์ดารา แต่ภูชิชย์เข้ามาดึงแขนน้องสาวไว้
“คุณเล็ก ฟังพี่นะ เจ้าน้อยมาที่นี่เพราะพี่เชิญ ถ้าคุณเล็กไม่ชอบเจ้าน้อยคุณเล็กก็กลับไปอยู่ที่บ้าน”
เมื่อได้ยินดังนั้นสุพัฒนาก็อึ้งไป และมือไม้เริ่มสั่น
“พี่ภู พี่ภูไม่เคยเป็นแบบนี้ เดี๋ยวนี้พี่ภูเห็นนังนี่ดีกว่าคุณเล็กเหรอ”
“คุณเล็กพี่ไม่ได้เห็นใครดีกว่าใคร แต่พี่ก็จะไม่ให้คุณเล็กรังแกเจ้าน้อยอีกแล้ว” ภูชิชย์เสียงแข็ง
สุพัฒนาตวาด “พี่ภูว่าคุณเล็กรังแกมันเหรอ แล้วที่มันจะแย่งพี่ภู มันจะฮุบไร่เราล่ะ พี่ภูจะยอมมันเหรอ”
“คุณเล็ก” ภูชิชยืพูดกับน้องสาว “ไม่มีใครแย่งพี่ไปจากคุณเล็กได้ แล้วเจ้าน้อยก็ไม่ได้จะมาเอาสมบัติเรา คุณเล็กอย่าคิดอะไรแบบนี้อีกเลยนะครับ พี่ขอร้อง”
“พี่ภู!” สุพัฒนาตวาดแล้วเธอก็เริ่มหอบหนัก ภูชิชย์จะเข้าไปหาน้องสาวแต่สุพัฒนาสะบัดแขนออก
“บัวเกี๋ยง พาฉันกลับห้อง”
สุพัฒนาทิ้งร่างเหมือนคนไม่มีแรง บัวเกี๋ยงต้องรีบเข้าไปพยุง ภูชิชย์จะเข้าไปช่วยแต่สุพัฒนาผลักมือพี่ชายออก
บัวเกี๋ยงพาสุพัฒนาเดินออกไป ภูชิชย์มองตามด้วยสีหน้าเศร้า เจ้าทิพย์เดินมาจับมือให้กำลังใจภูชิชย์
“น้อยขอโทษนะคะที่เป็นต้นเหตุอีกแล้ว”
“อย่าโทษตัวเองเลยครับเจ้า ยังไงผมก็จะหาทางแก้ปัญหาเรื่องอาการของคุณเล็กให้ได้นะครับ” ภูชิชย์บอก
เจ้าทิพย์ดารายิ้มให้กำลังใจภูชิชย์
บัวเกี๋ยงประคองสุพัฒนาเข้ามาในห้องนอน พอเข้าห้องได้สุพัฒนาก็ผลักบัวเกี๋ยงจนกระเด็น
“ว๊าย คุณเล็กทำบัวเกี๋ยงทำไมคะ” บัวเกี๋ยงตกใจ
“ฉันอยากจะตีแกให้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ”
พูดจบสุพัฒนาก็ตีบัวเกี๋ยง บัวเกี๋ยงต้องหลบเป็นพัลวัน
“คุณเล็กขาพอเถอะค่ะบัวเกี๋ยงกลัวแล้ว”
“ทีอย่างงี้มากลัว ทำไมเมื่อกี้แกไม่ลากนังเจ้าน้อยออกไป”
“ก็บัวเกี๋ยงกลัวพ่อเลี้ยงนี่คะ”
“ตกลงแกจะอยู่ข้างใคร”
“เปล่านะคะ แต่บัวเกี๋ยงเห็นตาพ่อเลี้ยงแล้วก็ไม่กล้า ก็ขนาดคุณเล็กพ่อเลี้ยงยังกล้าขัดเลย ขืนบัวเกี๋ยงทำอะไรลงไป พ่อเลี้ยงไม่ไล่บัวเกี๋ยงออกเหรอคะ”
สุพัฒนาชะงักแล้วคิดตาม
“ถูกของแก เดี๋ยวนี้พี่ภูเปลี่ยนไป”
“ใช่ค่ะ เดี๋ยวนี้พ่อเลี้ยงเปลี่ยนไปมาก เพราะนังเจ้าน้อยกับนังนิดนั่นแน่ๆ”
“ฉันไม่ยอมหรอก ไม่ว่าจะเป็นนังนิดหรือนังเจ้าน้อย ฉันจะทำทุกอย่างไม่ให้นังสองคนนี่มาแย่งพี่ๆของฉันแล้วก็สมบัติของฉันเป็นอันขาด”
สุพัฒนากำมือแน่นด้วยความโกรธ
อ่านต่อหน้าที่ 4
รักประกาศิต ตอนที่ 6 (ต่อ)
นริศราเดินคุยกับเจ้าทิพย์ดารามาตามทางเดินภายในไร่
“นิดเห็นใจเจ้าน้อยนะคะที่ต้องมาเจอคนอย่างคุณเล็ก เป็นนิดๆคงไปนานแล้วค่ะ”
เจ้าทิพย์ดารายิ้ม “น้อยก็เคยหนีไปแล้ว แต่สุดท้ายน้อยก็ต้องกลับมา”
“ความรักนี่มันน่ากลัวนะคะ ทำให้คนเราต้องมาติดอยู่กับอะไรก็ไม่รู้” นริศราบอก
“คุณนิดคะ อย่าไปโทษความรักเลยค่ะ ที่จริงการมีความรักเป็นสิ่งสวยงามนะคะ ทุกวันนี้ที่น้อยอยู่ได้อย่างมีความสุขก็เพราะน้อยรู้ว่าภูเขารักน้อยค่ะ ไว้วันหนึ่งคุณนิดมีความรักแล้วจะเข้าใจเอง”
“ของนิดคงอยากค่ะ นิดมีปัญหาให้คิดเยอะไม่มีเวลาไปคิดเรื่องพวกนี้หรอกค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวน้อยคงต้องกลับแล้ว ว่างๆเชิญคุณนิดไปที่ไร่ของน้อยบ้างนะคะ จะได้ไปเพนท์เสื้อกัน”
“ได้ค่ะ” นริศรารับคำ
เจ้าทิพย์ดาราจะเดินไปแต่แล้วก็นึกขึ้นได้
“ตาย...เกือบลืม ที่จริงน้อยตั้งใจจะมาบอกว่าวันนี้น้อยได้เจอคุณโป๊ะเพื่อนคุณนิดแล้วนะคะ”
นริศราตกใจ “เจ้าน้อยรู้จักโป๊ะเหรอคะ”
“ภูก็รู้จักค่ะ” เจ้าทิพย์ดาราบอก นริศราหน้าจ๋อยไปทันที
ภูชิชย์นั่งอ่านจดหมายอยู่ภายในห้องแล้วก็ยิ้มอย่างพอใจ
“ไม่ยักรู้ว่าภาษาคุณดีนะนิพนธ์ ไม่ใช่สิต้องบอกว่าดีมาก” ภูชิชย์ชม
“เอ่อ....ไม่ใช่ผมหรอกครับ คุณนิดเธอเขียนทั้งหมด” นิพนธ์บอก
ภูชิชย์อึ้ง “นริศราน่ะเหรอ”
“ครับ ผมถามเธอ เห็นบอกว่าเคยทำงานเลขามาก่อน”
“โม้มั้ง ผมว่ายัยนี่คงหาจากกูเกิ้ลแล้วก็ลอกเอาน่ะสิ”
“ไม่ลอกครับ ผมอยู่กับเธอตลอดเวลา คุณนิดใช้เวลาพิมพ์ไม่นานก็เสร็จครับ ผมว่าคุณนิดนี่ตัวจริงเลยครับ ทั้งสวยทั้งเก่งครบ”
ภูชิชย์มองนิพนธ์อย่างหมั่นไส้ “ท่าทางคุณจะหลงเสน่ห์ยัยนั่นเอามากนะนิพนธ์”
“แฮ่ะๆ ผมแค่ชื่นชมเธอน่ะครับ”
ภูชิชย์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
นริศรานั่งกินอาหารอยู่กับแม่อุ้ย พร ลุงปั๋น และคนงานอื่นๆ ที่โรงอาหาร โดยที่ผลนั่งอยู่ด้านหลัง
“จะไหวเหรอครับไปปลูกกาแฟที่ท้ายไร่” ลุงปั๋นเป็นห่วง
“นั่นสิคะ น้ำไฟไปไม่ถึงสักอย่าง” แม่อุ้ยเสริม
“ก็พ่อเลี้ยงเขาให้ที่ตรงนั้นฉันก็ต้องรับ ลุงปั๋นพรุ่งนี้บอกเป็งด้วยว่าฉันจะไปดูต้นอ่อนที่เรือนเพาะชำนะ” นริศราบอก
ระหว่างนั้นผลที่ฟังอยู่ก็ยกจานย้ายมานั่งข้างๆนริศรา
“ผมขอนั่งตรงนี้ได้ไหมครับ”
ทุกคนมองอย่างอึ้งๆ นริศราก็พูดไม่ออก
“ที่ตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมต้องมาเบียดด้วยล่ะพี่ผล” พรเอ่ยถาม
“เอ่อ...คือพี่มีธุระจะคุยกับคุณนิด” ผลตอบส่งๆ
พูดจบผลก็เขยิบเข้าใกล้นริศรา นริศรากระเถิบออกห่างก่อนจะถาม
“มีอะไรเหรอ”
“ให้ผมไปช่วยคุณนิดปลูกกาแฟพิษด้วยนะครับ” ผลเสนอตัว
“ไอ้บ้า...เขาเรียกกาแฟปลอดสารพิษเว้ย ฟังไม่ได้สับเลยนะเอ็ง” แม่อุ้ยว่า
“จะอะไรก็ช่าง ขอให้ผมได้ช่วยคุณนิดนะครับ”
ผลยิ้มเจ้าชู้ใส่จนนริศราและทุกคนอึดอัด
“เอาไว้ถ้าจะให้ช่วยฉันจะบอกอีกทีนะ” นริศราตัดบท
ผลยิ้มรับ นริศราทำหน้าเซ็ง ทันใดนั้นภูชิชย์ก็เดินเข้ามา
“นริศรา ฉันอยากคุยกับเธอ”
ภูชิชย์เดินนำนริศรามาหยุดที่มุมหนึ่งห่างจากบริเวณที่คนงานกินอาหารกันอยู่ เขาจ้องหน้านริศราอย่างพิจารณาจนนริศราอึดอัด
“คุณจะพูดเรื่องอะไร” นริศราเอ่ยถาม
“ภาษาอังกฤษเธอดีนี่” ภูชิชย์ชม
“เอ่อ...ก็งานเก่าของฉันต้องทำจดหมายพวกนี้บ่อย”
“ฉันไม่เชื่อ ลักษณะเธอเหมือนคนยังไม่ได้ฝึกงานมาด้วยซ้ำ”
“งั้นก็ตามใจคุณ”
“แล้วยังเรื่องนายโป๊ะลูกเจ้าของโรงแรมนั่นอีก ตกลงเธอเป็นใครกันแน่ เธอเกี่ยวข้องกับนายทหารที่นามสกุลเดียวกับเธอใช่ไหม”
“ตอนแรกว่าฉันเป็นมิจฉาชีพ ถึงขนาดรวมแก๊งกับมอเตอร์ไซค์ แล้ววันนี้จะให้ฉันเป็นญาติกับนายพล พ่อเลี้ยงคะ ตกลงคุณสับสนอะไรหรือเปล่า” นริศราต่อว่า
“งั้นก็บอกเรื่องของเธอมาสิ”
“ฉันขอตัวนะคะ นี่หมดเวลางานฉันแล้ว”
นริศราตัดบทแล้วจะเดินไปแต่ภูชิชย์มาขวางไว้
“ฉันไม่เข้าใจทำไมเธอถึงบอกประวัติกับฉันไม่ได้ ในขณะที่นายวัสกับนายโป๊ะนั่นกลับรู้เรื่องของเธอ”
“ฉันบอกแล้วไงคะ ฉันจะพิสูจน์ตัวด้วยผลงาน ไว้วันหนึ่งที่คุณมองฉันในแง่ดีเมื่อไหร่เราค่อยมาคุยกัน”
ภูชิชย์จ้องหน้านริศราด้วยความไม่พอใจก่อนจะเดินไปทันที นริศราถอนหายใจอย่างโล่งอก
พิสุทธิ์เดินวนไปวนมาอยู่ในห้องพักที่โรงแรม เขาพยายามต่อโทรศัพท์แต่ก็มีเป็นเสียงสัญญาณให้ฝากข้อความ พิสุทธิ์ตัดสินใจหยิบหมวกกันน๊อคกับกุญแจรถมอเตอร์ไซต์ แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น พิสุทธิ์ดีใจรีบกดรับทันที
“นิด เราเกือบจะออกไปหานิดที่ไร่แล้วนะ”
นริศรานั่งคุยโทรศัพท์อยู่ที่หน้าบ้านพักคนงานหญิง
“ขอโทษที ต่อไปนี้เราก็คงไม่กล้าปิดเครื่องแล้วล่ะ” นริศราสารภาพ
“นิดรู้เรื่องแล้วใช่ไหม”
“เจ้าน้อยบอกแล้ว ขอบใจโป๊ะมากนะที่ไม่บอกอะไรไป”
“เรื่องนั้นน่ะไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้เรามีอีกเรื่อง”
“อะไรเหรอ” นริศราถาม
“พี่สะใภ้ของนิดพักอยู่ที่นี่”
นริศรามีสีหน้าเศร้าขึ้นมาทันที
“ดีนะ หาว่าเราใช้เงินเปลือง แต่ตัวเองมาพักโรงแรมคืนละเป็นหมื่น”
“ไม่หรอก เขาขอห้องฟรีไปแล้ว” พิสุทธิ์บอก
“แหม...แสบจริงๆเลย แล้วโป๊ะบอกหรือเปล่าว่าเราอยู่นี่”
“เราอยากบอกนะ แต่ท่าทางเขาไม่อยากฟัง”
“งั้นก็ปล่อยเขาเถอะ”
นริศราตัดพ้อแล้วก็กดวางสายมานั่งถอนใจด้วยความเครียด พอจะลุกขึ้นนริศราก็เห็นผลยืนยิ้มอยู่
“มีอะไรเหรอนายผล”
“ผมนอนไม่หลับก็เลยมาหาเพื่อนคุย คุณนิดอยู่คุยกันก่อนไหมครับ” ผลยิ้มเจ้าเล่ห์
“ไม่ล่ะฉันจะนอน”
นริศราเดินหนีไป ผลมองตามอย่างไม่พอใจ
“ทำเป็นหยิ่งไปเถอะ สักวันจะเป็นเมียไอ้ผลเหมือนนังบัวเกี๋ยง”
ผลมองซ้ายมองขวาพอเห็นปลอดคนก็แอบย่องขึ้นบ้านพักคนงานหญิงทันที
บัวเกี๋ยงเดินมาถึงหน้าห้องพักของตัวเอง พอเห็นไฟในห้องเปิดอยู่ก็ตกใจ บัวเกี๋ยงมองไปที่ประตูก็ไม่เห็นกุญแจคล้องอยู่ เธอรีบเปิดประตูทันทีด้วยความโกรธ “พี่ผล”
ผลที่กำลังรื้อห้องอยู่หันมาด้วยความตกใจ ผลรีบไปดึงบัวเกี๋ยงให้เข้าห้องแล้วปิดประตู
“เบาๆสิวะบัวเกี๋ยง เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินหมดหรอก”
“ดีสิ ฉันจะได้ฟ้องว่าพี่เป็นขโมยซะเลย”
“เอาสิ พี่ก็จะได้ประกาศว่าเอ็งเป็นเมียข้า จะได้ย้ายไปอยู่บ้านพักรวม”
บัวเกี๋ยงหน้าจ๋อย
“แล้วนี่พี่เข้ามาได้ไง”
“ก็ขโมยกุญแจเอ็งไปปั๊มน่ะสิ”
บัวเกี๋ยงตีแขนผล “ไอ้บ้า เลวจริงๆ”
“โอ๊ย...จะตีทำไมวะ เดี๋ยวสวนกลับเลย”
ผลเงื้อมือขึ้นบัวเกี๋ยงจึงหยุด
“มีเงินไหม” ผลถาม
“ไม่มี คราวที่แล้วก็เอาจนหมดแล้วจะมีได้ยังไง”
“คุณเล็กไง ช่วงนี้ไม่ให้บ้างเหรอ”
“นี่...ใครเขาจะให้ ทำงานอะไรก็ไม่สำเร็จ พี่ไปได้แล้ว ฉันจะนอน”
“ไม่ไป” ผลยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไหนๆก็ไม่มีเงินไปกินเหล้าแล้ว พี่ก็ขออยู่กับเอ็งแล้วกันนะบัวเกี๋ยง”
ผลดึงบัวเกี๋ยงเข้าไปกอด ส่วนบัวเกี๋ยงทำสีหน้ารังเกียจผล
เช้าวันใหม่ นริศรากับคนงานช่วยกันติดตั้งเครื่องรีดนมวัวที่ฟาร์มวัว ภูชิชย์ขับรถเข้ามาจอดแล้วเดินลงมาดู เวลาผ่านไปนริศรายืนคุมคนงานขนถังนมที่รีดเสร็จแล้วขึ้นใส่ท้ายรถ แล้วรถขนนมก็แล่นออกไป นริศราเดินมาที่รถพร้อมกับถอดเสื้อคลุมที่ใส่ตอนรีดนมวัวออก ภูชิชย์เดินตามมาคุยด้วย
“เหนื่อยไหม” ภูชิชย์ถาม
“ไม่เหนื่อยค่ะ” นริศราตอบ
“ฉันไม่ได้หมายถึงงาน แต่หมายถึงการลงทุนลงแรงสร้างภาพทุกวันนี้”
“ฉันสร้างภาพอะไร”
“เอ้า...ก็สร้างภาพให้น้องชายฉันชอบเธอไง เธอนี่ร้ายจริงๆ มีนายวัสแล้วยังแอบเก็บนายโป๊ะไว้อีก อ้อ..ลืมไป นิพนธ์อีกคน”
“ฉันไม่ได้มีใครทั้งนั้น”
“ที่จริงเธอจะอ่อยใครก็เรื่องของเธอ แต่ฉันขอเตือนเธอเลยนะ อย่ามายุ่งกับนายวัส ไม่งั้นฉันเอาเรื่องเธอแน่” ภูชิชย์ขู่
“ขอบคุณที่เตือนนะคะพ่อเลี้ยง ฉันจะอ่อยใครเอาไว้ฉันจะบอกอีกทีเมื่อตัดสินใจได้ แต่ที่แน่ๆ ผู้ชายอย่างคุณฉันไม่อ่อยเด็ดขาด”
ภูชิชย์กับนริศราจ้องหน้ากันอย่างเอาเรื่อง ภูชิชย์โมโหขึ้นรถขับออกไปทันที
ที่หน้าห้องประชุมของโรงแรมของครอบครัวพิสุทธิ์มีป้ายเขียนว่า “ประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทไร่เทพมงคล” เจ้าทิพย์ดารา เจ้าเทพมงคล และเจ้าดาระกากำลังยืนคุยกับผู้เข้าประชุมที่หน้าห้องประชุม พิสุทธิ์เดินผ่านมาก็ตรงเข้าไปทัก
“สวัสดีครับเจ้าน้อย” พิสุทธิ์เห็นเจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกาก็ยกมือไหว้ “สวัสดีครับ”
“อ้าวคุณโป๊ะ นี่เจ้าพ่อเจ้าแม่ของน้อยค่ะ” เจ้าทิพย์ดาราหันมาบอกกับเจ้าเทพมงคลและเจ้าดาระกา “คุณโป๊ะเป็นลูกชายเจ้าของโรงแรมมาฝึกงานที่นี่ค่ะ”
เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกามองพิสุทธิ์ด้วยความชื่นชม
เจ้าเทพมงคล เจ้าดาระกา เจ้าทิพย์ดาราและพิสุทธิ์มานั่งทานกาแฟด้วยกันที้ร้านกาแฟภายในโรงแรม
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากครับที่ไร่เทพมงคลไว้ใจให้เราดูแล ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมบอกผมได้เลยนะครับ” พิสุทธิ์บอก
“ทุกอย่างเพอร์เฟคมากค่ะ คงไม่ต้องเพิ่มอะไรแล้ว” เจ้าทิพย์ดาราบอก
เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกามองพิสุทธิ์อย่างชื่นชม
“พอฝึกงานเสร็จแล้วคุณโป๊ะจะมาทำงานที่นี่หรือเปล่าคะ” เจ้าดาระกาถาม
“ผมก็ยังไม่ทราบเลยครับ ที่จริงผมก็ยังเรียนไม่จบ เหลืออีกเทอมน่ะครับ กะว่าฝึกงานเสร็จก็จะกลับไปเรียนต่อ”
“อ้าว...ทำไมไม่เรียนให้จบก่อนล่ะคะ” เจ้าดาระกาถามต่อ
“ถ้ามองในด้านดี คุณพ่อผมบอกฝึกงานตอนโรงแรมเปิดใหม่ๆ จะมีโอกาสได้แก้ปัญหามากกว่าครับ”
“ผมเห็นด้วยนะ ทุกอย่างมันอยากตอนเริ่มต้น ฝึกตอนนี้แหล่ะดีแล้ว” เจ้าเทพมงคลเสริม
“ใกล้เวลาประชุมแล้วค่ะ เราไปกันเถอะ” เจ้าทิพย์ดาราบอก
“งั้นผมไปส่งนะครับ” พิสุทธิ์อาสา
“ไม่รบกวนดีกว่า เชิญคุณโป๊ะตามสบายเถอะ” เจ้าเทพมงคลบอก
เจ้าเทพมงคล เจ้าดาระกา และเจ้าทิพย์ดาราเดินมาด้วยกัน
“คุณโป๊ะนี่เขาดูเป็นคนดีนะ” เจ้าดาระกาพูดขึ้น
“ค่ะ เขาเป็นเพื่อนกับคุณนิดผู้จัดการไร่ของภูด้วยนะคะ” เจ้าทิพย์ดาราบอก
“เหรอ แล้วเขาเป็นแฟนกันหรือเปล่า” เจ้าดาระกาถาม
“อุ๊ย...น้อยไม่ทราบหรอกค่ะ แต่คุณนิดก็บอกว่าเพื่อน”
“งั้นก็คงเป็นเพื่อนกันจริงๆ ลูกคิดว่ายังไง” เจ้าเทพมงคลถาม
“คิดว่ายังไงคืออะไรคะ”
“ก็แม่เขาว่าคุณโป๊ะดี พ่อก็ว่าดีนะ อย่างน้อยก็ดีกว่าพ่อเลี้ยง” เจ้าเทพมงคลรีบบอก
“นี่เจ้าพี่ก็คิดเหมือนกันเหรอคะ” เจ้าดาระกาดีใจ
“ทีนี้ก็เหลือลูกของเราแล้ว” เจ้าเทพมงคลพูด
แล้วเจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกาก็มองหน้าเจ้าทิพย์ดารา เจ้าทิพย์ดารายิ้มอย่างรู้ทัน
“น้อยรู้นะคะว่าเจ้าพ่อเจ้าแม่คิดอะไร แต่ยังไงน้อยก็รักภูค่ะ”
ทั้งสามเดินมาถึงหน้าห้องประชุม
“น้อยขอเข้าไปเตรียมงานก่อนนะคะ” เจ้าทิพย์ดาราขอตัวแล้วเดินไป
“ท่าทางลูกเราคงจะไม่ยอมมองคนอื่นเลย” เจ้าดาระกาถอนใจ
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องทำให้ลูกเลิกมองพ่อเลี้ยงก่อน” เจ้าเทพมงคลเสนอ
เจ้าดาระกามองหน้าเจ้าเทพมงคลอย่างงงๆ เจ้าเทพมงคลแอบอมยิ้ม
วิทวัสนั่งทำงานอยู่ภายในห้อง มัลลิกาเคาะประตูแล้วเดินเข้ามา
“มีอะไร” วิทวัสถาม
มัลลิกายิ้ม “วันนี้มีหนังเข้าใหม่ พี่วัสไปดูกับมอลลี่นะคะ”
“ผมไม่ไป เชิญคุณตามสบายเถอะ”
“ถ้าพี่วัสไม่ชอบดูหนัง เราไปหาที่ดินเนอร์เงียบๆก็ได้ค่ะ ตั้งแต่มอลลี่เข้ามาทำงานที่นี่ มอลลี่ยังไม่เคยได้ไปทานข้าวกับพี่วัสเลยนะคะ”
“เลิกงานผมอยากกลับบ้าน” วิทวัสตอบห้วนๆ
“เอ....เลิกงานตรงกลับบ้านทุกวัน มีใครคอยที่บ้านหรือเปล่าน๊า”
“คุณกำลังเอาเวลางานมาคุยเรื่องไร้สาระนะ”
มัลลิกาค้อนใส่วิทวัสแล้วเดินเชิดออกไปทันที
มัลลิกาเดินอย่างอารมณ์เสียกลับมานั่งที่โต๊ะ แล้วก็กดโทรศัพท์ต่อไปหาสุพัฒนาทันที
“คุณเล็ก มอลลี่ขอถามอะไรหน่อยสิ”
สุพัฒนานั่งคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องนอนของเธอ
“อะไรนะ นี่จะบุกคอนโดฯพี่วัสเลยเหรอ” สุพัฒนาตกใจ
“ใช่สิคุณเล็ก มอลลี่สงสัยว่าคุณวัสต้องแอบซ่อนใครไว้แน่ๆ”
“เป็นไปไม่ได้หรอก ก็นังนิดที่พี่วัสชอบมันยังลอยหน้าอยู่ที่นี่เลย”
“แต่ทำไมมอลลี่รู้สึกว่าพี่วัสมีใครอยู่ที่กรุงเทพฯนี่แหล่ะ เป็นไปได้ไหมว่าพี่วัสอาจจะมีผู้หญิงสองคน” มัลลิกาสัณนิษฐาน
“ไม่ได้นะ คุณเล็กไม่ยอม” สุพัฒนาโกรธ
“ไม่ต้องห่วง มอลลี่ก็ไม่ยอมเหมือนกัน คุณเล็กบอกที่อยู่มา ที่เหลือมอลลี่จัดการเอง”
มัลลิกาเอาปากกาขึ้นมาจดอย่างละเอียด
ลัคนากำลังแต่งตัวอยู่ที่หน้ากระจกภายในห้องพักที่โรงแรม นุ้ยกับนุ่นนั่งหน้างออยู่ที่เตียง
“นุ้ย นุ่น แต่งตัวเร็วสิ เดี๋ยวน้าวันมารับแล้ว” ลัคนาเร่งลูกทั้งสอง
“นุ้ยอยากไปหาอานิดน่ะครับ”
“นุ่นก็คิดถึงอานิด ทำไมคุณแม่ไม่ไปหาอานิด”
“แม่จะไปหาที่ไหนล่ะ แม่ก็ไม่รู้นี่ว่าอาเขาอยู่ไหน” ลัคนาตัดบท
“แต่นุ้ยอยากเจออานิด”
“นุ่นก็เหมือนกัน”
“เอ๊ะ ทำไมดื้อแบบนี้ล่ะลูก แม่บอกว่าไม่รู้ก็คือไม่รู้”
ลัคนาจ้องหน้าลูกทั้งสองนิ่งจนนุ้ยกับนุ่นต้องเงียบเสียงและยอมลุกไปแต่งตัว ลัคนาจะแต่งหน้าต่อแต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ลัคนาเดินไปรับสาย
“ว่าไงยัยวัน” ลัคานิ่งฟัง “มีพายุจากจีนอะไรพี่ไม่เห็นรู้เรื่อง”
ลัคนาเดินไปเปิดม่านหน้าต่าง เธอเห็นท้องฟ้ามืดครึ้ม
“ฝนบ้าต้องมาวันฉันจะเที่ยวด้วย..ไม่เป็นไรงั้นแกก็ไม่ต้องแลกเวร ทำงานไปเถอะ พี่เดินเล่นอยู่ในโรงแรมแล้วกัน พรุ่งนี้อย่าลืมมารับพี่ไปส่งสนามบินล่ะ” ลัคนาหงุดหงิด เธอมองไปที่หน้าต่างแล้วก็ตัดสินใจปิดม่าน
ฟ้าร้องฟ้าแลบทั่วบริเวณของไร่สุพัฒนา ก่อนที่ฝนจะตกหนัก คนงานวิ่งหนีฝนกันจ้าละหวั่น รถกระบะของนริศราและรถกระบะคนงานแล่นมาจอดที่โรงอาหาร นริศราและคนงานวิ่งเข้ามาหลบฝนในโรงอาหาร
“ใครมีผ้าแห้งอะไรก็เช็ดหัวหน่อยนะ เดี๋ยวจะไม่สบาย” นริศราบอก
คนงานต่างส่งผ้าให้กัน ผลเดินยิ้มเจ้าชู้มาส่งผ้าเช็ดหน้าให้นริศรา
“ผ้าเช็ดหน้าของผมครับ ยังไม่ได้ใช้”
นริศราหยิบผ้าของตัวเองออกมา “ขอบใจนะ แต่ฉันมีของฉัน”
พูดจบนริศราก็หันไปมองฝนที่กำลังตกหนัก สักพักฝ้ายกับลูกวัย 2 ขวบเดินมายืนข้างๆนริศรา
“อ้าว....ฝ้ายทำไมเอาลูกมาที่นี่ล่ะ เดี๋ยวก็โดนละอองฝน” นริศราเตือน
“มันเป็นไข้อยู่จ้ะ ว่าจะมาขอคุณนิดถ้าฝนหายจะพาไปหาหมอ” ฝ้ายบอก
นริศราจับตัวลูกของฝ้ายแล้วก็ตกใจ เพราะเธอพบว่าเด็กตัวสั่นและมีเลือดกำเดาไหล
“ตายแล้วนี่ไข้ขึ้นสูงมาก” นริศราจับตามตัวของเด็ก “ทำไม่เป็นจ้ำอย่างนี้ล่ะ มีเลือดกำเดาด้วยนี่”
แม่อุ้ย พร ลุงปั๋น เดินเข้ามาจับตัวลูกของฝ้าย
“ฉันก็ไม่รู้จ้ะ เมื่อเช้าเห็นมันนอนสั่นๆก็ไม่คิดว่าจะเป็นหนักเลยไปไร่ พอกลับมาเข้าไปดูตัวมันก็เป็นแบบนี้แหล่ะ” ฝ้ายบอก
“ฉันว่าคงเป็นไข้เลือดออก แบบนี้คงรอฝนหยุดไม่ได้แล้ว” นริศราร้อนใจ เธอรีบเดินไปหาผล
“นายผล ช่วยพาฝ้ายกับลูกไปโรงพยาบาลหน่อยสิ สงสัยจะเป็นไข้เลือดออก”
“ตอนนี้น่ะเหรอครับ” ผลบ่ายเบี่ยง “โอ๊ย...ไม่ได้หรอกครับ ฝนตกหนักขนาดนี้ ต่อให้หยุดไปแล้วยังไม่รู้จะขับลงเขาได้หรือเปล่าเลย ผมว่าให้ดีไปพรุ่งนี้ดีกว่าครับ”
“เด็กเป็นไข้หนักขนาดนี้จะให้รอพรุ่งนี้ได้ยังไง” นริศราถาม
“รอไม่ได้ก็ต้องรอครับ ผมไม่ขับหรอก”
ผลพูดจบก็เดินหนีไปทางอื่น นริศราตัดสินใจบอกคนงานที่อยู่แถวนั้น
“ใครช่วยกางร่มให้ฝ้ายกับลูกหน่อย เดี๋ยวฉันจะไปเลื่อนรถมา”
ลุงปั๋น แม่อุ้ย กับพรตกใจที่ได้ยินนริศราประกาศเช่นนั้น
“โรงพยาบาลมันอยู่ไกลนะคะ คุณนิดไม่ค่อยออกนอกไร่จะไปถูกเหรอคะ” แม่อุ้ยถาม
“พรรู้ทางค่ะ ให้พรไปด้วยนะคะ”
“ผมไปด้วยครับ มีแต่ผู้หญิงไปกันมันอันตราย” ลุงปั๋นเสนอตัว
นริศรารีบวิ่งไปขึ้นรถแล้วขับมาจอดเทียบที่หน้าโรงอาหาร ทุกคนที่อาสาพากันขึ้นรถขับออกไป ผลเดินมาหาแม่อุ้ย “แม่อุ้ย มีอะไรกินหรือเปล่า อากาศเย็นๆชักหิว”
แม่อุ้ยฉุน “หิวก็กินน้ำฝนไปก่อนเถอะเอ็ง ไอ้คนไร้น้ำใจ”
ภูชิชย์นั่งทำงานอยู่ในห้องก็ได้ยินเสียงฝนฟ้าดังลั่น เขาลุกขึ้นไปดูที่หน้าต่างเห็นบรรยากาศฝนตกหนักจนขาวโพลนมองไม่เห็นอะไร ภูชิชย์เริ่มเป็นกังวล
“ไม่รู้คนงานจะเปียกฝนหรือเปล่า”
“คงไม่มั้งครับ คนงานของเราส่วนใหญ่ก็รู้สภาพอากาศ ผมว่าดีไม่ดีพอฟ้าครึ้มก็แอบอู้กันแล้ว” นิพนธ์ที่นั่งอยู่พูดกับภูชิชย์
“แต่มีอยู่คนนะที่เซ่อซ่าไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวกับเขา” ภูชิชย์พูดขึ้น
“ใครเหรอครับ” นิพนธ์ถาม
“ก็ใครล่ะที่คราวที่แล้วไปนอนกินน้ำฝนอยู่ที่คอกวัว”
“คุณนิดน่ะเหรอครับ” นิพนธ์หัวเราะ “คราวที่แล้วมันอุบัติเหตุ ผมว่าคงไม่มีครั้งที่สองหรอกครับ”
ระหว่างที่ภูชิชย์จะหันหลังกลับมาทำงานต่อเขาก็รู้สึกเหมือนเห็นรถกระบะแล่นฝ่าสายฝนออกไป ภูชิชย์พยายามเพ่งมองแต่ไม่เห็นอะไร
“นั่นรถใคร” ภูชิชย์ถาม
นิพนธ์ลุกขึ้นมาช่วยมองแต่ก็มองไม่เห็นอะไร
นริศราขับรถฝ่าสายฝนด้วยความระมัดระวัง ลุงปั๋นช่วยเพ่งดูทางข้างหน้า ด้านหลังรถมีพร ฝ้าย และลูกของฝ้ายที่อยู่ในห่อผ้าที่ให้ความอบอุ่น
นริศราพยายามขับรถไปข้างหน้าทั้งๆ ที่มองไม่เห็นอะไรเลย
“คุณนิดขับช้าๆหน่อยนะครับ ผมมองไม่เห็นทางเลย” ลุงปั๋นเตือน
“ลุงปั๋นข้างหน้ามีทางแยก” นริศราถาม
“เลี้ยวซ้ายครับ” ลุงปั๋นตอบ
นริศราหักพวงมาลัยเลี้ยวซ้าย ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างจากไฟหน้ารถบรรทุกสาดมาพร้อมเสียงแตรดังสนั่น
พรกับฝ้ายร้องกรี๊ดลั่นรถ นริศรากับลุงปั๋นตาโตด้วยความตกใจ
จบตอนที่ 6
ติดตามอ่านรักประกาศิต ตอนต่อไป เวลา 12.00 น.